โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

"ประยุทธ์"เผยในหลวงรับสั่งไม่ต้องดูแลเขตพระราชฐานเป็นพิเศษ-ให้เป็นไปตามธรรมชาติ

Posted: 26 Oct 2011 11:21 AM PDT

ผบ.ทบ.เผยในหลวงรับสั่งให้กองทัพไม่ต้องดูแลเขตพระราชฐานเป็นพิเศษ ขอให้เป็นไปตามธรรมชาติ เผยได้ประสานสำนักพระราชวังทำทางลาดโ้ค้งหลังเต่าทุกประตู แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักพระราชวัง

มติชนออนไลน์ รายงานเมื่อวานนี้ (26 ต.ค. 54) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวระหว่างตรวจสถานการณ์น้ำท่วมในเขตบางพลัด ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นห่วงประชาชนมาโดยตลอด มีรับสั่งให้กองทัพไม่ต้องดูแลเขตพระราชฐานอะไรเป็นพิเศษ ขอให้เป็นไปตามธรรมชาติ  ทั้งนี้ ทางกองทัพได้ประสานไปยังสำนักพระราชวัง ในการทำทางลาดโค้งหลังเต่าทุกประตู โดยให้สามารถปิดประตูได้ แต่เนื่องจากพื้นที่ภายในดำเนินการค่อนข้างลำบาก ซึ่งขณะนี้แม้ยังจะไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักพระราชวังอย่างเป็นทางการ แต่ก็ได้เตรียมแผนการไว้แล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ เผยว่า ในเบื้องต้นเท่าที่รับทราบ ทางสำนักพระราชวังไม่อนุญาต ซึ่งถ้าไม่ทำข้างนอก เขาก็ต้องทำข้างในเอง ท่านทรงเป็นห่วงประชาชน อยากให้เป็นไปตามธรรมชาติ นี่พระมาหากรุณาธิคุณ ท่านห่วงประชาชนตลอด ท่านก็บอกว่าให้ปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ  ท่านจึงไม่ทรงโปรด และทรงรับสั่งว่าเป็นน้ำท่วมก็ขอปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่อยากให้มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ในฐานะที่กองทัพบกเป็นผู้รับผิดชอบก็จะทำเฉพาะที่ประสานได้ และต้องตอบคำถามของรัฐบาลด้วย

ในส่วนของการดูแลเขตพระราชฐานนั้น ต้องเป็นไปตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงรับสั่งว่าให้ดูแลทุกพื้นที่ให้ทั่วถึง ทางกองทัพบกก็จะทำให้ดีที่สุด แต่สิ่งสำคัญทุกคนต้องตระหนักไว้เสมอว่าทาง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ทรงห่วงใยประชาชนมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการพระราชทางพระราชดำริ พระราชทานสิ่งของเยื่ยม ความห่วงใย สิ่งเหล่านี้เราต้องสำนึกพระมหากรุณาธิคุณ และจะนำพาให้บ้านเมืองเราอยู่รอดและประชาชนปลอดภัยส่วนปลายเดือนนี้ที่น้ำ ทะเลจะหนุนสูง ตนก็กังวลหมดทุกพื้นที่ เพราะมีโอกาสที่น้ำจะฝ่าแนวพนังกั้นน้ำมา

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ชาวเน็ตโวยรถเปล่าติดป้าย "ทักษิณ ชินวัตร" รับสมอ้างเป็นผู้บริจาคที่ ศปภ.

Posted: 26 Oct 2011 10:52 AM PDT

มีผู้เผยแพร่คลิปวิดีโอสิ่งของช่วยเหลือที่ ศปภ.ดอนเมืองถูกลำเลียงขึ้นรถซึ่งติดป้ายระบุว่า "ทักษิณ ชินวัตร" เป็นผู้บริจาคช่วยน้ำท่วม พร้อมแฉเพิ่มสิ่งของบริจาคมาจากทุกที่ แต่ตอนแพ็กมีนักการเมือง หน่วยงานราชการรอสอดรายชื่อแอบอ้างเป็นผู้บริจาค

วันนี้ (26 ต.ค. 54) คุณ ส. (ขอสงวนชื่อที่ใช้ในเฟซบุค) ได้เผยแพร่วิดีโอคลิปในเว็บไซต์เฟซบุคของตน เป็นภาพอาสาสมัครชาวต่างชาติช่วยกันขนสิ่งของบริจาคขึ้นรถบรรทุกคันหนึ่ง ปรากฏว่า ป้ายข้างรถติดป้ายเขียนว่า "บริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ด้วยรักและห่วงใย จาก พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร" โดยผู้บรรยายเสียงประกอบตั้งคำถามว่า "หมายความว่ายังไง?"

ต่อมาผู้เผยแพร่คลิปวิดีโอดังกล่าว ได้โพสต์แสดงความเห็นในเว็บไซต์เฟซบุค อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าถ่ายคลิปดังกล่าวเอง โดยอธิบายว่าวันที่ประสบเหตุมีอาสาสมัครที่ ศปภ. ดอนเมืองมีหลากหลาย "ทั้งไทยทั้งต่างชาติ ทั้งเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ คนแก่หรือแม้กระทั่งคนพิการก็ยังมาช่วย และพวกเค้าเหล่านั้นก็ไม่ได้แบ่งสี" ส่วนของบริจาคนั้น "ข้าวของที่บริจาคทั้งยา อาหาร ก็มาจากหน่วยงานหลายที่ แต่พอแพ็คของรวมกันเป็นถุงยังชีพแต่ละถุง จะถูกสอดใส่ด้วยใบรายชื่อของ ส.ส.บางคนบ้าง หน่วยงานของรัฐบาลบ้าง และท้ายที่สุดก็ได้มาเห็นรถคันดังกล่าว ซึ่งมันน่าประหลาดใจ ที่คนทั้งหลายร่วมแรงร่วมใจช่วยกันแต่ทำไมถึงมีชื่อคนคนนี้ซึ่งขณะนี้ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยมาแปะชื่อหราที่รถบรรทุกคันนี้ได้"

ขณะที่ก่อนหน้านี้ เว็บไซต์ mthai รายงานคำชี้แจงของ นายวิม รุ่งวัฒนจินดา โฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า รถของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาจอดที่ ศปภ. นั้น กลุ่มเสื้อแดงได้รับของบริจาคมาเต็มคันรถ และนำมาจอดที่ ศปภ.เพื่อประสานว่าจะลงพื้นที่ที่จุดใดเท่านั้น เช่นเดียวกับ รถบรรทุกที่มีป้ายชื่อของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ก็เป็นของกลุ่มเสื้อแดง ที่รักและศรัทธาในตัวของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ เท่านั้น

ส่วนกรณี ที่มีรถบรรทุก 6 ล้อบางคัน มีป้ายชื่อของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยนั้น เป็นเพียงการสนับสนุนรถบรรทุกจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยในพื้นที่ โดยบางคนอาจเคยใช้รถคันดังกล่าวรณรงค์หาเสียงเข้าไปยังพื้นที่ จึงยังไม่มีการแกะป้ายออก

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คมนาคมให้ใช้ดอนเมืองโทลล์เวย์ฟรีตั้งแต่ 27 ต.ค. พร้อมเตรียมรถเมล์พันคันสำหรับการอพยพ

Posted: 26 Oct 2011 10:15 AM PDT

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมประสานบริษัทดอนเมืองโทลล์เวย์ขอให้งดเก็บค่าผ่านทางตั้งแต่ 27 ต.ค. ถึง 5 พ.ย. พร้อมเตรียมรถ ขสมก.พันคันหากต้องอพยพประชาชนไปยังศูนย์พักพิงต่างจังหวัด

สำนักข่าวแห่งชาติ รายงานเมื่อวานนี้ (26 ต.ค.) ว่า พล.อ.อ สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ประสานไปยังบริษัททางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ (จำกัด) มหาชน เพื่อขอให้งดเก็บค่าผ่านทางดอนเมืองโทลล์เวย์ ซึ่งเป็นเส้นทางไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง และเป็นที่ทำการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ. รวมทั้งเป็นเส้นทางเพื่อออกไปยังต่างจังหวัดด้วย โดยจะเริ่มงดเก็บค่าผ่านทางตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปถึงเที่ยงคืนวันที่ 5 พฤศจิกายน

ส่วนการป้องกันน้ำท่วมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นั้น พล.อ.อ สุกำพล กล่าวว่า ยังมั่นใจว่าคันกั้นน้ำที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสร้างไว้จะสามารถรับมือกับ สถานการณ์น้ำได้ ทั้งนี้ระบบระบายน้ำของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิยังสามารถระบายน้ำได้ถึง 1 ล้านลูกบาตรเมตรต่อวัน ขณะที่การป้องกันระบบคมนาคมรถไฟฟ้าใต้ดินได้มีการป้องกันทางเข้าออกไว้สูง ราว 1 เมตร และหากมีความจำเป็นก็จะพิจารณาปิดช่องทางเข้าออกสถานีในบางช่องทาง

นอกจากนี้กระทรวงคมนาคมได้เตรียมรถของ ขสมก. ไว้ 500 คัน และพร้อมเสริมอีก 500 คัน หากกรุงเทพมหานครมีความจำเป็นต้องอพยพประชาชนไปยังศูนย์พักพิงในต่างจังหวัด ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดเตรียมไว้

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

27-28ตุลาคมนี้ ฟังคำพิพากษาคดีเสื้อแดง มุกดาหาร-อุดร

Posted: 26 Oct 2011 10:05 AM PDT

นปช.มุกดาหารและอุดรฯ ประกาศระดมคนเสื้อแดงร่วมฟังคำพิพากษาคดีเผาศาลากลาง  ขณะที่ศาลมุกดาหารขอกำลังจากกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดฯ ดูแลความสงบเรียบร้อย ด้าน ส.ส.พรรคเพื่อไทย 10 คน เตรียมพร้อมใช้ตำแหน่งยื่นประกันหากมีจำเลยคนใดถูกพิพากษาให้จำคุก 

ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งในวันที่ 27 ตุลาคม นี้ ศาลจังหวัดมุกดาหาร โดยนางวรพรรณ รักความสุข ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะจะออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีดำที่ 1459/53, 1852/53, 2223/53 และ 2354/53 ที่อัยการจังหวัดมุกดาหารเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยรวม 29 คน ในข้อหาร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการ, วางเพลิงเผาศาลากลาง และทำให้เสียทรัพย์อันเป็นสาธารณประโยชน์  โดยมีมูลค่าความเสียหายของทรัพย์สินรวม 85 ล้านบาท  ซึ่งต่อมาในระหว่างการสืบพยาน ศาลได้สั่งรวมพิจารณาคดีทั้ง 4 เป็นคดีเดียวกัน ทั้งนี้ จำเลยทั้ง 29 จำแนกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ถูกฟ้องทั้ง 3 ข้อหา จำนวน 21 คน และกลุ่มที่ถูกฟ้องข้อหาร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการข้อหาเดียวจำนวน 8 คน

บรรยากาศทั่วไป นปช.มุกดาหารภายใต้ชื่อ “ชมรมลมหายใจที่ไม่แพ้” ประกาศเชิญชวนคนเสื้อแดงมาร่วมฟังคำพิพากษา โดยถือว่าคดีดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในปี 53 ที่ผ่านมา และการดำเนินคดีนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกรณีของความไม่เป็นธรรมที่ประชาชนได้รับ  ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของคนเสื้อแดง ประกอบกับมีการซ่อมแซมอาคารศาล ซึ่งทำให้การอ่านคำพิพากษาต้องทำในห้องพิจารณาคดีชั่วคราวที่สร้างด้วยไม้ ทำให้ศาลจังหวัดมุกดาหารกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด โดยอนุญาตให้เพียงอัยการ ทนาย จำเลย และตำรวจที่ทำหน้าที่ควบคุมจำเลยเข้าในห้องพิจารณาคดีชั่วคราว ส่วนคนที่มาฟังคำพิพากษาให้รออยู่ด้านนอกรั้ว โดยยังไม่มีคำสั่งให้ติดตั้งกล้องวงจรปิดถ่ายทอดการอ่านคำพิพากษาออกมาด้านนอก  ทั้งนี้ จะมีตำรวจจากกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหารเข้าปฏิบัติภารกิจดูแลความสงบเรียบร้อยทั้งสิ้น 150 นาย 


ด้านนายอานนท์ นำภา หนึ่งในทีมทนายเปิดเผยว่า นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ และนายบุญถิน ประทุมลี ส.ส.มุกดาหาร พรรคเพื่อไทย รวมถึง ส.ส.คนอื่นๆ ในพรรคราว 10 คน พร้อมจะใช้ตำแหน่งยื่นประกันในระหว่างอุทธรณ์ทันที หากมีจำเลยคนใดถูกตัดสินให้จำคุก โดยในปัจจุบันจำเลยทั้ง 29 ได้รับการประกันตัวในระหว่างการพิจารณาคดี

ส่วนศาลจังหวัดอุดรธานี นัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่เกี่ยวข้องกับการเผาสถานที่ราชการเมื่อ 19 พ.ค.53 เช่นเดียวกัน ในวันที่ 28 ตุลาคม  โดยคดีที่พิจารณารวมกันและจะอ่านคำพิพากษานี้มีทั้งสิ้น 4 คดี มีจำเลยรวม 22 ราย ประกอบด้วย คดีเผาศาลากลางจังหวัด(คดีดำที่1154/53)อัยการสั่งฟ้องจำเลยทั้งสิ้น 11 คน คดีเผาสำนักงานเทศบาลเมืองอุดรธานี(คดีดำที่1221/53) ฟ้องจำเลย 5 คน คดีพยายามเผาที่ว่าการอำเภอเมืองและจวนผู้ว่าฯ(คดีดำที่1155/53) จำเลย 15 คน และคดีเผาที่ว่าการอำเภอเมือง(คดีดำที่1374/53) สั่งฟ้องจำเลย 1 คน จังหวัดอุดรฯ ประเมินมูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท ทั้งนี้ มีจำเลยที่ถูกฟ้อง 2 คดี จำนวน 6 คน และจำเลยที่ถูกฟ้อง 3 คดี มีจำนวน 2 คน ทั้งนี้ ข้อหาหรือฐานความผิดมีทั้งฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน,ร่วมกันบุกรุกโดยมีอาวุธ, พยายามวางเพลิงหรือวางเพลิงเผาทรัพย์, ทำให้เสียทรัพย์ที่มีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์, มั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป และร่วมกันประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด


ด้านคนเสื้อแดงจังหวัดอุดรฯ ปรากฏว่า ได้มีการประกาศผ่านวิทยุชุมชนคนเสื้อแดงให้ไปร่วมเป็นกำลังใจให้จำเลยในวันที่ฟังคำพิพากษาเช่นกัน 


ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 (ศปช.) พบว่า ในคดีเผาศาลากลางมุกดาหาร เจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุมหลังศาลากลางหลังเก่าไฟไหม้แล้วกว่า 3 ช.ม.และผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งพยายามจะเผาอาคารหลังใหม่อีก มีผู้ต้องหาถูกจับกุมในการสลายการชุมนุม 16 คน ทั้งหมดถูกทำร้ายร่างกาย ต่อมา มีการออกหมายจับโดยอาศัยหลักฐานภาพถ่ายรวม 97 ราย จับกุมได้เพิ่มเติม 12 คน เข้ามอบตัว 2 คน รวมผู้ต้องหาทั้งสิ้น 30 คน เป็นผู้หญิง 1คน เยาวชน 1 คน อัยการสั่งฟ้อง 29 คน ในการสืบพยานโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นจำเลยทั้ง 29 กระทำผิด อีกทั้งในคดีนี้ อัยการแถลงต่อศาลว่าสั่งไม่ฟ้องจำเลยบางคน แต่ดีเอสไอคัดค้าน และจนถึงปัจจุบันอัยการสูงสุดยังไม่มีคำสั่งชี้ขาดลงมา


ในกรณีของอุดรธานี สลายการชุมนุมเกิดขึ้นเมื่อไฟไหม้ศาลากลางหลังเก่าแล้วราว 4 ช.ม. สำนักงานเทศบาลเมืองลุกไหม้เกือบ 2 ช.ม.แล้ว และผู้ชุมนุมบางส่วนพยายามจะไปที่ที่ว่าการอำเภอเมืองและจวนผู้ว่าฯ อีก จึงเกิดการปิดล้อมทุ่งศรีเมืองและไล่จับประชาชนในบริเวณนั้น มีผู้บาดเจ็บถูกนำส่ง ร.พ. 4 ราย(ต่อมาเสียชีวิต 2 ราย จับกุม 1 ราย) ถูกจับกุม 45 ราย(บางรายถูกทำร้ายร่างกาย) เป็นหญิง 9 คน เยาวชน 1 คน ต่อมา ตำรวจออกหมายจับโดยใช้หลักฐานภาพถ่ายทั้งสิ้น 71 ราย จับกุมได้เพิ่ม 7 ราย รวมเป็น 52 ราย ในจำนวนนี้อัยการสั่งฟ้อง 4 คดี รวม 22 คน ที่เหลือปล่อยตัวหลังครบกำหนดฝากขัง 7 ผลัด โดยยังไม่มีการสั่งฟ้อง ส่วนจำเลยที่ถูกฟ้องทั้ง 22 ราย ในการสืบพยานโจทก์ก็ไม่พบหลักฐานการกระทำผิดที่ชัดเจน

นอกจากนี้ ศปช.ยังสรุปภาพรวมการจับกุมดำเนินคดีอันเนื่องมาจากการชุมนุมของ นปช.เดือนเม.ย.ถึง พ.ค.53 ในพื้นที่ภาคอีสาน 5 จังหวัด ซึ่งรวมมุกดาหารและอุดรธานี ว่าพบปัญหาการจับกุมแบบเหวี่ยงแห  บางรายไปร่วมชุมนุม  แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเผาศาลากลาง บางรายเพียงแต่เข้าไปดูเหตุการณ์ เดินผ่าน ห้ามปราม หรือจอดรถไว้บริเวณใกล้เคียง กลับถูกจับและถูกออกหมายจับ นอกจากนี้ หลายรายไม่ได้สิทธิ์ติดต่อญาติและทนายระหว่างการสอบสวน  ถูกหลอกล่อ และถูกข่มขู่ให้รับสารภาพ(จำเลยจึงรับสารภาพในคดี ฝ่าฝืน พ.ร.ก.)  มีการตั้งข้อหาหนักเกินจริง และในกรณีอุดรฯ ไม่ได้สิทธิประกันตัวในระหว่างสืบพยาน ทำให้จำเลยไม่มีโอกาสสู้คดีอย่างเต็มที่

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

27-18ตุลาคมนี้ ฟังคำพิพากษาคดีเสื้อแดง มุกดาหาร-อุดร

Posted: 26 Oct 2011 10:03 AM PDT

นปช.มุกดาหารและอุดรฯ ประกาศระดมคนเสื้อแดงร่วมฟังคำพิพากษาคดีเผาศาลากลาง  ขณะที่ศาลมุกดาหารขอกำลังจากกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดฯ ดูแลความสงบเรียบร้อย ด้าน ส.ส.พรรคเพื่อไทย 10 คน เตรียมพร้อมใช้ตำแหน่งยื่นประกันหากมีจำเลยคนใดถูกพิพากษาให้จำคุก

ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งในวันที่ 27 ตุลาคม นี้ ศาลจังหวัดมุกดาหาร โดยนางวรพรรณ รักความสุข ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะจะออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีดำที่ 1459/53, 1852/53, 2223/53 และ 2354/53 ที่อัยการจังหวัดมุกดาหารเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยรวม 29 คน ในข้อหาร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการ, วางเพลิงเผาศาลากลาง และทำให้เสียทรัพย์อันเป็นสาธารณประโยชน์  โดยมีมูลค่าความเสียหายของทรัพย์สินรวม 85 ล้านบาท  ซึ่งต่อมาในระหว่างการสืบพยาน ศาลได้สั่งรวมพิจารณาคดีทั้ง 4 เป็นคดีเดียวกัน ทั้งนี้ จำเลยทั้ง 29 จำแนกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ถูกฟ้องทั้ง 3 ข้อหา จำนวน 21 คน และกลุ่มที่ถูกฟ้องข้อหาร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการข้อหาเดียวจำนวน 8 คน

บรรยากาศทั่วไป นปช.มุกดาหารภายใต้ชื่อ “ชมรมลมหายใจที่ไม่แพ้” ประกาศเชิญชวนคนเสื้อแดงมาร่วมฟังคำพิพากษา โดยถือว่าคดีดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในปี 53 ที่ผ่านมา และการดำเนินคดีนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกรณีของความไม่เป็นธรรมที่ประชาชนได้รับ  ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของคนเสื้อแดง ประกอบกับมีการซ่อมแซมอาคารศาล ซึ่งทำให้การอ่านคำพิพากษาต้องทำในห้องพิจารณาคดีชั่วคราวที่สร้างด้วยไม้ ทำให้ศาลจังหวัดมุกดาหารกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด โดยอนุญาตให้เพียงอัยการ ทนาย จำเลย และตำรวจที่ทำหน้าที่ควบคุมจำเลยเข้าในห้องพิจารณาคดีชั่วคราว ส่วนคนที่มาฟังคำพิพากษาให้รออยู่ด้านนอกรั้ว โดยยังไม่มีคำสั่งให้ติดตั้งกล้องวงจรปิดถ่ายทอดการอ่านคำพิพากษาออกมาด้านนอก  ทั้งนี้ จะมีตำรวจจากกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหารเข้าปฏิบัติภารกิจดูแลความสงบเรียบร้อยทั้งสิ้น 150 นาย 


ด้านนายอานนท์ นำภา หนึ่งในทีมทนายเปิดเผยว่า นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ และนายบุญถิน ประทุมลี ส.ส.มุกดาหาร พรรคเพื่อไทย รวมถึง ส.ส.คนอื่นๆ ในพรรคราว 10 คน พร้อมจะใช้ตำแหน่งยื่นประกันในระหว่างอุทธรณ์ทันที หากมีจำเลยคนใดถูกตัดสินให้จำคุก โดยในปัจจุบันจำเลยทั้ง 29 ได้รับการประกันตัวในระหว่างการพิจารณาคดี

ส่วนศาลจังหวัดอุดรธานี นัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่เกี่ยวข้องกับการเผาสถานที่ราชการเมื่อ 19 พ.ค.53 เช่นเดียวกัน ในวันที่ 28 ตุลาคม  โดยคดีที่พิจารณารวมกันและจะอ่านคำพิพากษานี้มีทั้งสิ้น 4 คดี มีจำเลยรวม 22 ราย ประกอบด้วย คดีเผาศาลากลางจังหวัด(คดีดำที่1154/53)อัยการสั่งฟ้องจำเลยทั้งสิ้น 11 คน คดีเผาสำนักงานเทศบาลเมืองอุดรธานี(คดีดำที่1221/53) ฟ้องจำเลย 5 คน คดีพยายามเผาที่ว่าการอำเภอเมืองและจวนผู้ว่าฯ(คดีดำที่1155/53) จำเลย 15 คน และคดีเผาที่ว่าการอำเภอเมือง(คดีดำที่1374/53) สั่งฟ้องจำเลย 1 คน จังหวัดอุดรฯ ประเมินมูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท ทั้งนี้ มีจำเลยที่ถูกฟ้อง 2 คดี จำนวน 6 คน และจำเลยที่ถูกฟ้อง 3 คดี มีจำนวน 2 คน ทั้งนี้ ข้อหาหรือฐานความผิดมีทั้งฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน,ร่วมกันบุกรุกโดยมีอาวุธ, พยายามวางเพลิงหรือวางเพลิงเผาทรัพย์, ทำให้เสียทรัพย์ที่มีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์, มั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป และร่วมกันประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด


ด้านคนเสื้อแดงจังหวัดอุดรฯ ปรากฏว่า ได้มีการประกาศผ่านวิทยุชุมชนคนเสื้อแดงให้ไปร่วมเป็นกำลังใจให้จำเลยในวันที่ฟังคำพิพากษาเช่นกัน 


ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 (ศปช.) พบว่า ในคดีเผาศาลากลางมุกดาหาร เจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุมหลังศาลากลางหลังเก่าไฟไหม้แล้วกว่า 3 ช.ม.และผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งพยายามจะเผาอาคารหลังใหม่อีก มีผู้ต้องหาถูกจับกุมในการสลายการชุมนุม 16 คน ทั้งหมดถูกทำร้ายร่างกาย ต่อมา มีการออกหมายจับโดยอาศัยหลักฐานภาพถ่ายรวม 97 ราย จับกุมได้เพิ่มเติม 12 คน เข้ามอบตัว 2 คน รวมผู้ต้องหาทั้งสิ้น 30 คน เป็นผู้หญิง 1คน เยาวชน 1 คน อัยการสั่งฟ้อง 29 คน ในการสืบพยานโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นจำเลยทั้ง 29 กระทำผิด อีกทั้งในคดีนี้ อัยการแถลงต่อศาลว่าสั่งไม่ฟ้องจำเลยบางคน แต่ดีเอสไอคัดค้าน และจนถึงปัจจุบันอัยการสูงสุดยังไม่มีคำสั่งชี้ขาดลงมา


ในกรณีของอุดรธานี สลายการชุมนุมเกิดขึ้นเมื่อไฟไหม้ศาลากลางหลังเก่าแล้วราว 4 ช.ม. สำนักงานเทศบาลเมืองลุกไหม้เกือบ 2 ช.ม.แล้ว และผู้ชุมนุมบางส่วนพยายามจะไปที่ที่ว่าการอำเภอเมืองและจวนผู้ว่าฯ อีก จึงเกิดการปิดล้อมทุ่งศรีเมืองและไล่จับประชาชนในบริเวณนั้น มีผู้บาดเจ็บถูกนำส่ง ร.พ. 4 ราย(ต่อมาเสียชีวิต 2 ราย จับกุม 1 ราย) ถูกจับกุม 45 ราย(บางรายถูกทำร้ายร่างกาย) เป็นหญิง 9 คน เยาวชน 1 คน ต่อมา ตำรวจออกหมายจับโดยใช้หลักฐานภาพถ่ายทั้งสิ้น 71 ราย จับกุมได้เพิ่ม 7 ราย รวมเป็น 52 ราย ในจำนวนนี้อัยการสั่งฟ้อง 4 คดี รวม 22 คน ที่เหลือปล่อยตัวหลังครบกำหนดฝากขัง 7 ผลัด โดยยังไม่มีการสั่งฟ้อง ส่วนจำเลยที่ถูกฟ้องทั้ง 22 ราย ในการสืบพยานโจทก์ก็ไม่พบหลักฐานการกระทำผิดที่ชัดเจน

นอกจากนี้ ศปช.ยังสรุปภาพรวมการจับกุมดำเนินคดีอันเนื่องมาจากการชุมนุมของ นปช.เดือนเม.ย.ถึง พ.ค.53 ในพื้นที่ภาคอีสาน 5 จังหวัด ซึ่งรวมมุกดาหารและอุดรธานี ว่าพบปัญหาการจับกุมแบบเหวี่ยงแห  บางรายไปร่วมชุมนุม  แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเผาศาลากลาง บางรายเพียงแต่เข้าไปดูเหตุการณ์ เดินผ่าน ห้ามปราม หรือจอดรถไว้บริเวณใกล้เคียง กลับถูกจับและถูกออกหมายจับ นอกจากนี้ หลายรายไม่ได้สิทธิ์ติดต่อญาติและทนายระหว่างการสอบสวน  ถูกหลอกล่อ และถูกข่มขู่ให้รับสารภาพ(จำเลยจึงรับสารภาพในคดี ฝ่าฝืน พ.ร.ก.)  มีการตั้งข้อหาหนักเกินจริง และในกรณีอุดรฯ ไม่ได้สิทธิประกันตัวในระหว่างสืบพยาน ทำให้จำเลยไม่มีโอกาสสู้คดีอย่างเต็มที่

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เริ่มกู้นิคมโรจนะ 1 พ.ย. คาดกลับมาเปิดโรงงานได้ 16 ธ.ค.

Posted: 26 Oct 2011 09:53 AM PDT

คณะกรรมการฟื้นฟูอุตสาหกรรมอยุธยามีมติเริ่มกู้นิคมฯโรจนะเป็นแห่งแรก 1 พ.ย.นี้ โดยแบ่งการกู้เป็น 8 เฟส หวังสูบน้ำ 15 ล้านคิว ติดตั้งระบบไฟฟ้า 200 โรงงาน คาดจะกลับมาเปิดโรงงานได้ 16 ธ.ค. นี้ ขณะที่สถานการณ์ล่าสุด น้ำเริ่มลดระดับ แต่ยังคงท่วมสูงกว่า 2.72 เมตร

สำนักข่าวแห่งชาติ รายงานวันนี้ (26 ต.ค.) ว่า นายประสาทศิลป์ จาตุรนต์รัศมี ผู้จัดการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาพระนครศรีอุยธยา เปิดเผยว่า จากการที่คณะกรรมการฟื้นฟูอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมี นายทวี นริสศิริกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นประธาน พร้อมกับเชิญผู้ประกอบการนิคมในพื้นที่มาร่วมประชุม ถึงการกู้นิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ในพื้นที่ ที่มีการประชุม โดยมีมติให้กู้นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ เป็นแห่งแรก โดยจะสูบน้ำออกในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ขณะที่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะเข้าไปติดตั้งระบบไฟฟ้ากับโรงงานเกือบ 200 โรงงาน ในวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้

นายประสาทศิลป์ กล่าวอีกว่า การกู้นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จะกู้ทั้งหมด 8 เฟส โดยเฟสที่ 1 ถึง 6 จำนวน 8 จุด เฟสที่ 7 จำนวน 3 จุด และเฟสที่ 8 จำนวน 1 จุด มวลน้ำที่จะสูบทั้งหมดนั้น มีบริเวณประมาณ 1 หมื่นไร่ มีปริมาณน้ำ 15 ล้านลูกบาศก์เมตร คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายเดือนพฤศจิกายน และเปิดดำเนินการได้ในวันที่ 16 ธันวาคมนี้

ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมภายในนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้นั้น ล่าสุดเมื่อ 26 ต.ค. เว็บไซต์ของนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ [1], [2] ระบุว่า จุดที่ 1 สำนักงานโรจนะวัดได้ 2.72 เมตร ลดลง 3 เซ็นติเมตรจากวันก่อน และ จุดที่ 2 โรจนะ 2 ประตู B หน้าธนาคารกสิกรไทย วัดได้ 2.51 เมตร ลดลง 6 เซ็นติเมตรจากวันก่อน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

องค์กรสตรีปะหล่องเผยรายงาน-ระบุการปลูกฝิ่นในพม่าเพิ่มขึ้นหลังเลือกตั้ง

Posted: 26 Oct 2011 09:15 AM PDT

องค์กรสตรีปะหล่องเผยแพร่รายงานฉบับใหม่ "Still Poisoned" ระบุในพื้นที่ของชาวปะหล่องในรัฐฉาน ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลัง อส. กลุ่มนายปานเซ ซึ่งเป็น ส.ส.ในสภาใหม่ ยังคงมีการปลูกฝิ่นอย่างกว้างขวาง

วันนี้ (25 ต.ค.) ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก องค์กรสตรีชาวปะหล่อง (Palaung Women Organization-PWO) ได้แถลงเปิดตัวหนังสือรายงานเกี่ยวกับยาเสพติดในพม่า ในชื่อ “ยังเป็นพิษ” “Still Poisoned” โดยระบุในพื้นที่อาศัยอยู่ของชนชาวปะหล่อง ในรัฐฉาน ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลใหม่พม่ายังคงมีการปลูกฝิ่นอย่างกว้างขวาง

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า แม้พม่าจะมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2553 การปลูกฝิ่นในพื้นที่รัฐฉานโดยเฉพาะในเขตพื้นที่เมืองน้ำคำ รัฐฉานภาคเหนือ ยังคงไม่ลดลง ตรงกันข้ามกลับมีการเพิ่มปริมาณการปลูกมากขึ้น ชาวบ้านอย่างน้อย 15 หมู่บ้านหันมายึดอาชีพปลูกฝิ่น และตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมาพบว่าปริมาณการปลูกฝิ่นในพื้นที่นี้เพิ่มขึ้นถึง 78 เปอร์เซ็นต์
 
โดยพื้นที่ปลูกฝิ่นส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังอาสาสมัครกลุ่มนายปานเซ จ่อมิ้น ซึ่งขณะนี้มีตำแหน่งเป็นถึงสมาชิกสภาในรัฐบาลชุดใหม่ของพม่า ขณะเดียวกันยังพบว่า มีชาวบ้านที่ไม่เคยมีอาชีพปลูกฝิ่นก็พากันหันมายึดอาชีพปลูกฝิ่นกันมากขึ้น และชาวบ้านใน 12 หมู่บ้าน ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจของพม่าในพื้นที่ให้ทำการปลูกได้อย่างเสรีโดยที่แลกกับการจ่ายภาษีแทน
 
ข้อมูลรายงานระบุด้วยว่า นับตั้งแต่มีรัฐบาลใหม่บริหารประเทศ การปลูกฝิ่นในพื้นที่กลับยิ่งเพิ่มปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม จำนวนคนติดยาเสพติดก็เพิ่มสูงขึ้น และจากการที่ผู้นำกองกำลังอาสาสมัครซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องยาเสพติดและได้รับสิทธิ์ควบคุมดูแลพื้นที่ได้เข้าเป็นสมาชิกในสภาก็ยิ่งทำให้การค้ายาเสพติดมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น
 
องค์กรสตรีปะหล่อง (PWO) ดำเนินกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในพม่าและจัดทำวิจัยเกี่ยวยาเสพติดในรัฐฉานอย่างต่อเนื่อง เมื่อปี 2549 ได้ออกรายงานเกี่ยวกับยาเสพติดในชื่อ “ดอกไม้พิษ” “Poisoned Flowers” และเมื่อปีที่ผ่านมา (2553) ได้ออกรายงานยาเสพติดอีกครั้งในชื่อ “เนินเขาที่เป็นพิษ” “Poisoned Hills” แต่เนื่องด้วยการแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาลทหารพม่ายังไม่คืบหน้า ทางองค์กรจึงได้ติดตามจัดเก็บรวบรวมข้อมูลมาจัดทำเป็นหนังสือรายงานต่อเนื่องล่าสุดในชื่อ “ยังเป็นพิษ” “Still Poisoned”


รายละเีอียดหนังสือรายงาน
“ยังเป็นพิษ” “Still Poisoned” ติดตามได้ที่ ...
www.palaungwomen.com / www.palaungland.org

ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/

"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สยามรัฐรายวัน-รายสัปดาห์หยุดพิมพ์ชั่วคราวหลังน้ำเจ้าพระยาเอ่อท่วม

Posted: 26 Oct 2011 08:36 AM PDT

หนังสือพิมพ์สยามรัฐประกาศงดพิมพ์ตั้งแต่ 27 ต.ค. ถึง 31 ต.ค. หลังโรงพิมพ์ใกล้สะพานพระราม 8 ได้รับผลกระทบจากน้ำที่เอ่อล้นในแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะที่ผู้อ่านยังสามารถติดตามได้จากการอ่านออนไลน์

วันนี้ (26 ต.ค.) หนังสือพิมพ์สยามรัฐซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยได้เขียนจดหมายถึงผู้อ่านลงใน สยามรัฐออนไลน์ แจ้งงดพิมพ์หนังสือพิมพ์ตั้งแต่วันที่ 27 ต.ค. ถึง 31 ต.ค. โดยมีรายละเอียดดังนี้

เรียนผู้อ่าน

สืบเนื่องจากโรงพิมพ์สยามรัฐ (อาคารสะพานพระราม 8 )ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำเอ่อล้นจากแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ไม่สามารถตีพิมพ์หนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน ตลอดจนนิตยสารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ จึงจำเป็นต้องของดการพิมพ์หนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน ตั้งแต่ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ 27 ต.ค.54 ถึงฉบับประจำวันจันทร์ที่ 31 ต.ค.54 และนิตยสารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ฉบับประจำวันศุกร์ที่ 28 ต.ค. - วันพฤหัสบดีที่ 3 พ.ย.54

ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน จะกลับมาพิมพ์จำหน่ายตามปกติ ในฉบับประจำวันอังคารที่ 1 พ.ย.54 และนิตยสารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ จะกลับมาพิมพ์จำหน่ายตามปกติ ในฉบับประจำวันศุกร์ที่ 11 พ.ย.-วันพฤหัสบดีที่ 17 พ.ย.54

อย่างไรก็ตาม ท่านผู้อ่านสามารถติดตามข่าวเกาะติดสถานการณ์น้ำท่วม ตลอดจนสถานการณ์อื่น ๆ ได้ตามปกติทาง www.siamrath.co.th

จึงเรียนมาเพื่อให้รับทราบโดยทั่วกัน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

Posted: 26 Oct 2011 08:18 AM PDT

ดูเหมือนว่า คนที่บ่นมากที่สุด โวยวายเสียงดังที่สุด กลับกลายเป็นคนกรุงเทพ ทั้งที่สวรรค์เป็นใจให้กว่าสองเดือนมาแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองกรุงยังถูกปกป้องให้คงความแห้งสนิทไว้ได้ ยิ่งลักษณ์เองกำลังตกอยู่ในกับดักความเหลื่อมล้ำทางการเมือง เธอเข้าใจถึงความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องป้องกันกรุงเทพไว้เพื่อเอาใจเหล่าขาประจำชาวกรุง แต่การทำงานที่ล่าช้าก่อนหน้านี้ไม่สามารถป้องกันจังหวัดรอบข้างไม่ให้จมอยู่ใต้น้ำได้

25 ต.ค. 2554

ผู้นำทำสิ่งที่ต้องทำ มากกว่าทำสิ่งที่ถูกต้อง

Posted: 26 Oct 2011 06:17 AM PDT

“Do the right things-ทำในสิ่งที่ถูกต้อง” และ “Do the things right-ทำในสิ่งที่ต้องทำ”

สองคำนี้คงทำให้บางคนเกิดความสงสัยไขว้เขวว่า นัยยะความหมายมีความแตกต่าง ใกล้เคียงหรือเหมือนกันอย่างไร เชิงปรัชญาอาจนำไปสู่การอธิบายได้ว่า “การทำในสิ่งที่ถูกต้อง” เป็นการตอบสนองต่อสถานะ บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบบนเงื่อนไขที่กำหนด มีมาตรวัดที่เป็นมาตรฐาน จารีตหรือบรรทัดฐานขององค์กรและสังคมเป็นเครื่องตัดสิน  ส่วน“การทำในสิ่งที่ต้องทำ” จะเป็นการเลือกกระทำอย่างใดตามสถานการณ์ สภาพแวดล้อมและแรงจูงใจ โดยมีประสบการณ์และอุดมการณ์ของบุคคลเป็นปัจจัยสำคัญ นอกจากนี้การมองความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างกัน สามารถตีความได้ว่า “สิ่งที่ต้องทำ” อาจเป็นสิ่งเดียวหรือต่างกันกับ “สิ่งที่ถูกต้อง” และ “สิ่งที่ถูกต้อง” จะเป็นหรือไม่เป็น “สิ่งที่ต้องกระทำ” ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแนวคิด มุมมองของบุคคล การสนับสนุนหรือเงื่อนไขจากองค์กรและสังคมเป็นตัวกำหนด  อย่างไรก็ตามการหาคำตอบควรเป็นไปในเชิงวิภาษวิธีโดยนำข้อต่างและจุดร่วมของสองแนวทางเข้าประยุกต์กับสถานะ บทบาทและภารกิจของผู้มีอำนาจ พร้อมใช้หลักคิด เหตุผลและวิจารณญาณ ผนวกกับค่านิยมและความต้องการของกลุ่มสมาชิก นำสู่การกระทำอย่างหนึ่งหรือสองอย่างควบคู่กันไปให้เกิดประโยชน์ต่อบุคคล องค์กร และสังคมมากที่สุด  

วอร์เรน เบนนิส (Warren Bennis) นักวิชาการแห่งมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย อธิบายความหมายของสองประโยคไว้อย่างน่าสนใจว่า เป็นความแตกต่างทางด้านแนวคิด วิสัยทัศน์ และวิธีการดำเนินงาน จนเกิดเป็นลักษณ์และบุคลิกภาพของการเป็นผู้นำ (leadership) กับการเป็นผู้จัดการ (Management ship) ทั้งนี้การดำรงและยืนหยัดอยู่ได้ขององค์กรภายใต้สภาวะแวดล้อมที่คลุมเครือเต็มไปด้วยความปั่นป่วนและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บทบาทและภารกิจของผู้นำ (leader) จำเป็นต้องแสวงหาสรรค์สร้างนวัตกรรม ต้องฉายให้เห็นแนวคิดทิศทาง กระทำสิ่งที่สอดรับและเท่าทันสถานการณ์ การเป็นผู้นำจึงต้องกล้าหาญที่จะ “กระทำในสิ่งที่ต้องทำ” ให้สามารถนำความเจริญก้าวหน้า พร้อมรับการเผชิญปัญหาอุปสรรค และแข่งขันในโลกาภิวัฒน์สมัยได้  

ขณะที่บุคลิกและพฤติกรรมของบุคคลอีกผู้หนึ่งที่เรียกว่า “ผู้จัดการ” (Manager) จะมุ่งมั่นและสนใจในแนวปฏิบัติและวิธีจัดการ ธำรงไว้ซึ่งขั้นตอนและกระบวนการ เพื่อรักษากฎ ระเบียบและมาตรฐานหรือกระทั่งรูปแบบที่เคยปฏิบัติ ผู้จัดการจะเน้นการแก้ปัญหาโดยยึดประโยชน์และผลลัพธ์ตามเป้าหมาย “การทำในสิ่งที่ถูกต้อง” จึงเป็นการยึดมั่นต่อวิธีการที่ดีที่สุด มุ่งสร้างความสำเร็จด้วยมาตรการ บรรทัดฐานและการดำเนินงานที่ถูกต้องตามระบบและวิธีที่กำหนด

ปัจจุบัน หลากองค์กรหลายสังคมต่างมีปัญหามากมาย ซับซ้อนและยากต่อการแก้ไขมากขึ้นไปทุกที แนวทาง วิธีคิดและวิธีการแบบเดิมอาจไม่เหมาะสมและสามารถจัดการได้ต่อไป ภาคส่วนเหล่านี้จึงต้องอาศัยผู้นำเป็นคนเริ่มต้นสู่ความเป็นสมัยใหม่ ขณะเดียวกันก็ต้องมีคนปฏิบัติที่มุ่งมั่นแข็งขัน เป็นผู้จัดการที่เฉียบขาด ยึดมั่นวิธีการและเป้าหมายสูงสุด ฉะนั้นการวางใจและให้โอกาสบุคคลประเภทใดจึงต้องสอดคล้อง เหมาะสมและเป็นไปตามภารกิจ ทิศทางขององค์กรหรือเจตจำนงของสังคมเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตามอาจเห็นได้ว่าผู้มีอำนาจตามตำแหน่งส่วนหนึ่งมักเป็นผู้นำที่แสดงบทบาทผู้จัดการ มีความพอใจกับสถานภาพขององค์กร สังคม วิธีการปฏิบัติและผลดำเนินการอย่างเดิม ขาดการชี้นำจูงใจบุคลากร ไม่มีแนวทางและช่องทางใหม่ๆ สู่ความสำเร็จและตอบสนองตามความต้องการของผู้รับบริการ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและมวลสมาชิกของสังคม ตรงกันข้ามกลับปิดกั้นหนทางและวิธีการที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุผลเพียงเพื่อผลลัพธ์ที่ต้องการและผลสัมฤทธิ์อย่างเดิม โดยนำสถานะและความพอใจของคนกลุ่มหนึ่งมาอ้างถึงความสำเร็จในการควบคุมและดำเนินงานของตน สภาวการณ์อย่างนี้ย่อมหมายความได้ว่าองค์กรและสังคมนั้นกำลังขาดแคลนบุคคลที่เป็นผู้นำ เป็นแต่ผู้จัดการที่ขาดภาวะการนำ

ดังนั้น เมื่อมองสังคมมหภาค ระดับรัฐและประเทศแล้วจะเห็นว่าวนเวียนและพบปะกับปัญหาเดิมๆ ไม่มีการสะสาง การแก้ไขและไม่พัฒนาอย่างที่ควรเป็น อย่างปัญหาพิบัติภัยน้ำท่วมใหญ่ในเวลานี้ เป็นที่รู้กันดีว่าเหตุและรากของปัญหามีมาหลายสิบปี กระทั่งทุกวันนี้ยังหาวิธีป้องกันและแก้ไขไม่ได้ แม้ว่าประเทศนี้จะมีผู้นำ (ผู้จัดการ) มาแล้วกว่ายี่สิบคน การกระทำก็ยังเป็นเพียงแค่การบรรเทาหรือแก้ปัญหาที่ปลายเหตุอย่างเดิม อีกทั้งยังมีปัญหาอื่นๆ ในลักษณะเดียวกันอีกมาก เช่น ปัญหาการประท้วงเรียกร้องของประชาชน ไฟป่า ยาเสพติด ปัญหาการจราจร ปัญหาทางการปกครอง สิทธิเสรีภาพ และความปลอดภัยของประชาชน รวมไปถึงอาชญากรรมต่างๆ อะไรเคยเกิดอย่างไรเป็นอย่างไหนก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น บางเรื่องบางปัญหายิ่งเลวร้ายมากขึ้นกว่าเดิมและมีให้เห็นกันมาตลอด แนวทางและวิธีการที่จะกระทำให้หมดไปหรือลดน้อยลงกลับไม่มีให้เห็น แม้การป้องกันและแก้ไขก็ยังเป็นเหมือนเก่า เทียบเคียงได้ว่าเป็น “การกระทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง” อยู่แล้ว จึงไม่เพียรพยายามมองหา ค้นคว้าและนำสู่วิธีการใหม่ให้เหมาะสมสอดรับบริบทและสถานการณ์ของความเป็นปัจจุบัน สุดท้ายปัญหาเหล่านี้ก็กลับมาให้แก้กันเฉพาะหน้าต่อไป

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ที่อยู่คน ที่อยู่ป่า ทางเดินน้ำ และที่ทำกิน...ผังเมืองไทย?

Posted: 26 Oct 2011 06:09 AM PDT

เหตุการณ์น้ำท่วมน้ำแล้งและดินโคลนถล่ม กำลังส่งสัญญาณสำคัญว่าประเทศไทยจะปล่อยให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆ เป็นไปอย่างไร้ทิศทางอย่างนี้หรือ?  ให้ใครก็ตามที่มีเงิน เศรษฐีต่างชาติ นักการเมือง หรืออดีตข้าราชการผู้ใหญ่สามารถใช้เงินวิ่งเต้นทำอะไรก็ได้เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมและให้ประเทศต้องรับภาระความเสียหาย กรณีน้ำท่วมประเทศไทยที่สร้างความสูญเสียมหาศาลถูกอ้างเสมอว่า เกิดขึ้นเพราะฝนตกชุกฝนตกมาก แต่แท้จริงแล้วต้นตอสำคัญของน้ำท่วมคือการใช้ประโยชน์ที่ดินผิดประเภทจากการแสวงหาประโยชน์

เราเห็นการใช้ประโยชน์ที่ดินของประเทศไทยเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง  เราเห็นพื้นที่ชายเขากลายเป็นสวนยางพาราหรือไร่ส้มและทำให้ชุมชนด้านล่างต้องเผชิญกับปัญหาดินโคลนถล่ม  กลุ่มทุนใช้พื้นที่ต้นน้ำในภาคเหนือเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งได้ทำลายความสามารถของธรรมชาติในการทำหน้าที่เป็นฟองน้ำหรืออ่างเก็บน้ำธรรมชาติเพื่อดูดซับน้ำฝนและอุ้มน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งจนนำมาสู่ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้   ที่ดินที่จัดไว้เพื่อเกษตรกรรมย่านรังสิตแปรสภาพไปเป็นหมู่บ้านจัดสรร   พื้นที่ๆ ควรอนุรักษ์ไว้เพื่อเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ เช่น อยุธยา ถูกล้อมรอบด้วยนิคมอุตสาหกรรม เราเห็นการสร้างบ้านเรือนบุกรุกเข้าไปในทางไหลของน้ำ  มีการสร้างบ้านจัดสรร ถนน หรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ขวางทางน้ำ  นิคมอุตสาหกรรมขยายตัวเข้าไปในพื้นที่กันชนหรือพื้นที่สีเขียวและมีโรงงานสร้างติดรั้วโรงเรียน ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะมีบางคนในประเทศนี้ไม่เชื่อในเรื่องของการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดิน ไม่เชื่อเรื่องการกำหนดโซนนิ่ง (zoning) หรือ การบังคับใช้ผังเมืองของประเทศนั่นเอง คนกลุ่มนี้เชื่อว่าเจ้าของที่ดินมีสิทธิส่วนบุคคลที่จะใช้ประโยชน์ในที่ดินของตัวเองอย่างไรก็ได้ ความคิดเช่นนี้ทำให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง และที่สำคัญคือทำให้สภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยมีความเปราะบางไม่สามารถรองรับภัยธรรมชาติได้

ขอยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อให้เห็นภาพนะครับว่า ในบ้านเราเองแท้ๆ เราจะปล่อยให้กิจกรรมต่างๆ ดำเนินไปโดยไม่มีกฎเกณฑ์เลยหรือครับ ในบ้านของเราๆ มีห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่น สนามหญ้า ฯลฯ ท่านคิดว่าบ้านหลังนี้จะน่าอยู่ไหมครับถ้าเราปล่อยให้มีการทอดไข่เจียวในห้องนอน มีคนเข้าไปนอนในห้องน้ำ มีการอาบน้ำในห้องนั่งเล่น หรือมีคนไปยืนปัสสาวะที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ดังนั้น แม้แต่ในบ้านของเราเองแท้ๆ เรายังอ้างสิทธิส่วนบุคคลและทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้เลย  แล้วในระดับประเทศจะมาอ้างว่าท่านมีที่ดิน 100 ไร่ 200 ไร่ แล้วจะลงทุนทำอะไรก็ได้เพราะเป็นสิทธิของท่านก็คงจะทำไม่ได้เหมือนกันเพราะท้ายสุด แล้วสังคมโดยรวมเป็นผู้สูญเสียจากการที่เราปล่อยให้กิจกรรมต่างๆ ดำเนินไปอย่างไม่เป็นที่เป็นทาง

ดังนั้นการที่ประเทศต้องจัดแบ่งพื้นที่ให้เป็น ที่คนอยู่ ที่อยู่ป่า ทางเดินน้ำ และที่ทำกิน หรือการมีผังเมืองไทย จึงเป็นโจทย์สำคัญสำหรับประเทศไทยวันนี้ และเป็นบททดสอบสำหรับนักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ รวมถึงนักวิชาการต่างๆ ด้วยว่าจะสามารถตั้งใจทำงานเพื่อร่วมกันเพื่อสร้างอนาคตให้กับประเทศได้หรือไม่

การมีผังเมืองไทยเพื่อจัดแบ่งที่ทางให้เป็นสัดเป็นส่วนว่าพื้นที่เกษตรที่เหมาะสมจะอยู่ที่ไหน นิคมอุตสาหกรรมควรอยู่จังหวัดใดบ้างที่จะไม่ถูกน้ำท่วมได้ง่าย พื้นที่ป่าต้นน้ำหรืออ่างเก็บน้ำธรรมชาติควรมีเท่าไหร่ ทางน้ำไหลมีเพียงพอแล้วหรือยัง และจะให้น้ำส่วนเกินไหลไปทางไหน คนจะสร้างบ้านเรือนย่านใดได้บ้าง และย่านธุรกิจจะอยู่ตรงไหน สิ่งเหล่านี้ เป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะนำไปสู่การใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นไปตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ สร้างความสามารถในการรองรับภัยธรรมชาติ และที่สำคัญคือลดความขัดแย้งในสังคมไม่เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่พบว่า ขณะที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งสร้างทำนบกั้นน้ำก็มีประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งไปทำลายทำนบกั้นน้ำ และอื่น ๆ

การจัดแบ่งการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นสัดเป็นส่วนไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ที่จะไปขัดกับหลักการทางธุรกิจอย่างที่บางคนอาจคิด ในทางตรงข้ามกลับพบว่าธรรมชาติของการทำธุรกิจเองก็มีการจัดแบ่งธุรกิจต่างๆ ตามเขตหรือตาม “ย่าน” อยู่แล้ว ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสะดวกสำหรับผู้บริโภคเองในการซื้อหาสินค้าและสะดวกสำหรับผู้ประกอบการในการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพด้วย เช่น ร้านทองจะรวมตัวกันแถวย่านเยาวราช ร้านผ้าจะอยู่พาหุรัด อุปกรณ์ไฟฟ้าอยู่แถวคลองถม ร้านต้นไม้รวมตัวกันที่อยู่ที่รังสิต เป็นต้น ดังนั้น การจัดให้กิจการต่างๆ มีการดำเนินการเป็นหลักแหล่งตามประเภทของธุรกิจนั้นๆ จึงเป็นสิ่งปกติอยู่แล้วในเชิงธุรกิจ หากภาครัฐจะเข้ามาดำเนินการเสริมภาคเอกชนโดยมีการกำหนดและบังคับใช้ผังเมืองไทยในระดับประเทศจึงเป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้สูงและสมควรดำเนินการอย่างยิ่ง

มีเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ 5 ประการที่สนันสนุนการบังคับใช้ “ผังเมืองไทย”

ประการที่หนึ่ง การบังคับใช้ผังเมืองไทยทำให้การใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพราะมีการใช้ที่ดินตามศักยภาพของพื้นที่นั้นๆ  พื้นที่ที่มีความเหมาะสมเป็นพื้นที่ต้นน้ำก็ต้องอนุรักษ์ไว้ให้เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำโดยไม่ปล่อยให้มีการปลูกพืชเศรษฐกิจที่ให้ประโยชน์ต่อสังคมต่ำกว่า   พื้นที่ๆ มีความได้เปรียบด้านการขนส่งทางเรือก็ควรจัดให้เป็นพื้นที่อุตสาหกรรมเพื่อลดต้นทุนการขนส่งและสร้างความได้เปรียบให้กับสินค้าส่งออกของไทย ส่วนที่ลุ่มหรือพื้นที่รับน้ำก็ควรจัดให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อตักตวงประโยชน์ด้านการชลประทาน ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นพื้นที่อุตสาหกรรม และถูกน้ำท่วมอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ การใช้ประโยชน์ที่ดินให้เต็มตามศักยภาพจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทย ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการและแรงงานไทยไปในตัว

ประการที่สอง เมื่อกิจกรรมต่างๆ ถูกจัดให้อยู่อย่างเป็นที่เป็นทางก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบสาธารณูปโภค เช่น หากพื้นที่เกษตรกรรมอยู่อย่างกระจัดกระจายรัฐก็ต้องเสียงบประมาณสูงขึ้นในการลงทุนในระบบชลประทานในหลายๆพื้นที่ แต่ถ้ากิจกรรมการเกษตรอยู่ร่วมกันก็จะใช้ประโยชน์จากระบบชลประทานร่วมกันได้ เช่นเดียวกันกับพื้นที่ๆ อยู่อาศัยของประชาชน หากมีการจัดให้ชุมชนที่อยู่อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันก็จะทำให้การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนก็ดีหรือระบบป้องกันน้ำท่วมก็ดีเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดงบประมาณของรัฐลดภาระหนี้ของประเทศ และลดภาระภาษีของประชาชนด้วย

ประการที่สาม การมีผังเมืองไทยเป็นการให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องกับประชาชน ทำให้ประชาชน นักลงทุน ทั้งชาวไทยและนักลงทุนชาวต่างชาติสามารถวางแผนธุรกิจล่วงหน้าด้วยความมั่นใจ ปัจจุบันคนที่ซื้อบ้านเพราะวางแผนจะใช้ชีวิตในพื้นที่ๆ สภาพอากาศดีและสงบเงียบกลับฝันสลาย เมื่อมีโรงงานหรือสนามบินนานาชาติมาตั้งอยู่ข้างบ้าน ดังนั้นการขาดการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินแก่ประชาชนก็นำมาสู่ปัญหาเช่นกัน ดังตัวอย่าง ความขัดแย้งระหว่างเจ้าของบ้านกับสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น การบังคับใช้ผังเมืองยังจะสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนเพราะจะทำให้นักธุรกิจทราบว่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมจะไม่ถูกแปรสภาพเป็นพื้นที่รับน้ำท่วมในที่สุดอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  การบังคับใช้ผังเมืองจึงเป็นการสร้างความเป็นธรรมและสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการ และจะส่งผลทางอ้อมให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว

ประการที่สี่ เมื่อมีการประกาศอย่างชัดเจนว่าพื้นที่ใดจะเป็นเขตเศรษฐกิจและพื้นที่ใดจะเป็นพื้นที่รับน้ำ จะนำไปสู่การพัฒนากลไกในการสร้างความเป็นธรรมในสังคมระหว่างผู้ที่อาศัยในพื้นที่รับน้ำกับผู้ที่อาศัยในพื้นที่ปลอดน้ำ รัฐบาลสามารถพัฒนาระบบการคลังสาธารณะเพื่อสร้างความเป็นธรรมโดยการเก็บภาษีที่ดินเพิ่มเติมจาก เขตเศรษฐกิจที่ปลอดน้ำท่วมและนำเงินมาจ่ายชดเชยให้ประชาชนที่อาศัยในเขตรับน้ำ สิ่งต่างๆเหล่านี้สามารถดำเนินการได้หากมีการบังคับใช้ผังเมืองและประกาศชัดเจนว่าพื้นที่ใดทำบทบาทอะไรซึ่งจะเป็นการช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำที่กำลังเกิดอยู่ในปัจจุบัน

ประการที่ห้า ผังเมืองไทยเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศไทยให้มีความสามารถในการรองรับภัยธรรมชาติได้ดีขึ้น การที่ประเทศไทยมีการรักษาระบบนิเวศต้นน้ำให้มีความอุดมสมบูรณ์เพื่อทำหน้าที่เป็นอ่างน้ำธรรมชาติ มีการสร้างทางไหลของน้ำให้เพียงพอ มีการกำหนดกิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นเขตเมืองหรือเขตนิคมอุตสาหกรรมให้อยู่ในพื้นที่สูงหรือ มีการใช้ประโยชน์จากพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อเป็นพื้นที่รับน้ำฝนเมื่อยามจำเป็นบ้าง สิ่งต่างๆเหล่านี้จะทำให้การใช้ประโยชน์ที่ดินมีความสอดคล้องกับธรรมชาติ ลดความเปราะบางของระบบนิเวศและสร้างความสามารถในการรองรับกับภัยธรรมชาติด้วย ในที่สุดสังคมที่ประชาชนมีการดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติจะไม่ต้องเผชิญกับความขัดแย้ง และความสูญเสีย ทั้งในรูปของชีวิต ทรัพย์สินรวมไปถึงงบประมาณของรัฐ

แน่นอนว่า การที่ประเทศไทยจะมีการจัด ที่คนอยู่ ที่อยู่ป่า ทางเดินน้ำ และที่ทำกิน หรือการมีผังเมืองไทย จะต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ ทั้งในเรื่องของข้อจำกัดของกฎระเบียบที่เป็นสาเหตุหนึ่งของความล้มเหลวของการพัฒนาประเทศไทย การบริหารน้ำแบบแยกส่วนที่ให้ความสำคัญกับความเป็น “กรม” หรือ “จังหวัด” มากกว่าการร่วมกันทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม การป้องกันน้ำท่วมที่มีการเมืองและผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องโดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียของคนส่วนใหญ่ และที่สำคัญคือ ระบบอุปถัมภ์ที่ทำให้ไม่มีใครกล้าพูดความจริง และไม่กล้าพอที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง

ท้ายสุดผู้เขียนอยากบอกว่า น้ำฝนเป็นสิ่งที่ฟ้าประทานมาให้ น้ำให้กำเนิดชีวิตไม่ว่าจะเป็นคน พืช หรือสัตว์ น้ำเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงคนไทยมาเป็นเวลาช้านานจนประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็น “อู่ข้าว อู่น้ำ” ตั้งแต่อดีตกาลมา วิถีชีวิตคนไทยอยู่คู่กับน้ำมาโดยตลอดจนเกิดคำพังเพยมากมายที่คนเฒ่าคนแก่ใช้สอนลูกสอนหลาน ไม่ว่าจะเป็น “น้ำมาปลากิดมด น้ำลดมดกินปลา” หรือ “น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง” แต่ทุกวันนี้การพัฒนาประเทศแบบผิดๆ ได้ทำให้ “น้ำ” กลายเป็นอุปสรรต่อการดำเนินชีวิตและนำความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่มาสู่ประเทศไทย

“ผังเมืองไทย” เป็นการทำให้เรามาจัดระเบียบบ้านเมืองกันใหม่เพื่อให้การพัฒนาประเทศมีความสอดคล้องกับธรรมชาติมากขึ้น รู้จักที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และใช้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างชาญฉลาดดังเช่นเคยเป็นมาแต่ในอดีต.

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศิริโชคเผยภาพอภิสิทธิ์พบประธานาธิบดีมัลดีฟส์

Posted: 26 Oct 2011 05:33 AM PDT

ศิริโชค โสภาทวีตภาพอภิสิทธิ์ถ่ายรูปคู่กับนายโมฮัมเหม็ด นาชีด ประธานาธิบดีมัลดีฟส์ และยืนยันว่านายอภิสิทธิ์ไปหารือเรื่องปัญหาน้ำท่วม ซึ่งมัลดีฟส์เป็นประเทศที่ได้รับเงินช่วยเหลือจาก UNDP ในการแก้ปัญหาดังกล่าว

วันนี้ (26 ต.ค. 54) นายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ทวีตภาพนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และผู้นำฝ่ายค้าน ถ่ายภาพคู่กับนายโมฮัมเหม็ด นาชีด (Mohamed Nasheed) ประธานาธิบดีมัลดีฟส์ โดยยืนยันว่านายอภิสิทธิ์เดินทางไปมัลดีฟส์จริงเพื่อหารือกับประธานาธิบดีมัลดีฟส์ในเรื่องการแก้ปัญหาโลกร้อนและน้ำท่วม

ข้อความทวีตของนายศิริโชคคือ "ผู้นำฝ่ายค้านหารือปัญหาน้ำท่วมกับปธนมัลดิฟประเด็นที่มัลดีฟได้เงิน100 ล้านบาทจากUNDP เพื่อแก้ไขปัญหาโลกร้อนและน้ำท่วม http://pic.twitter.com/XPezR8hE"

นอกจากนี้นายศิริโชคยังทวีตตอบผู้ที่เข้ามาถามเขาด้วยว่า "@RITT41 เป็นประโยชน์เพราะ คุณอภิสิทธิ์ใปหารือกับ ปธน.มัลดีฟส์ ถึงแนวทางเพื่อได้เงินสนับสนุน 100ล้าน จาก UNDP เหมือนที่ประเทศเค้าได้"

อนึ่งก่อนหน้านี้ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์  กล่าวว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินทางไปมัลดีฟส์จริง โดยเป็นไปตามคำเชิญของประธานาธิบดีมัลดีฟส์ และมีการหารือเรื่องปัญหาน้ำท่วม

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เผยครึ่งปีแรกของปีนี้ รบ.ไทยขอยูทูปถอดคลิปหมิ่นฯ 225 ชิ้น

Posted: 26 Oct 2011 01:33 AM PDT

กูเกิลเปิดรายงานประจำ ม.ค.-มิ.ย.2554 ชี้รัฐบาลไทยร้องขอกูเกิล 2 ครั้ง ให้ถอดวิดีโอซึ่งอาจเข้าข่ายหมิ่นฯ 225 ชิ้น ทางกูเกิลตอบรับด้วยการปิดไม่ให้วิดีโอเหล่านั้นเข้าถึงได้จากประเทศไทย 90% ของวิดีโอทั้งหมด


http://www.google.com/transparencyreport/governmentrequests/TH/

 

เว็บไซต์ Blognone รายงานว่า กูเกิลเปิดเผยรายงานการร้องขอให้ปกปิดข้อมูลหรือส่งข้อมูลของผู้ใช้จากรัฐบาลต่างๆ ตั้งแต่ม.ค.-มิ.ย.2554 โดยรัฐบาลไทยได้ส่งคำสั่งไปยังกูเกิล 2 ครั้ง เพื่อให้ถอดวิดีโอซึ่งอาจเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จำนวน 225 ชิ้น ทางกูเกิลได้ตอบรับคำร้องขอของรัฐบาลไทยด้วยการปิดไม่ให้วิดีโอเหล่านั้นเข้าถึงได้จากประเทศไทยเป็นสัดส่วนร้อยละ 90 ของวิดีโอทั้งหมด

ตัวเลขนี้พุ่งสูงขึ้นถึง 5 เท่าตัวเมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังของปี 2553 โดยปลายปี 2553 นั้นรัฐบาลไทยได้ส่งคำร้องขอไป 1 ครั้งเพื่อให้ถอนวิดีโอออกจาก YouTube จำนวน 43 ชิ้น และวิดีโอทั้งหมดถูกปิดไม่ให้เข้าจากประเทศไทย

จนถึงวันนี้ ยังไม่มีรายงานว่ารัฐบาลไทยร้องขอข้อมูลผู้ใช้ (User Data Requests) ไปยังกูเกิล

จากการสำรวจตัวเลขในแถบอาเซียนด้วยกันแล้ว ประเทศไทยมีจำนวนเนื้อหาที่ร้องขอให้กูเกิลถอนออกจากเว็บสูงสุด และสูงกว่าจีนที่ร้องขอให้กูเกิลถอนเนื้อหา 121 ชิ้นออกจากระบบจากคำร้องขอ 3 ครั้ง และกูเกิลไม่ทำตาม 1 ครั้ง

อนึ่ง กูเกิลเปิดเว็บไซต์ Government requests (http://www.google.com/governmentrequests/) เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 53 แสดงจำนวนครั้งที่รัฐบาลประเทศต่างๆ ขอให้กูเกิลลบเนื้อหาจากผลการค้นหาของกูเกิลหรือผลิตภัณฑ์ของกูเกิล เช่น ยูทูบ (YouTube) และการขอข้อมูลบัญชีผู้ใช้กูเกิล เพื่อแสดงความโปร่งใส โดยวางแผนจะปรับปรุงข้อมูลทุกๆ 6 เดือน 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์: แม้แต่หายนภัยของประเทศ ก็ไม่วายถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมือง

Posted: 26 Oct 2011 01:26 AM PDT

‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ นักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสิงคโปร์ เขียนบทความวิเคราะห์สถานการณ์น้ำท่วมในไทย ที่ได้กลายเป็น ‘อาวุธทางการเมือง’ ที่ฝ่ายตรงข้ามนำมาโจมตีนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และสะท้อนถึงความแตกแยกอันร้าวลึกในสังคมไทย

0000

"แม้แต่หายนภัยของประเทศ ก็ไม่วายถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมือง"

แปลจาก Pavin Chachavalpongpun. Even this national disaster is being used as a political weapon. ตีพิมพ์ครั้งแรกในนสพ. The Nation, 26/10/54
http://www.nationmultimedia.com/opinion/Even-this-national-disaster-is-being-used-as-a-pol-30168516.html

เธอมันชะนีปัญญาทึบ

เธอโง่เหมือนควาย, สวยไร้สมอง, บาร์บี้หัวกลวง , ผู้นำหญิงเป็นกาลกิณี ทำให้เกิดหายนะของชาติฯลฯ
นี่คือสิ่งที่เหล่าบรรดาขาประจำชนชั้นกลาง-สูงกำลังเรียกขานนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ในเวลานี้

พื้นที่บางส่วนของประเทศไทยได้กลายเป็นทะเลมาระยะหนึ่งแล้ว กรุงเทพเองก็กำลังเตรียมตัวรับน้ำก้อนใหญ่นี้ ในไม่ช้ามหานครแห่งนี้อาจจะไม่แคล้วกลายเป็นสระว่ายน้ำยักษ์ ขณะเดียวกันยิ่งลักษณ์ก็กำลังจมจวนขาดใจภายใต้สายวาีรีการเมือง นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของมหันตภัยธรรมชาติอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นเกมการเมืองอันบ้าคลั่ง

การวิพากวิจารณ์ในเรื่อง "ความโง่" กลายเป็นที่แพร่หลายอย่างไม่หยุดหย่อน ภาพลักษณ์ของยิ่งลักษณ์ถูกทำให้กลายเป็นตัวแทนของ "ความโง่" โดยมีเป้าหมายที่เดาไม่ยากคือทำลายความน่าเชื่อถือส่วนตัว และ ทำให้ความพยายามในการแก้ปัญหากลายเป็นเหมือนเรื่องเด็กเล่น

แต่การจะใช้เรื่องของระดับสติปัญหา "ความโง่" มาประเมินผลงานของยิ่งลักษณ์ จะต้องตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าปกติการเมืองไทยเป็นอาณาจักรแห่งคนอัจริยะ ซึ่งก็น่าสงสัยว่าแล้วเหตุฉไน ผู้นำในอดีตเกือบทั้งหมดต่างก็ล้มเหลวในการแก้ปัญหาเรื้อรังอันเนื่องมาจากภัยน้ำท่วม

ถ้าเราจะตัดสินยิ่งลักษณ์ด้วยคำสักคำ บางทีคำว่า "อ่อนแอ" น่าจะเหมาะสมกว่าสำหรับการบ่งชี้ภาวะผู้นำของเธอ เป็นเรื่องจริงที่ว่าเธอตอบสนองต่อปัญหาน้ำท่วมได้ช้าไม่ทันท่วงที ถึงแม้การลงพื้นที่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น แต่ในยามวิกฤตอย่างนี้เธอกลับล้มเหลวในการบรูณาการหาทางผ่อนหนักให้เป็นเบา แต่เนื่องจากมันง่ายกว่าที่จะโทษคนอื่นในยามวิกฤต ทุกคนจึงพากันโทษไปที่ยิ่งลักษณ์กับการขาดความสามารถในการบริหารจัดการวิกฤตของเธอ

แต่มันยุติธรรมหรือเปล่าทีจะโยนความผิดทั้งหมดไปให้กับยิ่งลักษณ์ เธอควรจะรับผิดเพียงผู้เดียวต่อผลจากอุทกภัยครั้งประวัติการณ์นี้หรือ? แล้ว ทำไมกรมชลประทานจึงยังกักเก็บน้ำไว้ในเขื่อนที่สำคัญในช่วงต้นฤดูฝน และไม่ยอมระบายน้ำออกทั้งที่มีพายุฝนกระหน่ำต่อเนื่องในปีนี้? ทำไมรัฐบาลก่อนหน้าซึ่งก็พึ่งเผชิญหน้ากับปัญหาอุทกภัยมาจึงไม่ได้วางระบบการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ?

ข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวเท็จ ที่เกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งนี้มากมายในโซเชียลเนทเวิร์กต่างๆ ภาพซึ่งถูกถ่ายไว้ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งของยิ่งลักษณ์ขณะกำลังใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพจากเฮลิคอปเตอร์ถูกส่งต่อไปทั่วในเฟสบุ๊คโดยมีคำอธิบายว่า "ประเทศกำลังวิกฤติ แต่ชีกลับแฮปปี้แก้มปริ" นอกจากนี้ภาพของสาวฟิลิปปินส์ที่ดูเผลินๆคล้ายยิ่งลักษณ์ ขณะกำลังปาร์ตี้และกระดกวิสกี้จากขวด ก็ถูกแชร์ไปทั่วอินเตอร์เนท

ข่าวเรื่องพระราชดำรัสของในหลวงที่ว่าถ้าหากน้ำท่วมกรุงเทพให้ปล่อยน้ำให้ท่วมวังจิตรดาได้เลยไม่ต้องป้องกัน ที่สุดท้ายกลายเป็นเรื่องโอละพ่อ ถูกปฏิเสธโดยสำนักพระราชวัง ภาพขณะที่พระเทพฯทรงพระราชทานถุงยังชีพในปีที่แล้ว (2553) ก็ถูกแพร่กระจายอย่างตั้งใจที่จะทำให้คนไทยเข้าใจผิด

นี่จะเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมกันโจมตียิ่งลักษณ์โดยมีจุดหมายที่การทำลายความเชื่อมั่นในรัฐบาลหรือไม่? แน่นอนที่สุดว่าพรรคฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์กำลังสารวลในการแย่งความชอบธรรมจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หัวหน้าพรรคอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเองก็ผลักดันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูให้ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน เพื่อสู้กับภัยน้ำท่วม ภายใต้พรก.นี้ กองทัพจะได้รับอำนาจให้สามารถปฏิบัติการได้อย่างที่กองทัพต้องการ ซึ่งในบางเรื่องอาจจะไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลขณะนี้ อย่างไรก็ตามอภิสิทธิ์ไม่ได้อธิบายว่ากองทัพจะสามารถรับมือกับปัญหาน้ำท่วมได้ดีกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้อย่างไร

อภิสิทธิ์ยังได้ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับ มรว.สุขุมพันธ์ (บริพัตร) เพื่อ"แข่งขัน" ไม่ใช่ "ร่วมมือ" กับรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ถูกหลายคนตราหน้าว่า "โง่" แต่ขณะเดียวกันสุขุมพันธ์ก็แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาในพิธีกรรมที่มีรากมาจากขอมเพื่อ "ไล่น้ำ" ว่าเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันมหานครจากน้ำท่วม เขายังแสดงความหวงพื้นที่อย่างมาก จนคราหนึ่งถึงกับประกาศกร้าวว่า "ขอให้ทุกคนฟังผมคนเดียวเท่านั้น ผมจะเป็นคนบอกให้อพยพเอง"

ในเวลาเดียวกัน ภาพของทหารที่ลงไปในพื้นที่เพื่อช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมเป็นที่ประทับใจอย่างมาก แต่ทหารก็เช่นเดียวกับผู้ว่า กทม. คือ ทำงานอย่างเป็นอิสระจากรัฐบาล แสดงให้เห็นภาพของการแข่งขันอย่างดุเดือดระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายตรงข้าม และเสียงวิจารณ์ที่แรงที่สุดคือการขอให้ยิ่งลักษณ์ลาออก ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลก็ตีความภาพการแก่งแข่งชิงผลงาน และ แรงกดดันให้นายกลาออก เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ "รัฐประหารด้วยน้ำ"

การไม่หยุดปัดแข้งปัดขาแม้ในสภาวะวิกฤตที่สุดของชาติ แสดงให้เห็นถึงความจริงข้อหนึ่งของประเทศไทย ที่ว่าความแตกแยกในสังคมไทยตอนนี้มันบาดลึกยากเยียวยา เสียจนทำให้ ความเชื่อทางการเมือง สามารถอยู่เหนือ ความรับผิดชอบต่อสาธารณะ และ ความฉุกเฉินในการเยียวยาประเทศได้ ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ประชาชนยินดีที่จะทิ้งความแตกแยกไว้ข้างหลังแล้วจับมือฟันฝ่ามหันตภัยไปด้วยกันอีกต่อไปแล้ว การอาศัยภัยภิบัติของชาติเพื่อกำจัดศัตรูทางการเมืองจึงกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในปัจจุบัน

การทุ่มเทสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อป้องกันเมืองหลวงจากการจมอยู่ใต้น้ำนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่นึกถึงแต่ตัวเองของชาวกรุง กรุงเทพที่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้งทางการเมือง ในขณะที่จังหวัดอื่นต่างต้องทนทุกข์อยู่ใต้น้ำที่ไม่มีวี่แววว่าจะลดมานาน มันแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำอย่างมากระหว่างคนต่างจังหวัดกับคนเมืองหลวง

ตอนนี้ดูเหมือนว่า คนที่บ่นมากที่สุด โวยวายเสียงดังที่สุด กลับกลายเป็นคนกรุงเทพ ทั้งที่สวรรค์เป็นใจให้กว่าสองเดือนมาแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองกรุงยังถูกปกป้องให้คงความแห้งสนิทไว้ได้ ยิ่งลักษณ์เองกำลังตกอยู่ในกับดักความเหลื่อมล้ำทางการเมือง เธอเข้าใจถึงความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องป้องกันกรุงเทพไว้เพื่อเอาใจเหล่าขาประจำชาวกรุง แต่การทำงานที่ล่าช้าก่อนหน้านี้ไม่สามารถป้องกันจังหวัดรอบข้างไม่ให้จมอยู่ใต้น้ำได้

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาลสูงแคนาดาตัดสิน "การแปะลิงก์ไม่ใช่อาชญากรรม"

Posted: 25 Oct 2011 11:57 PM PDT

ศาลสูงแคนาดาตัดสินว่า การแปะลิงก์เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทไม่นับเป็นการสร้างเนื้อหาขึ้น ซึ่งส่งผลให้คุ้มครองผู้แชร์ข้อมูลจากความรับผิด หากว่าเขาโพสต์ลิงก์ที่มีข้อความหมิ่นประมาทโดยไม่ตั้งใจ

 

คำตัดสินที่เป็นเอกฉันท์นี้มีสาเหตุจากการฟ้องร้องคดีของ เวย์น ครุกส์ เจ้าของบริษัทธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ กล่าวหา จอน นิวตัน บล็อกเกอร์รายหนึ่งว่า ในโพสต์ของเขา มีลิงก์ซึ่งโยงไปสู่ข้อมูลหมิ่นประมาทครุกส์และพรรคกรีนของแคนาดา 

ศาลลงความเห็นว่า การลิงก์หรืออ้างถึงข้อมูลหมิ่นประมาทนั้นไม่ได้หมายความว่าลิงก์หรือการอ้างอิงนั้นเป็นการหมิ่นประมาทในตัวมันเอง

"การสื่อสารบางสิ่งบางอย่างแตกต่างอย่างมากจากการเพียงสื่อสารว่าบางสิ่งมีอยู่จริงหรือที่ไหนที่มันอยู่" คำตัดสินยาว 72 หน้าระบุ " อย่างแรกเกี่ยวกับการกระจายเนื้อหา และควบคุมทั้งเนื้อหา รวมถึงการเข้าถึงของผู้รับสาร ขณะที่อย่างหลังไม่ใช่ แม้ว่าจุดมุ่งหมายของผู้ที่อ้างอิงไปยังเนื้อหาหมิ่นประมาทจะคือการขยายวงผู้รับสาร แต่การมีส่วนร่วมของพวกเขาหรือเธอก็เป็นเพียงส่วนประกอบของผู้เริ่มเผยแพร่ ไม่ว่าจะอ้างถึงหรือไม่ก็ตาม ข้อมูลที่ อ้างว่ามีเนื้อหาหมิ่นประมาทก็ถูกทำให้สาธารณะเข้าถึงได้ โดยผู้เผยแพร่คนแรกหรือการกระทำของผู้เผยแพร่อยู่แล้ว"

ศาลระบุว่า ไฮเปอร์ลิงก์เป็นการอ้างอิงไปยังเนื้อหาซึ่งผู้ที่โพสต์ลิงก์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสร้างเนื้อหานั้นๆ ซึ่งในสหรัฐฯ กรณีเช่นนี้ เขาจะถูกกันออกจากความรับผิดที่อาจเกิดขึ้น 

"ข้อเท็จจริงที่ว่าการเข้าถึงเนื้อหาเหล่านั้นผ่านไฮเปอร์ลิงก์นั้นรวดเร็วกว่าเชิงอรรถ ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่า ไฮเปอร์ลิงก์โดยตัวมันเองมีความเป็นกลางทางเนื้อหา มันไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ และไม่ได้มีอำนาจควบคุมเหนือเนื้อหาที่มันอ้างถึง" คำตัดสินระบุ

ผู้พิพากษาตัดสินว่าไฮเปอร์ลิงก์ถูกใช้อย่างแพร่หลายและเป็นองค์ประกอบสำคัญของอินเทอร์เน็ต ในการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล ดังที่อธิบายไว้ในหนังสือ “การคุ้มครองไฮเปอร์ลิงก์และปกป้องคุณค่ารัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ในอินเทอร์เน็ต” (Protecting Hyperlinks and Preserving First Amendment Values on the Internet) ซึ่งเขียนโดยแอนจาลี ดาลัล จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล 

จากการอธิบายของดาลัล ศาลตัดสินว่า การจำกัดการใช้ไฮเปอร์ลิงก์จะสร้างความเสียหายต่อการไหลเวียนอย่างเสรีของข้อมูลและเสรีภาพในการแสดงออก

"โดยสรุป อินเทอร์เน็ตจะไม่สามารถเอื้อให้เกิดการเข้าถึงข้อมูล โดยปราศจากไฮเปอร์ลิงก์ การจำกัด คุณประโยชน์ของมัน โดย การทำตามกฎของสิ่งพิมพ์แบบดั้งเดิม จะก่อให้เกิดการจำกัดการไหลเวียนของข้อมูลอย่างร้ายแรง ซึ่งจะส่งผลต่อเสรีภาพในการแสดงออกตามมา" คำตัดสินระบุ " ความน่ากลัวที่เป็นไปได้ของการทำหน้าที่ของอินเตอร์เน็ตอาจเป็นเรื่องที่เลวร้ายทีเดียว เนื่องจากผู้เขียนบทความดั้งเดิม คงไม่อยากจะเสี่ยงในการรับผิดในการลิงก์เนื้อหาไปยังอีกบทความหนึ่ง ซึ่งเขาไม่อาจควบคุมเนื้อหาที่สามารถเปลี่ยนไปมาได้"   

ศาลตัดสินว่า วิธีแก้ที่ดีที่สุดสำหรับโจทก์ในคดีหมิ่นประมาทคือ การค้นหาบุคคลหรือกลุ่มคนที่ต้องรับผิดชอบกับการสร้างและควบคุมการกระทำที่ถูกกล่าวหา มากกว่าที่จะฟ้องร้องผู้ที่เพียงแค่ลิงก์ไปที่เนื้อหาดังกล่าว 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าองค์คณะตุลาการจะเห็นตรงกันให้ยกฟ้องคดี แต่ตุลาการบางรายได้เสนอมุมมองที่ต่างออกไปว่าการไฮเปอร์ลิงก์อาจเป็นการทำซ้ำข้อมูลหมิ่นประมาท

หัวหน้าตุลาการ บีเวอร์ลีย์ แมคลาชลิน และตุลาการ มอร์ริช ฟิช ตัดสินว่า ไฮเปอร์ลิงก์อาจจะเป็นการหมิ่นประมาทได้ในบางคดี  

"การเผยแพร่ข้อความหมิ่นประมาทผ่านไฮเปอร์ลิงก์ควรมีการลงความเห็นว่า ข้อความที่ระบุไปที่ลิงก์ดังกล่าวเลือกใช้หรือเห็นด้วยกับเนื้อหาที่ลิงก์ไปหรือไม่ ถ้าข้อความแสดงถึงความเห็นด้วยกับข้อความที่ลิงก์ไป เมื่อนั้น ผู้ที่แปะลิงก์ควรต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาหมิ่นประมาทนั้น" คำตัดสินระบุ (ตัวเน้นตามต้นฉบับ) "จำเลยต้องเลือกใช้หรือเห็นชอบกับถ้อยคำหรือข้อความหมิ่นประมาท แค่การอ้างอิงไปที่เว็บนั้นไม่เพียงพอ ดังนั้น การลิงก์ของจำเลยซึ่งพิสูจน์แล้วว่าลิงก์ไปยังเว็บที่ไม่มีความผิด แต่ต่อมา มีเนื้อหาหมิ่นประมาท จึงไม่ต้องรับผิด"

ผู้สังเกตการณ์ในคดีนี้ประกอบด้วยสมาคมสิทธิเสรีภาพพลเมืองแคนาดา สหภาพนักเขียน องค์กรด้านสิทธิ องค์กรสื่อ และองค์กรด้านกฎหมายสื่อในแคนาดา
 

 

แปลและเรียบเรียงจาก Canada's Supreme Court Protects Hyperlinkers,  20 ต.ค.54
ภาพประกอบจาก
Mykl Roventine (CC BY 2.0)

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น