โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai.info

ประชาไท | Prachatai.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

1 เดือนสถานการณ์ฉุกเฉิน: ‘ปิยบุตร’ ไม่เห็นนักสันติวิธีโผล่ค้าน

Posted: 08 May 2010 01:35 PM PDT

เสวนาเนื่องในโอกาสครบรอบ 1 เดือนสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ มธ. ‘ผบ.ดีเอสไอ’ ยันผู้ชุมนุมขาดความสงบ ‘ประพันธ์ คูณมี’ บอก พ.ร.ก.ฉุกเฉินไร้สาระเพราะประกาศแล้วไม่ได้นำไปใช้กับการชุมนุม ‘ปิยบุตร’ กังขาไม่เห็นนักสันติวิธีที่ค้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉินในภาคใต้ ออกมาคัดค้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉินในกรุงเทพฯ ด้าน ‘จาตุรนต์’ ตั้งคำถาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เหมาะสมหรือไม่

<!--break-->

วานนี้ (8 พ.ค. 53) – ซึ่งครบ 1 เดือนในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรงในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีการจัดเสวนา "พ.ร.ก.ฉุกเฉิน: ดุลยภาพระหว่างความสงบเรียบร้อยและสิทธิเสรีภาพของประชาชน" ที่ นิติศาสตร์ มธ. ท่าพระจันทร์ โดยมีวิทยากรคือ ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, พ.อ. ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ, วิทยา แก้วภราดัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ (อยู่ในระหว่างการติดต่อ), ประพันธ์ คูณมี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระ ทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี, จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี โดยมี ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ดำเนินการอภิปราย

 

การชุมนุมขาดความสงบตามรัฐธรรมนูญ

พ.อ.ปิยะวัฒก์ กึ่งเกตุ กล่าวว่าการชุมนุมจะไม่อาจมีได้หากไม่มีรัฐธรรมนูญ ระบุไว้อนุญาตให้มีการชุมนุม และการชุมนุมที่รัฐธรรมนูญอนุญาตไว้ นั้นต้องเป็นการชุมนุมที่อยู่ในความสงบเรียบร้อย

โดย พ.อ. ปิยะวัฒก์ อ้างว่าเขารวบรวมข้อมูลจากสื่อมวลชน ทำให้ทราบว่าการชุมนุมในครั้งนี้เป็นการชุมนุมที่ขาดความสงบตาม หลักรัฐธรรมนูญ โดยมีการปราศรัยปลุกระดมมวลชน ยกระดับการชุมนุมกลายเป็นการชุมนุมทางการเมืองจากการที่เรียกร้อง ให้อภิสิทธิ์ ยุบสภา นอกจากนี้ยังมีการใช้อาวุธอย่างระเบิดตามที่ต่าง ๆ และเครื่องยิงจรวดอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหม การที่มีเหตุร้ายต่างๆ เกิดขึ้นเหล่านี้ รวมถึงมีการตั้งด่านตรวจเจ้าหน้าที่และประชาชน ซึ่งทำให้ต้องมาชั่งน้ำหนักดูว่าตรงนี้ถือเป็นการละเมิดประชาชน หรือไม่

โดยผู้ดำเนินรายการคือ ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ตั้งข้อสังเกตไว้ว่าการวินิจฉัยจากข้อเท็จจริงต่าง ๆ เหล่านี้มันคู่ควรแก่การใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน แล้วจริงหรือไม่

 

‘ประพันธ์ คูณมี’ ชี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไร้สาระเพราะไม่ได้นำมาใช้กับการชุมนุม

ด้านประพันธ์ คูณมี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ กล่าวว่าตนก็ไม่เห็นด้วยกับ กฎหมาย พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และคัดค้านการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน มาตลอด การที่ฝ่ายบริหารนำกฎหมายนี้มาใช้สะท้อนว่าประเทศ ไทยเป็นประเทศด้อยพัฒนา

ประพันธ์ กล่าวถึงการต่อสู้สมัยตนเป็นนักศึกษา ว่ามีกฎหมายที่เลวร้ายกว่านี้คือ พ.ร.บ. คอมมิวนิสต์ (พระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์) ส่วนตัวประพันธ์เองก็เคยคัดค้าน พ.ร.บ. ความมั่นคงมาก่อน

อย่างไรก็ตาม ประพันธ์ กล่าวว่าในคราวนี้เราต้องมาดูว่าเราจะใช้อย่างไรให้มีดุลยภาพระหว่าง ความปลอดภัยและเสรีภาพของประชาชน โดยประพันธ์บอกว่าการประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน นั้นไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่ได้นำมาใช้กับผู้ชุมนุม เขาบอกว่าสนับสนุนให้มีการบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ในการคุ้มครองสุจริตชนทั่วไป แต่ขณะเดียวกันก็เห็นด้วยว่าควรยกเลิก กฎหมายฉบับนี้

 

ปิยบุตรกังขาไม่เห็นนักสันติวิธีค้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ทางด้าน ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การประกาศ พ
ร.ก. ฉุกเฉินในครั้งนี้ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมานั้นเป็นช่วงที่ยังไม่มีเหตุรุนแรงใด ๆ สาเหตุมาจากแค่ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งบุกเข้าไปในรัฐสภา ซึ่งในจุดนี้ปิยบุตรให้ความเห็นว่าถ้าการชุมนุมได้ทำผิดกฎหมายในบางเรื่อง ก็ให้ดำเนินตามกฎหมายนั้นไป แต่จะไปเหมาว่าการชุมนุมเป็นอันตรายทั้งหมดไม่ได้

ปิยบุตร ตั้งข้อสังเกตอีกว่าก่อนหน้านี้เคยมีนักสินติวิธี สื่อ และองค์กรภาคประชาชนที่เคยวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ในสามจังหวัดภาคใต้ แต่ในสถานการณ์เดียวกันนี้ พ.ร.ก. เดียวกันนี้ ไม่เห็นว่ามีสื่อ องค์กรภาคประชาชน หรือนักสันติวิธีใดๆ เรียกร้องกับรัฐบาลเลย มีแต่การไปยื่นหนังสือกับแกนนำคนเสื้อแดงราวกับว่ามีแต่คนเสื้อแดงที่ใช้ความรุนแรง แต่ทำไมไม่มีการไปยื่นหนังสือกับกลุ่มคนเสื้อหลากสีหรือกลุ่มรัฐบาลบ้าง

 

จาตุรนต์ตั้งคำถามใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเหมาะสมหรือไม่

ด้านจาตุรนต์ ฉายแสง ขอตั้งคำถามกับการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ว่าถึงขั้นมีเหตุจำเป็นต้องนำมาใช้หรือไม่ ขณะเดียวกันก็บอกว่าการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ถือเป็นการลิดรอนเสรีภาพสื่อและเสรีภาพของประชาชน ขณะเดียวกันก็ไม่มีระบบที่จะมาคอยตรวจสอบดูแลไม่ให้มีการใช้ พ.ร.ก. เกินกว่าเหตุ

จาตุรนต์ วิจารณ์ว่าการให้เหตุผลของรัฐบาลในการประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน นั้นเป็นการนำหลายๆ เรื่องมาโยงรวมกันแต่ไม่มีเหตุผลมากพอ และคิดว่ารัฐบาลชิงประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เนื่องจากต้องการจัดการกับการชุมนุมโดยเฉพาะ โดยจาตุรนต์กล่าวเพิ่มเติมว่าการอ้างเรื่องเหตุระเบิดต่าง ๆ รวมถึงเรื่องเสื้อแดงพกพาอาวุธนั้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลยังไม่สามารถ พิสูจน์ได้ว่ามีส่วนเชื่อมโยงกับการชุมนุมเลย โดยเหตุระเบิดนั้นเป็นเรื่องของรัฐบาลที่ต้องหามาตรการป้องกันและ ตรวจหาคนร้ายเอง โดยไม่จำเป็นต้องประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน หรือใช้มาตรการทางทหารใดๆ

 

เหตุบุกรัฐสภาเพราะผู้ชุมนุมเข้าไปค้นอาวุธ และยุติได้หลังเจรจา

ในกรณีที่เสื้อแดงบุกรัฐสภาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาจนมีส่วนในการทำให้เกิดการประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉินนั้น จาตุรนต์ กล่าวถึงเหตุการณ์ว่าเป็นการที่ผู้ชุมนุมพยายามจะเข้าไปเพื่อตรวจ สอบอาวุธ เนื่องจากมีคนบอกว่ามีระเบิด และเหตุการณ์นี้ไม่ได้จบลงด้วยการ ใช้กำลังต่อกันแต่ยุติลงด้วยการเจรจา

กรณีเรื่องการแทรกแซงหรือปิดกั้นสื่อของรัฐบาล จาตุรนต์ตั้งข้อสังเกตว่าในครั้งนี้สื่อหนังสือพิมพ์ดูจะถูกแทรก แซงน้อยที่สุดซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรัฐธรรมนูญระบุคุ้มครอง ไว้ ขณะเดียวกันสื่ออย่างเว็บไซต์ โทรทัศน์ มีการแทรกแซง ซึ่งจาตุรนต์เชื่อว่าเป็นการแทรกแซงสื่อด้วยสาเหตุทางการเมืองไม่ ได้เป็นเรื่องของการยุยงการก่อวินาศกรรมตามที่อ้างมา แต่การแทรกแซงหรือปิดกั้นนั้นเกิดขึ้นกับสื่อที่นำเสนอความคิด เห็นตรงกันข้ามกับรัฐบาล

จาตุรนต์บอกว่าก่อนหน้านี้เขาเคยประเมินก่อนหน้านี้แล้ว เรื่องหากมีการประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน สถานการณ์จะยิ่งเข้าสู่ความรุนแรง มากขึ้น ซึ่งหลังจากการประกาศไม่นานก็มีการเข้าสลายการชุมนุมโดยรัฐบาล จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งเป็นธรรมชาติของ พ.ร.ก. ฉบับนี้ที่ให้อำนาจกับทหารเข้าไปจัดการกับผู้ชุมนุม

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ส.ส.ปชป.บอกสามเกลอรีบยุติชุมนุมก่อนตกเป็นเหยื่อ ‘กองกำลังไม่ทราบฝ่าย’

Posted: 08 May 2010 12:06 PM PDT

ส.ส.เพื่อไทยประณามเหตุระเบิด กังขาทหารตำรวจตั้งด่านเต็มไปหมด แต่ปล่อยให้มีการก่อเหตุ ด้าน ‘เทพไท’ อัด ‘ทักษิณ’ เบื้องหลังระเบิดสวนลุมพินี ทักษิณเป็นคนสั่งให้สามเกลอเล่นบทปรองดอง แต่ให้ฮาร์ดคอร์ป่วน ด้าน ‘อรรถพร พลบุตร’ ขู่เสื้อแดงยุติชุมนุมก่อนตกเป็นเหยื่อของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย

<!--break-->

เทพไทชี้ระเบิดที่สวนลุมพินีเบื้องหลังคือทักษิณ

วานนี้ (8 พ.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีเหตุระเบิดที่แยกศาลาแดงและใกล้สวนลุมพินีเช้ามืดวันที่ 8 พ.ค. ว่า เป็นการตอกย้ำภาพความขัดแย้งในหมู่แกนนำคนเสื้อแดงอย่างชัดเจน ว่าสาเหตุที่ไม่อาจยุติการชุมนุมได้ เนื่องจากความขัดแย้งเชิงความคิดของกลุ่มสามเกลอ และกลุ่มฮาร์ดคอร์ จะเห็นได้ชัดว่าท่าทีของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ได้ออกมาระบุว่า จะไม่สลายการชุมนุมจนกว่าจะได้รับคำสั่งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และเชื่อว่า ที่ออกมาเคลื่อนไหวในขณะนี้จะเป็นสัญญาณจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ดำเนินการต่อ ไม่อย่างนั้น เสธ.แดง คงออกมาเคลื่อนไหวไม่ได้ รวมทั้งยืนยันว่าจะเปลี่ยนแปลงความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง โดยยกระดับให้เป็นสงครามกลางเมืองให้ได้ ตนจึงคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช่หรือไม่ อยากให้ ทักษิณ แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนต่อกรณี กระบวนการปรองดองแห่งชาติครั้งนี้ ไม่อยากให้ ตีสองหน้า โดย ส่งสัญญาณให้สามเกลอ เข้าร่วมปรองดองแต่ขณะเดียวกันให้ท้ายกลุ่มฮาร์ดคอร์เคลื่อนไหวด้วย

นายเทพไท กล่าวว่า ส่วนพรรคเพื่อไทยในฐานะที่เป็นหนึ่งในขบวนการคนเสื้อแดง เมื่อคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งประกาศเข้าร่วมกระบวนการปรองดอง อยากถามว่า จุดยืนพรรคเพื่อไทยวันนี้เป็นอย่างไร ไม่อยากให้ทำตัวเป็นอีแอบอยู่เบื้องหลัง คนเสื้อแดง และรอจังหวะโอกาสที่กระบวนการปรองดองล้มเหลวแล้วออกมาเคลื่อนไหวเป็นจังหวะสอง

 

ไม่หวั่นไหวหากเลือกตั้งแล้วเพื่อไทยได้ 300 เสียงแบบที่เฉลิมโว แต่ขอให้แฟร์

นายเทพไท กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย และ นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี ที่ออกมาระบุว่าพรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะเข้าสู่การเลือกตั้ง โดยคาดหวังและมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.300 ที่นั่งนั้น ตนอยากบอกว่าสงครามยังไม่สงบอย่างเพิ่งนับศพทหาร การเลือกตั้งยังอีกหลายเดือน ยังมีความเปลี่ยนแปลงกระแสทางการเมืองอีกหลายระลอก ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ก็พร้อมเข้าสู่การเลือกตั้งเช่นกัน แต่อยากเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมือง เคารพกติกา 300 เสียงที่พรรคเพื่อไทยโวนั้น ตนไม่หวั่นไหว เพียงแต่ว่าการเลือกตั้งขอให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม ไม่มีการซื้อเสียง ข่มขู่ หรือปิดกั้นการที่พรรคการเมืองจะไปหาเสียงในพื้นที่ต่างๆ

นายเทพไท กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ระบุว่าพรรคเพื่อไทยจะเปลี่ยนประเด็นการหาเสียงจากชู พ.ต.ท.ทักษิณ เป็น ชู ประชาธิปไตยนั้น ข้อเท็จจริงพรรคเพื่อไทยที่ดำรงอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะร่มเงาของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพยายามใช้ภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นจุดขาย แต่วันนี้ สังคมรับรู้ว่า คนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย ต่อสู้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณเพียงคนเดียวทำให้เกิดการปฏิเสธ จึงมีการเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องประชาธิปไตยแต่เมื่อถึงเวลา ประชาชนจะรู้เท่าทัน

 

‘เทพไท’ บอก ส.ส.ไม่มีเจตนา รู้เท่าไม่ถึงการณ์

นายเทพไท กล่าวว่า ส่วนกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดง โจมตีนายฐนโรจน์ โรจนกุลเสฎฐ์ ส.ส.จังหวัดชลบุรี ที่ไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในงานกิจกรรมลูกเสือนั้น ทางพรรคได้รับทราบและไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยตนได้เชิญมาสอบถามเป็นการส่วนตัว ซึ่งนายฐนโรจน์ ได้ยอมรับว่าอยู่ในเหตุการณ์จริง แต่ไม่มีเจตนา เพราะเป็นการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ดังนั้นการที่แกนนำคนเสื้อแดงระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ละเลยเรื่องนี้ ยืนยันว่า พรรคไม่ได้ละเลย และจากข้อบังคับพรรค จะต้องมีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป ส่วนที่แกนนำคนเสื้อแดงจะไปแจ้งความนั้นถือเป็นสิทธิ์ที่ทำได้ โดยทางพรรคจะไม่ปกป้อง หรือช่วยเหลือ แต่จะให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม

 

เรื่องคนฟ้อง ศอฉ. เป็นการแก้เกี้ยว

นายเทพไท กล่าวว่า สำหรับกรณีที่มีกลุ่มคน ฟ้องนายอภิสิทธิ์ ในเรื่องที่ ศอฉ. ออกมาเปิดเผยแผนล้มเจ้านั้น บุคคลที่อยู่ในรายชื่อทั้งหมดพยายามที่จะใช้โอกาสนี้ ฟ้องนายกฯ นายสุเทพ และ พ.อ.สรรเสริญ ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วทั้งหมดเป็นบทวิเคราะห์ของฝ่ายข่าว ศอฉ. โดย พ.อ.สรรเสริญได้นำมาเปิดเผย ดังนั้นการที่จะฟ้อง นายอภิสิทธิ์ อาจจะไม่สมเหตุผลและยุติธรรม เพราะเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ ก็ไม่ได้ออกมาเปิดเผย ตนเข้าใจว่าเป็นการฟ้องแก้เกี้ยวของคนในรายชื่อทั้งหมด

ส่วนการที่ ดีเอสไอ ออกมาทำฟ้องร้องผู้กระทำผิดในการชุมนุม ตนคิดว่าเป็นบทบาทหน้าที่ของของ ดีเอสไอ แต่แกนนำคนเสื้อแดงบางคนเห็นว่า การทำหน้าที่ดังกล่าวตนเองอาจได้รับผลกระทบในเรื่องของคดีความ จึงพยายามใช้รูปแบบนักเลงด้วยการออกมาข่มขู่ อธิบดีดีเอสไอ ด้วยการบอกว่าถ้าตัวเองกลับเข้าสู่อำนาจจะคิดบัญชี ตนไม่อยากให้พฤติกรรมเช่นนี้ไปข่มขู่กดดันการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ หากเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทำผิดกฎหมาย หรือไม่ ไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ควรใช้ช่องทางกฎหมาย ดีกว่าใช้การเป็นนักเลงข่มขู่ผ่านสื่อมวลชน

 

อรรถพรขู่เสื้อแดงยุติชุมนุมก่อนตกเป็นเหยื่อของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย

ด้าน นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเมื่อบ่ายวันนี้ (8 พ.ค.)กรณีคนร้ายยิงอาวุธสงครามใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชนจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมากว่า ขอเรียกร้องให้กลุ่มคนเสื้อแดงสลายการชุมนุมในทันทีก่อนที่ทุกฝ่ายจะตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ซึ่งไม่เห็นด้วยต่อโรคแมปของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ผู้นี้กล่าวว่า ปัญหาที่แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงพบอยู่ตลอดเวลาและกำลังส่งผลอย่างยิ่งในขณะนี้ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้สั่งการให้มีการเคลื่อนไหวผ่านกลุ่มต่างๆ หลายกลุ่ม และแต่ละกลุ่มอิสระจากกัน ทำให้มีการเคลื่อนไหวที่ขัดแย้งกันเองหลายครั้งจนประสบปัญหาความถดถอยทาง ยุทธศาสตร์ กรณีการยิงอาวุธสงครามที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งดังกล่าว และพ.ต.ท.ทักษิณต้องการแสดงให้รัฐบาลและกลุ่มคนเสื้อแดงเห็นว่า ใครคือผู้มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริง

“ผมจึงขอเตือนสามเกลอ และผู้ชุมนุมว่า ควรรีบสลายการชุมนุมโดยด่วน ก่อนที่จะตกเป็นเหยื่อของกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของสามเกลอ ไม่เช่นนั้น ถ้ายังชุมนุมยืดเยื้อต่อไป คนที่จะถูกยิงถล่มต่อไปก็จะเป็นนายวีระ นายจตุพร และนายณัฐวุฒิ รวมทั้งประชาชนที่มาร่วมชุมนุมด้วยความบริสุทธิ์ เพื่อสร้างสถานการณ์ให้มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น” นายอรรถพรกล่าว

ส.ส.ผู้นี้ยังกล่าวด้วยว่า ในต้นสัปดาห์หน้า ตนและส.ส.ประชาธิปัตย์กลุ่มหนึ่งจะเข้ายื่นหนังสือถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ ผ่านนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐบาล ให้เร่งสอบสวนดำเนินคดีล้มล้างสถาบันเบื้องสูง, คดีการก่อการร้ายและตรวจสอบ ดำเนินคดีอย่างเคร่งครัดกับเส้นทางการเงินของกลุ่มผู้สนับสนุน.

 

เพื่อไทยประณามเหตุระเบิด กังขาทหารตำรวจตั้งด่านเต็มไปหมด แต่ปล่อยให้มีการก่อเหตุ

ส่วนที่พรรคเพื่อไทย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีระเบิดและกราดยิงเมื่อคืนนี้ว่า พรรคเพื่อไทยขอแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ขณะเดียวกันก็ขอประณามการก่อเหตุดังกล่าว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า จุดที่เกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งชุดเคลื่อนที่เร็ว ชุดไล่ล่าของตำรวจและทหารแฝงตัวอยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงมีการตั้งด่านปิดกั้นตรวจค้นอย่างละเอียด แต่ปล่อยให้มีการก่อเหตุขึ้นได้ ทั้งนี้ เชื่อว่าเป็นการกระทำของคนที่ไม่ต้องการให้เกิดความปรองดองในชาติ และคนที่ไม่อยากให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ เพื่อจุดชนวนให้เกิดความรุนแรงต่อไป พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้รัฐบาล ในฐานะผู้รับผิดชอบการดูแลความสงบภายในกรุงเทพมหานคร สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษโดยเร็วและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการก่อเหตุในครั้งนี้ ไม่ใช่ฝีมือของกลุ่มผู้ชุมนุมเพราะเป็นเรื่องยากที่จะรอดจากการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ แต่เชื่อว่า ผู้ลงมือเป็นกลุ่มคนที่ไม่ต้องการให้เกิดความปรองดองในชาติ ไม่อยากให้มีการเลือกตั้งใหม่ และต้องการจุดชนวนเพื่อให้เกิดความรุนแรงต่อไป

น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า สำหรับกรณีที่รัฐบาลเสนอโรดแมปแนวทางการปรองดองจะต้องพูดคุยถึงหลักการและวิธีการว่า ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายจริงหรือไม่ เพราะหากมีคนไม่เห็นก็ไม่เข้าแผนปรองดองแต่กลับเพิ่มความขัดแย้งมากขึ้น

 

ที่มา: เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์ [1] และ [2] และแนวหน้า

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

วิทยุชุมชนเสื้อแดงรุกฟ้องศาล ถูกเจ้าหน้าที่ส่งคลื่นกวนการออกอากาศ

Posted: 08 May 2010 11:34 AM PDT

หัวหน้าสถานีวิทยุชุมชนคนรักไทย FM 95.25 MHz ฟ้อง "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ฐานละเมิด เหตุถูกเจ้าหน้าที่รัฐส่งสัญญาณรบกวนคลื่นวิทยุ เจ้าตัวเผยไปรายงานตัว ศอฉ.แล้ว ล่าสุดถูกหมายจับฐานเผยแพร่คลิปเสียงนายกฯ ยันไม่เคยเปิดคลิปแต่ถ่ายทอดเสียงการชุมนุมที่ราชประสงค์ เชื่อประชาชนไปชุมนุมเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ

<!--break-->

วานนี้ (7 พ.ค.53) เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น.ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นายพันธุ์ศักดิ์ ซาบุ หัวหน้าสถานีวิทยุชุมชนคนรักไทย ออกอากาศทาง FM 95.25 MHz ได้ไปยื่นคำฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ.จำเลยที่ 2 ในข้อหาละเมิด กรณีมีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินการส่งสัญญาณคลื่นวิทยุรบกวนการออกอากาศของวิทยุชุมชนคนรักไทย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 เม.ย.เป็นต้นมา โดยร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐหยุดแทรกแซงด้วยวิธีการใดๆ เพื่อลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ เว้นการละเมิดอันก่อให้เกิดความเสียหายด้านเสรีภาพและสิทธิในการเสนอข้อมูล ตามประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 420 421 และให้หยุดส่งสัญญาณรบกวน 

จากนั้น เวลาประมาณ 15.30 น. ศาลแพ่งได้ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนฉุกเฉินตามที่โจทย์ร้องขอ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำไต่สวนโจทย์ ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้ง 2 มีส่วนเกี่ยวข้องหรือสั่งการในการรบกวนคลื่นวิทยุของโจทย์ เป็นแต่เพียงเรื่องคาดคะเนของโจทย์เอง จึงไต่สวนให้ยกคำร้องคุ้มครองชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ศาลได้รับฟ้องในคดีดังกล่าว และนัดสืบพยานโจทย์ เวลา 9.00 น.วันที่ 28 พ.ค.นี้

นายพันธุ์ศักดิ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาสถานีวิทยุชุมชนคนรักไทยถูกรบกวนจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการส่งสัญญาณรบกวนคลื่นวิทยุ ทำให้ผู้ฟังไม่สามารถรับฟังรายการของทางสถานนี้ได้ตามปกติ และเป็นเหตุให้ต้องปิดการออกอากาศของสถานีในช่วง 2 วันที่ผ่านมา อีกทั้งที่ผ่านมายังมีกระแสข่าวการกำลังเจ้าหน้าที่มาทำการปิดสถานี ทำให้ต้องระดมคนมาช่วยกันป้องกันอยู่หลายครั้ง

นายพันธุ์ศักดิ์ เล่าด้วยว่า ก่อนหน้านี้เขาได้รับหมายเรียกจาก ศอฉ.และเมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา เขาพร้อมผู้ประกอบการวิทยุชมชนและเคเบิลทีวีอีก 4 คน ได้เข้าไปรายงานตัวกับ ศอฉ.ที่ ราบ 11 รอ.โดยได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ก่อนที่จะเข้าให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล ทั้งนี้ การพูดคุยเป็นไปด้วยดี โดยเจ้าหน้าที่ให้เสนอการแก้ปัญหา ซึ่งทางแก้ไขสำหรับเขาคือการที่นายกต้องยุบสภาในทันที นอกจากนี้เขาได้บอกกับเจ้าหน้าที่ว่าจะดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลกรณีที่ถูกรบกวนคลื่นวิทยุด้วย

“เขาขอว่า การดำเนินรายการขอให้เกิดการปองดองกัน ผมเห็นด้วย แต่รัฐบาลก็ต้องให้ความเป็นธรรม หากความเป็นธรรมไม่เกิด ความปองดอง ความสามัคคีมันก็เกิดไม่ได้” หัวหน้าสถานีวิทยุชุมชนคนรักไทยกล่าวถึงสิ่งที่ได้พูดกับจำหน้าที่

เกี่ยวกับการที่ ศอฉ.ออกหมายเรียกให้นักจัดรายการและหัวหน้าสถานีวิทยุชุมชนไปรายงานตัว นายพันธุ์ศักดิ์แสดงความเห็นว่า รัฐพยายามควบคุมสื่อเล็กๆ ทั้งที่สื่อที่ปลุกคนมาร่วมการชุมนุมของคนเสื้อแดงมากที่สุดคือสื่อของรัฐ ทั้งช่อง 3 5 7 9 11 และทีวีไท เพราะการโกหก ให้ข้อมูลด้านเดียว เมื่อคนไม่ได้ข้อมูลก็อยากรู้ เขาเลยออกมาที่ที่ชุมนุม ดังนั้นหากจะป้องกันรัฐควรให้ข้อมูล 2 ฝ่าย

นายพันธุ์ศักดิ์ ให้ข้อมูลด้วยว่า ล่าสุดขณะนี้เขาได้ถูกออกหมายจับในความผิดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงของรัฐบาล ข้อหาเผยแพร่ซ้ำคลิปเสียงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งสลายการชุมนุม เมื่อเดือนเมษายน 2552 โดยหมายจับเพิ่งส่งถึงสถานนี้ อย่างไรก็ตาม เขายืนยันว่าไม่ได้นำคลิปเสียงดังกล่าวมาเปิดในรายการวิทยุชุมชนคนรักไทย แต่ก็หน้านี้เข้าเพียงแต่ถ่ายทอดเสียงจากการชุมนุมคนเสื้อแดงที่เวทีสี่แยกราชประสงค์ผ่ายทางสถานีวิทยุเท่านั้น ทั้งนี่เขาคิดว่าการชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการที่ประชาชนไปชุมนุมเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ

ส่วนเรื่องที่ก่อนหน้านี้ที่ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุห้ามการถ่ายทอดเวทีการชุมนุม โดยอ้างถึง ข้อกำหนดตามมาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่เช่นนั้นจะส่งเจ้าหน้าที่ดำเนินการนั้น นายพันธุ์ศักดิ์กล่าวว่า ในส่วนวิทยุชุมชนคนรักไทยได้ยื่นขอใบอนุญาตแล้ว และในหลักการที่ระบุไว้ว่าต้องไม่ให้ร้ายผู้อื่น เนื้อหาไม่ส่อไปทางปลุกระดมมวลชน และไม่หมิ่นสถาบันเบื้องสูง ทางสถานีก็ปฏิบัติตามทุกอย่าง เจ้าหน้าที่ของรัฐจึงไม่สามารถทำการปิดสถานีตามกฎหมายได้ และการส่งสัญญาณรบกวนการออกอากาศนี้ก็ถือว่าเป็นการละเมิดเช่นกัน

 

หมายเหตุ: ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มีข้อห้าม 5 ข้อ ได้แก่ 1.ห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป 2.ห้ามเสนอข่าว หรือทำให้แพร่หลายทางสื่อที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูล ทำให้เกิดความเข้าใจผิด 3.ห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือยานพาหนะตามที่กำหนด 4.ห้ามใช้อาคาร หรือเข้าไปในสถานที่ใดๆ ตามที่กำหนด 5.ให้อพยพประชาชนออกนอกพื้นที่ที่กำหนด
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

‘ฐนโรจน์’ ยอมรับไม่ได้ยืนจริงเนื่องจากไม่ใช่ลูกเสือ

Posted: 08 May 2010 10:40 AM PDT

‘ฐนโรจน์’ รับไม่ได้ยืนจริง เนื่องจากวิทยากรเรียกให้ลูกเสือยืนตรง แต่ตนไม่ใช่ลูกเสือ ลั่นจงรักภักดี ผู้ใหญ่ในพรรครู้ว่าตนเป็นคนอย่างไร ไม่เคยเป็นวอลเปเปอร์เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น 'พร้อมพงศ์’ แจ้งข้อหาหมิ่นฯ ส่วน ‘เทพไท’ บอก ส.ส.ไม่มีเจตนา ถ้าเพื่อไทยฟ้องก็จะไม่ปกป้อง ให้เป็นกระบวนการยุติธรรม

<!--break-->

‘ฐนโรจน์’ ยอมรับไม่ได้ยืนจริง เนื่องจากวิทยากรเรียกให้ลูกเสือยืน แต่ตนไม่ใช่ลูกเสือ

เมื่อวานนี้ (8 พ.ค.) นายฐนโรจน์ โรจนกุลเสฏฐ์ ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้ชี้แจงยอมรับว่าไม่ได้ยืนตรงขณะที่มีการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ในการฝึกอบรมลูกเสือชาวบ้านรุ่น 357 ชลบุรี เมื่อ 5 พ.ค. ที่ผ่านมาจริง เพราะเข้าใจว่าเป็นพิธีการในการอบรมลูกเสือชาวบ้าน เนื่องจากวิทยากรได้เรียกให้ "ลูกเสือทั้งหมดยืนตรง" แต่ตนไม่ใช่ลูกเสือมาร่วมสังเกตการณ์และมาให้กำลังใจในการฝึกอบรบเท่านั้น

"ทั้งนี้นิสัยผมไม่ชอบเสนอหน้าสร้างภาพ เหยียบบ่าคนอื่นโต หรือแย่งซีนคนอื่นซึ่งเป็นสาเหตุของความขัดแย้งในบ้านเมืองเวลานี้ โดยในการอบรมลูกเสือชาวบ้านวันนั้นนายวิทยา คุณปลื้ม นายก อบจ.ชลบุรี มาเป็นประธานในพิธีการปิดอบรมและมีผู้สื่อข่าวมาทำข่าวจำนวนหนึ่ง ผมจึงให้เกียรตินายวิทยาเพราะเกรงว่าหากยืนขึ้นภาพข่าวที่ออกมาจะปรากฏผมด้วยและกลายเป็นว่าผมไปเสนอหน้าแย่งซีน ดังนั้นเลยนั่งลงเพื่อให้กล้องจับภาพนายวิทยาคนเดียว" ส.ส.ชลบุรี ปชป.กล่าว

 

ยืนยันจงรักภักดี เชื่อผู้ใหญ่ในพรรคเข้าใจ ลั่นไม่เคยเอาดีใส่ตัว เป็นวอลล์เปเปอร์เสนอหน้า

นายฐนโรจน์กล่าวว่า ยืนยันว่ามีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างสุดชีวิต และกราบขอโทษหากคิดว่าสิ่งที่ตนทำผิดไป เพราะจริงๆ แล้วไม่มีเจตนา หวังว่าประชาชนจะเข้าใจ ทั้งนี้มีความตั้งใจที่จะเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานให้บรรจุเรื่องให้บริษัทห้างร้านให้ความร่วมมือสนับสนุนให้พนักงานเข้าร่วมฝึกอบรมลูกเสือชาวบ้าน เป็นวาระแห่งชาติด้วย"เชื่อว่าผู้ใหญ่ในพรรคเข้าใจผม เพราะทุกคนรู้ดีว่าผมเป็นคนอย่างไร เป็นสุภาพบุรุษไม่เคยเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ทำตัวเป็นวอลล์เปเปอร์เสนอหน้า

นายฐนโรจน์กล่าว และว่า หลังจากมีข่าวออกไป ทางผู้ใหญ่ในพรรคสอบถามถึงเรื่องดังกล่าวจำนวนมาก ก็ได้เล่าให้ฟัง ผู้ใหญ่ก็เข้าใจดีแต่ยังไม่มีการรายงานไปทางพรรค ช่วงนี้พรรคยุ่งอยู่กับเรื่องการเมืองในกรุงเทพฯ คงต้องออกชี้แจงให้กับสื่อต่างๆ ให้เข้าใจ โดยตอนนี้ทราบว่าทางพรรคเพื่อไทยได้เดินทางไปแจ้งความว่าตนไม่เคารพสถาบันซึ่งตนก็พร้อมจะชี้แจง ซึ่งหลังจากแถลงข่าวเสร็จ ส.ส.ฐนโรจน์ ได้ขอโทษประชาชนและทำความเคารพต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์

 

‘พร้อมพงศ์’ ฟ้อง ม.112 ‘เทพไท’ บอก ส.ส.ไม่มีเจตนา รู้เท่าไม่ถึงการณ์

ขณะเดียวกัน เวลา 10.30 น. วานนี้ (8 พ.ค.) ที่กองปราบปราม นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยและนายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายเดินทางมาร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับนายฐนโรจน์ โรจนกุลเสฏฐ์ ส.ส. จ.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ทางพรรคได้รับทราบและไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยตนได้เชิญมาสอบถามเป็นการส่วนตัว ซึ่งนายฐนโรจน์ ได้ยอมรับว่าอยู่ในเหตุการณ์จริง แต่ไม่มีเจตนา เพราะเป็นการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ดังนั้นการที่แกนนำคนเสื้อแดงระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ละเลยเรื่องนี้ ยืนยันว่า พรรคไม่ได้ละเลย และจากข้อบังคับพรรค จะต้องมีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป ส่วนที่แกนนำคนเสื้อแดงจะไปแจ้งความนั้นถือเป็นสิทธิ์ที่ทำได้ โดยทางพรรคจะไม่ปกป้อง หรือช่วยเหลือ แต่จะให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เสื้อหลากสีเรียกร้องให้อภิสิทธิ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง

Posted: 08 May 2010 08:15 AM PDT

เสื้อหลากสีชุมนุมวงเวียนใหญ่ 'หมอตุลย์' บอกตำรวจถูกยิงแสดงว่าเสื้อแดงไม่ต้องการปรองดอง ให้อภิสิทธิ์รีบสลายการชุมนุม ตัดน้ำ ตัดอาหาร กันคนจากต่างจังหวัดเข้ามา ไม่ใช่ปล่อยให้เสื้อหลากสี-เสื้อเหลืองต้องออกแรงไล่เสื้อแดง ก่อนที่ผู้ชุมนุมหลากสีจะไล่จับแท็กซี่เสื้อแดงแย่งถอดผ้าพันคอแล้วมาจุดเผาไฟ ด้าน 'สุริยะใส' เย้ยรัฐบาลปรองไม่สำเร็จแน่หากไม่สามารถจัดการผู้ก่อการร้าย

<!--break-->

ภาพจากไทยรัฐออนไลน์ ที่กลุ่มเสื้อหลากสีที่วงเวียนใหญ่ นำผ้าพันคอที่แย่งมาได้จากคนเสื้อแดงนำมาจุดไฟเผา เมื่อ 8 พ.ค.

เืมื่อเย็นวันนี้ (8 พ.ค.) เครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน หรือกลุ่มคนเสื้อหลากสี นำโดย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ คณะกรรมการพลังแผ่นดิน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ประสานงานกลุ่มเสื้อหลากสี ชุมนุมกันบริเวณวงเวียนใหญ่ โดยมีการนำการ์ดตามถนนที่เข้าสู่วงเวียนใหญ่และภายในวงเวียนใหญ่อย่างแน่นหนา และมีการใช้กล้องส่องทางไกลด้วย

ตุลย์เรียกร้องสลายการชุมนุมเสื้อแดง
นพ.ตุลย์ กล่าวว่า เหตุการณ์ยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตเมื่อวานนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่า คนเสื้อแดงไม่ยอมรับแผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อเป็นเช่นนี้ นายอภิสิทธิ์ จะต้องรีบดำเนินการสลายการชุมนุมได้แล้ว โดยมาตรการเบื้องต้นคือการโอบล้อมเพื่อกดดัน ตัดน้ำ ตัดอาหาร และกันคนจากต่างจังหวัดไม่ให้เข้ากรุงเทพฯอีก หากเจ้าหน้าที่ตำรวจคนใด ลืมหน้าที่ของตัวเอง ยังปล่อยให้เสื้อแดงลอยนวลเหมือนเช่นทุกวันนี้ ก็ต้องพิจารณาย้ายเข้ากรุไปเสีย ไม่ใช่ต้องให้คนเสื้อหลากสี และเสื้อเหลืองออกมาไล่แบบนี้ แม้แต่แกนนำเสื้อแดง ที่มีหมายจับ ยังไปไหนมาไหนโดยสะดวกโยธิน ยิ่งตอนไปบุก รพ.จุฬา ฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจไหว้เขาปะหลกๆ แถมยังวิ่งหนีอย่างนี้สมควรปลด พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รก.ผบ.ตร.ได้แล้ว

เสื้อหลากสีมาน้อยลงเพราะผิดหวังกับอภิสิทธิ์
ส่วนที่ระยะหลังกลุ่มคนเสื้อหลากสี มาร่วมชุมนุมลดลง นพ.ตุลย์ กล่าวว่า ส่วนหนึ่งผิดหวังกับแผนปรองดองและการเตรียมยุบสภา ของนายกรัฐมนตรี จึงมาร่วมชุมนุมลดลง หลังจากนี้การชุมนุมจะมีอย่างต่อเนื่อง โดยจะวางจุดชุมนุมที่อนุสาวรียชัยฯ เป็นประจำ ส่วนการชุมนุมใหญ่จะไปที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ทั้งนี้หากกลุ่มคนเสื้อแดงยังลอยนวล ก่อนสิ้นเดือน มิ.ย.กลุ่มคนเสื้อหลากสี จะไปทวงถามคำตอบจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

วิ่งไล่จับแท็กซี่เสื้อแดงแย่งผ้าพันคอสีแดงมาเผา
อย่างไรก็ ตามภายหลังกลุ่มคนเสื้อหลากสี สลายการชุมนุมในเวลา 18.00 น.ได้มีคนขับรถแท็กซี่ฝั่งตรงข้ามวงเวียนใหญ่ ด้านถนนเพชรเกษมรายหนึ่ง ยืนตะโกนด่าทอไม่พอใจการชุมนุมของคนเสื้อหลากสี พร้อมชูผ้าพันคอสีแดงท้าทายกับกลุ่มการ์ดของคนเสื้อหลากสี ระหว่างนั้นประชาชนที่มาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อหลากสีได้วิ่งเข้าไปไล่จับและต่อว่าคนขับแท็กซี่รายดังกล่าว พร้อมดึงผ้าพันคอสีแดงจากคนขับแท็กซี่ก่อนวิ่งข้ามฝั่งกลับมาภายในวงเวียนอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินฯ จากนั้นได้จุดไฟเผา ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณนั้น รีบเข้ามามาระงับเหตุ และไล่ทั้งสองฝ่ายให้แยกย้ายกลับบ้าน

 

สุริยะใสชี้รัฐบาลปรองไม่สำเร็จแน่หากไม่สามารถจัดการผู้ก่อการร้าย
ขณะเดียวกัน ASTVผู้จัดการออนไลน์ รายงานคำพูด นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ (กมม.) ที่ระบุว่าเหตุยิงที่บริเวณใกล้สวนลุมพินีเมื่อคืนวานนี้ เป็นการส่งสัญญาณให้สังคมและรัฐบาลหูตาสว่างว่าแผนปรองดองจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน หากรัฐบาลยังไม่สามารถจัดการกับกลุ่มก่อการร้ายที่ผสมโรงกับการชุมนุมครั้งนี้มาตั้งแต่ต้น

นายสุริยะใส กล่าวว่า กลุ่มก่อการร้ายมีจุดมุ่งหมายชัดเจนในการติดอาวุธต่อสู้กับอำนาจรัฐและใช้ ประชาชนเป็นโล่ห์กำบังจนตกเป็นเหยื่อบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก รัฐบาลก็ทราบดี แกนนำ นปช.ก็รับรู้เรื่องดีมาตลอด แต่ทั้ง 2 ฝ่ายยังไปเจรจาเพื่อทำแผนปรองดอง ซึ่งถือเป็นการเสแสร้งปิดตาข้างเดียวไม่ได้จัดการกับขบวนก่อการร้ายก่อน อย่างจริงจัง เพียงเพื่อบรรลุผลประโยชน์เฉพาะหน้าของแกนนำ นปช.กับรัฐบาลเท่านั้น ปล่อยให้ประชาชนและสังคมไทยไปแบกรับภาระและเผชิญชะตากรรมกับความรุนแรงเอาเอง


คาดเจ้าหน้าที่ตกเป็นเหยื่อผู้ก่อการร้ายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีรัฐไทยใหม่

"ผมขอประณามผู้ก่อความรุนแรงและขอแสดงความเสียใจกับญาติของเจ้า หน้าที่ที่ต้องมาเสียชีวิตและบาดเจ็บจากครั้งนี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่เหล่านี้ต้องตกเป็นเหยื่อให้กับกลุ่มก่อการร้ายที่แฝงตัว อยู่ในที่ชุมนุมไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ก็จะตกเป็นเหยื่อของขบวนการรัฐไทยใหม่จน กว่าขบวนการเหล่านี้จะยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ"

นายสุริยะใส กล่าวว่าอยากเตือนรัฐบาลว่าถ้ายังเดินหน้าแผนปรองดรองโดยละเลยที่จะจัดการ กับกลุ่มการร้ายและอำนาจเถื่อนเหล่านี้ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจนมีผู้คนบาดเจ็บและล้มตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความตายของผู้คนในประเทศนี้ก็เป็นราคาที่เราต้องต้องจ่ายให้กับแผนปรองดอง ระหว่างรัฐบาลกับแกนนำ นปช. เป็นรายจ่ายที่ประเมินค่าไม่ได้เพราะมันคือชีวิตของผู้คน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กวีประชาไท:แดงคือสีแห่งประชาธิปไตย

Posted: 08 May 2010 07:42 AM PDT

<!--break-->

แดงคือสีแห่งเสรีภาพ           
นกกระจาบ นกกระจอก ออกเคลื่อนไหว
นกกระจิบ โพกผ้าแดง อย่างมั่นใจ
ถึงเวลา รื้อไล่ เผด็จการ
 
แดงคือสีแห่งความเสมอภาค
คนจนยาก กู่ก้อง ร้องขับขาน
เสียงของกู ถูกมึงกด มาช้านาน
ไม่จ้างวาน กูก็สู้ และสู้ตาย
 
แดงคือสีแห่งภราดรภาพ
เป็นเหมือนญาติ เป็นเหมือนเพื่อน เหมือนสหาย
ตีนหนึ่งตบ ตีนหนึ่งตอบ ยิ้มทักทาย
รอยยิ้มพราย ทั่วพ้อง ทั้งแผ่นดิน
 
แดงคือสีแห่งประชาธิปไตย
เด่นชัดไกล แม้ยามมืด ยุคทมิฬ
คนคือคนเท่ากัน คือความจริง
และความจริง คือความจริง ยิ่งยืนนาน.

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นิธิ เอียวศรีวงศ์:ยุบสภา-ทางเลือกที่ต้องเลือก

Posted: 08 May 2010 07:17 AM PDT

<!--break-->

กรอ.ประชุมกันแล้วหาเหตุผลที่จะไม่ควรยุบสภาออกมาได้ว่า เพราะยังไม่มีความขัดแย้งระหว่างสภาและฝ่ายบริหาร จึงไม่มีเหตุจะยุบสภาได้

แต่ใครบอกเล่าว่า เงื่อนไขให้ยุบสภามีได้เพียงอย่างเดียว ยุบเพื่อทำให้ฝ่ายบริหารมีเสียงเพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งครั้งใหม่ เพราะอยู่ในช่วงที่ฝ่ายบริหารกำลังได้รับความนิยม เขาก็ทำกันเป็นปกติในทุกประเทศที่ปกครองด้วยระบบรัฐสภา ยุบเพราะจะเสนอกฎหมายใหม่ที่ต้องการเสียงสนับสนุนแข็งจริง ทั้งๆ ที่เสียงฝ่ายบริหารยังเกินครึ่งในสภาก็ทำกันอยู่เสมอ ยุบเพราะรัฐบาลถูกโจมตีมาก เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจ ก็เป็นการแก้ปัญหาทางการเมืองซึ่งที่ไหนๆ เขาก็ทำกัน

เพราะการยุบสภาเป็นกลไกทางการเมืองที่สำคัญ เอาไว้แก้ปัญหาทางการเมืองเฉพาะหน้า ที่ไหนๆ รวมทั้งเมืองไทยจึงให้อำนาจเด็ดขาดไว้ที่นายกรัฐมนตรี เพราะถึงอย่างไรก็เป็นอำนาจที่จำกัด กล่าวคือยุบแล้วก็ต้องกลับไปหาประชาชนใหม่ จึงไม่มีใครเขาทำประชามติเพื่อยุบสภา หากชอบที่จะปกครองกันด้วยประชาธิปไตยทางตรงอย่างนั้น ทำประชามติกันด้วยเรื่องแผนพลังงานไม่ดีกว่าหรือ

อีกบางฝ่ายออกมาคัดค้านการยุบสภาว่า ถึงยุบไปก็แก้ปัญหาไม่ได้ แต่ไม่ชัดว่าปัญหาที่ว่านั้นคืออะไร แต่ดังที่กล่าวแล้วว่าการยุบสภาเป็นกลไกการเมืองสำหรับแก้ปัญหาการเมือง ไม่ได้แก้ปัญหาได้ทั่วไป การที่มีคนจำนวนมากออกมายึดถนน และยังมีผู้สนับสนุนไปทั่วประเทศจนกระทั่งกลไกรัฐทำงานไม่ได้ คือปัญหาการเมืองเฉพาะหน้าที่ต้องแก้ก่อนอื่น

อย่างไรก็ตาม หากนิยามปัญหาที่ว่าแก้ไม่ได้ว่าคือสิ่งที่การชุมนุมเรียกร้อง ได้แก่ความไม่เท่าเทียม, สองมาตรฐาน, และความไม่สมานฉันท์ ถ้าอย่างนั้น ยิ่งไม่ยุบสภาก็ยิ่งแก้ไม่ได้ เพราะเวลาปีกว่าภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์ ยิ่งตอกย้ำความไม่เท่าเทียม, สองมาตรฐาน และความแตกร้าวมากขึ้นไปอีก แม้ขณะนี้ก็กำลังคิดกันถึงการชดเชยช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผล กระทบจากการชุมนุม โดยไม่ได้แยกระหว่างผู้ประกอบการขนาดใหญ่และเล็ก มันจะเป็นตลกร้ายสักเพียงใด ที่วันหนึ่งเราจะต้องควักกระเป๋าไปอุดหนุนธนาคารกรุงเทพ, บริษัทซีพี และ ฯลฯ ในขณะที่ชาวนาและกรรมกรต้องแบกรับความเสี่ยงในความผันผวนทางเศรษฐกิจไปตามลำพัง

ส่วนปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำนั้น นายกฯพูดเองว่าเริ่มคลี่คลายลงแล้ว เพราะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในเอเชียเริ่มฟื้นตัว ผลกระทบของความตกต่ำทางเศรษฐกิจโลกที่กระทบถึงไทยนั้น มาจากการที่เศรษฐกิจไทยผูกอยู่กับเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นแฟ้น แต่หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้ทำให้ความผูกพันนั้นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะบรรเทาผล กระทบแต่อย่างไร เช่นสร้างฐานการผลิตบางส่วนของไทยให้เข้าถึงตลาดโลกส่วนที่ได้รับผลกระทบ น้อย หรือเพิ่มผลิตภาพเพื่อแข่งขันได้ดีขึ้น เป็นต้น ประเทศไทยเคยอ่อนแอทางเศรษฐกิจอย่างไร ก็ยังอ่อนแออยู่เหมือนเดิม

ยิ่งประหลาดมากขึ้นที่กลุ่มคนซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทน ของ "ภาคประชาชน" ยกปัญหาเรื้อรังขึ้นมาว่า ปัญหาเหล่านี้ควรถูกนำมาถกกันในการตัดสินใจว่าจะยุบสภาหรือไม่

ปัญหาเหล่านี้สรุปรวมแล้วก็คือการจัดสรรแบ่งปัน ทรัพยากรนั้นเอง และนี่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของสังคมไทยจริง แต่จะแก้ปัญหานี้ได้ไม่ใช่หวังพึ่งรัฐบาลใดๆ ทั้งสิ้น (ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือรัฐประหาร) รัฐบาลอภิสิทธิ์เองเพิ่งปล่อยให้ กฟผ.ลงนามในสัญญากับบริษัทจีนและพม่า เพื่อสร้างเขื่อนฮัตจี ทำลายวิถีชีวิตของผู้คนอีกหลายพันในลุ่มน้ำสาละวินตอนกลาง (หากนับรวมถึงประชาชนในพม่าด้วยก็หลายหมื่น) แต่ถึงแม้เป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ก็คงปล่อยให้ กฟผ.ลงนามเหมือนกัน

นี่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เรามีการเมืองที่ชนชั้นนำครอบงำ ดังนั้นจึงจัดสรรแบ่งปันทรัพยากรโดยดึงเอามาบำเรอชนชั้นนำ และปล่อยปละละเลยประชาชนระดับล่างที่ได้เคยใช้ทรัพยากรนั้นมาอีกวิถีทาง หนึ่งไปตามยถากรรม

แต่เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไรได้ นอกจากเปิดพื้นที่ให้ประชาชนระดับล่างได้เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ นักวิชาการและเอ็นจีโอที่เสนอเรื่องนี้ก็เคยเข้าไปร่วมเคลื่อนไหวกับประชาชน เช่นให้ข้อมูลที่ทำให้เห็นผลกระทบกว้างไกลกว่าความเดือดร้อนเฉพาะหน้าของ ประชาชนในท้องถิ่น ช่วยเปิดพื้นที่สื่อให้เสียงคัดค้านการแย่งชิงทรัพยากรเช่นนี้ดังไปถึงคน ชั้นกลางในเมือง และเคยแม้แต่ร่วมเดินขบวนหรือสนับสนุนการประท้วงของชาวบ้านมาแล้ว

ทั้งหมดนี้คือ "กระบวนการประชาธิปไตย" ซึ่งเป็นเครื่องมืออันเดียวที่จะทำให้การจัดสรรแบ่งปันทรัพยากรในประเทศของ เรามีความเป็นธรรมมากขึ้น และคงจะมีโอกาสพัฒนาต่อไปจนพ้นจากท้องถนนไปสู่พื้นที่อื่นๆ มากขึ้น (รวมถึงสภาผู้แทนราษฎรด้วย) ท่านเหล่านั้นฝันไปหรืออย่างไร จึงคิดว่าปัญหาเรื้อรังระดับโครงสร้างเช่นนี้ อาจแก้ได้ด้วยการเจรจาทุบโต๊ะเปรี้ยงเดียว แล้วทุกอย่างเข้าที่หมด

นอกจากนี้ มันแก้ปัญหาวิกฤตทางการเมืองเฉพาะหน้าได้อย่างไร

ควรเตือนไว้ด้วยว่า วิกฤตทางการเมืองที่เราเผชิญอยู่เวลานี้หนักหนาสาหัสมาก เพราะรัฐบาลไม่เหลือทางเลือกอะไรอีกแล้ว นอกจากสลายการชุมนุมด้วยวิธีรุนแรง ซึ่งจะทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายอย่างขนานใหญ่กว่าที่ประเทศไทยเคยเผชิญมา (แม้ใน 6 ตุลา และพฤษภาทมิฬ) ซ้ำถึงสลายได้ เรื่องก็ไม่ยุติ เพราะจะเกิดการต่อต้านรัฐในรูปแบบต่างๆ ไปทั่วประเทศ รวมทั้งการก่อวินาศกรรมด้วย

ชนชั้นนำอาจเลือกที่จะไม่เก็บอภิสิทธิ์เอาไว้ โดยยึดอำนาจด้วยกองทัพไปเสียเลย แต่นั่นยิ่งจะนองเลือดมากขึ้น และประเทศไทยจะโงหัวไม่ขึ้นไปอีกหลายปี

ทั้งหมดนี้ แลกกับการยุบสภาทันที อย่างไหนจะเป็นทางออกจากวิกฤตเฉพาะหน้าได้สงบสันติกว่ากัน

แม้กระนั้นก็ยังมีบางคนคัดค้านว่า ถึงยอมยุบสภา หลังการเลือกตั้ง หากได้รัฐบาลที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ชอบ ก็อาจออกมาประท้วงปิดถนนอีก จึงไม่ใช่ทางที่จะแก้ปัญหาได้จริง

ข้อคัดค้านนี้มีความเป็นไปได้ แต่ต้องเข้าใจการประท้วงให้ดี

หัวใจสำคัญของการประท้วงไม่ได้อยู่ที่ยึดถนนหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าได้รับการสนับสนุนจากผู้คนในสังคมกว้างขวางเพียงไร หากได้รับกว้างขวางหนักแน่น กฎหมายอะไรๆ ก็ไม่อาจเอาไว้อยู่ (เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของกฎไม่ได้อยู่ที่กลไกรัฐเท่ากับความเห็นชอบของ ประชาชน) ไม่ว่า พ.ร.บ.ความมั่นคง, สถานการณ์ฉุกเฉิน หรือแม้แต่กฎอัยการศึก ฉะนั้น หากอีกฝ่ายหนึ่งมีข้อเรียกร้องที่สังคมโดยรวมเห็นด้วย รัฐบาลใหม่ก็ต้องทำตาม เช่น ขอให้ยุบสภา ก็ต้องยุบสภา แต่หากขอให้ขอพระราชทานนายกฯ สังคมโดยรวมอาจไม่เอาด้วย ถึงตอนนั้นรัฐย่อมสามารถใช้กลไกของรัฐรักษากฎหมายได้

ข้อนี้น่าจะเป็นเครื่องเตือนสติให้ผู้จัดตั้งรัฐบาล ต้องคำนึงถึงการยอมรับของสังคมมากขึ้น ไม่ใช่นำเอาคนอันเป็นที่รังเกียจของคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ มาเป็นนายกฯ หรือคิดว่าตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร จึงยอมเอายี้มาเต็ม ครม. เพราะจากนี้ไป การกระทำเช่นนั้นจะเป็นผลให้รัฐบาลนั้นไม่สามารถบริหารงานได้เลย

ในระบบการเมืองที่การประท้วงไม่มีพื้นที่อื่นซึ่ง ได้ผลมากไปกว่าท้องถนน จะให้สังคมเข้ามากำกับรัฐได้อย่างไร สิ่งที่น่าคิดก็คือเราจะสร้างพื้นที่ให้สังคมมีพลังในการควบคุมรัฐนอกท้อง ถนนได้อย่างไรต่างหาก แต่การที่สังคมสามารถกำกับควบคุมรัฐได้มากขึ้นนั้น เป็นความก้าวหน้าของสังคมไทยไม่ใช่หรือ

บางคนอาจตั้งคำถามเชิงค้านว่า ถ้าอย่างนั้น เรามิต้องปกครองกันด้วย "ม็อบ" หรอกหรือ ใช่เลยที่เราต้องตกอยู่ในภาวะอย่างนั้น จนกว่าเราจะสามารถสร้างพื้นที่นอกถนนให้แก่สังคมได้ดังกล่าวข้างต้น พูดอย่างที่ผมเคยได้พูดมาหลายครั้งแล้วว่า เราต้องปรับระบบการเมืองของเราให้รองรับความเปลี่ยนแปลงของสังคมให้ได้ นั่นคือมีคนจำนวนมากที่จำเป็นต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการเมืองระดับชาติ ถ้าเราไม่มีพื้นที่ให้เขาในระบบ เขาก็ต้องใช้พื้นที่นอกระบบ ฉะนั้น หากไม่ปรับระบบการเมืองให้ทัน ก็บอกได้เลยว่า เราจะเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมืองจนกลายเป็นจลาจลเช่นนี้ต่อไปอีกนาน

ทำไมการยุบสภาซึ่งเป็นการกระทำง่ายๆ และเป็นกลไกปกติทางการเมืองเช่นนี้ จึงทำได้ยากเย็นหนักหนาแก่นายกฯ อภิสิทธิ์

โดยสรุปแล้ว อภิสิทธิ์เป็นทางออกเพียงอันเดียวของเครือข่ายอำนาจที่สลับซับซ้อนของสังคม ไทย หากไม่นับการรัฐประหารอย่างออกหน้า อันนับวันก็เป็นเครื่องมือที่ไม่คุ้มทุนมากขึ้น เพราะก่อให้เกิดการสึกหรอของสถาบันแห่งอำนาจมากเกินไป (เช่น กองทัพ, ตุลาการ ฯลฯ) แต่หนึ่งปีกว่าผ่านไป ก็ยังไม่มีทางเลือกอื่นให้ออกมากไปกว่าอภิสิทธิ์ ฉะนั้น การยุบสภาจึงหมายถึงการทิ้งไพ่จนเกือบหมดหน้าตัก เหลือไพ่ที่ใช้การไม่ดีอีกสองใบเท่านั้นคือ

1) สลายการชุมนุมอย่างเด็ดขาดรุนแรง แต่ก็รู้อยู่แล้วว่า จะทำให้ปัญหายิ่งขยายตัวและจัดการยากขึ้น

2) รัฐประหาร พร้อมทั้งให้อำนาจที่ไม่มีการตรวจสอบไว้ในมือของฝ่ายชนชั้นนำเต็มที่ ระบบอำนาจนิยมนี้จะสามารถสยบการต่อต้านอย่างรุนแรงได้ ก็โดยวิธีเดียวคือ เป็นผู้นำการปฏิรูปประเทศในทุกด้าน ซึ่งจะมีผลลิดรอนผลประโยชน์และอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำเอง แม้อาจมีนักอุดมคติในฝ่ายชนชั้นนำที่คิดจะทำเช่นนี้ ก็ยังมีปัญหาว่าจะรักษาเอกภาพของชนชั้นนำไว้ได้อย่างไร มิฉะนั้นแล้ว นักอุดมคตินั้นก็จะถูกชนชั้นนำอีกกลุ่มหนึ่ง หรือหลายกลุ่มร่วมมือกันโค่นล้มลงจนได้

ยุบสภาจึงเป็นทางออกเดียวที่เป็นไปได้มากที่สุด ทั้งแก่ชนชั้นนำเองและแก่สังคมไทยโดยรวม

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น