โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ส.ศิวรักษ์ ให้กำลังใจหมอวิชัย อ้างคำอาจารย์ป๋วยด่าสื่อ(บางฉบับ) เลวกว่าเดรัจฉาน รับใช้นักการเมือง

Posted: 05 Oct 2011 12:27 PM PDT

สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เจ้าของสมญาปัญญาชนสยาม เข้าร่วมงานเลี้ยงให้กำลังใจ โชคชัย โชควิวัฒน์ กรณีคณะกรรมการสอบอีเมล์ฉาว ยกคำอาจารย์ป๋วยวิพากษ์สื่อบางฉบับรับใช้อำนาจนิยม-นักการเมือง เลวยิ่งกว่เดรัจฉาน ด้านหมอวิชัย น้อยใจ สภาการฯ ไม่ยอมรับผลสอบ

เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ส.ศิวรักษ์ วิจารณ์สื่อกระแสหลักบางฉบับรับใช้อำนาจนิยม นักการเมือง เลวร้ายยิ่งกว่าเดรัจฉาน มองไพร่ตาแดงๆจำนวนมาก ยังรู้ไม่เท่าทัน "ทักษิณ" แนะหากทุกสีเสื้อหันหน้าหากัน ปลุกกันและกันจะตื่นจากอำนาจต่างๆได้

นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ "ส. ศิวรักษ์" นักวิชาการอิสระ กล่าวในงานกัลยาณมิตรให้กำลังใจ นพ.วิชัย โชควิวัฒน์ ประธาน อนุกรรมการสอบอีเมลฉาวสินบนสื่อ ตอนหนึ่งเมื่อวันที่ 4 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า สื่อมวลชนกระแสหลักที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับนพ.วิชัย หากใช้คำพูดของนายป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรียกว่าเป็นสื่อมวลส...ว์           “หากเป็นเพียงส...ว์เดรัจฉาน ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่ส...ว์ที่ใช้สื่อรับใช้อำนาจนิยม และนักการเมืองเลวร้ายยิ่งกว่าเดรัจฉาน” นายสุลักษณ์กล่าว          

นายสุลักษณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันราษฎรตาดำๆ รู้ทันสื่อมวลชนกระแสหลักแล้ว แต่พวกไพร่ตาแดงๆ จำนวนมากยังไม่รู้เท่าทัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม หากคนตาดำ ตาแดง รวมถึงตาเหลือง หันหน้าเข้าหากันและปลุกกันและกัน ก็จะตื่นขึ้นจากอำนาจต่างๆ ได้          

ด้าน นพ.วิชัย กล่าวว่า ครั้งแรกที่คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์ติดต่อมาให้ช่วยสอบอีเมลฉาว ได้ตอบปฏิเสธไปเนื่องจากเห็นว่าถูกฟ้องร่วม 10 คดีแล้ว แต่เมื่อกรรมการฯ ยืนยันว่าหากไม่เข้าร่วมทีมสอบก็คงไม่มีใครช่วย จึงตัดสินใจร่วมในท้ายที่สุด          

“ตอนนั้นยังไม่มีการกำหนดว่าใครเป็นประธาน ผมก็คิดว่าเป็นคนนอกคงไม่เกี่ยว แต่กรรมการคนอื่นๆ กลับบอกว่าคนนอกที่มีประสบการณ์สอบทุจริตเหมาะสมกับตำแหน่งประธานมากที่สุด” นพ.วิชัย กล่าว          

นพ.วิชัย กล่าวอีกว่า ใช้เวลาสอบอีเมลฉาวประมาณ 30 วัน ซึ่งเกินกว่ากำหนด 15 วัน เมื่อแล้วเสร็จที่ประชุมจึงเห็นควรให้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนทันที โดยมีการมอบผลการสอบทั้ง 19 แผ่นให้กับผู้สื่อข่าวเพื่อความโปร่งใส อย่างไรก็ตามเมื่อเสร็จสิ้นการแถลงกลับถูกมองว่าผลสอบเป็นของ นพ.วิชัยเพียงคนเดียว สภาการฯ ก็ไม่รับผลสอบฉบับนี้          

“ผมรู้สึกเสียใจมากว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แต่หากถามว่าเข็ดและท้อหรือไม่ ยืนยันว่าชินแล้ว และแก่แล้วจึงท้อไม่ได้” นพ.วิชัย กล่าว

 

ที่มา:ASTV ผู้จัดการออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ตั้ง'ยงยุทธ'ประธาน ป.คอป.ประสานหน่วยงานรัฐทำตามข้อเสนอ คอป.

Posted: 05 Oct 2011 11:53 AM PDT

ครม.ตั้ง "ยงยุทธ" นั่งประธานคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอ คอป.( ป.คอป.) หวังแก้ไขปัญหาสร้างความปรองดอง ดึงทหาร ตำรวจ ศาล อัยการ ร่วม ด้านอภิสิทธิ์ชี้ระวังเปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์ คอป.

4 ตุลาคม 2554 นางฐิติมา ฉายแสงโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ต่อนโยบายสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย โดยมอบหมายให้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานประสานงาน คอป.จึงให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคอป. (ปคอป.) โดยมี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นรองประธาน ส่วนคณะกรรมการประกอบด้วยเลขาธิการ ครม. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงการคลังปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรมปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรม ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย นายวีระวงค์ จิตต์มิตรภาพ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่ปลัดกระทรวงยุติธรรมมอบหมายเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

นางฐิติมากล่าวว่า คณะกรรมการชุดดังกล่าวจะมีอำนาจในการเสริมสร้างความเข้าใจและสนับสนุนการดำเนินงานของ คอป. เสนอแนะมาตรการเยียวยา ฟื้นฟูเหยื่อและผู้เสียหาย ตลอดจนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมืองประสานงานขอความร่วมมือติดตามผลการดำเนินการตามข้อเสนอของ คอป.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ในการประชุมแต่ละครั้งประธาน ปคอป.จะได้เงินเบี้ยประชุมครั้งละ10,000 บาท ส่วนรองประธาน ปคอป. จะได้เบี้ยประชุม 9,000 บาทต่อครั้ง ส่วนคณะกรรมการได้ 8,000 บาทต่อครั้ง รวมแล้วจะมีเบี้ยค่าตอบแทนในการประชุม ปคอป.แต่ครั้งละทั้งสิ้น 163,000 บาท

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกรณีรัฐบาลแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานและติดตามผลงานการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงแห่งชาติ (ปคอป.) ว่า ถ้าเป็นการประสานงานโดยปกติไม่เป็นปัญหา แต่ก็ต้องจับตาดูว่าคณะกรรมการดังกล่าวจะมีการแปลงเจตนารมณ์ของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) หรือไม่ เพราะในรายละเอียดการแต่งตั้ง ปคอป.นั้น มีอำนาจพอสมควรในการชี้นำการปฏิบัติ ดังนั้น จากนี้ไปฝ่ายค้านจะติดตามตรวจสอบว่าข้อเสนอต่างๆ และการตีความข้อเสนอของ คอป.จะเป็นไปตามเจตนารมณ์หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับ ปคอป.ด้วย เพราะการที่รัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการประสานงานกับองค์กรอิสระไม่ใช่เรื่องแปลก

ส่วนกรณีรายชื่อบุคคลภายนอกรายหนึ่ง ซึ่งมีความใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่ง มีชื่ออยู่ใน ปคอป.ด้วยนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องติดตามว่าจะมีบทบาทอย่างไร สำคัญอยู่ที่ว่ากรรมการต้องยึดเจตนารมณ์และข้อเสนอของ คอป.อย่างเคร่งครัด ไม่มีการแปลงสารหรือบิดเบือนเจตนารมณ์ของคอป. และทั้งหมดก็เป็นเรื่องที่สังคมต้องช่วยกันจับตาดู ส่วนเรื่องเบี้ยประชุมที่มีการให้ค่าตอบแทนสูงกว่าคณะกรรมการชุดอื่นๆ ที่เคยมีการตั้งมานั้น ตนคิดว่าไม่มีอะไรพิเศษ คงเป็นไปตามเกณฑ์ แต่ทั้งนี้ไม่ทราบว่ามีการระบุเพดานค่าตอบแทนอย่างไร

เมื่อถามถึงการที่รัฐบาลมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหลายชุดเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ และเร็วๆ นี้มีรายงานข่าวว่ากำลังจะมีการตั้งคณะกรรมการมาพิจารณาในเรื่องคดีมัสยิดกรือเซะโดยให้ รมว.ยุติธรรม เป็นประธาน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนขอยกตัวอย่างกรณีน้ำท่วมที่มีการตั้งคณะกรรมการ ซึ่งจะทำให้ประชาชนสับสน ทั้งที่มีหลายกลไกที่มีอยู่แล้วและรัฐบาลไม่ได้ใช้ประโยชน์เต็มที่ และดูเหมือนเป็นการตั้งไล่ตามปัญหามากกว่า ฝ่ายค้านจะพยายามชี้แนะและหวังว่ารัฐบาลจะเปิดโอกาสให้รัฐสภามีการหารือใน ประเด็นนี้อย่างชัดเจน จะได้ช่วยกันระดมความคิด

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไอซีทีเผยสืบเบาะแส "มือแฮกทวิตเตอร์ยิ่งลักษณ์" ผ่านการใช้อีเมล

Posted: 05 Oct 2011 10:57 AM PDT

 

จากกรณีทวิตเตอร์ @PouYingluck ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกแฮกเข้าไปโพสต์ข้อความโจมตีรัฐบาลเมื่อวันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมา วันนี้ (5 ต.ค.54) น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) แถลงข่าวการมอบตัวของนายเอกวิทย์ ทองดีวรกุล นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยการกระทำดังกล่าวผิดตามมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า ทางไอซีทีไม่ขอเปิดเผยกระบวนการทำงาน เพราะอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ประสงค์ร้าย ส่วนผู้ที่กระทำความผิดครั้งนี้ เราตรวจสอบตามวิธีการและกระบวนการตามกฎหมาย เมื่อรวบรวมข้อมูลได้แล้ว ได้เชิญผู้ต้องหามาสอบสวน และผู้ต้องหาได้ยอมรับ พร้อมขอเข้ามอบตัว และจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

น.อ.อนุดิษฐ์ระบุว่า เจ้าหน้าที่ใช้เวลา 1 วันถึงทราบไอพีแอดเดรสของผู้ที่แฮกทวิตเตอร์นายกฯ โดยผู้ต้องหาให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ลงมือทำคนเดียว เพราะความคึกคะนองอยากลอง และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่างไรก็ตาม รมว.ไอซีทีระบุว่า กระทรวงไอซีทีจะให้โอกาสเข้ามาทำงานร่วมกันในการรับมือกับกลุ่มแฮกเกอร์ต่อไป

รมว.ไอซีที กล่าวด้วยว่า การจับกุมครั้งนี้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ที่กำลังจะกระทำความผิดรู้ว่า ทางกระทรวงสามารถตรวจสอบได้ว่าใครเป็นผู้กระทำความผิด และสามารถติดตามตัวเพื่อนำมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

สำหรับการสืบหาเบาะแสไอพีแอดเดรส นายสุรพล นะวะนวัฒน์ ที่ปรึกษา รมว.ไอซีที ด้านเทคนิค กล่าวว่า สืบหาจากจีเมล แล้วเข้าค้นหาข้อมูลทางเว็บไซต์กูเกิล โดยใช้เกตเวย์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ หรืออินเทอร์เน็ตเกตเวย์ จากบริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต จำกัด จนทราบชื่อผู้กระทำผิด

อนึ่ง มาตรา 7 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ระบุ "แฮกเกอร์ที่เจาะเข้าระบบหรือได้เข้าไปดูข้อมูลของผู้อื่น จำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 40,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ"

ที่มา: เว็บไซต์เดลินิวส์ และไทยรัฐ

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จับแล้ว! คนชี้เป้าสังหาร “ทัศน์กมล” ผู้ปูดปมแก่งกระจาน ตร.เร่งสาวถึงตัวผู้บงการ

Posted: 05 Oct 2011 10:30 AM PDT

 

 เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ข่าวสด รายงานความคืบหน้าคดีลอบสังหารนายทัศน์กมล โอบอ้อม อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.เพชรบุรี และแกนนำเรียกร้องความเป็นธรรมให้ชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจานที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ขับไล่ออกจากป่าว่า เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวนายชาญ ชาว อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นคนชี้เป้ามาสอบปากคำ นายชาญได้ซัดทอดบุคคลที่เกี่ยวข้อง 3 คน คือ นายธวัชชัย นักการเมืองท้องถิ่น จ.เพชรบุรี ว่าเป็นผู้รับงาน และนายศักดิ์ มือปืนรับจ้างในพื้นที่คนลงมือสังหาร ส่วนอีกคนหนึ่งขับรถพามือปืนไปลงมือและพาหลบหนี ซึ่งเจ้าหน้าที่พบว่าคนดังกล่าวเป็นคนขับรถประจำตัวของข้าราชการระดับสูงคนหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐาน และออกหมายจับบุคคลทั้งสามข้างต้น ส่วนคนขับรถ กำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานออกหมายจับเพิ่มเติม และเตรียมสาวไปถึงตัวคนบงการฆ่า นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้ยึดรถปิกอัพ 4 ประตูยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นสตราด้า สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน กค 8456 เพชรบุรี ซึ่งต้องสงสัยว่าจะเป็นพาหนะของคนร้ายมาตรวจสอบด้วย

ส่วนประเด็นความขัดแย้งที่นำไปสู่การสังหารนายทัศน์กมล พนักงานชุดสอบสวนพบว่าความขัดแย้งเรื่องส่วนตัวไม่มีน้ำหนักเพียงพอ และการเมืองท้องถิ่นไม่รุนแรง จึงมุ่งไปที่ประเด็นความพยายามของนายทัศน์กมลในการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชาวกะเหรี่ยงที่ถูกเผาบ้านเรือน ทรัพย์สิน และถูกขับไล่ออกจากป่าแก่งกระจาน จนเป็นสาเหตุให้ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานประกาศห้ามเข้าพื้นที่อุทยานโดยเด็ดขาด

นายทัศน์กมล โอบอ้อม หรือที่รู้จักกันในชื่อ อาจารย์ป๊อด เป็นผู้ประสานงานและความช่วยเหลือต่างๆ ระหว่างหน่วยงานราชการกับชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ อ.แก่งกระจาน มาต่อเนื่องยาวนาน จนได้ฉายา “ลูกชายคนโตของกะเหรี่ยง” ตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา นายทัศน์กมลได้ออกมาให้ข้อมูลกับสื่อถึงปัญหาการเผาไล่ที่ชาวกะเหรี่ยงในป่าแก่งกระจาน และเป็นแกนนำเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชาวกะเหรี่ยงที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เผาบ้านเรือนและทรัพย์สิน นายทัศน์กมลถูกยิงเสียชีวิตขณะขับรถยนต์อยู่บนถนนเพชรเกษม ใน อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี เมือวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา

 

 

ที่มา http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOREExTVRBMU5BPT0%3D&sectionid=TURNd01RPT0%3D&day=TWpBeE1TMHhNQzB3TlE9PQ%3D%3D

  

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รอบโลกแรงงานประจำเดือนกันยายน 2554

Posted: 05 Oct 2011 10:22 AM PDT

 

แรงงานสร้างสนามฟุตบอลโลก 2014 ประท้วง/สหภาพนักฟุตบอลอิตาลี ยุติการประท้วง หลังบรรลุข้อตกลงเซ็นสัญญาสิทธิประโยชน์ได้สำเร็จ/ครูเคนยาประท้วงนัดหยุดงาน/สหภาพแรงงานยุโรปประท้วงมาตรการรัดเข็มขัด/สหภาพแรงงานกรีซวางแผนผละงานประท้วงเดือนตุลาคม

แรงงานสร้างสนามฟุตบอลโลก 2014 ประท้วง

1 ก.ย. 54 - ฝ่ายจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล ต้องประสบกับปัญหาอีกครั้ง หลังจากที่คนงานที่รับหน้าที่ปรับปรุงสนามมาราคานา ในกรุงรีโอเดจาเนโร กว่า 1,500 คน รวมตัวนัดหยุดงานครั้งที่ 2 ในรอบ 1 เดือน เนื่องจากไม่พอใจที่บริษัทรับเหมาก่อสร้าง ที่ไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้

สำหรับข้อเรียกร้องของคนงานดังกล่าวนั้น ต้องการให้บริษัทที่รับเหมาเพิ่มค่าแรง และปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดีขึ้น รวมทั้งการประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นการเรียกร้องข้อเสนอไปยังบริษัทในครั้งแรก ช่วงกลางเดือนสิงหาคม แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง ทำให้มีการรวมตัวประท้วงเป็นครั้งที่ 2

ด้าน นิสสัน ดูอาร์เต คอสตา ประธานสหภาพแรงงาน ได้ออกมาเผยว่า สาเหตุที่กลุ่มแรงงานต้องออกมาเรียกร้อง เนื่องจากข้อเสนอไม่ได้รับการตอบรับ "ปัญหาคือ บริษัทก่อสร้างไม่ยอมทำตามข้อตกลง หลังจากที่ยอมรับข้อเสนอของเราไปแล้ว และพวกเขามีกำหนดที่ต้องจ่ายเงินค่าแรงให้กับเรา เราต้องมาดูกันต่อไป ตอนนี้พวกเราไม่มีความสุขกันเลย"

สหภาพนักฟุตบอลอิตาลี ยุติการประท้วง หลังบรรลุข้อตกลงเซ็นสัญญาสิทธิประโยชน์ได้สำเร็จ

6 ก.ย. 54 - สหภาพนักฟุตบอลอิตาลี หรือ เอไอซี ยกเลิกการประท้วง หลังจากบรรลุข้อตกลงเซ็นสัญญาสิทธิประโยชน์ร่วมกับ เลก้า กัลโช่ ในสัญญาชั่วคราวฉบับใหม่ระยะเวลา 1 ปี เปิดทางให้ฟุตบอล กัลโช่ เซเรียอา กลับมาแข่งขันนัดเปิดฤดูกาลในสุดสัปดาห์นี้ โดยรายละเอียดสำคัญในข้อตกลงครั้งนี้ กลุ่มนักฟุตบอลยินดีจ่ายภาษี ขณะที่บรรดาสโมสรยกเลิกการบีบบังคับผู้เล่นที่เหลือสัญญาปีสุดท้ายให้ย้ายทีม สำหรับนัดแรกประเดิมฤดูกาลใหม่ในคืนวันศุกร์นี้ เป็นเกมระหว่าง แชมป์เก่า เอซี มิลาน ต้อนรับ ลาซิโอ 

ครูเคนยาประท้วงนัดหยุดงาน

7 ก.ย. 54 - ครูชาวเคนยากว่า 200,000 คน พร้อมใจกันนัดหยุดงานเมื่อวานนี้ เพื่อประท้วงต่อต้านการผันเงินกองทุนรัฐบาลที่มุ่งจะว่าจ้างครูมากขึ้น และบรรเทาความแออัดมากเกินไปของชั้นเรียนไปใช้ในกิจการทหาร

เงินเพื่อการศึกษาก้อนนี้ถูกโยกไปให้กับกระทรวงกลาโหม ซึ่งการใช้จ่ายไม่สามารถตรวจสอบจากสาธารณะได้ สหภาพแรงงานครูเคนยาประกาศว่า การนัดหยุดงานจะมีต่อไปจนกว่ารัฐบาลจะยอมจ้างครูเพิ่ม คาดว่าการนัดหยุดงานส่งผลกระทบต่อนักเรียนกว่า 10 ล้านคนในโรงเรียนประถมศึกษา และมัธยมศึกษา นักเรียนเคนยามีกำหนดจะกลับเข้าเรียนอีกครั้งในสัปดาห์นี้ หลังการปิดเทอมเมื่อเดือนที่แล้ว

ในกรุงไนโรบี นครหลวงของเคนยา ชั้นเรียนต่างๆ ว่างเปล่าเมื่อเช้าวานนี้ ที่โรงเรียนประถมศึกษาแคเรนของเซนต์แมรี ในเขตแคเรนที่ร่ำรวยของกรุงไนโรบี ที่โรงเรียนประถมศึกษาทอย ในเขตคิเปร่า นายเจมส์ โอมูยองก้า อาจารย์ใหญ่ กล่าวว่า นักเรียนร่วมกันจัดการเรียนรู้กันเป็นกลุ่มๆ โดยไม่มีครูดูแล

สหภาพแรงงานครูต้องการให้รัฐบาลให้งานเต็มเวลากับครู 18,000 คน ที่ถูกว่าจ้างตามสัญญาชั่วคราว และว่าจ้างครูอีก 9,040 คน จำเป็นต้องมีครูประมาณ 79,000 คน เพื่อให้ได้มาตรฐานสากลที่ต้องมีครู 1 คนต่อนักเรียน 35 คน ปัจจุบัน โรงเรียนรัฐบาลของเคนยา มีอัตราเฉลี่ยครู 1 คนต่อนักเรียน 50 คน แต่บางชั้นเรียน ครู 1 คนต้องดูแลนักเรียนถึง 100 คน

เจ้าหน้าที่ภาครัฐออสเตรเลียเดินขบวนประท้วงนโยบายคุมเข้ม “การขึ้นเงินเดือน”

8 ก.ย. 54 - คุณครู พยาบาล ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ประมาณ 30,000 คน รวมตัวเดินขบวนในนครซิดนีย์ วันนี้ (8 ก.ย. 54) เพื่อประท้วงมาตรการของรัฐบาลท้องถิ่นรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งประกาศนโยบายลดการจ้างงาน และจำกัดอัตราการขึ้นเงินเดือนประจำปี

การชุมนุมวันนี้เป็นหนึ่งในการรวมตัวภาคประชาชนครั้งใหญ่ที่สุดของนครซิดนีย์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มลูกจ้างของรัฐหลากหลายอาชีพต่างคัดค้านมาตรการของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ที่ต้องการปลดเจ้าหน้าที่ออกจากงาน 5,000 ตำแหน่ง และควบคุมการขึ้นเงินเดือนประจำปีให้คงที่ในอัตรา 2.5 เปอร์เซนต์

อาชีพครูเป็นกลุ่มใหญ่สุดที่เข้าร่วมชุมนุม ส่งผลให้โรงเรียนทั่วนครซิดนีย์ปิดการเรียนการสอน ขณะพนักงานขับเรือเฟอร์รีก็ร่วมขบวนประท้วง ทำให้การขนส่งทางน้ำบริเวณท่าเรือนครซิดนีย์เป็นอัมพาต

“ผมยืนอยู่ตรงนี้ เห็นประชาชนเกินกว่า 30,000 คนจากทั่วทั้งรัฐมาอยู่ตรงหน้า ประชาชนผู้พูดด้วยการเดินขบวน เราลงมือทำจริง และได้ส่งถ้อยคำที่ชัดเจนถึงแบร์รี โอ'ฟาร์เรลล์” มาร์ก เลนนอน เลขาธิการสหภาพเอ็นเอสดับเบิลยู กล่าวพาดถึงผู้ว่าการรัฐนิวเซาท์เวลส์

“เราต้องหยุดตัดเงิน เอาสิทธิ์ของเราคืนมา เพราะเราจะไม่ทนอีกต่อไป”

ด้านผู้ว่าการรัฐโอ'ฟาร์เรลล์ แห่งนิวเซาท์เวลส์ รัฐที่มีพลเรือนมากที่สุดในออสเตรเลีย กล่าวถึงการประท้วงดังกล่าวว่า “ไร้สาระ”

“นี่เป็นการเคลื่อนไหวของสหภาพที่พยายามอวดเบ่งอำนาจ ทำให้คนอื่นเดือดร้อนโดยเปล่าประโยชน์ เพราะนโยบายจะไม่เปลี่ยนแปลง”

ด้านสหภาพแรงงานอื่นๆ ระบุว่า มีการชุมนุมประท้วงเรื่องการจำกัดอัตราการขึ้นเงินเดือนเช่นกันในเมืองต่างๆ ทั่วรัฐนิวเซาท์เวลส์

สหภาพแรงงานอิตาลีประท้วงใหญ่ต้านมาตรการรัดเข็มขัด

7 ก.ย. 54 - สมาชิกสหภาพแรงงานของอิตาลี (CGIL) ราว 10,000 คน ชุมนุมประท้วงมาตรการรัดเข็มขัดตัดลดงบประมาณ45.5 พันล้านยูโร (64 พันล้านดอลลาร์) ของนายกรัฐมนตรีซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี

บลูมเบิร์กรายงานว่า คณะรัฐมนตรีอิตาลีอนุมัติมาตรการรัดเข็มขัดมูลค่า 45.5 พันล้านยูโร (64 พันล้านดอลลาร์) เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2554 เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณให้สมดุลภายในปี 2546 แทนปี2545 โดยได้รับการกดดันจากสหภาพยุโรป

การเดินขบวนนี้มีขึ้นขณะที่นายกรัฐมนตรีซิลวิโอแบร์ลุสโคนี กำลังประชุุมหารือกับตัวแทนสมาชิกสหภาพแรงงานในเรื่องการบังคับใช้มาตรการรัดเข็มขัด เพื่อแก้วิกฤตการเงินของประเทศ

ซูซานนา กามูสโซ เลขาสหภาพแรงงานอิตาลีกล่าวขณะเดินประท้วงในกรุงโรมว่า “มาตรการนี้ไม่ใช่สิ่งที่ประเทศของเราควรแบกรับพวกเขายืนอยู่ริมเหว และเราต้องการให้รัฐบาลรับผิดชอบ”

ทั้งนี้การชุมนุมประท้วงทำให้อิตาลีต้องยกเลิกการคมนาคมทั้งทางบก ทางน้ำ และยกเลิกเที่ยวบิน รวมทั้งส่งผลเสียหายต่อการท่องเที่ยวของอิตาลีอย่างมาก

ประธานสหภาพแรงงานอังกฤษปลุกระดมคนผละงานและดื้อแพ่งทั่วประเทศ

11 ก.ย. 54 - นายเลน แมคคลัสกี ประธานสหภาพยูไนต์ (UNITE) ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ดิออบเซิร์ฟเวอร์ ก่อนที่จะมีการประชุมประจำปีแกนนำแรงงานและนักเคลื่อนไหวของสหภาพในสัปดาห์หน้าว่า สมาชิกสหภาพ 6.5 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 4 ของแรงงานทั่วประเทศต้องลุกขึ้นต่อสู้ ไม่เช่นนั้นการเคลื่อนไหวก็จะจบสิ้น เขาเห็นว่าสมาชิกสหภาพควรพิจารณาเรื่องประท้วงและเคลื่อนไหวทุกรูปแบบอย่างรอบคอบตั้งแต่การดื้อแพ่งไปจนถึงการผละงาน อย่าเพิ่งตัดเรื่องใดเรื่องหนึ่งออกไป

คาดว่าการประชุมปีนี้จะเข้มข้นกว่าที่ผ่านมาเนื่องจากมีขึ้นในช่วงที่รัฐบาลกับสหภาพกำลังต่อรองกันเรื่องปฏิรูปการเกษียณภาครัฐ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในมาตรการตัดลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อลดยอดขาดดุลงบประมาณที่สูงถึง 1 ใน 10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)

 

ด้านนายสตีฟ เว็บบ์ รัฐมนตรีด้านระบบบำนาญ เผยกับหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันว่า รัฐบาลจะร่นเวลาบังคับใช้เกณฑ์เกษียณอายุให้เร็วขึ้นจากเดิมที่กำหนดให้เกษียณเมื่ออายุ 67 ปี ในปี 2579 และอายุ 68 ปี ในปี 2589 เพราะทุกวันนี้คนเรามีอายุยืนขึ้น ดิออบเซิร์ฟเวอร์ คาดว่า รัฐบาลคงจะบังคับใช้เกณฑ์เกษียณอายุที่ 67 ปีเร็วขึ้นกว่ากำหนด 10 ปี การร่นเวลาดังกล่าวจะกระทบชาวอังกฤษ 8 ล้านคน ซึ่งอยู่ในวัย 40 กว่า เพราะจะต้องทำงานเพิ่มอีกหนึ่งปี แทนที่จะได้เกษียณเมื่ออายุ 66 ปี ปัจจุบันรัฐสภาอังกฤษกำลังพิจารณาในขั้นตอนสุดท้ายเกี่ยวกับร่างกฎหมายขยายกำหนดเกษียณอายุจาก 65 ปี เป็น 66 ปี ในปี 2563

รัฐมนตีอินโดนีเซีย เตรียมเจรจาสหภาพแรงงาน หลังพนักงานเหมืองสไตรค์

16 ก.ย. 54 - ฟอกซ์ รายงานว่า รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่ของอินโดนีเซีย ดาร์วิน ซาเฮดี ซาเลห์ เตรียมช่วยบริษัทเหมือง พีที ฟรีพอร์ท อินโดนีเชีย เจรจากับสหภาพแรงงานเหมืองทองแดงและทองคำ กราสเบิร์ก ซึ่งเริ่มนัดหยุดงานประท้วงนานหนึ่งเดือนตั้งแต่เมื่อวาน ซาเลห์กล่าวว่า รัฐบาลจะช่วยเป็นตัวกลางในการเจรจา โดยเขาจะเดินทางไปจังหวัดเวสต์ ปาปัว ที่ตั้งของเหมือง ในวันนี้

การนัดหยุดงานประท้วงเป็นเหตุให้กำลังการผลิตทองคำและทองแดงลดลงรวม 230,000 ตัน/วัน ทำให้รัฐบาลเสียรายได้ราว 6.7 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ บริษัทฟรีพอร์ท-แมคโมรัน คอปเปอร์ แอนด์ โกลด์ระงับสายการผลิตที่เหมืองกราสเบิร์กเมื่อวาน หลังพนักงานนัดหยุดงานประท้วงเพื่อขอเพิ่มค่าแรง

สหภาพแรงงานยุโรปประท้วงมาตรการรัดเข็มขัด

18 ก.ย. 54 - กลุ่มนักเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงานยุโรปหลายหมื่นคน นำโดยนายแบร์นาเดตต์ เซกอล ประธานสหพันธ์แรงงานยุโรป และนายยาน กุซ ประธานพันธมิตรสหภาพแรงงานของโปแลนด์ รวมตัวกันเดินขบวนในเมืองวรอตสวัฟ ทางใต้ของโปแลนด์ เพื่อประท้วงมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลหลายชาติในยุโรป เนื่องจากมาตรการดังกล่าวทำให้มีการตัดลดเงินเดือนคนงานอย่างมากมาย และปลดคนงานออกเป็นจำนวนมาก การประท้วงครั้งนี้มีขึ้นในวันเดียวกับที่กลุ่มรัฐมนตรีคลังของยุโรปจัดประชุมอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อหารือแก้วิกฤติประเทศกลุ่มยูโรโซนหลายประเทศอาจล้มละลาย เนื่องจากปัญหาหนี้สาธารณะล้นเพดาน.

พนักงานแควนตันประท้วง 4 ชั่วโมง

19 ก.ย. 54 - สายการบินแควนตัสของออสเตรเลียเปิดเผยว่า การประท้วงทั่วประเทศของพนักงานยกกระเป๋าประจำสนามบินและเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน จะส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารกว่า 6,100 คน

สมาชิกสหภาพแรงงานคมนาคมขนส่งที่ท่าอากาศยานใหญ่หลายแห่ง จะพร้อมใจกันหยุดงานเป็นเวลา 4 ชั่วโมงในช่วงเช้าวันอังคาร ซึ่งเป็นช่วงที่มีผู้โดยสารสูงสุด ส่งผลให้แควนตัสต้องประกาศยกเลิกเที่ยวบิน 28 เที่ยวในวันอังคาร และต้องเลื่อนเที่ยวบินอีก 27 เที่ยวออกไปนานสุด 35 นาที

แควนตัสกล่าวว่าอาจมีการเลื่อนเที่ยวบินต่อเนื่องนานสุด 48 ชั่วโมงหลังการประท้วงสิ้นสุด พร้อมกันนั้นทางสายการบินวางแผนว่าจะใช้เครื่องบินขนาดใหญ่กว่าปกติคอยให้บริการ และจะเรียกร้องให้พนักงานพยายามลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

"เราต้องขออภัยท่านผู้โดยสารที่จะได้รับผลกระทบจากการประท้วงของสหภาพแรงงานคมนาคมขนส่ง" โอลิเวีย เวิร์ธ โฆษกหญิงของแควนตัส กล่าวในแถลงการณ์

โฆษกหญิงของแควนตัสกล่าวว่า ทางสายการบินได้เจรจากับสหภาพแรงงานมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และยินดีที่จะ "ขึ้นค่าตอบแทนตามความเหมาะสม" แต่ทางสหภาพแรงงานขอขึ้นค่าตอบแทน 15% ตลอด 3 ปีข้างหน้า ซึ่งไม่สามารถทำได้ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายโทนี่ เชลดอน เลขาธิการของสหภาพแรงงานคมนาคมขนส่ง กล่าวว่า กลยุทธการบริหารงานที่ "ก้าวร้าว" ของทางสายการบิน เป็นสาเหตุที่ทำให้ทางสหภาพต้องประท้วง นอกจากนั้นทางสายการบินยังไม่ให้การเคารพพนักงานตามสมควร.

เผยผู้บริหารส่งกลุ่มอันธพาลคุกคามสหภาพแรงงานแควนตัส

20 ก.ย. 54 - สหภาพแรงงานของออสเตรเลียกล่าวหาผู้บริหารของสายการบินแควนตัสส่งอันธพาลไปส่งจดหมายและระรานพนักงาน 4,000 คนถึงที่บ้านตอนกลางดึก หลังพนักงานทั้งหมดประท้วงผละงานจนทำให้ต้องยกเลิกเที่ยวบินในประเทศ 28 เที่ยว ด้านแควนตัสแถลงปฏิเสธและระบุว่าส่งจดหมายให้กับพนักงานในตอนกลางวันและไม่ได้มีจุดประสงค์ข่มขู่คุกคามแต่อย่างใด

 

ครูสเปนหลายพันคนผละงานประท้วงรัฐบาลสั่งลดเงินเดือน

21 ก.ย. 54 - ครูสเปนตามโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาของภาครัฐ 300 แห่ง ในกรุงมาดริด พากันผละงานประท้วงตามแผนอย่างน้อย 2-3 วัน เพื่อต่อต้านแผนการของรัฐบาลที่สั่งลดเงินเดือนเพื่อประหยัดงบประมาณรายจ่าย ทั้งนี้ รัฐบาลสเปนหวังว่า มาตรการประหยัดรายจ่าย จะช่วยหลีกเลี่ยงความจำเป็นต้องขอเงินกู้จากนานาประเทศได้ เพราะการลดเงินเดือนครู จะช่วยประหยัดงบได้มากถึง 80 ล้านยูโร หรือ กว่า 3,400 ล้านบาท ทั้งยังจะช่วยสร้างอนาคตให้กับแรงงานยุคใหม่ที่มีการศึกษา หลังจากที่เศรษฐกิจของประเทศต้องล่มเพราะพิษฟองสบู่จากธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ มีรายงานว่า ครูทั่วประเทศ คิดจะผละงานประท้วงด้วยเช่นกัน

จีนสั่งผู้ผลิตทองคำปกป้องคนงานจากมลพิษระหว่างทำงาน

21 ก.ย. 54 - สำนักงานควบคุมความปลอดภัยในการทำงานของจีน (SAWS) สั่งให้บริษัทผู้ผลิตทองคำในจีนปกป้องคนงานจากฝุ่นละอองที่มีอันตรายระหว่างการทำงาน หลังการตรวจสอบเหมืองทองคำ 41 แห่งใน 8 มณฑล พบว่ามีฝุ่นละอองและมลพิษอื่นๆที่เป็นอันตรายในระดับ "รุนแรงมาก"

โดย 95% ของเหมืองทองคำที่ทาง SAWS เข้าไปสำรวจ มีการละเมิดมาตรฐานความปลอดภัยระดับชาติเรื่องการปล่อยฝุ่นละออง นอกจากนั้นทาง SAWS ยังเตือนว่าเหมืองต่างๆ มีสารซิลิกาความเข้มข้นสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งปอดและอาการเจ็บป่วยอื่นๆได้

บริษัทผู้ผลิตทองคำส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจเรื่องสุขภาพของคนงาน และไม่ค่อยปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยในการทำงาน ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยจากการทำงานเพิ่มมากขึ้น สร้างความไม่พอใจให้กับคนงานเหมืองทั่วประเทศ

SAWS ขอให้บริษัทผู้ผลิตทองคำของรัฐคุมเข้มมาตรฐานความปลอดภัยและลดการปล่อยมลพิษอย่างเป็นรูปธรรม และหากบริษัทใดไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยระดับชาติภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2555 ก็จะถูกปิดบริษัท สำนักข่าวซินหัวรายงาน

กลุ่มพนักงานขนส่ง-ครูกรีซรวมตัวประท้วงมาตร​การลดบำนาญ-​เงิน​เดือน

22 ก.ค. 54 - กลุ่มพนักงานรถ​ไฟ​ใต้ดิน รถราง รถ​ไฟ รถ​โดยสาร ​และรถราง​ไฟฟ้า รวม​ทั้งครู​โรง​เรียนรัฐบาล​ได้รวมตัวประท้วงมาตร​การลด​เงิน​เดือน​และ​เงินบำนาญของทางรัฐบาล​ในกรุง​เอ​เธนส์วันนี้ (22 ก.ค. 54) นอกจากนี้ ​การประท้วงยังส่งผลกระทบ​ถึง​เที่ยวบินจากสนามบินนานาชาติ​เอ​เธนส์ ​เนื่องจาก​เจ้าหน้าที่ควบคุม​การจราจรทางอากาศจะหยุดงานประท้วง​เป็น​เวลา 3 ชั่ว​โมง

มาตร​การลด​เงิน​เดือน​และบำนาญล่าสุดนี้​เป็น​ไปตามข้อ​เรียกร้องของสถาบัน​การ​เงินต่างชาติที่ต้อง​การ​ให้​เกิด​ความ​แน่นอนว่า กรีซจะสามารถลดยอดขาดดุล​ได้ตาม​เป้าหมาย​เพื่อ​แลกกับ​การรับ​เงินช่วย​เหลือ​ในวง​เงิน 1.10 ​แสนล้านยู​โร (1.51 ​แสนล้านดอลลาร์) ​ซึ่ง​เงินช่วย​เหลืองวดต่อ​ไปมีกำหนด​ใน​เดือนหน้า

ทั้งนี้ มาตร​การดังกล่าวที่กรีซ​ได้ประกาศ​ใช้ภายหลัง​การ​เจรจากับสหภาพยุ​โรป​และกองทุน​การ​เงินระหว่างประ​เทศ​ไป​แล้ว 2 รอบนั้น รวม​ถึง​การลดบำนาญลง 20% จากจำนวน 1,200 ยู​โรต่อ​เดือน สำหรับ​ผู้​เกษียณที่มีอายุต่ำกว่า 55 ปี​และ​ได้รับบำนาญสูงกว่า 1,000 ยู​โร จะถูกลดบำนาญลง 40% ขณะที่ข้าราช​การอีก 30,000 รายจะถูกลดค่าจ้าง

บังกลาเทศผละงานประท้วงน้ำมันแพงและการคุมขังฝ่ายค้าน

22 ก.ย. 54 - ตำรวจบังกลาเทศหลายหมื่นนายลาดตระเวนตามท้องถนนในกรุงธากา เมืองหลวงของประเทศในวันนี้เนื่องจากมีการผละงานประท้วงทั่วประเทศตามที่พรรคฝ่ายค้านใหญ่ปลุกระดม ขณะที่พันธมิตรของพรรคนี้พากันปิดโรงเรียนและร้านค้า

การผละงานมุ่งไปที่เรื่องรัฐบาลขึ้นราคาเชื้อเพลิงและควบคุมตัวแกนนำพรรคฝ่ายค้านโดยศาลที่ตั้งขึ้นเพื่อดำเนินคดีกับผู้ก่อความโหดร้ายช่วงบังกลาเทศต่อสู้เรียกร้องเอกราชในปี 2514 ตำรวจกรุงธากากล่าวว่า จนถึงขณะนี้การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ มีตำรวจมากถึง 13,000 นายประจำการดูแลความเรียบร้อย และเจ้าหน้าที่ด้านกฎหมายได้รับอำนาจให้คุมขังผู้ประท้วงเกเรได้นาน 15 วัน ถนนหนทางในกรุงธากาส่วนใหญ่เงียบเหงา ขณะที่บริการเดินรถไปยังเมืองอื่น ๆ ถูกระงับ แต่ตำรวจเผยว่า ท่าเรือจิตตะกองยังคงเปิดทำการตามปกติ

รัฐบาลบังกลาเทศขึ้นราคาน้ำมันดีเซล เบนซิน ก๊าซธรรมชาติอัดเมื่อวันอาทิตย์เพราะต้องการลดงบประมาณสนับสนุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นเหตุให้พรรคชาตินิยมบังกลาเทศ (บีเอ็นพี) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านไม่พอใจ ตำรวจเผยว่า จับกุมผู้สนับสนุนฝ่ายค้านทั่วประเทศเมื่อวานและวันนี้ได้จำนวนหนึ่ง ขณะที่พรรคบีเอ็นพีเผยว่า มีคนถูกจับ 350 คน และมีพันธมิตรของพรรคถูกจับกว่า 600 คน ตั้งแต่เริ่มการประท้วงเมื่อวันจันทร์เรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำพรรคที่ถูกควบคุมตัว

คนงานเก็บขยะเบลเยียมปิดถนนประท้วง

23 ก.ย. 54 - กลุ่มคนงานเก็บขยะชาวเบลเยียมปิดถนนประท้วงการส่งมอบหน่วยงานให้ท้องถิ่นดูแล หวั่นตกงาน ทั้งนี้ กลุ่มคนงานเก็บขยะชาวเบลเยียมหลายร้อยคนชุมนุมปิดถนนใจกลางกรุงบรัสเซลส์ พร้อมจุดไฟเผาถังขยะ สร้างปัญหากับการจราจรหลายกิโลเมตร เพื่อประท้วงกรณีรัฐบาลส่วนกลางมีนโยบายส่งมอบงานส่วนนี้ให้ทางการท้องถิ่นระดับชุมชนดูแลแทนส่วนภูมิภาค อันอาจส่งผลให้พวกตนต้องตกงานและจะก่อหวอดประท้วงตราบเท่าที่จำเป็น

ปัจจุบัน เบลเยียมยังตกอยู่ในภาวะทางตันทางการเมืองตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว แต่ฝ่ายการเมืองยังหาทางตกลงรอมชอมเพื่อจัดตั้งรัฐบาลกันไม่ได้ โดยหนึ่งในแนวทางที่แต่ละฝ่ายเห็นพ้องกันว่าต้องดำเนินการให้ได้ คือ การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ซึ่งอาจกระทบกับหลายฝ่าย รวมทั้งกลุ่มคนงานเก็บขยะดังกล่าวข้างต้นด้วย

สหภาพแรงงานกรีซวางแผนผละงานประท้วง ทั่วประเทศรอบใหม่ในสัปดาห์หน้าและในเดือน ต.ค.

25 ก.ย. 54 - ระบบขนส่งของกรีซหยุดชะงักลงวานนี้ (25 ก.ย. 54) หลังจากคนงานหลายพันคนพากันผละงานประท้วงเพื่อต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องติดค้างอยู่ที่สนามบินเป็นเวลาหลายชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมีการปิดสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน และทำให้การจราจรทั่วกรุงเอเธนส์ติดขัดอย่างหนัก นอกจากนี้ยังมีรายงานระบุว่า สหภาพแรงงานทั้งในภาครัฐและเอกชนได้ประชุมร่วมกันเพื่อวางแผนผละงานประท้วง ทั่วประเทศรอบใหม่ในสัปดาห์หน้าและในเดือน ต.ค.

ทั้งนี้ รัฐบาลกรีซประกาศใช้มาตรการรัดเข็มขัดเพิ่มเติมเพื่อแลกกับการรับเงินช่วยเหลืองวดใหม่จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และสหภาพยุโรป ซึ่งมาตรการดังกล่าวครอบคลุมถึงการปรับลดการจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญ 20%, ปรับลดระดับรายได้ขั้นต่ำสุดที่จะต้องเสียภาษี, ขยายเวลาการเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ และกำหนดให้ข้าราชการ 30,000 คนอยู่ในบัญชีรายชื่อ "แรงงานสำรอง" ก่อนที่จะปลดออก

ขึ้นภาษีชาวต่างชาติที่ทำงานในจีน

26 ก.ย. 54 -   แหล่งข่าวเผยว่า จีนแถลงเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่าจะกำหนดภาษีประกันสังคมสำหรับแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานในจีน พร้อมสั่งให้บรรดาแรงงานต่างชาติต้องเข้าโครงการสวัสดิการสังคมของจีนด้วย ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้อาจส่งผลให้ต้นทุนการจ้างแรงงานต่างชาติสูงขึ้น และอาจทำให้มีการจ้างน้อยลงในระยะยาว และชาวต่างชาติจะต้องเสียภาษี 11 เปอร์เซ็นต์จากเงินเดือนขณะที่ผู้ว่าจ้างจะต้องเสียภาษีพิเศษ 37 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนให้กับรัฐบาล

สำนักงานกฎหมายจุนเหอ คิดคำนวณภาษีใหม่ที่สร้างภาระให้กับชาวต่างชาติและผู้ว่าจ้างระบุว่าอยู่ในอัตราที่สูงมาก ภาษีพิเศษที่สูงสุดสำหรับผู้ว่าจ้างในเซี่ยงไฮ้จะอยู่ที่ประมาณ 8,100 ดอลลาร์ต่อหัวต่อปีต่อลูกจ้างต่างชาติ 1 คน นอกจากนั้นชาวต่างชาติแต่ละคนจะต้องจ่ายภาษีประกันสังคมแก่รัฐบาลอีกอย่างน้อย 2,400 ดอลลาร์ต่อปี นอกเหนือจากภาษีเงินได้ในอัตราปกติ

ขณะที่ในกรุงปักกิ่งการเพิ่มภาษีประกันสังคมก็สอดคล้องกันคือ ชาวต่างชาติต้องจ่าย7,700 ดอลลาร์ต่อหัวต่อปี และสำหรับนายจ้างที่จ้างลูกจ้างต่างชาติต้องจ่าย 2,500 ดอลลาร์ต่อคนอย่างไรก็ตาม จีนอาจเลื่อนระบบการเก็บภาษีประกันสังคมสำหรับแรงงานต่างชาติออกไป เพราะมีเสียงบ่นจากรัฐบาลท้องถิ่นว่า ไม่มีเวลาพอในการจัดการระบบ โดยกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติได้แนะนำรัฐบาลว่า การเลือกเข้าโครงการสวัสดิการสังคมของจีนน่าจะเป็นเพียงให้เลือก เพราะขณะนี้ก็มีชาวต่างชาติจำนวนมากอยู่แล้วที่มีประกันสังคม

รัฐบาลจีนจะเรียกร้องให้ชาวต่างชาติต้องจ่ายค่าประกันสังคมเมื่อเข้าสู่ระบบ แต่ก็อาจได้รับเงินคืนเมื่อพวกเขากลับประเทศ โดยก่อนกลับต้องมาแจ้งความประสงค์ขอเงินคืน แต่รายงานก็ไม่ได้ระบุรายละเอียดการคืนเงินชัดเจนนัก ขณะที่เงินภาษีพิเศษที่ผู้ว่าจ้างจ่ายนั้นจะไม่ได้รับคืน โดยผู้เชี่ยวชาญเผยว่า เป้าหมายหนึ่งของกฎฯ ใหม่ก็คือต้องการบีบกลุ่มธุรกิจที่ชอบจ้างแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงาน ดังนั้นการเก็บภาษีจะทำให้รายจ่ายของบริษัทเพิ่ม แรงงานต่างชาติอาจจะถูกจ้างงานน้อยลง และการเก็บภาษีใหม่นี้ก็เพื่อต้องการสร้างประโยชน์ให้กับสังคม และยกระดับสวัสดิการแรงงานต่างประเทศในจีนให้ดีขึ้น ทั้งนี้ แรงงานต่างชาติที่ลงนามเข้าร่วมโครงการสวัสดิการสังคมกับจีนก่อนหน้านี้จะไม่ต้องเสียภาษีใหม่

สหภาพ​แรงงานสาย​การบิน​แควนตัสขู่หยุดงานประท้วง 1 วันทั่วประ​เทศ

30 ก.ย. 54 - สหภาพพนักงานขนส่ง (TWU) ของออส​เตร​เลีย​เตือนวันนี้ว่า ​เจ้าหน้าที่สัมภาระ​และ​เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินของสาย​การบิน​แควนตัสจะหยุดงานประท้วง​เป็น​เวลา 1 วันหากสาย​การบิน​ไม่ยินยอมตามข้อตกลง​เรื่องค่า​แรง​และ​เงื่อน​ไข​การจ้างงาน

ผู้​โดยสารของสาย​การบิน​แควนตัสประสบ​ความล่าช้า​ใน​การ​เดินทางช่วง​เช้าวันนี้ ​เมื่อ​เจ้าหน้าที่สัมภาระ​และ​เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินประจำสนามบินทั่วประ​เทศหยุดงานประท้วง​เป็น​เวลา 1 ชม. ขณะที่วิศวกรสาย​การบิน​เตรียมหยุดงานประท้วง​เช่นกันที่กรุง​เมล​เบิร์น​เวลา 18.00 น.ของวันนี้ตาม​เวลาท้องถิ่น

ระหว่าง​การหยุดงานประท้วง​เมื่อช่วง​เช้าวันนี้ พนักงานหลายคนยืนยันว่าจะต่อสู้ต่อ​ไป​เพื่อขอค่า​แรง​เพิ่ม​และอาจจะประท้วงหยุดงาน​เป็น​เวลา 24 ชม.

“สมาชิกของสหภาพตกลง​ใจสนับสนุน​และ​เดินหน้ารณรงค์​เรียกร้องต่อ​ไป ​เราจะยัง​ใช้มาตร​การนี้ต่อ​ไป​แม้​ในระหว่าง​การ​เจรจาหารือ ​และ​ไม่ต้องตก​ใจหากทุกอย่างลง​เอยด้วย​การหยุดงานประท้วง​เป็น​เวลา 24 ช.ม. " นายมิค ​เพียซ ​โฆณษกของ TWU กล่าวกับ​ผู้สื่อข่าวที่สนามบินซิดนีย์วันนี้

การหยุดงานประท้วงดังกล่าว​เป็นส่วนหนึ่ง​การรณรงค์​เรียกร้องของ​เจ้าหน้าที่สัมภาระ​และ​เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน​ใน​เรื่องขึ้นค่า​แรง​และปรับ​เงื่อน​ไข​การจ้างงานที่ยืด​เยื้อมานาน

สาย​การบิน​แควนตัส​เผยว่า ​เป็น​เรื่องที่น่าตก​ใจที่​การหยุดงานประท้วง​เกิดขึ้น​ในวันที่ยุ่งที่สุดอีกหนึ่งวัน​ในปฏิทิน​การบินของออส​เตร​เลีย ​โดย​เที่ยวบิน 40 ​เที่ยวต้องล่าช้า​และอีก 2 ​เที่ยวต้องถูกยก​เลิก​เมื่อ​เช้าวันนี้

"​การนัดหยุดงานประท้วง​เกิดขึ้น​ใน​เวลาที่​ไม่​เหมาะสม สหภาพวาง​แผนที่​เลือก​เอาวันนี้ วันที่​เป็น 1 ​ใน 5 วันของ​การท่อง​เที่ยว​ในออส​เตร​เลีย" นาง​โอลิ​เวีย ​เวิร์ธ ​โฆษกสาย​การบิน​แควนตัสกล่าวกับ​ผู้สื่อข่าวที่สนามบินซิดนีย์วันนี้

 ​เธอกล่าวว่า ​โรง​เรียนปิด​เทอม​และมี​การ​แข่งขันรักบี้รอบ​แกรนด์​ไฟนอล 2 ​แมตช์​ใหญ่​ในช่วงวันหยุดยาวนี้

“ช่างน่า​เสีย​ใจสหภาพวิศวกร​และสหภาพพนักงานขนส่ง ตัดสิน​ใจ​เลือก​เอาวันนี้ อย่าง​ไร​ก็ตาม ​เราหวังว่า​ทั้งสองสหภาพจะยัง​ไม่มี​การ​เคลื่อน​ไหว​ใดๆจนกว่า​เราจะมี​โอกาส​ได้​เจรจา​เพิ่ม​เติม" ​เธอกล่าว

ทั้งนี้ สาย​การบิน​แควนตัสคาดว่า ​ผู้​โดยสารประมาณ 8,400 คนทั่วประ​เทศจะ​ได้รับผลกระทบจาก​เหตุพนักงานหยุดงานประท้วง

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สัญญาณอันตราย สภานายจ้างเสนอ 5 เงื่อนไข แลกค่าจ้าง 300 บาท -- คนทำงาน เดือนกันยายน 2554

Posted: 05 Oct 2011 09:08 AM PDT


Published under a Creative Commons License By attribution, non-commercial

TCIJ: ไฟเขียวนักการเมืองใหญ่ ฮุบแร่โปแตชด่านขุนทด เมืองโคราช

Posted: 05 Oct 2011 09:01 AM PDT

เอ็นจีโอซัดจ้องเขมือบผลประโยชน์เกลือมหาศาลมากกว่าแร่คุณภาพต่ำ นักวิชาการเตือน ผุดเหมืองแร่ชัยภูมิ เตรียมรับมือคนอีสานฮือต้าน เหตุเห็นผลกระทบสิ่งแวดล้อมชัด

 
วันนี้ (5 ต.ค.54) รายงานข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งว่า ได้มีการออกใบอนุญาตอาชญาบัตรสำรวจแร่โปแตช ให้กับ บจก.ไทยคาลิ จำนวน 4 แปลง ในพื้นที่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา โดยมีเนื้อที่ 4 หมื่นไร่ ใน ต.หนองบัวตะเกียด ต.หนองไทร ต.โนนเมืองพัฒนา ต.หนองไทร โดยอาชญาบัตรสำรวจมีอายุ 5 ปี คืออยู่ในช่วงเดือนสิงหาคม 2553 - สิงหาคม 2558
 
นอกจากนี้รายงานข่าวยังระบุอีกว่า บจก.ไทยคาลิ ยังดำเนินการคำขออาชญาบัตรพิเศษ ในพื้นที่ อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ อีก 7 แปลง โดยเป็นพื้นที่ใกล้เคียงกับการอาชญาบัตรในพื้นที่ อ.ด่านขุนทด ที่ได้รับอนุญาตไปแล้ว ทั้งนี้ ขั้นตอนการขออนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ ที่ อ.บำเหน็จณรงค์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้พิจารณาเปิดพื้นที่ตามมาตรา 6 ทวิ ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 ที่บัญญัติว่า ภายในพื้นที่ใดๆ ที่กำหนดให้เป็นเขตสำหรับดำเนินการสำรวจ การทดลอง การศึกษา หรือการวิจัยเกี่ยวกับแร่ ตามมาตรา 6ทวิ ผู้ใดยื่นคำขออาชญาบัตร (อาชญาบัตรสำรวจแร่ อาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ หรือ อาชญาบัตรพิเศษ) ประทานบัตรชั่วคราว หรือประทานบัตรไม่ได้ เว้นแต่ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นสมควรให้ยื่นคำขอได้เป็นกรณีพิเศษโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
 
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บจก.ไทยคาลิ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 10,000,000.00 บาท (สิบล้านบาทถ้วน) กรรมการบริษัทมี 2 คน คือ นายวุฒิชัย สงวนวงศ์ชัย นางอินทิรา สงวนศ์ชัย บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น เป็นคนไทย 6 คน จำนวน 99,000 หุ้น ต่างด้าว 1 คน เป็นนักธุรกิจชาวออสเตรเลีย ถือหุ้น 1,000 หุ้น
 
ทั้งนี้ นายวุฒิชัย สงวนวงศ์ชัย เป็นอดีต ส.ส.ชัยภูมิ กลุ่มลำตะคอง และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ระหว่างปี 2542-2544 แต่ถูกสิทธิ์ทางการเมืองบ้านเลขที่ 111 สมัยอยู่พรรคไทยรักไทย หลังจากนั้นได้ย้ายมาอยู่พรรคประชาธิปัตย์ จนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นนายวุฒิชัย ยังถือเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการชักนำ นายชาญชัย รวยรุ่งเรือง หรือ เหยียนปิน ให้เข้ามาถือหุ้นในโครงการเหมืองแร่โปแตชบำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ และมีส่วนสำคัญในการผลักดันแก้ไขกฎหมายแร่ พ.ศ.2545 เพื่อสนับสนุนให้มีโครงการเหมืองแร่โปแตชบำเหน็จณรงค์เกิดขึ้น
 
ด้านนายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ ที่ปรึกษากลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ตั้งข้อสังเกตว่า การที่ บจก.ไทยคาลิ มีทุนจดทะเบียนแค่สิบล้านบาท ส่วนตัวมองว่าเป็นการจดจองพื้นที่เอาไว้ก่อน เพราะหากจะลงทุนทำเหมืองโปแตชจริง จะต้องใช้เงินลงทุนเป็นพันๆ ล้านบาท คิดว่าหลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการสำรวจแล้ว ไม่มีทางที่จะทำเอง นอกจากจะขายต่อในลักษณะนายหน้ามากกว่า เพราะคุณภาพแร่โปแตชด่านขุนทดที่เป็นพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่บำเหน็จณรงค์ เป็นแร่โปแตชชนิดคัลร์นัลไลท์ ที่มีเปอร์เซ็นต์โปแตชต่ำ การลงทุนย่อมไม่คุ้ม แต่สิ่งสำคัญที่ต้องการมากกว่าคือผลประโยชน์เกลือที่มีมูลค่า
 
“ขบวนการต่างๆ ที่ผ่านมา ชาวบ้านรับรู้ข้อมูล และการมีส่วนร่วมน้อยมากในพื้นที่ รัฐบาล กระทรวงอุตสาหกรรมไม่ได้ให้ข้อมูลด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่แท้จริงกับชาวบ้าน ให้แต่ข้อมูลด้านเดียวคือเรื่องผลประโยชน์ ซึ่งมันเป็นเรื่องนามธรรมมาก” นายสุวิทย์ กล่าว
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย ได้เขียนเอกสารการประเมินสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ของเกลือโปแตชในภาคอีสาน โดยในช่วงหนึ่งของบทความดังกล่าวระบุประเด็นที่น่าสนใจว่า ขณะนี้มีบริษัทที่ได้รับประทานบัตร และได้รับ /ขออาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่โปแตชแล้ว 7 บริษัทใน 6 จังหวัด รวมพื้นที่ทั้งหมด 654,145 ไร่ บริษัทที่จะทำให้ปัญหายุ่งยากมากขึ้นไปอีก คือ บริษัทที่ได้รับประทานบัตรแล้ว ถ้าเกิดปัญหาผลกระทบจากการขุดหรือแต่งแร่ขึ้น ไม่ว่าในด้านใดก็ตามในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ จะทำให้โครงการทั้งหมดอีก 5 จังหวัดต้องหยุดลงทันที เพราะจะเกิดเครือข่ายประชาชนลุกฮือขึ้นต่อต้านในภาคอีสานทันที
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“คณะศิษย์เก่า มธ.” แถลงไล่ “สมคิด” พ้นอธิการบดี ชี้เหยียดปรีดีเท่ากับเหยียดหลักการ ปชต.

Posted: 05 Oct 2011 08:58 AM PDT

“คณะศิษย์เก่า มธ.” ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเรียกร้องไล่ “สมคิด เลิศไพฑูรย์” ออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มี “วีระกานต์ มุสิกพงศ์” อดีตแกนนำ นปช ร่วมวงแถลงข่าวด้วย ร่อนจดหมายเปิดผนึก-แถลงการณ์ สวดยับอธิการบดีมธ.ทั้งคนก่อนหน้าและคนปัจจุบันนำมหาวิทยาลัยรับใช้ระบอบเผด็จการ มิหนำซ้ำยังดูหมิ่น “ปรีดี พนมยงค์” ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปทำพิธีขอขมา “ปรีดี” ที่ลานปรีดีที่กลุ่มตนไม่สามารถยับยั้งลัทธิเผด็จการในรั้ว มธ ได้ ปัด ไม่ได้บูชาตัวบุคคลปรีดี เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องหลักการ

สืบเนื่องจากที่ “คณะศิษย์เก่าธรรมศาสตร์” ได้ออกแถลงการณ์เชิญชวนให้ศิษย์เก่าและประชาชนร่วมชุมนุมขับไล่ นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ ณ ข้างหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันนี้ (5 ตุลาคม) ตามที่สำนักข่าวประชาไทรายงานไปแล้วนั้น ในวันนี้ผู้สื่อข่าวประชาไทได้เดินทางไปสังเกตการณ์กิจกรรมของ “คณะศิษย์เก่าธรรมศาสตร์” ดังกล่าวที่เริ่มรวมตัวตั้งแต่ก่อนเวลา 10.00 น. โดยมีการตั้งโต๊ะให้ลงนามแสดงเจตนารมณ์ขับไล่นายสมคิดในบริเวณสวนปฏิมากรรมใกล้ทางเข้าออกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ฝั่งสนามหลวง มีการนำป้ายผ้าขนาดใหญ่ที่มีข้อความโจมตีอธิการบดีมธ.ขึ้นขึงในบริเวณดังกล่าว และยังได้นำพวงหรีดพร้อมข้อความ “อธรรมศาสตร์จงพินาศ” และ “ต่อต้านอธรรมศาสตร์” มาวางบริเวณโต๊ะแถลงข่าวด้วย นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งเต๊นท์ขายสินค้าและจัดเตรียมงานรำลึก 6 ตุลา ในบริเวณรอบด้านอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก จึงมีคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งจับกลุ่มยืนดูกิจกรรมของ “คณะศิษย์เก่าธรรมศาสตร์” อย่างสนใจ ส่วนสมาชิกของ “คณะศิษย์เก่าธรรมศาสตร์” มีประมาณ 20 คน และมีผู้สื่อข่าวหลายสำนักเดินทางมาทำข่าวอย่างหนาแน่น

เวลาประมาณ 10.10 น. “วีระกานต์ มุสิกพงศ์” อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เคยทำหน้าที่เป็นแกนนำเวที นปช ในเหตุการณ์ประท้วงมีนาคม-พฤษภาคม 2553 ได้เดินทางมาลงชื่อสนับสนุนการขับไล่อธิการบดีธรรมศาสตร์ในฐานะที่ตนเป็นศิษย์เก่า ทำให้เกิดเสียงฮือฮาจากคนเสื้อแดงที่กำลังดูเหตุการณ์อยู่ อย่างไรก็ตาม มีคนเสื้อแดงบางส่วนกลับเดินหนีนายวีระกานต์ทันทีพร้อมกล่าวว่า ไม่อยากยกมือไหว้

เมื่อถึงเวลา 10.30 น. ผู้จัดกิจกรรมของกลุ่ม “คณะศิษย์เก่าธรรมศาสตร์” จำนวน 5 คน พร้อมนายวีระกานต์ ได้เริ่มการแถลงข่าว เริ่มด้วยการอ่านแถลงการณ์ในนามศิษย์เก่าทุกรุ่นของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แสดงความไม่พอใจที่นายสมคิดรับใช้ระบอบรัฐประหารและดูหมิ่น “ปรีดี พนมพงค์” โดยการนำการปฏิวัติ 2475 ของนายปรีดีไปเทียบกับการรัฐประหาร และอ่านจดหมายเปิดผนึกที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน โดยมีคำแปลภาษาอังกฤษด้วย (ทั้งแถลงการณ์และจดหมายเปิดผนึก สามารถอ่านได้ที่เว็บไซต์ www.tudemoc.com) เมื่อการอ่านแถลงการณ์และจดหมายเปิดผนึกจบลง ผู้ฟังรอบด้านก็ปรบมือและส่งเสียงโห่ร้อง

หลังจากกิจกรรมแถลงข่าวสิ้นสุดลง ในเวลา 10.50 น. “คณะศิษย์เก่าธรรมศาสตร์” ได้ออกเดินขบวนมุ่งหน้าไปที่ลานปรีดีพร้อมดอกไม้ธูปเทียนเพื่อทำพิธี โดยประกาศเชิญชวนให้ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์คนอื่นๆและประชาชนทั้งหมดที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ร่วมเดินขบวนไปด้วย ทำให้มีผู้ร่วมขบวนถึงประมาณ 100 คน นำขบวนโดย นายมณฑล เลิศสุวรรณ อดีตรองประธานสภานักศึกษาธรรมศาสตร์ และ นายทวิพัทร บุณฑริกสวัสดิ์ นักศึกษาปริญญาโท คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่างการเดินขบวนไปลานปรีดีได้เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นเล็กน้อยเมื่อหน่วยรักษาความปลอดภัยของตึกโดมไม่อนุญาตให้กลุ่มเดินผ่านตึกโดมเพื่อไปยังลานปรีดี จึงต้องใช้เส้นทางอื่นแทน อย่างไรก็ตาม หน่วยรักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่มาสังเกตการณ์กิจกรรมของกลุ่มค่อนข้างบางตา และเนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคเรียนจึงไม่มีนักศึกษาในบริเวณมหาวิทยาลัยมากนัก

เวลา 11.00 น. ตรง ตัวแทน “คณะศิษย์เก่าธรรมศาสตร์” ทำพิธีวางธูปเทียนและกล่าวขอขมาบริเวณรูปปั้นปรีดีพนมยงค์ ก่อนจะถ่ายรูปหมู่รวมศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ที่มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ อันเป็นที่สิ้นสุดของกิจกรรมการประท้วง

นายสายัณห์ สุธรรมสมัย ศิษย์เก่ารุ่นปี มธ. 2511 ได้ให้สัมภาษณ์กับบรรดาผู้สื่อข่าวว่า ตนเองไม่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของใครทั้งสิ้น แต่การสนับสนุนรัฐประหาร และการที่นายสมคิดเรียกนายปรีดีว่าเป็นผู้ทำรัฐประหาร ถือว่าเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ โดยกลุ่มตนจะเคลื่อนไหวต่อไป ไม่มีเป้าหมายที่กำหนดไว้ในการลงชื่อ ประชาชนยังสามารถเข้าร่วมลงชื่อได้ ซึ่งขณะนี้ก็มีผู้เข้าร่วมลงชื่อเป็นจำนวนร้อยคนแล้ว สำหรับคำถามที่ว่าตนเองต้องการเห็นใครมาเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แทนนายสมคิดนั้น นายสายัณห์กล่าวว่า ตนไม่มีตัวเลือกจะเสนอ ให้เป็นเรื่องของสภามหาวิทยาลัยพิจารณาเอง ผู้สื่อข่าวประชาไทได้ถามนายสายัณห์ว่า การแสดงออกครั้งนี้ถือเป็นการบูชาตัวบุคคลนายปรีดี พนมยงค์ หรือไม่ นายสายัณห์จึงชี้แจงว่า ไม่ได้เป็นเรื่องของบุคคล แต่เป็นเรื่องของหลักการ เนื่องจากนายปรีดีเป็นสัญลักษณ์ของหลักการประชาธิปไตยไทย การดูหมิ่นเหยียดหยามนายปรีดี จึงถือได้ว่าเป็นการไม่เคารพหลักการประชาธิปไตยที่นายปรีดีได้สถาปนาในประเทศไทยด้วย ทั้งนี้ นายสายัณห์เห็นว่า นายปรีดีมิได้ทำรัฐประหาร แต่ถือว่าเป็นการทำ “อภิวัฒน์” หรือ “ปฏิวัติ” สังคมไทย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างถึงราก มิใช่ผลัดเปลี่ยนอำนาจอย่างรัฐประหารเท่านั้น

นายสายัณห์ยังได้เปิดเผยด้วยว่า “คณะศิษย์เก่าธรรมศาสตร์” ที่เดินทางมาทำกิจกรรมในวันนี้ พอรู้จักกันบ้างอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นรุ่นใกล้เคียงกัน ในตอนแรกที่ทุกคนได้ยินข่าวเรื่องข้อเขียนของนายสมคิดก็เงียบๆ แต่ต่อมาจึงคุยโทรศัพท์ติดต่อกันจนกลายเป็นรวมตัวกันจัดการประท้วงตามที่เห็นในวันนี้

ขณะเดียวกัน นายทวิพัทร บุณฑริกสวัสดิ์ นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวประชาไทว่า ตนเองเห็นว่ากิจกรรมการประท้วงครั้งนี้ก็มีลักษณะบูชาตัวบุคคลส่วนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของหลักการมากกว่า ตนมองว่านายสมคิดไม่ได้เหยียดหยามนายปรีดีอย่างเดียว แต่เหยียดหยามหลักการของนายปรีดีด้วย อย่างไรก็ตาม ตนเองคิดว่าความวุ่นวายครั้งล่าสุดจากคำพูดของนายสมคิดเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ต่อเนื่อง (series) จากสิ่งที่ “กลุ่มนิติราษฎร์” เสนอต่อสังคมไทย ซึ่งการต่อต้านจากนายสมคิดเป็นเพียงหนึ่งเหตุการณ์ และตนมั่นใจว่าจะมีการต่อต้านมาอีกมากในอนาคตอันใกล้

นายทวิพัทรกล่าวเพิ่มเติมกับผู้สื่อข่าวประชาไทอีกว่า ในฐานะที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตนเองเห็นว่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ข้อเสนอของ “กลุ่มนิติราษฎร์” จนมาถึงการประท้วงเพื่อยืนยันหลักการของนายปรีดีในวันนี้ เป็นเครื่องบ่งชี้ว่า “จิตวิญญาณธรรมศาสตร์” ยังไม่ได้ตายจากไปไหน เนื่องจากยังมีฐานแนวคิดว่าด้วยประชาธิปไตยของธรรมศาสตร์และนายปรีดีให้ประชาชนในสมัยปัจจุบันอิงในการเรียกร้องทางการเมือง และตนยังมองว่า “กลุ่มนิติราษฎร์” ได้ช่วยฟื้นฟูจิตวิญญาณดังกล่าวกลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง ส่วนคำถามที่ว่าห่วงเรื่องการศึกษาของตนในรั้วธรรมศาสตร์หลังจากออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับอธิการบดีธรรมศาสตร์ในวันนี้หรือไม่ นายทวิพัทรกล่าวว่า ไม่ค่อยห่วงนัก เพราะเท่าที่ทราบก็มีหลายคนในธรรมศาสตร์ที่คิดเห็นต่อนายสมคิดแบบตนมากอยู่แล้ว

นายทวิพัทรยังได้แสดงเจตนาฝากข้อความไปให้นายสมคิดผ่านทางประชาไทด้วยว่า “ละอายใจเหอะ”

“คณะศิษย์เก่า มธ.” แถลงไล่ “สมคิด” พ้นอธิการบดี ชี้เหยียดปรีดีเท่ากับเหยียดหลักการ ปชต.

“คณะศิษย์เก่า มธ.” แถลงไล่ “สมคิด” พ้นอธิการบดี ชี้เหยียดปรีดีเท่ากับเหยียดหลักการ ปชต.

“คณะศิษย์เก่า มธ.” แถลงไล่ “สมคิด” พ้นอธิการบดี ชี้เหยียดปรีดีเท่ากับเหยียดหลักการ ปชต.

“คณะศิษย์เก่า มธ.” แถลงไล่ “สมคิด” พ้นอธิการบดี ชี้เหยียดปรีดีเท่ากับเหยียดหลักการ ปชต.

“คณะศิษย์เก่า มธ.” แถลงไล่ “สมคิด” พ้นอธิการบดี ชี้เหยียดปรีดีเท่ากับเหยียดหลักการ ปชต.

“คณะศิษย์เก่า มธ.” แถลงไล่ “สมคิด” พ้นอธิการบดี ชี้เหยียดปรีดีเท่ากับเหยียดหลักการ ปชต.

“คณะศิษย์เก่า มธ.” แถลงไล่ “สมคิด” พ้นอธิการบดี ชี้เหยียดปรีดีเท่ากับเหยียดหลักการ ปชต.

“คณะศิษย์เก่า มธ.” แถลงไล่ “สมคิด” พ้นอธิการบดี ชี้เหยียดปรีดีเท่ากับเหยียดหลักการ ปชต.

“คณะศิษย์เก่า มธ.” แถลงไล่ “สมคิด” พ้นอธิการบดี ชี้เหยียดปรีดีเท่ากับเหยียดหลักการ ปชต.

“คณะศิษย์เก่า มธ.” แถลงไล่ “สมคิด” พ้นอธิการบดี ชี้เหยียดปรีดีเท่ากับเหยียดหลักการ ปชต.

“คณะศิษย์เก่า มธ.” แถลงไล่ “สมคิด” พ้นอธิการบดี ชี้เหยียดปรีดีเท่ากับเหยียดหลักการ ปชต.

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เสนอ "กลไกคุ้มครองผู้บริโภค" ให้ว่าที่ กสทช.-ย้ำคำนึงถึงสิทธิพลเมืองด้วย

Posted: 05 Oct 2011 08:46 AM PDT


สืบเนื่องจากมาตรา 31 พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 หรือ พ.ร.บ.กสทช. กำหนดให้ กสทช. มีหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินการของผู้ประกอบกิจการของผู้ประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม โดยให้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นสองคณะ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และด้านกิจการโทรคมนาคม

(5 ต.ค.54) ที่สำนักงาน กสทช. คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม จัดเสวนา "ร่วมออกแบบกลไกคุ้มครองผู้บริโภคในยุค กสทช." โดยมีว่าที่ กสทช. 4 คนเข้าร่วมรับฟัง โดยสารี อ๋องสมหวัง ประธานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคม กล่าวถึงข้อเสนอต่อว่าที่ กสทช. ว่า โครงสร้างหน่วยงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ควรมีความเป็นอิสระในการบริหารงาน เพื่อให้ทำงานได้คล่องตัว มีประสิทธิภาพ โดยอาจมีสถานะเป็นสถาบันหรือสำนัก เทียบเท่าสำนักอื่นๆ ใน กสทช. ทำงานขึ้นตรงต่อ กสทช. โดยมีหน่วยรับเรื่องร้องเรียนจุดเดียว จากนั้นค่อยส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อความสะดวกของผู้บริโภค

สำหรับที่มาของคณะอนุกรรมการทั้งสองชุด สารีกล่าวว่า ควรยึดรูปแบบการสรรหาคณะอนุกรรมการตามแบบของ สบท. และให้มีคณะอนุกรรมการ จำนวนตั้งแต่ 5-9 คน ซึ่งจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น ด้านกฎหมาย ด้านเศรษฐศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์

โสภิดา วีรกุลเทวัญ จากมูลนิธิไฮน์ริค เบิลล์ กล่าวในเชิงหลักการว่า ควรออกแบบขอบเขตการตรวจสอบ คุ้มครองของคณะอนุกรรมการฯ ให้ชัดเจน เพราะเมื่อพูดถึงเรื่องสื่อแล้ว นอกจากประชาชนจะเป็นผู้บริโภค ยังมีมิติของความเป็นพลเมืองด้วย เช่น เมื่อพูดถึงสิทธิในการใช้คลื่นวิทยุจะถือเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคไหม หรือเมื่อมีกรณีการปิดเว็บไซต์จะร้องเรียนที่ไหน นอกจากนี้ ในสัดส่วนของคณะอนุกรรมการด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ซึ่งมีข้อเสนอให้มีตัวแทนจากผู้ประกอบอาชีพสื่ออยู่ด้วยนั้น ตั้งคำถามว่า จะตรวจสอบความเป็นตัวแทนได้แค่ไหน เนื่องจากก่อนหน้านี้ยังมีข้อถกเถียงเรื่องสื่อแท้และสื่อเทียม และในอนาคต ซึ่งจะมีโทรทัศน์ดาวเทียมอีกมหาศาล แล้วใครจะเป็นตัวแทนของโทรทัศน์ดาวเทียม

ด้าน ฉัตรชัย เชื้อรามัญ ผู้อำนวยการสำนักข่าวเด็กและเยาวชน เสนอว่า คณะอนุกรรมการเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ต้องทำงานในเชิงรุกด้วย โดยตรวจสอบการทำหน้าที่ของสื่อวิทยุโทรทัศน์ ที่มีโฆษณาแฝงในรายการเล่าข่าว ละเมิดสิทธิผู้ถูกกล่าวหาโดยเสนอภาพขณะขึ้นศาล หรือพยายามถ่ายภาพของเด็ก ซึ่งขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้มีการวิจัยเพื่อจัดเกณฑ์เรทติ้งให้ชัดเจนด้วย 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รอลงอาญา 2 ปี ชาวบ้านสระบุรีปิดถนนประท้วงโรงไฟฟ้า-บ่อขยะ

Posted: 05 Oct 2011 08:20 AM PDT

 


แฟ้มภาพ: เหตุการณ์ปิดถนนมิตรภาพขาออก หลัก กม.ที่99 เมื่อ 24 ก.ย.52

5 ต.ค.54  เวลาประมาณ 10.00 น. ที่ศาลจังหวัดสระบุรี มีการพิพากษาคดีกรณีชาวบ้านหนองแซงปิดถนนประท้วงเพื่อเรียกร้องให้รัฐยุติโครงการก่อสร้างโรง ไฟฟ้าพลังก๊าซหนองแซง เมื่อวันที่ 24-25 ก.ย.52 โดยมีแกนนำชาวบ้านตกเป็นจำเลย 4 คน และนักพัฒนาเอกชน(เอ็นจีโอ) 1 คน รวมเป็น 5 คน โดยมีชาวบ้านจากอำเภอหนองแซงเข้าร่วมฟังคำพิพากษาจำนวนมาก รวมทั้งชาวบ้านจากกลุ่มอนุรักษ์บ่อนอก-บ้านกรูด จ.ประจวบคีรีขันธ์ นำโดย กรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยาของเจริญ วัดอักษร แกนนำต้านโรงไฟฟ้าบ่อนอกที่ถูกยิงเสียชีวิต รวมแล้วประมาณ 40-50 คน

ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 229 เกี่ยวกับการกีดขวาง การจราจรบนทางหลวง, ตาม พ.ร.บ.ทางหลวง มาตรา 39 และมาตรา 71, พ.ร.บ.จราจรทางบก  มาตรา 54 วรรค 2 และมาตรา 148, พ.ร.บ.ควบคุมโฆษณาโดยการใช้เครื่องขยายเสียง มาตรา 4วรรค 1 และมาตรา 9 วรรค 1 ให้ลงโทษ 1 ปี แต่ให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และสั่งปรับตามประมวลกฎหมายอาญาคนละ 6,000 บาท ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตคนละ 200 บาท รวมทั้งให้ทำงานบริการสาธารณะคนละ 48 ชั่วโมง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ได้นำตัวจำเลยทั้งห้าไปควบคุมตัวไว้ที่ห้องฝากขังนานเกือบ 3 ชั่วโมงระหว่างการดำเนินการจ่ายค่าปรับ ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวในที่สุ

“แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใช้ทาง แต่ในการนำสืบเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวมีเจตนาที่จะเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐเข้ามาดูและแก้ไขความเดือดร้อนของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เกี่ยวกับบ่อขยะและการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ส่วนจำเลยที่ 5 เป็นการให้ความรู้และชี้แจงผลกระทบ ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำความผิดมาก่อน จึงให้รอลงอาญา” มนทนา ดวงประภา หนึ่งในทนายความจากคณะทำงานสภาทนายความที่ช่วยเหลือในคดีนี้กล่าว

ทนายความระบุด้วยว่า ในการต่อสู้คดีได้มีการหยิบยกบทบัญญัติเกี่ยวกับเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญขึ้นต่อสู้ด้วย แต่ศาลพิพากษาว่าชาวบ้านจะเข้าถึงสิทธิดังกล่าวได้ก็โดยไม่ละเมิดกฎหมายอื่นๆ ที่มีอยู่ 

ทนายความยังระบุด้วยว่า การเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าหนองแซงตลอด 2-3 ปีที่ผ่าน ชาวบ้านถูกฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งสิ้น 9 คดี โดยส่วนมากเป็นคดีบุกรุก หมิ่นประมาท ทำร้ายร่างกาย โดยมีคดีที่ยกฟ้องไปแล้ว 1 คดี คดีที่อยู่ระหว่างฎีกาอีก 1 คดี และคดีนี้นับเป็นคดีที่ 3 ที่มีการตัดสินแล้ว

นายตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี หนึ่งในจำเลย กล่าวว่า ตนเองถูกฟ้องหลายคดีจากการนำการเคลื่อนไหวในพื้นที่ ทั้งที่บางคดีนั้นไม่ได้ร่วมในเหตุการณ์ด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ท้ายที่สุดโครงการโรงไฟฟ้าจะสามารถเดินหน้าก่อสร้างได้ในพื้นที่ โดยขณะนี้ทำการถมดินและเริ่มตอกเสาเข็มแล้ว แต่ชาวบ้านก็ยังยืนยันจะร่วมตรวจสอบการดำเนินการของโรงไฟฟ้า รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ระบุไว้ในรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) หรือไม่ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการป้องกันผลกระทบด้านต่างๆ ในพื้นที่

นายสมคิด ดวงแก้ว หนึ่งในจำเลย ระบุว่า รู้สึกว่าชาวบ้านไม่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญในการใช้สิทธิ

“วันนี้ก็เป็นบทเรียนว่าเมื่อชาวบ้านออกมาปกป้องสิทธิชุมชนมันก็ขัดแย้งกับระดับนโยบาย ที่สำคัญ ขบวนการยุติธรรมทุกระดับไม่ว่า ตำรวจ อัยการ ศาล ก็มีทัศนคติว่าโครงการเหล่านี้มาสร้างความเจริญ มีความชอบธรรม ชาวบ้านคิดว่าจะเป็นที่พึ่งได้ ก็หมดหวัง เป็นบทเรียนว่าการต่อสู้ของประชาชนมีทางคับแคบมาก” นายสมคิดกล่าว

ทั้งนี้ จำเลยทั้ง 5 คนได้แก่ นายนพพล น้อยบ้านโง้ง และนายคูณทวี ภาวรรณ์ ชาวบ้านจากพื้นที่ อ.แก่งคอยและ อ.เมือง ซึ่งประสบปัญหาจากบ่อขยะเคมีของบริษัท เบ็ตเตอร์เวิลด์กรีน จำกัด, นายตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี และนายสมคิด ดวงแก้ว ชาวบ้านจากอำเภอหนองแซง ซึ่งประสบปัญหาจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังก๊าซหนองแซง ขนาด 1,600 เมกะวัตต์ และนางสาววัชรี เผ่าเหลืองทอง กลุ่มพลังงานทางเลือก ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันกระทำการใดๆ ในทางสาธารณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การจราจร, ร่วมกันปิดกั้นทางหลวงนำสิ่งใด มากีดขวาง หรือกระทำการใดๆ ในลักษณะที่อาจเกิดอันตราย เสียหายแก่ยานพาหนะหรือบุคคล, ไม่จอดรถชิดขอบทาง, ร่วมกันทำการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับใบอนุญาต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ที่ศาลมีการสืบพยานโจกท์ในคดีบุกรุก ซึ่งชาวบ้านหนองแซงเป็นจำเลย 8 คน เหตุเกิดเมื่อ 17 ส.ค.52 เนื่องจากชาวบ้านเข้าไปสอบถามและขวางการรังวัดพื้นที่ของโครงการ โดยในวันนี้ทนายความแจ้งว่าชาวบ้านทั้ง 8 รายให้การรับสารภาพ และศาลนัดพิพากษาในวันที่ 19 ต.ค.นี้

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นายทุนจ้างรปภ.ขับชาวบ้านพ้นที่ดินพร้อมเกิดเหตุทำร้ายผู้นำเกษตรกรที่ดอยหล่อ

Posted: 05 Oct 2011 07:59 AM PDT

ตำรวจปราบจลาจลคุ้มกันที่ดินดอยหล่อ 700 ไร่ ให้ รปภ.ของเจ้าที่ดินรื้อถอนพืชผล-สิ่งปลูกสร้างชาวบ้าน กองเลขา สกน.แฉ รปภ.ทำร้าย “สุแก้ว ฟุงฟู”  ต่อหน้าตำรวจ ก่อนส่งสอบปากคำ เผยเดิมเป็นที่สาธารณะ “ป้าทักษิณ” เข้าสำรวจ-ออกโฉนดแล้วขายต่อหลายทอด แต่ปล่อยรกร้างกว่า 10 ปีจนชาวบ้านเข้าทำประโยชน์

กองเลขาธิการสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) เปิดเผยว่าเมื่อเวลา 8.00 น. วันนี้ (5 ต.ค.) ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ได้สนธิกำลังชุดปราบจลาจลจำนวนมากกว่า 500 นาย เข้าคุ้มกันที่ดินของนายทุนประมาณ 700 ไร่ บริเวณตรงข้ามที่ว่าการอำเภอดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ เพื่อให้นายทุนทำการรื้อถอนทำลายพืชผลทางการเกษตรและสิ่งปลูกสร้างของชาวบ้าน

โดยหลังจากกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 500 นายเดินทางถึงพื้นที่พร้อมเจ้าหน้าที่ของบริษัทรักษาความปลอดภัย ซึ่งเจ้าของที่ดินทั้ง 13 รายได้ว่าจ้างและมอบอำนาจให้มาดำเนินการรื้อถอน

ชาวบ้านประมาณ 20 คนได้เข้าเจรจากับบริษัท รปภ.แต่ไม่สามารถพูดคุยกันได้จึงถอยออกจากพื้นที่เพื่อให้ไปเจรจากันนอกพื้นที่ ขณะที่ชาวบ้านกำลังเดินทางออกจากพื้นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและชายฉกรรจ์ได้ทำการจับกุมแกนนำชาวบ้านจำนวน 5 คน และเจ้าหน้าที่มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ ซึ่งเข้าไปช่วยเจรจาขึ้นรถไปยังโรงพัก

กองเลขาธิการสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ รายงานด้วยว่า นายสุแก้ว ฟุงฟู กรรมการสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ซึ่งได้รับการประสานงานให้มาช่วยเจรจาเดินทางมาถึงยังที่เกิดเหตุ ได้ถูกคนของบริษัทเข้ารุมทำร้ายร่างกาย จนได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้าและถูกลากตัวลงจากรถ ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ

จากนั้นผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าของที่ดินได้นำตัวนายสุแก้ว ฟุงฟูไปส่งให้ตำรวจที่โรงพักดอยหล่อ เมื่อตำรวจสอบปากคำแล้ว ไม่มีหมายจับจึงปล่อยตัวนายสุแก้ว นายศราวุฒิ (เจ้าหน้าที่มูลนิธิ) พร้อมชาวบ้านอีก 4 คน ส่วนชาวบ้านอีก 2 คนได้แก่ นางบัวผัน แสงคง และนายณรงค์ แก้วมงคล ถูกจับกุมดำเนินคดี เนื่องจากมีหมายจับตามบันทึกแจ้งความของเจ้าของที่ดิน ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการขอประกันตัว

สำหรับที่ดินแปลงนี้เดิมมีสภาพเป็นที่ดินรกร้าง สภาพเป็นป่าละเมาะ ชาวบ้านใช้เป็นที่เลี้ยงวัว ควาย ไม่มีผู้ใดครอบครองเป็นเจ้าของ ต่อมาได้มีโครงการเร่งรัดเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน ซึ่งได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากธนาคารโลก โดยได้มีนายทุนจากจังหวัดเชียงใหม่ คือนางจันทร์สม ชินวัตร ป้าของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นำที่ดินผืนนี้ไปเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินพื้นที่ประมาณ 700 กว่าไร่

ต่อมานางจันทร์สม ผู้ขอออกโฉนดได้ขายที่ดินต่อให้บริษัทพรพรหมพาราไดซ์ มีกิจการสวนสนุกที่ อ.หางดง ซึ่งเลิกกิจกรรมไปแล้ว เพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่ธุรกิจและสวนเกษตร แต่ปี 2540 เกิดวิกฤตปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ที่ดินดังกล่าวกลายเป็นหนี้เสีย มีการประกาศขายทอดตลาดและมีนายทุนจากนอกพื้นที่มาประมูลซื้อจำนวน 13 ราย ในจำนวนนั้นมี พญ.ปิยะรัตน์ รัตนวานิช พี่สาวของ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช อดีต ส.ว. สรรหารวมอยู่ด้วย

ในปี 2545 ชาวบ้านดอยหล่อจำนวนประมาณ 120 ครอบครัวได้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าว โดยไม่ทราบว่าที่ดินมีเอกสารสิทธิหรือไม่ เนื่องจากไม่เคยพบว่ามีผู้ใดเข้าทำประโยชน์ จนกระทั่งในปี 2547 จึงเริ่มมีบุคคลมาแสดงตนว่าเป็นเจ้าของที่ดินแต่ก็ไม่สามารถชี้ขอบเขตที่ดินได้ชัดเจนว่าอยู่ตรงไหน

ชาวบ้านจึงร่วมกันเรียกร้องกับรัฐบาลให้ดำเนินการตรวจสอบเอกสารสิทธิในพื้นที่ จึงพบว่ามีการออกเอกสารสิทธิในที่ดิน ตามโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน ในปี 2533 แต่ถูกทอดทิ้งรกร้างไว้ โดยไม่เคยเข้ามาทำประโยชน์มามากกว่า 10 ปี ซึ่งตามประมวลกฎหมายที่ดิน ชาวบ้านได้เรียกร้องให้รัฐบาลทำที่ดินมาปฏิรูปให้ชาวบ้านและคนจนรวมทั้งเรียกร้องให้ทำการตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่อย่างต่อเนื่องหลายรัฐบาล แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า ในขณะที่นายทุนได้ทยอยดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับแกนนำมาโดยตลอด

ในปี 2551 ชาวบ้านซึ่งเป็นสมาชิกของสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) และเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ได้เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการจัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินขึ้นเพื่อเป็นกลไกในการกระจายการถือครองที่ดินประกอบกับเรียกร้องให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า จนกระทั่งรัฐบาลได้อนุมัติการจัดตั้ง “สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน” ขึ้นในรูปแบบองค์การมหาชนและมีมติ ครม.เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554 และ 8 มีนาคม 2554 ให้ดำเนินการนำร่องในพื้นที่ 5 หมู่บ้าน จังหวัดเชียงใหม่และลำพูน และอนุมัติงบประมาณดำเนินการจำนวน 167 ล้านบาท โดยจะขยายไปยังพื้นที่อื่นๆต่อไป แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากยุบสภา ต้องรัฐบาลชุดใหม่ให้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสถาบันฯ ขึ้นก่อน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรอการแต่งตั้งกรรมการบริหาร

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "รำลึก...วีรชนเดือนตุลาฯ"

Posted: 05 Oct 2011 06:50 AM PDT

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "รำลึก...วีรชนเดือนตุลาฯ"

น้ำท่วม : ความล้มเหลวของการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน

Posted: 05 Oct 2011 06:24 AM PDT

ผมยอมรับว่าการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในแต่ละครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี ๒๕๕๔ นี้ เจ้าหน้าที่ทุกระดับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงไปจนถึงลูกจ้างชั่วคราวหรืออาสาสมัครฯในระดับล่างสุดต่างก็เหน็ดเหนื่อยกันเป็นพิเศษแทบว่าจะขาดใจเลยก็ว่าได้ ทั้งๆที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าสภาวะน้ำท่วมซ้ำซากของไทยเราที่มีมาอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี นั้น สาเหตุใหญ่ของปัญหาก็คือ การทำลายพื้นที่ป่า การไม่มีมาตรการป้องกันปัญหาน้ำท่วมที่ดีพอ มีแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นคราวๆไป ฯลฯ แต่เราก็ยังคงต้องเหน็ดเหนื่อยกันทุกปีและจะยิ่งเหน็ดเหนื่อยมากขึ้นทุกๆปีไป

อย่างไรก็ตามการเหน็ดเหนื่อยต่างๆนี้แทบจะเสียเปล่าไปเลยทีเดียวเมื่อประสบกับปัญหาในการบริหารจัดการที่ซ้ำซ้อน ขัดแย้ง ก้าวก่าย มั่ว ไม่มีทิศทาง เอาแต่สั่งการ เอาแต่สร้างภาพ ทุจริตคอรัปชัน เบียดบังงบประมาณ ฯลฯ ทำให้การแก้ปัญหาน้ำท่วมล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แม้ว่านายกรัฐมนตรีที่มีเพียงสองแขนสองขาและเวลาเพียง ๒๔ ชั่วโมงจะสามารถเดินทางชะแว้บไปชะแว้บมาไปเกือบทุกพื้นที่ข่าวที่เป็นจุดสำคัญก็ตาม


แต่เมื่อกลไกที่จักรเฟืองสำคัญของการบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปด้วยความซ้ำซ้อน อืดอาดและล่าช้า การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในคราวนี้จึงมีแต่การประชุมๆๆๆ สั่งการๆๆๆๆและอนุมัติๆๆๆ เสร็จแล้วก็ออกไปตรวจราชการโดยรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งหลายที่แทนที่จะไปช่วยแก้ไขปัญหา แต่กลับไปเพิ่มภาระในการต้อนรับขับสู้ อำนวยความสะดวก รวมถึงการจัดเตรียมผักชีไว้โรยหน้าบ้างพอเป็นธรรมเนียม บางทีก็ปล่อยให้ชาวบ้านรอเป็นชั่วโมงๆเพื่อรอรับถุงยังชีพเพียงถุงเดียว


เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยแทนที่จะได้ออกไปช่วยชาวบ้านแต่ต้องกลับมาเสนอหน้ารับคำสั่งที่ไม่มีอำนาจรองรับ เช่น รัฐมนตรีกระทรวงเชยๆกระทรวงหนึ่งสั่งการให้เทศบาลนครเชียงใหม่สร้างพนังกั้นน้ำความยาว ๒๒ กิโลเมตรเพื่อป้องกันน้ำท่วม เป็นต้น  สั่งแล้วก็ทิ้ง สั่งแล้วก็ทิ้ง ส่วนกลางสั่งทัองถิ่น ภูมิภาคสั่งท้องถิ่น ทั้งๆที่ท้องถิ่นเขาก็ทำตามตามปกติของเขาอยู่แล้ว ก็ต้องกลับไปเพิ่มงานในการรายงานตัวเลขให้แก่อำเภอ จังหวัด เพื่อรายงานส่วนกลาง กลายเป็นผลงานของอำเภอ จังหวัดไป ทั้งๆที่แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ท้องถิ่นทำเสียเกือบทั้งหมดแล้ว


ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นปัญหาในทางปฏิบัติ ซึ่งล้วนแล้วมีที่มาจากปัญหาในเชิงโครงสร้างของการบริหารราชการแผ่นดินที่ล้าหลัง แทบจะไม่มีการพัฒนาเลยตั้งแต่การปฏิรูปการปกครองเมื่อครั้ง พ.ศ.๒๔๓๕ ที่แบ่งการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็นราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ที่เราไปลอกเลียนแบบจากฝรั่งเศสมา ทั้งๆที่ฝรั่งเศสนั้นภาคและจังหวัดกลายเป็นราชการส่วนท้องถิ่นไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๕(ค.ศ.๑๙๘๒) แต่ของไทยเรากลับเพิ่มการรวบอำนาจให้ภูมิภาคยิ่งๆขึ้นไปอีกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง คมช.ที่ผ่านมา


เมื่อหันกลับไปดูญี่ปุ่นที่มีพัฒนาการพอๆกับไทยเราเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕  แต่พอหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีการร่างรัฐธรรมนูญและกฎหมายการปกครองท้องถิ่นไม่มีการบริหาราชการส่วนภูมิภาค ญี่ปุ่นกลับเจริญเอาๆ และที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับอุบัติภัยต่างๆ เช่น ภัยสึนามิจนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รั่ว ท้องถิ่นมีอำนาจอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหาโดยไม่มีราชการส่วนภูมิภาคมายุ่มย่ามให้เป็นปัญหาอุปสรรค ญี่ปุ่นก็สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างดีเยี่ยม ขนาดมีรัฐมนตรีปากพล่อยไปถามหาผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมาจากการเลือกตั้งว่าไปไหน ทำไมไม่มาต้อนรับ ทั้งๆที่ผู้ว่ากำลังออกไปทำงานแก้ไขปัญหาให้แก่ชาวบ้าน จนรัฐมนตรีปากพล่อยคนนั้นต้องลาออกไป ซึ่งตรงข้ามกับพี่ไทยเราเห็นแต่รถนำขบวนวิ่งเพ่นพ่านเต็มไปหมด


ที่น่าเศร้าใจก็คือการแก้ไขปัญหาของพี่ไทยเรานอกจากจะมีแต่การประชุมๆๆๆ สั่งการๆๆๆๆๆ และบางจังหวัดยังมีการฉวยโอกาสเสนอขออนุมัติเพิ่มอัตราอาสาสมัครป้องกันภัยฯให้แก่ราชการส่วนภูมิภาคกันแบบเนียนๆอีกด้วย บางจังหวัดก็มีปัญหากันว่าสิ่งของไหนท้องถิ่นจะเป็นผู้ซื้อ สิ่งของอำเภอจังหวัดเป็นผู้ซื้อ บางทีก็แย่งกันซื้อ บางทีก็มองข้ามไปไม่ซื้อเพราะเบิกยาก เบิกไม่ได้ เกรงจะขัดระเบียบ งบฉุกเฉินก็อยู่ไหนไม่รู้เห็นมีแต่ยอดว่าจังหวัดมีอำนาจอนุมัติครั้งละไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท แต่ที่ซื้อๆกันนั้นไม่รู้ว่างบไหนเป็นงบไหน จับต้นชนปลายไม่ถูก ซื้อมาแล้วจะเอาไปแจกก็ต้องดูว่ามีชื่อในทะเบียนบ้านหรือเปล่า ข้าวปลาอาหารกว่าจะแจกได้ บางทีก็เหลืออิเหละเขละขละ บูดเน่าไปก็มี บางทีก็ได้ซ้ำซ้อน ได้แล้วได้อีก


ซึ่งปัญหาเหล่านี้ถ้ามีหน่วยงานกลางซึ่งก็คือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งใกล้ชิดกับชาวบ้านที่สุดเป็น      ผู้จัดสรรแจกจ่ายตามความต้องการและข้อมูลพื้นฐานที่มีอยู่ก็จะสามารถทำได้ทั่วถึงยิ่งกว่าปัจจุบัน และที่สำคัญคือไม่ต้องมัวไปเสียเวลาทำตัวเลขสถิติตามที่จังหวัด อำเภอสั่งการมาให้รวบรวมเพื่อรายงานเอาหน้าอยู่ที่ที่ว่าการหรือศาลากลางเพราะไม่มีพื้นที่ให้ออกปฏิบัติการ เพราะท้องถิ่นเขาอยู่เต็มพื้นที่แล้ว (แต่ไม่มีงบประมาณเพราะถูกรวบเอาไว้ในส่วนกลางและภูมิภาค - ว่ากันว่างบช่วยเหลืออุทกภัยนครศรีธรรมราช ๒ ปีมาแล้วชาวบ้านยังไม่ได้รับการชดเชยเลยเพราะต้องรออนุมัติจากส่วนกลาง)


ปัญหาในด้านโครงสร้างเหล่านี้สามารถได้หากเราสามารถแก้ไขให้ประเทศไทยเรามีแต่เพียงราชการส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่นโดยไม่มีราชการส่วนภูมิภาค ดังเช่นนานาอารยประเทศทั้งหลาย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อังกฤษ(ซึ่งเราไปลอกรูปแบบการปกครองแบบรัฐสภามา ก็ไม่เคยมีราชการส่วนภูมิภาคเลยตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบัน) สหรัฐอเมริกา เยอรมัน ฯลฯ น้ำท่วมใหญ่คราวนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เชียงใหม่ที่ทำความพินาศให้แก่เศรษฐกิจเมืองเชียงใหม่เป็นพันๆล้านก็ได้พิสูจน์ถึงความล้มเหลวของการจัดระเบียบริหารราชการส่วนภูมิภาคที่เทอะทะ งุ่มง่าม และล้าหลัง ถึงเวลาแล้วที่เชียงใหม่และจังหวัดอื่นๆจะก้าวพ้นจากการบริหารราชการจากใครก็ไม่รู้ ที่ทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี ว่าคนท้องถิ่นเขาต้องการอย่างนั้นไม่ต้องการอย่างนี้


ร่าง พรบ.ระเบียบบริหารราชการเชียงใหม่มหานคร พ.ศ.(๒๕๕๕)ที่ยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคทั้งจังหวัดเหลือเพียงราชการส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่น กำลังรอการรณรงค์เพื่อเสนอชื่อโดยประชาชนเพื่อนำร่องจังหวัดอื่นๆอีก ๔๕ จังหวัดที่พร้อมจะดำเนินการตามรอยของเชียงใหม่จะเป็นบทพิสูจน์ว่าคนท้องถิ่นย่อมรู้ปัญหาของท้องถิ่นดีที่สุดและแน่นอนว่าย่อมสามารถแก้ปัญหาของท้องถิ่นได้ดีที่สุดเช่นกัน

 

------------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๔
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สัมภาษณ์ ‘ธิวาภรณ์ พะคะ’ เราจะสู้เพื่อชุมชนจนกว่าชีวิตจะหาไม่!

Posted: 05 Oct 2011 05:50 AM PDT

บทสัมภาษณ์ผู้หญิงตัวเล็กๆ ของชุมชนที่มีข่าวว่าเขาจะมาสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำปิง ซึ่่งทำให้ชุมชนที่เคยสุข สงบ สันติต้องเปลี่ยนไปกลายเป็นชุมชนที่ต้องขัดแย้ง หวาดระแวง จนต้องตั้งป้อมจัดเวรยามปกป้องแผ่นดินถิ่นเกิดของตนอยู่ทุกวันคืนในขณะนี้

‘ธิวาภรณ์ พะคะ’ เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งของชุมชนหมู่บ้านโป่งอาง ชุมชนที่มีข่าวว่าเขาจะมาสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำปิง ภายใต้ชื่อ ‘โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ปิงตอนบน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่’ ของกรมชลประทาน ซึ่งเธอบอกว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการของรัฐที่เข้ามาแล้วทำให้ชุมชนที่เคยสุข สงบ สันติต้องเปลี่ยนไปกลายเป็นชุมชนที่ต้องขัดแย้ง ระหวาดระแวง จนต้องตั้งป้อมจัดเวรยามปกป้องแผ่นดินถิ่นเกิดของตนอยู่ทุกวันคืนในขณะนี้

คุณเป็นคนเกิดและเติบโตที่โป่งอางเลยใช่ไหม--สภาพชีวิตความเป็นอยู่แต่ก่อนนั้นเป็นยังไงบ้าง?

ใช่ค่ะ ดิฉันเกิดและเติบโตที่หมู่บ้านโป่งอางแห่งนี้ ถ้าพูดถึงสภาพโดยรวมหมู่บ้านโป่งอางเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ชาวบ้านอยู่กันแบบพี่แบบน้อง มีความรักสมานฉันท์ มีความสามัคคี อยู่ร่วมกันอย่างสันติ และนอกจากนี้หมู่บ้านโป่งอางยังมีความอุดมสมบูรณ์เกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะัเป็นด้าน วัฒนธรรม ประเพณี ความเืชื่อ ชาวบ้านได้ถือปฏิบัติตามวัฒนธรรมและประเพณีของหมู่บ้านมาโดยตลอด ทั้งทางด้านศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ ถึงแม้จะมีความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่เราชาวหมู่บ้านโป่งอางก็อยู่กันอย่างสงบสุข

และนอกจากนี้หมู่บ้านโป่งอางถือว่าเป็นหมู่บ้านที่มีความอุดมสมบูรณ์อย่างมากในด้านของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ถ้าเทียบแล้วทั้งตำบลเมืองนะ หมู่บ้านโป่งอางถือว่าอุดมสมบูรณ์ที่สุดแล้ว มีทั้งทรัพยากรทางน้ำและทางบก ซึ่งทรัพยากรเหล่านี้ถือว่าเป็นแหล่งหากินของชาวบ้าน หรือตลาดของชาวบ้านก็ว่าได้ แต่ ณ ปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้กำลังเริ่มจะเลื่อนลาง และจางหายไปจากพี่น้องหมู่บ้านโป่งอางแล้ว และอาจจะกลายเป็นอดีตหรือเป็นเพียงความทรงจำเท่านั้น สาเหตุก็มาจากโครงอ่างเก็บน้ำแม่ปิงตอนบนนี้แหละ

แล้วคุณมองว่าชุมชนโป่งอางเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เมื่อไร?

ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2554 พี่น้องหมู่บ้านโป่งอางเริ่มมีความแตกแยกขึ้น เมื่อทราบข่าวว่ามีทีมเข้ามาทำการศึกษาความเหมาะสมและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ภายใต้โครงการอ่าง (เขื่อน) เก็บน้ำแม่ปิงตอนบน ทำให้ชาวบ้านมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วยเลยกับโครงการนี้ และอีกกลุ่มหนึ่งยังไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริงและยังสบสนอยู่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่

แล้วทำไมชาวบ้านถึงต้องลุกขึ้นมาคัดค้านไม่เอาเขื่อน ไม่เอาโครงการนี้?

สาเหตุที่ชาวบ้านโป่งอางได้ลุกขึ้นมาคัดค้าน ก็เพราะว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่มาก ทำให้ชาวบ้านวิตกกังวลถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในอนาคต ว่าจะอยู่กันอย่างไร ถ้าเกิดว่าโครงการนี้สำเร็จ เพราะจุดสร้างเขื่อนแห่งนี้อยู่ห่างจากหมู่บ้าน เพียงแค่ 1 กิโลเดียวเท่านั้น ถึงยังไงชาวบ้านหมู่บ้านโป่งอางต้องได้รับผลกระทบอย่่างแน่นอน เพราะไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าชาวบ้านจะไม่ได้รับผลกระทบ และถ้าโครงการนี้สำเร็จชาวบ้านต้องได้ย้ายถิ่นฐานอย่างแน่นอน

ทำไมถึงเชื่อว่าชาวบ้านจะได้รับผลกระทบเช่นนั้น?

ก็เพราะชาวบ้านได้ทราบและเจอจากประสบการณ์มาหลายๆ พื้นที่ที่มีการสร้างเขื่อน

คุณมีความเห็นอย่างไร ที่ทางกรมชลฯ-ทีมศึกษาฯ เพิ่งออกโต้แย้งความเห็นคัดค้านของชาวบ้านผ่านเวบไซต์กรมชลประทานในขณะนี้ 

ที่ผ่านมาการคัดค้านโครงการนี้อาจจะไม่มีการรับทราบอย่างทั่วถึง แต่หลังจากเรื่องนี้ได้ถูกเผยแพร่และโด่งดังไปทั่ว เกี่ยวกับที่มาของโครงการนี้อย่างไม่โปร่งใส จึงทำให้กรมชลฯและทีมศึกษาต้องออกมาแก้ตัว และชี้แจง เพื่อปกป้องตัวเองและำหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหลังจากที่ชาวบ้านได้อ่านคำชี้แจงดังกล่าวแล้ว ซึ่งเป็นคำชี้แจงที่เห็นแก่ตัวมาก คำชี้แจงไม่ได้เป็นจริงอย่างที่กล่าวมาเลย บางประเด็นตรงกันข้ามกับคำที่กล่่าวมาด้วยซ้ำ

ยิ่งกรมชลประทานและทีมศึกษาออกมาชี้แจงอย่างเห็นแก่ตัวแบบนี้แล้ว ยิ่งทำให้ชาวบ้านเห็นท่าทีที่แท้จริงของทีมศึกษาอย่างชัดเจนและัไม่ไว้ใจในโครงการนี้มากขึ้น เช่น ในประเด็นคำชี้แจงในคำถามที่ว่า กระบวนการมีส่วนร่วมและการตัดสินใจไม่ได้เกิดขึ้นจากคนในชุมชนอย่างแท้จริง เพราะคนในชุมชนที่อยู่ในพื้นที่โครงการสร้างเขื่อน ซึ่งจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่มีการดึงเอาหน่วยงานราชการ ชุมชนนอกพื้นที่ มาเข้าร่วมกิจกรรมการศึกษาโครงการเป็นหลัก ทีมศึกษาได้ชี้แจงว่า ได้มีการจัดให้มีการประชุมปรึกษาหารือในลักษณะ Focus Group ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน ได้เชิญผู้นำชุมชนและคนในชุมชนเข้าร่วมประชุมในแต่ละครั้ง ทั้งนี้ ชาวบ้้านโป่งอางมีประชากรรวมทั้งหมด จำนวน 546 คน แต่ได้มีการเชิญผู้เข้าร่วมประชุมเพียงแค่ 13 คน เท่านั้น ผู้เข้าร่วมเพียงแค่ 13 คน ไม่ถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้คนในชุมชนได้มีส่วนร่วมและตัดสินใจได้อย่างเพียงพอต่อจำนวนประชากรทั้งหมดที่มีอยู่ ในการตัดสินใจอย่างแท้จริง

และในประเด็นที่กล่าวว่า มีชาวบ้านได้สมัครเข้าร่วมเป็นอาสาท้องถิ่น ในการสำรวจในด้านแหล่งท่องเที่ยว สัตว์ป่า ป่าไม้ คุณภาพน้ำ นิเวศทางน้ำ การประมง เป็นต้น และที่ได้ชี้แจงว่ามีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างอาสาท้องถิ่นและผู้เชี่ยวชาญนั้น เมื่อได้มีการซักถามชาวบ้านที่เป็นอาสาสมัครท้องถิ่น ได้กล่าวว่า ไม่มีการกล่าวถึงที่มาของศึกษานี้เลยว่าเข้ามาศึกษาเพื่ออะไร และมีวัตถุประสงค์อะไรในการเข้ามาศึกษาเรื่องต่าง ๆดังที่กล่าวข้างต้นเลย

อยากถามว่าอาสาสมัครจำนวน 8 คนที่กล่าวมานั้น ได้รวมถึงเด็กอายุประมาณ 13 ขวบด้วยหรือไม่ ซึ่งถ้ารวมถึงเด็กเหล่านี้แล้ว เด็กเหล่านี้ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย มีบางคนได้กล่าวว่าได้กรอกใบสมัครเป็นอาสาสมัครอยู่แต่ไม่รู้ว่าเป็นใบอาสาสมัครอะไร และยังมีบางคนกล่าวว่ามีผู้มาว่าจ้างให้นำทางไปศึกษาธรรมชาติเท่านั้น และได้ค่าตอบแทนที่เยอะด้วย เด็กได้รับค่าตอบแทนคนละ 200 บาท ผู้ใหญ่ได้รับค่าตอบแทนตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป จากที่กล่าวมาทั้งหมดชาวบ้านไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างที่ท่านได้ชี้แจงมาเลย เพราะอาสาสมัครที่ท่านว่าเป็นอาสาสมัครนั้นไม่ได้เกิดจากความสมัครใจที่แท้จริงแต่ประการใด

มาถึงตอนนี้ ชาวบ้านและชุมชนมีความตื่นตัวและได้รับประสบการณ์ในการเคลื่อนไหวต่อสู้อย่างไรบ้าง ?

ตอนนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ได้รับข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับโครงการนี้เพิ่มมากขึ้นและเห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ชาวบ้านต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น และเฝ้าดูอยู่ตลอด จากทีมศึกษาของโครงการนี้

ที่ผ่านมาตั้งแต่ชาวบ้านตื่นตัว ก็ทำให้ชาวบ้านได้รับประสบการณ์จากการมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เช่น การเดินทางไปยื่นหนังสือให้แก่หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง การร่วมตัวกันเพื่อเรียกร้องถึงสิทธิชุมชน การชุมนุมเพื่อคัดค้านเวทีการประชุมของทีมศึกษาและกรมชลฯ การเเลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการสร้างเขื่อนของพี่น้องฮอด เป็นต้น ซึ่งประสบการณ์การที่ชาวบ้านได้รับในครั้งนี้จะอยู่ในความทรงจำของพี่น้องบ้านโป่งอางตลอดไปตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ และพี่น้องชาวบ้านโป่งอางจะขอยืนยันและขอแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะต่อสู้ต่อไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่!!

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"กลวง" บทวิพากษ์ตรรกะ23นักวิชาการกรณีนิติราษฎร์

Posted: 05 Oct 2011 05:10 AM PDT

หลังจากหน่วยกล้าตายทางวิชาการผู้เรียกขานตนเองว่า "กลุ่มนิติราษฎร์" ซึ่งประกอบไปด้วยอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จำนวนไม่กี่คน (ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ยอมรับมาเสมอว่า พวกตนนั้นเป็นเพียงเสียงข้างน้อย ไม่เคยกล่าวว่า การกระทำของกลุ่มตนนั้น ได้กระทำไปในนาม คณะนิติศาสตร์ มธ. แม้แต่ครั้งเดียว) ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในแวดวงวิชาการกฎหมายของไทย ที่ยังส่งผลสะเทือนอย่างรุนแรงต่อสังคมในวงกว้าง ได้รับการตอบรับจากสังคมหลายภาคส่วนเป็นอย่างมากในแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งจากฝากประชาชนผู้นิยมการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่ประสงค์จะมีสิทธิมีเสียงในประเทศ และจากชนชั้นนำผู้นิยมอำนาจเก่าที่กดขี่ในอีกฝ่าย
จากชื่อที่เคยเป็นเพียงที่รู้จักกันในหมู่ "คนเสื้อแดง"

บัดนี้ "กลุ่มนิติราษฎร์" กลับกลายเป็นที่น่าหวาดหวั่นครั่นคร้ามของเหล่าอำมาตย์ และสาวก ผู้นิยม "อำมาตยาธิปไตย" ขึ้นมาอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้ ปรากฏจากการออกมาตอบโต้ของทั้ง ทหาร, นักการเมืองขี้แพ้, สมุนรับใช้เผด็จการทหาร และนักวิชาการที่ไร้หลักวิชาการ ตามหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน ให้ประชาชนได้เห็นธาตุแท้ที่ฝังลึกอยู่ในภาพพจน์ของคนดี ที่เคยสร้างสมมานานจนหมดสิ้น

ในบรรดากลุ่มที่ออกมาต่อต้านข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์เหล่านี้ แทบทั้งหมด ไม่สามารถโต้แย้งด้วยเหตุผลตามหลักวิชาการทางกฎหมายที่กลุ่มนิติราษฎร์เสนอมาได้เลย มีบ้างที่ตอบโต้ไปในประเด็นข้อกฎหมาย แต่ถึงกระนั้น ก็ยังน่าผิดหวัง ส่วนมากไม่ได้ให้เหตุผลใดๆ ในทางหลักการมาสนับสนุน เป็นเพียงแค่การใช้ถ้อยคำสำนวนบรรยาย "ความเลว" ของนักการเมือง (ที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้มาดำรงตำแหน่ง) และกล่าวสรรเสริญ "ความดี" (?) ของเผด็จการรัฐประหาร (ที่ไม่มีเสียงประชาชนสนับสนุน และไม่มีอารยประเทศใดยอมรับว่า เป็น "ทางเลือก" ในระบอบประชาธิปไตย) 

โดยพร้อมกันนี้ พวกเขาก็ได้พยายามป้ายสีกลุ่มนิติราษฎร์ด้วยข้อกล่าวหาสุดคลาสสิค คือ รับงานแม้ว, ต้องการช่วยคนคนเดียว และ/หรือ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคนคนเดียว โดยกลุ่มผู้ต่อต้านเหล่านี้ กลับไม่ละอายแก่ใจพอที่จะตั้งคำถามกับตนเองเลยว่า การนำรัฐธรรมนูญที่ถูกโค่นล้มอย่างไม่ชอบธรรมกลับมาใช้นั้น เรียกว่า "ช่วยคนคนเดียว" ได้อย่างไร? และ/หรือ การยอมรับผู้นำที่ประชาชนส่วนใหญ่ไว้วางใจเลือกเข้ามาให้ได้ดำรงตำแหน่ง หรือ การยอมรับผลการเลือกตั้ง นั้น "เรียกว่า "เพื่อผลประโยชน์ของคนคนเดียว" ตรงไหน? นักวิชาการที่ไร้หลักวิชาการเหล่านี้ กลับปล่อยให้ภยาคติแห่ง "ปีศาจทักษิณ" (ที่ตนเองและพวกพ้องได้เคยช่วยกันวาดภาพไว้หลอกหลอนมอมเมาตนเองนั่นแหละ) ครอบงำหลักวิชาการที่ได้ศึกษาร่ำเรียนมา (ซึ่งส่วนหนึ่งของทุนการศึกษาของนักวิชาการไร้หลักเหล่านี้ ก็มาจากเงินภาษีของ "ประชาชน" เจ้าของอำนาจอธิปไตย ที่พวกเขาไปสร้างความชอบธรรมให้กับการแย่งชิงอำนาจมาโดยเผด็จการทหารนั่นแหละ) เสียจนคุณค่าและราคาความเป็น "นักวิชาการ" ของพวกเขาเหล่านั้นหายไปจนสิ้นซาก

ในกระแสกลุ่มผู้ต่อต้านนิติราษฎร์ทั้งหลายเหล่านี้ ที่น่าผิดหวังที่สุดเห็นจะเป็น "แถลงการณ์ของคณาจารย์นิติศาสตร์" (ลงชื่อโดยอาจารย์ สาขาวิชากฎหมาย จำนวน 23 คน) เพราะ "กลวง" ตั้งแต่ต้นจนจบ หาได้มีหลักวิชาการใดๆ ทางกฎหมายที่อารยประเทศใดยอมรับ มาอ้างอิงสนับสนุนข้อเสนอของพวกตนแต่อย่างใด จนเป็นที่น่าสงสัยว่า ประชาชนจะเสียภาษีไปเป็นทุนการศึกษาให้พวกเขาเหล่านี้กันทำไม? หลายๆ ประเทศที่พวกเขาเหล่านั้นได้ไปใช้ชีวิตศึกษามาเป็นประเทศที่ "สิทธิและเสรีภาพของประชาชน" ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญเหนือสิ่งอื่นใด แต่ภายหลังจากพวกเขาเหล่านี้ ได้สำเร็จการศึกษากลับมาประเทศไทยแล้ว กลับหาได้มี "กระบวนทัศน์" ที่จะคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในประเทศไทย ให้ได้ดุจเดียวกับนานาอารยประเทศเหล่านั้นเลย

สังเกตได้จากแนวความคิดที่ปรากฏในแถลงการณ์ฉบับนี้ ที่ชูธง "ปฏิเสธเสียงเลือกตั้งของประชาชน ยอมรับผลแห่งการรัฐประหาร" ไม่ต่างจากความคิดโบร่ำโบราณคร่ำครึของ ผู้นิยม "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" ก่อน "การปฏิวัติการปกครอง 24 มิถุนายน 2475" อย่างไม่มีผิดเพี้ยน ดังนั้น จึงเป็นที่น่าสนใจอย่างมากว่า ในต่างประเทศที่อาจารย์นิติศาสตร์เหล่านี้ได้ไปศึกษามา มีประเทศไหนเขาได้สั่งสอนให้มีความคิดเช่นนั้น

1. ความ "กลวง" มาแต่เริ่ม

ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาหรือสิ่งที่คณาจารย์เหล่านี้กล่าวอ้างว่าเป็น "หลักกฎหมาย" ใดๆ ความ "กลวง" ก็ได้ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนจากการนำ "รัฐประหาร 19 กันยายน 2549" ไปเปรียบเทียบกับ "การปฏิวัติการปกครอง 24 มิถุนายน 2475"
ไม่รู้ว่าคณาจารย์เหล่านี้แยกแยะความแตกต่างระหว่าง "ปฏิวัติ" กับ "รัฐประหาร" ได้หรือไม่? หรือว่าในต่างประเทศที่พวกเขาได้ไปศึกษามานั้น ไม่เคยสั่งสอนเรื่องแบบนี้ไว้ในหลักสูตร จึงทำให้คณาจารย์เหล่านี้ แสดงออกมาซึ่ง "ความไร้เดียงสา" เช่นนี้?

สำหรับนักกฎหมายส่วนใหญ่ คงไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายให้มากความนักถึงความแตกต่างระหว่าง "ปฏิวัติ" กับ "รัฐประหาร" กันอย่างละเอียดนัก เป็นที่รับรู้และเข้าใจกันดีว่า ในการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองด้วยการปฏิวัตินั้น การทำรัฐประหารโค่นอำนาจรัฏฐาธิปัตย์เดิม ก็มีความจำเป็น เช่น ปฏิวัติฝรั่งเศสใน ปี ค.ศ. 1789 แต่เพราะอะไรที่คนฝรั่งเศสถึงไม่มองว่า "รัฐประหาร" (เพื่อปฏิวัติการปกครอง) ครั้งดังกล่าว เป็นเรื่องเลวร้าย?

คำตอบนั้นทั้งง่ายและไม่ซับซ้อน กล่าวคือ จากที่ประชาชนต้องถูกกดขี่ เป็นเพียงผู้อยู่ภายใต้อำนาจปกครอง ไม่เคยมีสิทธิมีเสียงใดๆ ในประเทศ แต่การทำรัฐประหารนั้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทำให้ประชาชนมีสิทธิมีเสียง มีความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย ไม่ต้องเป็นเพียง "วัตถุ" แห่งอำนาจปกครองที่ไม่เป็นธรรมอีกต่อไป

สิ่งที่ทำให้น่าสมเพชและผิดหวังมากขึ้นไปอีกก็คือ มีบางคนในกลุ่มคณาจารย์นี้ ยังเคย"พ่น"คำขวัญอย่าง "Liberté, égalité, fraternité" มาให้นักศึกษาในคลาสที่ตนเคยบรรยายได้ฟังเสียด้วยซ้ำ หากคณาจารย์เหล่านี้ จะมีความเข้าใจซักเพียงเล็กน้อยถึง "จิตวิญญาณ" ของคำขวัญในการปฏิวัติฝรั่งเศสดังกล่าวอยู่บ้าง ย่อมไม่มีทางนำ "รัฐประหาร 19 กันยายน 2549" ไปเปรียบเทียบกับ "การปฏิวัติการปกครอง 24 มิถุนายน 2475" อย่างแน่นอน

น่าเสียดายที่ความ "กลวง" ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ ในเนื้อหาท่อนต่อไปของแถลงการณ์ คณาจารย์เหล่านี้ก็ยังแสดงการให้เหตุผลวิบัติ ที่เรียกว่า "post hoc ergo propter hoc" ออกมาเพื่อ discredit ข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ ให้เป็นที่ขำขันของบรรดาผู้นิยมการคิดอะไรอย่างมีตรรกะอีกครั้งหนึ่ง "post hoc ergo propter hoc" คือ การกล่าวอ้างว่า สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาภายหลัง เป็นผลมาจากอีกสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นมาก่อน เพียงเพราะว่า มันเกิดขึ้นทีหลัง โดยไม่สามารถให้เหตุผลอธิบายความเชื่อมโยง และความสัมพันธ์กันระหว่าง “เหตุ” และ “ผล” ของสองสิ่งที่ตนกล่าวอ้างได้ โดยในครั้งนี้ คณาจารย์เหล่านี้ ได้กล่าวเหมาเอาเสียว่า “การเลือกตั้ง” จำนวนสองครั้ง หลัง “รัฐประหาร 19 กันยายน 2549” (ครั้งเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2550 และล่าสุด 3 กรกฎาคม 2554) เป็น “ผลพวง” ของการทำรัฐประหารครั้งนั้นไปด้วย 
ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่า หลายๆ คนนี้มีตำแหน่งทางวิชาการเป็นถึงระดับ “ศาสตราจารย์” หลายๆ คนสำเร็จการศึกษาปริญญาเอกทางกฎหมาย (นิติศาสตรดุษฎีบัณฑิต) จากต่างประเทศ แต่กลับยังมีความสามารถในการให้เหตุผลที่ “กลวง” ไม่ต่างอะไรไปจากเด็กทารก เช่นนี้

นี่คือ "post hoc ergo propter hoc" เลย! ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เลยจริงๆ เพียงเพราะการเลือกตั้งสองครั้งนี้ “เกิดขึ้นภายหลัง” จากรัฐประหาร คณาจารย์เหล่านี้ก็พร้อมที่จะเหมาเอาว่า การเลือกตั้งทั้งสองครั้งนี้ เป็น “ผลพวง” จากการทำรัฐประหารดังกล่าวไปได้ โดยไม่ต้องอธิบายอะไรที่มีเหตุผลมาประกอบมากไปกว่านั้น คนทั่วไป หากยังมีสติสัมปชัญญะปกติอยู่ ย่อมทราบดีว่า ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น ถึงอย่างไร การเลือกตั้งก็ยังคง เป็น “สิ่งจำเป็น” ที่ไม่อาจปฏิเสธได้อย่างเด็ดขาด ไม่ช้าก็เร็ว ต้องการเลือกตั้งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และการเลือกตั้งครั้งหลังที่ตามมานั้น ย่อมไม่อาจถูกเหมาเอาว่าเป็น “ผลพวง” มาจากการล้มการเลือกตั้งครั้งก่อนได้

ตัวอย่างเปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือน เด็กชาย ก. มีอมยิ้มอยู่อันนึง เด็กชาย ข. โตกว่า กำลังมากกว่า แย่งอมยิ้มไปจากเด็กชาย ก. เสียอย่างนั้น ภายหลังจากนั้น เด็กชาย ข. เริ่มรู้สึกกระดากใจขึ้นมา หลังจากอมไปแล้วเกือบๆ ครึ่งอัน จึงยอมส่งมอบอมยิ้มคืนใก้เด็กชาย ก. เด็กชาย ก. ก็รับไปอมต่อ คิดในใจว่า “ก็ยังดีวะ ดีกว่าไม่มีอมเลย” เมื่อเหตุการณืเป็นเช่นนี้แล้ว มีใครสติดีๆ จะกล่าวกันหรือไม่ว่า ที่ เด็กชาย ก. มีอมยิ้มมาอมเล่นนี้ เป็น “ผลพวง” โดยตรงจากการที่ถูกเด็กชาย ข. แย่งอมยิ้มไปก่อน? นั่นคือการให้เหตุผลว่า หากเด็กชาย ข. ไม่แย่งอมยิ้มเด็กชาย ก. แล้ว เด็กชาย ก. จะไม่มีอมยิ้มอม การที่เด็กชาย ก. ได้อมอมยิ้ม เพราะมีเด็กชาย ข. มาแย่งอมยิ้มไปจากมือ!!!

นั่นคือการให้เหตุผลว่า ที่ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งนั้น เป็นเพราะมีทหารมาทำรัฐประหารโค่นทักษิณออกจากอำนาจ หากปล่อยไว้ให้ทักษิณเป็นนายกฯ อยู่ต่อไป ประชาชนจะไม่มีสิทธิเลือกตั้ง!!! ตรรกะช่างบรรเจิดเสียนี่กระไร? คนระดับ ศาสตราจารย์ และ ดร. ดาหน้ามาลงชื่อให้การสนับสนุนกันเป็นทิวแถวเลยทีเดียว

ไม่ต้องเป็นถึงระดับ ศาสตราจารย์ หรือ ดร. อะไรกันหรอก แม้แต่นักศึกษากฎหมายที่ได้เคยศึกษาทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติมาเพียงผิวเผิน ก็ยังทราบดีว่า สิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคลนั้น มีมาก่อนกฎหมายใดๆ แต่การสถาปนาอำนาจรัฐนั้นเป็นเรื่องสมมติ ไม่ได้มีอยู่จริงตามธรรมชาติ (ไม่เหมือนชีวิตของมนุษย์ที่มีจริง) และเกิดขึ้นมาภายหลัง ดังนั้น เพื่อเป็นการรับประกันสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล รัฐจึงจำต้องรับประกันสิทธิและเสรีภาพตามธรรมชาติของปัจเจกบุคคลไว้ในกฎหมายสูงสุดของรัฐ ที่เรียกว่า “กฎหมายรัฐธรรมนูญ” และสิทธิในการเลือกตั้งนั้น ก็คือสิทธิขั้นพื้นฐานที่สุดอย่างหนึ่งของปัจเจกบุคคล เรียกว่า “สิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตตนเอง” (right to self-determination) ซึ่งปัจเจกบุคคลทุกคนมีสิทธินี้มาโดยกำเนิด หาได้ถูกสถาปนาขึ้นโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด แต่ดังที่ปรากฏในแถลงการณ์นี้

คนระดับศาสตราจารย์ และ ดร. ทางกฎหมายหลายๆ กลับทำเป็นไม่รู้เรื่องพื้นฐานทางทฤษฎีกฎหมายเช่นนี้ เหล่าคณาจารย์นี้กำลังพยายามเสนอทฤษฎีลวงโลกว่า “การเลือกตั้ง” นั้นมีขึ้นได้เพราะ เป็น “ผลพวง” โดยตรงจากการทำรัฐประหารและการสถาปนา “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550” หาได้เป็นสิทธิอันชอบธรรมของปัจเจกบุคคลที่มีมาก่อนตามธรรมชาติ

........ช่างไร้ยางอายเสียนี่กระไร!!...

ทั้งหมดที่คณาจารย์เหล่านี้ได้เสนอมาในตอนต้นของแถลงการณ์ฉบับนี้ จึงเป็นเพียงการแสดงออกมาซึ่ง “ความจนปัญญา” ของตนเอง มีแค่เพียง “ความต้องการ” discredit ข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ โดยปราศจากหลักวิชาการและเหตุผลใดๆ มารองรับอย่างสิ้นเชิง

2. หลัก “กลวง” ทางจริยธรรมของนักวิชากลวง

เมื่อมาสู่ใน “เนื้อหา” ข้อแรกของแถลงการณ์ฉบับนี้ เหล่าคณาจารย์ก็ยังคงรักษาความกลวงไว้ได้เป็นอย่างดีและสม่ำเสมอ เพราะเมื่อหลังจากได้อ่านเนื้อหาทั้งหมดดังกล่าวแล้ว ผู้อ่านจะไม่พบเห็นว่าคณาจารย์เหล่านี้ได้อ้างอิงหลักวิชาการใดๆ ไปแย้ง และ/หรือ หักล้าง ข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ได้เลย แม้แต่น้อย มีแต่เพียงการพร่ำพรรณาด้วยโวหารอันวิจิตร กล่าวอ้างไปถึง สิ่งที่พวกเขาเรียกมันว่า “จริยธรรม” ราวกับว่า พวกเขานี้มีสิ่งนั้นมากมายเสียเต็มประดา ซึ่งผู้อ่านที่ได้อ่านแล้วก็ต้อง “งง” เพราะไม่รู้ว่า แถลงการณ์ข้อนี้ของเหล่าคณาจารย์เกี่ยวกับข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ตรงไหน จะบอกว่า กลุ่มนิติราษฎร์นั้น ขาดไร้ในสิ่งที่พวกเขาเรียกมันว่า “จริยธรรม” รึ? ก็ไม่!

จึงเป็นที่น่าสนใจว่า ไม่รู้จะอ้างมายืดยาวเพ้อเจ้อนี่ทำไม เพราะมันไม่ได้มีประเด็นอะไรเกี่ยวกับข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ซักอย่างเลย ซึ่งยังจะดีเสียกว่า หากคณาจารย์เหล่านี้จะมี “ความกล้าหาญ” พอที่จะโต้แย้งข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ โดยกล่าวมาตรงๆ เลยว่า กลุ่มนิติราษฎร์นี้ “ขาดไร้” ในสิ่งที่พวกเขานิยามมันว่า “จริยธรรมทางวิชาการ” อย่างไร เพื่อที่กลุ่มนิติราษฎร์จะได้สามารถตอบในประเด็นข้อกล่าวหาดังกล่าวได้โดยตรง แต่นี่ก็กลับ “ไม่กล้า” มีเพียงแค่คำพร่ำเพ้อยืดยาว และตบท้ายๆ แบบอ้อมๆ แอ้มๆ อ้างเรื่อง “ประโยชน์แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง” มาซะหน่อย ให้ยังพอดูได้ เพราะใครๆ เขาก็พูดกันแต่ประเด็นนี้

ทีนี้ประชาชนก็เลยได้เห็นเลยว่า ความเห็นของ นักวิชาการใหญ่ ระดับ ศาสตราจารย์ และ/หรือ ด็อกเตอร์ ก็"กลวง"ไม่ได้ต่างจาก “นักการเมือง” ที่ได้รับการตราหน้าจากสังคมโดยอัตโนมัติสักเท่าไหร่ เพราะว่า ก่อนหน้านี้ก็มีนักการเมืองขี้แพ้มาให้สัมภาษณ์กลวงๆ แบบนี้ (ประเด็น “ช่วยคนคนเดียว” นี่แหละ) ตอบโต้กลุ่มนิติราษฎร์ไปแล้ว

หากคณาจารย์กลุ่มนี้ “ยังพอจะมี” ความกล้าหาญหลงเหลืออยู่บ้าง เพื่อให้ประชาชนได้เห็น “ความคุ้มค่า” ในเงินภาษีที่พวกเขาได้ช่วยอุดหนุนทุนการศึกษาคณาจารย์กลุ่มนี้ หากคณาจารย์เหล่านี้เชื่อจริงๆ ว่า ข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์นั้น ไม่ถูกต้อง หรือเชื่อว่า มีบางกรณีที่การทำรัฐประหารนั้นชอบธรรม และยอมรับได้ ก็น่าจะเสนอ “บรรทัดฐานใหม่ทางวิชาการ” มาในแถลงการณ์ให้ชัดเจนไปเสียเลยว่า “การต่อต้านการทำรัฐประหารของอำนาจเผด็จการ เพื่อเรียกร้องระบอบประชาธิปไตยนั้น เรียกว่า การปกป้องผลประโยชน์ของคนคนเดียว” เพื่อที่ต่อไปจะได้ไม่มีนักวิชาการหน้าไหน มาเสนอให้ต่อต้านการทำรัฐประหารกันอีก ประเทศไทยจะได้มีการทำรัฐประหารสลับกับการเลือกตั้งกันบ่อยๆ อย่างที่คณาจารย์เหล่านี้ยอมรับได้

แต่ทั้งหมดในข้อนี้ก็ไม่ได้เสนอไว้เช่นนั้น และก็ไม่ได้โต้แย้งข้อเสนอใดๆ ของกลุ่มนิติราษฎร์เลยแม้แต่น้อย
นี่กระมังที่เรียกว่า “เสรีภาพทางวิชาการ”? นั่นก็คือ “เสรีภาพ” ของคนที่มีตำแหน่งเป็น “นักวิชาการ” ในการที่จะพ่นพูดสิ่งใดก็ได้ ที่ “ไม่มี” หลักวิชาการ แต่เอามากล่าวอ้างลอยๆ ได้ราวกับว่า มันนั้น “เป็น” หลักวิชาการ เพียงเพราะผู้กล่าวมีตำแหน่งเป็น “นักวิชาการ”

3. หลักนิติธรรม

แม้จะมาถึงในข้อสองของแถลงการณ์แล้ว เหล่าคณาจารย์ทั้ง 23 คนนี้ก็หาได้มี “เนื้อหาสาระ” ในทางวิชาการใดๆ มาโต้แย้งข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ได้ ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น คำเพ้อเจ้อในข้อสองของแถลงการณ์นี้ กลับยิ่งแสดงออกถึงความไร้ยางอายของคณาจารย์กลุ่มนี้ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน

คำพล่ามเพ้อเจ้อถึง การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในหัวข้อนี้มันช่าง “กลวง” เหลือเกิน เพราะเหล่าคณาจารย์นี้ไม่สามารถให้อรรถาธิบายได้ว่า ข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ที่คณาจารย์กลุ่มนี้ไม่เห็นด้วยนั้น มันลิดรอนสิทธิเหล่านั้นอย่างไร และการรัฐประหารที่คณาจารย์กลุ่มนี้พยายามปกป้องอยู่นั้น มันคุ้มครองสิทธิเหล่านั้นอย่างไร
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่นานในแถลงการณ์ เหล่าคณาจารย์ยังมีหน้าไปอ้างว่า การเลือกตั้งทั้งสองครั้งล่าสุดเป็น “ผลพวง” ของการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 อยู่เลย พอมาตอนนี้ กลับกล่าวอ้างเรื่องสิทธิและเสรีภาพของประชาชนราวกับว่าคณาจารย์กลุ่มนี้สนใจมันเสียเต็มประดา ใครอ่านแล้วก็คงอดสมเพชในความไร้ยางอายนี้ไม่ได้

4. หลักประชาธิปไตย

มาถึงข้อสุดท้ายของแถลงการณ์นี้ คณาจารย์กลุ่มนี้ก็ยังไม่ได้แสดงภูมิปัญญาหรือคุณค่าทางวิชาการใดๆ ให้ปรากฏ เพราะนอกจากที่ไม่ได้โต้แย้งประเด็นใดๆ ที่กลุ่มนิติราษฎร์ได้เสนอไป ด้วยเหตุด้วยผลได้แล้ว คณาจารย์กลุ่มนี้ยังได้ “ผลิตซ้ำ” วาทกรรม “เผด็จการรัฐสภา” หรือแนวความคิด “แอนตี้นักเลือกตั้ง” มาหลอกลวงประชาชนอีกคำรบหนึ่ง
ไม่มีประเทศใดๆ ในโลก ที่ยอมรับให้การทำรัฐประหาร เป็น “ทางเลือก” ในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีประเทศใดในโลก ที่ยอมรับให้ “กบฎ” เป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมายหากมีการทุจริต คอร์รัปชัน และที่สำคัญคณาจารย์กลุ่มนี้ก็ไม่สามารถอภิปรายได้ว่า สิ่งที่พวกตนเรียกว่า “เผด็จการรัฐสภา” นั้น มันเลวร้ายกว่า “การรัฐประหาร” ที่พวกตนกำลังปกป้องอยู่อย่างไร

ท้ายที่สุด “เผด็จการรัฐสภา” ที่คณาจารย์กลุ่มนี้ได้เสนอมา ก็เป็นเพียงการ “ดูถูก” การตัดสินใจของประชาชน หรือการปฏิเสธไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง อันเป็นหลักการพื้นฐานที่สุดในระบอบประชาธิปไตยนั่นเอง การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ที่เหล่าคณาจารย์เพิ่งจะพร่ำเพ้อมาในหัวข้อก่อนนี้ในแถลงการณ์ของตน จึงเป็นเพียงการแสดงออกถึงความไร้ยางอายของตนเอง เพราะคณาจารย์เหล่านี้หาได้สนใจใน “เนื้อหาสาระ” แห่งสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริงแต่อย่างใด เพียงแค่หยิบยกมากล่าวถึงเพื่อให้แถลงการณ์นี้ดูดี ดูมีคุณค่าขึ้นมาเท่านั้นเอง
มันคงจะเชยแย่ หากเป็นนักวิชาการแล้ว ไม่พูดเรื่องการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเลย แต่ลำพังแค่เพียงการกล่าวถึงคำว่า “การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน” นั้น เป็นเรื่องง่าย การให้เหตุผลทางวิชาการมาประกอบนี่ซิ ที่เป็นเรื่องยาก และคณาจารย์กลุ่มนี้ก็มักง่ายพอที่จะกล่าวถึงเรื่องง่ายๆ โดยไม่มีหลักเหตุผลใดมาประกอบแถลงการณ์ของตนได้ว่า แถลงการณ์ของตนนั้น มันมีส่วนเอื้อใน “การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน” ที่พวกเขากล่าวถึงนั้นอย่างไร

5. บทสรุปแห่งความกลวง

แน่นอนว่า นี่คือ “ความเห็นต่าง” จากข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ แต่ความเห็นต่างนี้กลับหาได้มี “สาระทางวิชาการ” ใดๆ อยู่เลยแม้แต่น้อย แถลงการณ์นี้เป็นแค่เพียงการแสดงความไม่เห็นด้วย เพื่อต้องการปกป้อง “เผด็จการทหาร” ที่กลุ่มตนนิยมชมชอบ และ discredit นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน โดยกล่าวหาเอาลอยๆ ว่านั่นคือเผด็จการอีกรูปแบบหนึ่ง เรียกว่า “เผด็จการรัฐสภา” โดยไม่มีหลักวิชาการใดๆ อ้างอิง พร้อมกันนี้ คณาจารย์กลุ่มนี้ก็ไม่สามารถให้เหตุผลใดๆ อธิบายได้ว่า “เผด็จการทหาร” (ที่พวกตนยอมรับผลของการทำรัฐประหาร) นั้น “เลวร้ายน้อยกว่า” สิ่งที่พวกตนเรียกว่า “เผด็จการรัฐสภา” แค่ไหน/อย่างไร

อย่าคิดว่าเพียงแค่จำนวนและตำแหน่งทางวิชาการที่ใหญ่โตนักหนานั้น จะทำให้ “ความไร้เหตุผล” มันกลายเป็นสิ่งที่มนุษย์คนอื่นเรียกว่า “เหตุผล” ขึ้นมาได้ อย่าคิดเพียงแค่ว่า ตนเองเป็น “นักวิชาการ” แล้ว จะมีสิทธิมีเสียงดังกว่าประชาชนคนอื่น หากแถลงการณ์มัน “กลวง” แบบนี้ ต่อให้มีคนมาลงชื่อสักกี่คน หรือให้เทพเทวดาที่ไหนมาร่วมลงชื่อด้วย ก็ไม่อาจทำให้มันมีน้ำหนักน่ารับฟังขึ้นมาแม้แต่น้อย

น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่หลายๆ คนในจำนวนนี้ ผม “เคย” นับถือ (แน่นอนว่าตอนนี้ไม่แล้ว) มาก่อน ในฐานะผู้ให้ความรู้ ให้การศึกษา แต่มาครั้งนี้ “นักวิชาการ” เหล่านี้ หาได้อภิปราย “หลักวิชาการ” ให้ได้ปรากฏเป็นที่ประเทืองปัญญาต่อสังคมให้สมกับที่มีตำแหน่งเป็น “นักวิชาการ” แต่อย่างใด

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น