โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

"เพื่อไทย" เปิดคลิปโต้ ไม่เชื่อ "สรรเสริญ" ทหารแต่งพลเรือนส่งเสบียง

Posted: 08 Jun 2010 02:16 PM PDT

"น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ" เปิดคลิปโต้ "พ.อ.สรรเสริญ" ชี้ทหารแต่งพลเรือนมาส่งข้าวเป็นเรื่องอันตรายจะทำให้ทหารด้วยกันเข้าใจผิด และไม่มีทหารกินข้าวในแนวหน้า

<!--break-->

ภาพนิ่งและคลิปเมื่อ 19 พ.ค. 53 เป็นภาพชายสวมชุดพลเรือนถือปืน M-16 อยู่ในแนวเดียวกับทหาร ซึ่งสื่อมวลชนหลายแขนงได้นำเสนอ และพรรคเพื่อไทยนำไปแถลงข่าวนั้น ล่าสุด (7 มิ.ย. 53) พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ในฐานะโฆษก ศอฉ. ชี้แจงว่าเป็นทหารสวมชุดพลเรือนมาส่งเสบียงให้ทหารแนวหน้า ที่ต้องสวมชุดพลเรือนเพื่อให้กลมกลืนกับบุคคลทั่วไป

 

คลิปจากช่อง 9 อสมท. และภาพนิ่งจากคลิปดังกล่าว ซึ่งหลายสำนักนำเสนอไปแล้ว ล่าสุดเมื่อ 8 มิ.ย. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.พรรคเพื่อไทย นำคลิปดังกล่าวมาเปิดประกอบการแถลงข่าวเพื่อโต้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ.

 

เพื่อไทยไม่เชื่อสรรเสริญเรื่องทหารนอกเครื่องแบบส่งข้าว เปิดอีกคลิปโต้

วานนี้ (8 มิ.ย. 53) เว็บไซต์มติชนออนไลน์ รายงานว่า น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส. กทม. พรรคเพื่อไทย ในฐานะเลขาธิการศูนย์ติดตามช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยประชาชน (ศชปป.) แถลงพร้อมเปิดคลิปชี้แจงตอบโต้ ศอฉ.ว่า หลังจากพรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ดำเนินการตรวจสอบชายแต่งชุดพลเรือนถือปืน M 16 วิ่งเข้ามาในกลุ่มทหารในวันที่ 19 พฤษภาคม ที่บริเวณปากซอยงามดูพลี ถนนพระราม 4 โดยไม่มีการจับกุมนั้น ตกลงแล้วเป็นกลุ่มคนนิรนาม หรือไอ้โม่ง หรือทหาร และทาง ศอฉ.ได้ออกมาแถลงเกี่ยวกับกรณีนี้ว่า บุคคลดังกล่าวเป็นทหารจริง แต่เป็นทหารชุดส่งข้าวกล่องในพื้นทีส่วนปืน M 16 เป็นของทหารที่ถูกยิงและเก็บมาได้ ส่วนคลิปที่ทหารระดมยิงนั้น เป็นการยิงคุ้มครองการถอนกำลังและกล่าวย้ำว่า ทหารมีความจำเป็นต้องใส่ชุดพลเรือน เพราะต้องนำอาหารไปส่งยังจุดต่าง ๆ หน้าแนวทหารที่วางกำลังถือว่าอันตรายจึงต้องทำตัวให้กลมกลืนกับบุคคลทั่วไป"

น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า ในวันนี้ทางพรรคเพื่อไทยได้แสดงคลิปวีดีโออีก 1 คลิป ที่แสดงว่าพลเรือนคนนี้ คือทหารส่งข้าวกล่องจริงหรือไม่ โดยเป็นคลิปที่มีการนำออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย เชื่อว่า คำกล่าวอ้างของ ศอฉ.ไม่เป็นเรื่องจริง และปืนที่ทหารนอกเครื่องแบบถือนั้นก็พิสูจน์ไม่ได้ว่า เป็นปืนของตัวเองหรือของทหารที่ถูกยิง เพราะประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะมีสาระในการหาความจริงแต่อย่างใด และก็เป็นเพียงการแก้ตัวเท่านั้น

 

"อนุดิษฐ์" ชี้แต่งพลเรือนมาส่งข้าวน่าจะอันตราย และไม่มีทหารกินข้าวในแนวหน้า

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวต่อว่า การที่ ศอ ฉ.บอกว่าจำเป็นที่จะต้องแต่งกายนอกเครื่องแบบนั้น ตนคิดว่าการแต่งกายพลเรือนไปส่งข้าวนั้น น่าจะอันตรายมากกว่า เพราะอาจจะทำให้ทหารในแนวเขตด้านในเข้าใจผิดได้ และเป็นการพูดแก้ตัวเท่านั้นเพราะยุทธวิธีทางการทหารนั้นคงไม่มีทหารคนไหนไปนั่งกินข้าวในแนวหน้าในเวลาปฏิบัติการตามที่ ศอฉ.กล่าวอ้าง พรรคเพื่อไทย จึงขอเรียกร้องให้ ศอฉ.ยอมรับความจริงในการปฏิบัติการวันที่ 19 พฤษภาคม ที่มีการใช้ชุดนอกเครื่องแบบในการขอคืนพื้นที่ซึ่งอาจเป็นบุคคลนิรนาม ตามที่รัฐบาลพยายามกล่าวอ้าง

ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวเสริมว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยรายชื่อบุคคลที่ถูกจับกุมตัว เพื่อให้ญาติสามารถติดตามได้ เพราะประเทศไทยมีระบอบการปกครองด้วยประชาธิปไตย ไม่ใช่เผด็จการ อย่างที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ และขอให้หยุดปลุกระดมให้ประชาชนแตกแยกกัน โดยใช้สื่อที่มีอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุหรือโทรทัศน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

บทบรรณาธิการ PUB-LAW.net ครั้งที่ 240 "สามัคคีเภท"

Posted: 08 Jun 2010 09:59 AM PDT

<!--break-->

ก่อนอื่นก็คงต้องแจ้งให้บรรดาผู้ใช้บริการของ www.pub-law.net ทราบไว้ก่อนเบื้องต้นว่า สืบเนื่องมาจากการที่บทบรรณาธิการและบทความบางบทความที่ได้นำเสนอไปใน www.pub-law.net ถูกคัดลอกและตัดตอนไปใช้อ้างอิงภายนอก website ของเราเป็นจำนวนมาก โดยผู้นำไปอ้างอิงมิได้คำนึงถึงลักษณะทางวิชาการของบทบรรณาธิการและบทความ จึงสร้างความ “กังวลใจ” ให้กับผู้คนและองค์กรบางแห่งเป็นอย่างมาก ดังนั้น เมื่อวันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมา หลังจากบทบรรณาธิการเรื่อง “สงสารประเทศไทย” ได้รับการเผยแพร่ไปไม่กี่ชั่วโมง “อุบัติเหตุทางวิชาการ” จึงเกิดขึ้นกับ www.pub-law.net เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปีที่เราได้เปิดให้บริการ ส่งผลทำให้เกิดอาการ “จอขาว” ข้อมูลต่างๆ หายไปหมดจากระบบ website ครับ

ผมขอขอบคุณทุกคนที่ห่วงใย ไต่ถามและให้กำลังใจ ขณะนี้เรากำลังพยายามรีบเร่งที่จะทำให้ฐานข้อมูลต่าง ๆ ของ www.pub-law.net ที่เราเก็บเอาไว้ กลับเข้าสู่ระบบเช่นเดิม และเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้เหมือนเดิม แต่ผู้ที่เข้ามาช่วยดำเนินการแก้ไขปัญหาก็ได้ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่าคงใช้เวลาประมาณ 1 เดือนดังนั้น ในชั้นนี้เราจึงทำได้แต่เพียงนำเสนอบทบรรณาธิการเพียงหน้าเดียว ก็ต้องขอโทษผู้ใช้บริการทุกคนไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

มีผู้ห่วงใยหลายคนแนะนำว่า น่าจะหยุดเผยแพร่และหยุดเขียนข้อเขียนที่เกี่ยวข้องกับ “การเมือง” เพราะเกรงว่าผมและทีมงานจะเดือนร้อนและ website อาจเกิดอาการ “จอขาว” ขึ้นมาอีก ก็ต้องขอขอบคุณต่อความปรารถนาดีที่ว่านี้ แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมายมหาชนกับการเมืองการปกครองคงแยกออกจากกันไม่ได้ ตราบใดก็ตามที่เรายังทำ www.pub-law.net ซึ่งเป็น website ที่เกี่ยวกับกฎหมายมหาชน เราก็ยังคงต้องนำเสนอความคิดเห็นทางวิชาการด้านกฎหมายมหาชนที่เกี่ยวข้องกับ เหตุการณ์บ้านเมืองต่อไปครับ ซึ่งผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ก็คงทราบกันดีอยู่แล้วว่า บรรดาความคิดเห็นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นของผมหรือของนักวิชาการเจ้าของบทความที่ปรากฏอยู่ใน www.pub-law.net นั้น ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นทางวิชาการเพราะ website แห่งนี้เป็น website ทางวิชาการและไม่ได้มีวัตถุประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายทางการเมืองที่จะช่วยเอื้อประโยชน์หรือ ทำลายพรรค กลุ่มหรือสีใด ๆ ทั้งนั้น การที่มีผู้ “เบี่ยงเบน” นำความคิดเห็นทางวิชาการบางส่วนไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถห้ามได้และก็ได้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้อง “เดือดร้อน” อยู่จนทุกวันนี้ครับ

ภายในเวลาไม่เกิน 1 เดือน เราน่าจะกลับมาอยู่ ในสภาพที่เหมือนเดิมครับ!!! แต่ระหว่างนี้ เราก็ยังจะคงให้บริการอย่าง “ไม่เต็มรูปแบบ” ไปเรื่อย ๆ มีข้อแนะนำอย่างไรก็แจ้งเข้ามาได้ที่ webmaster นะครับ

กลับมาสู่เหตุการณ์บ้านเมืองของเรากันดีกว่า หลังวันที่ 19 พฤษภาคม แม้ความ “สงบ” จะกลับมาสู่สังคมของ “คนกรุงเทพฯ” แต่ความสงบดังกล่าวก็เป็นความสงบแต่ “เปลือก นอก” เพราะในใจของคนหลาย ๆ คนยัง “คุกรุ่น” ไปด้วยความโกรธ ความเคียดแค้น ความอาฆาต ความไม่พอใจ ไม่ต้องดูอื่นไกลหรอกครับ แค่ดูโทรทัศน์บางช่อง อ่านหนังสือพิมพ์บางฉบับ ฟังวิทยุบางรายการ ฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 1 – 2 มิถุนายน ที่ผ่านมา ฟังการให้สัมภาษณ์ของนักการเมืองบางคน เราก็สามารถรับรู้ได้อย่างเต็มอกเลยว่าข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นมานั้น “ยัง ไม่จบ” ครับ!!!

หลังวันที่ 19 พฤษภาคม กรุงเทพมหานครก็ได้กลับเข้าสู่สภาพเดิมอีกครั้ง มีการดำเนินการหลาย ๆ อย่างเพื่อทำให้กรุงเทพมหานครและคนกรุงเทพฯ “ลืม” สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่การ “ร่วมมือ ร่วมใจ” กันทำความสะอาดพื้นถนนของกรุงเทพมหานครที่เปรอะเปื้อนไป ด้วย “สิ่งสกปรก” ให้ “สะอาด” พอสำหรับคนกรุงเทพฯ เมื่อถนนสะอาดแล้ว นักร้องก็มา “ร่วมมือร่วมใจ” กันร้องเพลงให้คนกรุงเทพฯ หายจากความโศกเศร้าที่ต้องลำบาก เดือดร้อน และสูญเสียหลาย ๆ อย่างไปในระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง รัฐบาลเองก็พยายามออกมาตรการต่าง ๆ มารองรับให้ความช่วยเหลือคนกรุงเทพฯ ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม เมื่อวันที่ 28 – 29 พฤษภาคม และวันที่ 5-6 มิถุนายนที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครก็ “ปิดถนน” เสียเอง แต่ครั้งนี้ไม่ได้ปิดเพื่อประท้วงหรือเรียกร้องประชาธิปไตยใด ๆ ทั้งนั้น แต่เป็นการปิดถนนเพื่อให้คนกรุงเทพฯ ได้ “ซื้อ – ขาย” สินค้ากันอย่างเสรี ต่อมาเมื่อถึงวันเปิดเทอม ชีวิตลูกหลานของคนกรุงเทพฯ ก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ สามารถไปเรียนกวดวิชาที่สยามสแควร์ได้ สามารถไปจับจ่ายใช้สอยและเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าโปรดของตัวเองได้ เอาเป็นว่าเพียงระยะเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาหลังการยุติการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง วิถีชีวิตของคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ก็กลับมาสู่สภาพเดิม

ผมมีความรู้สึกว่า คนกรุงเทพฯ นี้ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน หลายฝ่าย หลายองค์กรต่างก็ “มะรุมมะตุ้มรุมช่วย” คนกรุงเทพฯ กันอย่างมาก รัฐบาลเองก็มีมาตรการต่าง ๆ ออกมาช่วยเหลือคนกรุงเทพฯ มากมาย ในรูปของการให้เงินช่วยเหลือ หาที่ทำมาหากินและฟื้นฟูจิตใจ พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้คนกรุงเทพฯ กลับมามีความสุขหลังจากมีความทุกข์มาหลายเดือนครับ

ลองมองผ่านคนกรุงเทพฯ ไปยังกลุ่มคนเสื้อแดงกันบ้าง หลังวันที่ 19 พฤษภาคม ไม่มีข่าวคราวของกลุ่มคนเสื้อแดงให้เราได้รับ รู้มากนัก เท่าที่ทราบ บรรดาแกนนำจำนวนหนึ่งยังถูกควบคุมตัวอยู่ ในค่ายทหารด้วยข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” ส่วนแกนนำอีกจำนวนหนึ่งก็ยังคงหลบหนีอยู่ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้ชุมนุมนั้น เราไม่อาจทราบได้เลยว่าไปอยู่ที่ไหนกันบ้าง กลับ ภูมิลำเนาไปหรือยัง รู้สึกอย่างไรบ้างกับสิ่งที่ตนเอง เรียกร้องแล้วไม่สำเร็จ รู้สึกอย่างไรบ้างกับการที่ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของตนเองเสียชีวิตหรือบาด เจ็บจากการชุมนุม ขวัญเสียไหมกับการ “ขอคืนพื้นที่” และ การ “กระชับพื้นที่” ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เราไม่เคยได้รับทราบเลยครับ ก็น่าเห็นใจผู้ที่ไม่ ใช่ “คนกรุงเทพฯ” นะครับ

สภาพของสังคมไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมามีความผิดปกติอยู่มาก ผมได้เคยเขียนไปในบทบรรณาธิการครั้งก่อน ๆ แล้วว่า “สองมาตรฐาน” เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง มีอยู่ และคงดำรงอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุด แม้กระทั่งวิธีที่เราปฏิบัติต่อคนกรุงเทพฯ และคนต่างจังหวัดหลังเหตุการณ์ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมาก็เป็นข้อยืนยันที่ชัดเจนอีกครั้งหนึ่งถึงความเป็นสอง มาตรฐานในสังคมไทยของเราครับ เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ผมไม่ทราบว่าจะหันหน้าไปถามใครและใครจะเป็นผู้ตอบได้ว่า เกิดอะไรขึ้นในสังคมไทยเพราะแม้เราทุกคนจะทราบดีว่า การปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่เท่าเทียมกัน ย่อมนำมาสู่ความแตกแยกในสังคม แต่เราก็ยังทำกันอยู่ตลอด แล้วอย่างนี้ความปรองดองที่พูดกันนักพูดกันหนาในช่วงเวลา ที่ผ่านมา จะเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ

ในฐานะคนกรุงเทพฯ และพลเมืองไทย ผมรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเราเป็นอย่างมาก หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 สถานะของประเทศไทยตกต่ำลงเรื่อย ๆ ของคนกรุงเทพฯ กับคนชนบทถูกแยกออกห่างจากกันด้วย “รสนิยมทางการเมือง” ที่ ไม่เหมือนกัน ทำไมเวลาเราไม่ชอบ “คนหนึ่ง” แล้วคนอื่นจะต้องไม่ชอบ “คนนั้น” ไปด้วย เป็นสิ่งที่ผมถามตัวเองมาโดยตลอดเพราะในสภาพของสังคมไทยวันนี้ ยากที่จะอยู่โดยไม่ “เลือกข้าง” ครับ คนที่เป็นกลางก็จะถูกค่อนขอดและตำหนิอยู่บ่อยๆ จนทำให้หลาย ๆ คนต้องเลือกข้างไปโดยปริยาย บ้านเมืองเราจะอยู่แบบนั้นไปได้อย่างไรครับ หากเราต้องเลือกข้างกันอย่างชัดเจน ในวันข้างหน้าเรามิต้องแบ่ง ประเทศออกเป็นสองหรือสามส่วนหรือครับ นี่เป็นสิ่งที่ผมวิตกเป็นอย่างมาก จากที่สัมผัสกรุงเทพมหานครกับจังหวัดอื่นๆ เริ่มมี “อาการ” แบบนี้แล้วนะครับ ถ้าขืนปล่อยให้อยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไปอีก ไม่นานความวุ่นวายก็จะกลับมาเยือนอีกครั้งหนึ่งครับ

ทำอย่างไรจึงจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้? ในเบื้องต้นผมคิดเอาเองว่าคงต้องทำให้พลเมืองของประเทศไทยอยู่ใน สถานะที่เสมอภาคและเท่าเทียมกันในทางปฏิบัติก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจาก “ภาครัฐ” ต้องมีคำตอบที่ ชัดเจนและมีเหตุมีผล ในวันนี้หลาย ๆ อย่างไม่มีคำตอบ พอไม่มีคำตอบ คนส่วนหนึ่งก็พากันเข้าใจไปว่ารัฐไม่ได้ใช้มาตรฐานเดียวกันกับทุกคน คงต้องมีคำตอบที่ชัดเจนในหลาย ๆ เรื่องที่กล้าวอ้างกันมาทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ความรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นจากการขอคืนพื้นที่ในวันที่ 10 เมษายน และจากการกระชับพื้นที่ในวันที่ 19 พฤษภาคม การลอบสังหาร เสธ.แดง การปาระเบิดในสถานที่ต่างๆ ในช่วง 3–4 เดือนที่ผ่านมา การเผาอาคารสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ข้อกล่าวอ้างเรื่องชายชุดดำ เรื่องขบวนการล้มเจ้าตามผังของ ศอฉ. เรื่องอาวุธสงครามที่ค้นพบหลังการชุมนุมยุติ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ต้องมีคำตอบที่ชัดเจนก่อนและต้องมีการนำเอาตัวผู้กระทำ ผิดมาลงโทษให้ได้ มิฉะนั้น คนกรุงเทพฯ ก็จะเข้าใจว่านี่คือฝีมือ ของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งก็มาจากต่างจังหวัด ผลที่เกิดขึ้นก็จะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนกรุงเทพฯ กับคนต่างจังหวัดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็จะกลายเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไปครับ

การข่าวก็เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ทำ ให้เกิดอาการสองมาตรฐานในบ้านเราทุกวันนี้ ปัจจุบันคนจำนวนมากมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาในประเทศไทยเกิดจากอดีตนายก รัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จริงอยู่ที่ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากตัว คุณทักษิณฯ แต่ถ้าหากจะดูต่อไปให้ละเอียดก็จะพบว่าปัญหาที่เกิดจากการกระทำของคุณ ทักษิณฯ ก่อนที่จะพ้นจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปด้วยการรัฐ ประหารเป็นปัญหา “ดั้งเดิม” ที่เกิดขึ้นในระบบการเมืองการ ปกครองของไทยมาไม่ต่ำกว่า 40 ปี ไม่ว่าจะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีอย่างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หรือจอมพลถนอม กิตติขจร ก็ล้วนแล้วแต่ถูกยึดทรัพย์เนื่องมาจากการทุจริตมาแล้วทั้งนั้น ปัญหาเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นในบ้านเราจึงไม่ใช่เรื่องใหม่ หากพบว่าคุณทักษิณฯ ทุจริต การดำเนินการกับการกระทำความผิดของคุณทักษิณฯ ก็ควรทำโดยใช้ระบบกฎหมายที่มีอยู่เป็นหลัก มิใช่การรัฐประหารเพื่อยึดอำนาจแล้วก็ตามมาด้วยการดำเนินการต่าง ๆ อีกมากมายจนทำให้ในปัจจุบันปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเราไปไกลเกินกว่า การเอาผิดกับอดีตนายกรัฐมนตรีที่ทุจริตคอรัปชั่นไปแล้ว ข่าวต่างๆที่ออกมาในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาทำให้ผู้คนมองอดีตผู้นำของประเทศเป็น คนที่เลวร้ายที่สุดในโลก มีข้อกล่าวหา ข้ออ้างมากมายที่ร้ายแรงเสียเหลือเกิน อย่างน้อย 2 ข้อกล่าวหาร้ายแรงที่ได้ยินจากปากของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ก็คือการ “อยาก” เป็นประธานาธิบดีกับการเป็นผู้ก่อการร้าย ในบรรดาข้อกล่าวหาทั้งหลายนั้นมีสักกี่ข้อกันที่มีการพิสูจน์ทาง กฎหมายอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นไปตามข้อกล่าวหาหรือข้ออ้างนั้น ที่ พูดมานี้ผมไม่ได้เข้าข้างคุณทักษิณฯ แต่ผมคิดว่าถ้ายังเกิดการต้อนให้คุณทักษิณฯ เข้ามุม คุณทักษิณฯ ก็ จะต้องสู้มากขึ้นไปอีกเพื่อให้ตัวเองรอดหรือเพื่อให้ตัวเองชนะ พลเมืองที่ยังรักและศรัทธาคุณทักษิณฯ ก็จะยิ่งทุ่มเทใจเข้าข้างคุณทักษิณฯ มากขึ้นไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งประเทศไทยที่พลเมืองแตกแยกความสามัคคีกันอยู่แล้วดังที่เห็น ๆ กันอยู่ ก็จะเข้าสู่ความแตกแยกที่มากขึ้น ความรุนแรงก็คงตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหากรุนแรงมากกว่าที่ เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เราจะ “รับมือ” หรือ “แก้ ปัญหา” กันได้อย่างไร เราจะทำให้ประเทศไทยของเรา “รอด” จากความวิบัติที่เกิดขึ้นจาก “น้ำมือ” ของพวกเรากันเองได้อย่างไรครับ ในเมื่อนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทยได้กล่าวถึงเรื่อง “นิติรัฐ” และ ความเป็นนิติรัฐของประเทศไทยอยู่หลายครั้งในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะพิสูจน์ให้ชัดเจนไปเลยว่า ข้อกล่าวหาหรือข้ออ้างเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่ มีพยานหลักฐานอย่างไรมาสนับสนุน สำหรับคนที่ยังคลางแคลงใจหรือยังไม่อยากเลือกข้างก็จะได้มีความชัดเจนเสียที ครับ !!! ดังนั้น ในขณะนี้ ในฐานะคนกรุงเทพฯ คนหนึ่ง ผมจึงอยากขอ ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง “หยุดพูด” ในเรื่องที่จะสร้างบาดแผลหรือรอยร้าวให้กับสังคม และหันมาสร้างความเท่าเทียมกันในทุก ๆ ด้านให้กับพลเมืองไทย จะจับคุณทักษิณฯ จะกล่าวโทษคุณทักษิณฯ อย่างไรก็ทำไปตามระบบและควรจะเป็น “ปฏิ บัตการลับ” โดยไม่ต้องออกข่าวใหญ่โต จะสืบสวนเรื่อง 10 เมษายน เรื่อง 19 พฤษภาคม เรื่องการลอบฆ่าเสธ.แดง เรื่องการสังหารผู้คนที่วัดปทุมวนารามควรจะก็ต้องรีบๆ ทำให้เร็วที่สุด ได้ ผลออกมาเช่นไรค่อยให้ข่าวเป็นเรื่องเป็นราว สถานีโทรทัศน์และสื่อต่าง ๆ ทั้งของรัฐและที่เข้า ข้างรัฐ น่าจะหยุดการเสนอข่าวโจมตีอีกฝ่ายหนึ่ง ในขณะเดียวกัน รัฐก็ต้อง “คืนพื้นที่” ด้านการข่าวให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงและกลุ่มอื่น ๆ ที่ถูก “ปิดปาก” ไปในช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วยครับ ลองทำดูสักพักหนึ่งแล้วจะเห็นว่าความปรองดองที่พูดกันมากเหลือเกินในวันนี้ กับความสงบสุขจะกลับมาสู่สังคมของเราได้ครับ ขอความกรุณาผู้มีอำนาจหยุดการกระทำที่มีลักษณะของการกวาดล้างแบบถอนรากถอนโคนดังเช่นที่เป็นอยู่ในวันนี้ เพราะยิ่งทำ คนก็จะยิ่งเป็นปฏิปักษ์กับรัฐมากขึ้นเพราะคนที่ถูกต้อนให้เข้าไปอยู่ในสถานะ เดียวกันย่อมต้องรวมตัวกันต่อสู้และหาทางช่วยเหลือกันครับ

ใครที่เคยอ่านเรื่อง “สามัคคีเภทคำฉันท์” คง ทราบดีถึงความสำคัญของคนที่ทำให้ผู้คนหวาดระแวงซึ่งนำมาสู่สามัคคี เภทหรือการแตกความสามัคคีในที่สุด ในทางกลับกัน ฉันใดก็ฉันนั้น ผลของการให้ข่าวที่ยังไม่มีการพิสูจน์โดยผลของกฎหมายอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโดยภาครัฐหรือโดยภาคเอกชนซึ่งเปรียบเสมือนเป็น “คนกลาง” ระหว่างพลเมืองแต่ละฝ่าย หากมีลักษณะยุยง ปลุกปั่น ให้พลเมืองเป็นศัตรูกัน ย่อมนำมาซึ่งการแตกสามัคคีของคนในชาติอันจะนำไปสู่ความวิบัติของชาติในที่สุดครับ

ท้ายที่สุด ในฐานะคนกรุงเทพฯ คนหนึ่ง ขอฝากความเห็นข้างต้นไว้ด้วย และขอให้คนกรุงเทพฯอย่าลืมที่จะนึกถึงคนต่างจังหวัดที่ต้องสูญเสียหลายๆ อย่างไปกับการชุมนุมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วย เขาเหล่านั้นต้องการทุกๆอย่างเช่นเดียวกับที่รัฐบาลทำให้กับคนกรุงเทพฯ เหมือนกันครับ ในช่วงนี้ เรายังไม่สามารถนำบทความต่าง ๆ มานำเสนอได้เนื่องจากกำลังอยู่ในระหว่างการแก้ไขปรับปรุงระบบ ก็ต้องขอโทษทั้งเจ้าของบทความและผู้ใช้บริการไว้ด้วยครับ เข้าใจว่าภายใน 3 เดือนนี้ เราก็จะกลับมาให้บริการได้เต็มรูปแบบเช่นเดิมครับ พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน 2553 ครับ

ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คนงานทำร้องเท้าร้องเรียน นายจ้างปิดกิจการไม่จ่ายชดเชย

Posted: 08 Jun 2010 09:29 AM PDT

คนงานบริษัทวงศ์ไพฑูรย์กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตรองเท้ากีฬายี่ห้อ เคสวิส รีบ็อกซ์ ส่งออกนอก ร้องเรียนกระทรวงแรงงานหลังนายจ้างปิดกิจการโดยไม่จ่ายค่าจ้าง

<!--break-->

สำนักข่าวไทย รายงานวันนี้ (8 มิ.ย.) ว่าคนงานบริษัท วงศ์ไพฑูรย์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจผลิตรองเท้ากีฬายี่ห้อ เคสวิส รีบ็อกซ์ ส่งออกต่างประเทศ โรงงานตั้งอยู่ย่านบางบอน จำนวนกว่า 500 คน เดินทางมาร้องเรียนที่กระทรวงแรงงาน ให้ช่วยเหลือหลังนายจ้างปิดกิจการโดยไม่จ่ายค่าจ้าง

นายสมชาย กาญจนวงศ์ ประธานสหภาพแรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าสัมพันธ์ กล่าวว่า ขณะนี้คนงานที่มีประมาณ 800 คน ส่วนใหญ่ทำงานมากว่า 10 ปีขึ้นไปแล้ว เดือดร้อนอย่างหนักตั้งแต่นายจ้างปิดกิจการวันที่ 20 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ไม่จ่ายเงินชดเชย และค้างจ่ายค่าจ้างตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา รวมเป็นเงินกว่า 80 ล้านบาท จากการติดต่อสอบถามนายจ้างก็ได้รับการปฏิเสธอ้างว่าขาดสภาพคล่องไม่มีเงินจ่าย และไม่มีความชัดเจนว่าลูกจ้างจะได้รับเงินที่ค้างดังกล่าวเมื่อใด

ก่อนหน้านี้คนงานเคยมาร้องเรียนที่กระทรวงฯ หลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ช่วงเดือน ม.ค. เมื่อมาร้องเรียนที่กระทรวงฯ ครั้งหนึ่งก็จะได้รับค่าจ้างครั้งหนึ่ง จึงอยากเรียกร้องให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเข้ามาช่วยเหลือดูแลในเรื่องเงินชดเชยที่ต้องได้รับตามกฎหมาย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เครือข่ายชุมชนฯ ชี้หากภาครัฐ-นักการเมืองไม่เปลี่ยนความคิด ต่อไปเจอหนักกว่าราชประสงค์

Posted: 07 Jun 2010 07:33 PM PDT

สัมมนาปฏิรูปประเทศไทยจ.อุบลฯ  ชาวบ้านฟันธงที่ผ่านมารวยกระจุกจนกระจาย นักการเมืองจับมือนายทุนล็อกคอภาครัฐเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เสนอศาลากลางหลังใหม่ต้องมี “สภาประชาชน” รัฐ-นักการเมืองทบทวนตัวเองใหม่ ขู่ไม่เปลี่ยนระเบิดเวลาลูกใหม่รออยู่

<!--break-->

สทท.11 อุบลราชธานี ร่วมกับสื่อสร้างสุขอุบลราชธานี และเครือข่ายภาคประชาสังคมอุบลราชธานี จัดการเสวนาปฏิรูปประเทศไทยในหัวข้อ “มองไปข้างหน้าเยียวยาเมืองอีสาน” ออกอากาศทาง สทท.11 อุบลราชธานี เคเบิ้ลทีวีและวิทยุชุมชนในเครือข่าย วงย่อยวันที่ 29,30 พฤษภาคม 2553 และวงใหญ่วันที่ 3 มิถุนายน 2553 โดยมีภาครัฐ,ภาคเอกชน, เครือข่ายชุมชน, นักการเมือง, พระภิกษุ, องค์กรพัฒนาเอกชน เข้าร่วมประมาณ 40 คน

นายจำนง จิตนิรัตน์ เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง เชื่อว่าปรากฏการณ์เรื่องสีต่างๆ จะเป็นแค่ชั่วคราว มาปีสองปีแล้วจะหายไป ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้คนได้นิ่งทบทวน เหมือนเดินมาสุดทางไม่มีอะไรที่แรงมากกว่านี้ไปอีกแล้ว ทุกคนช็อก ต้องนิ่งคิดและสรุปบทเรียน 

ส่วนแรกที่ต้องสรุปบทเรียนคือ “ข้าราชการ” ตั้งคำถามว่าศาลากลางซึ่งช่วยเหลือประชาชนมามากมาย ทำไมประชาชนมาเผาสถานที่เรา ไม่มีความรักความศรัทธาสถานที่เลยหรือ ถ้าจะว่าได้ข้อมูลมาผิด ถ้ารักจริงผิดยังไงก็ไม่น่าเผา ต่อไปคือ “นักการเมือง” พรรคการเมืองต้องสร้างปัญญาให้กับประชาชน ที่ผ่านมามีแต่ดึงเป็นพวก เป็นหมู่ แบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เราต้องตั้งคำถามกับประชาธิปไตย เลือกมาทุกพรรค แต่กลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ต้องทบทวน 

ส่วนสุดท้ายแต่ต้องเริ่มก่อนคือประชาชน เพราะข้าราชการ,นักการเมืองทำผิดมานาน แก้ยาก เริ่มที่ภาคประชาชน จ.อุบลราชธานีมีชุมชนใหม่สวยที่สุดในประเทศไทย คือบ้านหนองผำ สวยงาม สภาพแวดล้อมดี สะอาด มีกองทุนสวัสดิการจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน เด็กรักบ้าน เพราะมีการรวมกลุ่มชาวบ้านร่วมคิดร่วมทำอย่างจริงจัง มุ่งเน้นพึ่งตนเองจึงจะไปรอด เสนอให้ศาลากลางหลังใหม่ต้องมีห้องสภาประชาชนให้ชาวบ้านมาร่วมแสดงความคิด เห็น

ที่ผ่านมาชาวบ้านไปชุมนุมสมัชชาคนจน เกษตรกรรายย่อย หินกรูด ปิดถนนเลนเดียวก็ถูกคนด่า การถูกกดขี่อัดอั้นจนประทุ คนกรุงต้องเข้าใจพี่น้องที่มาเรียกร้องความเป็นธรรม อยากแรงเหมือนราชประสงค์อีกไหม ไม่ควรจะถึงขั้นนั้น ทุกฝ่ายต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิด ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนโอกาสที่จะเกิดอีก

อมร นิลเปรม อดีต ส.ว.อุบลราชธานี ชี้ปัจจุบันภาคประชาชนไม่ค่อยตื่นตัว และไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ หรือให้การสนับสนุนแต่อยู่ในวงแคบ มีแต่คำพูดว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วม แล้วภาครัฐเองเคยเปิดโอกาสหรือไม่ เช่น งบประมาณใน อบต.ต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ไม่ใช่ฝ่ายบริหารเสนอ แล้วอนุมัติให้ดำเนินการได้เลย ภาครัฐต้องสนับสนุนการทำงานของภาคประชาสังคม 

สุรพล สายพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี วันนี้ได้เปิดใจให้กว้าง เพื่อรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะบางส่วนสามารถดำเนินการได้ทันที บางส่วนยังติดขัดด้านกฎหมาย ไม่อยากมองจนสุดกู่ แต่วันนี้พอจะขยับเรื่องไหนได้ก็จะทำไปก่อน บางอย่างต้องใช้เวลา และจะพยายามทำให้ดีที่สุด และหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวได้บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า ต้องบริการและทำงานให้ได้เร็วที่สุด งานบริการต่างๆ คงไม่หยุดชะงัก 

พระราชธีราจารย์ เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี เสนอแนวทางเยียวยาเหตุวิกฤติครั้งนี้ 4 ประการคือ 1.สร้างความยุติธรรม ไม่ใช่เฉพาะสิทธิเสรีภาพ ตอนนี้ประชาชนกำลังเรียกร้องหาความยุติธรรมว่าอยู่ที่ไหน 2.นำประชาชนด้วยปัญญา ใช้ปัญญาให้มากกว่าการใช้กำลัง สภาพบ้านเมืองที่อยู่ในวิกฤติ เพราะใช้กำลังใช้อาวุธ 3.การทำงานด้านสื่อควรเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ระบายเพื่อลดความอัดอั้นตันใจ ไม่มองเป็นสองมาตรฐานในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร เพราะประชาชนมีความรู้ อย่าดูถูกประชาชน ประชาชนจะกลั่นกรองเอง 4.การพัฒนาทางด้านจิตใจ ถือเป็นเรื่องสำคัญ เอาหลักของพระพุทธเจ้า ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทำอย่างไรให้จิตใจคนมั่นคงเป็นมาตรฐาน ไม่ว่ากระแสอะไรจะผ่านเข้ามา หากสร้างกระแสใจให้เข้มแข็งแล้ว ย่อมเป็นการดี

การพัฒนาจิตใจทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไข ไม่ใช่ฝากไว้ที่พระ เพราะปัจจุบันจำนวนพระมีน้อย ผู้ฟังทางบ้านบอกว่า คุณภาพการศึกษาของสามเณรแย่ ความจริงคือ ไม่ได้แย่ การสอนสามเณรเป็นการเก็บตกจากสังคม รู้จักในการให้โอกาส วันนี้หลายภาคส่วนยังไม่ได้เข้ามา ต้องให้โอกาสได้เข้ามาพูดให้ทัดเทียมกัน ตอนนี้โอกาสต่างๆยังไม่ทัดเทียมกัน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ยันกองทัพแก้วิกฤติตามหน้าที่ เตรียมรุกส่งชุดทหาร "กอ.รมน."ลงชุมชนแจงข้อมูลกับชาวบ้าน

Posted: 07 Jun 2010 06:57 PM PDT

"อนุพงษ์" เรียกประชุมกองทัพ แจกเหตุต้องเข้าไปแก้วิกฤติร่วม ศอฉ.ตามหน้าที่ ส่วนการสูญเสียเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ประเมินผิด ไม่คิดถูกโจมตีด้วยอาวุธหนัก ผบ.พล.1 รอ.ยันต่อ ผบ.กองพัน ทั่วประเทศ “ 6 ศพวัดปทุมฯ” ทหารไม่ได้ทำ เผยเตรียมส่งชุดทหาร กอ.รมน.ลงพื้นที่แจงข้อมูล 

<!--break-->

เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ใช้เวลาตลอดทั้งวันในการประชุมและ พูดคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาเกี่ยวกับสถานการณ์ที่กองทัพบกได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. เพื่อแก้ไขสถานการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้นจากชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. โดยในช่วงเช้า ได้มีการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก จากนั้นในช่วงบ่ายได้มีการประชุมนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับการกรม ผู้บัญชาการกองพล ฝ่ายอำนวยการ จำนวนกว่า 600 นาย ที่หอประชุมกิตติขจร โดยมี 5 เสือทบ.เข้าร่วม ประกอบด้วยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. พล.อ.ธีระวัฒน์ บุญยะประดับ ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผช.ผบ.ทบ. พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. โดยใช้เวลากว่า 2 ชม. นอกจากนั้น ในช่วงเย็น ได้มีการประชุม ศอฉ. ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานด้วย 

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ในการประชุมนายทหารระดับผู้บังคับกองพันขึ้นไป ที่มีขึ้นในช่วงบ่าย ผบ.ทบ.ได้ลำดับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และอธิบายการจัดกำลังทหารในการเข้าไปปฏิบัติหน้าที่แต่ละจุด รวมถึงการปฏิบัติการต่างๆ พร้อมทั้งได้เล่าข้อเท็จจริงที่มีบางฝ่ายนำไปบิดเบือน ให้เข้าใจว่าการทำงานของทหารในความเป็นจริงมีความจำเป็นเช่นใด โดยข้อมูลเหล่านี้ในส่วนของกองทัพบกจะประมวลให้กับเจ้าหน้าที่หรือวิทยากร ที่จะลงไปทำความเข้าใจกับชาวบ้านได้รับทราบ ซึ่งวิทยากรเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ กอ.รมน.ที่เคยลงไปในพบปะประชาชน โนโครงการกู้วิกฤตเศรษฐกิจตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่กำลังพลในพื้นที่ ดังนั้น ข้อมูลเหล่านี้จะมาจากส่วนกลางจากเจ้าหน้าที่ที่เข้าใจสภาพปัญหา และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เมื่อไปพบกับชาวบ้านก็ต้องตอบคำถาม และให้ข้อมูลที่ถูกต้องกลับไปว่าความจำเป็นที่เราเข้าไปปฏิบัติหน้าที่แก้ไขปัญหาของประเทศคืออะไร 

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมามีความพยายามบิดเบือนว่าทหารต้องการทำร้ายประชาชน นอกจากนั้น ยังได้อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับโครงการจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพหลังจากที่มีการนำประเด็นดังกล่าวไปอภิปรายในสภาฯ เช่น โครงการจัดหาอุปกรณ์ตรวจการณ์ทางอากาศในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (เรือเหาะ) โครงการจีที 200 และโครงการจัดหารถหุ้มเกราะล้อยางจากยูเครน ซึ่งโครงการเหล่านี้ท่านได้เล่าถึงความจำเป็นในการจัดหา และการดำเนินการต่างๆ ที่กองทัพบกได้ทำมา ซึ่งข้อกล่าวหาเรื่องงบประมาณต่างๆ เรามีหน่วยงานที่ตรวจสอบในการจัดหาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพยังมีความโปร่งใส 

มีรายงานว่า ในที่ประชุม พล.อ.อนุพงษ์ ได้เล่าให้ฟังถึงการวางแผนยุทธการ ในการเข้าไปจัดวางกำลัง และการปฏิบัติการทางทหาร โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมาบริเวณสี่แยกคอกวัว และหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ซึ่งในครั้งนั้นถือว่า มีกำลังพลที่สูญเสีย และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก วันนั้นเราไม่ได้เตรียมชุดระวังป้องกัน เพราะไม่ได้ประเมินว่าฝ่ายนั้นจะใช้อาวุธหนัก คำสั่งคือเราไม่ให้ใช้อาวุธ ทำให้เราถูกกระทำฝ่ายเดียว นอกจากนั้น ในการปฏิบัติการทางทหารในวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ก็ถือเป็นหน้าที่ และการดำเนินการต่างๆ ได้ยึดหลักตามกฎหมายทุกประการ 

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่วัดปทุมวนาราม ได้มีการสอบถามหน่วยที่ปฏิบัติแล้วทั้ง หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ และกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งทั้งสองหน่วยยืนยันว่าไม่ได้มีการยิงเข้าไป โดยเวลาที่มีผู้เสียชีวิตนั้น ไม่มีกำลังพลของเราอยู่บริเวณนั้น ซึ่งขอให้ พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผบ.พล.1 รอ.ได้ยืนยันด้วย ทำให้ พล.อ.กัมปนาท ได้ยืนยันกับที่ประชุมว่า “ทหารไมได้เป็นคนทำ”

 

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

DSI เผยคดีก่อการร้ายพุ่ง 151 สำนวน เล็งคุ้มครองพยานชี้ตัว "ชายชุดดำ" เหตุการณ์ 10 เมษา

Posted: 07 Jun 2010 06:03 PM PDT

"ธาริต" ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ได้รับบาดเจ็บ-เจ้าของรถของกลาง 41 คัน ให้ติดต่อเข้าสอบปากคำฐานะพยาน แจงดีเอสไอไม่ได้มุ่งอาฆาตผู้ไม่มีเอี่ยวการทำผิด ส่วนหมายจับ "ทักษิณ" อัยการมีอำนาจเต็ม

<!--break-->

เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.53 นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวหลังการประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเกี่ยวกับคดีก่อการร้าย ที่สำนักงานดีเอสไอว่า ขณะนี้สำนวนคดีก่อการร้ายเพิ่มขึ้นเป็น 151 สำนวน โดยยังไม่รวมสำนวนคดีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 อีกกว่า 70 สำนวน ทั้งนี้พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนที่สรุปความเห็นสั่งฟ้องให้อัยการดำเนินการรวม 2 สำนวน ประกอบด้วย คดีปาระเบิดเพลิงใส่รถถังหน้ากองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล ม.2) สนามเป้า ดินแดง และการจับกุมการ์ด นปช.พกระเบิดแสวงเครื่องได้ที่ซอยรางน้ำ 

นอกจากนี้ ดีเอสไอได้รับข้อมูลชายชุดดำที่ก่อเหตุลอบยิงเจ้าหน้าที่ทหารและประชาชนเมื่อวันที่ 10 เม.ย.แล้วขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบปากคำพยาน โดยมีแนวโน้มที่นำตัวเข้าโครงการคุ้มครองพยาน เนื่องจากเป็นประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ และสามรถระบุตัวชายชุดดำได้

นายธาริตยังกล่าวถึงการออกหมายจับแกนนำ นปช.ล็อตที่ 4 ว่า อยู่ระหว่างการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ส่วนจะมีชื่ออดีตนายพลที่เกี่ยวข้องกับการยิง พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รวมอยู่ด้วยหรือไม่นั้น นายธาริต กล่าวว่า ไม่ทราบรายละเอียดดังกล่าว ดีเอสไม่มีข้อมูล 

อธิบดีดีเอสไอกล่าวถึงกรณีผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายล็อต 3 ที่ศาลไม่อนุมัติหมายจับ 3 รายว่า อัยการแนะนำให้รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ทั้งนี้ยืนยันว่าการไม่อนุมัติหมายจับไม่ใช่เรื่องความขัดแย้ง แต่เป็นมุมมองทางกฎหมายเกี่ยวกับพยานหลักฐาน โดยคดีมีหลักฐานว่าผู้ต้องหาแย่งอาวุธจากเจ้าหน้าที่ แต่หลักฐานอาจจะยังไม่พอฟังว่าก่อการร้าย 

นายธาริตกล่าวด้วยว่า ดีเอสไอขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้ได้รับบาดเจ็บและเจ้าของรถของกลาง 41 คัน ให้ติดต่อเข้าพบพนักงานสอบสวน โดยดีเอสไอรับรองว่าจะสอบปากคำในฐานะพยานที่ได้รับความเสียหายจึงไม่ควรเข้าใจผิดว่าการเข้าพบพนักงานสอบสวนจะถูกดำเนินคดีฐานก่อการร้าย เพราะดีเอสไอไม่ได้มุ่งอาฆาตเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด

ส่วนการขออนุมัติหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในข้อหาก่อการร้าย นายธาริตกล่าวว่า เนื่องจากมีความผิดบางส่วนเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร ตามกฎหมายถือเป็นอำนาจของอัยการสูงสุดที่จะใช้ดุลยพินิจสั่งคดี ดังนั้น เฉพาะในส่วนคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ อัยการจะเป็นผู้มีอำนาจ

 

มี่มา: มติชนออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สรรเสริญแจงชายถือปืนแค่ทหารส่งข้าว แต่งพลเรือนให้กลมกลืน ท้าหยุดเป็นโฆษกถ้าทุกเรื่องที่แถลงโกหก

Posted: 07 Jun 2010 04:40 PM PDT

พ.อ.สรรเสริญ แจงคลิปพลเรือนถือเอ็ม 16 เป็นทหารแต่งชุดพลเรือนมาส่งข้าว ส่วนทหารที่นั่งยิงปืนเป็นการยิงเพื่อคุ้มครองการนำเจ็บออกจากพื้นที่ ส่วนปืนที่ทหารใส่ชุดพลเรือนถือนั้นเป็นปืนของทหารที่ถูกยิงและถูกหามใส่เปล ยันทหารที่ช่วยยิงกับทหารไปส่งอาหารเป็นคนละภารกิจ ลั่นถ้าโกหกทุกเรื่องจะหยุดเป็นโฆษก

<!--break-->

ภาพนิ่งและคลิปเมื่อ 19 พ.ค. 53 เป็นภาพชายสวมชุดพลเรือนถือปืน M-16 อยู่ในแนวเดียวกับทหาร ซึ่งสื่อมวลชนหลายแขนงได้นำเสนอ และพรรคเพื่อไทยนำไปแถลงข่าวนั้น ล่าสุด (7 มิ.ย. 53) พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ในฐานะโฆษก ศอฉ. ชี้แจงว่าเป็นทหารสวมชุดพลเรือนมาส่งเสบียงให้ทหารแนวหน้า ที่ต้องสวมชุดพลเรือนเพื่อให้กลมกลืนกับบุคคลทั่วไป

 

ศอฉ.แจงภาพบุคคลสวมชุดพลเรือนถือเอ็ม 16 เป็นทหารแต่งกายเพื่อให้กลมกลืนเวลาส่งข้าว

วันที่ 7 มิ.ย.53 เมื่อเวลา 17.00 น.พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ.แถลงผลการประชุม ศอฉ.ที่กองบัญชาการกองทัพบก โดยการประชุมมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ.เป็นประธาน และผบ.เหล่าทัพเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงว่า ตำรวจได้รายงานผลการจับกุมผู้กระทำผิดตามหมายจับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มี 85 ราย ซึ่งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ 84 ราย สามารถจับกุมได้แล้ว 29 ราย ยังจับไม่ได้ 55 ราย ส่วนอีก 1 ราย อยู่ในต่างจังหวัดและยังจับไม่ได้ 

ส่วนผู้ที่กระทำความผิดคดีอาญามีทั้งสิ้น 818 ราย เป็นชาวต่างชาติ 2 ราย คือ นายคอร์เนอร์ พาสเซล ชาวออสเตรเลีย และนายซาเวจ เจอซี่ ฮัทช์ ชาวอังกฤษ ทั้ง 2 รายมีความผิดฐานอยู่ในประเทศไทยทั้งที่หมดวีซ่า ขณะนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ และจะดำเนินการแจ้งข้อหากระทำความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คือ ร่วมชุมนุมบนเวทีกับกลุ่ม นปช.ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดตำรวจจะแถลงในวันที่ 8 มิ.ย.นี้

พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า กรณีที่พรรคการเมืองหนึ่งนำภาพบุคคลสวมชุดพลเรือนถือปืนเอ็ม 16 มาเปิดเผย พยายามทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่า มีบุคคลพลเรือนถืออาวุธปืนในพื้นที่ที่ทหารอยู่ ซึ่งหมายความว่า มีการแอบยิงเพื่อสร้างสถานการณ์วุ่นวาย และโยนความผิดให้กลุ่มผู้ชุมนุมนั้น จากการตรวจสอบเรื่องนี้กับกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2รอ.) ทราบว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ซอยงามดูพลี แถวบ่อนไก่ เป็นภาพที่เจ้าหน้าที่ทหารแต่งชุดไปรเวต เพื่อเข้าไปส่งอาหารให้กับกำลังพลในจุดต่างๆ โดยชุดหนึ่งจะมีประมาณ 2-3 คน ซึ่งหน่วยที่ส่งอาหารคือ กองพันทหารม้าที่ 5 (ม.พัน 5) จ.สระบุรี

"เรามีความจำเป็นต้องใส่ชุดพลเรือน เพราะการนำอาหารไปส่งยังจุดต่างๆ หน้าแนวทหารที่วางกำลังถือว่าอันตราย จึงต้องทำตัวให้กลมกลืนกับบุคคลทั่วไป ซึ่งเมื่อนำอาหารไปส่ง ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ชุดระวังป้องกันถูกยิง เขาจึงมีส่วนช่วยลำเลียงทหารที่ถูกยิงออกจากพื้นที่" พ.อ.สรรเสริญกล่าว

 

เปิดคลิปแจง พร้อมชี้เป็นเรื่องยาก หากต้องการให้กองทัพไปอธิบายศพทุกศพที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ 

จากนั้น พ.อ.สรรเสริญ ได้เปิดคลิปการยิงคุ้มครองการถอนตัวของทหาร โดยมีทหารจำนวนมากวิ่งผ่านกล้อง และมีทหารใส่ชุดพลเรือนคนหนึ่งถือปืนวิ่งผ่านไป ซึ่ง พ.อ.สรรเสริญกล่าวบรรยายคลิปว่า ปืนที่ทหารใส่ชุดพลเรือนถือนั้น เป็นปืนของทหารที่ถูกยิง และถูกหามใส่เปล ซึ่งทหารที่ช่วยยิงคุ้มครองการถอนตัว กับทหารไปส่งอาหาร เป็นคนละกลุ่มกัน และคนละภารกิจ

"หากมีภาพลักษณะอย่างนี้ และมีคนตาย ต้องการให้กองทัพไปอธิบายศพทุกศพที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ เป็นเรื่องยาก แต่ขณะเดียวกันบรรดาผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายในการชุมนุมต้องอธิบายภาพเช่นกันว่า ที่มีกลุ่มก่อการร้ายมีอาวุธสงครามในพื้นที่ชุมนุม และอาวุธที่ยึดจากทหารไปแสดงบนเวทีและยังไม่มีการส่งคืนนั้น โดยเรายึดกลับมาได้เพียงบางส่วน ท่านจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรบ้าง หากท่านพร้อมอธิบาย เราก็พร้อมอธิบายทุกเรื่องเหมือนกัน ซึ่งภาพที่พรรคการเมืองนำมาเปิดเผยนั้น หากคิดในมุมดีเขายังไม่ได้ทำผิดอะไร แต่พยายามสร้างความรู้สึกไม่มั่นใจให้กับประชาชนว่า กองทัพหรือเจ้าหน้าที่รัฐได้ดำเนินการตรงไปตรงมาอย่างที่ชี้แจงหรือไม่" พ.อ.สรรเสริญกล่าว

 

คุยแล้วไม่มี ปท.ใดสงสัยการปฏิบัติงานในวันที่ 19 พ.ค. เว้น "บรูไน"

พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้ตรวจสอบความรู้สึกประเทศต่างๆ แล้ว ซึ่งไม่มีประเทศใดสงสัยในการปฏิบัติงานในวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา เพราะสถานทูตส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ มีแต่เฉพาะประเทศบรูไนที่ต้องทำความเข้าใจมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงที่กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการ

"ที่เราต้องชี้แจงเพิ่มเติมต่อประเทศบรูไน เพราะเราตั้งข้อสังเกตว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังสามารถเข้าประเทศบรูไนได้ จึงควรทำความเข้าใจกับเขาให้ชัดเจนทุกเรื่อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ซึ่งขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศเตรียมชี้แจงให้ประเทศบรูไนให้รับทราบแล้ว ส่วนประเทศต่างๆ ไม่ได้ติดใจ แต่อยากเห็นแผนปรองดองตามที่รัฐบาลกำหนดว่า จะเป็นรูปธรรมได้อย่างไร โดยนายสุเทพสั่งการในที่ประชุมว่า อยากให้ฝ่ายต่างๆ ของ ศอฉ.เสนอความคิดเห็นว่า ศอฉ.จะช่วยรัฐบาลในแผนปรองดองอย่างไร" โฆษก ศอฉ.กล่าว

 

ท้าถ้าทุกเรื่องที่แถลงเป็นเืท็จจะหยุดเป็นโฆษก

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีมีผู้ถูกยิงเสียชีวิต 6 ศพ บริเวณวัดปทุมวนารามฯ พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ที่ประชุมไม่ได้มีการพูดถึง แต่ตำรวจพยายามสืบว่า 6 คนที่ตายเป็นใคร เพราะอาจมีข้อมูลเชื่อมโยงกับการถูกลอบสังหาร ส่วนเรื่องที่พรรคเพื่อไทยท้าให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.สาบานที่วัดพระแก้วว่า ไม่ได้สั่งให้ทหารยิงประชาชนนั้น เห็นว่าที่ผ่านมามีการท้าตลอด ซึ่งยืนยันว่าสิ่งที่แถลงทุกเรื่องเป็นความจริง หากเรื่องทุกอย่างที่แถลงเป็นเท็จ จะหยุดการทำหน้าที่โฆษก ศอฉ.กับโฆษกกองทัพบก เพื่อความสบายใจ การที่คน 2 คน เล่าเรื่องไม่เหมือนกันนั้นขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะเชื่อใคร

ผู้สื่อข่าวถามถึงการพิจารณายกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า จากการประชุมครั้งที่ผ่านมา มีบางหน่วย เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เริ่มเสนอมาว่า ได้ตั้งเป้าหมายว่า จะต้องดำเนินการถึงแค่ไหน อย่างไร จึงจะมีความพร้อมในการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่อีกหลายหน่วยยังไม่ได้ส่งข้อมูลนี้มา ซึ่ง ศอฉ.จะต้องรวบรวมข้อมูลให้ครบ และฝ่ายเลขาธิการ โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จะทำผลสรุปเสนอ ผอ.ศอฉ. ซึ่งขณะนี้ยังพอมีเวลา เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะหมดอายุในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ 

 

"อภิสิทธิ์" เล็งตั้ง "คณิต" ปธ.สอบข้อเท็จจริง

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เตรียมเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 8 มิถุนายน เพื่อขออนุมัติการแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม-19 พฤษภาคม โดยมีนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน

 

ที่มา: มติชนออนไลน์ 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"จตุพร-การุณ" ยันรายงานตัวต่อศาล 9 โมงเช้านี้

Posted: 07 Jun 2010 03:52 PM PDT

"จตุพร"ชี้ถูกปฏิบัติอย่างไรจะถือเป็นบรรทัดฐานให้กับคดีของ อภิสิทธ์-สุเทพ-ศอฉ.ด้วย ด้าน "การุณ"เชื่อทำสิ่งที่ถูกต้อง พร้อมแอ่นอกรับ ส่วนทนายเผย"วิเชียร"ไม่รายงานตัว เหตุ DSI ออกหมายเรียก"มิชอบ" ชี้เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน"สุภรณ์-อริสมัน"มอบตัวทันที

<!--break-->

วันนี้ (7 มิ.ย.) ที่ทำการพรรคเพื่อไทย  เมื่อเวลา 13.00 น.นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และนายการุณ โหสกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีถูกออกหมายจับในข้อหาก่อการร้าย และกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ให้เข้าสอบสวนใหม่ โดยออกหมายเรียกให้ไปรายงานตัวที่ศาลอาญา เพื่อขออำนาจฝากขังในวันที่ 8 มิถุนายน

ที่มา: http://www.ptp.or.th/default.aspx

นายจตุพร แถลงว่า จะเดินทางไปยังศาลอาญาพร้อมกับนายการุณ ในเวลา 09.00 น.วันที่ 8 มิ.ย.นี้ ส่วนนายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.อุดรธานี ที่ถูกออกหมายเรียกในคดีเดียวกันนั้น ขณะนี้ยังติดต่อไม่ได้ แต่ทราบว่ามีปัญหาเรื่องสุขภาพ ถ้าอาการดีขึ้นก็จะเข้ารายงานตัวในวันเดียวกันด้วยเช่นกัน

นายจตุพร กล่าวว่า ก่อนหน้านี้พวกตนได้เข้ารับทราบข้อหาก่อการร้ายไปแล้วที่ สตช.ขณะที่ยังไม่มีหมายเรียกหรือหมายจับ แต่ไม่สามารถสอบสวนได้เพราะเป็นคดีพิเศษ ซึ่งดีเอสไอต้องมีอัยการ ฝ่ายตนก็ต้องมีทนาย โดยได้นัดหมายไปพบที่ดีเอสไอแล้ววันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนของดีเอสไอให้เวลา 1 เดือน ทำคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรและให้รวบรวมพยานหลักฐานภายในวันที่ 25 มิ.ย.ซึ่งก็นัดหมายเสร็จ ปรากฏว่า เมื่อปิดสมัยประชุม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ที่กำกับดูแลดีเอสไอ ประกาศจะเอาตนมาคุมขังให้ได้ ทั้งที่ขั้นตอนของคดีเดินหน้าเลยขั้นตอนนี้ไปแล้ว 

"เมื่อผมและนายการุณไปรายงานตัวเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเรียบร้อยแล้ว ดีเอสไอไม่มีอำนาจที่จะขอฝากขัง แต่ทำได้เพียงส่งเรื่องให้อัยการ หากอัยการจะขออำนาจศาลฝากขังก็เป็นเรื่องที่ผมจะต้องไปต่อสู้ในศาล ไม่ใช่หน้าที่ของดีเอสไอ แต่เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ดี เพราะจะถือเป็นบรรทัดฐานที่จะใช้ต่อไปในอนาคต เพราะอย่าลืมว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯประธาน ศอฉ. และศอฉ.ทั้งหมด ที่รวมถึงนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ จะต้องเจอกับคดีสั่งฆ่าประชาชน 79 คดี และคดีพยายามฆ่าไม่ต่ำกว่า 1,500  คดี ก็จะถือเป็นบรรทัดฐานให้กับคดีของบุคคลเหล่านี้" นายจตุพรกล่าว

นายจุตุพร กล่าวว่า เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่ศาลออกหมายจับ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ.ภาค 5 กับพวกในคดีอุ้มฆ่านายอัลรูไวรี่ ซึ่งมีโทษสูงสุดประหารชีวิตเท่ากัน ที่ศาลไม่อนุมัติสั่งขัง เนื่องจากให้เหตุผลว่ายังปฏิบัติหน้าที่ราชการ รวมทั้งนายธาริต ในฐานะอธิบดีดีเอสไอก็ไม่เคยที่จะยื่นขอให้ศาลขังหรือคัดค้านคำสั่งศาล ถามว่าตนและนายการุณ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ส.ส.มีสถานะแตกต่างไปจาก พล.ต.ท.สมคิด ที่ตรงไหน หรือใช้ความเป็นมนุษย์และเงินเดือนมาเทียบเคียง หรือเพราะคดีพวกตนเป็นคดีการเมือง แต่ถ้าบอกว่ากรณีตนเป็นคดีการเมืองนั้น เมื่อเทียบกับนายกษิต  ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาก่อการร้าย เมื่อนายกษิตมอบตัวที่สน.ทุ่งสองห้อง สตช.ก็ไม่เคยเอาเรื่องขออนุมัติเพื่อขอคุมขัง

อย่างไรก็ตามสังเกตจากพฤติกรรมช่วง 5 วันที่ผ่านมา ถามว่าดีเอสไอกำลังเล่นเกมกับพวกตนหรือไม่ จากปกติจะส่งเจ้าหน้าที่มาติดตามหลายนาย แต่ระยะหลังได้หายไป เสมือนจงใจเปิดช่องให้หลบหนี แต่ยืนยันว่าจะไม่หลบหนีอย่างแน่นอน เพราะถ้าหลบหนีก็จะเป็นเหตุให้พรรคพวกที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ค่ายนเรศวร จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไม่ได้รับการประกันตัว โดยจะนำกรณีไปกล่าวอ้างว่าขนาดคนที่เป็นผู้แทนราษฎร ยังมีพฤติกรรมหลบหนี 

“แม้ดีเอสไอจะออกหมายเรียกมิชอบ แต่พวกผมก็จะไปศาลอย่างแน่นอน และได้เตรียมพร้อมข้าวของเครื่องใช้ เช่น สบู่ เสื้อยืด กางเกงขาสั้น ขันน้ำ ไว้แล้ว ถ้าถูกขังก็ไม่มีปัญหา อีกทั้งได้เตรียมใจตั้งแต่ต้นแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อมีกฎหมายก็มีกฎแห่งกรรม แม้กฎแห่งกรรมอาจช้ากว่ากฎหมาย แต่ก็ไม่เป็นเหตุให้หวั่นใจใดๆ ทั้งสิ้น และอย่าลืมว่าคุกไม่ได้มีไว้ขังเฉพาะพวกผมเท่านั้น” นายจตุพร กล่าว 

ด้านนายการุณ กล่าวว่า "เมื่อพวกผมได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ก็พร้อมแอ่นอกรับอย่างเต็มภาคภูมิ ไม่ว่าผู้ชนะจะเขียนประวัติศาสตร์อย่างไร แต่เราก็จะมีชื่อบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย"

 

"วิเชียร" ไม่รายงานตัว-ซัด DSI ออกหมายเรียก "มิชอบ"

ส่วนนายคารม พลทะกลาง ทนายความแกนนำ นปช. กล่าวว่า ได้เตรียมหลักทรัพย์เป็นเงินสด และใช้ตำแหน่ง ส.ส.ในการยื่นเรื่องประกันตัวทั้งสองคน โดยจะแถลงต่อศาลว่าที่ผ่านมา นายจตุพรและนายการุณ เคยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ในความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้ว รวมทั้งมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่เคยคิดหลบหนี ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน และไม่เคยข่มขู่พยาน ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงขอความเมตตาต่อศาลในการขอประกันตัว

ส่วนกรณีนายวิเชียร ที่ถูกออกหมายเรียกด้วยนั้น นายคารม กล่าวยืนยันว่า จะไม่เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนอย่างแน่นอน เนื่องจากได้รับหมายเรียกอย่างกะทันหัน ซึ่งขณะนี้ นายวิเชียร อยู่ที่ จ.อุดรธานี จึงไม่สะดวกในการเดินทาง ทั้งนี้นายวิเชียรได้ระบุด้วยว่าการออกหมายเรียกของดีเอสไอไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากดีเอสไอออกหมายเรียกให้ไปพบพนักงานสอบสวนที่ศาลอาญา แทนที่จะเป็นที่ดีเอสเอ เพราะต้องการอาศัยอำนาจศาลขอหมายขังจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ แม้ว่าศาลจะมีคำสั่งหรือไม่ก็ตาม 

อย่างไรก็ตาม นายวิเชียร ได้เคยเข้ามอบตัวที่ดีเอสไอแล้ว ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการยื่นคำให้การภายใน 30 วัน จึงเตรียมยื่นหนังสือขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวนออกไปก่อน

 

เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน "สุภรณ์-อริสมัน" มอบตัวทันที 

นายคารม กล่าวด้วยว่า สำหรับนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำ นปช.ที่ยังหลบหนีการจับกุมนั้น ยืนยันว่ายังอยู่ในประเทศ เพราะสามารถติดต่อกับบุคคลทั้ง 2 ได้ตลอด ยังไม่ได้เสียชีวิต ซึ่งทั้งสองพร้อมจะออกมามอบตัวทันทีที่มีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากไม่ต้องการให้ถูกควบคุมตัวฟรี 30 วัน โดยไม่มีการตั้งข้อหา และเห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลทำวันนี้คือการปฏิวัติเงียบโดยใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

 

ที่มา: เรียบเรียงจากมติชน แนวหน้า

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กฤษณะ ฉายากุล : ว่าด้วยกฎหมายเกี่ยวกับการท่องเที่ยว

Posted: 07 Jun 2010 02:00 PM PDT

<!--break-->

การท่องเที่ยวนับเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญ และสร้างรายได้เป็นอันดับหนึ่งของชาติ  ทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมที่ผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น 

การดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ซึ่งหมายถึงธุรกิจที่นำนักท่องเที่ยวเดินทางไปท่องเที่ยว หรือเดินทางไปเพื่อวัตถุประสงค์อื่น โดยจัดให้มีบริการ หรือการอำนวยความสะดวกอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง ที่เกี่ยวกับสถานที่พัก  อาหาร  มัคคุเทศก์  หรือบริการอื่นใดตามที่กำหนดในกฎกระทวง เป็นกิจการที่ต้องได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนก่อนที่จะได้ประกอบการ ตามที่พระราชบัญญัติ ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 ได้กำหนดไว้

พระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ.2551 ที่ได้ประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายบังคับกับประชาชนมาตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2551  โดยได้ยกเลิกพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ.2535 แต่ยังกำหนดให้นำเอาหลักการที่สำคัญเกี่ยวกับมาตรฐานในการประกอบธุรกิจนำเที่ยว  หลักประกันของนักท่องเที่ยว การกำกับดูแลงานธุรกิจนำเที่ยว และงานมัคคุเทศก์ ที่ได้กำหนดไว้ในกฎกระทรวงท้ายกฎหมายพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ.2535 เป็นไปตามกฎหมายนั้นมาใช้ไปพลางก่อนไม่เกินกว่าสองปีนับแต่บังคับใช้กฎหมายนี้เป็นต้นมา  ซึ่งต้องไม่เกินกว่าวันที่  7  เมษายน 2553 และจะต้องมีกฎกระทรวงที่ได้พิจารณาขึ้นใหม่ตามกฎหมาย ปี 2551 มาบังคับใช้แทนต่อไป

เมื่อได้ตรวจสอบการประกาศบังคับใช้กฎหมายกับประชาชนที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เป็นหน่วยงานสำคัญของรัฐบาลในทางด้านกฎหมาย  ก็ปรากฏว่ารัฐบาลยังไม่ได้กำหนดกฎหมายลูกเป็นกฎกระทรวงท้ายกฎหมายพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ.2551 ตามที่กำหนดไว้ในบทเฉพาะกาล มาตรา 102 แต่อย่างใด  นับได้ว่ารัฐบาลได้ละเลยหน้าที่อย่างสำคัญจนทำให้เกิดความเสียหายกับการท่องเที่ยวของชาติ  เพราะกฎกระทรวงท้ายกฎหมายปี 2535 ที่ใช้มาตามบทเฉพาะกาลไม่เกินสองปีนั้นไม่มีผลบังคับในทางกฎหมายอีกต่อไป อันจะส่งผลทำให้การบริหารกิจการการท่องเที่ยวของชาติมีอุปสรรคปัญหาในทางกฎหมายตามที่กฎกระทรวงเคยกำหนดไว้

ในท่ามกลางปัญหาทางการเมืองที่รัฐบาลยังหาทางออกในการยุติปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น  ซึ่งส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของชาติไม่น้อยอยู่แล้วไม่ว่าจะเกิดจากการกระทำของฝ่ายใดก็ตาม  แต่การจัดการดูแลให้การบังคับใช้กฎหมายที่สามารถกำกับดูแลให้งานท่องเที่ยวสามารถดำเนินการไปได้โดยไม่มีอุปสรรค  ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรงที่จะต้องติดตามและดำเนินการให้มีกฎหมายตามภาระหน้าที่มีผลสมบูรณ์ต่อไป

ดังนั้น  รัฐบาลโดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่เป็นผู้รักษาการตามกฎหมายพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ.2551 จะต้องตรวจสอบถึงความบกพร่องของหน่วยงานของตนเสียด้วยว่ามีความผิดพลาดประการใดจึงไม่ได้ดำเนินการออกกฎกระทรวงตามกฎหมายที่ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นได้  เพราะนอกจากเกิดความเสียหายโดยตรงต่อการท่องเที่ยวแล้ว ยังมีความเสียหายต่องานการศึกษาที่เกี่ยวกับกฎหมายท่องเที่ยวอีกด้วย และรัฐบาลจะต้องรีบออกกฎกระทรวงแก้ไขความบกพร่องเสียหายดังกล่าวโดยเร็ว
 
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เครือข่ายนักศึกษาใต้ยื่นจดหมายเปิดผนึก แม่ทัพภาค 4 กรณีเสียชีวิตในห้องควบคุมตัว

Posted: 07 Jun 2010 01:11 PM PDT

เครือข่ายนักศึกษาใต้ยื่นจดหมายเปิดผนึก แม่ทัพภาค 4 กรณีเสียชีวิตของนายสุไลมาน  แนซา ในห้องควบคุมตัว จี้ภาครัฐตั้งคณะกรรมการอิสระในการตรวจสอบเพื่อแสดงความจริงใจและสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
<!--break-->

7 มิ.ย. 53 ข การเสียชีวิตในระหว่างการถูกควบคุมตัวจากเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด ย่อมก่อให้เกิดคำถามตามมามาก  อย่างกรณีอีหม่ามยะผา  กาเซ็ง  ในอดีตที่ผ่านมาซึ่งเป็นบทเรียนที่ควรแก่การจดจำของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่แห่งความขัดแย้ง  แต่เหตุการณ์เฉกเช่นเดิมกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งในกรณีนี้คือการเสียชีวิตของนายสุไลมาน  แนซา  ซึ่งเสียชีวิตขณะเข้ากระบวนการซักถามซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีความมั่นคงในศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ (ศสฉ.)  ค่ายอิงคยุทธบริหาร  จังหวัดปัตตานี  ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมตัวอ้างถึงการเสียชีวิตของนายสุไลมาน ว่าเป็นการผูกคอฆ่าตัวตายในห้องพัก

จากกรณีนี้ทำให้กลุ่มองค์กรทางด้านสิทธิมนุษยชน  และกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่ตั้งข้อสงสัยต่อการเสียชีวิตในครั้งนี้  รวมถึงสหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้(สนน.จชต.) โดยในครั้งมีนายกริยา  มูซอ  เลขาธิการ สนน.จชต.  เป็นตัวแทนในการยื่นจดหมายเปิดผนึกแก่แม่ทัพภาคที่ 4   ที่ค่ายสิรินธร  จ.ปัตตานี  เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 6 มิ.ย. 53 เพื่อขอให้ภาครัฐแสดงความโปร่งใสและแสดงความรับผิดชอบในการใช้อำนาจในการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย  โดยมีนายกองค์การบริหารองค์การนักศึกษา มอ.ปัตตานี นายอับดุลเลาะ  สารีมา  อ่านจดหมายเปิดผนึกให้ตัวแทนแม่ทัพภาคที่ 4   พล.ต.อุดมชัย  ธรรมสาโรรัชต์  รองแม่ทัพภาคที่ 4  และรอง ผอ.รมน.ภ.4  รับทราบถึงข้อเสนอของทางสหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้  มีทั้งหมด 7 ข้อเสนอ

1. ขอให้ภาครัฐตั้งคณะกรรมการอิสระในการตรวจสอบกรณีการตายของ นายสุไลมาน แนแซ  โดยคณะกรรมการอิสระดังกล่าวต้องมาจาก 3 ฝ่าย คือ  1.) องค์กรภาคประชาชนสังคม  2.) ทีมแพทย์ที่เคยชันสูตรผลิกศพ   3.)  ตัวแทนจาก กอ.รมน. โดยกรรมการอิสระชุดนี้ต้องได้รับการยอมรับจากคนในพื้นที่และภาคประชาสังคม  และเมื่อ แต่งตั้งเสร็จแล้วให้ประกาศต่อสาธารณชน
2. ให้หน่วยงานที่ควบคุมตัวผู้เสียชีวิตออกมาแสดงคำรับผิดชอบโดยออกมา  ขอโทษผ่านสื่อต่อสาธารณชนในการดำเนินการกระบวนการควบคุมตัวผิดพลาด
3. ให้ภาครัฐเร่งเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตโดยเต็มความสามารถเพราะครอบครัวของผู้เสียชีวิตตกอยู่ในสภาวะไร้ที่พึ่ง
4. ให้ภาครัฐคำนึงถึงสภาวการณ์ในการควบคุมตัวของผู้ต้องสงสัยจากเจ้าหน้าที่โดยที่ภาครัฐเปิดโอกาสให้มีทีมจิตเวชที่มาจากภาคประชาสังคม ในการตรวจสอบสภาพจิตของผู้ถูกควบคุมตัว อาทิตย์ละครั้ง
5. ให้ภาครัฐพิจารณาถึงสภาพสถานที่ควบคุมตัวของผู้ต้องสงสัย ต้องให้มีความเหมาะสมโดยคำนึงถึง ผู้ที่ถูกควบคุมตัวเป็นแค่ผู้ต้องสงสัยไม่ให้อยู่ในสภาวะเครียดและกังวลในกระบวนการควบคุมตัวและเพื่อให้มีความโปร่งใส และรอบคอบมากยิ่งขึ้น ให้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดในห้องพักของผู้ที่ถูกควบคุมตัว
6. เมื่อเกิดปัญหา ข้อพิพาท และข้อสงสัย ที่เป็นความสนใจอย่างมากของคนในพื้นที่ รัฐต้องเป็นผู้เริ่มในการเปิดพื้นที่ในการมีส่วนร่วมและเปิดพื้นที่ในการพูดคุย ทำความเข้าใจกับภาคประชาสังคมผ่านสาธารณชนเพราะรัฐเป็นผู้ที่บริหารอำนาจและควบคุมอำนาจจึงต้องแสดงความจริงใจในการเป็นผู้เริ่มการเปิดพื้นที่ดังกล่าว
7. ขอวิงวอนต่อภาครัฐในการเปิดพื้นที่ เพื่อตรวจสอบภาครัฐเพื่อแสดงความจริงใจและสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เพื่อสร้าง สมดุลอำนาจให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ตามหลักประชาธิปไตย
เครือข่ายนักศึกษาในพื้นที่คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ภาครัฐจะผดุงความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมและส่งเสริมให้ประชาชนได้รับการเคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ภายใต้ความหลากหลายทางพหุวัฒนธรรม และความเสมอภาคทางสังคม
 

สหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สนน.จชต.)
สมาพันธ์นิสิตนักศึกษา  จังหวัดปัตตานี (สนป.)
สมาพันธ์นิสิตนักศึกษา  จังหวัดยะลา (สนย.)
สมาพันธ์นิสิตนักศึกษา  จังหวัดสงขลา (สนส.)
สมาพันธ์นิสิตนักศึกษา  จังหวัดนราธิวาส (สนน.)
องค์การบริหารองค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

ที่มา: http://www.bungarayanews.com/news/view_news.php?id=465

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น