โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

คำขวัญวันเด็กกับประเด็นคุณธรรม และจิตสาธารณะแบบ “จิ๋วเรนเจอร์”

Posted: 05 Jan 2011 09:03 AM PST

วันเด็กปีนี้มาพร้อมกับประเด็นย้อนแย้งที่น่าสนใจหลายอย่าง อาทิเช่น กรณีพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ที่มีต้นตอมาจากขบวนการปลุกชาตินิยมของเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเฟสใหม่? ) ซึ่งเมื่อหันมามองบ้านเราพบว่ายังมีเด็กข้ามพรมแดนมาจากปะเทศกัมพูชา ไม่ว่าจะมากับครอบครัวแรงงานข้ามชาติหรือมาทำอาชีพขอทาน ที่พวกเขายังไม่รู้ชะตากรรมว่าจะตกเป็น “เหยื่อ” ของสถานการณ์การเมืองที่ “ผู้ใหญ่ไทยหัวใจรักชาติ” จุดชนวนไว้เมื่อไร
 
รวมถึงประเด็นความพยายามฝึกเด็กอายุไม่กี่ขวบให้เป็นบอดี้การ์ดนายกในนามหน่วย “จิ๋วเรนเจอร์” ที่มีการฝึกระเบียบวินัยแบบทหาร-ตำรวจ เพื่อภารกิจรักษาความมั่นคงฉบับจิ๋ว รอกระชับพื้นที่ความปลอดภัยให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปฏิบัติหน้าที่ผู้นำประเทศในวันเด็กที่จะถึง -- แต่เหรียญอีกด้านคือลูกหลาน “คนเสื้อแดง” ที่พ่อแม่ลุงป้าน้าอาของพวกเขาพึ่งเสียเลือดเสียเนื้อปะทะกับทหารเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
 
ผู้เขียนเห็นว่าเด็กไทยต้องข้ามพ้นขอบเขตจำกัดของพรมแดนกรอบคิดเรื่องรัฐชาติ และเด็กก็ไม่สมควรถูกปลูกฝังให้ยอมรับความรุนแรงและอำนาจนิยม เช่นการนำเด็กเข้าไปเล่นอาวุธสงครามในค่ายทหาร หรือการนำเด็กมาเป็นเครื่องมือโฆษณาประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ให้กับนายก แบบหน่วยรบพิเศษจิ๋วเรนเจอร์นี้
 
ประวัติวันเด็กแห่งชาติ
 
งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม พ.ศ. 2498 ตามคำเชิญชวนของ นายวี.เอ็ม. กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญและความต้องการของเด็ก และเพื่อกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนในประเทศ โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม เตรียมพร้อมให้ตนเองเป็นกำลังของชาติ และรัฐบาลได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชน โดยกำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จุดประสงค์เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม มีความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
 
 
กำเนิดคำขวัญวันเด็กแบบจอมพล ป.พิบูลสงคราม-จอมพลสฤษดิ์ สิ้นชีวิต
 
คำขวัญวันเด็ก เป็นคำขวัญที่นายกรัฐมนตรีมอบให้เด็กไทย เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติของทุกปี โดยคำขวัญวันเด็กมีขึ้นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2499 ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยจอมพล ป. ได้ให้คำขวัญวันเด็กปีนั้นว่า “จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม” และต่อมาได้กำเนิดเพลงหน้าที่ของเด็ก (เด็กเอ๋ยเด็กดี)
 
จนกระทั่งวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้นำกำลังทหารเข้ายึดอำนาจโค่นล้มจอมพล ป. พิบูลสงครามออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตั้งแต่ พ.ศ. 2502 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์  ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ให้คุณค่าความสำคัญของเด็ก จึงมอบคำขวัญให้เป็นข้อคติเตือนใจสำหรับเด็กปีละ 1 คำขวัญ (ก่อนถึงวันเด็กแห่งชาติ) นายกรัฐมนตรีสมัยต่อมา จึงได้ถือเป็นธรรมเนียมสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
 
ช่วงเวลาของยุคการพัฒนาตามอเมริกา ในพ.ศ. 2502-2506 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งคำขวัญวันเด็ก คือ “ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า” และปีต่อๆมา ก็จะเพิ่มเติมต่อท้ายคำขวัญเปลี่ยนจากรักความก้าวหน้า เป็นจงเป็นเด็กที่รักความสะอาด และต่อมาจงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย จนถึงจงเป็นเด็กที่ประหยัด ในท้ายที่สุดของปี 2506 คือ จงเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรมากที่สุด แล้วต่อมาวาระสุดท้ายของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าด้วยโรคไตพิการเรื้อรัง รวมอายุได้ 55 ปี และจอมพลสฤษดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่เสียชีวิตลงในขณะที่ดำรงตำแหน่ง
 
หลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อสัญกรรมแล้วทายาท ทั้งหลายต่างก็เริ่มวิวาทแก่งแย่งทรัพย์มรดกมหาศาลของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2507 บุตรทั้ง 7 คนของจอมพลสฤษดิ์ได้ฟ้องท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์ ที่พยายามจะตัดสิทธิในส่วนแบ่งอันถูกต้องของทายาท เนื่องจากเป็นเรื่องอื้อฉาวมาก ประชาชนจึงต่างให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งในคดีนี้และสื่อมวลชนก็ยกให้เป็นคดีที่อื้อฉาวที่สุดในเมืองไทย โดยการที่ประชาชนให้ความสนใจในการพิจารณาคดีนี้ จึงเป็นการบังคับให้รัฐบาลจอมพลถนอมต้องเข้าแทรกแซงและสอบสวนเบื้องหลังความมั่งคั่งของจอมพลสฤษดิ์ นั่นเป็นสิ่งที่แสดงถึงความขัดแย้งอย่างชัดเจน ที่เราไม่อาจเอาตัวแบบอย่างเรื่องประหยัด จากยุคสมัยของพ่อขุนอุปถัมภ์เผด็จการได้ สำหรับเด็กๆ คำขวัญเป็นโวหารจอมปลอมจากนายกฯ เมื่อความจริงปรากฏขึ้นมาว่า บทเรียนของการคอรัปชั่นโดยทหาร เป็นส่วนหนึ่งระบบราชการ และส่วนหนึ่งของการนำเสนอคำขวัญให้เด็ก คือ จงเป็นเด็กที่ประหยัด และจงเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรมากที่สุด ทำให้เราเห็นว่า ขยันคอรัปชั่นรวยเร็วกว่าประหยัด โดยบทเรียนทางประวัติศาสตร์
 
อย่างไรก็ตาม บทเรียนดังกล่าว ทำให้เราเข้าใจไม่มีคำขวัญ ที่เป็น “คุณธรรม” หรือ “ชาติ” ในคำขวัญ แต่ว่ายุคสมัยลัทธิทหารชาตินิยม ก็เป็นแบบของจอมพลสฤษดิ์ โดยดูได้จากการเปลี่ยนวันสำคัญของชาติไทยจาก 24 มิถุนานั่นเอง และมิติมุมมองหนึ่งของยุคที่ไทยเราแพ้คดีเขาพระวิหารแล้วยังมารับรู้ เห็นความจริงในทีหลังเรื่องคอรัปชั่น เพราะเราอยู่ในยุคที่ถูกปิดหูปิดตามาก่อนหน้าที่จอมพลสฤษดิ์จะตาย จึงได้ถูกเปิดเผยความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงได้ชัดเจน
 
งดจัดงานวันเด็ก ในสมัยจอมพลถนอม และการกลับมากำเนิดคำขวัญวันเด็กกับชาติไทยโดยรัฐบาลทหาร
 
พ.ศ. 2507 จอมพล ถนอม กิตติขจร ไม่มีคำขวัญ เนื่องจากงดการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ
พ.ศ. 2508 จอมพล ถนอม กิตติขจร เด็กจะเจริญต้องรักเรียนเพียรทำดี
พ.ศ. 2509 จอมพล ถนอม กิตติขจร เด็กที่ดีต้องมีสัมมาคารวะ มานะ บากบั่น และสมานสามัคคี
พ.ศ. 2510 จอมพล ถนอม กิตติขจร อนาคตของชาติจะสุกใส หากเด็กไทยแข็งแรงดีมีความประพฤติเรียบร้อย
พ.ศ. 2511 จอมพล ถนอม กิตติขจร ความเจริญและความมั่นคงของชาติไทยในอนาคต ขึ้นอยู่กับเด็กที่มีวินัย เฉลียวฉลาดและรักชาติยิ่ง
พ.ศ. 2512 จอมพล ถนอม กิตติขจร รู้เรียน รู้เล่น รู้สามัคคี เป็นความดีที่เด็กพึงจำ
พ.ศ. 2513 จอมพล ถนอม กิตติขจร เด็กประพฤติดีและศึกษาดี ทำให้มีอนาคตแจ่มใส
พ.ศ. 2514 จอมพล ถนอม กิตติขจร ยามเด็กจงหมั่นเรียน เพียรกระทำดี เติบใหญ่จะได้มีความสุขความเจริญ
พ.ศ. 2515 จอมพล ถนอม กิตติขจร เยาวชนฝึกตนดี มีความสามารถ
พ.ศ. 2516 จอมพล ถนอม กิตติขจร เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
 
ทั้งนี้ กรณีคำขวัญเป็นตัวอย่างของการเปรียบเทียบให้เข้าใจการกำเนิดของเด็กกับชาตินิยมโดยทหาร ในพ.ศ. 2510 จอมพล ถนอม กิตติขจร อนาคตของชาติจะสุกใส หากเด็กไทยแข็งแรงดีมีความประพฤติเรียบร้อย เป็นต้นมา ก็มีความสำคัญเด็กกับชาติไทย ที่มีต่อมา คือ คำขวัญที่คล้องจองจำง่าย ถึงเด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญนี่เป็นบทสะท้อนของการสร้างพรมแดนของเด็ก ให้อยู่ในความทรงจำของเด็กไทย ที่เห็นได้อย่างชัดเจน
 
หลัง 14 ตุลา 2516 กับกำเนิดคำขวัญวันเด็กว่า คุณธรรมในยุคสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม และหลังรัฐประหาร 2534
 
พ.ศ. 2517 นายสัญญา ธรรมศักดิ์ สามัคคีคือพลัง
พ.ศ. 2518 นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เด็กดีคือทายาทของชาติไทย ต้องร่วมใจร่วมพลังสร้างความสามัคคี
พ.ศ. 2519 หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช เด็กที่ต้องการเห็นอนาคตของชาติรุ่งเรือง จะต้องทำตัวให้ดี มีวินัย เสียแต่บัดนี้
พ.ศ. 2520 นายธานินทร์ กรัยวิเชียร รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเยาวชนไทย
พ.ศ. 2521 พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติมั่นคง
พ.ศ. 2522 พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เด็กไทยคือหัวใจของชาติ
พ.ศ. 2523 พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อดทน ขยัน ประหยัด เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
พ.ศ. 2524 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เด็กไทยมีวินัย ใจสัตย์ซื่อ รู้ประหยัด เคร่งครัดคุณธรรม
พ.ศ. 2525 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ขยันศึกษา ใฝ่หาความรู้ เชิดชูชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
พ.ศ. 2526 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ รู้หน้าที่ ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด มีวินัยและคุณธรรม
พ.ศ. 2527 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ รักวัฒนธรรมไทย ใฝ่ดีมีความคิด สุจริตใจมั่น หมั่นศึกษา
พ.ศ. 2528 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ สามัคคี นิยมไทย มีวินัย ใฝ่คุณธรรม
พ.ศ. 2529 (-2531) พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
 
จากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หลัง 14 ตุลา 2516 เป็นต้นมา ซึ่งเราสามารถพิจารณาคำขวัญจากการลำดับของยุคสมัยของรัฐบาลต่างๆ จนเห็นได้ว่า รัฐบาลพลเอกเปรม ในช่วงประชาธิปไตยครึ่งใบนั้น มีคำว่า “คุณธรรม” เกิดขึ้นมาเป็นองค์ประกอบของการสร้างเด็กไทยในชาติ จนกระทั่งต่อมา รัฐบาลชาติชาย จากมีคำว่า “คุณธรรม” กลายเป็นไม่มีคำว่าคุณธรรมในยุคหลังรัฐประหาร แล้วเกิดเหตุพฤษภาทมิฬ เป็นต้น แล้วการกลับมาของคำว่า “คุณธรรม” และไม่มีคำว่าคุณธรรมในยุคประชาธิปไตยในสมัยรัฐบาลชวน คือ ช่วงปี  2543-44 จนกระทั่ง รัฐบาลทักษิณก็ไม่มีคำว่า “คุณธรรม” ปรากฏให้เห็นอีกต่อไป
 
พ.ศ. 2532 พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2533 พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2534 พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่คุณธรรม นำชาติพัฒนา
พ.ศ. 2535 นายอานันท์ ปันยารชุน สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา จรรยางาม
พ.ศ. 2536 นายชวน หลีกภัย ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2537 นายชวน หลีกภัย ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2538 นายชวน หลีกภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2539 นายบรรหาร ศิลปอาชา มุ่งหาความรู้ เชิดชูความเป็นไทย หลีกไกลยาเสพติด
พ.ศ. 2540 พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ รู้คุณค่าวัฒนธรรมไทย ตั้งใจใฝ่ศึกษา ไม่พึ่งพายาเสพติด
พ.ศ. 2541 นายชวน หลีกภัย ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
พ.ศ. 2542 นายชวน หลีกภัย ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
พ.ศ. 2543 นายชวน หลีกภัย มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
พ.ศ. 2544 นายชวน หลีกภัย มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
พ.ศ. 2545 พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ สู่อนาคตที่สดใส
พ.ศ. 2546 พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี
พ.ศ. 2547 พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียน รักสิ่งดีๆ อนาคตดีแน่นอน
พ.ศ. 2548 พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร เด็กรุ่นใหม่ ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด
พ.ศ. 2549 พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด
 
วิเคราะห์ความสัมพันธ์การเมืองหลังรัฐประหาร 2549 กับคำขวัญเชิดชูคุณธรรมจากวันเด็ก-ทักษิณ และจิ๋วเรนเจอร์
 
เมื่อเกิดเหตุการณ์รัฐประหารโดยทหาร จึงน่าสนใจต่อการวิเคราะห์คำขวัญ หมายถึง ถ้อยคำ ข้อความ คำคล้องจอง หรือบทกลอนสั้นๆ เพื่อให้จำได้ง่าย ถ้อยคำหรือข้อความ ที่แต่งขึ้นเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ แสดงอุดมคติ หรือเป้าหมายของกิจกรรมวันเด็ก และการวิเคราะห์คำว่า คุณธรรม  ที่มีความหมายตามพจนานุกรม คุณธรรม [คุนนะ-] น. สภาพคุณงามความดี.  และสื่อสัญลักษณ์ถึงความดี ทั้งด้านศาสนา และมุมมอง โดยพื้นฐานของมนุษย์เชื่อมโยงกับคุณธรรม เป็นสิ่งสำคัญ แต่ว่ามาตรฐานของคุณธรรม ในสังคมไทย จะต้องตรวจสอบ ไม่ให้คุณธรรมตก อยู่ภายใต้ความเชื่อโดยไม่สามารถพิสูจน์ความจริงได้ ซึ่งสะท้อนภาพความเป็นไปในสังคมแต่ละยุคสมัยไม่น้อย [1] ดังคำขวัญต่อไปนี้
 
พ.ศ. 2550 พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข
พ.ศ. 2551 พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ สามัคคี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม
พ.ศ. 2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฉลาดคิด จิตบริสุทธิ์ จุดประกายฝัน ผูกพันรักสามัคคี
พ.ศ. 2553 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม
 
ฉะนั้นจากตัวอย่างของการเปรียบเทียบของคำขวัญในยุคจอมพลป.จอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม และพลเอกเปรม ถึงรัฐประหาร 2549 จึงมีความน่าสนใจ โดยผู้เขียนขอนำเสนอมุมมองลำดับเวลากล่าวอย่างย่อๆ ว่า เกิดรัฐประหารโดยทหาร ซึ่งมาจากพลเอก สนธิ บุญยรัตนกลิน เป็นคนที่ทักษิณ คิดว่าจะช่วยปรับโครงสร้างทางทหาร และสนธิ ช่วยแก้ปัญหาภาคใต้ กลับกลายเป็นโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ ในวันที่ 19 กันยายน 2549  แล้วรัฐบาลออกแบบทำนิยายรัฐธรรมนูญ 2550 เหมือนนิยาย [2]  และคำขวัญยังเหมือนเรื่องหลอกเด็กในเรื่องคุณธรรมก็เป็นการโกหก และถ้าเราสนับสนุนบทบาทการเล่นเป็นบทบาททหารตามงานวันเด็ก อาวุธ และเกมส์ ที่ทำให้เด็กเสพย์ติดเชื่อง่ายๆ ก็จะเป็นเรื่องที่ทำร้ายเด็ก
 
ทั้งนี้จากปีที่ผ่านมา คือ 2553 ก็นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ได้เชิดชูคำขวัญ คือ เชิดชูคุณธรรม เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันเด็ก เพื่อไม่ให้รับอิทธิพลของเทคโนโลยีเร็วเกินไป ขณะที่ฝ่ายของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งสมัคร และสมชาย ไม่มีโอกาสให้คำขวัญวันเด็ก แต่ในปีที่แล้วนั้น (2553) ทักษิณก็ได้ส่งมอบคำขวัญวันเด็ก คือ อนาคตจะสดใส ต้องใฝ่เรียนรู้เทคโนโลยี ซึ่งถือว่าเป็นคำขวัญวันเด็กจากนายกนอกทำเนียบคนแรก
 
ในปี 2554 ที่จะถึงนี้ผู้เขียนหวังว่าเราจะต้องสร้างอนาคตเด็กไทยให้ข้ามพ้นเรื่องชาตินิยมให้ได้ ในท่ามกลางกระแสเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ กรณีพรมแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงการส่งเสริม “รัฐทหาร” ที่สะท้อนจากการจัดงานกิจกรรมวันเด็ก จับเด็กมาแต่งตัวเป็นทหาร และสวมหมวกให้จิ๋วเรนเจอร์ เป็นตำรวจเด็ก [3] โดยรัฐบาลทหารแบบอภิสิทธิ์ในขณะนี้
 
ต้องเปลี่ยนทัศนคติของเด็ก ไม่ใช่นำพาเด็กโดยสร้างการครอบงำสวมหมวกให้เด็ก ภายใต้คำขวัญ "รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ" ซึ่งหากจะจับผิดคำขวัญนี้ดีๆ การปลูกฝัง “มีจิตสาธารณะ” ของนายอภิสิทธิ์นั้นคือเพียงการจับเด็กมาใส่ชุดทหารเพื่อนำมาเป็น รปภ. ให้แก่นายกรัฐมนตรีเท่านั้น โดยต้องการให้ทุกคนไม่เว้นว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ (สลิ่มทั้งหลาย) หลงลืมบทพิสูจน์ การหาความจริง หาความเป็นธรรมให้กับผู้ตาย ผู้ติดคุก ที่เขาอาจจะมีลูกหลาน .. แต่กระนั้นวันเด็กในปีนี้พวกเขาก็ไม่มีโอกาสจะพาลูกหลานไปเฉลิมฉลองงานวันเด็กได้เหมือนครอบครัวอื่นๆ
 
อ้างอิง
 
[1] บัญญัติ  คำนูณวัฒน์ เล่าสู่กันฟัง-มีอะไรในคำขวัญวันเด็กนสพ.คมชัดลึก วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2553
[2] อรรคพล สาตุ้ม ปัญหารัฐธรรมนูญ 2550: นิยายและความจริง ในภาพสะท้อนเราใกล้ชิดเส้นชัย
http://www.prachatai.com/journal/2010/12/32184
[3] เปิดจิ๋วเรนเจอร์ตร.คุ้มกันมาร์ควันเด็ก นสพ.คมชัดลึกวันอังคารที่ 4 มกราคม 2554
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ทบ.แจ้งเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์โชว์งานวันเด็ก 6 ม.ค. เวลา 11.00-12.00 น.

Posted: 05 Jan 2011 05:42 AM PST

ทบ.แจ้งเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์จัดแสดงงานวันเด็กแห่งชาติ ในวันที่ 6 มกราคมนี้ เวลา 11.00-12.00 น. ขออภัยในความไม่สะดวกด้านการจราจร เชิญชวนครอบครัวเที่ยวงานวันเด็กในกองทัพ

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกจะทำการเคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์หลายประเภท เพื่อนำไปจัดแสดงในงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2554 โดยในวันที่ 6 มกราคมนี้ เวลา 11.00-12.00 น. จะเคลื่อนย้ายเฮลิคอปเตอร์ทางอากาศ  จากศูนย์การบินทหารบก จ.ลพบุรี ไปที่กองบัญชาการกองทัพบก ถ.ราชดำเนินนอก กทม.  จากนั้นเวลา 19.00-22.00 น. เคลื่อนย้ายรถกู้ฉุกเฉิน รถสายพานอเนกประสงค์ และรถไฟฟ้าส่องสว่าง จากหน่วยทหารใน จ.ราชบุรี และเคลื่อนย้ายปืนใหญ่ รถถัง และรถบรรทุกที่ใช้ทางการทหาร จากหน่วยในพื้นที่เขตดุสิต เขตพระนคร เขตบางซื่อ และเขตหลักสี่ โดยผ่านเส้นทางสี่แยกเทิดดำริ สี่แยกเกียกกาย สี่แยกสะพานแดง ถ.พระราม 5 ไปที่กองบัญชาการกองทัพบก และจะเคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมดกลับที่ตั้งหน่วยในวันที่ 8 มกราคม 2554 ตั้งแต่เวลา 16.00 น.เป็นต้นไป กองทัพบกจึงขอเรียนให้ประชาชนทราบ และขออภัยในความไม่สะดวกด้านการจราจร และขอเชิญชวนเด็ก เยาวชน ผู้ปกครอง ร่วมในกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ ที่กองทัพบกจัดขึ้น ณ ที่ตั้งหน่วยทหารทั่วประเทศ และในพื้นที่กองบัญชาการกองทัพบก ในวันที่ 8 มกราคม 2554 ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น.

ที่มาข่าว:

ทบ.แจ้งเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์จัดแสดงงานวันเด็กแห่งชาติ (สำนักข่าวไทย, 4-1-2554)
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ปีเก่า : “ปีแห่งความล่มสลาย ของการเคารพหลักการและคุณค่าของชีวิตคน”

Posted: 05 Jan 2011 05:12 AM PST

 
ช่วงธันวาคนจนถึงสิ้นปี 2553 (คร่อมมาถึง 2 ม.ค.54) ผมมีงานที่จำเป็นต้องสะสางให้เสร็จ จนแทบไม่มีเวลาติดตามข่าวสารอะไรเลย ไม่รู้ว่าปีที่เพิ่งผ่านไป เขาจัดลำดับข่าวเด่น หรือบุคคลแห่งปีอะไรยังไงกันบ้าง
 
แต่สำหรับผมแล้ว ปี 2553 คือ ปีแห่งความล่มสลายของการเคารพหลักการและคุณค่าของชีวิตคน อันที่จริงการเคารพหลักการมันพังแล้วตั้งแต่มีมวลชนออกมาเรียกร้องรัฐประหารและเกิดรัฐประหาร 19 กันยา ต่อจากนั้นมาเราก็ได้เห็นการเหยียบย่ำหลักการ จนกระทั่งนำมาสู่การล่มสลายของการเคารพชีวิตคนเมื่อเกิดเหตุการณ์ฆ่าประชาชนช่วง เมษา-พฤษภา 53
 
ปรากฏการณ์แห่ง การไม่เคารพชีวิตคน ไม่ใช่แค่เพียงด้วยการประณาม กล่าวหา และล้อมปราบประชาชน (รถถัง อาวุธหนัก-เบา กำลังพล 50,000 คน งบประมาณมหาศาล เตรียมพร้อมเพื่อจัดการกับประชาชนที่ออกมาเรียกร้อง การเลือกตั้ง นี่คือสรรพกำลังที่ยิ่งกว่าเตรียมไว้ปราบ อริราชศัตรู) เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการ ฆ่าซ้ำ ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า พวกเสื้อแดงมันฆ่ากันเอง (แต่จนป่านนี้ก็ไม่มีการพิสูจน์ให้คนว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเองตายกี่คน ถูกทหารฆ่ากี่คน)
 
ซ้ำร้ายคนเสื้อแดงที่ตกเป็น นักโทษการเมือง ร่วม 400 คน ก็ได้กลายเป็น นักโทษการเมืองที่ถูกขังลืม ไปแล้ว เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปฏิเสธข้อเสนอของ นายคณิต ณ นคร ให้ปล่อยตัวชั่วคราว
 
พูดให้ตรงที่สุดคือ ชีวิตคนที่ไม่ถูกเคารพก็คือ ชีวิตคนเสื้อแดง เท่านั้น ที่ไม่จับคนเสื้อเหลืองมาขังคุกด้วยข้อหาก่อการร้ายนั้นถูกแล้วนะครับ เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้วประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิทางการเมืองแม้จะ ล้ำเส้น ไปบ้าง มันก็ยังสรุปไม่ได้หรอกว่าพวกเขาเป็น ผู้ก่อการร้าย ฉะนั้นที่ไม่เอาคนเสื้อเหลืองมาขังคุกด้วยข้อหาก่อการร้ายนั้นถูกต้องแล้ว
 
แต่ทำไมไม่ทำสิ่งที่ถูกต้องเดียวกันนี้กับคนเสื้อแดงบ้าง!?
 
ที่จริงแล้วการเคารพคุณค่าของชีวิตคน ขึ้นอยู่กับทัศนะต่อ ความเป็นคน อย่างแยกไม่ออก และทัศนะต่อ ความเป็นคน มันก็ขึ้นอยู่กับวัฒนนธรรมทางความคิดของระบบการเมืองการปกครองของชนชาตินั้นๆ เป็นหลัก คำถามคือระบบการปกครองของเราเป็นระบบที่เคารพความเป็นคนหรือไม่ ปัญหานี้ดูเหมือน สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล จะอธิบายตรงๆ อย่างนี้ว่า
 
ปัจจุบันเราเรียกระบอบการปกครอง หรือ form of government ของเราว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ควรจะเรียกอีกแบบหนึ่งคือ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มีคณะรัฐมนตรีบริหารราชการ ...เป็นรูปแบบที่จงใจจะจำกัดความหลากหลาย ไม่ใช่เฉพาะในเชิงสังคมวัฒนธรรมอย่างเดียวเท่านั้น แต่ทว่าเป็นการจำกัดความหลากหลายในระดับที่ผมเรียกว่า ระดับ existentialist เป็นความหลากหลายในเชิงความเป็นตัวตนของมนุษย์ ใน existential activity หรือ existential diversity โดยพื้นฐานแล้วความเป็นมนุษย์เราคืออะไร ในความคิดผมสิ่งที่เป็นหัวใจของมนุษย์เลยคือ freedom คือ เสรีภาพ ...ถ้ามนุษย์ไม่สามารถจะคิดอะไรที่อยากจะคิดได้ ไม่สามารถที่จะพูดอะไรในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดได้ ก็ไม่ใช่มนุษย์แล้ว ฉะนั้น โดยระบอบการปกครองแบบนี้ เนื้อแท้ของมันออกแบบให้จำกัด existence ของเรา [1]
 
ถ้า หัวใจ หรือ แก่นสาร (essence) ของมนุษย์ คือ เสรีภาพ ก็หมายความว่าความงอกงามในทุกมิติของชีวิตมนุษย์เกิดขึ้นไม่ได้ถ้าปราศจากการมีเสรีภาพ ฉะนั้น การเคารพคุณค่าชีวิตก็คือการเคารพเสรีภาพ
ระบบการปกครองใดก็ตามถ้าไม่เคารพเสรีภาพก็เท่ากับระบบการปกครองนั้นไม่เคารพคุณค่าของชีวิตมนุษย์โดยพื้นฐานเลยทีเดียว โดยระบบเช่นนี้เมื่อประชาชนออกมาเรียกร้องเสรีภาพในการปกครองตนเอง พวกเขาจึงถูกฆ่า หรือถูกจับขังคุกเสมือนว่าชีวิตของพวกเขาเป็นสิ่งไร้ค่า
 
และการที่สังคมนี้ดูเหมือนไม่แคร์ต่อการเหยียบย่ำคุณค่าของชีวิตคน ก็สะท้อนให้เห็นว่าระบบการเมืองการปกครองของสังคมนี้โดยตัวมันเองแล้วไม่ใช่ระบบที่เคารพเสรีภาพหรือคุณค่าของชีวิตคนอยู่แล้ว ระบบแบบนี้มันจึงไม่เคยปลูกฝังให้ประชาชน รักเสรีภาพ มากกว่า รักตัวบุคคล
 
แต่ยังมีมุมมองที่ต่างออกไปว่า แม้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอาจมีปัญหาเรื่อง ความเป็นอิสระทางศีลธรรม แต่ก็แก้ได้โดยที่พระมหากษัตริย์ทรงให้โอกาสพลเมืองไตร่ตรองตัดสินเรื่องต่างๆ เชิงบรรทัดฐานซึ่งเกี่ยวกับวิธีอยู่ร่วมกันในสังคมโดยไม่ครอบงำในเรื่องเฉพาะแต่ละเรื่อง แต่ให้แต่ละคนคิดในกรอบใหญ่ของศาสนาหรือระบบจริยธรรมของตน ทว่าแง่ดีของระบบดังกล่าวนี้คือ คุณค่าเฉพาะ ที่เรามีไม่เหมือนใคร ได้แก่ การที่องค์พระมหากษัตริย์สามารถเป็นจุดส่งต่อความห่วงใยจากพลเมืองคนหนึ่งไปสู่พลเมืองอีกคน ถึงแม้ว่าจะไม่รู้จักกัน การที่พลเมืองรักองค์พระมหากษัตริย์ และการที่พระมหากษัตริย์ห่วงใยพลเมืองทุกคนในลักษณะที่ทำให้พลเมืองทราบอย่างชัดเจน คุณค่าพิเศษของระบอบนี้สามารถนำไปสู่สังคมที่คนในทุกส่วนของสังคมมองส่วนอื่นเป็นพวกเดียวกัน และต้องการให้มีชีวิตที่สงบสุขเช่นเดียวกันหมด คำขวัญที่ตรงกับประเด็นนี้ คือ รักในหลวง ร่วมกันห่วงใยเพื่อนร่วมชาติ แต่คุณค่าพิเศษดังกล่าวนี้อยู่ในรูปของ ศักยภาพ ที่จะทำให้เกิดสภาพที่พึงปรารถนาที่ว่านั้น ซึ่งการที่ศักยภาพจะกลายเป็น สภาวะจริง ย่อมขึ้นอยู่กับ เงื่อนไขสำคัญ คือ พระมหากษัตริย์ต้องทรงประพฤติธรรม เช่น ทศพิธราชธรรม สังคหวัตถุ จักรวรรดิวัตร [2]
 
ปัญหาคือ ถ้าเราจะพิสูจน์ความเป็นจริงของ เงื่อนไขสำคัญ ดังกล่าวเราจะมีวิธีพิสูจน์ได้อย่างไร? เพราะตามปกติเวลาที่เราจะพิสูจน์ว่าอะไรจริง (หรือเท็จ) เงื่อนไขที่จำเป็นเลยคือเราต้องมี เสรีภาพ ในการตั้งคำถาม ซักไซ้ไล่เรียง วิพากษ์วิจารณ์ หรือพูดให้ตรงคือเราต้องมีอำนาจตรวจสอบที่มีกฎหมายรับรอง แต่ภายใต้ระบอบการปกครองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จารีตทางวัฒนธรรมและกฎหมายไม่อนุญาตให้ประชาชนทำเช่นนั้นได้ เช่น ประชาชนไม่สามารถที่จะอ้างอิงพระราชสัตยาธิษฐานของรัชกาลที่ 7 ที่มีสาระสำคัญว่า พระมหากษัตริย์ต้องทรงทศพิธราชธรรมและมีหน้าที่รักษารัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย [3] มาตรวจสอบพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันได้ว่า ทรงปฏิบัติหน้าที่รักษารัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวแสดงถึงการทรงมีหรือไม่มีทศพิธราชธรรมข้อที่ 4 (อาชวะ-ปฏิบัติภาระโดยซื่อตรง) และข้อ 10 (อวิโรธนะ-มิปฏิบัติคลาดจากธรรม) [4] ด้วย เป็นต้น
 
สุดท้ายแล้ว เราก็ต้องกลับไปหา เสรีภาพ และเราพบว่า ปี 2553 เป็นปีแห่งการล่มสลายของการเคารพ หลักเสรีภาพ (the principle of freedom) ใช่หรือไม่!? และนั่นจึงนำมาซึ่งการล่มสลายของการเคารพคุณค่าชีวิตคน เกิดปรากฏการณ์เชียร์ให้ฆ่า ฆ่าแล้วยัง ฆ่าซ้ำ และยังมีความชอบธรรมในการครอบครองอำนาจรัฐต่อไป เพราะรัฐของเราเป็นรัฐซึ่งโดยพื้นฐานแล้วไม่ได้เคารพเสรีภาพหรือคุณค่าชีวิตคนใช่หรือไม่!?
 
แต่ถึงสุดแล้วหากเราต้องการปกป้อง ความเป็นคน เราก็ไม่อาจปฏิเสธที่จะปกป้องเสรีภาพได้ เพราะนี่คือการยืนยันความเป็นมนุษย์ ดังที่ ป๋วย อึ้งภากรณ์ เขียนไว้ว่า
 
...เสรีภาพเป็นเนื้อดิน อากาศ และปุ๋ย ที่จะทำให้พฤกษชาติแห่งความคิดเจริญเติบใหญ่ขึ้นได้ และเมื่อความคิดนำไปสู่อุดมคติ อุดมคติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลในสังคมสามารถใช้ความคิดอย่างเสรี ปราศจากพันธนาการของจารีตประเพณี หรืออีกนัยหนึ่ง เราต้องสนับสนุนให้มนุษย์แต่ละคนใช้ความคิดอย่างมีเสรีภาพ ชนิดที่ไม่ต้องพึงหวาดหวั่นว่าจะเป็นความคิดนอกลู่นอกทาง นั่นแหละจึงจะเป็นการสนับสนุนอุดมคติให้ถือกำเนิดได้ (ตัวหนาเน้นโดยผู้เขียน) แม่น้ำลำห้วยยังเปลี่ยนแนวเดิมได้ สมองมนุษย์อันประเสริฐจะแหวกแนวบ้างมิได้หรือ ในเมื่อไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม... [5]
 
คำถามในปีใหม่คือ เราจะจมปรักอยู่กับความล่มสลายเช่นนี้ต่อไป หรือจะต่อสู้เพื่อทวงคืนความเป็นคนให้แก่ตัวเองและอนุชนในอนาคต!
 
 
 
อ้างอิง
 
[1]  สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล.ความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรมจริง: เงื่อนไขของการยอมรับความหลากหลาย.ใน เกษม เพ็ญภินันท์ (บรรณาธิการ) ความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรมในมนุษยศาสตร์” (กรุงเทพฯ: วิภาษา,2552).หน้า33-34.
[2]  ดู มารค ตามไท.การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข.ใน สันติสุข โสภณสิริ (บรรณาธิการ). วิถีสังคมไท: สรรนิพนธ์ทางวิชาการเนื่องในวาระหนึ่งศตวรรษ ปรีดี พนมยงค์ ชุดที่ 2 ความคิดทางการเมืองการปกครอง” (กรุงเทพฯ: เรือนแก้วการพิมพ์, 2544) หน้า 40-42.
[3]  ดู สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. สาร’ (message) จากปรีดี พนมยงค์ ถึงในหลวง เมื่อปี 2516.(http://www.prachatai3.info/journal/2010/12/32177.(12/27/2553).
[4]  ดู พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต).ธรรมนูญชีวิต: พุทธจริยธรรมเพื่อชีวิตที่ดีงาม.(พิมพ์ครั้งที่ 14).(กรุงเทพฯ: กองทุนอริยมรรค,2545),หน้า 27-28.
[5]  อ้างใน ปกป้อง จันวิทย์ (บรรณาธิการ).20 ปี ปาฐกถาพิเศษ ป๋วย อึ้งภากรณ์ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.(กรุงเทพฯ:openbooks,2550).หน้า 21.
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คนไทยหัวใจรักชาติพอใจเห็นหมุด-เตรียมกลับ “ป๋าเปรม” ห่วง 7 คนไทยถูกจับ

Posted: 05 Jan 2011 04:33 AM PST

เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. วันที่ 5 มกราคม กลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ได้เคลื่อนมวลชนเข้าพื้นที่ถนนศรีเพ็ญ จังหวัดสระแก้ว เพื่อมุ่งหน้าหลักเขตแดนที่ 46 ระหว่างการเดินทาง กลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติได้เจอทหารพรานสกัด ที่หน้าตชด. 126  อรัญประเทศ จ.จังหวัดสระแก้ว และอยู่ระหว่างการเจรจา

นอกจากนั้นได้ประจันหน้ากับชาวโคกสูง กว่า 300 คน ที่ยกพลมาคัดค้าน ห่างกันเพียง 100 เมตรเท่า  มีเจ้าหน้าที่ ทหารพราน กองกำลังบูรพา ตชด.12 อรัญประเทศ  หน่วยป้องกันการจลาจล กว่า 200 นาย ยืนกั้นกลางฝูงชนทั้งสอง ป้องกันการปะทะ โดยสองฝ่ายต่างเปิดเครื่องเสียงและปราศรัยโจมตีกัน

ขณะที่พลตรี วลิต โรจน์ภักดี ผบ.กองกำลังบูรพา กล่าวว่า จะพาแกนนำของกลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติเข้าไปยังหลักเขตแดนที่ 46 ที่กองกำลังบูรพากำหนดพื้นที่เอง

ทางด้านนายศานิตย์ นาคสุขศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า ยืนยันให้ตัวแทนบางส่วนเข้าไปเท่านั้นเนื่องจากเกรงจะเกิดปัญหาเหมือนกับที่ คนไทย 7 คนถูกจับกุมตัวไป

พอใจดูหลักหมุดที่ 46 พร้อมเดินทางกลับชุมนุมหน้าทำเนียบฯต่อ

จากนั้นเวลา 17.00 น.คณะของเครือข่าวประชาชนไทยหัวใจรักชาติ พร้อมด้วยสื่อมวลชน ได้เดินทางกลับหลังจากเดินทางไปยังพื้นที่มีปัญหา หลักหมุดที่ 46 บ้านหนองจานนำโดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ พร้อมทั้งเปิดเผยว่า พอใจกับการที่ได้เข้ายังพื้นที่ดังกล่าว และรู้สึกขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายในพื้นที่ ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และ พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.กองพลทหารราบที่ 2 ที่ได้มีความพยายามที่จะอำนวยความสะดวกให้
      
"จริงๆ พวกเราเข้าใจถึงความอยากลำบากในการปฏิบัติหน้าที่ แต่พวกเราอยากจะบอกให้รัฐบาลรับรุ้ว่าข้อมูลของภาคประชาชนก็มีและมีบาง ประเด็นที่ไม่ตรงกันในเรื่องของปัญหาพื้นที่ชายแดน จึงอยากจะฝากถึงรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีว่าให้มาดูข้อมูลของประชาชนบ้าง และการเดินทางมาในครั้งนี้ของพวกเรา ไม่ได้จะมาเพื่อสร้างความลำบากใจกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ แต่อยากจะบอกว่าพวกเรามีความเป็นห่วงและอยากให้ทุกคน ช่วยกันรักษาแผ่นดินไทย ซึ่งหลังจากดูหลักหมุดที่ 46 แล้ว อยากจะบอกรัฐบาลว่าเราได้รู้ความจริงบางอย่างและอยากให้รัฐบาลหันมาดูข้อมูล ของประชาชนบ้าง และยืนยันว่าพื้นที่ที่คนไทยทั้ง7 คนเข่าไปนั้นคือแผ่นดินไทย
      
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการบิดเบื้องข้อเท็จจริง พร้อมทั้งมีการล้อมรั้วลวดหนามใหม่ ซึ่งไม่ตรงกับในช่วงที่ 7 คนไทยได้เข้าไปในวันที่ถูกจับ" ม.ล.วัลย์วิภา กล่าว
      
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากนั้นกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทย หัวใจรักชาติก็แยกย้ายกับโดยจะไปรวมตัวกันที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อยืนยัน เจนตนารมณ์เดิมพร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องและเร่งให้ความ ช่วยเหลือคนไทย 7 ทั้งคน กลับประเทศโดยเร็วที่สุด

“ป๋าเปรม” ห่วง 7 คนไทยถูกจับ
 
5 ม.ค. 53 - ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ เพื่อเข้าอวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ เมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า พล.อ.เปรม สอบถามถึงข้อเท็จจริงในหลายๆเรื่อง ซึ่งตนได้เรียนให้ พล.อ.เปรม รับทราบ และท่านยังสอบถามเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงปัญหาคนไทย 7 คนที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมด้วย โดยพล.อ.เปรม แสดงความห่วงใยและสอบถามถึงแนวทางของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหานี้ ขณะที่ตนได้ชี้แจงตามข้อเท็จจริงและลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมถึงปัญหาความห่วงใยในเรื่องของเขตแดนทั้งหมด

เมื่อถามว่าสถานการณ์ปัจจุบันตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานเข้ามานั้นมี ความคืบหน้าอย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดเรื่องนี้ทั้งหมด ทั้งนี้ ตนยืนยันว่าภารกิจของเราคือการช่วยให้คนเหล่านี้ได้กลับมาโดยเร็วที่สุด แต่ตนไม่ขอวิจารณ์หรือพูดเรื่องใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงื่อนไขหรือการสมมติเหตุการณ์ต่างๆ โดยขณะนี้มีการประสานงานและทำงานกันอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ชี้แจง ซึ่งถ้ามีอะไรที่เราเห็นว่าเป็นการกำหนดแนวทางหรือนโยบาย หรือมีสิ่งเปลี่ยนแปลง เราจะแจ้งให้ทราบ

เมื่อถามถึงการที่นายกรัฐมนตรี นัดพบญาติของคนไทยทั้ง 7 คนที่ถูกจับ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กำลังนัดหมายกันอยู่ แต่ตนได้พบกับมารดาและภรรยาของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถูกจับกุม แล้วเมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา เขาก็มีความเข้าใจในสถานการณ์ สำหรับการนัดพบกับญาติของคนไทยทั้ง 7 คนนั้น เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน เพราะหลายคนคงได้ไปเยี่ยม และอาจมีความห่วงใยอะไร เราก็จะได้รับทราบ เมื่อถามว่าคิดว่ายังมีทางออกหรือแสงสว่างในเรื่องนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “มีครับ ผมยังเชื่อว่าเดินได้ครับ”

สุเทพอ้อนฮุนเซน เห็นแก่ความสัมพันธ์อันดี

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึง ความคืบหน้าในการช่วยเหลือ 7 คนไทย ที่ทางการกัมพูชาจับกุมตัวไว้ ว่า การต่อสู้คดีความนั้น ต้องว่าไปตามกระบวนการ หากทางศาลกัมพูชาให้อนุญาตให้ประกันตัวได้ เราก็คงจะประกันตัว

เมื่อถามว่า มีข่าวว่าทางศาลกัมพูชาจะให้ประกันตัว นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เพียงคนเดียว ส่วนที่เหลือถือว่ากระทำผิดซ้ำซาก และเจตนารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ นายสุเทพ กล่าวว่า อย่าเพิ่งคาดการณ์อะไรในทางร้าย ทุกอย่างต้องว่าไปตามข้อเท็จจริงพื้นฐาน เพื่อให้ทางกัมพูชาทราบว่าเราไม่ได้บิดเบือนข้อเท็จจริงอะไร และคนไทยทั้ง 7 คน ไม่ได้มีเจตนาร้ายเข้าไปก่อความไม่สงบ หรือความวุ่นวาย ไม่ได้มีการพกพาอาวุธ เพียงแต่เข้าไปดูเรื่องหลักเขตบริเวณที่ดินที่เป็นที่มีประชาชนร้องเรียนมา เท่านั้น

นายสุเทพ กล่าวยอมรับด้วยว่า ขณะนี้รู้สึกกังวลกับการเคลื่อนไหวบริเวณตามแนวชายแดน แต่ก็ต้องขอขอบคุณผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่ ที่ได้ช่วยกันพูดจาสร้างความเข้าใจ ป้องกันไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ซึ่งถือว่าโชคดีที่สามารถประคับประคองสถานการณ์ได้ เพราะถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา จะยิ่งทำให้การช่วยเหลือ 7 คนไทย ยุ่งยากขึ้นไปอีก

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลออกมาระบุว่านายพนิช กับพวก รุกล้ำเข้าไปในดินแดนกัมพูชา แต่ภายหลังจากการประชุม ครม.วงเล็ก เมื่อวันที่ 4 ม.ค. ที่มีการนำเจ้าหน้าที่กรมแผนที่ทหารหารือด้วย ทำให้ท่าทีของรัฐบาลเปลี่ยนแปลงไป เป็นไม่ยอมรับใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น การตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ต้องดำเนินการกันไป เพราะพื้นที่ดังกล่าว เป็นจุดหนึ่งในหลายจุดที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับแนวแผนที่ที่ใช้กันอยู่ จึงต้องหาข้อยุติในคณะกรรมการปักปันเขตแดน และมีหลายจุดที่ต้องมีการวางกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย หรือดูแลระวังรักษาไม่ให้ชุมชนที่อยู่ในรอยต่อของพื้นที่ขยายตัวออกไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังเชื่อว่าคลิปวีดีโอที่มีการเผยแพร่ผ่านยูทูบเป็นการตัดต่อจริงหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เท่าที่ได้ติดตามสอบถามทราบว่าคลิปดังกล่าว ถ่ายโดยทีมงานของคณะคนไทยที่เดินทางไป เพื่อจะนำมาออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ของเขา แต่เมื่อถูกจับก็ถูกยึดอุปกรณ์ไปทั้งหมด และภาพที่ถ่ายไว้มีความยาวมากกว่านี้ แต่คนที่เอามาปล่อยก็ปล่อยเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับคนปล่อย แต่ตนไม่ได้เห็นคลิปทั้งหมด

เมื่อถามย้ำว่า มั่นใจว่าเป็นการตัดต่อหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า “ตัดน่ะตัดแน่ แต่ต่อหรือไม่ ผมไม่ทราบ เรื่องอย่างนี้มันพูดยาก ยืนยันว่า ฝ่ายไทยไม่ได้เป็นคนปล่อยคลิปนี้” นายสุเทพ กล่าว

เมื่อถามว่า ดูท่าทีของ สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะเพิกเฉย ไม่ตอบรับต่อความพยายามของไทย นายสุเทพ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ทราบว่าสมเด็จฮุนเซน คิดอย่างไร เพราะยังไม่ได้สามารถติดต่อสมเด็จฮุนเซน โดยตรงได้ เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ และไม่ทราบว่าสมเด็จฮุนเซน อยู่ที่ไหน อย่างไร

เมื่อถามว่า มีข่าวว่ารัฐบาลพยายามจะช่วยนายพนิช ออกมาก่อนเพียงคนเดียว นายสุเทพ กล่าวว่า รัฐบาลช่วยเหลือทุกคน ที่ข่าวว่าจะช่วยเหลือนายพนิช เพียงคนเดียว เป็นการเติมไฟใส่เชื้อให้คนไทยไม่ชอบใจกัน ยืนยันว่า รัฐบาลรับผิดชอบต่อคนไทยทุกคน

“ผมหวังว่าสมเด็จฮุนเซน จะได้เห็นแก่การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ท่านได้ร่วมกับนายกฯ อภิสิทธิ์ แก้ไขสถานการณ์จนดีขึ้น ในระดับที่ประชาชนของทั้งสองประเทศมีความสบายใจแล้ว ดังนั้น หวังว่าจะใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศเพื่อนบ้าน ที่เราหวังจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ช่วยแก้ไขปัญหานี้ ที่ผ่านมา ผมพยายามติดต่อสมเด็จฮุนเซน อยู่ตลอดเวลา ผมไม่เคยโทรศัพท์โดยตรงกับสมเด็จฮุนเซน เป็นการติดต่อผ่านคนช่วยประสานให้ แต่ยังติดต่อไม่ได้” นายสุเทพ กล่าว

“หมอท็อป” อ้าง 7 คนไทยเลี้ยวผิด

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายให้ข้อมูลเรื่อง 7 คนไทยถูกกัมพูชาจับ ไปในทางเดียวกัน เพราะศาลกัมพูชาจะพิจารณาคดีดังกล่าว ในวันที่ 6 ม.ค.นี้แล้ว นอกจากนี้ยังอยากให้เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ที่ชุมนุมอยู่ที่ จ.สระแก้ว หลีกเลี่ยงการสร้างประเด็นที่อาจสร้างความขัดแย้ง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเผชิญหน้ากับทางกัมพูชา เพราะไม่เป็นผลดีต่อโอกาสที่คนไทยทั้ง 7 คน จะได้รับอิสรภาพ

นพ.บุรณัชย์ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นพบว่านายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ และคนไทยอีก 6 คน ได้เดินผ่านจุดตรวจที่ 48 บนถนนศรีเพ็ญ ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ไปตามถนนลูกรัง จากนั้นข้ามรั้วลวดหนาม ก่อนเดินไปถึงสามแยกที่อยู่บนเส้นประระหว่างหลักหมุดที่ 46 และ 47 ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาใช้อ้างอิงในการปฏิบัติงานชั่วคราว โดยคณะกรรมาธิการปักกันเขตแดนร่วมหรือเจบีซีของทั้งไทยและกัมพูชา ต่างยอมรับว่าหลักหมุดทั้ง 2 หลักดังกล่าวอาจคลาดเคลื่อนจากพื้นที่จริง

นพ.บุรณัชย์ กล่าวต่อว่า จากนั้นนายพนิช และคณะได้เลี้ยวไปทางขวามุ่งหน้าทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นคนละทางกับหลักหมุดที่ 46 ที่นายพนิช พูดในคลิปซึ่งปรากฎบนเว็บไซต์ยูทูบว่าจะเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งต้องเลี้ยวซ้ายไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากความสับสนทางภูมิประเทศ เป็นเหตุให้นายพนิช และคณะถูกทหารกัมพูชาจับในทั้สุด ซึ่งจากข้อมูลพบว่าบริเวณที่โดนจับเลยเส้นประระหว่างหลักหมุดที่ 46 และ 47 ไปเพียง 55 เมตร ไม่ถึง 1,200 เมตร ซึ่งหากพิจารณายึดตามสันปันน้ำจะล้ำเข้าไปเพียง 10 เมตรเท่านั้น

“ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการต่อสู้คดีของคนไทยทั้ง 7 คน ที่จะอ้างว่าคณะคนไทยดังกล่าว พลัดหลงเข้าไป ส่วนที่อ้างข้อความที่นายพนิช พูดในคลิป ว่า นายกรัฐมนตรีรู้เรื่องล่วงหน้าความจริงแล้วนายพนิช ได้รับเรื่องร้องเรียนว่ามีชาวกัมพูชารุกล้ำดินแดนเข้ามาในไทย ทำให้นายพนิช ในฐานะอดีตผู้ช่วยรมว.ต่างประเทศและกรรมาธิการฯ เจบีซีแจ้งกับนายกฯ ว่าจะไปสำรวจพื้นที่ โดยบอกว่าไป จ.ปราจีนบุรี ไม่ใช่ จ.สระแก้ว และนายพนิช ก็ไม่ได้แจ้งว่า นายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติจะเดินทางไปด้วย”

เมื่อถามว่า คลิปล่าสุดที่ปรากฎในยูทูปนายวีระ พูดชัดว่าจะเดินไปให้จับ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องรอถามนายวีระ ว่าหมายความว่าอย่างไร เพราะบางช่วงในคลิปฉบับเต็มความยาว 20 นาทีกว่า นายวีระ ก็พูดแบบทีเล่นทีจริง

เมื่อถามว่า ภายหลังคณะคนไทยถูกจับก็มีผู้ชุมนุมออกมาทันที แสดงให้เห็นว่าเป็นเกมหรือไม่ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าเป็นเกมหรือไม่ แต่ไม่อยากให้เครือข่ายคนไทยฯ ที่ชุมนุมที่ จ.สระแก้ว ให้ข้อมูลซึ่งสร้างความสับสน และยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้จัดตั้งม็อบไปชนกับผู้ชุมนุมกลุ่มดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดการแถลงข่าว นพ.บุรณัชย์ ได้รูปภาพแสดงเส้นทางการเดินของนายพนิช และคณะ จากจุดตรวจที่ 48 ผ่านรั้วลวดหนาม ไปยังสามแยก ก่อนเลี้ยวผิดไปถูกจับในเขตที่ทหารกัมพูชาควบคุมอยู่

นักสิทธิมนุษยชนหวั่นคดี 7 คนไทยชนวนวิกฤต

ด้านเว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่าวิทยุเอเชียเสรี หรือ RADIO FREE ASIA ของกัมพูชาได้ รายงานข่าวว่านักวิเคราะห์สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างกัมพูชา - ไทย ประเมินสถานการณ์ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ อาจถึงขึ้นเผชิญกับวิกฤตทางการทูตอีกครั้งหนึ่ง โดยทั้งนี้นักวิเคราะห์ ได้ประเมินจากสถานการณ์ที่กลุ่มพันธมิตรประชาเพื่อประชาธิปไตย หรือกลุ่มเสื้อเหลือง และเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ  ที่ได้มาชุมนุมที่จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 54 เพื่อเรียกร้องให้กัมพูชาปล่อยตัว 7 คนไทย ที่ถูกจับในข้อหาข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย และเกี่ยวข้องกับปัญหาด้านความมั่นคงแห่งชาติ  โดยกลุ่มดังกล่าวตั้งเป้าว่าจะมีผู้ร่วมประท้วงราว 5,000 คน

ทางการกัมพูชาเองนั้นไม่ได้ให้ความสนใจต่อคำขู่ของกลุ่มผู้ประท้วงเหล่านั้น แต่อย่างใด  โดยนักวิเคราะห์สถานการณ์ได้ขู่ว่า การข้ามแดนเข้ามาในฝั่งกัมพูชาอย่างผิดกฎหมายของทั้ง 7 คน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเจตนาที่จะให้ทางการกัมพูชาจับตัว เพื่อใช้เป็นชนวนปลุกกระแสชาตินิยมของคนไทย และจะส่งผลต่อคะแนนเสียงพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งปี 2554  โดยคนไทยทั้ง 7 ขณะนี้อยู่ในการควบคุมตัวชั่วคราวที่เรือนจำเปร็ยซอ ในจำนวนมี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 1 ท่านรวมอยู่ด้วย

นายไพ ซีพาน โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับวิทยุเอเชียเสรีว่า คนไทยทั้ง 7 คนได้ข้ามมาฝั่งกัมพูชาอย่างผิดกฎหมายจริง  และศาลกัมพูชาจะพิจารณาลงโทษคนไทยทั้ง 7 คนนี้ โดยหวังว่าการจับกุมตัวครั้งนี้จะไม่ก่อให้เกิดวิกฤตทางการทูตต่อกันระหว่าง กัมพูชากับไทยอีกรอบ

 นายอู วิเรียะ  ประธานศูนย์สิทธิมนุษยชน ประเทศ กัมพูชา  ก็ได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงต่อเหตุการณ์ที่ 7 คนไทยข้ามแดนมาฝั่งกัมพูชาอย่างผิดกฎหมายโดยมีการเตรียมการล่วงหน้า เพื่อหวังคะแนนสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนายอภิสิทธิ์   เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบัน เป็นหัวหน้าพรรคด้วยเช่นกัน

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก:

เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติเผชิญหน้าผู้ชุมนุมคัดค้าน ปราศรัยโจมตีกันมีทหารกั้นกลาง (มติชนออนไลน์, 5-1-2554)

"ป๋าเปรม"ห่วง 7 คนไทยถูกเขมรจับ (เดลินิวส์, 5-1-2554)

เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติพอใจดูหลักหมุดที่ 46 พร้อมเดินทางกลับชุมนุมหน้าทำเนียบฯต่อ (ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 5-1-2554)

นักสิทธิมนุษยชนหวั่นคดี7คนไทยชนวนวิกฤต (คม ชัด ลึก, 5-1-2554)

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กวีตีนแดง: เจ้าการะเกดเอย

Posted: 05 Jan 2011 03:58 AM PST

 

(เจ้าการะเกดเอย)
เจ้าการะเกด
เจ้าขี่ม้าเทศ ออกจากท้ายวัง
ถือปืนมุ่งหน้า แม่น้ำตาหลั่ง
ใครห้ามไม่ฟัง เจ้าการะเกดเอย

(เจ้าการะเกดเอย)
โอ้การะเกด
ใครจักช่วยเช็ด มือเปื้อนเลือดลูกเอ๋ย
เสียงปืนเปรี้ยงปร้าง กลางลมรำเพย
มือพวกเขาเคย แต่กำด้ามเคียว

(เจ้าการะเกดเอย)
เจ้าเหนี่ยวไกฆ่า ประชาชนมือเปล่า
หม่นคราบเขม่า ขาวดวงจันทร์เสี้ยว
แหลกร่างหนุ่มสาว หนาวคืนฟ้าเปลี่ยว
ใต้ฟ้าผืนเดียว เกี่ยวดาวกี่ดวง

(เจ้าการะเกดเอย)
โอ้ช่อมะกอก ดอกตำลึงสุก
ใครกันปั่นปลุก ลูกไปสุดห้วง
แม่กำเนิดเจ้า ร้อยข้าวเรียวรวง
เลือดหยดนั้นร่วง ห่วงเจ้าร้าวรน

(เจ้าการะเกดเอย)
เจ้าลืมกำพืด จิตใจมืดดำ
สาปควายชั้นต่ำ ย่ำปลักปลายฝน
เจ้ากลายคิดคด ทรยศประชาชน
ท.ทหารฆ่าคน ปล้นเลือดชาวนา

(เจ้าการะเกดเอย)
ลูกชายชาวนา โตมาเป็นนักรบ
เรียนรู้เจนจบ ครบถ้วนกระบวนท่า
เจ้าเป็นทหาร ของพระราชา
แม่เป็นชาวนา ปลูกข้าวให้คนกิน

(เจ้าการะเกดเอย)
ปลดอาวุธเถิดหนา โอ้การะเกด
สองมือเจ้าเช็ด คราบเลือดไม่สิ้น
เมื่อ ท.ทหาร เป็นโจรปล้นแผ่นดิน
กลับมาปลูกข้าวกิน เดินดินธรรมดา

(เจ้าการะเกดเอย)
เกียรติภูมิกองทัพ กลับเหยียบหัวคน
ยิงกลางถนน คนจนเช่นหมูหมา
อย่าเป็นเลยลูกรัก นักรบศักดินา
มาเป็นคนธรรมดา เป็นนักรบประชาชน

(มาสู้อย่างคนธรรมดา เป็นนักรบประชาชน)
(มาสู้เพื่อคนธรรมดา เป็นทหารของประชาชน)

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กวีประชาไท: มิใช่ชีวิต..มิใช่ความเจ็บปวด

Posted: 05 Jan 2011 03:16 AM PST

ฉันร่ำสุราคนเดียวในคืนข้ามปี
พิษบาดแผลแห่งความหลังทิ่มแทง..ทารุณ
เย็นยะเยือกรุนแรงกว่าลมหนาว
มันกรีดทุกอณูทั่วร่างกาย
ยามนี้คนพเนจรต้อยต่ำเช่นฉันได้แต่ฝันถึงผีเสื้อหลงฤดู
ดอกไม้เบ่งบานท่ามกลางหิมะ
เฉกเช่นสายฝนกลางเปลวแดด
นี่คือความฝันแห่งราตรีกาลอันยาวนานมิจบสิ้น
ทุกอย่างช่างว่างเปล่า
ชีวิตก็ว่างเปล่า..ความรักยิ่งว่างเปล่า
โปรดจงดื่มให้กับความไร้สาระของชะตากรรม
มิใช่ชีวิต..มิใช่ความเจ็บปวด
มิใช่อิสตรี..มิพักหลั่งน้ำตา
คืนนี้ไม่มีบทกวี
มีเพียงชายอัปลักษณ์กับคืนวันอันโดดเดี่ยว
ปลอบประโลมหัวใจอับเฉาด้วยสุรา
ปีแล้วปีเล่าปีแล้วปีเล่าปีแล้วปีเล่า….

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เป็นวงกลมใกล้ๆ กัน

Posted: 05 Jan 2011 01:58 AM PST

เมื่อวาน ฉันดูหนังเรื่องAt First Sight เกี่ยวกับชายตาบอดที่ทำงานเป็นหมอนวด และอาศัยอยู่กับพี่สาว ฉันดูไปเรื่อยๆ คิดในใจว่าก็คงคล้ายๆ กับเรื่องคนตาบอดที่ฉันพอรู้ๆ มาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องการบอกตำแหน่งสิ่งของโดยเฉพาะเรื่องอาหาร ที่ใช้ตำแหน่งตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกา หรือการที่พระเอก “ฟัง” ถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬา แล้วใช้คำว่า “ดู” 

ฉันนึกกระหยิ่มใจว่า ฉัน “เข้าใจ” หนังและคนตาบอดดีเลยทีเดียว จากประสบการณ์ทำงานกับนิทรรศการบทเรียนในความมืด Dialogue in the Dark มิฉะนั้นระหว่างดูหนังฉันคงตั้งคำถามว่า ทำไมถึงใช้คำว่า “ดู” ไม่ใช่ “ฟัง” และคงแปลกใจว่าทำไมจึงเทียบตำแหน่งสิ่งของกับหน้าปัดนาฬิกา

ฉันมาสะดุดตรงที่เมื่อพระเอกเข้ารับการผ่าตัดตาและเริ่มมองเห็น เรื่องราวต่อจากนั้น ฉันไม่เคยนึกมาก่อน

ฉันเคยนึกว่า เมื่อเขามองเห็น เขาก็จะรู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร เหมือนอย่างที่เราเห็นและรู้โดยอัตโนมัติ ฉันไม่เคยนึกถึง “ขั้นตอน” ที่ตารับภาพ แล้วส่งไปยังสมอง สมองรับภาพแล้วบอกว่ามันคืออะไร เพราะขั้นตอนเหล่านี้ใช้เวลาเพียงเสี้ยวของเสี้ยววินาที เหมือนเห็นปุ๊บ รู้ปั๊บ แต่เรื่องจริงๆ มันซับซ้อนมากกว่านั้น

เมื่อลืมตา เมื่อเห็นแสง เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างพุ่งเข้ามาใส่ เหมือนอยู่ในโลกใหม่ ฉันอยากจะเปรียบเทียบกับห้วงเวลาที่ทารกออกมาจากท้องแม่ เห็นแสงแรก และไม่รู้จักอะไรเลย ค่อยๆ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ คนตาบอดก็เรียนรู้สิ่งใหม่เช่นกัน แต่เรียนรู้โดยรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยเห็น

เห็นแอปเปิ้ล ก็ไม่รู้ว่าเป็นแอปเปิ้ล ต้องจับ ต้องดม ถึงจะรู้ เมื่อรู้ว่าเป็นแอปเปิ้ลแล้ว ถ้าเห็นภาพแอปเปิ้ลกับผลแอปเปิ้ลก็ไม่รู้ว่า อันไหนเป็นของจริง อันไหนเป็นภาพ ไม่รู้จักระยะใกล้-ไกล มิติของสิ่งของ สีหน้า ท่าทาง สิ่งของรอบข้าง รวมทั้งวัฒนธรรมที่ใช้ตามองเห็น ต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด

ฉันเองก็เคยเจอประสบการณ์คล้ายๆ แบบนี้ ฉันเคยทำงานในร้านขายเสื้อ หน้าที่หลักคือพับเสื้อ อยู่มาวันหนึ่ง มีลูกค้าถือเสื้อมา ๑ ตัว แล้วถามหา “เมียร์” (ที่จริงลูกค้าพูดว่า “เมียร์เออะ” แต่เสียง “เออะ” เบามากจนแทบไม่ได้ยิน) ฉันถามกลับว่า อะไรนะ เค้าก็บอกว่า “เมียร์” ฉันหยุดนึก และเป็นครั้งแรกที่รับรู้ถึงกระบวนการ “ประมวลผล” ในสมองเพื่อหาความหมายของคำว่า “เมียร์” ที่เกี่ยวข้องกับเสื้อ กางเกง หมวก ผ้าพันคอ ถุงเท้า แต่ปรากฏว่าฉันไม่มีคำนี้ในสมอง และพบว่าไม่เคยรู้จักคำนี้มาก่อน

คุณแหม่มคนนั้นคงเห็นว่า ฉันคงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยเดินไปหาเอง และเธอไปหยุดอยู่ที่หน้ากระจก ฉันรู้ในทันใดนั่นเองว่า “เมียร์” ของคุณแหม่มก็คือ “มิร์เรอร์” ที่ฉันรู้จัก

ในชีวิตฉันก่อนถึงวันนั้น ไม่เคยมีคำว่า “เมียร์” (mirror) อยู่ในสมอง ที่มีคือ “มิร์เรอร์” คำสองพยางค์ออกเสียงชัดถ้อยชัดคำ

หนังเรื่องนี้ทำให้ฉันนึกถึงการประชิดและพื้นที่ทับซ้อน ถ้าคุณเคยเรียนเลข ฉันก็อยากจะเปรียบเทียบกับเรื่องเซท ว่าเป็นส่วนของ intersection คือพื้นที่ส่วนของวงกลมที่ซ้อนกัน เอาง่ายๆ เปรียบเทียบกับโลโก้ของช่อง ๗ สีทีวีเพื่อคุณ วงกลม ๓ วง ซ้อนกัน ส่วนตรงกลางที่ซ้อนกัน คือพื้นที่ทับซ้อน ฉันรู้เรื่องเซท คุณก็รู้เรื่องเซท เรารู้เรื่องเซทเหมือนกัน

กลับมาเรื่องคนตาบอด ก่อนหน้าที่ฉันจะได้ทำงานกับนิทรรศการบทเรียนในความมืด ฉันคิดว่าขอบเขตที่ฉันรู้จักคนตาบอดเป็นเพียงแค่จุด ๑ จุดที่เส้นรอบวงของฉันกับวงกลมของคนตาบอดแตะกัน หรืออยู่ใกล้ๆ กันเท่านั้น ฉันเคยเห็นคนตาบอด คนตาบอดถือไม้เท้า คนตาบอดร้องเพลงขอเงิน คนตาบอดขายลอตเตอรี่ จะว่าไปก็ไม่น่าจะใกล้กันมาก คงห่างไกลกันพอสมควร ถ้ารู้เพียงแค่นี้

ส่วนเรื่องในหนังที่ฉันกระหยิ่มใจว่า “เข้าใจ” ดีก็เป็นเพียงพื้นที่ทับซ้อนเสี้ยวหนึ่งของ ๒ วงกลมใน ๓ มิติเท่านั้น ที่เผอิญฉายเรื่องราวทับซ้อนกับส่วนที่ฉันมีประสบการณ์ แต่ยังมีอีกหลายด้านหลายมุมนักที่ฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย แต่กลับคิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง และตัดสินตัวเองว่าเป็น “ผู้รู้”

ขอโยงเรื่องนี้กับเรื่องท้องไม่พร้อมในวัยรุ่น

ข่าวชิ้นส่วนทารก ๒,๐๐๒ ร่างเป็นโอกาสให้นักวิชาการ หรือ“ผู้รู้” หลายท่านออกมาแสดงวิสัยทัศน์ กว้างบ้าง แคบบ้าง มีบ้าง ไม่มีบ้าง ตามแต่ระดับกระบวนการประมวลผลทางสมองและสติปัญญา ประเด็นที่น่าสนใจ คือการทำแท้งเสรีเป็นการชี้โพรงให้กระรอก ส่งเสริมให้เยาวชนมีเพศสัมพันธ์มากขึ้น ท้องขึ้นมาก็ไปทำแท้งได้สบายๆ

รายการ “เจาะข่าวตื้น” ของจอห์น วิญญู ก็พูดประเด็นเดียวกัน เล่าอย่างสนุกสนานแต่น่าคิดมากกว่าว่า การทำแท้งไม่ใช่เรื่องสนุก ไม่ใช่การไปเที่ยว ที่ท้องแล้วดีใจจะได้ไปทำแท้ง แค่ไปหาหมอตรวจริดสีดวงยังเจ็บ แต่นี่ไปทำแท้ง ไปขูดผนังมดลูก ใครมันอยากจะท้องเพื่อที่จะได้หาโอกาสได้ไปทำแท้ง วิสัยทัศน์ของ “ผู้รู้” ที่พูดเรื่องนี้เป็นการแสดงความสูงส่งทางภูมิปัญญาโดยไร้สติเป็นอย่างยิ่ง

ฉันจึงอยากโยงเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกัน

๑. เรา “คิดว่า” เรา “รู้” ซึ่งอาจจะรู้จริง แต่ “รู้” นิด(ส์)เดียว เหมือนอย่างที่ฉันรู้เรื่องคนตาบอด แล้วคิดเองว่า ฉัน “รู้จัก” คนตาบอดดี เพราะเผอิญหนังเอาแง่มุมที่ฉันรู้มาฉาย แต่หนังก็สอนฉันในคราวเดียวกันว่า เธอ“รู้” นิด(ส์)เดียวเท่านั้น มีอะไรอีกเยอะแยะที่เธอไม่รู้ อย่าได้ทะนงตัวไป

เรื่องนี้สอนว่า อย่าคิดเหมารวมว่ารู้แค่นิดเดียวคือรู้ทั้งหมด ใครรู้เข้าจะอายเค้า ทำตัวเล็กๆ เข้าไว้ ในโลกนี้มีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ คนเราจริงๆ ตัวเล็กไม่ต่างจากมดหรอก เราเห็นมดตัวเล็กแค่ไหน เราก็แค่นั้นแหละ และจะเล็กยิ่งกว่าผงธุลี เมื่อมองจากนอกโลกจากอวกาศ

๒. สิ่งเดียวกัน เราและคนอื่นรู้ไม่เหมือนกัน “เมียร์” กับ “มิร์เรอร์” คือกระจกเหมือนกัน คุณแหม่มเรียกอย่างหนึ่ง ฉันเรียกอีกอย่าง อันนี้คือการรับรู้ไม่เหมือนกัน เธอและโลกของเธอเรียกว่า “เมียร์” คุณครูของฉันสอนว่า “มิร์เรอร์” และสังคมของฉันก็เรียกกันว่า “มิร์เรอร์” หาใช่ “เมียร์” ไม่

อันนี้ ไม่ใช่ไม่รู้ แต่รู้ไม่เหมือนกัน เพราะประสบการณ์ไม่เหมือนกัน คุณแหม่มไม่ผิด ฉันก็ไม่ผิด เพียงแต่เราออกเสียงไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง

๓. กระจกเงาในข้อ ๒. สะท้อนการมองเรื่องการทำแท้งของสังคมไทย ฉันไม่รู้ว่าวงกลมของนักวิชาการ หรือ “ผู้รู้” กับวงกลมของคนทำแท้งมีพื้นที่ทับซ้อนกันแค่ไหน เป็นวงกลม ๒ วงที่อยู่ไกลกันคนละซีกโลก หรืออยู่ใกล้ๆ กัน แตะกัน ๑ จุด หรือทับซ้อนกันบางส่วน หรือซ้อนกันอย่างสมบูรณ์ไม่มีช่องว่าง ราวกับไปนั่งในใจของคนทำแท้ง

“ผู้รู้” จึงพูดราวกับว่า “รู้” จริงๆ ถึงออกมาบอกว่า การทำแท้งเสรีจะทำให้วัยรุ่นท้องมากขึ้น และไปทำแท้งมากขึ้น ราวกับว่าการทำแท้งคือการเล่นเกมฟาร์มวิลล์ ทำแท้ง ๑ ครั้งเท่ากับปลูกสตรอเบอร์รี่ ๑ แปลง ได้คะแนนเพิ่มขึ้น ๑ คะแนน ทำแท้งหลายครั้งคะแนนก็เพิ่มขึ้นหลายคะแนน ยิ่งเล่น ยิ่งทำแท้ง ยิ่งสนุก ได้เลื่อนระดับสูงขึ้น ชนะเพื่อน

สิ่งที่คนไม่พร้อมจะท้องเจอเมื่อรู้ว่าตัวเองท้อง ใครไม่เจอคงไม่รู้ และไม่มีวันเข้าใจ ถ้า “ผู้รู้” ไม่เคยมีประสบการณ์ด้วยตัวเองก็ไม่น่าจะ “รู้” จริง เมื่อ “ไม่รู้” แต่อยากเป็น “ผู้รู้” อยากพูด อยากแสดงวิสัยทัศน์ภูมิปัญญาก็เลยได้แต่กล่าวโทษคนทำแท้งจากแง่มุมอื่น เช่น สังคมเสื่อมโทรม วัยรุ่นรับวัฒนธรรมตะวันตก สื่อชักนำ หรือเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ การทำแท้งคือการทำลายชีวิต คือการฆ่าเด็กบริสุทธิ์ที่กำลังจะมาเกิด เป็นบาปใหญ่หลวงนัก ไม่สามารถชดใช้ด้วยการทำบุญใดๆ วิญญาณเด็กจะเกาะกิน ทำอะไรก็ไม่เจริญ ปวดไหล่ ปวดหลังตลอดเวลาโดยหาสาเหตุไม่ได้ ฯลฯ อันนี้คือวงกลมอยู่ไกลกันคนละซีกโลก ไม่เกี่ยวกัน ไม่ช่วยแก้ปัญหา และเข้าข่าย “มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ”

วงกลมอยู่ใกล้ๆ กัน หรือแตะกัน ๑ จุด ก็ไม่รู้หรอกว่าปัญหาที่แท้จริงที่คนท้องไม่พร้อมเจอคืออะไร แต่พร้อมเข้าใจ ช่วยแนะนำทางเลือกต่างๆ ให้ ไม่ซ้ำเติม เพราะการซ้ำเติมคือการผลักวงกลมน้อยให้ออกไปไกล หลุดวงโคจร อยู่ไกลกันคนละซีกโลก วงกลมอยู่ใกล้ๆ กัน หรือแตะกัน ๑ จุด ให้ความอุ่นใจ ให้ความรู้ ชี้ให้เห็นทางเลือก และสิ่งที่จะตามมาจากทางเลือกนั้นๆ แล้วให้วงกลมน้อยตัดสินใจเอง

ส่วนพื้นที่ทับซ้อนกัน ก็ปล่อยให้คนท้องไม่พร้อมกับคนทำให้ท้อง ตัดสินใจกันเองว่าจะเลือกทางใด การทำแท้งก็อาจจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่วงกลมน้อยเลือกแล้ว เลือกโดยรู้ว่าอะไรจะตามมา เลือกเพราะรู้ว่าสถานการณ์ที่ตัวเองเจอ และกำลังจะเจอไม่มีทางเลือกอื่นให้เลือก การตัดสินใจที่ดีที่สุด คือการตัดสินใจด้วยเจ้าตัวเอง โดยที่มีข้อมูลครบถ้วน คนไม่เกี่ยวก็ควรออกไปอยู่ห่างๆ และไม่ควร... จริงๆ แล้ว... ไม่มีแม้สิทธิ์ที่จะไปตัดสินว่า สิ่งที่เขาเลือกนั้นผิดหรือไม่

 เพราะเรื่องจริง ชีวิตจริง มันซับซ้อนนัก เราไม่ “รู้” เพราะเราไม่ได้อยู่ในโลกของเขา และเราก็ไม่รู้ว่า ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวอย่างเขา เราจะตัดสินใจอย่างไร เราจะยืนยันเป็น “คนดี” ในสังคมเมืองพุทธ หรือเราจะตัดสินใจอย่างเขา

เราทุกคนต่างก็มีวงกลมของตัวเองก็ต้องเลือกบทบาทกันเองว่า จะเป็นวงกลมที่ประชิด หรือมีพื้นที่ทับซ้อน กับวงกลมอื่น แค่ไหน อย่างไร

ฉันคงเลือกเป็นวงกลมอยู่ใกล้ๆ หรือแตะกัน ๑ จุด ยอมรับว่า เรารู้บางเรื่องเท่านั้น ไม่ได้รู้ดีไปหมดทุกเรื่อง ยอมลดขนาดตัวเราลง ตัวเล็กกว่า สบายกว่า ไม่อึดอัดเมื่อเข้าไปในที่ต่างๆ สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทั้งที่รู้แล้วในแง่มุมอื่นและที่ยังไม่รู้ ไม่ต้องกลายเป็นเป้าเหมือนคนตัวใหญ่ เดี๋ยวคนจะหาว่ารู้ก็รู้ไม่จริง แล้วยังจะอยากเป็นผู้รู้ หรือใหญ่แต่ตัว สมองไม่ได้ใหญ่ไปด้วยเลย

กระจกเงา คนท้อง และเรื่องของคนตาบอดที่ไม่เกี่ยวกัน แต่สามารถสร้างบทเรียนให้ฉันได้อีก ๑ บทเรียน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ระดมสมอง “อยากเห็น อยากให้” กองทุนสื่อฯ เป็นอย่างไร

Posted: 05 Jan 2011 01:27 AM PST

5 ม.ค. 54 - เนื่องจากร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ได้ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2553 โดยกระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพในส่วนของราชการที่รับผิดชอบดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนของกฤษฎีกาในการพัฒนากฎหมาย   ขณะเดียวกันการสร้างการรับรู้ เข้าใจ ตระหนักถึงความสำคัญของกองทุนดังกล่าวสู่สาธารณะ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนับว่ายิ่งสำคัญ เพื่อร่วมกันผลักดันให้กฎหมาย “กองทุนสื่อ”ที่จะออกมานั้นเป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ประชาชนอยากเห็น

เวทีสาธารณะ “จับตากองทุนสื่อ เครื่องมือหนุนอนาคตชาติ”จึงเกิดขึ้นโดยมีการระดมสมองเพื่อให้กองทุนสื่อฯเป็นไปตามความต้องการของประชาชนโดยรวม และแบ่งกลุ่มย่อยช่วยกันคิด “อยากเห็น อยากให้” กองทุนสื่อฯเป็นอย่างไรในกลุ่มต่างๆ โดย

ในกลุ่มเด็กและเยาวชนทำสื่อ นายฉัตรชัย เชื้อรามัญ  กล่าวว่า “สิ่งที่อยากเห็นหากเกิดกองทุนสื่อฯ นอกจากการสนับสนุนด้านงบประมาณ คือ อยากให้หาวิธีการสนับสนุนกลุ่มเล็กๆที่ทำงาน รวมทั้งคำนึงถึงทุกกลุ่ม เช่น เด็กพิการ เด็กชายขอบ กลุ่มเหล่านี้ทำงานเรื่องสื่ออยู่แล้วจะมีส่วนร่วมได้อย่างไร คำว่าสร้างสรรค์แค่ไหน ขอให้ชัด อยากให้สื่อที่พูดถึงอัตลักษณ์และตัวตนมากกว่าสื่อที่ออกจากส่วนกลางและบอกว่าควรเป็นอย่างไร”

ภาระหน้าที่ของกองทุนสื่อฯควรสนับสนุนกระบวนการขับเคลื่อน ช่วยคนที่เขาทำงานอยู่แล้วและพัฒนาคนทำสื่อ ประสานงานให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้พบปะ ทำงานร่วมกัน รวมทั้งควรแยกสื่อให้ชัดเจน เช่น สื่อแอนนิเมชั่น เด็กต้องการอะไรจากสื่อนี้และเปิดโอกาสให้ร่วมเรียนรู้ไปกับผู้ใหญ่ เปิดช่องทางการสื่อสาร และรับฟังความเห็น หรือสื่อสารการทำงานกับเครือข่ายเพื่อให้ตัดสินใจได้ตรงกับคนพื้นที่

การระดมความเห็นของกลุ่มเด็กและเยาวชนทำสื่อยังเสนอที่จะให้ความสำคัญกับกระบวนการเยียวยาของผู้ได้รับผลกระทบด้านสื่อ เช่น การพูดคุยเรียนรู้ร่วมกัน และมีการเสนอว่าน่าจะมีกระบวนการติดตาม เฝ้าระวัง และลงไปตรวจสอบสื่อต่างๆด้วย อีกทั้งอยากให้คณะทำงานมีตัวแทนของแต่ละภูมิภาคร่วมทำงานกับส่วนกลาง เปิดเวที ช่องทางการทำงานให้มากขึ้น พร้อมทั้งสร้างโมเดลการทำงานให้เห็นชัดเจนเพื่อใช้เป็นแนวทางการทำงานต่อไปได้

ขณะที่ในกลุ่มหนังสือและวรรณกรรมซึ่งมีความสำคัญต่อเด็กอย่างมากนั้น นางสุดใจ พรหมเกิด กล่าวว่า กลุ่มอยากเห็นกองทุนสื่อฯเป็นกองทุนของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน“อยากให้การสนับสนุนความรู้การอบรมตั้งแต่ระดับผู้ผลิตสื่อ รวมทั้งมองไปถึงว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการกระจายสื่อดีๆหรือการเข้าถึงหนังสือได้มากขึ้น หนังสือดีๆบางครั้งขาดหายไปจากตลาด บทบาทอีกอย่างหนึ่งที่อยากให้มีคือ การสร้างสรรค์ผู้ผลิต เช่น จัดฝึกอบรม หรือให้โอกาสผู้ผลิตเข้าถึงกองทุนสื่อฯได้ง่าย และยังมองรวมไปถึงการขจัดสื่อร้ายโดยให้มีกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน การผลิตสื่อสร้างสรรค์ตั้งแต่ระดับโรงเรียน ชุมชน ถ้าเป็นไปได้ยังอยากให้มีเทคโนโลยี เช่น สำนักพิมพ์เป็นของตัวเองเพื่อช่วยบริหารจัดการ ทำให้หนังสือราคาถูกลงและเข้าถึงได้ง่าย

นอกจากนี้ยังต้องให้ความสำคัญไปที่วรรณกรรมเยาวชน ท้องถิ่นหรือเรื่องราวที่มาจากภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยเฉพาะการสนับสนุนให้เยาวชนลุกขึ้นเป็นผู้ผลิตเองเพราะกระบวนการที่เด็กผลิตสื่อทำให้เด็กกลั่นกรองทางความคิดและรู้เท่าทันสื่อไปด้วย”

ในมุมของกลุ่มสื่อทางเลือกและสื่อพื้นบ้าน  นางสาววีราภรณ์ ประสพรัตนสุข  กล่าวว่า  กลุ่มนำเสนอเรื่องปัจเจกบุคคลที่เข้ารับทุนอาจไม่จำเป็นต้องเป็นองค์กร เช่น ในกลุ่มคุยกันว่าเรามีพ่อเพลง แม่เพลงจำนวนมาก แต่ว่าคนเหล่านี้ไม่สะดวกจะเข้าถึงเอกสารที่มีตัวหนังสือที่ค่อนข้างยุ่งยาก ดังนั้นเงื่อนไขการรับทุนควรเป็นเอกสารที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้ทุกชุมชน รวมทั้งอยากเห็นกองทุนสื่อฯมีความยืดหยุ่นในการสนับสนุนทุนต่อปัจจัยสิ่งแวดล้อมของชุมชนที่แตกต่างกัน และมีการจัดหาที่ปรึกษาของพื้นที่ให้ดำเนินการด้านเอกสารต่างๆในการขอทุน เนื่องจากคนพื้นที่อาจมีข้อจำกัดดังกล่าว

ความคาดหวังหากเกิดกองทุนสื่อฯ คือ การสนับสนุนงบประมาณ สร้างกลไกให้ชุมชนมีส่วนร่วมทั้งในระดับนโยบาย  ระดับผลิตสื่อและระดับการจัดการสื่ออย่างยั่งยืน รวมทั้งต้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการผลิตสื่อและสร้างความเท่าทันสื่อในเด็กและเยาวชน เป็นต้น

ส่งต่อมาที่กลุ่มนักวิจัยด้านสื่อเพื่อการพัฒนาเด็ก  พญ.พรรณพิมล วิปุลากร นำเสนอว่า หากมีกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เกิดขึ้น เช่น อยากให้สนับสนุนการทำงานวิจัยในสถาบันการเรียนระดับมหาวิทยาลัย ให้สถาบันการศึกษามีความเข้มแข็งในการทำงานวิจัยสื่อเพื่อเด็กตั้งแต่ต้นทาง “ไม่เฉพาะว่าเป็นคณะนิเทศศาสตร์เท่านั้นแต่คณะอื่นๆก็น่าจะมีส่วนร่วมตรงนี้ได้ และการทำงานวิจัยด้านสื่อเพื่อการพัฒนาเด็กไม่ควรจะเป็นเฉพาะกลุ่มนักวิชาการ แต่ต้องเป็นทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้อยากให้งานวิจัยเข้าไปสนับสนุนนวัตกรรม อาทิ การเรียนรู้เท่าทันสื่อทั้งในระบบโรงเรียนและครอบครัว รวมทั้งการส่งเสริมการเรียนรู้ ให้ใช้สื่อเพื่อการเรียนรู้ได้กว้างมากขึ้น หรือมีชุดข้อมูลพื้นฐานในการทำงาน คู่มือกระบวนการทำงานผลิตสื่อ อาจไม่จำเป็นต้องเป็นงานวิจัยเต็มรูปแบบแต่ชุดความรู้นี้สามารถเก็บข้อมูลเพื่อให้คนทำงานต่อไปใช้อ้างอิงได้ เป็นต้น” 

ด้าน นางวิลาสินี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์และสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม สสส.นำเสนอมุมมองของกลุ่มสื่อกระแสหลัก ที่ว่ากองทุนนี้ต้องสร้างสิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นในสังคม ที่ไม่ใช่เพียงแค่กองทุนไปหนุนให้เกิดการผลิตสื่อ แต่เป็นกองทุนไปสร้างไปสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาสื่อ เกิดผู้ที่คิดจะสร้างสรรค์สื่อ ทำให้เกิดสื่อที่ดี สื่อที่รับผิดชอบ จึงจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้   กองทุนต้องเข้าไปหนุนเสริมพัฒนาศักยภาพผู้ผลิต ทำให้ผู้ผลิตมีความยั่งยืน อยู่ได้ด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันกองทุนก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ ทั้งการใช้สื่อ การใช้เทคโนโลยี ซึ่งจะทำให้การผลิตสื่อต้องมีการวิเคราะห์คำนึงถึงทั้งเนื้อหาและบริบทของผู้รับสื่อ ซึ่งจะมีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น รายการที่เหมาะกับเด็กแต่ละช่วงวัย รายการสำหรับผู้สูงอายุ เป็นต้น

เวทีสาธารณะครั้งนี้เป็นหนึ่งในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของสาธารณชนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาคผู้ผลิตสื่อสำหรับเด็กและเยาวชนในแขนงต่างๆ ภาคราชการ นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน และประชาชน โดยเสียงเหล่านี้ล้วนอยากเห็น อยากให้กองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เป็นของทุกคนอย่างแท้จริงในที่สุด ประชาชนทุกคนสามารถติตตามและมีส่วนร่วมในการจับตากองทุนสื่อฯได้ทางhttp://www.facebook.com/thaimediafund.

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นปช.ประกาศชุมนุมใหญ่ 9 ม.ค. จี้มาร์คเอาผิด 3 บุคคลสำคัญ ก้าวล่วงสถาบัน

Posted: 05 Jan 2011 01:03 AM PST

นปช.ประกาศชุมนุมใหญ่ครั้งแรกหลังการสลายการชุมนุม 9 ม.ค. นี้ เตรียมยื่นหนังสือจี้มาร์คเอาผิด 3 บุคคลสำคัญ  "องคมนตรี-อดีตนายก" ที่วิกิลีกส์เปิดเผยข้อมูลว่าได้พูดจาก้าวล่วงสถาบัน

5 ม.ค. 54 - ที่ศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในการชุมนุม นปช. ชั้น 5 ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว  นางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหาร แถลงว่า นปช.ยืนยันจะจัดการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 9 ม.ค.นี้ต่อไป โดยจะรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เวลา 15.00 น.จากนั้น 17.00 น.เคลื่อนขบวนไปยังสี่แยกราชประสงค์ เพื่อจุดเทียนรำลึกการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงเวลา 19.00 น. และแยกย้ายกันเวลา 20.00 น. ขอให้ออกมากันให้มากที่สุดเป้าหมาย คือ เรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ นปช.และคนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังอยู่ทั่วประเทศ  ยืนยันว่าจะจัดชุมนุมต่อสู้เรียกร้องอย่างนี้ทุกเดือนจนกว่า คนเสื้อแดงจะได้รับความยุติธรรมและได้ประชาธิปไตยคืนมา ซึ่งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช.ได้ฝากบอกมาว่า แกนนำทุกคนที่อยู่ในเรือนจำ มีขวัญกำลังใจดีที่จะต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และสิทธิที่จะได้รับการประกันตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 39 และมาตรา 40

นางธิดา กล่าวว่า แม้วันนี้ศาลจะปิดปากนายจตุพร พรหมพันธุ์ รองประธาน นปช.ไม่ให้พูดความจริง แต่ ยังมีเสื้อแดงมากกว่า 10 ล้านปาก ที่จะนำความจริงการเข่นฆ่าประชาชนของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปเปิดเผยเพื่อหยุดยั้งวงจรอุบาทว์ ขณะนี้ตนได้นำหนังสือไปถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอแลนด์ เพื่อขอให้ส่งพยานมาสังเกตการณ์การพิจารณาคดีและไต่สวนคดีของ นปช. หรือ คนเสื้อแดงในศาลไทย เนื่องจากเพื่อป้องกันแนวโน้มความไม่เป็นธรรมระหว่างการพิจารณาคดี รวมทั้งช่วยเผยแพร่ข้อความเท็จจริงและความคืบหน้าของคดีให้โลกได้รับรู้ อย่างตรงไปตรงมา เพื่อประชาชนคนไทยรู้สึกว่าได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมตามหลัก ประชาธิปไตย

นางธิดา กล่าวอีกว่า สำหรับการให้ช่วยเหลือแกนนำและคนเสื้อแดงออกจากคุกนั้น คงต้องมีการหารือกับฝ่ายกฎหมายอีกที แต่ในระหว่างนี้ นปช.จะเดินหน้าปรับโครงสร้างองค์ใหม่ เพื่อสามารถขับเคลื่อนต่อไปอย่างเป็นระบบ โดยเบื้องต้นได้แต่งตั้ง นพ.เชิดชัย ตันติศิริน อดีตผู้สมัคร ส.ส.ขอนแก่น และนางอาภรณ์ สาราคำ ภรรยานายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร เป็นตัวแทนคนเสื้อแดงภาคอีสาน ในคณะกรรมการกลาง นปช. รวมทั้งได้การดำเนินการจัดตั้งกรรมการนปช. ระดับภาค จังหวัด เขต อำเภอ และตำบลให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ม.ค. 54 นี้ เพื่อนำไปปรับโครงสร้าง นปช.ครั้งใหญ่ในเดือน ก.พ. 54 นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงที่นางธิดา กำลังแถลงถึงเรื่องที่ศาลไม่ให้ประกันตัวแกนนำเสื้อแดงนั้นปรากฎว่าคนเสื้อ แดงกว่าร้อยคนที่นั่งฟังการแถลงข่าวแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดมี การตะโกนหลายครั้งว่า ไม่ได้รับความยุติธรรม จนนางธิดาต้องบอกให้ใจเย็นๆ จากนั้นได้มีการเปิดคลิปของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส .กทม. พรรคประชาธิปัตย์  และคณะที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ยูทูป ให้คนเสื้อแดงได้ชมท่ามกลางเสียงโจมตีนายพนิช ที่เดินเข้าเขตกัมพูชาโดยไม่ได้รับอนุญาต

นางธิดา กล่าวว่า ไม่ทราบว่าเป็นความจงใจ หรือ ร่วมมือกันกับกลุ่มพันธมิตรฯ และไม่รู้ว่าใครหลอกใคร แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม กรณีนี้แสดงให้เห็นว่า พรรค ปชป.ไม่ต้องการให้พันธมิตรฯหายไป จึงจุดกระแสเพื่อเรียกให้กลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาต่อต้าน แม้ว่า กลุ่มพันธมิตรเหลืออยู่เพียงหลักร้อยก็ตาม

ด้านนายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ กล่าวว่า ในนาม นปช.รู้เสียใจและเข้าใจความทุกข์ยากของคนที่ต้องติดคุก รวมทั้งครอบครัวที่ได้รับผลกระทบต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ ในฐานะ เป็นคนไทยด้วยกันขอแสดงความเห็นอก เห็นใจที่คนไทยทั้ง 7 คน ต้องถูกจองจำทั้งที่ไม่มีความผิดชัดเจน อย่างเช่น นปช.รู้สึกไม่พอใจที่คนเสื้อแดงจำนวนมากต้องถูกจองจำ ทั้งที่ไม่ปรากฎความผิดชัดเจน

จี้นายกฯ ฟัน  3 บุคคลสำคัญ ปมก้าวล่วงสถาบัน

นางธิดา กล่าวถึงกรณีที่เว็บไซต์วิกิลีกส์ (WikiLeaks) ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า 3 บุคคลสำคัญของไทยที่เป็นถึงองคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี ได้มีการพูดคุยหารือ กับนายอีริค จี จอหน (Eric G. John) อดีตเอกอัคราชฑูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ในประเด็นก้าวล่วงสถาบัน โดย ในวันพรุ่งนี้ เวลา 10.00 น.กลุ่มคนเสื้อแดงจะส่งคนไปยื่นหนังสือ ให้นายอภิสิทธิ์ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้ดำเนินการทางกฎหมายกับบุคคลทั้งสาม

ด้านนายวรวุฒิ กล่าวว่าในวันที่ 6 ม.ค . เวลา 10.00 น. ตนและคณะกรรมการ นปช.จะได้ยื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้ดำเนินการเอาผิดกับบุคคลตามที่วิกิลีกส์ระบุ ซึ่งหากหลังจาก นปช.ยื่นหนังสือแล้วยังไม่มีความคืบหน้าใด นปช.จะยื่นดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ ฐานความความผิดอาญา ม. 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

หวังม็อบ 9 ม.ค.ไม่แรงหลังไม่ได้ประกัน

เมื่อเวลา 08.30 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง กล่าวถึงกรณีที่ศาลไม่ให้ประกันตัว 7 แกนนำนปช.ทำ ให้เป็นห่วงกันว่าอาจจะมีผลทำให้การชุมนุมวันที่ 9 ม.ค.ของกลุ่มเสื้อแดงมีความรุนแรงขึ้นว่า เรื่องนี้คาดการณ์ไม่ได้ และอยากให้ปล่อยเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมปกติ เรื่องการประกันตัวเมื่อยืนคราวนี้ไม่ได้ คราวหน้าก็ยื่นใหม่ได้ และก็ต้องไปแสดงเหตุผลให้ศาลเข้าใจ

ทั้งนี้การที่ศาลจะวินิจฉัยอย่างไรก็ต้องมีดุลพินิจของศาล ก็ต้องว่าไปตามกระบวนการ ตนคงไปแสดงความเห็นแทนศาลไม่ได้ ส่วนการเตรียมรับมือกับการชุมนุมนั้น ก็คาดการณ์ในทางที่ดีไว้ก่อน ซึ่งเชื่อว่าการเคลื่อนไหวแม้ว่าจะมีขึ้นก็น่าจะอยู่ในขอบเขตที่กฎหมาย อนุญาต เพราะทุกฝ่ายก็ตระหนักแล้วว่าการกระทำการใด ๆ ที่ฝ่าฝืนกฎหมายมีแต่จะทำให้เกิดผลเสียหายทั้งต่อผู้กระทำและทั้งต่อบ้าน เมือง

เมื่อถามว่า ในส่วนของรัฐบาลได้มีส่วนในการสนับสนุนเรื่องการประกันตัวแกนนำนปช.อย่าง ไรบ้าง เพราะมีการวิจารณ์ถึงความไม่จริงใจในเรื่องนี้ของรัฐบาล นายสุเทพ กล่าวว่า สื่ออย่าตีความผิดไป เจตนาของรัฐบาลชัดเจนว่าให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบได้ พิจารณาร่วมกัน ผู้ต้องหาที่ไม่ใช่คนที่เป็นตัวการที่กระทำความผิดเสียหาย ร้ายแรง เป็นคนที่ไป และไปทำความผิดและความผิดนั้นไม่ใช่ความผิดที่ร้ายแรง ถ้าเห็นว่าการที่พวกเขาประกันตัวแล้ว พวกเขาไม่หลบหนี้หรือไม่สร้างปัญหาอะไร ก็ให้เจ้าหน้าที่ไปประสานงานกันและให้ความเห็นผ่านอัยการไปและไม่คัดค้านการ ประกันตัวของคนเหล่านี้ แต่สำหรับกรณีของคนที่เป็นตัวการใหญ่ ๆ ความผิดที่สำคัญที่ร้ายแรงก็ต้องว่าไปตามเหตุผลอีกเหตุผลหนึ่ง

เมื่อถามว่าเรื่องนี้ทางคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงฯที่มีนายคณิต ณ นคร เสนอความเห็นต่อรัฐบาลไปแล้วว่าควรมีการปล่อยตัว แต่ทำไมยังไม่สามารถปล่อยได้ นายสุเทพ กล่าวว่า ก็ทำไปแล้ว ที่ผ่านมาก็ดำเนินการปล่อยผู้ต้องหาที่มีข้อหาธรรมดาไปหลายคนแล้ว เมื่อถามว่าฝ่ายความมั่นคงประเมินหรือไม่ว่าหากการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง วุ่นวายจนเกินที่กฎหมายธรรมดาจะรับมือได้ อาจประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินอีกครั้งหนึ่ง รองนายกฯ กล่าวว่า ยังยืนยันใช้กฎหมายปกติอยู่

* อัพเดทเพิ่มเติม 19.23 น.

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก:

เสื้อแดง จี้นายกฯ ฟัน เปรม สิทธิ และ อานันท์ ปม ก้าวล่วงสถาบัน (Mthai news, 5-1-2554)

หวังม็อบ 9ม.ค.ไม่แรงหลังไม่ได้ประกัน (คม ชัด ลึก, 5-1-2554)

นปช.ประกาศเดินขบวน 9 ม.ค.ธิดานำเอง (คม ชัด ลึก, 5-1-2554)

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "ปีกระต่าย"

Posted: 05 Jan 2011 12:55 AM PST

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "ปีกระต่าย"

จดหมายถึง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก: มาร์ค ขอบใจมากสำหรับการมาเยือนแบบ (ไม่) เสมือนจริงของนาย

Posted: 05 Jan 2011 12:46 AM PST

หมายเหตุโดยผู้แปล: ถ้าแปลผิดหรือไม่ตรงกับต้นฉบับประการใด ถือเป็นความจงใจและความรับผิดชอบของผู้แปล

 

 

สวัสดีครับ คุณซัคเคอร์เบิร์ก เป็นไงบ้างครับกับการมาเที่ยวเมืองไทย? ที่ๆ ทุกคนเขาพูดว่าที่นี่คือดินแดนแห่งรอยยิ้มสยาม, ฝูงช้าง, หมาจรจัด, ประชาธิปไตย, เมืองพุทธ, สัญญาณ 2 จี, การจลาจล, การเซ็นเซอร์, ศพบนถนน, ลัทธิสูงสุดนิยม, ลัทธิอารมณ์นิยม, ลัทธิปัญญาชนเฟซบุ๊กนิยม และอื่นๆ

ไม่ครับ ไม่, ประเทศเรายังไม่ได้บล็อคเฟซบุ๊กหรอกครับ เราไม่เหมือนกับบรรดาประเทศคอมมิวนิสต์ประหลาดๆ พวกนั้น, ถึงแม้ว่าผมเองก็เดาว่าท่านผู้นำประชาธิปไตยของพวกเรานั้นมีอาการคันคะเยอที่อยากจะโชว์อำนาจเผด็จการแล้วจัดการปิดปากปิดเสียงนินทาที่แพร่กระจายอย่างกับเห็ดพิษในโลกเสมือนที่คุณซัคเกอร์เบิร์กสร้างขึ้นมา (เหมือนกับที่ครั้งนึงท่านผู้นำประชาธิปไตยของเราได้ทำกับYouTube ไปแล้ว)

อ่อ ก่อนที่ผมจะลืมพูดนะครับ ผมขอให้คุณช่วยโพสต์รูปที่มาเที่ยวเมืองไทยลงในโพรไฟล์ของคุณหน่อย คุณต้องทำนะครับ ผมสัญญาว่าผมจะบังคับให้เพื่อนๆ โลกเสมือน (ที่ผมไม่เคยเจอตัวจริง) 756 คนไปคลิก Like ให้ท่าน ช่วยแสดงให้โลกเห็นหน่อยเถอะครับว่าคุณรักเมืองไทย เพราะว่าพวกเราชาวไทยนั้นรู้สึกดีเหลือเกินเวลาเห็นฝรั่งไปเที่ยวบอกว่าเขา รักเมืองไทย Amazing, amusing, amorphous Thailand! เป็นฝรั่งแบบที่ชาวไทยรักให้หน่อยนะครับคุณซัคเคอร์เบิร์ก

ผมเรียกคุณว่ามาร์คได้ไหมครับ มาร์ค – เหมือนกับนายกของเรา ผมหวังจริงๆ นะครับว่าคุณจะมีความสุขกับการมาเที่ยวเมืองไทย ถึงแม้ผมเองก็พอเดาได้ว่าคุณคงรู้สึกแปลกๆ เวลาอ่านรายงานข่าวแล้วเจอว่าตัวคุณเองไปนั่นไปนี่ ราวกับว่าคุณเป็นพระเยซู หรือซานตาคลอส หรือเอลวิส และผมหวังว่าคุณจะไม่ถือสานะครับ ที่ผมเขียนถึงคุณผ่านสื่อดึกดำบรรพ์อย่างหนังสือพิมพ์ สื่อที่กระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด สื่อที่กำลังจะสลายหายไปพร้อมๆ กับกลิ่นหมึกของศตวรรษที่แล้ว ผมหวังว่าเพื่อนโลกเสมือนบางคนจะแชร์บทความนี้ แต่ผมก็ไม่มีวันรู้หรอกครับว่าพวกเขาจะแชร์ไหม เพราะพวกเขาไม่ได้เป็นเพื่อนจริงๆ ของผมซะหน่อย คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหมมาร์ค ถ้าไม่เข้าใจก็ช่างมันเถอะ แต่ผมน่ะ เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งถึงคำว่า 'เพื่อน' ในความหมายใหม่ที่คุณบัญญัติขึ้นมาอยู่แล้ว

เอ้อ มีเรื่องนึงที่ผมอยากพูด คือผมกับเพื่อนๆ อยากแนะนำให้คุณมีฟีเจอร์ใหม่บนเฟซบุ๊กน่ะ คือนอกจากปุ่ม Friends แล้ว คุณควรจะเพิ่มปุ่ม Enemies ไว้ด้วยครับ ดังนั้นเราก็จะมี Enemy List, Enemy Finder, Enemy Suggestion และแน่นอนว่าต้องมี Mutual Enemies (ศัตรูร่วมกัน) สิ่งนี้จะทำให้สมาชิกของเฟซบุ๊กเพิ่มมากขึ้นจนเชื่อได้เลยว่าทั้งมนุษยชาติจะ หันมาใช้เฟซบุ๊กกัน คุณจำวลีเก่าๆ ว่า "เอาเพื่อนของคุณอยู่ใกล้ๆ แต่เอาศัตรูของคุณอยู่ใกล้กว่า" ได้ใช่ไหม? ฟีเจอร์ใหม่นี้จะเป็นประโยชน์มากๆ เลยครับสำหรับคนที่ได้ไปดูหนังเรื่อง The Social Network (คุณไม่มีทางมีเพื่อนห้าร้อยล้านคน โดยที่ไม่สร้างศัตรูสักคน – คำบนโปสเตอร์หนังเขาบอกเอาไว้) ซึ่งคนดูหนังพวกนั้นดันเข้าใจผิดๆ เพราะไม่สามารถแยกแยะตัวละครที่แสดงโดย เจสซี ไอเซนเบิร์ก กับตัวจริงๆ ของคุณได้ ภาพยนตร์ก็เป็นอีกสื่อโบราณที่มาจากศตวรรษที่ 19 แต่มันก็ยังพอจะฝากรอยแผลให้คุณได้บ้าง ใช่ไหมครับ?

เจ้าฟีเจอร์ Enemy นี้มาในจังหวะที่พอดีจริงๆ ครับ เพราะในขณะที่คุณมาเที่ยวเมืองไทย มันก็เป็นเวลาเดียวกับที่มีกระแสความบ้าคลั่งในเฟซบุ๊กเมื่อมีคนบางคนโกรธเกลียดคนอีกคน จนทำให้เขา (หรือเธอ) ไปตั้งเพจที่ชื่อว่า "มั่นใจว่าคนไทยเกินล้านคนไม่พอใจ แพรวา(อรชร) เทพหัสดิน ณ อยุธยา" มันเป็นเพจแห่งความเกลียดชังต่อเด็กผู้หญิงวัย 16 ที่มีส่วนร่วมในอุบัติเหตุทางรถยนต์อันน่าสยดสยองซึ่งทำให้มีคนตายไป 9 คน เพจนี้มีคนมาคลิก Like (หรือว่า Hate?) 200,000 คนภายในหนึ่งวัน แถมยังมีการแสดงความเห็นอันร้อนระอุจากผู้คนที่พบว่าเฟซบุ๊กเป็นช่องทางที่ พวกเขาไม่ต้องแสดงตัว จนทำให้พวกเขาปลดปล่อยความเดือดดาลได้อย่างเต็มที่

มันน่ากลัวมากเลยมาร์ค ผมบอกเลยว่ามันน่ากลัว ทั้งตัวอุบัติเหตุเอง และการแสดงความรู้สึกอย่างทันทีทันใดบนเฟซบุ๊ก และไอเดียที่ว่าการกดคลิกบนเมาส์เพียงครั้งเดียวสามารถส่งต่อคำตัดสินของคุณไปยังบุคคลที่คุณไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับเขา มันเป็นการกดคลิกที่สามารถสรุปเอาอารมณ์อันแสนซับซ้อนของความรักและความเกลียดชัง ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคมไร้ตัวตนที่กำลังเพิ่มพูนของเรานี้

คุณเขียนในโพรไฟล์ของคุณว่า คุณชอบ "การเปิดกว้าง การสร้างสิ่งที่ช่วยให้ผู้คนเชื่อมโยงและแบ่งปันสิ่งที่สำคัญกับพวกเขา" คุณยังชอบ "การปฏิวัติ การเคลื่อนไหลของข้อมูลข่าวสาร ลัทธิน้อยได้มาก" ผมชื่นชมการมองโลกในแง่ดีของคุณ และผมสนับสนุนประเด็นของคุณ ถึงแม้ว่าในบางคืนที่ไร้ซึ่งดวงจันทร์ ผมครุ่นคิดเหลือเกินว่าบรรดาคุณสมบัติที่คุณสรรเสริญนั้นเป็นสิ่งที่ตรงข้าม กับคุณค่าต่างๆ ที่ครอบงำประเทศของผม ผมยังสงสัยอีกว่าเราจะทำอย่างไรเมื่อการเปิดกว้างนั้นกลับมาพร้อมกับการไม่ระบุตัวตนหรือการไม่แสดงความรับผิดชอบ เมื่อการรักใครหรือเกลียดใครได้แสดงออกมาอย่างง่ายๆ แต่แสนน่ากลัวยิ่ง มันเป็นการประกาศจุดยืนดังก้องบนโลกดิจิตอลแต่มีตัวตนราวกับหมอกควัน ผมสงสัยเหลือเกินว่าเจ้าเฟซบุ๊กหลังสมัยใหม่ได้ดึงเอาสันดานดิบก่อนสมัยใหม่ ของเราออกมารึเปล่า

ผมรู้ว่าเรากำลังอยู่ในจุดสำคัญที่สุด ของ(อภิ)วิวัฒนาการ คุณจะไม่สามารถก่อตั้งศาสนาใหม่ได้จนกว่าคุณจะร่วมการล่าแม่มดเสียก่อน ทว่าทุกครั้งที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ความพิศวงงงงวยก็กรีดเข้ากลางใจเรา มันเป็นความเจ็บแปลบเมื่อเราตระหนักถึงสิ่งที่เราสูญเสียก่อนที่จะได้อีก สิ่งหนึ่ง บางคนกล่าวว่าเฟซบุ๊กเหมือนกับการเปิดกล่องแพนโดร่า เพราะทุกคนกำลังพูดสิ่งที่พวกเขาคิด แล้วคลื่นแห่งอารมณ์เสมือนก็ล้นทะลักซัดสาดอย่างรวดเร็วเท่าที่แบนด์วิธจะเอื้ออำนวย ในเฟซบุ๊กตอนนี้ เราสามารถพูดคุยถึงสิ่งที่ปกติเราจะปิดซ่อนมันเอาไว้ บางสิ่งที่เราพูดนั้นเป็นเรื่องสำคัญ บางสิ่งเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และส่วนที่เหลือใหญ่ๆ ล้วนเป็นเรื่องอัปลักษณ์

แต่เรายังจำได้ไหมว่าสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ในกล่องแพนโดร่า หลังจากที่ทุกสิ่งถูกแพร่ออกไปแล้วคืออะไร? มันคือ เอฟิซ เทพธิดาแห่งความหวัง

สุขสันต์วันปีใหม่นะมาร์ค และ อ่อ เรื่องปุ่ม enemy น่ะเป็นแค่มุกตลกของผมเท่านั้น เพราะพวกเราล้วนรู้ดีอยู่แล้วว่าเราจะสร้างศัตรูขึ้นมาได้อย่างไรโดยไม่ต้องใช้ปุ่มนั้น

 

ด้วยความเคารพ

K

 

 

 

หมายเหตุ: งานชิ้นนี้เผยแพร่ครั้งแรกในเฟซบุ๊กของผู้แปล ประชาไทเห็นว่าน่าสนใจจึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่อีกครั้ง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คำอวยพรปีใหม่จากนักโทษ ม.112 'ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล'

Posted: 05 Jan 2011 12:05 AM PST

 
 
วันสุดท้ายก่อนการหยุดเทศกาลปีใหม่ กระผม ‘กิตติชัย ชาญเชิงศิลปกุล’ พี่ชายแท้ๆ ของดารณีเข้าเยี่ยมน้องสาวที่ทัณฑสถานหญิงกลาง เธอฝากคำอวยพรปีใหม่แก่เพื่อนร่วมขบวนการต่อสู้ของเธอ
"ขอให้ทุกคนมีความอดทน และมุ่งมั่นเพื่อไปสู่เป้าหมายของความสำเร็จ ขออำนาจของคุณพระศรีรัตนตรัยปกป้องคุ้มครองให้ชาวเสื้อแดงคลาดแคล้วจากภยันตรายทั้งปวง"
 
 

 
เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพของดารณีซึ่งต้องการค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารบำรุงเลือดเพื่อเข้ารับการผ่าตัด ผู้มีจิตศรัทธาสามารถบริจาคได้ผ่านบัญชี นายกิตติชัย ชาญเชิงศิลปกุล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาถนนพูนผล เลขที่ 297-1-25805-5, ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาภูเก็ต เลขที่ 537-406116-0, ธนาคารกรุงเทพ สาขาภูเก็ต เลขที่ 264-4-40298-0
 

 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อินเดียปฏิเสธคำขอสิทธิบัตรยาต้านไวรัสของแอ๊บบอต หวังไทยเอาอย่างระบบอินเดีย

Posted: 04 Jan 2011 11:11 PM PST

4 ม.ค.54 สำนักงานสิทธิบัตรของอินเดีย ณ นครมุมไบได้ปฏิเสธคำขอสิทธิบัตรยาโลพินาเวียร์/ริโทรนาเวียร์ เม็ดแข็ง (the heat stable tablet formulation of lopinavir/ritonavir [PCT/US2004/027401]) ของบริษัทแอ๊บบอต ตามคำคัดค้านก่อนการออกสิทธิบัตร (pre-grant opposition) ของกลุ่มนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์เพื่อการเข้าถึงยาในนาม IMAK ที่ร่วมกับบริษัทผู้ผลิตยาชื่อสามัญซิปร้า และบริษัทแมททริกซ์ที่ได้ร่วมกันคัดค้าน

 

รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เห็นว่า คำตัดสินของสำนักงานสิทธิบัตรอินเดียเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะคำขอสิทธิบัตรเช่นนี้ไม่สมควรได้ เนื่องจากเป็นการนำยาเก่า 2 ตัวมาผสมกันโดยที่ไม่มีขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น (no inventive step) ซึ่งอุตสาหกรรมยาต้นแบบมักใช้วิธีการเช่นนี้เพื่อขยายการผูกขาดยา

 

“ในขณะที่ ยาเหล่านี้ได้สิทธิบัตรในบ้านเรา เพราะการได้หรือไม่ได้สิทธิบัตรนั้นขึ้นอยู่กับผู้ตรวจสอบคำขอสิทธิบัตร หากวางแนวทาง-หลักเกณฑ์การให้สิทธิบัตรที่ไม่รัดกุมพอ หรือการที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาไม่มีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ด้านเภสัชศาสตร์อยู่เลย จึงไม่เข้าใจถึงขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้นของยา คิดไปว่า การผสมยา 2-3 ตัว ก็น่าจะมีขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้นแล้ว แต่หากไปถามเด็กเภสัชฯ จะรู้กันดี ซึ่งประเด็นนี้คณะกรรมการสิทธิบัตรที่มีอยู่ก็ไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างนี้ได้ ทำให้มียาหลายตัวในบ้านเราได้สิทธิผูกขาดทั้งๆที่ไม่สมควรได้”

 

ทางด้านผศ.ดร.นุศราพร เกษสมบูรณ์ ทีมวิจัย “สิทธิบัตรยาที่จัดเป็น evergreening patent ในประเทศไทย และการคาดประมาณผลกระทบที่เกิดขึ้น” ซึ่งได้รับสนับสนุนทุนวิจัยจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาปัญหาสิทธิบัตรที่ไม่มีคุณภาพเป็นที่ตระหนักมากขึ้นว่าเป็นภาระงบประมาณประเทศและขัดขวางการเข้าถึงยาของประชาชน หลายฝ่ายจึงได้ร่วมมือกันพัฒนาหลักเกณฑ์ในการพิจารณาให้สิทธิบัตรยาในประเทศไทย เพื่อแก้ปัญหาการขอสิทธิบัตรที่มีลักษณะ Evergreening

 

“นี่เป็นโครงการแรกที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ทีมวิจัยจากแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) และผู้เชี่ยวชาญด้านเคมี-เภสัช ได้ทำงานร่วมกันพัฒนาหลักเกณฑ์ในการพิจารณาให้สิทธิบัตรยาในประเทศไทย เพื่อแก้ปัญหาการขอสิทธิบัตรที่มีลักษณะ Evergreening

Evergreening เป็นคำนิยมใช้ในการอธิบายกลยุทธ์ของการจดสิทธิบัตรที่มีเจตนาในการขยายระยะเวลาผูกขาดสิทธิบัตรของยาชนิดเดิม เช่น โดยการอ้างข้อถือสิทธิใหม่ของยาเดิมว่าสมควรได้รับสิทธิบัตรใหม่เนื่องจากมีขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้นซึ่งจะส่งผลให้ผู้ครอบครองสิทธิบัตรของยาเดิมขยายระยะเวลาผูกขาดและกีดกันยาชื่อสามัญไม่ให้เข้าสู่ตลาด

 

ถ้าเราสามารถพัฒนาระบบการออกสิทธิบัตรให้มีคุณภาพได้อย่างเร่งด่วน ก็จะสามารถป้องกันปัญหาการผูกขาดตลาดยาที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของภาครัฐและประชาชน รวมถึงการเข้าถึงยาของประชาชนด้วย”

 

เมื่อวันที่ 28 ธันวาคมที่ผ่านมา ทีมวิจัยและคณะผู้เชี่ยวชาญได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายต่อคู่มือในการตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรทางยาสำหรับประเทศไทย

 

“จากนี้ ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาจะได้นำคู่มือดังกล่าวไปทดสอบ พร้อมๆกับที่ทีมวิจัยจะใช้คู่มือดังกล่าวไปประเมินสิทธิบัตรที่ได้รับในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543-2553 เพื่อคาดประมาณผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการให้สิทธิบัตรในรูปแบบ evengreening patent ทั้งผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อภาพรวมการบริโภคยาและตลาดยาของประเทศและผลกระทบต่อการเข้าถึงยาและคุณภาพชีวิตซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อผู้ป่วยโดยตรง” 

 

ทั้งนี้ โลพินาเวียร์/ริโทรนาเวียร์ เป็นยาต้านไวรัสสูตรสำรองที่สำคัญ แต่ได้สิทธิบัตรในประเทศไทย ทำให้ในปี 2550 กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศมาตรการบังคับใช้สิทธิ (CL) เพื่อนำยาดังกล่าวเข้ามาจากประเทศอินเดีย โดยราคาของยาดังกล่าวก่อนการประกาศใช้สิทธินั้นอยู่ที่ 8,900 บาทต่อขวดต่อเดือน ปัจจุบันยาชื่อสามัญที่นำเข้าจากอินเดียนั้นราคาต่ำกว่า 2,100 บาทต่อขวดต่อเดือน และเมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา กรมควบคุมโรคได้ประกาศการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรนี้เพิ่มเติมจนหมดอายุสิทธิบัตรทมี่ครอบคลุมทุกรูปแบบยาและทุกอนุพันธ์

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คลิปทหารกะเหรี่ยงดีเคบีเอใช้ระเบิดมือจับมอเตอร์ไซค์รับจ้างเป็นตัวประกัน

Posted: 04 Jan 2011 10:17 PM PST

พลทหารกะเหรี่ยงดีเคบีเอ สังกัดกองพลน้อย 999 ข้ามเข้ามาจับคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างใน อ.แม่สอดเป็นตัวประกัน พร้อมเรียกร้องยูเอ็นเปลี่ยนแปลงพม่าให้มีประชาธิปไตย ก่อนนายอำเภอ-ตำรวจจะช่วยกันเกลี้ยกล่อมจนยอมมอบตัว

เหตุการณ์พลทหารซอตตะมิ ทหารกะเหรี่ยงดีเคบีเอ จับคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างเป็นตัวประกัน ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อ 4 ม.ค. 54 (ที่มาของวิดีโอ: yamounnar/naytthit.net )

 

เช้าวานนี้ (4 ม.ค.) พลทหารซอตมะมิ สังกัดกองพลน้อย 999 กองพันที่ 4 หน่วยสื่อสาร ของทหารกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย หรือ ดีเคบีเอ ใช้ระเบิดเอ็ม 26 จำนวน 2 ลูก แกะสลักเรียบร้อยแล้ว จับตัว นายสาโรจน์ เหล่าวัน อาชีพจักรยานยนต์รับจ้างหน้าชุมชนบัวคูณ อ.แม่สอด จ.ตาก ไปหน้าสำนักงานผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นเอชซีอาร์ซึ่งอยู่ห่างจากชุมชนบัวคูณ ประมาณ 500 เมตร

นายซอตตะมิเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ยูเอ็นเอชซีอาร์ มารับเรื่องร้องเรียน จำนวน 4 ข้อ ได้แก่ ทหารดีเคบีเอถูกบังคับให้เปลี่ยนสถานะเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ), ไม่ยอมรับการเลือกตั้งในพม่าวันที่ 7 พ.ย. ปี 2553, ผลการเลือกตั้งไม่ได้ทำให้พม่าเป็นประชาธิปไตย และขอให้สหประชาชาติเปลี่ยนแปลงประเทศพม่าให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ต่อมาเจ้าหน้าที่พยายามติดต่อ น.ส.โยโกะ อากาซากะ หัวหน้าสำนักงานยูเอ็นเอชซีอาร์มายอมเจรจา แต่ น.ส.โยโกะไม่เจรจาเพราะคนร้ายมีอาวุธ

อย่างไรก็ตาม หลังจากนายกิตติศักดิ์ โตมรศักดิ์ นายอำเภอแม่สอด พ.ต.อ.เดชชาติ วัฒนพนม ผกก.สภ.แม่สอด และเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าพูดคุยเกลี่ยกล่อม พลทหารซอตมะมิจึงยอมปล่อยตัวนายสาโรจน์ เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวไปสอบสวนที่ สภ.แม่สอดพร้อมทั้งแจ้งข้อหาตามขั้นตอน ส่วนระเบิด 2 ลูก ถูกนำไปทำลาย

พ.ต.อ.เดชชาติ กล่าวหลังสอบปากคำว่า สาเหตุที่นายซอตามิ กระทำไป เพราะต้องการสร้างข่าวให้โด่งดัง เนื่องจากไม่พอใจการเมืองในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม ตำรวจจะยังไม่ผลักดันทหารกะเหรี่ยงดีเคบีเอรายนี้ แต่ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายใน 3 ข้อหาคือ ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ และครอบครองอาวุธสงครามโดยผิดกฎหมาย โดยจะส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้กองพลน้อย 999 ของกะเหรี่ยงดีเคบีเอ นำโดย พ.อ.ซอว์ ชิด ตู่ ซึ่งเป็นกองกำลังที่พลทหารซอตตะมิสังกัด ได้แปรสภาพเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน หรือบีจีเอฟ ขึ้นกับรัฐบาลทหารพม่าแล้ว โดยกองพลน้อย 999 มีบทบาทในการช่วยทหารพม่ายึดเมืองเมียวดีคืนจากกะเหรี่ยงดีเคบีเอ กองพลน้อยที่ 5 ของ ซอว์ ละ เพว ซึ่งไม่ยอมเข้ากับกองกำลังบีจีเอฟ และบุกเมืองเมียวดีช่วงหลังการเลือกตั้ง 7 พ.ย. ที่ผ่านมา ขณะที่มีรายงานว่ากำลังพลในกองพลน้อย 999 จำนวนหนึ่งไม่พอใจการที่ผู้บังคับบัญชาตัดสินใจแปรสถานะจากกลุ่มหยุดยิงไปเป็นกองกำลังบีจีเอฟ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สรุป 7 วันอันตราย ตาย 358

Posted: 04 Jan 2011 09:41 PM PST

สรุป 7 วันอันตราย ตาย 358 ราย สาเหตุใหญ่เมาแล้วขับ "อุบัติเหตุ-บาดเจ็บ" ลดลง

5 ม.ค. 54 - นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะประธานกรรมการและผู้อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เป็นประธานแถลงข่าวสรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วง เทศกาลปีใหม่ 2554 ในช่วงรณรงค์ 7 วันระวังอันตราย วันที่ 29 ธันวาคม ถึง วันที่ 4 มกราคม 2554 ว่า เกิดอุบัติเหตุทางถนน 3,497 ครั้ง เปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลปี 2553 เกิด 3,534 ครั้ง ลดลง 37 ครั้ง หรือคิดเป็นร้อยละ 1.05

ผู้เสียชีวิต 358 ราย เปรียบเทียบกับช่วงปี 2553 มีผู้เสียชีวิต 347 ราย เพิ่มขึ้น 11 ราย คิดเป็นร้อยละ 3.17 ขณะที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3,750 ราย เปรียบเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมามีผู้บาดเจ็บ 3,827 ราย ลดลง 77 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.01

จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ พิษณุโลก และเชียงราย จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ลพบุรี 13 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ เชียงราย 131 คน สาเหตุของอุบัติเหตุพบว่าการเมาสุราเป็นอันดับแรก รองลงมาคือการขับรถเร็ว โดยมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด รองลงมาคือ รถกระบะ

นอกจากนั้น ยังพบว่า 1 ใน 4 ของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ เป็นเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี ถนนที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ ถนนนอกเขตทางหลวงแผ่นดิน ร้อยละ 63.85

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น