โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

“แอมเนสตีมาเลเซีย” สัมภาษณ์พิเศษ “ออง ซาน ซูจี”

Posted: 26 Nov 2010 09:05 AM PST

ออง ซาน ซูจี” ผู้นำพรรคเอ็นแอลดีของพม่า ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับ “แอมเนสตี มาเลเซีย” ตอบคำถามจากเยาวชนอาเซียน พร้อมฝากคนหนุ่มสาวทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ เพื่อให้มีการปล่อยตัวนักโทษการเมืองในพม่า ซึ่งในจำนวนนี้มีเยาวชนรวมอยู่ด้วย “ประชาไท” นำเสนอพร้อมเสียงสัมภาษณ์

ไฟล์เสียงสัมภาษณ์พิเศษทางโทรศัพท์กับ “ออง ซาน ซูจี” เมื่อ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา จากคำถามของนักกิจกรรมเยาวชนในอาเซียน ตั้งถามโดยนอรา มูรัต (Nora Murat) ผู้อำนวยการแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล มาเลเซีย [ที่มา: ได้รับการเอื้อเฟื้อจากแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล มาเลเซีย (Amnesty International Malaysia)]

 

เมื่อคืนวันที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา ที่เปตาลิงจายา ประเทศมาเลเซีย แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล มาเลเซีย (Amnesty International Malaysia) หรือเอไอมาเลเซีย ได้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับนางออง ซาน ซูจี ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพปี 2534 และผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ NLD ของพม่า ซึ่งเพิ่งได้รับอิสรภาพเมื่อวันเสาร์ที่ 13 พ.ย. ที่ผ่านมา หลังถูกกักบริเวณในบ้านมาตั้งแต่ปี 2546 โดยการสนทนานี้กินเวลาประมาณ 6 นาทีเศษ

ก่อนหน้านี้เมื่อคืนวันที่ 23 พ.ย. ที่ผ่านมา เอไอมาเลเซีย พยายามจัดการสนทนาทางไกล (teleconference) กับนางออง ซาน ซูจี เช่นกัน โดยกำหนดการในวันดังกล่าวนักกิจกรรมเยาวชนของเอไอมาเลเซีย และนักกิจกรรมเยาวชนของแอมเนสตีอินเตอร์เนชั่นแนลจากหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ รวมทั้งฮ่องกง อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ จะเป็นผู้ตั้งคำถาม และนางออง ซาน ซูจีจะเป็นผู้ตอบ อย่างไรก็ตามในวันดังกล่าวไม่สามารถติดต่อทางโทรศัพท์เข้าไปในพม่าได้

ต่อมาในวันที่ 24 พ.ย. เอไอมาเลเซีย พยายามติดต่อนางออง ซาน ซูจีอีกครั้ง โดยแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล ออสเตรเลีย หรือ เอไอ ออสเตรเลีย ได้ร่วมฟังการสนทนาทางไกลครั้งนี้ด้วย และในครั้งนี้สามารถติดต่อกับนางออง ซาน ซูจีได้ โดยผู้สัมภาษณ์คือ น.ส.นอรา มูรัต (Nora Murat) ผู้อำนวยการเอไอมาเลเซีย เป็นผู้สัมภาษณ์นางออง ซาน ซูจี โดยใช้คำถามที่รวบรวมจากนักกิจกรรมเยาวชนของแอมเนสตี อินเตอร์เนชั่นแนล และคำถามจากนางนอราเอง

เรากังวลมากว่าสายจะถูกตัด เราทราบมาก่อนว่าการโทรศัพท์เข้าพม่าเป็นเรื่องไม่น่าวางใจ แต่คืนดังกล่าวถือเป็นคืนที่มหัศจรรย์สำหรับพวกเราและบรรดาเยาวชน” นอรากล่าวผ่านคำแถลงในอีเมล์ “สิ่งนี้ทำให้พวกเรามีความสุขและมีแรงบันดาลใจที่จะทำงานของเราต่อไป”

โดยนางออง ซาน ซูจีตอบคำถามทั้งหมด 5 ข้อ โดยนางออง ซาน ซูจี ได้ตอบคำถามของนายไฟซาล อาซิส (Faisal Aziz) เยาวชนจากมาเลเซีย ซึ่งถามปรึกษาว่าเยาวชนจะสามารถดำเนินการรณรงค์ในประเด็นพม่าได้ในด้านใด และกลุ่มใดที่ควรเป็นเป้าหมายของการรณรงค์ โดยนางออง ซาน ซูจีตอบว่า “เพื่อนคนหนุ่มสาว ขอให้พยายามทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ เพื่อให้มีการปล่อยตัวนักโทษการเมืองในพม่าจำนวนกว่า 2,200 คน ในจำนวนนี้เป็นคนหนุ่มสาวเช่นเดียวกัน จำนวนมากอายุไม่ถึง 20 ปี” นางออง ซาน ซูจีกล่าวด้วยว่าสิ่งแรกที่ต้องทำคือ “สร้างความตระหนักรู้ถึงสถานการณ์นักโทษการเมืองในพม่า”

ออง ซาน ซูจี ตอบคำถามถึงสถานการณ์ในพม่าหลังจากที่เธอได้รับการปล่อยตัวว่า สิ่งที่ฉันเห็นในวันแรกก็คือ ได้เห็นคนหนุ่มสาวในพม่าจำนวนมากในวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นที่เธอกล่าวปราศรัยที่หน้าพรรคเอ็นแอลดี ซึ่งเธอระบุว่า “เป็นสิ่งที่ทำให้เธอมีกำลังใจมากๆ” และระบุว่าอยากเห็นคนหนุ่มสาวในพม่าได้ติดต่อกับคนหนุ่มสาวทั่วโลก ซึ่งจะช่วยหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับพม่าต่อไป

ต่อคำถามสุดท้ายที่ว่า รัฐบาลประเทศไหนที่เป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดที่คนหนุ่มสาวจะรณรงค์เพื่อสร้างกระแสกดดันต่อรัฐบาลทหารพม่าให้เกิดมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชน นางออง ซาน ซูจี ตอบว่า เพื่อให้เกิดสิทธิมนุษยชนในพม่า กล่าวเฉพาะประเทศในอาเซียนทั้งหมด เราต้องการให้พวกเขาทั้งหมดร่วมมือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไทยถือว่าสำคัญเพราะถือเป็นประเทศเพื่อนบ้าน สิงคโปร์ก็เป็นประเทศสำคัญด้านเศรษฐกิจกับพม่า มาเลเซียก็สำคัญเพราะต้องก้าวเดินไปข้างหน้าร่วมกัน รวมทั้งอินโดนีเซียก็มีความสำคัญเพราะเคยเป็นประเทศเผด็จการทหารและปัจจุบันเปลี่ยนเป็นประเทศประชาธิปไตย ซึ่งมีประธานาธิบดีมีท่าทีที่ดีต่อเรา

โอกาสนี้ เอไอมาเลเซียได้เอื้อเฟื้อคลิปเสียงสัมภาษณ์ออง ซาน ซูจีความยาวประมาณ 6 นาทีเศษสำหรับเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไทด้วย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“มาร์ค” เผยปีหน้าเตรียมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีก 10-11 บาท แย้มเตรียมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

Posted: 26 Nov 2010 08:11 AM PST

เมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 26 พ.ย. ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “พลิกความท้าทายสู่โอกาส : ประเทศไทย 2554” มีใจความตอนหนึ่ง ว่า ความท้าทายขณะนี้ มีเพียง 2 ด้าน คือ เศรษฐกิจ และการเมือง โดยช่วงเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ค่อนข้างเร็ว จนอาจเรียกได้ว่าดีที่สุดในภูมิภาค และในโลก จีดีพีมีโอกาสขยับใกล้ร้อยละ 8 การว่างงานร้อยละ 1 เงินเฟ้อร้อยละ 3 หนี้สาธารณะต่อจีดีพี ร้อยละ 40 บัญชีเดินสะพัดเกินดุลต่อเนื่อง แต่โลกปัจจุบันความผันผวนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา สิ่งสำคัญคือ ตั้งสติ เรียนรู้ วางแผน และปรับตัว ซึ่งวิกฤตที่ผ่านมาเป็นเรื่องท้าทาย 2 ด้าน คือ 1.จะต้องเปลี่ยนแปลงอะไร 2.มีอะไรต้องรักษาไว้บ้าง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า วิกฤตเศรษฐกิจ 1-2 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เป็นจุดแข็งที่ต้องยืนยันของเราคือ วินัยการเงินการคลัง ขณะนี้ ยังมีบางประเทศ โดยเฉพาะในทวีปยุโรปที่มีปัญหาเรื่องวินัยการเงินการคลัง จนอาจเกิดวิกฤตรอบสอง ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจเวลานี้คือ ความไม่สมดุลระหว่างเศรษฐกิจสหรัฐ และจีน ทำให้เงินทุนไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ปัญหาเวลานี้ ไม่ใช่เงินบาทแข็งค่า แต่เป็นปัญหาเงินดอลลาร์ ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดท่าทีชัด โดยปรึกษากับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตลอดว่า จะไม่ฝืนตลาด ต้องไม่คิดฝืนให้กลับไปที่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทำให้ยิ่งเจ็บหนัก แต่ให้คิดว่าถ้าอยู่ 28-30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะแก้ปัญหาอย่างไร

นายกฯ กล่าวต่ออีกว่า สิ่งที่ต้องระวังเวลานี้คือ ต้องดูแลไม่ให้เกิดการเข้ามาเก็งกำไรในภาคเศรษฐกิจจริง จนทำให้เกิดปัญหาฟองสบู่ เชื่อว่าผู้ว่าการ ธปท.จะยืนยันได้ แต่จังหวะนี้ ก็เป็นโอกาสทองที่จะนำเข้าเครื่องจักร และเทคโนโลยีที่สำคัญ เป็นโอกาสในการเสริมความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ จากเดิมที่เน้นแต่การส่งออก โดยรัฐบาลมีนโยบายเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ ทั้งการขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ในเดือน เม.ย.ปีหน้า และมีนโยบายจะปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นตัวเลข 2 หลัก ประมาณ 10-11 บาท จาก 2 ปีที่ผ่านมาที่ขึ้นเพียง 2-3 บาท ซึ่งสิ่งนี้ จะทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวว่า ต่อไปเศรษฐกิจไทยจะไม่แข่งขันโดยการกดค่าแรง

ที่มา: http://www.dailynews.co.th
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"จรูญ" ถอนตัวคดียุบปชป. เทพไทเผยสุเทพอาจขึ้นรักษาการนายก

Posted: 26 Nov 2010 08:06 AM PST

ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติอนุญาตให้นายจรูญ อินทรจาร ถอนตัวจากการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์เผยพร้อมรับคำตัดสิน ด้านเทพไท เสนพงศ์แย้ม หากสุเทพรักษาการนายกฯได้หากอภิสิทธิ์ถูกตัดสิทธิ์

เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่า เวลาประมาณ 16.20 น. วันที่ 26 พ.ย. เจ้าหน้าที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้นำเอกสารเผยแพร่มาแจกให้กับผู้สื่อข่าวโดยเนื้อความระบุว่า เนื่องจากนายจรูญ อินทจาร และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีหนังสือขอถอนตัวออกจากการพิจารณาคดีที่นายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยเหตุผลว่าได้ฟ้องคดีในข้อหาความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญาไว้ต่อศาลอาญาแล้ว ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นกรณีที่มีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ จึงอนุญาตให้นายจรูญ ถอนตัว ส่วนนายสุพจน์ ไม่อนุญาตให้ถอนตัว

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ทั้งนี้เมื่อคณะตุลาการให้นายจรูญถอนตัว ทำให้เหลือตุลาการเพียง 6 คนในการพิจารณาวินิจฉัยในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย นายชัช ชลวร นายบุญส่ง กุลบุปผา นายจรัญ ภักดีธนากุล นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี นายสุพจน์ ไข่มุกด์ และนายนุรักษ์ มาประณีต
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการตัดสินคดียุบพรรคซึ่งจะมีขึ้นในวันจันทร์หน้าว่า ยังไม่มีแผนรองรับการตัดสินของศาล และหากศาลวินิจฉัยว่าไม่ผิดก็เดินหน้าทำงานต่อ ถ้าศาลวินิจฉัยว่าผิดก็ต้องดูว่าศาลตัดสินลงโทษใครอย่างไร เราก็ต้องยอมรับการตัดสิน คนที่ถูกตัดสิทธิ์ก็ต้องหมดสิทธิ์ไป คนที่ไม่ถูกตัดสิทธิ์ก็ต้องตัดสินใจอนาคตทางการเมือง แต่มั่นใจว่าสมาชิกพรรคที่ไม่ถูกตัดสิทธิ์ก็ต้องรวมตัวกันเพื่อทำงานในทางการเมืองต่อไป

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามีความกังวลว่าถ้าตัดสินแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงฝ่ายบริหารจะเกิดสูญญากาศและอาจเป็นเหตุผลให้อำนาจนอกระบบกลับเข้ามาอีกครั้ง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนก็พยายามป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะดังกล่าว และยืนยันมาตลอดว่าทุกฝ่ายต้องเคารพการตัดสินและบางปม เช่น เรื่องรัฐธรรมนูญที่เพิ่งผ่านไปก็เป็นปมปัญหาง่ายถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ก็พยายามจะลดในทุกๆเงื่อนไข อย่างไรก็ตาม กรณีการตัดสินคดียุบพรรคหากฝ่ายบริหารต้องพ้นจากตำแหน่งไป คนถูกตัดสิทธิ์ก็ยังมีกลไกของรัฐสภาก็ต้องเลือกนายกฯคนใหม่ และดำเนินการต่อไป ทุกคนต้องยอมรับกติกา

ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยถึงการเตรียมการของทางพรรคประชาธิปัตย์ว่า ในวันที่ 29 พ.ย. นี้พรรคได้ทำหนังสือขออนุญาตต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้แกนนำพรรคและคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคได้ร่วมฟังคำแถลงปิดคดีด้วยวาจา ประมาณ 20 กว่าคน ซึ่งในจำนวนนี้ มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค และหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายในการต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงนายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคด้วย
ส่วนผลของการตัดสินของศาลจะออกมาเช่นใด ทางพรรคไม่ได้มีการเตรียมการอะไร ซึ่งไม่ว่าผลออกมาจะเป็นบวกหรือลบ พรรคก็พร้อมเคารพและปฏิบัติตาม ยืนยันว่าจะไม่มีกระบวนการกดดันใดแน่นอน

อย่างไรก็ตาม นายเทพไท กล่าวว่า ถ้าผลออกมาเป็นลบ พรรคก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ถ้ามีการตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค ก็ต้องมีการเลือกตั้งซ่อม แต่ถ้าตัดสิทธิ์ผู้ที่มีตำแหน่งในฝ่ายบริหารในรัฐบาลนี้ ก็ต้องมีการสรรหาใหม่ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากนายกฯถูกตัดสิทธิ์ ก็จะมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ รักษาการตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ เพราะไม่ได้ร่วมเป็นกรรมการบริหารพรรคชุดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม พรรคมั่นใจว่าจะรอดพ้นจากคดีนี้ได้

ที่มา: http://www.thairath.co.th
ที่มา: http://www.komchadluek.net
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อสังหาริมทรัพย์สหรัฐอเมริกายังทรุดต่อในไตรมาส 3 นี้

Posted: 26 Nov 2010 05:56 AM PST

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา ยังตกต่ำต่อเนื่อง สะท้อนความเปราะบางทางเศรษฐกิจ และในเมื่อเศรษฐกิจของประเทศนี้ยังตกต่ำ ก็ทำให้เศรษฐกิจโลกยังชะลอตัวต่อไป

ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส แถลงผลการสำรวจล่าสุดของสหรัฐอเมริกาพบว่า ตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา ยังตกต่ำต่อเนื่อง สะท้อนความเปราะบางทางเศรษฐกิจ และในเมื่อเศรษฐกิจของประเทศนี้ยังตกต่ำ ก็ทำให้เศรษฐกิจโลกยังชะลอตัวต่อไป

ในการติดตามสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกานี้ ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ได้พบว่าราคาบ้านลดลง 1.6% ในไตรมาสที่ 3 (กันยายน 2553) เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ทั้งนี้เป็นผลการสำรวจของสำนักงานเคหะการแห่งสหรัฐอเมริกา

เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้ว หรือในรอบ 1 ปี ราคาบ้านลดลง 3.2% ซึ่งถือเป็นการลดลง 3 ปีต่อเนื่องกันในสหรัฐอเมริกา โดยในปี 2551 ลดจาก ปี 2550 ถึง 6.9% ปี 2552 ลดจากปี 2551 อีก 4.0% อาจกล่าวได้ว่าราคาบ้านที่ลดลง 3.2% ในปี 2553 นี้ ความจริงลดลงถึง 5.2% ทั้งนี้เพราะสินค้าอื่นในสหรัฐอเมริกากล้บเพิ่มขึ้นถึง 2.0% ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าราคาบ้านลดลงถึง 5.2%

สำหรับในรายละเอียดรายเดือนพบว่า ราคาบ้านในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายนก็ลดลง 0.7% ส่วนในเดือนก่อนหน้า (กรกฎาคม – สิงหาคม) ก็มีราคาคงที่คือ 0% ราคาบ้านในเดือนกันยายนที่ลดลงมากนั้น ลดลงทุกภูมิภาค ยกเว้นภูมิภาคเดียวคือภ ราคาบ้านในเดือนกันยายนที่ลดลงมากนั้น ลดลงทุกภูมิภาค ยกเว้นภูมิภาคเดียวคือภูมิภาคตอนกลางค่อนไปทางตะวันออกเฉียงใต้ อันได้แก่กลุ่มมลรัฐอินเดียนา เคนตักกี เทนเนสซี มิสซิสซิปปี และจอร์เจีย

หากพิจารณาในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาก็จะพบว่ามลรัฐ เชน ออรีกอน ไอดาโฮ เนวาดา อะริสโซนา เซาท์แคโลไลนา จอร์เจีย ฟลอริดา และฮาวาย ราคายังคงตกต่ำประมาณ 6-10% ซึ่งแย่ที่สุด ส่วนที่แคลิฟอร์เนียที่ตกต่ำหนักสุดในช่วงก่อนหน้านี้ โดยบางเมืองในรัฐนี้ ราคาตกต่ำเกินครึ่ง กลับเริ่มอยู่ตัวแล้ว

สำหรับในรายละเอียดของแต่ละเมืองนั้น เมืองที่ยังตกต่ำหนักสุดในรอบปีได้แก่ นครแอตแลนตา มลรัฐจอร์เจีย (ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของโค้ก) ตกต่ำถึง 10.12% รองลงมาคือนครฟีนิก มลรัฐอะริสโซนา ตกต่ำถึง 8.3% และนครบัลติมอร์ ที่ตกต่ำถึง 7.0% จะเห็นได้ว่าในเมืองเหล่านี้ เป็นเมืองที่มีการเติบโตของโครงการอสังหาริมทรัพย์ และราคาบ้านเพิ่มขึ้นสูงสุดในอดีต

ในอดีตทีผ่านมา สหรัฐอเมริกา มีการเพิ่มขึ้นของราคาบ้านตั้งแต่ปี 2535 จนถึงเดือนเมษายน 2550 และจากนั้นราคาก็ตกต่ำหรือทรงตัวมาตลอดจนถึงปัจจุบัน ในช่วงที่ราคาขึ้นไม่หยุดนั้น ปรากฏว่า สถาบันการเงินก็อำนวยสินเชื่อถึงอัตราเกือบ 100% ของมูลค่าบ้านเช่นที่กำลังดำเนินการกันอยู่ในประเทศไทย และต่อมายังให้กู้ถึง 110% จนถึง 120% จนเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ ราคาบ้านตก สถาบันการเงินต่าง ๆ ก็มีปัญหาตามลำดับ ดังนั้นการอำนวยสินเชื่อกันอย่างประมาทเพียงเพื่อให้ได้ลูกค้าระยะสั้น อาจกระทบต่อสถานะของสถาบันการเงิน และผู้ถือหน่วยลงทุนรายย่อย ประเทศไทยจึงพึงสังวรเป็นพิเศษในประสบการณ์อันเลวร้ายทีผ่านมาของสหรัฐอเมริกา

ดร.โสภณ กล่าวว่า เมื่อปี 2531 สหรัฐอเมริกาก็เคยประสบปัญหาวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ขึ้นมาครั้งหนึ่ง และใช้เวลาเยียวยาถึง 4-5 ปี ถ้าอ้างอิงจากเวลาดังกล่าว สหรัฐอเมริกา อาจยังต้องใช้เวลาอีก 1-2 ปีนับจากนี้ในการผ่านพ้นวิกฤติในวันนี้ได้
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รัฐบาลกัมพูชาจัดรำลึกโศกนาฏกรรม ยอดผู้เสียชีวิตปัจจุบัน 347 ราย

Posted: 26 Nov 2010 05:42 AM PST

รัฐบาลกัมพูชาจัดรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากเหตุชุลมุนในงานเทศกาลเมื่อวันจันทร์ (22) ยอดผู้เสียชีวิตปัจจุบัน 347ราย ด้านสหภาพแรงงานกัมพูชาเรียกร้องค่าจ้างชดเชยแก่ครอบครัวแรงงานที่บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์

วันที่ 25 พ.ย. 2553 เป็นวันที่รัฐบาลกัมพูชาจัดให้เป็นวันรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่ ไดมอนด์ ไอแลนด์ เมื่อวันจันทร์ (22 พ.ย.) ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทางการกัมพูชารวมตัวกันในสถานที่เกิดเหตุเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิต นายกรัฐมนตรีฮุนเซนร้องไห้ออกมาขณะที่เขาคุกเข่าแสดงความเคารพวิญญาณของผู้เสียชีวิต

รัฐบาลกัมพูชาแถลงว่า เหตุการณ์นี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในเวลาอันสั้นและในสถานที่เดียวกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเฉลิมฉลองเทศกาล การสูญเสียในครั้งนี้จะเป็นความทรงที่เจ็บปวดและขมขื่นของกัมพูชา ขณะที่ผู้ว่าราชการกรุงพนมเปญกล่าวว่า เหตุการณ์นี้จะเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับรัฐบาลในการจัดงานใหญ่เช่นนี้อีก

สำหรับตัวเลขผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์รัฐบาลกล่าวในวันพุธ (23 พ.ย.) ว่ามียอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงถึง 456 ราย ก่อนที่จะมีการทบทวนยอดผู้เสียชีวิตใหม่และได้ยอดผู้เสียชีวิตลดลงเป็น 347 ราย

ปี เตอร์ ลี เจ้าหน้าที่จากองค์กรเอ็นจีโอ ไซด์บายไซด์ อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้เข้าไปถึงพื้นที่ 45 นาที หลังเกิดเหตุ บอกว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตปัจจุบันดูตรงกับความจริงมากกว่ายอดจากวันพุธ เขากล่าวอีกว่าเหตุที่มีมวลชนตื่นตระหนกในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ต้องกระจายความรับผิดชอบกันออกไป และให้ความเห็นว่าคนที่รับผิดชอบกับเรื่องนี้ทำผิดพลาดในการควบคุมฝูงชน

กระทรวงการท่องเที่ยวของกัมพูชาได้สั่งปิดลานเบียร์, ไนท์คลับ และสถานบันเทิงอื่น ๆ ในวันที่ 25 พ.ย. ด้วย

สหภาพแรงงานกัมพูชาเรียกร้องค่าแรงชดเชยแก่ผู้เสียชีวิต
ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 24 พ.ย. ทางสมาพันธ์สหภาพแรงงานกัมพูชา (CCU) ได้ส่งจดหมายไปยังสมาคมผู้ผลิตสิ่งทอของกัมพูชา (GMAC) เรียกร้องให้มีการจ่ายค่าแรงชดเชยแก่ครอบครัวแรงงานที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ที่ไดมอนด์ ไอแลนด์ ซึ่งทางประธานสหภาพฯ ระบุว่าหากไม่มีการจ่ายค่าแรงแก่คนงานที่เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ทางองค์กรจะเฝ้าดูและติดตามผลในกรณีนี้ต่อไป

ด้านเจ้าหน้าที่อาวุโสของสมาคมสิ่งทอฯ บอกว่าทางสมาคมได้เรียกร้องค่าจ้างที่ค้างอยู่จากโรงงานแล้ว แต่ทางโรงงานก็มีนโยบายในการจัดการกับสถานการณ์ในแบบของพวกเขาเอง โดยบอกอีกว่าพวกเขารู้ว่าจะช่วยคนงานอย่างไรโดยไม่ต้องให้สหภาพฯ มาเตือน และกล่าวอีกวาโรงงานทุกโรงงานจะจ่ายค่าแรงชดเชยส่งให้ทางบ้าน หรือให้ทางครอบครัวผู้เสียชีวิตมารับค่าแรงชดเชยเองได้

มีตัวเลขแรงงานผู้เสียชีวิตรายงานมาจากสหภาพต่าง ๆ โดยเจ้าหน้าที่ GMAC ระบุว่ามีรายงานผู้เสียชีวิตในวันพุธที่ผ่านมาจำนวน 26 ราย บาดเจ็บอีก 60 ราย และสูญหายอีก 2 ราย

ขณะเดียวกันสมาพันธ์สหภาพแรงงานกัมพูชาระบุว่ามีสมาชิกเสียชีวิตจากเหตุการณ์ 20 ราย บาดเจ็บ 32 ราย และคนงานอื่น ๆ สูญหายอีก 15 ราย ส่วน สมาพันธ์สหภาพประชาธิปไตยแรงงานเครื่องนุ่งห่ม กล่าวว่าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่ามีสมาชิกผู้เสียชีวิต 35 ราย และได้รับบาดเจ็บ 33 ราย ส่วนกระทรวงแรงงนขอกัมพูชายังไม่ยืนยันตัวเลขสมาชิกสหภาพที่เสียชีวิต

เว็บไซต์ข่าวของกัมพูชารายงานอีกว่า สหภาพและองค์กรธุรกิจทั่วประเทศกัมพูชาเริ่มมีการจ่ายค่าชดเชยให้กับครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แล้ว ตัวแทนจากสหพันธ์ผู้ผลิตสิ่งทอกัมพูชากล่าวว่ามีคนงานรายหนึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์ และทางบริษัทให้จ่ายค่าชดเชยแก่ครอบครัวแล้ว 2 ล้านเรียล (ราว 15,000 บาท)
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

วิสา คัญทัพ: วันหนึ่ง เราจะฝ่าข้ามไป

Posted: 26 Nov 2010 12:56 AM PST

We shall overcome

กวีศรีประชา แปลจากเพลง ของ Pete Seeger

เราจะฝ่าข้ามไปไม่ท้อแท้
เราฝ่าข้ามพ้นแน่ สักวันหนึ่ง
เชื่อมั่นโดยรู้สึกอันลึกซึ้ง
เราจักข้ามไปถึงโดยทั่วกัน

เดินกุมมือกันมั่นไม่หวั่นไหว
เรากุมมือกันไปไม่ไหวหวั่น
ลึกลงในหัวใจไม่กี่วัน
เราจะฝ่าข้ามมันอย่างแน่นอน

เราจะพบคืนวันสันติภาพ
ภาพสันติฉายฉาบรังสีสะท้อน
หัวใจเชื่อมั่นว่าภราดร
สันติภาพสถาพรจะเป็นจริง

เราไม่กลัวอะไรและไม่หนี
ไม่กลัวแล้ววันนี้ในทุกสิ่ง
ทั้งเชื่อมั่นสุดใจไม่ทอดทิ้ง
เดินและวิ่งรุดหน้าฝ่าข้ามไป

หมดทั้งโลกกว้างใหญ่อันไพศาล
โจนทะยานสง่างามข้ามไปได้
ต้องมีสักวันหนึ่งถึงเส้นชัย
เราจะฝ่าข้ามไปได้แน่นอน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศอฉ.เลิกคำสั่ง ยึดสินค้า สร้างแตกแยก

Posted: 26 Nov 2010 12:47 AM PST

ไก่อูแถลงผลที่ประชุมศอฉ. มีมติยกเลิกคำสั่งให้ยึด อายัดสินค้าที่ก่อให้เกิดความแตกแยก แต่อาจมีคำสั่งแบบเดียวกันอีกหากเห็นว่าจำเป็น เผยเตรียมประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หากเหตุการณ์สงบเรียบร้อย

ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เมื่อ เวลา 10.00 น. วันที่ 26 พ.ย. ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เป็นประธานในการประชุม ศอฉ.โดยมี พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร. พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนพิเศษ ( ดีเอสไอ) และนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และ ผอ.ข่าวกรองแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. แถลงผลการประชุมที่ประชุมได้รับฟังคำชี้แจงถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีๆ ต่างจาก ดีเอสไอ นอกจากนี้ทางฝ่ายข่าวของ ศอฉ.ได้ชี้แจงถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร และ นปช.ที่ผ่านมาว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่มีการการกระทำใดๆ ที่หมิ่นเหม่เข้าข่ายการหมิ่น ดังนั้น ความจำเป็นในการดำเนินคดีตามคำสั่งของ ศอฉ.ที่เคยประกาศในคำสั่งที่ 141/2553 เรื่องให้พนักงานและเจ้าหน้าที่มีอำนาจในการออกคำสั่ง ยึด หรืออายัดสินค้า หรือวัตถุที่ก่อให้เกิดความแตกแยก ขณะนี้ ความจำเป็นนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ที่ประชุม ศอฉ.จึงมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ควรยกเลิกประกาศนี้ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หากพบว่ามีการเตรียมการกระทำการในลักษณะหมิ่นเหม่ต่อสถาบัน ทาง ศอฉ.มีความจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกัน ซึ่งสามารถที่จะประกาศคำสั่งลักษณะเดียวกันได้อีกหากมีความจำเป็น

ส่วนกรณีที่จะมีการชุมนุมของกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองวันที่ 11 ธ.ค. นั้นพ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า เป็นเรื่องของกองบัญชาการตำรวจนครบาล เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลความสงบ ทาง ศอฉ. คิดว่าหากมีการจัดกิจกรรมต่างๆ จะใช้หน่วยงานหลักอย่าง กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.) เป็นผู้ดูแล และ เมื่อเกินขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทางศอฉ.จะจัดกำลังทหารเข้าไปสนับสนุน หากสามารถใช้องค์กรหลักในการดูแลความสงบเรียบร้อยต่อไป พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อาจจะค่อยๆ ลด หรือยกเลิกไป เพราะเราต้องการให้เป็นงานของหน่วยงานหลัก ซึ่ง ศอฉ. เป็นหน่วยงานชั่วคราว คงจะอยู่ต่อไปนานๆ คงไม่ได้ เมื่อถามว่า การชุมนุมที่ผ่านไปด้วยดี ทำให้สถานการณ์ไว้วางใจได้หรือยัง พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า การชุมนุมที่ผ่านมาทั้งสองครั้ง ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากแกนนำ ซึ่งจะทำให้การจัดกิจกรรมในโอกาสต่อไป ทำให้เจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมสามารถดูแลกันได้
 

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ใบตองแห้งออนไลน์: คำสั่ง ‘หมิ่นเหม่’

Posted: 26 Nov 2010 12:15 AM PST

และแล้ว ความผิดฐาน “หมิ่นเหม่” ต่อการหมิ่นสถาบัน ก็ได้รับการบัญญัติเป็นความผิดตามกฎหมาย โดยคำสั่ง ศอฉ.ฉบับที่ 141/2553 ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน ประกอบคำโก่งคออธิบายย้อนหลังโดยไก่อู

หวนกลับไปอ่านคำสั่ง ดก.(ดังกล่าว) อีกหลายรอบก็ยังงุนงงไม่หาย “ห้ามบุคคลใดมีไว้ในครอบครอง หรือมีไว้เพื่อการจำหน่ายจ่ายแจก ซึ่งสินค้า เสื้อผ้า เครื่องอุปโภคบริโภค หรือวัตถุอื่นใด ที่มีการพิมพ์ เขียน วาดภาพ ถ่ายภาพ หรือวิธีอื่นใดที่ทำให้ปรากฏความหมายในลักษณะ ยั่วยุ ปลุกระดม สร้างความปั่นป่วน หรือก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชนโดยทั่วไป หรือเพื่อการกระทำหรือสนับสนุนการกระทำให้เกิดเหตุสถานการณ์ฉุกเฉิน”

เนี่ยนะที่อธิบายว่ามุ่งประเด็นเฉพาะ “หมิ่นเหม่จาบจ้วงสถาบัน”

มนุษย์ทั่วไปที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน อ่านข้อความ ดก.แล้ว ใครบ้างคิดว่าเป็นเรื่องจำกัดเฉพาะการหมิ่นสถาบัน

มนุษย์ทั่วไปที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน อ่านข้อความ ดก.แล้ว ย่อมตีความได้ว่าเป็นคำสั่งครอบจักรวาลที่ห้ามขายเสื้อ ขายรองเท้า หรือสินค้าอะไรก็แล้วแต่ที่ด่าทอโจมตีแสดงความเคียดแค้นทางการเมืองต่อฝ่ายตรงกันข้าม ดังที่เคยมีแม่ค้าเสื้อแดงขายรองเท้ารูปหน้ามาร์ค-เทือก จนตำรวจอยุธยาต้องใช้หมองขบคิดสร้างสรรค์ข้อหากันหัวปั่น

มนุษย์ที่ว่ายังรวมถึงอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งขอให้ ศอฉ.ทบทวนคำสั่ง แต่ ศอฉ.ไม่ทบทวน กลับออกมาอธิบาย แบบเขียนด้วยมือ อธิบายด้วยปาก คนละเรื่องกันเลย

กรณีดังกล่าวจึงมีคำอธิบายได้ 2 อย่างเท่านั้น คือผู้ออกคำสั่งไม่รู้จักใช้ภาษาคน หรือพลาดไปแล้วจึงแก้เกี้ยว

แต่มีกระแสข่าวยืนกรานว่าไม่ได้พลาด เจตนาตั้งแต่แรก ก็ยิ่งทำให้พิศวงว่าเหตุใด กองทัพจึงใช้ภาษาคนไม่เป็น หรือสมัยเรียน จปร.โดน “ซ๋อม” เสียจนสมองพิการสอบตกวิชาการสื่อสารกับมนุษย์ เขียนออกมาให้มนุษย์เข้าใจว่าห้ามขายรองเท้าแตะหน้ามาร์ค เพราะกลัวจะแตกไลน์ไปขายพรมเช็ดเท้า ผ้าอนามัย กระดาษชำระ พ่วงใบหน้าพลเอกอีกซัก 1-2 คน

แต่เอาละ ถ้าจะยึดเอาตามที่ท่านว่า (และให้อภัยกับการใช้ภาษาคนไม่เป็น) มุ่งเฉพาะ “หมิ่นเหม่จาบจ้วงสถาบัน” เช่นที่ ผบ.ทบ.อ้างว่ามีการขายซีดี คำถามก็คือถ้าซีดีนั้นหมิ่นสถาบัน ก็ทำไมไม่จับกุมดำเนินคดีตามมาตรา 112 ที่มีใช้อยู่แล้วล่ะ

มาตรา 112 โทษหนักกว่านะครับ คือติดคุก 3-15 ปี ขณะที่คำสั่งนี้เพียงกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้ามีคนหมิ่นสถาบัน ก็ต้องจับกุมด้วยข้อหาที่มีโทษหนัก จะมาใช้คำสั่งที่มีโทษเบากว่าทำไม

หรือจะบอกว่ามันไม่หมิ่น แต่หมิ่นเหม่ เฮ้ย มีด้วยหรือ ไม่หมิ่น แต่หมิ่นเหม่ มันเป็นอย่างไรกันแน่ มีใครอธิบายได้ ความผิดฐานหมิ่นเหม่ แต่ไม่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เคยได้ยินแต่ข้ออ้างโมเมมาทำรัฐประหารของบิ๊กบัง ซึ่งภายหลังอัยการก็สั่งไม่ฟ้อง

ไม่หมิ่นก็ไม่หมิ่นสิครับ เวลาศาลตัดสิน มี 2 อย่างเท่านั้นคือหมิ่นกับไม่หมิ่น ติดคุกกับยกฟ้อง ยังมีข้อหาสำรองด้วยหรือ ถ้าศาลตัดสินว่าไม่ผิดมาตรา 112 ยังจะตามไปเอาผิดฐานหมิ่นเหม่ตามคำสั่ง ศอฉ.ก็เท่ากับไปขยายความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ตีความกันกว้างจนเกือบไม่มีขอบเขตอยู่แล้ว ให้ยิ่งคลุมเครือมากขึ้น

เอ้า ถ้าซีดีที่ ผบ.ทบ.อ้าง ไม่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ผิดมาตรา 112 แล้วยังไงที่เรียกว่าหมิ่นเหม่ จาบจ้วง มนุษย์ทั่วไปที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนฟังแล้วไม่เข้าใจ เกินจะเข้าใจ มันซีดีแบบไหนกันแน่ (อยากหามาดูเพื่อเป็นกรณีศึกษาก็ไม่กล้า กลัวติดคุก)

แบบนี้กระมังที่นักกฎหมายเขาเรียกว่ากำหนดความผิดอาญาอย่างคลุมเครือด้วยถ้อยคำที่มีความหมายกว้าง ขัดต่อหลักการของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ ประชาชนผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายไม่สามารถทราบถึงสิทธิเสรีภาพที่ตนพึงมี ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการกระทำใดของตนผิดกฎหมายหรือไม่

เพราะมาตรา 112 ระบุไว้ชัดเจนอยู่แล้ว “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”

แล้วอะไรที่อยู่นอกเหนือจากนี้ ที่เรียกว่าหมิ่นเหม่ จาบจ้วง ชาวบ้านธรรมดาจะเข้าใจอย่างไร

แบบว่า-เอ้า แม่ค้าขายรองเท้าแตะหน้ามาร์ค ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ผิดคำสั่ง ศอฉ. มาร์คต้องไปเอาเรื่องเอง แต่สมมติมีพ่อค้าขายเสื้อสกรีนถ้อยคำโจมตีพลเอกเปรมหรือองคมนตรีล่ะ จะเข้าข่ายหมิ่นเหม่ไหม (ตอบไม่ได้ ต้องให้คนไม่กลัวคุกทดลองดู ถ้าผิดก็จะรู้เมื่อโดน ศอฉ.จับ)

แบบว่า-สมมติอะไรก็ไม่ได้อีก เพราะเสี่ยงไปหมด แล้วจะเข้าใจได้ไงว่าอันไหนหมิ่นเหม่

ลำพังการตีความความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ใช้กันอยู่ ก็กว้างขวางคลุมเครืออยู่แล้ว ซ้ำยังห้ามถ่ายทอดข้อความที่ผู้พูดถูกกล่าวหาว่าหมิ่น เหมือนสนธิ ลิ้ม เอาคำพูดดา ตอร์ปิโด มาฉายซ้ำก็โดนข้อหาหมิ่นไปด้วย ฉะนั้น สังคมวงกว้างก็จะไม่รับรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าหมิ่น เว้นแต่ศาลตัดสินว่าพูดอย่างนี้ไม่หมิ่นนะ จึงจะเอามาถ่ายทอดได้ ส่วนที่ศาลตัดสินว่าหมิ่นแล้ว ต้องเอาเทปปิดปาก แม้ใครอยากจะค้าน แสดงความไม่เห็นด้วยกับศาล เช่นนักกฎหมายบางคนเห็นว่าที่วีระ มุสิกพงศ์ พูดในอดีตนั้นไม่หมิ่น ก็ยกคำพูดมาโต้แย้งไม่ได้

เหมือนผมสงสัยว่าคนระดับนาวาตรีไปโดนข้อหาหมิ่นได้อย่างไร เพราะเจ้าตัวน่าจะรู้ว่าถ้ากล่าวพาดพิงในทางเสื่อมเสียก็ต้องโดน เขาโพสต์ข้อความอย่างไรแน่ อยากรู้ แต่ไม่มีใครบอกได้ เพราะขืนเล่าต่อๆ กันไปก็ติดคุกระนาว

แต่ก็มีคนบอกแบบคลุมเครืออยู่เหมือนกันว่า ที่ ศอฉ.ต้องการเอาผิด น่าจะเป็นการใช้ถ้อยคำแบบสัญลักษณ์ ซึ่ง ศอฉ.ตีความว่าเป็นการพาดพิง โดยใช้กันอยู่ในเฟซบุค หรืออยู่ในที่ชุมนุม แบบที่ ศอฉ.ประกาศจับผู้หญิง 2 คนถือป้ายข้อความ (ที่บอกไม่ได้อีกนั่นแหละว่าข้อความอะไร)

ปัญหาก็คือ เขาเล่าว่าการใช้ถ้อยคำเป็นสัญลักษณ์นี้ ไม่ได้มีแค่คำสองคำ แต่มีการคิดค้นใหม่เปลี่ยนไปเรื่อยจากคำนั้นเป็นคำนี้ ซึ่ง ศอฉ.ก็ตามจับไปเรื่อย ทั้งที่ถ้อยคำเหล่านี้ก็เป็นถ้อยคำธรรมดา คนธรรมดาก็พูดกัน แล้วเราๆ ท่านๆ จะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าคำนี้คำนั้นมันดันไปอยู่ในพจนานุกรมหมิ่น ถ้าเผลอใช้ไม่ติดคุกหัวโตเรอะ

แหม จะยกตัวอย่างก็ยกไม่ได้เพราะยังไม่อยากเข้าคุก แต่ลองเปรียบเทียบกับบุคคลธรรมดาอย่างอภิสิทธิ์ดีกว่า แม่ค้าขายรองเท้าแตะมีรูปหน้าอภิสิทธิ์ เข้าข่ายหมิ่นประมาทแน่นอน แต่สมมติแม่ค้าขายเสื้อยืด มีข้อความว่า “ไอ้หล่อสั่งฆ่า” “ไอ้หง่าสั่งยิง” หรือหยาบๆ คายๆ อย่างไรก็ตามโดยไม่มีชื่อหรือภาพอภิสิทธิ์ล่ะ คุณว่าหมิ่นไหม มันอาจ “หมิ่นเหม่” แต่จะตีความได้ไงว่านั่นหมิ่นอภิสิทธิ์

พันธมิตรก็ใช้ข้อความทำนองเดียวกันกับ “ไอ้เหลี่ยม”

ถ้าถ้อยคำเหล่านี้อยู่ในบริบทที่บรรยายพฤติกรรม เช่น “ไอ้หล่อทรราชย์สั่งฆ่าประชาชนที่ราชประสงค์” อย่างนี้ยังพอจะเอาความกันได้ว่าหมายถึงอภิสิทธิ์ แต่สมมติว่ามันเป็นแค่วลีที่ลอยๆ อยู่ บนเสื้อยืด บนป้ายผ้า เขียนตามผนัง เสาไฟฟ้า ตะโกนในที่ชุมนุม จะส่งให้ศาลตีความได้ไงว่า “หมิ่นเหม่”

หรือจะเอาเจตนาเป็นองค์ประกอบ เช่น ถ้าพวกเสื้อแดงใช้คำนี้ละก็ ผิดแหง แต่ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาใช้ ไม่ผิด ก็เป็นปัญหาอีกว่าจะมีมาตรฐานทางกฎหมายได้อย่างไร

คำสั่ง ศอฉ.ฉบับนี้ จึงไม่มีความชัดเจนอะไรเลย ไม่สามารถยกมากางตีความได้ว่าอะไรคือความผิด อะไรคือหมิ่นเหม่ จาบจ้วง ทุกอย่างขึ้นกับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ซึ่งจะไปเที่ยวดูถ้อยคำหรือภาพวาดแปลกๆ ที่พวกเสื้อแดงใช้ในการชุมนุมแต่ละครั้ง แล้วตีความเอาว่าเป็นสัญลักษณ์หมิ่นเหม่ ใช้อำนาจ ศอฉ.จับกุมคุมขังไว้ก่อน ส่งขึ้นศาลแล้วศาลจะตีความอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แล้วจะมีอะไรเป็นหลักประกันคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ มีอะไรเป็นหลักประกันว่าจะไม่กลั่นแกล้งให้ร้ายทางการเมือง

ขณะเดียวกันยังมีข้อกังขาว่า ถ้าประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงหมดอายุแล้ว กองทัพจะทำอย่างไรในการ “ปกป้องสถาบัน” จะมีกฎหมายฉบับไหนออกมากวาดล้างจับกุมความผิดฐานหมิ่นเหม่อีก หรือจะปล่อยปละละเลยไป หรือจะแก้ไขมาตรา 112 ให้ครอบคลุมความหมิ่นเหม่ทั้งหมด

ซึ่งก็ยังมีคำถามว่าแล้วมันจะแก้ปัญหา แก้วิกฤติ ยุติการตอบโต้ ได้จริงหรือ

เพราะถ้ามองมุมกลับ คำสั่งนี้ก็แสดงความ “อับจน” ของกองทัพ กระทั่งต้องออกคำสั่งตีขลุมไว้ก่อน มิหนำซ้ำ ยังส่งผลลบกระทั่งถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ เปิดคางให้เห็นจุดอ่อนของผู้นำกองทัพชุดนี้ ซึ่งเป็นที่สงสัยว่าจะมีสติปัญญาและวุฒิภาวะเพียงพอต่อการรับมือกับวิกฤติที่จะทวีความรุนแรงขึ้นหรือเปล่า

ผมเชื่อมาตลอดว่าทหารน่ะไม่มีใครอยากทำรัฐประหารอีกหรอก เพราะรู้ดีว่ามีแต่จุดจบศพไม่สวย แต่การยืนหยัดในสถานการณ์คับขัน (ที่จะยิ่งคับขันขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงของการนับถอยหลังไปสู่ “จุดเปลี่ยน”) ต้องมีความหนักแน่น มั่นคง มีวุฒิภาวะ และเปิดกระโหลกให้กว้าง รู้จักมองโลกต่างมิติ ซึ่งไม่แน่ใจว่ามี

ปาหี่พันธมิตร

ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลผ่านสภาตามคาด ไม่มีอะไรตื่นเต้น ความสนุกสนานกลับมาอยู่ที่ม็อบพันธมิตรหน้าสภาเสียมากกว่า ตั้งแต่ประพันธ์ คูณมี เรียกร้องให้ทหารปฏิวัติ ทวงบุญคุณถ้าไม่มีพันธมิตรและรัฐประหาร 19 กันยา อภิสิทธิ์ก็ไม่ได้เป็นนายกฯ ส่วนมหาจำลองคุยว่าเป็นนักไล่นายกฯ มืออาชีพ ไล่มาแล้ว 3 คน คอยดูคนที่ 4 จะเป็นยังไง ให้มันรู้ไปว่าแผ่นดินนี้เป็นของใคร

ล่าสุดก็สนธิ ลิ้ม ด่า ปชป.ตระบัดสัตย์ เนรคุณ วิญญูชนจอมปลอม พูดจาสุภาพ พูดเก่ง ตัวประชาธิปไตย ใจเผด็จการ ฯลฯ (แหม พูดถูกใจทั้งนั้น)

เป็นเวทีที่ดูสนุกสุดสุดเลยครับ ดูไปหัวเราะไป ได้อารมณ์ขันยิ่งกว่าจำอวดเชิญยิ้ม ได้ข่าวว่าเขานัดกันใหม่วันที่ 11 ธ.ค.จะมาแบบ “ครบเครื่อง” ขอให้แน่ซักราย ดูซิว่าจะเหลือมวลชนแค่ไหน แต่ต่อให้ระดมเป็นหมื่นก็ไม่มีความหมาย บุกยึดทำเนียบยึดสภาก็อาจโดนลุยหัวร้างข้างแตกฟรี (แม้เขาคงไม่เอาถึงตาย) แกนนำพันธมิตรก็รู้ดีว่าสถานการณ์วันนี้กระแสไม่เข้าข้างตัวแล้ว

เว้นไว้อย่างเดียวคือหวังว่าทหารจะออกมารัฐประหาร แต่ถ้าทหารทำครั้งนี้ก็ไม่ใช่เพราะพันธมิตร อาจจะเพียงเอาเป็นข้ออ้าง ถ้าทหารจะทำก็เพราะกลัวอภิสิทธิ์เสื่อมความนิยมลงเรื่อยๆ จนเอาไม่อยู่ และถ้าทหารทำก็ไม่ใช่พันธมิตรจะเป็นพระเอกได้ต่อไป เผลอๆ จะโดนกวาดเข้าซังเตหมดเหมือนสมัยสฤษดิ์รัฐประหารตัวเองปี 2500 ซึ่งพวกสื่อและนักประชาธิปไตยส่วนหนึ่งที่หันไปเชียร์สฤษดิ์ล้มจอมพล ป.โดนสฤษดิ์ดัดหลังอย่างเจ็บแสบ

อาการของพันธมิตรที่แสดงออกอยู่ตอนนี้ เรียกได้ว่าเป็นอาการของพวกที่ขายวิญญาณให้ซาตานแล้วโดนดัดหลัง พันธมิตรซึ่งมาจากนักเคลื่อนไหวภาคประชาชน สื่อ นักวิชาการ ที่เคยเป็นปากเสียงของคนกรุงคนชั้นกลาง ขายวิญญาณประชาธิปไตยให้ขุนนางอำมาตย์ พอเขาครองอำนาจได้เบ็ดเสร็จก็ถีบหัวส่ง หรือไม่ก็แบ่งปันให้แค่เศษเดน จะมาร้องแรกแหกกระเฌอก็ไร้ความหมาย

การขายวิญญาณของพันธมิตรทำให้สูญเสียหลักการ อุดมการณ์ ของตัวเอง ที่เคยยึดถือ ขณะเดียวกันพันธมิตรยังหลงไปฝากความหวังไว้กับคนกรุงคนชั้นกลาง ซึ่งเอาเข้าจริงก็เป็นแค่พวกโลเลลมเพลมพัด ปลุกง่ายหน่ายเร็ว เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ไม่ได้ยึดเหตุผลกันซักเท่าไหร่ ตอนที่ปลุกให้เกลียดทักษิณก็ดูเหมือนจะมีพลังอันยิ่งใหญ่ไพศาล ปานประหนึ่งสายธารเชี่ยวกราก ที่พร้อมจะกวาดล้างสังคมสามานย์ ก้าวไปสู่ “การเมืองใหม่ใสสะอาดปราศจากคอรัปชั่น” แต่หลังจากประเคนอำนาจให้ขุนนางอำมาตย์รับเหมาทำแทน ใช้เล่ห์กลภิวัตน์ตัดต่อจนได้มาร์ค-เนวิน คนชั้นกลางก็พึงพอใจกับ “วิญญูชนจอมปลอม พูดจาสุภาพ พูดเก่ง” แม้จะรู้ว่าไม่ได้ดีอย่างที่หวัง แต่กรูจะเอาแค่เนียะ ยอมรับความสามานย์ของการเมืองเก่าที่ยังเน่าเหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแค่เปลี่ยนหน้าผู้นำมาเป็นคนที่ถูกจริต

สายธารเชี่ยวกรากก็เหลือแต่ฉี่เด็ก คนชั้นกลาง “หายบ้า” กลับไปทำมาหากิน โดยไม่ได้ต้องการปฏิรูปประเทศไทยใดๆ ทั้งสิ้น ปฏิรูปทำไม อยู่อย่างนี้ดีแล้ว คนกรุงคนชั้นกลางมีปากมีเสียง มีช่องทางทำมาหากิน วิ่งเต้นเส้นสาย ฝากลูกเข้าโรงเรียน ทุจริตสอบเข้ารับราชการ เป็นเรื่องธรรมดาสามัญในสังคม แต่เราก็ยังมีคุณธรรมนะ เพราะเรารักในหลวง เรายกย่องเทิดทูนคนดี เราประณามพวกไร้ศีลธรรมทำแท้ง ขณะเดียวกันเราก็ดูละครหลังข่าวและกรี๊ดกร๊าดกับข่าวดาราแต่งงาน หมั้น บวช หรือท้องไม่มีพ่อ

คนชั้นกลางหายบ้าแล้ว เหลือแต่มวลชนพันธมิตรเดนตายที่ยัง “บ้า” อยู่ คือเป็นคนที่ยังข้นคลั่กไปด้วยอุดมการณ์ แต่เป็นอุดมการณ์อันสุดขั้วสุดโต่งและสะเปะสะปะ อย่างเช่นพวกข้าราชการเกษียณ คนเฒ่าคนแก่ความคิดอนุรักษ์นิยม ซึ่งโหยหาวันคืนเก่าๆ ที่พวกเขาเชื่อว่ามีแต่ความดีงามและศีลธรรมจรรยา เกลียดนักการเมือง เกลียดทุจริตคอรัปชั่น เกลียดวัฒนธรรมตะวันตก เกลียดประชาธิปไตยตะวันตก เกลียดโลกาภิวัตน์ เกลียดไปหมดจนตาค้างตายตาไม่หลับ เหมือนยายแก่ในเรื่องสั้นของหลู่ซิ่นที่บ่นว่า “มันเลวลงไปเป็นรุ่นๆ”

พูดไปก็ยิ่งสงสาร เพราะมวลชนพันธมิตรเริ่มต้นจากจิตใจที่ใสสะอาด แต่แกนนำดันไปขายวิญญาณระหว่างการต่อสู้ พอขายวิญญาณยกอำนาจให้เขาแล้ว สูญเสียพลังของคนชั้นกลางไปแล้ว ซ้ำยังทำให้ภาคประชาชนแตกแยก พันธมิตรจะเคลื่อนไหวอะไรก็เคลื่อนไม่ออก ไม่มีพลัง ไม่มีความหมาย

อย่าว่าโง้นว่างี้เลย แม้แต่พวก NGO ขุนนางวันนี้ก็ไม่เลือกข้างพันธมิตร เพราะ ครม.มีมติอัดงบให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยของอานันท์-ประเวศ ไปจุใจ 1,200 ล้านบาท สมมติพันธมิตรยึดสะพานมัฆวาฬ หมอศุภกร บัวสาย อดีตผู้จัดการ สสส.ก็คงไม่เดินเข้าไปบริจาคเงินให้ พธม.เหมือนตอนยึดทำเนียบ เพราะมาร์คเตรียมจะตั้งหมอศุภภรเป็นผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน หรือ สสส.การศึกษา (กองใหญ่กว่าเดิมเสียอีก ถึงได้คิดจะขึ้นภาษีบุหรี่)

พันธมิตรเคลื่อนไม่ออกเพราะสูญเสียหลักการและอุดมการณ์ของตนไปแล้ว หลังจากเลือกข้างขายวิญญาณ พันธมิตรไม่สามารถเคลื่อนไหวโดยอิงหลักการประชาธิปไตย อย่างเช่นการเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น หรือกระทั่งเรียกร้องให้มีการลงประชามติ พันธมิตรต้องแสวงหาจุดต่างกับรัฐบาลระบอบอภิสิทธิ์ โดยการชูอุดมการณ์ชาตินิยมสุดขั้วสุดโต่งยิ่งกว่า เพื่อจะรักษามวลชนของตนไว้ จึงหันมาคัดค้านการแก้ไขมาตรา 190 โดยอ้างว่าจะเสียดินแดนให้เขมร ซึ่งเป็นประเด็นที่สื่อไม่ถึงคนทั่วไป และไม่สามารถดิสเครดิตรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ว่า รักชาติน้อยกว่าจำลอง-สนธิ

พูดจริงๆ คนกรุงคนชั้นกลางไม่ได้มีอุดมการณ์ชาตินิยมจริงจังอะไรหรอก เป็นแค่อุดมการณ์ฝังหัวแบบฉาบฉวยมากกว่า เหมือนบอกว่าต่อต้านคนขายชาติก็ลุกฮือขึ้นเสียทีหนึ่ง แต่ตัวเองก็ยังซื้อของคาร์ฟูร์โลตัส เหมือนชุมชนต่อต้านโลตัสไปเปิดสาขาทำท่าเข้มแข็ง พอเปิดเข้าจริงหัวบันได(เลื่อน)ไม่แห้ง

ฉะนั้นเรื่องที่ปลุกให้เกลียดเขมรเกลียดฮุนเซนสมัยรัฐบาลออหมัก มันเป็นแค่การสร้างกระแสฉาบฉวย อาศัยความเกลียดรัฐบาลแล้วหาเหตุ แต่สมมติปีหน้ารัฐบาลอภิสิทธิ์พูดจาสุภาพพูดเก่ง ยอมให้ฮุนเซนขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยอ้างว่าส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกัน คนชั้นกลางก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอก ต่อให้ทำข้อตกลงเนื้อหาสาระเดียวกับสมัย “ไอ้เหล่” ทุกประการ ดีเสียอีก จะได้ไปกอดฟ้ากอดน้ำกอดเมืองไทยกอดปราสาทพระวิหารแถมอีกรายการ

พันธมิตรเคลื่อนไม่ออก เพราะหลุดไปจากอารมณ์ร่วมกับคนชั้นกลางผู้ลมเพลมพัด และพันธมิตรยังเคลื่อนไม่ออก เพราะหลุดไปจากหลักการ พันธมิตรรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยไม่ได้ เพราะกลัวว่าอะไรที่เป็นประชาธิปไตยจะไปเข้าทางเสื้อแดงกับทักษิณ พันธมิตรต่อสู้เพื่อหลักสิทธิมนุษยชนไม่ได้ เพราะจะไปขวางทางการปราบเสื้อแดง พันธมิตรต่อสู้อเพื่อสถาปนาความยุติธรรมไม่ได้ เพราะตัวเองสนับสนุนตุลาการภิวัตน์

พันธมิตรจึงได้แต่พยายามรักษามวลชนเอาไว้ รักษากระแสกับคนชั้นกลางเอาไว้ ด้วยการปลุกความเกลียดชังทักษิณ จตุพร พรรคเพื่อไทย ไอ้เหลิม ฯลฯ และม็อบเสื้อแดงซ้ำซาก หัวข่าวหนังสือพิมพ์ในเครือพันธมิตร ในรอบ 5 ปี วนเวียนอยู่แต่การปลุกระดม ไล่ล่า เข่นฆ่า ลากไส้ เหยียบย่ำ เย้ยหยัน ฯลฯ สารพันจะสรรหา ถามว่าเมริงไม่เบื่อกันบ้างหรือไง เมริงไม่เบื่อคนอื่นเขาเบื่อ วนไปวนมา ย้ำคิดย้ำทำ นอกจากขาประจำสุดขั้วสุดโต่งที่คลุมโปงอยู่ด้วยกันแล้ว คนธรรมดาสามัญที่ไหนเขาจะอ่าน

พันธมิตรจึงตายสนิทแล้ว ตายไปทั้งๆที่มีมวลชนสุดขั้วสุดโต่งร่วมหัวจมท้ายอยู่หลายหมื่น แต่ก็แค่นั้น ไม่สามารถเข้าสู่กระแสสังคม กระแสคนกรุงคนชั้นกลาง นอกจากจะห้อยโหนระบอบอภิสิทธิ์ชนได้บางครั้งบางประเด็น เช่น การโหมกระหน่ำไล่ล่าทักษิณและเสื้อแดง แต่พันธมิตรไม่สามารถนำเสนอประเด็นของตัวเองได้ ไม่สามารถฉีกตัวเองออกจากระบอบอภิสิทธิ์ชนได้ แถมยังจะค่อยๆ ถูกถีบหัวส่ง เมื่อดูจากท่าทีของมาร์ค-เทือก ที่ตอบโต้อย่างอหังการ

พันธมิตรเพียงเหลือความหวังน้อยนิดริบหรี่ ว่าอาจจะมีทหารที่สุดขั้วสุดโต่งกลัวว่าอภิสิทธิ์เสื่อมแล้วกระแสประชาธิปไตยจะตีโต้ ในภาวะที่ใกล้ “จุดเปลี่ยน” จึงต้องทำรัฐประหาร เท่านั้นเอง แต่อย่างที่บอก ถ้าทหารทำรัฐประหารจริงก็ไม่เอาพันธมิตรไว้เป็นคุณพ่อหรอก

ใบตองแห้ง 95
26 พ.ย.53

ป.ล.ใบตองแห้ง 95 ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์อะไรนะครับ เดี๋ยวจะเข้าใจผิด ผมใช้ใบตองแห้ง 95 มาตั้งแต่ต้นเดือน เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นแกซโซฮอล์ หลังเกิดอาการ Transient Ischemic Attack ถึงจะโชคดีที่ไม่รุนแรง เล็กน้อยมาก แต่ต้องไปหาหมอ กินยาละลายลิ่มเลือด ยาคุมน้ำตาล ลดไขมันในเส้นเลือด และได้รับคำสั่งให้เลิกบุหรี่เด็ดขาด ซึ่งเอาเข้าจริงก็เลิกไม่ได้ ได้แค่ลด อด อยาก การต้องเขียนหนังสือในภาวะลด อด อยาก ทำให้รู้รสชาติของชีวิตแบบ สสส.นั่นคือชีวิตที่ไร้รสชาติ (ฮา) นอกจากนี้ยังต้องทำใจรับการเข้าสู่ “เฟสสุดท้ายของชีวิต” คือจะใช้ชีวิตแบบนอนดึก ตื่นสาย นั่งหน้าแป้นพิมพ์ดีดพร้อมควันบุหรี่โขมงและกาแฟหอมกรุ่น ไม่ได้อีกแล้ว จะกินอะไรตามใจปากก็ไม่ได้อีกแล้ว ...แกซโซฮอล์ชัดๆ เลย

ป.ล.ที่สอง มีเพื่อนพ้องบอกว่าที่ผมเสนอให้ล่ารายชื่อขอลงประชามติแก้รัฐธรรมนูญยกเลิก สว.สรรหา นั้นช้าเกินไป ก็จริงครับ ผมไม่ใช่แกนนำการเคลื่อนไหวเลยไม่ได้กางตารางดูล่วงหน้า แต่ถ้าคิดว่าทฤษฎีของการเคลื่อนไหวคือ บางครั้งนัยสำคัญไม่ได้อยู่ที่เป้าหมาย แต่อยู่ที่ตัวการเคลื่อนไหว ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ สมมติเช่นระหว่างปิดสมัยประชุม ก็เริ่มการล่ารายชื่อ โดยไม่จำเป็นต้องนำโดยพรรคเพื่อไทย จตุพร หรือจำกัดเฉพาะคนเสื้อแดง แต่แยกกันล่ารายชื่ออย่างกว้างขวาง แต่ละจังหวัด สมมติ “คนกรุงเทพฯต้องการมี สว.มากกว่า 1 คน” “คนอยุธยาต้องการมี สว.มากกว่า 1 คน” แต่ละจังหวัดหารายได้ชื่อได้เป็นหมื่นๆคน มันก็จะเป็นการเคลื่อนไหวคู่ขนาน ที่กดดันกระบวนการสรรหา สว.ชุดใหม่ของบรรดาขุนนางอำมาตย์ มันอาจจะไม่สำเร็จ ไม่มีผลทันที แต่ก็จะสร้างกระแสตรวจสอบ จับตา วิพากษ์วิจารณ์ หรือกระทั่งปฏิเสธ ไม่ยอมรับ การสรรหา สว.ที่ไม่มีที่มาจากปวงชนชาวไทย นั่นแหละคือเป้าหมาย
........................
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น