โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

ผลการถล่มฐานที่นราธิวาส จนท.ถูกยึดปืนกว่า 50 กระบอก

Posted: 20 Jan 2011 08:51 AM PST

หลังจากที่เมื่อเวลา 19.30 น. ของวันที่ 19 ม.ค. มีกองกำลังติดอาวุธใช้อาวุธสงครามยิงถล่มฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ สังกัด ร้อย ร.15121 ฉก.นราธิวาส 38 ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายมะรือโบตก-รือเสาะ ช่วงบริเวณบ้านมะรือโบตก ม.1 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส

โดยผลการโจมตี ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 4 นาย คือ 1. ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ หัวหน้าฐานปฏิบัติการ 2. ส.ท.อับดุลเลาะห์ ตาหยี 3. ส.อ.เทวรัตน์ กาวา 4. พลทหาร ประวิทย์ ชูกลิ่น และได้รับบาดเจ็บ 13 นาย นั้น

ล่าสุด เช้าวันนี้ (20 ม.ค. 54) นายเดชรัฐ สิมศิริ รอง ผวจ.นราธิวาส พ.ต.ท.จันที แจ่มจันทร์ หน.กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส และคณะทีมงานของแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม รวมถึงชุดคลี่คลายคดีความมั่นคง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ร่วมเดินทางไปยังฐานปฏิบัติการ

โดยจากข้อมูลของกองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส มีรายงานว่า จากการตรวจสอบความเสียหายพบว่า โรงเรือนแบบน็อกดาวน์และเพิงพักของทหารถูกวางเพลิงได้รับความเสียหาย 4 หลัง รถจักรยานยนต์ถูกวางเพลิง 1 คัน โดยเฉพาะที่บริเวณโรงเรือนแบบน็อคดาวน์ที่ได้ดัดแปลงใช้เป็นสถานที่เก็บคลัง อาวุธประจำฐาน ได้ถูกงัดประตู และมีการขโมยอาวุธปืนสงคราม เอ็ม 16 และอาวุธปืนพกสั้น ขนาด 11 ม.ม. ไปจำนวนกว่า 50 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนกว่า 4,000 นัด

นอกจากนี้บริเวณรั้วสนามที่ใช้ทำเป็นกำแพงด้านหลังของฐาน เจ้าหน้าที่พบว่ากองกำลังที่เข้ามาโจมตีได้ใช้ไม้กระดานขนาดยาวประมาณแผ่นละ 3 เมตร จำนวนกว่า 10 แผ่น วางพาดเพื่อใช้เป็นสะพานในการวิ่งกรูเข้าโจมตีเจ้าหน้าที่ทหารแบบประชิดตัว และเจ้าหน้าที่สามารถเก็บรวบรวมหลักฐานและชิ้นส่วนของวัตถุระเบิด ซึ่งกลุ่มคนร้ายใช้เป็นอาวุธในการบุกโจมตีเจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบพบหลุมเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม.79 จำนวนกว่า 20 จุด ปลอกกระสุนปืน เอ็ม.16 เอ็ม.60 อาก้า ลูกซอง อาวุธปืนพกสั้น ขนาด 9 ม.ม. ขนาด 11 ม.ม. ตกอยู่เกลื่อนบริเวณฐานทหาร รวมทั้งสิ้นกว่า 700 นัด

แหล่งข่าวชุดคลี่คลายคดีความมั่นคง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเจ้าหน้าที่ทหารที่เข้าร่วมตรวจสอบเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ได้ประเมินว่า ในปฏิบัติการโจมตีครั้งนี้ ใช้กำลังไม่ต่ำกว่า 30 คน และมีการวางแผนบุกโจมตีฐานไว้อย่างดี และมีระบบกว่าเหตุคนร้ายบุกปล้นปืนที่กองพันพัฒนา 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2547 ที่ผ่านมา ซึ่งกองกำลังดังกล่าวรู้ความเคลื่อนไหวกำลังพล และความเคลื่อนไหวภายในฐาน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รักษาการ และอาศัยอยู่น้อย จึงได้มีการบุกโจมตีในช่วงคืนที่ผ่านมา ซึ่งกำลังที่ปฏิบัติการในครั้งนี้อย่างน้อย 80 เปอร์เซ็นต์ เคยร่วมบุกปล้นปืนด้วย นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่ามีนายมะแซ อุเซ็ง เป็นผู้บงการในการรวบรวมอาวุธ เพื่อเตรียมนำมาใช้ก่อเหตุร้ายครั้งใหญ่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ราวประมาณเดือนกุมภาพันธ์ และ มีนาคม ที่จะถึงนี้

ส่วนการติดตามไล่ล่าฝ่ายกองกำลังติดอาวุธนั้น ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจและฝ่ายปกครองที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่ อำเภอระแงะ ได้ร่วมสนธิกำลังประมาณ 300 นายพร้อมสุนัขสงครามดมกลิ่น ได้กระจายกำลังกันโอบล้อมเทือกเขาซึ่งตั้งอยู่หลังฐาน และเป็นเส้นทางหลบหนีหลังจากปฏิบัติการณ์ถล่มฐานทหารแล้ว เสร็จ ซึ่งในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่พบร่องรอยเลือดตามเส้นทางที่ มุ่งหน้าขึ้นสู่เทือกเขา ซึ่งห่างจากฐานประมาณ 500 เมตร

คาดว่ากองกำลังดังกล่าวถูกเจ้าหน้าที่ยิงได้รับบาดเจ็บไปจำนวนหลายคน แต่ถึงอย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้ประสานงานไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบตามโรงพยาบาลและสถานอนามัย เกรงว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวจะแฝงตัวปะปนกับชาวบ้านเดินทางไปรักษาอาการบาดเจ็บ

สำหรับ ร.อ. กฤช คัมภีรญาณ หัวหน้าฐานปฏิบัติการณ์พระองค์ดำ ซึ่งเสียชีวิต เป็นหลานชายของ พล.อ. ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีต รมว.กลาโหม สมัยรัฐบาลทักษิณ เป็น นตท. รุ่น 38

ที่มา: เรียบเรียงจาก เว็บไซต์สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รมต.กัมพูชาปฏิเสธบล็อกเว็บวิจารณ์เดือดรัฐบาล

Posted: 20 Jan 2011 08:46 AM PST

กัมพูชาสั่งบล็อกเว็บ KI-Media เว็บล็อกที่วิจารณ์รัฐบาลกัมพูชาอย่างเผ็ดร้อน ขณะที่ทาง รมต. ไปรษณีย์และโทรคมนาคม รวมถึง รมต.มหาดไทยของกัมพูชาปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้สั่งบล็อก

19 ม.ค. 2554 - รัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธว่าตนไม่ได้สั่งให้ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตภายในประเทศบล็อกชื่อโดเมนของเว็บบล็อก KI-Media ที่ทำการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ขณะที่มีรายงานจากผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตของ Ezecom ว่าไม่สามารถเข้าสู่เว็บล็อกได้

ฝ่ายบริการลูกค้าของบริษัท Ezecom บอกกับหนังสือพิมพ์พนมเปญโพสท์ ของกัมพูชาโดยยืนยันว่าทางผู้จัดการบอกให้เขาทำการบล็อกเว็บไซต์ดังกล่าวเนื่องจากมีคำสั่งมาจากรัฐบาล

Naly Pilorge ผู้อำนวยการกลุ่มสิทธิมนุษย์ชนในกัมพูชา Licadho กล่าวว่า คนในหน่วยงานของเธอไม่สามารถเข้าสู่หน้าเว็บใด ๆ ของบล็อก KI-Media ได้เลยเมื่อต่ออินเตอร์เน็ตด้วยบริการของ Ezecom ในเช้าวันนี้ และมีลูกค้า Ezecom รายอื่น ๆ อีก 15 รายที่เข้าสู่เว็บไซต์ไม่ได้มาตั้งแต่วันอังคาร (18)

นักสิทธิฯ บอกอีกว่าเมื่อติดต่อไปยังฝ่ายบริการลูกค้าแล้ว ทางฝ่ายบริการลูกค้ากล่าวกับเธอว่ามีรัฐมนตรีที่ไม่ระบุว่าตนเป็นใครร้องย้ำให้บล็อกเว็บตั้งแต่วันอังคาร เนื่องจากมีคำวิจารณ์อย่างดุเดือดโพสท์อยู่บนเว็บไซต์ในวันนั้น

Paul Blanche-Horgan ซีอีโอของ Ezecom กล่าวว่าเาไม่ทราบเรื่องการถูกสั่งบล็อกและคิดว่าควรไปถามรัฐมนตรีกระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ของกระทรวงดังกล่าวปฏิเสธว่าไม่ได้มีการสั่งบล็อกเว็บ KI-Media แต่ขณะเดียวกันก็กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางรัฐบาลมีหน้าที่ต้องดูแล "ให้สิ่งที่นำเสนอบนเว็บไซต์เป็นเรื่องจริง" และไม่มีการโพสท์รูปลามกอนาจาร

ขณะเดียวกันบนเว็บล็อกของ KI-Media มีรายงานข่าวเรื่องการถูกบล็อกเว็บอยู่จำนวนหนึ่ง หนึ่งในนั้นอ้างแหล่งข่าวจาก Cambodia Express News ที่รายงานว่าทางรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยสั่งให้ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตทั้งหมดในกัมพูชาบล็อกเว็บ KI-Media ในวันที่ 18 ม.ค. ขณะที่อีกข่าวที่ไม่มีแหล่งอ้างอิงในเว็บล็อกนี้อ้างว่าทางกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ที่สั่งให้บล็อกเว็บ

ซึ่งทางพนมเปญโพสท์รายงานว่า ทางโฆษกกระทรวงมหาดไทย Khieu Sopheak บอกว่าเขาไม่ทราบว่ารัฐบาลสั่งบล็อกโดเมนของ Blogspot.com หรือไม่ แต่ก็ให้ความเห็นว่าเว็บ KI-Media นั้นสมควรถูกปิด เนื่องจากการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ซึ่งในบล็อกบางส่วนของ KI-Media ก็มีรายงานเรื่องที่ รมต.กลาโหม ปฏิเสธในเรื่องนี้เช่นกัน โดยมีการอ้างจากหลายแหล่งข่าวเช่น DAP-News หรือ Xinhua

นักสิทธิฯ จาก Licadho ให้ความเห็นว่าหากการสั่งบล็อกเว็บจากรัฐบาลเป็นเรื่องจริง มันจะเป็นการแสดงให้เห็นการบีบคั้นพื้นที่ถกเถียงสาธารณะให้แคบลงอย่างเห็นได้ชัด

"นี้จะเป็นช่วงเวลาเลวร้ายที่นำไปสู่การเซนเซอร์และการปิดกั้นมากขึ้น" Naly Pilorge กล่าว "การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเป็นสิ่งสำคัญต่อกระบวนการประชาธิปไตย"

เว็บล็อก KI-Media เป็นที่รู้จักในสื่อหลักเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา จากกรณีที่ Seng Kunnaka หน่วยรักษาความปลอดภัยของโครงการอาหารโลกของสหประชาชาติ ถูกสั่งดำเนินคดีในข้อหายั่วยุปลุกปั่น ทำให้เขาต้องจำคุก 6 เดือน หลังจากที่เขาเผยแพร่บทความที่ตีพิมพ์จากเว็บ KI-Media ซึ่งทางโฆษกคณะรัฐมนตรีกัมพูชา Phay Siphan ให้ข้อมูลว่า บทความดังกล่าวระบุถึงนายกรัฐมนตรี Hun Sen และ Var Kimhong รัฐมนตรีอาวุโสดูแลเรื่องกิจการชายแดนว่าเป็น "คนกบฏชาติ" (Traitors)

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

หิมะตกหนักในรัฐคะฉิ่นของพม่า ส่วนวัว-ควายในเวียดนามล้ม 9 พันกว่าตัว

Posted: 20 Jan 2011 08:36 AM PST

มีรายงานหิมะตกหนักบริเวณหุบเขาปันวา รัฐคะฉิ่น ใกล้ชายแดนจีน ทำให้อาหารบ้านเรือน และสำนักงานศุลกากรของพม่าพังเสียหายหลายหลัง การเดินทางสัญจรเป็นไปอย่างยากลำบาก ขณะที่รัฐฉานมีอุณหภูมิติดลบในเวลากลางคืน ขณะที่ในเวียดนามมีวัว-ควายล้มตายเนื่องจากอากาศหนาวกว่า 9 พันตัว


ภาพอาคารเสียหายจากหิมะตก บริเวณหุบเขาปันวา รัฐคะฉิ่น (ที่มาของภาพ: อิระวดี)

เมื่อวันที่ 19 ม.ค. เว็บไซต์อิระวดี รายงานว่า หิมะที่กำลังตกหนักตรงบริเวณหุบเขาปันวา ในรัฐคะฉิ่น ใกล้กับชายแดนจีน กำลังส่งผลกระทบให้อาคารบ้านเรือน รวมถึงสำนักงานศุลกากรของทางการพม่าพังเสียหายหลายหลัง และทำให้การเดินทางสัญจรไปมาเป็นไปอย่างยากลำบาก

"เราไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน" ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าว "หิมะตกอย่างกับฝนตกหนัก นั่นจึงทำให้อาคารหลายหลังพังเสีย หายลงมา แม้จะยังไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่ก็มีการกั้นไม่ให้ประชาชนเดินทางเข้าออกตรงบริเวณที่ เกิดเหตุแล้ว"

ขณะที่การเดินทางสัญจรไปมาในเมืองชีพวย เมืองที่อยู่ถัดไปก็เป็นไปอย่างทุลักทุเลเช่นกัน เนื่องจากตามถนนเต็มไปด้วยหิมะและลูกเห็บ มีรายงานเช่นกันว่า ผู้สูงอายุเป็นจำนวนมากในเมืองบ่าหม่อเกิดอาการช็อก เป็นเพราะอุณหภูมิที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

"ประชาชนประสบปัญหาในการเดินทาง เนื่องจากถนนและลูกเห็บเต็มถนนไปหมด" พนักงานบริษัทเอเชียวอล ซึ่งเป็นบริษัทท้องถิ่นที่ตั้งอยู่ในเมืองดังกล่าวระบุ และกล่าวด้วยว่า สภาพการเดินทางที่เป็นไปอย่างยากลำบากทำให้ความช่วยเหลือจากภายนอกไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้

ด้านนายทุน ลิน อดีตผู้อำนวยการกรมอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยาในย่างกุ้ง ซึ่งเกษียณอายุแล้ว เคยคาดการณ์ว่าเมื่อเดือนนี้ว่า มวลอากาศเย็นจะปกคลุมทางตอนเหนือของรัฐคะฉิ่นอย่างต่อเนื่องระหว่างเดือน มกราคมถึงเดือนมีนาคม

โดยอุณหภูมิในพื้นที่จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ขึ้นอยู่กับความเร็วลมและทิศทาง ลมจากพื้นที่สูงในประเทศจีน เขาระบุในเว็บไซต์ของเขา

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้วถึงเดือนมกราคม พื้นที่สูงทางภาคตะวันตก ภาคเหนือและภาคตะวันออกของพม่ามีอากาศหนาวเย็นต่อเนื่อง โดยในเมืองฮักคา เมืองมินดาด ในรัฐชิน เมืองหลอยแหลมและเมืองปินโหลง ทางใต้ของรัฐฉานพบว่ามีอุณหภูมิติดลบในตอนกลางคืนด้วยเช่นกัน

ส่วนหนังสือพิมพ์ของรัฐบาลพม่า นิวไลท์ออฟเมียน์มาร์ ระบุว่าอุณหภูมิในช่วงกลางคืนของรัฐคะฉิ่น และรัฐชินอยู่ที่ 3-4 องศาเซลเซียส ซึ่งต่ำกว่าสถิติค่าเฉลี่ยของเดือนมกราคม

อุํณหภูมิยังลดต่ำลงในรัฐฉาน ซึ่งประชาชนแจ้งด้วยว่ามีลมหนาว และฝนตกเล็กน้อย

"ที่เมืองหลอยแหลม อุณหภูมิต่ำลงตั้งแต่วันอาทิตย์ ในช่วงนี้ ลมที่พัดเข้ามาหนาวกว่าปกติ" โมโม ชาวบ้านในพื้นที่ระบุ

[วางภาพ] 2 http://farm6.static.flickr.com/5164/5371878771_084575f5be.jpg
บรรยายภาพ - ข่าวสภาพอากาศ ในหนังสือพิมพ์นิวไลท์ออฟเมียนมาร์ ฉบับวันที่ 20 ม.ค. 54 ระบุว่าอุณหภูมิในพื้นที่พม่าตอนบนลดต่ำลง

ขณะที่หนังสือพิมพ์นิวไลท์ออฟเมียนมาร์ ฉบับวันนี้ (20 ม.ค.) รายงานสภาพอากาศในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาของวันที่ 19 ม.ค. ว่า รัฐฉานและรัฐมอญ และภาคพะโค อุณหภูมิต่ำสุด ต่ำกว่า 3 องศาเซลเซียส ส่วนรัฐชิน ภาคสะกายตอนบน และภาคมะเกว อุณหภูมิต่ำสุด ต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียส อุํณหภูมิต่ำสุดที่เมืองหาคา 0 องศาเซลเซียส น้ำจ๋าง อุณหภูมิต่ำสุด 5 องศาเซลเซียส ล่าเสี้ยว ปะเลวะ และ คาทา อุณหภูมิต่ำสุดที่ 6 องศาเซลเซียส

ทั้งนี้สื่อของรัฐบาลเวียดนามยังรายงานด้วยว่า ความหนาวระลอกใหม่ดังกล่าว ยังแผ่อิทธิพลไปยังตอนบนของเวียดนาม ทำให้วัวควายเสียชีวิตกว่า 9,200 ตัว โรงเรียนต้องหยุดเรียน

ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก
Buildings Collapse as Heavy Snow Hits Burma's Far North
By KO HTWE Wednesday, January 19, 2011
New Light of Myanmar, Thursday, 20 January, 2011 p.15

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เส้นบางๆ ระหว่างฮีโร่กับคนหน้าโง่

Posted: 20 Jan 2011 02:33 AM PST

ความเสื่อมทรุดด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยกับกัมพูชา เคยมีปัญหาถึงขั้นลดความ สัมพันธ์ทางการทูตมาแล้ว แม้ภายหลังจะมีการฟื้นฟูปรับระดับความสัมพันธ์กันบ้าง แต่อาการเขม็งเกลียวในปัญหาปราสาทเขาพระวิหารยังเป็นสาเหตุสำคัญในการสร้างความเผ็ดร้อนด้านความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน

ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา นอกจากเป็นปัญหาด้านภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์แล้ว มิอาจปฏิเสธได้ว่า ขณะนี้ได้กลายเป็นปัญหาการเมืองทั้งในระดับระหว่างประเทศ และปัญหาการเมืองในประเทศไทยเอง กลุ่มก้อนการเมืองต่างๆ หยิบฉวยสถานการณ์ช่วงชิงความได้เปรียบของฝ่ายตนอย่างไม่นึกถึงแยแสใคร ไม่อายที่จะถูกตราหน้าว่าเชย เพราะในโลกสมัยใหม่การสร้างค่านิยมประเภท "ชาตินิยม" ถือว่าเป็นมนุษย์ตกโลก

สังคมโลกทุกวันนี้ เขามุ่งไปที่ความเป็นภูมิภาคนิยม ประเทศแถบยุโรป หรืออเมริกา ที่เขาเคยสู้รบตบมือกันมาก่อน ดูเดี๋ยวนี้เขางัดเครื่องมือ Negotiation หรือการเจรจามาผ่อนคลายความตรึงเครียด มาใช้ระงับข้อพิพาทเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติ ขณะเดียวกันผู้นำของเขามักเร่งหามาตรการและวิธีเจรจาเพื่อเสริมสร้างผลประโยชน์ของชาติ ให้ฝ่ายตนเสียประโยชน์น้อยที่สุด โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งก็พึงพอใจด้วย

ทุกวันนี้ พาดหัวหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ และที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ เสนอข่าวความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา จนแทบน่าเบื่อ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ดูเหมือนจะตั้งรับตั้งสู้ เหมือนไม่ได้ใช้เครื่องมือทางการทูตมาแก้ไขปัญหาหรือสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน

ผู้นำประเทศควรสะสมไมตรีจิตระหว่างประเทศ มีแนวคิดเห็นอกเห็นใจถ้อยทีถ้อยอาศัย ไมตรีจิตจะสร้างความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทำให้ไทยมีจุดยืน ไม่เป็นตัวตลกในภูมิภาคนี้ ทั้งจะยังสามารถเชื่อมประสานให้ประเทศในภูมิอาเซียนนี้กลมเกลียวกลายเป็น "ภูมิภาคนิยม" สร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค เพื่อขับเคลื่อนยกระดับไปสู้กับกระแสโลก 

ตั้งแต่คนไทย 7 คนรุกล้ำแดนกัมพูชาและถูกจับตัวเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 มาจนถึงวันนี้ แม้ขณะนี้จะได้การรับประกันตัวกันเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงคุณวีระ สมความคิด ที่ศาลาอุทธรณ์กัมพูชายังไม่ให้ประกันตัว โดยชี้แจงเหตุผลว่าต้องข้อกล่าวหาประมวลข่าวสารที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศ และเกรงเรื่องความไม่ปลอดภัย

ก่อนหน้านี้มีคลิปคุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และนายวีระ สมความคิด พร้อมพวก คนไทย 7 คน ที่ข้ามชายแดน ไทย-กัมพูชา โดยในคลิปคุณพนิชข้ามแดนไทย เดินทางเข้าไปยังชายแดนไทย-กัมพูชา หลักเขตที่ 46 บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ระหว่างนั้นคุณพนิช ได้คุยโทรศัพท์แจ้งให้คนที่เชื่อกันว่าเป็นผู้ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่าตนเองกำลังเดินข้ามแดนก่อนที่จะโดนทหารกัมพูชาจับกุมตัวไป

คลิปนี้ ยังไม่มีชี้แจงจากคนไทยทั้ง 7 และคนที่คุณพนิชกำชับว่า ให้ "รู้คนเดียว" ?

บุคคลสำคัญอีกคนหนึ่ง ที่ออกมาเคลื่อนไหวในช่วงกัมพูชาจับ 7 คนไทย คือคุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงว่าการอุตสาหกรรม คุณไชยวัฒน์ และคุณสมบูรณ์ แกนนำกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ถูกตำรวจจับกุมที่บริเวณห้างโลตัส สาขาถนนพระรามที่ 1 ก่อนการจับกุมตัวคุณไชยวัฒน์ครั้งนี้ คุณไชยวัฒน์กับเครือข่ายได้ถือตะเกียงนำรายชื่อประชาชนราว 82,000 รายชื่อ พร้อมพาผู้ชุมนุมที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลเคลื่อนขบวนมุ่งหน้า สู่พระบรมมหาราชวังเพื่อยื่นถวายฎีกากรณีกล่าวหารัฐบาลสมคบกับรัฐบาลต่างชาติอันเป็นเหตุทำให้ไทยเสียดินแดน

หลังการยื่นถวายฎีกาคุณไชยวัฒน์ประกาศจะเดินทางไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อมอบตัว เนื่องจากมีหมายจับในข้อหาร่วมกันชุมนุมหน้าสนามบินสุวรรณภูมิ และหน้าสนามบินดอนเมือง เมื่อครั้งชุมนุมขับไล่คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามหมายจับเก่า แต่โดนตลบหลังจับกุมเสียก่อน 

ภาพการจับกุมคุณไชยวัฒน์ โดยมีตำรวจสี่-ห้านายอุ้มจับบริเวณรักแร้ เท้า และหลัง หรืออาจเรียกได้ว่าหามออกจากร้านสุกี้ขึ้นรถไปสถานีตำรวจ แพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์ไล่เลี่ยกับภาพที่คุณวีระ เดินออกจากห้องพิจารณาศาลอุทธรณ์ ณ กรุงพนมเปญ ในวันเดียวกันคือวันที่ 18 มกราคม 2553

ภาพคุณไชยวัฒน์ถูกตำรวจหามขึ้นรถ กับภาพคุณวีระ แสดงอารมณ์ ฉุนเฉียว พร้อมตะโกนบอกว่า "ผมไม่ได้ประกันคนเดียว" และยืนยันว่า "ผมจะสู้กับมันจนถึงที่สุด" นี่คือคำพูดคุณวีระตะโกนบอกนักข่าวก่อนถูกส่งกลับเรือนจำเปรย์ซอว์" ภาพของบุคคลทั้งสองถูกแพร่ภาพในวันเดียวกัน และในเวลาไล่เลี่ยกัน

ประเทศไทยเคยมีสถานะและภาพลักษณ์ที่ดีในเวทีระหว่างประเทศ ทุกฝ่ายกำลังเร่งสร้างการยอมรับจากนานาอารยประเทศ เราทุกคนควรสร้างความสัมพันธ์และสะสมไมตรีจิตกับประเทศเพื่อนบ้าน

ในสถานการณ์เช่นนี้ การที่คนไทยทั้ง 7 ท่านนำโดยคุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่อาสาไปปฏิบัติภารกิจจนถูกจับในเขตชายแดน แล้วต้องตกหลุมแห่งความอับอาย ถูกสมเด็จฮุน เซน สั่นสอนแทบทุกวัน รวมถึงภาพเหตุการณ์ในประเทศ คนที่เคยเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีของไทยเป็นแกนนำปราศรัยประกาศเฮ้ว เฮ้ว ต้องการให้ไทยปิดชายแดนกัมพูชา โดยสร้างความเชื่อให้เข้าใจว่าประเทศไทยเราเหนือกว่ากัมพูชาทุกด้าน กองทัพเข้มแข็ง เศรษฐกิจรุดหน้า การเมืองมั่นคง กฎหมายมีมาตรฐาน หากไทยปิดชายแดนแล้วกัมพูชาจะอดตาย 

ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านเหล่านี้ สมควรยกย่องหรือเรียกขานว่ากระไรดี...

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ลูกจ้างเหมาค่าแรงใน บ. GM ยื่นข้อเรียกร้องต่อนายจ้าง

Posted: 20 Jan 2011 02:03 AM PST

 
20 .. 54 - พนักงานเหมาค่าแรงในบริษัทเจนเนอรัลมอเตอร์ส ประเทศไทย คือ บริษัท สกิลพาวเวอร์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด จำนวนเกือบสามร้อยคน ได้ร่วมกันลงรายมือชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องของพนักงานเหมาค่าแรงเฉพาะส่วนบริษัทเจนเนอรัลมอเตอร์ฯ เพื่อหวังให้ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนงานในระบบเหมาค่าแรงให้ดีขึ้น ดังมีมีรายละเอียดหนังสือแจ้งข้อเรียกร้องและข้อเรียกร้องจำนวน 10 ข้อ ดังนี้
 
 
ข้อเรียกร้องของพนักงานบริษัท สกิลพาวเวอร์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด
(เฉพาะส่วนบริษัทเจนเนอรัลมอเตอร์ส ประเทศไทย)
 
ยื่นต่อบริษัท บริษัท สกิลพาวเวอร์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด
(เฉพาะส่วนบริษัทเจนเนอรัลมอเตอร์ส ประเทศไทย)
 
1. ขอให้บริษัทฯ ปรับเพิ่มค่าเช่าบ้านจากเดิม ๑,๕๐๐ บาทต่อเดือน เป็น ๒,๒๐๐ บาทต่อเดือน
 
2. ขอให้บริษัทฯ อนุญาตให้พนักงานชายลาไปเพื่อเกณฑ์ทหารได้ไม่น้อยกว่า ๓ วันทำงาน โดยไม่ถือเป็นวันลา และได้รับค่าจ้าง สวัสดิการ ตามปกติ
 
3. ขอให้บริษัทฯ นำส่งเงินประกันสังคมให้กับพนักงานทุกคน
 
4. ขอให้บริษัทฯ จัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยหักเงินสะสมและเงินสมทบฝ่ายละ ๕%
 
5. ให้บริษัทฯ อนุญาตให้พนักงานชายลาบวชได้ไม่เกิน ๓๐ วันทำงาน โดยได้รับค่าจ้างและสวัสดิการตามปกติไม่เกิน ๑๕ วันทำงาน
 
6. กรณีที่พนักงานป่วยถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลให้นายจ้างมีกระเช้าไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
 
7. ในกรณีที่รัฐบาลประกาศปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ให้นายจ้างปรับผลต่างของค่าจ้างที่ปรับขึ้นให้กับพนักงานทุกคน
 
8. ขอให้บริษัทฯ ทำสัญญาจ้างงานมากกว่า ๒ ปี
 
9. ให้นายจ้างจัดให้พนักงานที่อายุงานครบ ๑ ปีขึ้นไป ให้มีการสอบเพื่อบรรจุเป็นพนักงานประจำของบริษัทเจนเนอรัลมอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด ไม่น้อยกว่าปีละ ๒ ครั้ง และจำนวนไม่น้อยกว่าปีละ ๒๐๐ คน
 
10. ให้บริษัทฯ จ่ายโบนัสประจำปีให้กับพนักงานทุกคนไม่น้อยกว่า ๔ เดือน และบวกเพิ่มพิเศษอีกคนละ ๑๐,๐๐๐ บาท
 
ห้ามไม่ให้นายจ้างเลิกจ้างโยกย้ายหรือกลั่นแกล้งพนักงานที่มีรายชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องและผู้แทนในการเจรจาทุกคน
 
 
 
 
หลังจากที่ลูกจ้างเหมาค่าแรงเหล่านี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองเพื่อลดบทบาทของสหภาพแรงงานมาโดยตลอดแต่ตนเองกลับไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย พนักงานเหมาค่าแรงจำนวน ๒๘๙ คน จากจำนวนพนักงานเหมาค่าแรงทั้งหมดประมาณ ๙๐๐ คน ได้เข้าชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องและแต่งตั้งผู้แทนเจรจาจำนวน ๕ คน เสนอต่อนายจ้างเพื่อให้ปรับปรุงสวัสดิการให้ดีขึ้น เนื่องจากตนเองก็มีส่วนในการผลิตและเป็นกลไกหลักที่สำคัญในขบวนการผลิตเช่นเดียวกับพนักงานประจำ แต่กลับได้รับค่าจ้างและสวัสดิการที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และในข้อเรียกร้องของลูกจ้างเหมาค่าแรงและสหภาพแรงงานที่มีการสอดคล้องกันคือการบรรจุลูกจ้างในระบบเหมาค่าแรงให้เป็นลูกจ้างประจำ
 
ขณะที่ยื่นข้อเรียกร้องให้กับผู้แทนของนายจ้าง แต่ผู้แทนนายจ้างไม่ยอมลงชื่อรับหนังสือข้อเรียกร้อง ผู้แทนลูกจ้างจึงได้เซ็นต์ชื่อต่อหน้าพยานและมอบให้กับผู้แทนนายจ้างและได้เดินทางไปแจ้งเป็นหนังสือให้กับพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานจังหวัดระยองต่อไป นายวันวุฒิ พลับยินดี ประธานผู้แทนฝ่ายลูกจ้างกล่าวว่า วันนี้รู้สึกยินดีและมีความภูมิใจ เพราะที่ผ่านมาคิดมาตลอดว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ชีวิตของตนเองและเพื่อนร่วมงานมีความมั่นคงไม่ต้องคอยอยู่อย่างหวาดระแวงตลอดเวลาว่าจะถูกเลิกจ้างเมื่อไร มาถึงวันนี้ไม่มีอะไรที่จะให้กังวลอีกแล้วเพราะไปอยู่ที่ไหนก็เป็นพนักงานเหมาค่าแรงเหมือนกันขอเพียงได้สู้ก็รู้สึกว่าชนะแล้วครับ
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คนกรุงให้คะแนนผู้ว่า 5.3 แต้มจากคะแนนเต็ม 10

Posted: 20 Jan 2011 12:01 AM PST

ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) สำรวจความคิดเห็นชาวกรุงเทพฯ ประเมินผลงาน 2 ปี ผู้ว่าฯ กทม. ร้อยละ 69.4 ระบุยังไม่เห็นผลงานที่เด่นชัดน่าประทับใจ

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2554 ที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 2 ปี ของการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ของ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์  บริพัตร ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) จึงได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นเรื่อง ประเมินผลงาน 2 ปี ผู้ว่าฯ กทม.ขึ้น โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป  ที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในกรุงเทพมหานครทั้ง 50 เขต จำนวนทั้งสิ้น 1,435  คน เมื่อวันที่ 13-16 มกราคม ที่ผ่านมา พบว่า

คนกรุงเทพฯ ให้คะแนนความพึงพอใจผลงาน ของ กทม. ในยุคผู้ว่าฯ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ 5.36 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากผลสำรวจเมื่อตอนที่ ผู้ว่าฯ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ ทำงานครบ 1 ปี 6 เดือน 0.03 คะแนน

โดยพึงพอใจผลงานด้านสุขภาพและการป้องกันโรคระบาดมากที่สุด (5.84 คะแนน) แต่พึงพอใจผลงานด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินน้อยที่สุด (4.93 คะแนน)

สำหรับคะแนนการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ว่าฯ กทม. ของ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ได้คะแนน 5.72 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ซึ่งลดลงจากผลสำรวจในช่วงที่ทำงานครบ 1 ปี 6 เดือน 0.07 คะแนน โดยได้คะแนนด้านความซื่อสัตย์โปร่งใสมากที่สุด (6.19 คะแนน) แต่ได้คะแนนด้านความฉับไวในการแก้ปัญหาน้อยที่สุด (5.44 คะแนน)

เมื่อสอบถามเกี่ยวกับผลงานที่เด่นชัดน่าประทับใจในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา ของผู้ว่าฯ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ พบว่า

มีผู้ที่เห็นว่าผู้ว่าฯ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ มีผลงานเด่นชัดน่าประทับใจ ร้อยละ 30.6 (ซึ่งลดลงจากผลสำรวจช่วงครบ 1 ปี

6 เดือน ร้อยละ 5.0) โดยในจำนวนนี้ระบุว่าผลงานที่เด่นชัดมากที่สุดอันดับแรก ได้แก่ ความสะอาดของกรุงเทพฯ ทั้ง ทางเท้า ถนน และแม่น้ำลำคลอง (ร้อยละ 17.3) รองลงมา คือ การแก้ปัญหาน้ำท่วม และการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากน้ำท่วม (ร้อยละ 16.6)  การปรับปรุงสภาพถนน ทางเท้า  และสะพานข้ามแยกต่างๆ ทั่ว กทม. (ร้อยละ 15.0) การเพิ่มพื้นที่สีเขียวของกรุงเทพมหานคร เช่น การสร้างสวนสาธารณะ (ร้อยละ 12.4) และการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน เช่น รถประจำทาง  รถไฟฟ้า BTS รถด่วน BRT (ร้อยละ   9.1)  อย่างไรก็ตามคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 69.4 ยังเห็นว่าผู้ว่าฯ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ ไม่มีผลงานที่เด่นชัดน่าประทับใจ

ส่วนความคิดเห็นต่อประเด็นการดำเนินงานของผู้ว่าฯ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ ที่มุ่งหวังให้คนกรุงเทพฯ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พบว่า คนกรุงเทพฯ ร้อยละ 65.3 เห็นว่าตนเองยังคงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่เหมือนเดิม มีเพียงร้อยละ 21.5 ที่เห็นว่าดีขึ้น ขณะที่ร้อยละ 13.2 เห็นว่าแย่ลง                

ดังรายละเอียดต่อไปนี้  

1. คะแนนความพึงพอใจต่อผลงานด้านต่างๆ ของ กทม. ในยุคผู้ว่าฯ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร เมื่อทำงานครบ 2 ปี  พบว่าได้คะแนนเฉลี่ย 5.36 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยจากการสำรวจเมื่อตอนที่ผู้ว่าฯ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ทำงานครบ 1 ปี 6 เดือน พบว่ามีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.03 คะแนน ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงความพึงพอใจผลงานในแต่ละด้าน พบว่า ด้านสุขภาพและการป้องกันโรคระบาดมีคะแนนสูงที่สุด ขณะที่ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมีคะแนนต่ำที่สุด

ด้าน

ครบ 1 ปี 6 เดือน

(คะแนน)

ครบ 2 ปี

(คะแนน)

เพิ่มขึ้น/ ลดลง

(คะแนน)

1. สุขภาพและการป้องกันโรคระบาด

5.78

5.84

+0.06

2. การศึกษาและคุณภาพชีวิต

5.69

5.64

-0.05

3. สิ่งแวดล้อมการพัฒนาเมือง

5.40

5.49

+0.09

4. เศรษฐกิจและการส่งเสริมอาชีพ

5.18

5.21

+0.03

5. การจราจรและระบบขนส่งมวลชน     

4.96

5.02

+0.06

6. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

4.99

4.93

-0.06

เฉลี่ยรวม

5.33

5.36

+0.03

2. คะแนนความพึงพอใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ว่าฯ กทม. ของ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร  เมื่อทำงานครบ 2 ปี 

พบว่า ได้คะแนนเฉลี่ย 5.72 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน

ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยจากการสำรวจเมื่อตอนที่ผู้ว่าฯ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ทำงานครบ 1 ปี 6 เดือน พบว่ามีคะแนนเฉลี่ยลดลง 0.07 คะแนน ซึ่งเมื่อพิจารณาความพึงพอใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ว่าฯ กทม.ในแต่ละด้านพบว่า ด้านความซื่อสัตย์โปร่งใส มีคะแนนสูงที่สุด ขณะที่ความฉับไวในการแก้ปัญหา มีคะแนนต่ำที่สุด

 

ครบ 1 ปี 6 เดือน

 (คะแนน)

ครบ 2 ปี

(คะแนน)

เพิ่มขึ้น / ลดลง

(คะแนน)

1. ความซื่อสัตย์โปร่งใส

6.27

6.19

-0.08

2. ความขยันทุ่มเทในการทำงาน

5.99

5.97

-0.02

3. การปฏิบัติตามนโยบายที่ได้แถลงไว้

5.69

5.60

-0.09

4. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่

5.67

5.57

-0.10

5. การทำงานให้เห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรม

5.67

5.55

-0.12

6. ความฉับไวในการแก้ปัญหา

5.43

5.44

+0.01

เฉลี่ยรวม

5.79

5.72

-0.07

หมายเหตุ  การสุ่มตัวอย่างในการสำรวจแต่ละครั้งใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน ด้วยข้อคำถามแบบเดียวกัน แต่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวกัน

3. ความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงานหรือโครงการที่เด่นชัดน่าประทับใจ ในช่วง 2 ปี  ที่ผ่านมา ของผู้ว่าฯ

ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร 

 

ครบ 1 ปี 6 เดือน

(ร้อยละ)

ครบ 2 ปี

 (ร้อยละ)

- เห็นว่ามีผลงานที่เด่นชัดน่าประทับใจ  

35.6

30.6

- เห็นว่ายังไม่มีผลงานที่เด่นชัดน่าประทับใจ

64.4

69.4

โดยผลงานที่เด่นชัดน่าประทับใจในช่วง 2 ปี 5 อันดับแรก (จากผู้ตอบที่เห็นว่ามีผลงานที่เด่นชัดน่าประทับใจ) ได้แก่

     (เป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุคำตอบเอง)

 - ความสะอาดของกรุงเทพฯ ทั้ง ทางเท้า ถนน และแม่น้ำลำคลอง                           ร้อยละ 17.3

- การแก้ปัญหาน้ำท่วม และการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากน้ำท่วม                              ร้อยละ 16.6

- การปรับปรุงสภาพถนน ทางเท้า  และสะพานข้ามแยกต่างๆ ทั่ว กทม.                      ร้อยละ 15.0

- การเพิ่มพื้นที่สีเขียวของกรุงเทพมหานคร เช่น การสร้างสวนสาธารณะ                      ร้อยละ 12.4

- การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน เช่น รถประจำทาง  รถไฟฟ้า BTS รถด่วน BRT              ร้อยละ   9.1

 

4. ความคิดเห็นต่อประเด็นที่ว่าระยะเวลา 2 ปี ของการดำเนินงานในตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ของ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์  บริพัตร ที่มุ่งหวังให้คนกรุงเทพฯ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น  ท่านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หรือไม่

 

ครบ 1 ปี 6 เดือน

(ร้อยละ)

ครบ 2 ปี

 (ร้อยละ)

-ดีขึ้น            

20.2

21.5

-เหมือนเดิม

67.3

65.3

-แย่ลง

12.5

13.2

5. หากเปรียบเทียบความคาดหวังเมื่อตอนที่ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์  บริพัตร ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม. กับผลงานที่ปรากฏในขณะนี้ พบว่า 

-ดีกว่าที่คาดหวังไว้      ร้อยละ  8.5

-พอๆ กับที่คาดหวังไว้   ร้อยละ  41.8

-แย่กว่าที่คาดหวังไว้     ร้อยละ  13.6

-ไม่ได้คาดหวังไว้        ร้อยละ  36.1

หมายเหตุ  การสุ่มตัวอย่างในการสำรวจแต่ละครั้งใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน ด้วยข้อคำถามแบบเดียวกัน แต่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวกัน

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

องค์กรเยาวชนปะโอ แฉเหมือง-โรงไฟฟ้าถ่านหินใหญ่ที่สุดในพม่า สร้างมลพิษกระทบคนนับหมื่น

Posted: 19 Jan 2011 02:05 PM PST

องค์กรเยาวชนปะโอออกแถลงการณ์ “โครงการเหมืองถ่านหินใหญ่สุดของพม่าก่อมลพิษต่อชุมชนใกล้ทะเลสาบอินเลที่มีชื่อเสียง” พร้อมรายงานการศึกษา เผยผลเสียหายประชาชน-สิ่งแวดล้อม จวกรัฐบาลพม่าใช้ทรัพยากรพลังงานเพื่อผลกำไรของตนเอง 

วันที่ 20 ม.ค.54 องค์กรเยาวชนปะโอออกแถลงการณ์ “โครงการเหมืองถ่านหินใหญ่สุดของพม่าก่อมลพิษต่อชุมชนใกล้ทะเลสาบอินเลที่มีชื่อเสียง” ระบุข้อมูลถึงโครงการเหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินใหญ่สุดของพม่า ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากทะเลสาบอินเลที่มีชื่อเสียงของพม่า 13 ไมล์ และกำลังก่อให้เกิดมลพิษต่อแหล่งน้ำ เป็นอันตรายต่อสุขภาพของชาวบ้าน ทำให้พวกเขาพลัดที่นาคาที่อยู่ ตามรายงานของข้อมูล เรื่อง หมอกพิษ (Poison Clouds) ของนักวิจัยชาวปะโอในพื้นที่ ซึ่งมีการเผยแพร่ในวันเดียวกัน  

รายงานดังกล่าวระบุว่า บ้านตีจิตตั้งอยู่บริเวณทะเลสาบอินเลซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำของพม่า หมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่ตั้งของเหมืองถ่านหินแบบเปิดขนาดใหญ่สุดของประเทศ รวมทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินขนาดใหญ่สุดเช่นกัน ถ่านหินที่กองไว้สำหรับโรงไฟฟ้ามีความสูงกว่าบ้านของชาวบ้าน การระเบิดเหมืองเป็นเหตุให้เจดีย์ในพื้นที่พังทลายลง แหล่งน้ำก็ปนเปื้อนด้วยมลพิษจนไม่อาจใช้การได้อีก ทางการได้เวนคืนพื้นที่หลายร้อยเอเคอร์ และมีการโยกย้ายสองหมู่บ้านบริเวณใกล้เคียงโดยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือกับชาวบ้านแต่อย่างใด ชาวบ้านในพื้นที่ไม่มีส่วนร่วมในโครงการ ทั้งๆ ที่โครงการนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตของพวกเขา และที่ผ่านมายังไม่มีการศึกษาให้เข้าใจถึงผลกระทบด้านสุขภาพในระยะยาวอย่างเพียงพอ

พม่าเป็นประเทศที่ขาดแคลนพลังงานอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงส่งออกแหล่งพลังงานมหาศาลไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ในปัจจุบันประมาณ 3% ของไฟฟ้าในประเทศผลิตได้จากถ่านหิน โดยไฟฟ้าส่วนใหญ่ได้ถูกใช้สำหรับกิจการเหมืองแร่หรือนิคมอุตสาหกรรม ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไปเลย ดังเช่นแผนการเปิดเหมืองถ่านหินที่ภาคตะวันออกของรัฐฉานเพื่อส่งออกมายังประเทศไทย และการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินขนาดใหญ่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อจ่ายไฟให้กับนิคมอุตสาหกรรมของคนไทยในภาคใต้ของพม่า

ขณะที่พม่าเร่งพัฒนาการทำเหมืองถ่านหินและสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินมากขึ้น จึงมีความสำคัญอย่างเร่งด่วนที่ต้องพิจารณาประสบการณ์ที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านตีจิต ชุมชนในพื้นที่ซึ่งกำลังจะมีการทำโครงการเกี่ยวกับถ่านหินก็ควรทำความเข้าใจถึงผลกระทบจากโครงการเหล่านี้และเตรียมการเพื่อปกป้องตนเอง ในเวลาเดียวกัน บริษัทจากประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีแผนการลงทุนในโครงการด้านถ่านหินในพม่า ก็ควรตระหนักถึงผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมจากกิจการของพวกเขา

รายงานดังกล่าวให้ข้อมูลด้วยว่า แม้พม่าจะอุดมไปด้วยแหล่งทรัพยากรด้านพลังงาน แต่รัฐบาลทหารก็เอาแต่ส่งออกทรัพยากรเหล่านี้ และปล่อยให้ประชาชนขาดแคลนพลังงานอย่างต่อเนื่อง การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติรวมทั้งการทำเหมืองแร่ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมรวมทั้งชุมชนในพื้นที่อย่างรุนแรง ในขณะที่บริษัทซึ่งเป็นผู้ลงทุนไม่ได้แสดงความรับผิดชอบต่อชุมชนที่ได้รับผลกระทบ

มีแหล่งถ่านหินขนาดใหญ่กว่า 16 แห่งในพม่า โดยคิดเป็นปริมาณถ่านหินรวมกันกว่า 270 ล้านตัน เหมืองตีจิตซึ่งเป็นเหมืองถ่านหินแบบเปิดที่ใหญ่ที่สุดของพม่า สามารถผลิตถ่านหินได้เกือบ 2,000 ตันต่อวัน โดยเหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้าตีจิตตั้งอยู่ห่างจากทะเลสาบอินเลอันเป็นแหล่งมรดกที่สำคัญของอาเซียน เพียง 13 ไมล์ มีการปล่อยน้ำเสียจากเหมืองแร่และโรงไฟฟ้าเข้าสู่ทะเลสาบผ่านแม่น้ำบาลู โดยที่ไม่มีการศึกษาถึงผลกระทบของโครงการที่มีต่อทะเลสาบและไม่มีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ

มีการขนส่งถ่านหินจากเหมืองไปยังโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน ซึ่งยังเดินเครื่องอยู่เพียงแห่งเดียวในพม่าที่บ้านตีจิต ในแต่ละปีโรงไฟฟ้าแห่งนี้ใช้ถ่านหิน 640,000 ตันและสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 600 กิกะวัตต์หรือที่กำลังผลิต 120 เมกะวัตต์ ในแต่ละวันจะมีการผลิตเถ้าปลิวที่เป็นพิษ 100-150 ตัน ไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้าก็จะถูกจ่ายให้กับโรงถลุงเหล็กซึ่งเป็นของบริษัทจากรัสเซียและอิตาลี

โครงการเหมืองแร่และโรงไฟฟ้าเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2545 โดยบริษัท China National Heavy Machinery Corporation (CHMC) และกลุ่มบริษัท Eden Group และ Shan Yoma Nagarของพม่า

ชาวบ้านที่บ้านไหลค่าและตองโพลาซึ่งอยู่ข้างเคียงได้ถูกทางการบังคับให้โยกย้ายออก และมีการเวนคืนที่นากว่า 500 เอเคอร์ ครอบครัวชาวนาที่ถูกบังคับโยกย้ายต้องสูญเสียที่ดินและอดอยากหิวโหย พวกเขาต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการตัดไม้เพื่อขายเป็นฟืน หรือไม่ก็ต้องอพยพออกจากพื้นที่เพื่อให้มีชีวิตรอด การระเบิดเหมืองก็ส่งผลให้เจดีย์ในพื้นที่พังทลาย

มลพิษด้านอากาศและน้ำส่งผลคุกคามต่อการเกษตรและสุขภาพประชาชนเกือบ 12,000 คน ซึ่งอาศัยอยู่ในรัศมีห้าไมล์จากโครงการ สุดท้ายพวกเขาก็อาจจะต้องอพยพออกไปที่อื่น จนถึงปัจจุบัน ครึ่งหนึ่งของประชาชนในพื้นที่ประสบกับปัญหาผื่นคันตามผิวหนัง

องค์กรเยาวชนชาวปะโอได้จับตาสถานการณ์ของโครงการนี้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2553 และเรียกร้องใหบริษัทและรัฐบาลชะลอการดำเนินงานจนกว่าจะมีการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และสุขภาพ ทางหน่วยงานขอให้ชุมชนในพื้นที่ไม่ลงนามในเอกสารจนกว่าจะได้รับข้อมูล และให้ต่อต้านการคอรัปชั่นและการใช้ทรัพยากรที่จะส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพและทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน

ทั้งนี้ แถลงการณ์ดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้

 
 
แถลงการณ์
20 มกราคม 2554
โครงการเหมืองถ่านหินใหญ่สุดของพม่าก่อมลพิษต่อชุมชนใกล้ทะเลสาบอินเลที่มีชื่อเสียง
 
โครงการเหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินใหญ่สุดของพม่า ตั้งอยู่ห่างจากทะเลสาบอินเลที่มีชื่อเสียงของพม่า 13 ไมล์ และกำลังก่อให้เกิดมลพิษต่อแหล่งน้ำ เป็นอันตรายต่อสุขภาพของชาวบ้าน ทำให้พวกเขาพลัดที่นาคาที่อยู่ ตามรายงานของข้อมูลที่เผยแพร่ในวันนี้
 
รายงาน หมอกพิษ (Poison Clouds) ของนักวิจัยชาวปะโอในพื้นที่ เปิดเผยให้เห็นว่าในแต่ละวันที่เหมืองเปิดที่บ้านตีจิตมีการขุดถ่านหินลิกไนต์มากถึง 2,000 ตัน โดยเป็นถ่านหินที่ก่อมลพิษมากสุด มีการนำถ่านหินเหล่านี้ไปเผาผลาญในโรงไฟฟ้าที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้เกิดเถ้าปลิวพิษ 100-150 ตันต่อวัน  
 
กองกากของเสียจากเหมืองมีความสูงกว่าบ้านเรือนของประชาชน 3,000 คน ทั้งยังปิดกั้นทางน้ำไหลและทำให้เรือกสวนไร่นาปนเปื้อนด้วยมลพิษ การแพร่กระจายของฝุ่นและก๊าซรวมทั้งที่เป็นพิษเกิดขึ้นทั่วไปตามท้องถนนในพื้นที่ และเป็นภัยคุกคามอย่างยิ่งต่อคุณภาพอากาศ จนถึงปัจจุบัน ครึ่งหนึ่งของชาวบ้านในพื้นที่ประสบปัญหาผื่นคันตามผิวหนัง
 
“ท้องฟ้าและสายน้ำของเรากำลังกลายเป็นสีดำ” ขุนชางเคแห่งองค์กรเยาวชนชาวปะโอ (Pa-Oh Youth Organization - PYO) กล่าว “ลูกหลานของเราที่ต้องเติบโตในผืนดินที่เต็มไปด้วยมลพิษจะมีอนาคตได้อย่างไร”
 
ประชาชนเกือบ 12,000 คนอาศัยอยู่ในรัศมีห้าไมล์จากโครงการ มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะต้องโยกย้ายออกเพราะไม่สามารถทนต่อมลพิษและการขยายโครงการเหมืองออกไปได้ ที่บ้านไหลค่าและตองโพลาซึ่งอยู่ใกล้เคียง ก็ถูกบังคับให้โยกย้ายออกไปแล้ว โดยทางการได้เวนคืนที่ดินทำกินกว่า 500 เอเคอร์
 
ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้าตีจิตถูกนำไปใช้กับโครงการเหมืองที่เป็นของบริษัทจากรัสเซียและอิตาลี เป็นลักษณะการพัฒนาภาคพลังงานของพม่าที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ใช่เพื่อการพัฒนาของประชาชน แต่เพื่อขายให้กับผู้เสนอราคาสูงสุด
 
“รัฐบาลกำลังใช้ทรัพยากรพลังงานเพื่อผลกำไรของตนเอง ปล่อยให้เราต้องเผชิญกับมลพิษและความแตกสลายของชุมชน” ขุนชางเคกล่าว “ควรมีการยุติโครงการนี้ และให้มีการประเมินผลกระทบอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะผลกระทบต่อทะเลสาบอินเลอันมีค่าของเรา” 
 
แม่น้ำตีจิตไหลรวมกับแม่น้ำบาลูลงไปยังทะเลสาบอินเล ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดใหญ่เป็นอันดับสองของพม่า และถือเป็นแหล่งมรดกของอาเซียน ทะเลสาบแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญสุดแห่งหนึ่งของพม่า คนทั่วไปจะรู้จักทะเลสาบจากลักษณะการพายเรือของชาวประมงอินทา ซึ่งผูกขาข้างหนึ่งกับกรรเชียงเรือ
 
ในปัจจุบันกำลังมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินอีกสามแห่ง และมีแผนจะสร้างเพิ่มเติมอีกสี่แห่งในพม่า รวมทั้งโรงไฟฟ้าขนาด 4,000 เมกะวัตต์ที่เมืองทวายซึ่งเป็นเมืองท่าทางภาคใต้ 
 
 

รายงาน Poison Clouds ฉบับเต็ม โปรดดู www.pyo-org.blogspot.com

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น