โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

คลิปเสวนา“นักข่าวเล่าให้ฟัง : จากราชดำเนินถึงราชประสงค์” (ตอนที่ 2)

Posted: 12 Jun 2010 10:52 AM PDT

คลิปจากการเสวนา "นักข่าวเล่าให้ฟัง: จากราชดำเนินถึงราชประสงค์" ช่วงแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างผู้ฟังการเสวนาและวิทยากร

<!--break-->

เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุม 12 อาคารเกษม อุทยานิน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์ติดตามประชาธิปไตยไทย (Thailand Democracy Watch : TDW) ได้จัดการเสวนาวิชาการในหัวข้อ “นักข่าวเล่าให้ฟัง : จากราชดำเนินถึงราชประสงค์” โดยมีผู้สื่อข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง หรือ นปช. ในวันที่ 10 เม.ย.2553 และ 13-19 เม.ย.2553 มาร่วมอภิปรายและบอกเล่าเหตุการณ์

ผู้ร่วมเสวนา ประกอบไปด้วยผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์และ โทรทัศน์ ฐปนีย์ เอียดศรีชัย จากไทยทีวีสีช่อง 3, สุรศักดิ์ กล้าหาญ จากบางกอกโพสต์, ตวงศักดิ์ สินชื่นธุวล จากมติชน, ทวีชัย เจาวัฒนา บรรณาธิการภาพจากเนชั่น, เสถียร วิริยะพรรณพงศา จากเนชั่น และสถาพร คงพิพัฒวัฒนา จากทีวีไทย โดยมี ผศ.เวียงรัฐ เนติโพธิ์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการอภิปราย ในการเสวนานี้มีผู้สื่อข่าวและ ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก โดยคลิปการเสวนาช่วงที่ 2 ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากผู้ฟังการเสวนาและวิทยากร มีดังนี้

 

ช่วงการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ร่วมเสวนากับวิทยากร

ช่วงที่ 1

ช่วงที่ 2

ช่วงที่ 3

ช่วงที่ 4

ช่วงที่ 5

ช่วงที่ 6

ช่วงที่ 7

ช่วงที่ 8

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ความถดถอยของอนุรักษ์นิยมในสังคมไทย?

Posted: 12 Jun 2010 04:35 AM PDT

ความมืดบอดทางสติปัญญาของฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะทำให้พวกเขาพังพินาศต่อพลังแห่งความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
<!--break-->

หลังจากวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นมาผมรู้สึกว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว..

หลังจากการชุมนุมของพี่น้องเสื้อแดงจบสิ้นลงพร้อมกับเพลิงพิโรธในจุดต่างๆรอบ พื้นที่การชุมนุมและบางพื้นที่ใน

เขตที่มั่นแดงต่างจังหวัด ปรากฎว่าจนถึงขณะนี้ (11 มิย 2553) ตัวเลขของผู้เสียชีวิตจากการถูกยิงยังไม่นิ่ง รวมไปถึงมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก บางคนอาจพิการตลอดชีวิต ..

ผมถือว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของ เหตุการณ์โดยตรงเพราะพาตัวเองเข้าพื้นที่ปะทะในวันที่เสธแดงถูกยิงวันที่ 13 พค 53 จนถึง 14 พค 53 ต่อเนื่องกัน 2 วัน ในวันสุดท้ายที่ผมอยู่ในพื้นที่ตอนกลางวันผมเห็นทหารเต็มไปหมด ถนนแทบทุกเส้นรอบพื้นที่ชุมนุมปิดตาย การจะเข้าพื้นที่ได้ต้องใช้วิธีเดินลัดเลาะเข้าไปทางชุมชนใกล้ๆบริเวณนั้น ..

คืนวันที่เสธแดงถูกยิงเป็นวันที่ผมจะจดจำไปชั่วชีวิต เพราะหลังจากที่เสธแดงถูกหามส่งโรงพยาบาลแล้วก็มีการปะทะกันทั้งคืน    ในห้วงเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงต่อมาหลังจากเสธแดงถูกยิง ในพื้นที่บังเกอร์แดงโซนศาลาแดงถูกกลุ่มกระสุนปืนลึกลับยิงสวนเข้ามาในค่าย ทำให้ผมเห็นคนล้มลง 2 คน หนึ่งในนั้นหัวสมองกระจายเรี่ยราดบนพื้นถนน ตัวผมเองก็เกือบถูกลูกปืนพุ่งใส่ขาซ้ายซึ่งกระสุนลูกนั้นวิ่งผ่านขาผมไปดัง "ฟึ่บ!!" ไปกระแทกกับพื้นถนนเป็นรู ลูกปืนมาจากด้านบนแน่นอนเพราะวิธีกระสุนเฉียงจากที่สูง ..

สถานการณ์ ตอนนั้นแย่มากจนผมต้องถอยไปตั้งหลักยังหลังเวทีราชประสงค์ซึ่งเป็นสถานที่ ยังมีการปั่นไฟใช้สว่างไสว (โซนบังเกอร์ศาลาแดงมืดทั้งแถบ) ตลอดทั้งคืนผมได้ยินเสียงปืนประปราย เป็นคืนอันยาวนานสำหรับผมในพื้นที่สงครามเช่นนี้ ..

วันต่อมาผม พยายามลัดเลาะเข้าพื้นที่ราชประสงค์อีกแต่อยู่ได้เพียงครึ่งวันผมต้องพาตัว เองออกมา การข่าวของผมแจ้งว่าจากวันนี้ไป (14 พค 53) ทหารจะเข้ากวาดล้างในพื้นที่ ..

ระหว่างวันที่ 17-19 พค 53 เป็นวันนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของสยาม การเข้ากวาดล้างคนเสื้อแดงของทหารรัฐบาลเป็นไปอย่างโหดเหี้ยมในนาม "การกระชับพื้นที่" ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถปฎิเสธความรุนแรงอันเกิดจากการล้อมปราบของรัฐบาลได้ ..

หลังจากสิ้นสุดสงครามระหว่างประชาชนและทหาร รัฐบาลก็ตามไล่กระทืบซ้ำพี่น้องเสื้อแดงทางสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่องภายใต้ พรก.ฉุกเฉิน มีการบุกจับแกนนำแดงทั่วประเทศ แกนนำบางส่วนหนีไป บางส่วนถูกยิงตาย บางส่วนเข้ามอบตัว หลายส่วนเตรียม "ยุทธศาสตร์" สำหรับครั้งต่อไปอย่างเคียดแค้นชิงชัง ..

มวลชนพี่น้องเสื้อแดง หลายพื้นที่เท่าที่ตัวผมได้สัมผัสโดยตรง ภาคตะวันออกมี ชลบุรี ระยอง จันทรบุรี ตราด อีสานมี อุบล ขอนแก่น มุกดาหาร มหาสารคาม ยโสธร อุดร ในขณะนี้อยู่ในสภาพโกรธแค้นชิงชัง สับสน  และกำลังใจหดหู่ ส่วนในระดับแกนนำท้องถิ่นนั้นพวกเขาไม่ยอมแพ้ พวกเขากล่าวกับผมว่า "ครั้งต่อไปจะนองเลือดกว่านี้ และประชาธิปไตยจะต้องชนะ" ..

ผมแน่ใจว่าพวกเขาพูดจริง  ในระดับมวลชนผมค้นพบว่าหลังจากราชประสงค์แตกย่อยยับทำให้ "ความคิดทางการเมือง" ของเขาถูกยกระดับขึ้นไปอีกครั้ง พวกเขารู้แล้วว่าการสู้รบครั้งต่อไปเขาจะสู้กับ "ใคร" อย่างชัดเจน ..

การจัดตั้งมวลชนในระดับพื้นที่แถบอีสานและภาคเหนือเพิ่มความเข้มมากยิ่งขึ้นในระดับที่น่ากลัวสำหรับฝ่ายอนุรักษ์นิยม เป็นความน่ากลัวในระดับที่รัฐบาลฝรั่งเศสก่อน 1789 ได้รับจากฝ่ายประชาชน เป็นความน่ากลัวในระดับรัฐบาลของพระเจ้าซาร์ นิโคลัส ได้รับก่อน 1917 ..

ปัญหาความเหลื่อมล้ำทั้งเศรษฐกิจและสังคมในประเทศนี้กำลังสำแดงพลังของมันในฐานะปัจจัยหนึ่งในกระแสความเปลี่ยนแปลงอันน่ากลัว ต้นตอของปัญหาไม่เคยถูกแก้มานานแสนนาน แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังคงตามไล่ล่ากวาดล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างเลือดเย็น ..

วิธีการที่พวกอนุรักษ์นิยมนำมาใช้จัดการกับปัญหา คือ ความรุนแรง เป็นความรุนแรงทั้งความคิดและกายภาพ พวกเขาเชื่อว่าปากกระบอกปืนสามารถสยบประชาชนลงแทบเท้าของเขาได้ พวกเขาเชื่อว่าการปกปิดทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้กฎหมายสามารถกวาดล้างสำนึกทาง การเมืองของประชาชนได้ พวกเขาเชื่อว่าประชาชนโง่ดักดานตามพวกเขาไม่ทัน ..

อนิจจา...ความ เชื่อเหล่านี้เกิดจาก "ความกลัว" ทั้งสิ้น พวกเขามองไม่เห็นพัฒนาการใดๆทั้งสิ้นของประชาชน พวกเขายังนึกว่าประชาชนถูกทักษิณซื้อหรือมาเพราะนักการเมืองจัดตั้ง ..

ความมืดบอดทางสติปัญญาของฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะทำให้พวกเขาพังพินาศต่อพลังแห่งความเปลี่ยนแปลงอันเชี่ยวกรากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วน "บนที่สุด" ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่ยอมปล่อยอำนาจการปกครองออกจากมือ พวกเขาเชื่อว่าประเทศนี้ชนชั้นของตนดีที่สุด พวกเขาไม่เชื่อประชาชน พวกเขาไม่เชื่อความเปลี่ยนแปลง พวกเขาดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจเท่านั้น ..

การรักษาอำนาจของเขาทำให้ประชาชนนับร้อยต้องบาดเจ็บล้มตาย เขาฆ่าแม้กระทั่งคนแก่ เด็ก อาสาสมัครจิตอาสา ผู้หญิง คนที่ไม่มีอาวุธในมือ ..

พี่น้องประชาชนผู้สูญเสียเขาไม่สนใจคำอธิบายใดๆของรัฐทั้งสิ้นเพราะรัฐไปฆ่าเขา คำว่าปรองดองเป็นคำที่ตลกร้ายที่สุดสำหรับสถานการณ์ในขณะนี้ ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วสำหรับการ "เอาคืน" ของประชาชนแล้ว ..

ความปรองดองบนพื้นฐานความกลัว คือความหายนะของฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างแท้จริง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“สนธิ” ตั้งเงื่อนไขปรองดอง หนึ่ง ทักษิณติดคุก สอง อย่าสู้เพื่อทักษิณ

Posted: 11 Jun 2010 11:57 PM PDT

สนธิเปรียบนายกฯ ปรองดองเหมือนกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ชี้สังคมพังเพราะคนอยากเป็นกลาง จี้เสื้อขาวตอบทีละข้อเสื้อเหลืองทำอะไรไม่ดีกับชาติบ้าง อัดบรรดาแม่ยกอภิสิทธิ์ไม่ต่างจากเสื้อแดงที่หลงใหลคลั่งไคล้ทักษิณ ลั่นเงื่อนไขปรองดอง หนึ่งทักษิณติดคุก สองอย่าสู้เพื่อทักษิณ ชี้ตั้งกรรมการสอบ 19 พ.ค. ไม่จำเป็นและไม่สมควรอย่างยิ่ง 

<!--break-->

เวลา 20.30 น. วานนี้ (11 มิ.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกับพิธีกรอีก 2 คนคือนางสโรชา พรอุดมศักดิ์ และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ จัดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” เป็นครั้งแรกในรอบปี 2553 หลังจากรอบ 3 สัปดาห์นี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล กลับมาจัดรายการทุกคืนวันศุกร์ติดต่อกันทางสถานีโทรทัศน์ ASTV (คลิกเพื่ออ่านฉบับเต็ม)

นายสนธิเชิญชวนผู้ชมรายการว่า “เต็มอิ่มเลย แล้วท่านผู้ชม ผมไม่อยากจะพูดนะแอนกับแอ้ม บอกเลิกดูรายการไร้สาระ มาเฝ้า ASTV วันศุกร์ เต็มอิ่ม แล้วเสาร์-อาทิตย์ นอนหลับสบาย จันทร์ อังคาร พุธ เริ่มโหยหาว่าเมื่อไหร่จะถึงวันศุกร์”

 

สนธิชี้สมัยออกช่อง 9 เรตติ้งดีกว่า “ชิงร้อยชิงล้าน” และ “ถึงลูกถึงคน”

ช่วงหนึ่งของรายการนางสโรชาถามนายสนธิว่า ทำไมถึงคิดจะรื้อฟื้นรายการนี้กลับมา นายสนธิตอบว่า คิดว่าเมืองไทยรายสัปดาห์ เสน่ห์ของมันอยู่ที่องค์ความรู้ จริงๆ แล้วเหตุผลหนึ่งซึ่งคนตามพวกเรามาตลอด และเข้ามาร่วมกระบวนการกับพวกเรา เพราะปัญญาที่เราได้เปิดและมอบให้เขา จากเรื่องบางเรื่องซึ่งเขาไม่เคยรู้ หรือเรื่องบางเรื่องที่เขารู้เพียงแค่ต้นไม้ต้นเดียว เราเอาป่าทั้งป่าอธิบายให้เขาฟัง นายสนธิยังอ้างว่าสมัยที่จัดรายการใน อสมท. นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ผอ.อสมท. อยากถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ออกจากผัง แต่สมัยนั้นมีการจัดเรทติ้งและคนติดตามเมืองไทยรายสัปดาห์สูงกว่ารายการชิงรอยชิงล้าน และว่ารายการเมืองไทยรายสัปดาห์เรตติ้ง “สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ช่อง 9 เคยทำมา” นายสนธิยังอ้างว่าเรตติ้งสูงกว่ารายการ “ถึงลูกถึงคน” คนนายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดาด้วย

 

เปรียบนายกฯ ประกาศปรองดองเป็นการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด

ตอนหนึ่งนายสนธิ กล่าวถึงแผนการปรองดองของนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวกับนางจินดารัตน์ว่า “ถ้าแอนสังเกตให้ดีๆ นะ นายกฯ พูดครั้งนี้ เหมือนกับว่าไม่ค่อยได้พูดด้วยความรู้สึกที่เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวพูด คือต้องเข้าใจว่านายกฯ คนนี้ ถ้าพูดในสภา พูดเก่งมาก เพราะว่าท่านนายกฯ ท่านอภิสิทธิ์เข้าใจระบบสภา ท่านถึงพูดตลอดเวลาว่ามีปัญหาอะไรก็ให้ไปตกลงกันในสภา” นางจินดารัตน์ตอบว่า “ไปแก้กันในสภา” นายสนธิตอบว่า “ทุกอย่างจบที่สภา ท่านจะชำนาญ ท่านจะอธิบายขั้นตอนเสร็จเรียบร้อย” จากนั้นนางสโรชาเสริมว่า “ตอบโต้เก่งด้วย”

นายสนธิ กล่าวต่อไปว่า “ตอบโต้เก่ง แต่พอมาเรื่องของภาพรวมของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดเรื่องการปรองดอง ท่านพูดโดยที่ท่านไม่รู้ ว่าจริงๆ แล้วประเทศชาติที่ถูกต้องมันต้องเดินไปยังไง ที่ท่านเน้นปรองดองก็เพราะว่าท่านเริ่มกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด

 

ชี้สังคมพังเพราะคนอยากเป็นกลาง จี้เสื้อขาวตอบเสื้อเหลืองทำอะไรไม่ดีกับชาติบ้าง

นายสนธิกล่าวว่า คือท่านไปมองปัญหาของประเทศชาติโดยใช้ความเป็นนักการเมืองมอง ท่านไม่ได้มองในฐานะที่เป็นนักบริหารที่ต้องเข้ามาแก้ปัญหาประเทศชาติ ถ้ามองอย่างนักบริหารเข้ามาแก้ปัญหาประเทศชาติ ท่านต้องยึดความถูกต้องเป็นหลัก ท่านต้องไม่ยึดว่า เนื่องจากว่าสังคมมีการแบ่งแยก พอท่านเข้ามา ท่านและก็คุณสุเทพ และก็พวกทหารบางคน ฉกฉวยโอกาสที่มีความขัดแย้งในสังคม ระหว่างฝ่ายเสื้อเหลืองกับระหว่างฝ่ายเสื้อแดง ก็เลยมองว่า โอ้ นี่เป็นโอกาสทางการเมืองแล้ว ที่จะมายืนตรงกลาง เอามาอีกแล้ว คือปัญหาชาติบ้านเมืองทุกวันนี้มันพังพินาศฉิบหาย เพราะคนอยากเป็นกลางกัน ถูกไหมครับ

เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อท่านบอกเป็นกลางท่านก็หวังว่าความเป็นกลางของท่านจะทำ ให้คนมาเชียร์ท่านว่า นี่ถูกต้องแล้ว 2 ฝ่ายทะเลาะกันก็ต้องเป็นกลาง การทะเลาะกันระหว่างบ้าน 2 บ้านทะเลาะกัน เรื่องของบ้านหลังนี้เอาน้ำไปเทหน้าบ้านอีกหลังหนึ่ง บ้านอีกหลังหนึ่งไม่พอใจเพราะน้ำกระเด็นเข้ามาแล้วทะเลาะกัน แล้วมีคนกลางเข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ย เอาน่าเลิกกันน่าช่างมัน ไอ้นี่มันดูง่าย นี่คือบ้าน 2 บ้านทะเลาะกัน แต่ว่าสิ่งซึ่งเสื้อเหลืองทำกับสิ่งซึ่งเสื้อแดงทำมันคนละด้านกัน สิ่งที่เสื้อเหลืองทำ ผมอยากจะเรียนถามท่านนายกฯ แล้วผมอยากจะเรียนถามประชาชนที่คิดว่าตัวเองเป็นกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายสีขาว อยากจะถามสายสีขาวว่า มีอะไรในสิ่งที่พวกเสื้อเหลืองทำไม่ดีกับประเทศชาติบ้างตอบเป็นข้อๆ ซิ”

 

บรรดาแม่ยกอภิสิทธิ์ไม่ต่างจากเสื้อแดงหลงใหลคลั่งไคล้ทักษิณ

นายสนธิกล่าวด้วยว่า บรรดาแม่ยก หรือคนซึ่งลุ่มหลง หลงใหล และคลั่งไคล้ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ก็ไม่ต่างกับพวกเสื้อแดงที่ลุ่มหลง หลงใหลและคลั่งไคล้คุณทักษิณ คือว่า แตะคุณทักษิณไม่ได้ คุณทักษิณต้องถูก คุณทักษิณเป็นอาชญากรหนีหมายจับ หนีคุก หนีตาราง คดโกงชาติบ้านเมือง ก็บอกคุณทักษิณโดนกลั่นแกล้ง แม่ยกท่านนายกฯ บอกว่า ให้โอกาสท่านนายกฯ ท่านนายกฯ อยู่ในสภาพแบบนี้

“เพราะฉะนั้นแล้ว 2 ฝ่าย เป็นฝ่ายที่ค่อนข้างจะ ผมไม่อยากใช้คำว่า งมงาย ผมใช้คำว่า ยังหลงอยู่ในอวิชชา ยังไม่มีสัมมาปัญญา ตัวผม แอนและแอ้ม ผมไม่เคยหลงใหลในตัวผมเอง อะไรบ้างที่ผมผิด ถ้าคนทักมาผมจะยอมรับผิด แม้แต่ลูกชายผม ผมยังยอมรับผิดกับเขา ผมมีเรื่องๆ หนึ่งกับเขา อธิบายให้เขาฟัง แล้วเขาตอบผมกลับด้วยจดหมาย 2 หน้า ผมรู้ว่าผมผิด ผมยังเขียนในจดหมายเลยว่า ปั๊บ ขอโทษที เรื่องนี้ป๋าผิดไป ผมคิดว่าการเป็นผู้นำที่ดีต้องกล้ายอมรับผิด

 

อ้างคำพูดมาร์ค “ผมไปแสดงออกว่าผมอยู่ข้างคุณสนธิไม่ได้”

เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อคุณอภิสิทธิ์ขึ้นมา ผมไม่รู้ว่าแกคิดยังไงทางการเมือง แต่ไม่รู้แกไปฟังใคร แกเลยมองว่า 2 ฝ่ายทะเลาะกัน แต่ถ้าแกใช้ปัญญานิดนึง พิจารณา เพราะจริงๆ ลึกๆ แกก็รู้ นายสนธิอ้างว่า แกพูดกับผมหลายครั้งเป็นส่วนตัว ว่า แกขอบคุณ แต่สิ่งที่แกขอบคุณในทางลับ กับสิ่งที่แกแสดงออกในทางสาธารณะไม่เหมือนกัน แต่คุณสนธิต้องเข้าใจนะ ผมไปแสดงออกว่าผมอยู่ข้างคุณสนธิไม่ได้ ผมบอกว่า ท่านนายกฯ ผมไม่เคยคิดจะให้นายกรัฐมนตรีคนไหนมายืนข้างผม แต่ว่าท่านนายกฯพร้อมจะยืนข้างความถูกต้องไหม ท่านบอกผมพร้อม ผมก็นึกในใจ ถ้าคุณพร้อมคุณก็ยืนข้างผม ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ ผมสู้เพื่อชาติบ้านเมือง พวกเราสู้เพื่อปราบปรามคอร์รัปชั่น เราไม่เห็นด้วย เรารู้เพื่อไม่ให้ทักษิณกลับมา ให้ทักษิณกลับมารับโทษ เรารู้ไม่ให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ เราสู้เพื่อไม่ให้มีการจาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ และสิ่งที่เราสู้ เรารู้ตั้งแต่ปี 48 49 50 51 52 53 สู้จนกระทั่งเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม สู้จนกระทั่ง ศอฉ.ต้องยอมรับ เพราะสิ่งที่เราสู้มาตลอดมันถูกต้อง

ผมเลยถามกลับว่า ถ้าอย่างนั้น คุณจะปรองดองเรื่องอะไร ในเมื่อ ถ้าคุณจะปรองดองเหตุผลที่คุณจะปรองดอง เพราะคุณจะฉกฉวยโอกาสอันนี้ เพราะสังคมไทยทุกวันนี้ เป็นสังคมด้อยปัญญา เคยสังเกตไหม คนไทยขี้เบื่อมาก โอ๊ย วุ่นวาย เมื่อไรจะสงบ พูดแบบคนโง่ วุ่นวายจริงๆ เมื่อไรจะสงบ ถ้าผมคิดของผมว่า วุ่นวายจริงๆ เมื่อไรจะสงบ หรือไม่ใช่เรื่องของผม ผมทำได้แค่นี้ จบ เมืองไทยรายสัปดาห์เมื่อ 9 กันยาฯ จบแล้วจบเลย แล้ววันนี้ประเทศไทยอยู่ที่ไหน”

 

คนเฟซบุ๊คเริ่มสนใจการเมืองเพราะมีการลอบยิงสนธิ เสื้อแดงเผาเมือง

นอกจากนี้ นายสนธิยังกล่าวว่า “ทำไมคนไทยทุกวันนี้ทำไมมีเฟสบุ๊คเป็นล้านๆ ชุด แล้วทำไมคนในเฟสบุ๊คถึงเริ่มมาสนใจทางการเมือง ก็เพราะว่ามันผ่านเลือดเนื้อหยดน้ำตา การขึ้นศาล การลอบยิงผม มาจนกระทั่งถึงวันที่พวกเสื้อแดงเผาเมือง ถึงจะเห็น ทีนี้ เมื่อจุดเริ่มต้นการกลัดกระดุมท่านนายกฯ กลัดผิดตั้งแต่ต้น ไปกลัดผิดว่าท่านต้องเป็นกลาง ท่านต้องเอากฎหมาย ท่านจะพูดชัดเลยว่าต้องเอากฎหมายเป็นหลัก ไม่มีใครเหนือกฎหมาย แต่วันนี้กฎหมายเป็นหลักของท่าน หมายจับคดีต่างๆ ของพวกเสื้อแดง ก็ยังอยู่เฉยๆ ไม่มีใครทำอะไร มีคุณธาริตคนเดียว อธิบดีดีเอสไอ ที่ออกมาเต้นแร้งเต้นกา แล้วผมก็ขอบคุณคุณธาริต เพราะผมมองว่าคุณธาริต ผมหวั่นเกรงว่าคุณธาริตทำอย่างนี้ รัฐบาลจะไม่ชอบใจ เพราะมันไปสวนทางปรองดองของรัฐบาล เมื่อท่านนายกฯ ยังมองไม่ออกว่าเสื้อเหลืองหยุดอยู่ตรงไหน เสื้อแดงยืนอยู่ตรงไหน และท่านนายกฯ ท่านยืนตรงกลาง”

 

ลั่นเงื่อนไขปรองดอง หนึ่งทักษิณติดคุก สองก้าวข้ามทักษิณอย่าสู้เพื่อทักษิณ

นายสนธิกล่าวต่อไปว่า “แล้วท่านต้องการปรองดอง ถามว่าผมพร้อมจะปรองดองไหม มีคนถามผมหลายครั้ง ผมบอกผมพร้อมจะปรองดองบนเงื่อนไข 2 เงื่อนไข เงื่อนไขแรกคุณทักษิณต้องกลับมาติดคุก พวกคุณต้องก้าวข้ามคุณทักษิณไปเสีย อย่าไปสู้เพื่อคุณทักษิณ จนทุกวันนี้ก็ยังสู้เพื่อคุณทักษิณอยู่

เงื่อนไขข้อที่ 2 คุณต้องแสดงเจตนารมณ์ทั้งกาย วาจา และใจ ว่าคุณไม่ต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ก็ยังไม่มีการทำที่ชัดเจน” นางจินดารัตน์กล่าวเสริมว่า “ก็คือต้องเอาคนชั่วมาสำนึกผิด”

นายสนธิกล่าวต่อว่า ต้องเอาคนชั่วมาสำนึกผิด ในเมื่อมันผิดแล้ว คุณจะให้คนผิดมาปรองดองได้ยังไง คือเขากลับไปสู่จุดเดิมตรงที่ว่าเอาพระกับโจรมาปรองดองไม่ได้ ที่สำคัญ ปรองดองเพื่อปฏิรูป คุณจะปรองดองก่อนเพื่อปฏิรูป ก็หมายความว่า เอาล่ะ พวกนี้เผาบ้านเผาเมือง พวกนี้อยู่เบื้องหลัง แล้วคุณประกาศออกมาทำไมใน ศอฉ. ปิดบัญชีเขา ประกาศออกมีใครบ้างที่เกี่ยวข้อง

นางสโรชากล่าวเสริมว่า “มีขบวนการล้มเจ้า มีขบวนการก่อการร้าย” นายสนธิ กล่าวต่อว่า “มีขบวนการล้มเจ้า ถ้าอย่างนั้นคุณก็กำลังบอกว่า ไอ้ที่คุณประกาศออกมาเนี่ย วันนี้ไม่เป็นไรแล้ว”

“แล้วก็แล้วกันไป มา มานั่งปรองดองกัน ถ้าอย่างนั้นอีกหน่อยผมทำอย่างนี้ คุณก็ต้อง ถึงจุดๆ หนึ่งคุณอยากปรองดอง คุณก็ เอ้าคุณสนธิไม่เป็นไร คุณไม่ผิด มาๆ นั่งปรองดองกัน หนึ่ง มันสวนทางคำว่าหลักนิติรัฐ ท่านนายกฯ ที่พูดว่าทุกอย่างต้องอยู่ในหลักนิติรัฐ ท่านไม่ได้ทำ อันที่ 2 ที่สำคัญที่สุดคือ ปฏิรูปกับปรองดองไปด้วยกันไม่ได้ เพราะว่าปฏิรูปกับปรองดองเมื่อรวมกันแล้วคือการฮั้วกัน สรุปง่ายๆ ว่า ผมเกรงว่าท่านนายกฯ กำลังทำเรื่องนี้เพียงเพื่อให้ท่านเล่นการเมืองต่อไปได้”

 

ชี้สมัยชวนไม่มียูทูป จึงซื้อเวลาว่า “ยังไม่ได้รับรายงาน” สมัยมาร์คต้องตั้งกรรมการ

นายสนธิกล่าว่าสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น “ยูทูบยังไม่มี โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมยังไม่มี ฉะนั้นคุณชวนก็ซื้อเวลาด้วยคำพูดว่า ยังไม่ได้รับรายงาน แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการซื้อเวลา เทคโนโลยีมันพัฒนามาถึงจุดนี้แล้ว อะไรเกิดขึ้น ยังไม่ทันไร Facebook ขึ้นแล้ว และท่านนายกฯ เองเป็นคนที่ชอบเล่น Facebook ท่านรู้ว่า ท่านซื้อเวลายังไม่ได้รับรายงานไม่ได้ แล้ววิธีไหนซื้อเวลาดีที่สุด ตั้งคณะกรรมการ”

 

ชี้การตั้งกรรมการสอบ 19 พ.ค. ไม่จำเป็นและไม่ควรอย่างยิ่ง

นายสนธิกล่าวด้วยว่า เรื่องบางเรื่องท่านไม่ควรตั้งกรรมการ ท่านก็ตั้ง เช่นเรื่องคุณคณิต ณ นคร การที่รัฐบาลสั่งให้ทหารออกไปสลายการชุมนุมแล้วมีคนตายขึ้นมา รัฐบาลไม่จำเป็นและไม่ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตั้งคณะกรรมการเพื่อมาสอบ ข้อเท็จจริง ถ้ารัฐบาลตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบข้อเท็จจริง แสดงว่า สิ่งที่รัฐบาลสั่งทำไปนั้น รัฐบาลไม่มั่นใจว่าถูกกฎหมายหรือเปล่า

“สมมติว่า คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมา เกิดสรุปว่าทหารผิด แล้วคุณจะทำยังไง ทหารก็บอกว่า ผมจะผิดได้ไงผมทำตามคำสั่งคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็มีใบซึ่งเขาเซ็นอนุญาตให้ผมทำ คำถามมีถามต่อว่า ท่านนายกฯ จะจัดการคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ มั๊ย” นายสนธิกล่าว

นายสนธิกล่าวต่อไปว่า “เดี๋ยวตั้งกรรมการสอบอีกครั้งหนึ่ง เข้าใจรึยัง เพราะฉะนั้นแล้วในกรณีของเหตุการณ์ 19 พ.ค. ไม่จำเป็นต้องตั้งกรรมการ เพราะว่ารัฐบาลทำถูกต้องแล้ว เมื่อรัฐบาลทำถูกต้อง ฝ่ายตรงกันข้ามไม่พอใจคิดว่ารัฐบาลกลั่นแกล้ง มันมีช่องทางที่เขาไปร้องเรียนได้หมด มีศาลปกครอง เขามีศาลอาญา มี ป.ป.ช. มีหมด เขามีหมด เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อมีหน่วยงานที่จะต้องเข้าไปรับผิดชอบดูแลท่านนายกฯ ไม่ใช้ ท่านนายกฯ ก็ตั้งกรรมการเพียงเพื่อจะให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่า ผมตั้งกรรมการ ในที่สุดถ้ากรรมการสรุปมาว่าไม่มีใครผิดเราคืนดีกันดีกว่า” นายสนธิกล่าว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น