โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

รำลึกวีรกรรม “ชุน เต-อิล” ถึงสหายหนุ่มสาวที่ยังฝัน วารสาร "คนทำงาน" พฤศจิกายน 2554

Posted: 22 Dec 2011 11:02 AM PST


Published under a Creative Commons License By attribution, non-commercial

บทวิเคราะห์บีบีซี: หยดน้ำตาเกาหลีเหนือนั้นโศกจริงแท้แค่ไหน

Posted: 22 Dec 2011 10:55 AM PST

ความโศกเศร้าเสียใจของประชาชนเกาหลีเหนือหลังจากการเสียชีวิตของท่านผู้นำคิม จอง อิล เป็นไปอย่างลึกซึ้งทุกหย่อมหญ้า หากแต่ประชาชนของเขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ หรือพวกเขาเพียงแค่ปฏิบัติตามสิ่งที่คิดว่าควรจะทำกันแน่?

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา บีบีซี แม็กกาซีน วิเคราะห์ปรากฎการณ์ความโศกเศร้าในเกาหลีเหนือหลังการเสียชีวิตของท่านผู้นำคิม จอง อิล ที่ซึ่งประชาชนชนต่างร้องไห้คร่ำครวญตามอย่างผู้ประกาศในช่องทีวีรัฐบาล ผู้ซึ่งแต่งกายในชุดดำและกลั้นสายน้ำตาไว้ไม่อยู่ในช่องโทรทัศน์ ต่อจากนั้น ก็มีการหลั่งน้ำตา การคร่ำครวญและการตีอกชกหัวของประชาชนในระดับที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งหญิงและชายชาวเกาหลีต่างร้องห่มร้องไห้ตามกระแสอุปทานหมู่ขนาดใหญ่ที่ไม่มีอะไรจะควบคุมได้
"ท่านจากเราไปได้อย่างไร?" ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวพลางปาดน้ำตาออกจากใบหน้า

ภาพเหตุการณ์ดังกล่าวคล้ายคลึงกับยุคของการไว้อาลัยการเสียชีวิตของคิม อิล ซุง ผู้ซึ่งเป็นบิดาของคิม จอง อิลในปี 1994 หากแต่ความโศกดังกล่าวนี้จริงแท้เพียงใด?

แอนโทนี่ แดเนียลส์ นักจิตวิทยาและนักเขียนชาวอังกฤษ กล่าวว่า เป็นเรื่องยากมากที่จะรู้ เขาเองเคยเดินทางไปเยือนเกาหลีเหนือในปี 1989 ในฐานะคณะผู้แทนจากอังกฤษเพื่อเข้าร่วมเทศกาลเยาวชนและนักศึกษาสากล และเล่าถึงประสบการณ์ดังกล่าว

เขากล่าวว่า "มันเป็นความรู้สึกที่ผสมกันระหว่างความกลัว ความหวาดระแวง และการไม่รู้ถึงอนาคต การอุปทานหมู่ และก็มีความโศกเศร้าเสียใจจริงๆ ปนอยู่ด้วย

"มันเป็นเรื่องยากที่จะรู้ความจริง และผมคิดว่าเราคงไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไร เพราะนอกจากกำแพงทางวัฒนธรรมที่มาขวางกั้นแล้ว เรายังต้องคิดด้วยว่า นี่เป็นระบอบการปกครองที่สิ่งต่างๆ ที่ไม่ถูกห้ามนั้นเป็นเรื่องบังคับ ฉะนั้นก็เป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจพวกเขาจริงๆ นั้นเป็นยังไง"

เขาบอกว่า ในปี 1989 ซึ่งเป็นปีที่เขาได้เดินทางไปเกาหลีเหนือนั้น ยังไม่มีการแสดงอารมณ์อะไรที่ชัดเจนมากนัก นอกจากอุปทานหมู่

"เมื่อตอนที่ผมอยู่ในสนามกีฬาขนาดใหญ่และท่านผู้นำคิม อิล ซุงเดินเข้ามา ทุกคนยืนขึ้นโดยพร้อมเพรียงกันและก็ทำความเคารพบูชาอย่างจริงจังและก็ปล่อยเสียงอื้ออึงออกมา มันอาจจะเป็นไปได้ว่าคนพวกนี้จำใจจะต้องทำตาม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นไปได้ว่าหลายๆ คนมีความรู้สึกบูชาท่านผู้นำเช่นนั้นจริงๆ...คล้ายกับตอนที่สตาลินเสียชีวิต ก็มีคนร้องไห้เสียใจบนท้องถนนเช่นกัน ถึงแม้ว่ามันจะเบากว่าของเกาหลีเหนือหน่อยก็ตาม"

แดเนียลส์ ผู้เขียนหนังสือ The Wilder Shores of Marx กล่าวว่า การที่ผู้คนรู้สึกถูกบังคับให้แสดงออกทางอารมณ์ก็มีอยู่บ้างในตะวันตก เช่น หลังจากการเสียชีวิตของเจ้าหญิงไดอาน่า มีบางคนที่รู้สึกกลัวที่จะแสดงออกแตกต่างไปจากภาวะโศกเศร้าในช่วงการไว้ทุกข์ แต่แน่นอนว่าระดับของการบังคับของที่นั่นและเกาหลีเหนือนั้นมีความแตกต่างกัน

ในหนังสือที่ชื่อว่า Nothing To Envy: Ordinary Live in North Korea เขียนโดยบาร์บาร่า เดมิค ชี้ว่า ภายหลังการเสียชีวิตของคิม อิล ซุง ในปี 1994 เป็นการเล่นละครที่แข่งกันโศกเศร้าว่าใครสามารถร้องไห้ได้ดังที่สุด

เธอเล่าว่า มีนักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ได้รู้สึกร่วมไปกับคนรอบข้างที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายเลย หากแต่อนาคตของเขาขึ้นอยู่กับความสามารถในการร้องไห้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเสี่ยงต่ออาชีพและสมาชิกภาพของเขาในพรรคแรงงานเท่านั้น แต่ความอยู่รอดของเขาก็อยู่บนเขียงด้วย มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นความตายเลยทีเดียว

เธอเขียนว่า สุดท้าย หนุ่มคนนั้นก็สามารถเอาตัวรอดได้ด้วยการถ่างตาไว้นานๆ จนกระทั่งรู้สึกแสบตาและทำให้เขาสามารถหลั่งน้ำตาออกมาได้ เมื่อคนอื่นๆ เริ่มร้องไห้ เขาก็สามารถสะอึกสะอื้นได้ตามที่คนอื่นทำ

เคอรรี บราวน์ หัวหน้าฝ่ายโครงการเอเชีย ของ Chatham House ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยของอังกฤษด้านยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ชี้ว่า สำหรับชาวเกาหลีเหนือบางส่วน เป็นไปได้ว่าการร้องไห้เศร้าโศกนี้เป็นปฏิกิริยาธรรมชาติ เนื่องจากการรับรู้การเสียชีวิตของท่านผู้นำ ทำให้พวกเขากังขาถึงอัตลักษณ์ ความมั่นคง และความสามารถในการมีชีวิตอยู่ของตนเอง

เขากล่าวว่า เกาหลีเหนือเป็นประเทศที่รู้สึกว่าตนเองกำลังเตรียมทำสงครามสู้รบอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ประชาชนรู้สึกว่าเขาไดรับการดูแลโดยท่านผู้ที่แสนดีของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่รู้แน่ว่าความรู้สึกจริงๆ ของประชาชนเกาหลีเหนือเป็นอย่างไร เช่นเดียวกับที่เราไม่รู้การช่วงชิงอำนาจภายในกลุ่มชนชั้นนำ

"การควบคุมข้อมูลนั้นสูงมากจนอาจจะเป็นไปได้ว่าพวกเขาเกิดความรู้สึกช็อคอย่างแท้จริง ฉะนั้นก็อาจจะกล่าวได้ว่ามันเป็นอุปทานหมู่ในระดับหนึ่ง แต่มันจะเป็นสิ่งเดียวกับที่เราเรียกว่าความโศกเศร้าในโลกตะวันตกได้หรือไม่ นั่นก็อีกเรื่อง"

บราวน์กล่าวว่า ประชาชนที่นั่นจะถูกกรอกหูอยู่ตลอดเวลาว่าพวกเขาถูกโจมตีอยู่ตลอดเวลาในสงครามกับอเมริกา และ "ชัยชนะ"ในอดีตที่ได้มาเป็นเพราะมีผู้นำที่เข้มแข็ง ฉะนั้นการสูญเสียประมุขในระบอบพ่อปกครองลูกเช่นนี้จึงเป็นที่กระทบจิตใจเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม บราวน์คิดว่าความโศกเศร้าในปี 1994 หลังจากการเสียชีวิตของคิม อิล ซุงเป็นเรื่องที่น่าช็อคยิ่งกว่านี้มากเพราะสถานะของเขาในสังคมเกาหลียิ่งใหญ่กว่า ฉะนั้น ภาวะโศกเศร้าในครั้งนี้จึงไม่น่าจะลึกซึ้งหรือกระทบจิตใจมากเท่าคราวที่แล้วเท่าใดนัก

แปลจาก Tom Geoghegan. How genuine are the tears in North Korea?, BBC News Magazine. 20/12/11.

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "ศตวรรษนี้ UN อย่าเสือก USA อย่าจุ้น"

Posted: 22 Dec 2011 10:49 AM PST

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "ศตวรรษนี้ UN อย่าเสือก USA อย่าจุ้น"

ธเนศวร์ เจริญเมือง: จากสยามานุวัตรถึงอุตรโครียานุวัตร

Posted: 22 Dec 2011 09:45 AM PST

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ที่ผ่านมา ที่ห้องประชุมใหญ่ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีการจัดเสวนา "6 ทศวรรษ กับการเปลี่ยนแปลงในสังคมท้องถิ่นล้านนา"  เนื่องในโอกาสเกษียณอายุราชการของ ศ.ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักวิชาการด้านการเมืองการปกครองส่วนท้องถิ่น

โดยในช่วงท้าย ธเนศวร์ได้กล่าวปิดการเสวนากล่าวถึงผลจากภาวะ "สยามานุวัตร" หรือการรวมศูนย์อำนาจอย่างหนักของประเทศในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา และแนวโน้มของสิ่งที่ธเนศวร์เรียกว่า "อุตรโครียานุวัตร" ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

"สยามานุวัตร" และ "อุตรโครียานุวัตร" หมายถึงสิ่งใด มีรายละเอียดอยู่ในการอภิปรายของธเนศวร์ ดังต่อไปนี้

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สปส.แจงเงินสะสมล่าสุด 8 แสนล้าน เริ่มปรับจ่ายค่ารักษาตามกลุ่มโรคร้ายแรง 1 ม.ค.

Posted: 22 Dec 2011 08:39 AM PST

สปส.แถลงผลดำเนินการปี 54 - เผย 1 ม.ค.55 ปรับรูปแบบวิธีจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามกลุ่มโรคร้ายแรง และเพิ่มเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับ รพ.ในอัตรา 1,446 บาทต่อคนต่อปี ส่วนเริ่มโครงการบัตร 1 ใบรักษาได้ทุกโรงพยาบาล กลางปี 55

นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) แถลงผลการดำเนินงานปี 2554 ว่า ปัจจุบันมีผู้ประกันตนอยู่ในความดูแลของ สปส. กว่า 10 ล้านคน สถานประกอบการกว่า 400,000 แห่ง โดยในปี 2554 ได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตน 6 กรณี ครอบคลุมหลายด้าน ทั้งด้านทันตกรรม โรคไต ขยายสิทธิการรับยาต้านไวรัสเอดส์ กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินไม่จำกัด นอกจากนี้ ยังได้ออกพระราชบัญญัติการกลับเป็นผู้ประกันตน พ.ศ.2554 ซึ่งมีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2554 ทำให้ผู้ที่ว่างงานขาดส่งเงินสมทบ 389,418 คน สามารถกลับเข้าระบบได้อีก จนถึงปัจจุบันกลับเป็นผู้ประกันตนแล้ว 48,583 คน

เลขาธิการ สปส. กล่าวอีกว่า เงินสะสมของกองทุนประกันสังคม ณ ปัจจุบันมีอยู่ที่ 846,500 ล้านบาท ตั้งแต่มีการบริหารกองทุนฯ สามารถทำกำไรได้ร้อยละ 35 หรือกว่า 200,000 ล้านบาท

สำหรับแผนดำเนินงานในปี 2555 สปส.มีหน้าที่ต้องเร่งบริหารกองทุนให้ได้กำไรสูงสุด เพราะในปี 2557 จะเป็นปีแรกที่ สปส.ต้องจ่ายเงินกรณีชราภาพ ซึ่งคาดว่าเมื่อเริ่มจ่ายหลังจากนั้น 24 ปี สปส.จะมีรายรับและรายจ่ายในสัดส่วนเท่ากัน และหลังจากนั้นอีก 6 ปี เงินที่สะสมมาจะเป็นศูนย์บาท จึงต้องเร่งนำเงินกองทุนเน้นลงทุน โดยแผนลงทุนในปี 2555 อยู่ระหว่างขออนุมัติจากคณะกรรมการประกันสังคม เน้นลงทุนพันธบัตรรัฐบาล และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ที่มั่นคงสูงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ส่วนการลงทุนในหุ้นคงสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 10 เน้นลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี ลงทุนระยะยาวเพื่อรอรับเงินปันผล ส่วนแผนลงทุนในต่างประเทศ จะใช้วงเงินเดิมที่ได้รับอนุมัติแล้ว เน้นลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ตราสารทุนต่างประเทศและกองทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศที่มั่นคงสูง

สำหรับสิทธิประโยชน์ในปี 2555 ในวันที่ 1 ม.ค. 2555 สปส. ปรับรูปแบบวิธีการจ่ายค่ารักษาพยาบาล เป็นการจ่ายตามกลุ่มโรคร้ายแรง ซึ่งยืนยันวงเงิน 15,000 บาทต่อการรักษาโรคร้ายแรงไม่สูงเกินไป มีการวิจัยและรวบรวมข้อมูลจากโรงพยาบาลแพทย์แล้ว เพิ่มเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับโรงพยาบาลในอัตรา 1,446 บาทต่อคนต่อปี โดยผู้ประกันตนที่เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงและมีค่ารักษาสูง จะมีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการเข้าถึงการรักษา นอกจากนี้ ในปีหน้า สปส. จะต้องบริหารจัดการเงินกองทุนฯ เพื่อรองรับการลดอัตราเงินสมทบจากเหตุอุทกภัยจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วย โดยตั้งแต่ 1 ม.ค.55 -31 ธ.ค.55 ตลอดทั้งปี จะมีโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน งบประมาณกว่าหมื่นล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ได้รับดอกเบี้ยในอัตราถูก โดยวงเงินที่สถานประกอบการมีสิทธิกู้ขึ้นตามจำนวนลูกจ้างที่มี และมีเงื่อนไขต้องคงจำนวนลูกจ้างเท่าเดิม หากผิดเงื่อนไขจะไม่ได้อัตราดอกเบี้ยต่ำตามที่กำหนด มาตรการนี้รองรับนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เพื่อไม่ให้มีการเลิกจ้างลดจำนวนลูกจ้างลง

ในส่วนของสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน บัตร 1 ใบ รักษาได้ทุกโรงพยาบาล คาดว่าจะเริ่มได้กลางปี 2555 นอกจากนี้ จะขยายสิทธิประโยชน์ของแรงงานนอกระบบหลังพ้นระยะ 1 ปี และเพิ่มคุ้มครองสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจากเหตุภัยพิบัติเป็นการเฉพาะ

 

ที่มา: สำนักข่าวไทย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กทม.ชะลอ 4 โครงการยักษ์ เปิดทาง'ดีเอสไอ-สตง.'สอบ

Posted: 22 Dec 2011 07:31 AM PST

รองผู้ว่า กทม.เผย สั่งชะลอ 4 โครงการยักษ์ กทม. เปิดทางดีเอสไอ-สตง.สอบข้อกังขา พร้อมผันงบใช้ฟื้นฟูหลังน้ำท่วมกรุงแทน

(22 ธ.ค.54) นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวว่า จากปัญหาการขอตรวจสอบการดำเนินงานโครงการต่างๆ ของ กทม. อาทิ โครงการติดตั้งระบบตรวจจับรถฝ่าสัญญาณไฟจราจร โครงการจัดซื้อเครื่องออกใบสั่งอัตโนมัติ จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ทำให้ข้าราชการประจำเกิดความกังวลใจในการดำเนินงานโครงการดังกล่าว โดยได้ทำหนังสือขอชะลอการดำเนินงานโครงการ จนกว่าการชี้แจงข้อเท็จจริงในการดำเนินการต่อหน่วยที่ร้องขอเสร็จสิ้น

นายธีระชน กล่าวว่า ดังนั้นเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสามารถชี้แจงต่อสาธารณะได้ ตนเองในฐานะกำกับดูแลสำนักการจราจรและขนส่ง และสำนักงบประมาณ กทม. ได้เห็นชอบให้ชะลอ 4 โครงการออกไปก่อน ประกอบด้วย 1.โครงการติดตั้งระบบตรวจจับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร 2.โครงการจัดซื้อเครื่องออกใบสั่งอัตโนมัติ 3.โครงการซุปเปอร์สกายวอล์ก และ 4.โครงการโมโนเรล เพื่อนำเงินงบประมาณไปใช้ในกิจกรรมการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมในกรุงเทพฯซึ่งมีความเร่งด่วนมากกว่า

"การชะลอโครงการกทม.เพื่อให้การตรวจสอบจากหน่วยงานต่างๆ ดำเนินไปจนกระทั่งหมดข้อกังขา เพื่อให้ภาคประชาสังคมมีความเข้าใจ ที่สำคัญข้าราชการในฐานะผู้ปฏิบัติซึ่งต้องรับผิดชอบโดยตรง จะต้องไม่มีความกังวลใจในการปฏิบัติงานเช่นกัน" นายธีระชน กล่าว

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สหรัฐฯ สั่งเซ็นเซอร์ข้อมูลหวัดนกสายพันธุ์ใหม่ หวั่นถูกสร้างเป็นอาวุธชีวภาพ

Posted: 22 Dec 2011 05:30 AM PST

เดอะการ์เดียนรายงานว่า คณะที่ปรึกษาด้านความมั่นคงทางชีวภาพแห่งชาติของสหรัฐฯ (NSABB) ได้เรียกร้องให้บรรณาธิการวารสารวิทยาศาสตร์ระงับข้อมูลเรื่องไข้หวัด H5N1 บางส่วนเนื่องจากเกรงว่าจะถูกผู้ก่อการร้ายนำไปใช้เป็นอาวุธชีวภาพ ด้านนักวิทยาศาสตร์บางส่วนมองว่าการระงับข้อมูลนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา วัคซีนและยารักษา

21 ธ.ค.2554 - นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า การที่รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามจำกัดการเผยแพร่เอกสารที่พูดถึงอันตรายของไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่นั้นจะเป็นอุปสรรคต่อการคิดค้นวัคซีนเพื่อต่อสู้กับโรคนี้

ฝ่ายเฝ้าระวังด้านความปลอดภัยทางชีวภาพของสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้วารสารวิทยาศาสตร์ชั้นนำของสหรัฐฯ 2 ฉบับ คือ วารสาร Science และวารสาร Nature ถอด 'ข้อมูลที่มีความอ่อนไหว' ออกจากเอกสารงานวิจัย เนื่องจากเกรงว่างานวิจัยชิ้นนี้อาจจะถูก 'ผู้ก่อการร้ายด้วยอาวุธชีวภาพ' นำไปใช้ในทางที่ผิด

แต่กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมวิจัยก็ได้เปิดแถลงข่าวการประชุมหารือกันในกรณีนี้ตั้งแต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้เชี่ยวชาญบางคนสงสัยว่าการแก้ไขตัวเอกสารงานวิจัยชิ้นนี้จะส่งผลสะเทือนอย่างมากจริงหรือไม่

"เราเข้าใจว่าเรื่องนี้น่าเป็นห่วง แต่การปิดกั้นการเผยแพร่ข้อมูลในตอนนี้มันก็เหมือน 'วัวหายล้อมคอก' " จอห์น วูด อดีตนักไวรัสวิทยาจากสถาบันควบคุมมาตรฐานเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติของอังกฤษกล่าวและว่า "มันไม่ทำให้เกิดการพัฒนา"

คณะที่ปรึกษาด้านความมั่นคงทางชีวภาพแห่งชาติของสหรัฐฯ (NSABB) ได้ติดต่อบรรณาธิการของวารสารหลังจากพิจารณาเอกสารงานวิจัยสองชิ้นจาก รอน โฟวเชียร์ จากศูนย์การแพทย์อิราสมุสในร็อทเทอดัม และโยชิฮิโร คาวาโอกะ จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิล เมืองเมดิสัน

เอกสารงานวิจัยเปิดเผยผลการทดลองคุณลักษณะของหวัดนก H5N1 ซึ่งบอกว่าแม้มันจะไม่ได้ติดต่อจากมนุษย์ไปสู่มนุษย์อีกคนได้โดยง่าย แต่ก็มีการผ่าเหล่าทางพันธุกรรมเพื่อทำให้มันติดต่อได้ง่ายขึ้น

แม้ว่าการแพร่กระจายของหวัดนกจะคร่าชีวิตคนที่ติดเชื้อไปจำนวนมาก แต่คนมักจะติดเชื้อจากไวรัสโดยตรงจากสัตว์จำพวกนกมากกว่า ตั้งแต่ไวรัสตัวนี้เป็นที่รู้จักกันนักวิทยาศาสตร์ก็พยายามค้นหาว่าเหตุใดไวรัสตัวนี้ถึงผ่าเหล่าและกลายเป็นสายพันธุ์ที่สามารถติดต่อผ่านคนต่อคนได้อย่างรวดเร็ว

สายพันธุ์ที่ผ่าเหล่าพวกนี้ถูกนำมาใช้ศึกษาวิจัยเพื่อสร้างยารักษาและวัคซีน แต่หากเชื้อนี้ถูกแพร่ออกมาจากห้องแล็บของมหาวิทยาลัยที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดแล้ว ก็สามารถทำให้เกิดการระบาดหนักทั่วโลกได้

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ดร.โฟวเชียร์ บอกกับนักข่าวจากวารสาร Science ว่าสายพันธุ์ของหวัดนกที่ทีมของเขาสร้างขึ้นน่าจะเป็น "ไวรัสสายพันธุ์ที่อันตรายที่สุด" เท่าที่สร้างขึ้นมาได้ โดยในวารสารดังกล่าวยังได้เผยแพร่คำพูดของพอล เคียม ประธาน NSABB ผู้ที่มีชื่อเสียงจากการทำงานกรณีเชื้อแอนแทรกซ์มาก่อน เขาบอกว่า "ผมไม่อาจนึกถึงเชื้อโรคตัวไหนที่น่ากลัวเท่านี้มาก่อน ผมว่าแอนแทรกซ์ไม่ได้น่ากลัวอะไรเมื่อเทียบกับเชื้อนี้"

ทาง NSABB ยังได้เรียกร้องให้บรรณาธิการของวารสารลบข้อความส่วนหนึ่งออกจากบทความที่กล่าวถึงวิธีการทำการทดลอง รวมถึงเนื้อหาอื่นๆ ที่กลุ่มก่อการร้ายอาจนำไปใช้ในการปล่อยเชื้อสายพันธุ์อันตราย ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐฯ ก็สนับสนุนการควบคุมข้อมูลนี้

ในตอนนี้ทางวารสารกำลังทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการตีพิมพ์เอกสารฉบับที่ถูกแก้ไขแล้ว แต่สำหรับผู้ที่เป็นนักวิจัยในเรื่องนี้จริงๆ จะยังคงสามารถเข้าถึงข้อมูลวิธีการปฏิบัติและข้อมูลอื่นๆ ที่ถูกถอดออกไปได้ เอกสารฉบับดังกล่าวมีกำหนดเผยแพร่ในอีก 1 เดือนข้างหน้า

ริชาร์ด อีไบร์ท ศาตราจารย์ด้านชีววิทยาโมเลกุลจากมหาวิทยาลัยรัทเจอส์ นิว เจอร์ซี กล่าวว่า แผนการเผยแพร่เอกสารฉบับที่แก้ไขแล้วนั้นไม่ได้ทำให้เกิดผลใดๆ เลยในเชิงปฏิบัติ เนื่องจากข้อมูลที่ถูกตัดออกได้ถูกนำเสนอในที่ประชุม และเป็นที่รับรู้กันในหมู่เจ้าหน้าที่ด้านวารสารและนักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมพิจารณาเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้แล้วทั้งเจ้าหน้าที่ของ NSABB และเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ หลายสิบคน ยังได้เห็นเอกสารฉบับเต็มนี้แล้ว รวมถึงข้อมูลสำคัญในเอกสารนั้นยังได้เผยแพร่ไปในสื่อวิทยาศาสตร์และสื่อกระแสหลักแล้วด้วย

"การตีพิมพ์บทความใหม่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ามาตรการประชาสัมพันธ์ 'การตกแต่งหน้าร้าน' การมีเจตนาที่จะทำให้คนรู้ว่าเราได้เผยแพร่ข้อมูลนี้แล้ว และเพื่อทำให้เกิดปฏิกิริยาในแง่ลบจากประชาชนให้น้อยที่สุด รวมถึงเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากการควบคุมข้อมูลอย่างจริงจังด้วย" อีไบร์ทกล่าว

เวนดี้ บาร์เคลย์ หัวหน้าหน่วยงานไวรัสวิทยาไข้หวัดใหญ่จากวิทยาลัยอิมพีเรียล ลอนดอน กล่าวว่า ข้อมูลการผ่าเหล่าของหวัดนกที่ระบุในเอกสารไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยสำหรับคนที่มีความรู้โดยทั่วไปในเรื่องไวรัสไข้หวัดใหญ่ และสงสัยว่าทำไมจึงต้องมีการจำกัดการเข้าถึงข้อมูลของเอกสารงานวิจัยฉบับเต็ม

"ฉันไม่เชื่อเลยว่าการระงับการเผยแพร่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์การนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด ซึ่งมีโอกาสเกิดน้อยมาก แต่ฉันกำลังกังวลว่าการกระทำเช่นนี้อาจทำให้พัฒนาการในการควบคุมโรคติดต่อของพวกเราหยุดชะงัก" เวนดี้กล่าว

"ข้อมูลทางเทคนิคของการทดลองเป็นเรื่องสำคัญที่จะเผยแพร่กับผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ในสายวิชา ดังนั้น ความตื่นตาตื่นใจของการค้นพบและผลของข้อมูลควรเข้าถึงได้อย่างแท้จริง และข้อมูลใหม่นี้ถึงจะสามารถนำไปปฏิบัติใช้จริงต่อไปได้" เวนดี้กล่าว

 
 

ที่มา

US government urges scientists to censor findings on new strain of bird flu, 21-12-2011, The Guardian
http://www.guardian.co.uk/world/2011/dec/21/bird-flu-mutation-nationa-security
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ผลสำรวจเผยกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ใช้โซเชียลมีเดียสูง

Posted: 22 Dec 2011 04:55 AM PST

ผลการสำรวจธุรกิจนานาชาติของแกรนท์ ธอร์นตัน หรือ The Grant Thornton International Business Report (IBR) เปิดเผยว่าธุรกิจต่างๆ ในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่มีการใช้สื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดียมากกว่าประเทศในแถบตะวันตก แม้แต่ในประเทศไทยเอง 68% ของธุรกิจได้ใช้โซเชียลมีเดียในกิจกรรมบางประเภท ตามหลังเพียงเม็กซิโก (80%) และตุรกี (73%) จาก 39 ประเทศที่ได้รับการสำรวจ

ในภาพรวมแล้ว 43% ของธุรกิจทั่วโลกมีการใช้โซเชียลมีเดียในกิจกรรมบางประเภท ส่วนละตินอเมริกามียอดการใช้ที่สูงกว่าที่ 53% และกลุ่มเศรษฐกิจ BRIC (บราซิล, รัสเซีย, อินดีย, จีน) ที่ 50% อย่างไรก็ตาม กลุ่มเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วมียอดการใช้โซเชียลมีเดียน้อยกว่ามาก กล่าวคือ 40% ในกลุ่มประเทศ G7 และเพียง 35% ในยุโรป ทางด้านกลุ่มประเทศอาเซียน มีการใช้โซเชียลมีเดียอยู่ที่ 45% แม้ว่า 3 ใน 4 ของธุรกิจรายงานว่าได้วางแผนจะขยายการใช้โซเชียลมีเดียในอีก 12 เดือนข้างหน้า

ผลการสำรวจดังกล่าวได้ส่งผลให้ผู้บริหารธุรกิจมองเห็นโอกาสทางธุรกิจออนไลน์มากขึ้น ซึ่งธุรกิจในตลาดอี-คอมเมิร์ซ คาดว่าจะมีมูลค่าการตลาดรวมถึง 1.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2015 (ข้อมูลจาก Cisco Systems)

เอียน แพสโค กรรมการบริหารแกรนท์ ธอร์นตัน ประเทศไทย กล่าวว่า ผลการสำรวจเหล่านี้น่าสนใจอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจต่างๆ ในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่มีการตอบรับการใช้โซเชียลมีเดียรวดเร็วกว่ากลุ่มเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีความเชื่อมั่นมากกว่าว่าการใช้โซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่องจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า ผู้บริโภคและท้ายที่สุดเป็นประโยชน์กับธุรกิจเอง

เป็นที่น่าสนใจว่าการใช้โซเชียลมีเดียของธุรกิจนั้นยังสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจได้ โดยกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ซึ่งมีอัตราการใช้โซเชียลมีเดียสูงสุดนั้น มีการขยายตัวของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ขณะที่กลุ่มประเทศในยุโรปที่มีการใช้โซเชียลมีเดียน้อยกว่านั้นกำลังประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การใช้โซเชียลมีเดียนั้นมิได้เป็นสาเหตุของปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปแต่ประการใด หากผลสำรวจนั้นบ่งชี้ว่ากลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่และกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วมีทัศนคติและกระบวนการทางความคิดที่แตกต่างกันต่อระบบความคิดและระบบการทำงานในรูปแบบใหม่ๆ

เอียน แพสโค ให้ทรรศนะเพิ่มเติมว่า การใช้อินเทอร์เน็ตในวงกว้างของประชากรในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ยังคงล้าหลังยุโรปและอเมริกาเหนือ แต่กลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่มีจำนวนของประชากรที่เป็นฐานการตลาดขาดใหญ่ซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจอย่างมหาศาล เช่น ประเทศจีน ที่มีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 485 ล้านคน หรือเพียง 36% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในปัจจุบัน และเช่นเดียวกับประเทศไทยที่มีความคล้ายคลึงกัน คือมีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 18.3 ล้านคน หรือเพียง 27% ของประชากรทั้งหมด ดังนั้น จึงยังมีโอกาสอย่างมหาศาลสำหรับธุรกิจในประเทศดังกล่าวรอคอยอยู่

นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังคงระบุว่าธุรกิจทั่วโลกใช้โซเชียลมีเดีย เพื่อการโฆษณามากที่สุด (53%) ตามด้วยการสื่อสารกับลูกค้า (51%) และการจ้างงาน (43%) โดยยุโรปมีการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อการโฆษณาสูงสุด (64%) ในขณะที่อเมริกาเหนือใช้เพื่อการจ้างงานสูงสุด (63%) ส่วนละตินอเมริกา (72%) และกลุ่มประเทศอาเซียน (65%) ใช้เพื่อการสื่อสารกับลูกค้าสูงสุด

ผลการสำรวจยังบ่งชี้ว่า 56% ของธุรกิจในไทยใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อติดตามข่าวสาร เปรียบเทียบกับเพียง 26% ในทั่วโลก ตลอดจน 20% ของธุรกิจในประเทศไทยนิยมติดตามข่าวสารทางโทรทัศน์ และมีเพียง 10% ที่ติดตามข่าวสารทางหนังสือพิมพ์ อย่างไรก็ตาม 66% ของผู้นำธุรกิจในประเทศไทยยังคงอ่านหนังสือพิมพ์อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ขณะที่ค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 79%

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

'นิว แมนดาลา' เผยโพสต์ยอดนิยม 10 อันดับประจำปี 2011

Posted: 22 Dec 2011 03:51 AM PST

เว็บไซต์ 'นิว แมนดาลา' จัดลำดับโพสต์ยอดนิยมแห่งปี 2011 เผย เอกสารลับวิกิลีกส์กับการเมืองไทย ข้อพิพาทเรื่องเครื่องบินโบอิ้ง 747 และ 'ไทยสตอรี่' ของแอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล ติดอันดับคนคอมเมนท์เยอะสุด 10 อันดับแรก

22 ธ.ค. 54 เว็บไซต์นิว แมนดาลา ซึ่งเป็นเว็บไซต์ทางวิชาการเกี่ยวกับการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้จัดลำดับโพสต์ยอดนิยมที่คนคลิกอ่านและคอมเมนท์มากที่สุดในรอบปี 2011 เผยประเด็นการเมืองไทยกวาดมาทั้งหมดจาก 9 ใน 10 ลำดับ อาทิ การเมืองไทยกับเอกสารลับวิกิลีกส์ กรณีพิพาทเครื่องบินโบอิ้ง 747 และ 'ไทยสตอรี่' ของแอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล

เว็บไซต์นิว แมนดาลา เปิดเผยว่า โพสต์เรื่องเอกสารลับวิกิลีกส์และสถาบันกษัตริย์ไทยที่เขียนโดยนิโคลัส ฟาร์เรลลี นักวิจัยประจำวิทยาลัยแห่งเอเชียแปซิฟิก ติดอยู่ในลำดับที่สิบ ในขณะที่ข้อเขียนของคริส เบเกอร์ นักวิชาการอิสระด้านไทยศึกษาที่วิเคราะห์การใช้ภาพของยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในการรณรงค์หาเสียงช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา อยู่ลำดับที่เก้า

ลำดับที่แปดและเจ็ด เป็นโพสต์ที่เขียนโดยแอนดรูว์ วอล์กเกอร์ อาจารย์ด้านไทยศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียเกี่ยวกับ Hi S Tales ซึ่งเป็นนิยายต่อเนื่องในเฟซบุ๊กเกี่ยวกับครอบครัวสมมุติ ที่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นข้อเขียนที่แสดงความกบฏและส่งผลทางการเมือง และบทวิเคราะห์สาเหตุของน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ที่วอล์เกอร์มองว่ามาจากปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าปรกติ

ส่วนลำดับที่หก เป็นโพสต์ตั้งแต่ปี 2007 แต่ได้รับความสนใจอีกครั้ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระพลานามัยของพระบรมโอรสาธิราช

บทความยอดฮิตเป็นลำดับที่ห้า เป็นบทความของปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ที่เขียนเกี่ยวกับการถวายเค้กวันเกิดโดยนายแพทย์นิพนธ์ พวงวารินทร์ให้กับคุณทองแดง สุนัขในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

อันดับที่สามและสี่ เป็นบทความที่ว่าด้วยข้อพิพาทระหว่างไทย-เยอรมนีเรื่องเครื่องบินโบอิ้ง 747 ของฟาร์เรลลี และอีกบทความหนึ่งว่าด้วยจดหมายจากตระกูลวิวัชรวงศ์

ส่วนบทความยอดฮิตสองอันดับแรก ได้แก่ งานวิจัยเรื่องการเสริมอวัยวะเพศชายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขียนโดยพงษ์พิสุทธิ์ บุษบารัตน์ และอันดับที่หนึ่งคือการประกาศเกี่ยวกับงานเขียน 'ไทยสตอรี่' ของแอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เปิดรายงานการตรวจสอบคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้

Posted: 22 Dec 2011 02:00 AM PST

มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมเปิดเผยผลการศึกษาความชอบด้วยกฎหมายของคดีความมั่นคงในภาคใต้จำนวน 100 คดี พบข้อเท็จจริงว่ามีคดีที่ศาลยกฟ้องกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่รายละเอียดของการศึกษาชี้ให้เห็นว่า มีผู้ต้องหาถูกทำร้ายทุกขั้นตอนของการสอบสวนที่เริ่มตั้งแต่การเชิญหรือจับกุมตัวไปจนถึงการควบคุมตัวและซักถาม ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการภายใต้กฎหมายพิเศษหรือกฎหมายธรรมดาก็ตาม


 

ข้อสรุปดังกล่าวมาจากการศึกษา ข้อมูลสถิติคดีและและประมวลผลคดีความมั่นคง ภายใต้โครงการการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นการศึกษาข้อมูลคดีความมั่นคงที่ผ่านการพิพากษาของศาลชั้นต้นระหว่างปี 2553 ถึงต้นปี 2554 จำนวน 100 คดี ข้อสรุปที่สำคัญคือในจำนวนคดีที่ศึกษาทั้งหมดนั้น มีถึง 72 คดีที่ศาลสั่งยกฟ้องด้วยเหตุเพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอ มีเพียง 28 คดีที่ถูกพิพากษาลงโทษ

“ส่วนใหญ่แล้วพยานหลักฐานที่ศาลไม่รับฟัง แต่ปรากฏมากในสำนวนฟ้องของเจ้าหน้าที่มักจะเป็นเรื่องของการอาศัยคำรับสารภาพที่ได้มาจากในชั้นการซักถามภายใต้กฎหมายพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นกฎอัยการศึกหรือพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน” อนุกูล อาแวปูเตะ ประธานมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมประจำจังหวัดปัตตานีระบุ “ที่ศาลไม่รับฟังนั้นส่วนหนึ่งเพราะถือว่า การได้มาซึ่งคำสารภาพหรือหลักฐานเช่นนี้อยู่นอกเหนือวิธีการได้มาซึ่งพยานหลักฐานที่ถูกต้องตามกฎหมายที่ใช้ในการพิจารณาคดี นั่นคือตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา”

นักกฎหมายของมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมชี้ด้วยว่า ยังมีเหตุผลอื่นๆ อีกหลายประการที่มีส่วนทำให้พยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่นำเสนอในชั้นศาลขาดน้ำหนัก ส่งผลให้ตัวเลขการยกฟ้องอันเนื่องมาจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอมีสัดส่วนสูง หากเทียบแล้วถือได้ว่าอัตราส่วนของคดีที่ยกฟ้องด้วยเหตุผลเพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอเท่ากับ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม

ผลการศึกษายังพบด้วยว่า ในการปฏิบัติต่อบุคคลที่เป็นผู้ต้องสงสัยและเป็นผู้ต้องหาของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง แม้ในหลายกรณีเจ้าหน้าที่จะให้ความเคารพในเรื่องความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา แต่กลับพบว่ามีการข่มขู่ทำร้ายทั้งทางร่างกายและวาจา ด้วยการใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพและขู่เข็ญตั้งแต่ในขั้นตอนการจับกุม การกักหรือคุมตัวไปจนถึงการซักถามหรือสอบสวนไม่ว่าตามกฎหมายพิเศษหรือภายใต้กฎหมายธรรมดาก็ตาม ข้อมูลระบุชัดว่า ในการนำตัวบุคคลเข้าสู่กระบวนการซักถาม เช่นในการเชิญตัวภายใต้อำนาจที่เจ้าหน้าที่ได้รับตามกฎอัยการศึก ใน 100 คดี มีผู้ถูกทำร้ายร่างกาย 33 คดี มีการใช้วาจาที่ไม่สุภาพด้วย 35 คดี ถูกข่มขู่ 25 คดี ในการจับกุมภายใต้อำนาจที่ได้รับตามพระราชกำหนดบริหารราชการภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินหรือพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ปรากฏว่ามีผู้ถูกทำร้าย และใช้ถ้อยคำไม่สุภาพด้วยในจำนวนพอๆ กันคือกรณีละ 16 คดี ถูกขู่เข็ญ 12 คดี ในการจับกุมในชั้นของการใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาก็ปรากฏว่ามีบุคคลถูกทำร้ายร่างกายถึง 23 คดี มีการใช้วาจาไม่สุภาพด้วย 12 คดีและถูกขู่เข็ญ 13 คดี

เมื่อตรวจสอบพฤติการณ์เจ้าหน้าที่ที่เกิดขึ้นในชั้นการถูกกักตัวและซักถามหรือสอบปากคำจะพบว่า สถิติการทำร้ายและขู่เข็ญมีสูงที่สุดในกระบวนการภายใต้กฎอัยการศึก รองลงมาคือการดำเนินการภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายตั้งข้อสังเกตไว้ว่าเป็นเหตุน่ากังวลใจอย่างมาก ก็คือการทำร้ายในระหว่างการสอบปากคำภายใต้ขั้นตอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งสถิติระบุว่า ใน 100 คดีมีผู้ถูกขู่เข็ญใน 24 คดี ถูกทำร้ายทางร่างกาย 18 คดี และมีการใช้วาจาไม่สุภาพกับผู้ถูกสอบในอีก 17 คดี

ข้อสรุปอีกบางประการที่น่าสนใจจากผลการศึกษา

  • ผู้ต้องหาเกือบทั้งหมดใน 100 คดี เป็นเพศชาย คือมีจำนวน 98 คน ในส่วนของคดีที่ศาลตัดสินลงโทษแล้วนั้น จำเลยเป็นชายล้วน และผู้ต้องหาส่วนใหญ่เป็นประชาชนทั่วไป
     
  • ในการตั้งข้อกล่าวหาพบว่า มีการตั้งข้อกล่าวหาที่เป็นความผิดในลักษณะของกลุ่มอาชญากรค่อนข้างสูง ข้อกล่าวหาที่พบมากที่สุดในจำนวนคดีที่หยิบยกมาศึกษา 100 คดี คือข้อหาการก่อการร้าย กล่าวคือมีทั้งสิ้นจำนวน 76 คดี ทั้งในจำนวนคดีที่ยกฟ้องก็มีถึง 57 คดีที่ถูกกล่าวหาตามข้อหานี้ รวมทั้งในกลุ่มที่ถูกตัดสินลงโทษก็มีผู้ที่ถูกลงโทษด้วยข้อหาก่อการร้ายในจำนวนสูงสุดเช่นกันคือ 19 คดี ส่วนข้อหาที่รองลงมาคืออั้งยี่ซ่องโจร และความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน หรือพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ
     
  • ระยะเวลาในการควบคุมตัวตามกฎหมายพิเศษ แม้ว่าโดยทั่วไปสถิติระบุชัดว่ามีผู้ต้องหาไม่กี่คดีที่ถูกคุมตัวเกินกว่าที่กำหนดไว้ตามกฎหมายพิเศษ โดยเฉพาะในกรณีการควบคุมตัวภายใต้กฎอัยการศึก แต่เมื่อมีการคิดค่าเฉลี่ยออกมาแล้วจากจำนวนผู้ที่ถูกกักตัวทั้งหมดกลับพบว่า การกักตัวภายใต้กฎอัยการศึกโดยรวมกระทำเกินกว่าที่กฎหมายให้อำนาจไว้
     
  • ระยะเวลาของการถูกดำเนินคดี แม้สถิติระบุว่า การพิจารณาคดีส่วนใหญ่ใน 100 คดีนั้นใช้เวลาอยู่ในระดับที่ถือได้ว่าไม่นานเกินไป กล่าวคือมี 59 คดีที่ใช้เวลา 1-2 ปี ส่วนที่ใช้เวลาเกินสามปีมีเพียง 3 คดี แต่เมื่อพิจารณารวมไปถึงข้อเท็จจริงจากสถิติอีกบางอย่าง เช่นในบรรดาคดีทั้งหมดนั้น มีการผลัดฟ้องนาน 7 ครั้งรวมแล้วถึง 82 คดี และในจำนวนนี้เป็นคดีที่ในภายหลังศาลยกฟ้องถึง 59 คดี ทั้งยังมีการเลื่อนพิจารณาคดีอีกรวมแล้ว 73 คดี เมื่อรวมกับการที่บุคคลที่ถูกดำเนินคดีถูกกักตัวในช่วงของการซักถามและสอบปากคำรวมทั้งในระหว่างการอุทธรณ์ก็จะพบว่าผู้ต้องหาต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะผ่านพ้นการดำเนินคดี
     
  • นอกจากนี้ในระหว่างการถูกกักตัวและดำเนินคดี มีผู้ต้องหาจำนวนไม่มากที่ได้รับการประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราว
     
  • ยังมีตัวเลขผลจากการศึกษาอีกหลายจุดที่ผู้ศึกษาพบว่าบ่งชี้ถึงลักษณะอีกบางประการที่น่ากังวลเกี่ยวกับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่แสดงออกถึงการประกันสิทธิตามกฎหมายของผู้ต้องหาโดยทั่วไปหลายประการ เช่นการไม่แจ้งข้อกล่าวหา การจับกุมหรือตรวจค้นเคหะสถานโดยปราศจากหมายจับ การไม่อำนวยให้ผู้ต้องหามีทนายหรือญาติเข้าร่วมรับฟังการซักถามหรือสอบปากคำ การที่ไม่มีการตรวจร่างกายก่อนเข้ารับการซักถามหรือสอบปากคำ ทั้งหมดนี้ไม่เพียงเปิดโอกาสให้มีการละเมิดต่อผู้ต้องหาเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลให้เกิดข้อครหาต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ได้ด้วย

 


การศึกษา

การตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของคดีหรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า case audit นี้ ถือเป็นวิธีการศึกษาที่บางประเทศเช่นสหรัฐอเมริกาใช้ในการตรวจสอบกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้โดยมีจุดประสงค์ที่จะปรับปรุงระบบการทำงานของหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบยุติธรรม การศึกษาหนนี้อาจถือได้ว่าเป็นครั้งแรกของประเทศไทย เนื้อหาที่ได้กล่าวมาแล้วเป็นข้อสรุปโดยคร่าวของผลการศึกษาซึ่งมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมจะนำมาเรียบเรียงเป็นรายงานผลการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และจะนำเสนอผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วยเป้าหมายเพื่อให้เกิดการถกเถียงและหารือถึงจุดอ่อนของการทำงานในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับคดีความมั่นคงในพื้นที่สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการลดความขัดแย้งอันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาความไม่สงบที่ยั่งยืนในอนาคต

โครงการศึกษาดังกล่าวนี้ผู้ศึกษาคือมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมได้ใช้เวลาประมาณปีครึ่งในการดำเนินการ กล่าวคือนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2553 จนถึงปลายปี 2554 ในขั้นตอนของการศึกษามีการคัดสรรและศึกษาข้อมูลจากสำนวนคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 100 คดีที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาแล้วในช่วงปี 2553 ถึงต้นปี 2554 อันเป็นช่วงเวลาที่มูลนิธิศูนย์ทนายฯมีคดีความมั่นคงในพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิช่วยรับหน้าที่ดำเนินการอยู่ประมาณ 600 คดี แม้ว่าคดีจำนวนที่ว่านี้จะมิใช่คดีความมั่นคงทั้งหมดที่มีการฟ้องร้องกันในพื้นที่แต่ก็ถือได้ว่าเป็นส่วนมาก การศึกษาคดีในจำนวนนี้จึงอาจถือได้ว่าน่าจะทำให้สาธารณะได้เห็นภาพของการทำงานของกระบวนการยุติธรรมในคดีความมั่นคงในภาคใต้ได้ในระดับหนึ่ง

การศึกษาดังกล่าวนี้ มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมได้รับการสนับสนุนจาก American Bar Association Rule of Law Initiative (ABA) หรือเนติบัณฑิตสภาแห่งอเมริกา เมื่อเริ่มจัดทำโครงการนี้คือในกลางปี 2553 นั้น คดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล แม้ว่าหลายคดีจะเข้าสู่กระบวนการแล้วตั้งแต่ปี 2547 แต่จำนวนคดีที่ผ่านการตัดสินของศาลชั้นต้นยังมีไม่มาก ผู้ศึกษาจึงตัดสินใจใช้ตัวเลขที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดในเวลานั้นคือ 100 คดีเป็นเป้าหมายของการศึกษา สำหรับกระบวนการนั้นเริ่มต้นจากการมีองค์คณะร่วมกันพิจารณากำหนดกรอบและหลักการในการแยกประเภทข้อมูล มีการจัดทำกรอบในการจัดทำรายการ (check list) โดยขั้นตอนนี้ดำเนินการภายใต้การสนับสนุนของนักวิชาการด้านกฎหมายคือ ดร.ปกป้อง ศรีสนิท จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต่อมาคณะผู้ศึกษาซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิกว่า 17 คนภายใต้การสนับสนุนของทนายความจำนวน 14 คนทำหน้าที่รวบรวมสำนวนคดีที่สอดคล้องกับองค์ประกอบของหลักการที่กำหนด นำข้อมูลจากทั้ง 100 คดีไปทำเป็นฐานข้อมูลก่อนที่จะนำข้อมูลจากทั้งสองส่วนไปสังเคราะห์และสกัดเป็นสถิติแล้ววิเคราะห์ในขั้นตอนสุดท้ายซึ่งมีอาจารย์รณกรณ์ บุญมี นักวิชาการด้านกฎหมายจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ช่วยสนับสนุนในเชิงวิชาการ

 

 


หมายเหตุ: ภาพประกอบจาก s_falkow (CC BY NC 2.0)

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คำขวัญวันเด็ก: นัยแฝงของบริบทไทย

Posted: 22 Dec 2011 12:34 AM PST

คำขวัญวันเด็ก ปี พ.ศ. 2555 คือ "สามัคคี มีความรู้คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี", ผมจะลองสืบหานัยแฝงจากมุมมองตามความอำเภอใจของผมดูนะครับ ได้ความดังนี้

1.สามัคคี, คือไม่แตกแยก และเป็นความสามัคคีซึ่งไม่ได้เกิดบนฐานของการยอมรับความแตกต่าง แต่อยู่บนฐานของการแบ่งแยกให้เห็นความต่าง ให้เห็นความเป็นอื่น หลังจากนั้นก็ผลักไสความต่างหรือความเป็นอื่นนี้ออกไปจากชุดความหมายของคำว่าสามัคคี พร้อมกับโอบรับ "เฉพาะความเห็นที่เหมือนกัน" มาไว้ในความสามัคคี

2.มีความรู้คู่ปัญญา, ฟังดูปรัชญาดีครับ แต่ลองมาแยกดูคำว่า "ความรู้" และคำว่า "ปัญญา" ในบริบทของคำขวัญนี้กัน, ความรู้ในที่นี้หมายถึง ความรู้ที่ได้การรองรับโดยสถาบันการศึกษา (ค่านิยมขั้นต่ำคือ ป.ตรี) หรือความรู้ที่เกิดจากการเชื่อผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน (คือผู้ใหญ่) หรือถ้าหากจะเป็นความรู้นอกสถาบันการศึกษา ก็จักต้องเป็นความรู้แบบภูมิปัญญาท้องถิ่น กล่าวคือ ความรู้ว่าต้องรู้จักพอ ความรู้แห่งการควบคุมกิเลสตัณหาของตนเอง อันเป็นความรู้ที่สูงส่ง มาผสมกับ "ปัญญา" ซึ่งเป็นปัญญาที่ห้ามวิพากษ์วิจารณ์ เป็นปัญญาญาณแห่งคำตอบที่มีวางให้อยู่ก่อนแล้ว และต้องเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด เป็นคำตอบที่ห้ามตั้งคำถาม ซึ่งการรู้จักพอก็สอดรับกับการรู้จักพอใจในความรู้และปัญญาในแบบที่เป็นอยู่, ความรู้คู่ปัญญาในที่นี้ จึงเป็นความรู้ในแบบที่ห้ามสงสัยอันควรอยู่คู่กับปัญญาที่เป็นคำตอบในแบบที่วางรออยู่แล้ว ซึ่งไม่มีทางผิด

3.คงรักษาความเป็นไทย, คือการรักษาความเป็นไทยตามอุดมการณ์แบบรัฐชาติสมัยใหม่ ที่แบ่งความเป็นรัฐเขารัฐเราอย่างชัดเจน โดยมองข้ามโลกาภิวัตน์แห่งความพร่าเลือนของเส้นรัฐ-ชาติดังกล่าว เป็นการแช่แข็งเอกลักษณ์ซึ่งตามความเป็นจริงไม่สามารถจะแช่ได้อีกแล้วในสภาวะโลกที่อาจเรียกได้ว่าสภาวะหลังสมัยใหม่ ความเป็นไทยในที่นี้ จึงคือความเป็นไทยตามความหมายที่นิยามโดยรัฐอย่างตายตัว ไม่เปิดโอกาสให้พลเมืองที่มีพลวัตรของความแตกต่างได้เข้ามาร่วมนิยามความเป็นไทยดังกล่าว

4.ใส่ใจเทคโนโลยี, บ่งบอกถึงพลังของความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และสารสนเทศ ทว่าการใส่ใจในที่นี้ เป็นเพียงการใส่ใจใน "นวัตกรรมใหม่ๆ" ใส่ใจในความทันสมัย ซึ่งอาจยังไม่รวมถึงการใส่ใจในการตั้งคำถามทางคุณค่าและศีลธรรมอันแตกต่างท่ามกลางพรมแดนของข้อมูลที่จำเป็นต้องมีการปะทะรังสรรค์กันของชุดความเชื่อ ค่านิยมและบรรทัดฐานในแบบอื่นๆ ที่ไม่คุ้นเคย การใส่ใจในที่นี้จึงเป็นเพียงการใส่ใจเพื่อให้ทันโลก แต่หากมองจากข้อความก่อนหน้าของคำขวัญ (คือ สามัคคี มีความรู้คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย) มันก็เกิดคำถามที่ว่า ทั้งสามวรรคข้างหน้านี้ เป็นสามวรรคทองที่สอดคล้องกับการใส่ใจเทคโนโลยี หรือว่าเป็นสามวรรคทองที่เป็นอุปสรรคสะกดกั้นการใส่ใจเทคโนโลยีกันแน่

-------------------
อย่างไรก็ตาม คำขวัญที่ว่า "สามัคคี มีความรู้คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี" ไม่ใช่คำขวัญที่มีปัญหาในตัวเอง เมื่อมองความหมายตรงๆ เราจะพบว่าเป็นคำขวัญที่งดงามและก้าวหน้าพอดู แต่ในสังคมบริบทไทย เราส่วนใหญ่จะเข้าใจคำขวัญนี้อย่างงดงามและก้าวหน้าได้อย่างไร ในเมื่อเราตกอยู่ในสภาวะแห่งนัยแฝงทั้ง 4 ประการข้างต้น

 

 

หมายเหตุ: ภาพประกอบจาก Andrew Michaels (CC BY 2.0)

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“30 ปี” ปีคนพิการสากล: กระแสธารแห่งความคิดของรัฐไทยต่อคนพิการ

Posted: 22 Dec 2011 12:13 AM PST

ปี 2554 ที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้ถือได้ว่ามีความสำคัญต่อ “คนพิการ” อย่างมาก ในฐานะที่ครบรอบ 30 ปีแห่งการประกาศปีคนพิการสากลของสหประชาชาติ (ใน พ.ศ. 2524) ที่ในมุมหนึ่งได้ส่งอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับคนพิการของไทยอย่างมีนัยสำคัญ ในทางเดียวกับปี 2555 ที่กำลังจะมาถึงก็ถือได้ว่าเป็นจุดครบรอบ 80 ปีที่รัฐไทยได้เริ่มให้ความสำคัญกับ “คนพิการ” อย่างเป็นรูปธรรมและพัฒนา/เปลี่ยนแปลงความคิดมาโดยลำดับ ช่วงที่ผ่านมา ผู้เขียนได้รับการสนับสนุนจากสถาบันสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ ให้ทำการรวบรวมและศึกษากฎหมายและนโยบายของรัฐไทยที่เกี่ยวข้องกับคนพิการเห็นว่ามีเรื่องราวที่น่าสนใจจึงอยากขอนำมา “เล่า” ให้ฟังอย่างคร่าวๆ ในที่นี้

กฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับคนพิการของรัฐในมุมหนึ่งนอกจากจะเป็นความมุ่งหวังหรือแนวทางในการปฏิบัติต่อคนพิการของ “รัฐ” ในแต่ละช่วงเวลาแล้ว ในอีกมุมหนึ่งยังสะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงทางความคิดของ “รัฐ” (ในระดับหนึ่ง) ที่มีต่อคนพิการด้วย ความคิดดังกล่าวดูจะมีความสัมพันธ์อย่างยากจะแยกขาดกับบริบททางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและความรู้ในแต่ละช่วงเวลา จากนโยบายและกฎหมายเกี่ยวกับคนพิการของรัฐไทยที่ดำเนินอย่างเป็นรูปธรรมมาอย่างน้อยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบันนั้นได้ชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงทางความคิด 3 ระลอกหลักด้วยกัน โดยทศวรรษ 2520 คือหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญ อย่างไรก็ดี พึงจะกล่าวด้วยว่าความเปลี่ยนแปลงในแต่ละระลอกมิได้แยกขาดออกจากกัน หากแต่มีปฏิสัมพันธ์และความสืบเนื่องกัน

ระลอกแรก คือ ช่วงเวลาตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ที่ได้เริ่มปรากฏนโยบายและกฎหมายที่มีการพูดถึงคนพิการ และองค์กรในการดูแลคนพิการของรัฐอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้บริบทของการ “สร้างชาติ” และ “สงครามโลกครั้งที่สอง” ดังจะเห็นได้จากการจัดตั้งกรมประชาสงเคราะห์และสถานสงเคราะห์ในช่วงกลางทศวรรษ 2480 สำหรับดูแลคนพิการที่ไร้ญาติขาดมิตรและไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ในทางเดียวกันการดำเนินแนวทางการ “สร้างชาติ” ของรัฐบาลในทศวรรษ 2480 ภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ยังได้มีการประกาศรัฐนิยมฉบับที่ 12 (24 มกราคม 2485) ที่มีสาระสำคัญหลักอยู่ที่ “การยกย่องคนที่ช่วยเหลือคนพิการ (และเด็ก คนชรา คนทุพพลภาพ) ว่าเป็นผู้มีวัฒนธรรม” อาจกล่าวได้ว่าในช่วงแรกของการดำเนินนโยบายและกฎหมายเกี่ยวกับคนพิการของรัฐไทยนี้ได้สะท้อนให้เห็นกรอบคิดของรัฐที่เน้น “การแยกคนพิการ” ออกจากสังคมปกติ และมองคนพิการในฐานะกลุ่มคนที่ต้องได้รับการช่วยเหลือหรือสงเคราะห์ (ทางเดียว) จากรัฐ กรอบคิดดังกล่าวนี้ดูจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในช่วงทศวรรษ 2490 ภายใต้บริบทหลังสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเกาหลีที่ทหารและพลเรือนเกิดความพิการจากสงครามส่งผลให้รัฐบาลได้เริ่มดำเนินแนวทางในการช่วยเหลือด้านฟื้นฟูความสามารถและการทำงานของคนพิการที่เป็นข้าราชการมากขึ้น อย่างไรก็ดีความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวดูจะเป็นรูปธรรมและลงหลักปักฐานมากยิ่งขึ้นใน “ยุคพัฒนา” ตั้งแต่ทศวรรษ 2500

ระลอกที่สอง
เริ่มตั้งแต่ “ยุคพัฒนา” ในช่วงต้นทศวรรษ 2500 ที่นอกจากรัฐไทยจะได้ดำเนินการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอันเปรียบเสมือน “แนวทางนโยบายหลัก” ของรัฐแล้ว ในอีกมุมหนึ่งยังได้รับการสนับสนุนทางด้าน “เงินทุน” และ “ความรู้” ด้านการพัฒนาฯ จากองค์กรระหว่างประเทศด้วยเช่นเดียวกัน “คนพิการ” เป็นประเด็นหนึ่งที่ได้รับการบรรจุและกล่าวถึงในแผนพัฒนาฯ เกือบทุกฉบับซึ่งสะท้อนให้เห็นกรอบคิดเกี่ยวกับคนพิการที่เปลี่ยนแปลงของรัฐไทย จากการ “สงเคราะห์หรืออุปการะทางเดียวจากรัฐ” มาสู่การเน้นหนักในกรอบแนวทาง “การฟื้นฟูสมรรถภาพและความสามารถ” และ “การส่งเสริมด้านการทำงาน” ของคนพิการทุกกลุ่มมากยิ่งขึ้น ในทางเดียวกัน ยังเปิดพื้นที่ในการสนับสนุนบทบาทขององค์กรคนพิการเอกชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูสมรรถภาพและความสามารถของคนพิการมากยิ่งขึ้น การปรับเปลี่ยนกรอบคิดต่อคนพิการของรัฐไทยในช่วงเวลานี้ดูจะมีสาเหตุสำคัญมาจาก หนึ่ง การผลักดันแนวคิดทางด้านสิทธิและการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการในระดับโลก และสอง ปัญหาของการสงเคราะห์คนพิการแบบเดิมผ่านสถานสงเคราะห์ที่ดำเนินการได้ไม่ทั่วถึงและไม่มีประสิทธิภาพ (การสงเคราะห์ผ่านสถานสงเคราะห์ในช่วงเวลานี้จำกัดเฉพาะกลุ่มคนพิการที่สิ้นไร้ไม้ตอกและไม่สามารถฟื้นฟูสมรรถภาพได้เท่านั้น) พึงจะกล่าวด้วยว่าในช่วงทศวรรษ 2510 ยังได้มีการปรับแก้กฎหมายจำนวนหนึ่งที่สนับสนุนสิทธิและเปิดโอกาสให้กับคนพิการ ดังพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 ที่มีสาระสำคัญตอนหนึ่งในการเปิดโอกาสให้คนพิการสามารถเข้ารับราชการได้ กรอบคิดที่เน้นการฟื้นฟูฯ และการสร้างเสริมโอกาสและสิทธิให้กับคนพิการมากขึ้นนี้ดูจะได้รับการกล่าวถึงมากขึ้นไปอีกในช่วงทศวรรษ 2520 อันจุดเริ่มของความเปลี่ยนแปลงระลอกที่สาม

ความเปลี่ยนแปลงกรอบคิดต่อคนพิการของรัฐไทย ระลอกที่สาม มีสาเหตุหลักสำคัญมาจาก หนึ่ง ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจทั้งของไทยและของโลก อันเป็นผลมาจากวิกฤติน้ำมันทั้งสองครั้งในช่วงปลายทศวรรษ 2510 และต้นทศวรรษ 2520 และสอง การเคลื่อนไหวเกี่ยวกับสิทธิและความเท่าเทียมของคนพิการในประเทศและระหว่างประเทศ ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจและทางสังคมในหลายประเทศ ที่มีจุดเน้นสำคัญอยู่ที่ “การลดรายได้ภาครัฐ” และ “เพิ่มบทบาทภาคเอกชน” รวมถึงการ “เสริมพลัง (empower) กับประชาชนทุกกลุ่มให้เป็นกำลังในการพัฒนาสังคม/ประเทศ” ในแง่นี้ส่งผลให้รัฐบาลไทยได้วางกรอบแนวนโยบายเกี่ยวกับคนพิการที่เน้นหนักไปในแนวทางของ “การฟื้นฟูสมรรถภาพ” “การสนับสนุนด้านการศึกษาและการทำงาน” และ “การเสริมบทบาทองค์กรคนพิการเอกชนและชุมชนในการดูแลและสนับสนุนคนพิการ” ผ่านการวางแผนงานทั้งในระดับกว้างและระดับย่อยตามหน่วยงาน รวมถึงได้มีการผลักดันกฎหมายสนับสนุนคนพิการภายใต้การสนับสนุนขององค์กรเกี่ยวกับคนพิการจนปรากฏอย่างเป็นรูปธรรมในกลางทศวรรษ 2530 คือ พระราชบัญญัติการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 ที่ได้นำไปสู่การประกาศแผนงานฟื้นฟูสมรรถภาพ การศึกษา และการพัฒนาคนพิการ ตลอดจนกฎหมายลูกหลายฉบับเกี่ยวกับคนพิการ ซึ่งแผนงานและกฎหมายเหล่านี้ดูจะเป็นรากฐานให้กับพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างสิทธิและความเท่าเทียมกันทางสังคมทุกด้านให้กับคนพิการมากยิ่งขึ้นอย่างเป็นระบบ

จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น คือ เรื่องราวโดยสังเขปของความเปลี่ยนแปลงทางด้านกรอบคิดต่อคนพิการของรัฐไทยที่สะท้อนผ่านนโยบายและกฎหมายเกี่ยวกับคนพิการตลอดห้วงเวลากว่า 70 ปีที่ผ่านมา ซึ่งชี้ให้เห็นกรอบคิดต่อคนพิการของรัฐที่ “ก้าวหน้า” ขึ้นมาตามลำดับผ่านความมุ่งหวังที่เน้นการสร้างสิทธิและความเสมอภาคทางสังคม และแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตอันมากยิ่งขึ้นให้บังเกิดกับคนพิการตามลำดับ แต่กระนั้น กรอบคิดต่อคนพิการของรัฐดังที่กล่าวมานี้ในมุมหนึ่งดูจะให้ภาพแต่เพียง “ความมุ่งหวัง” ของรัฐและกลุ่มผู้ผลักดันนโยบายเท่านั้น ซึ่งอาจทั้ง “สอดคล้อง” หรือ “ไม่สอดคล้อง” กับ “ความเป็นจริง” ที่เกิดขึ้นกับการดำเนินการ เพราะการดำเนินการตามนโยบายและกฎหมายมีปัจจัยจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยปัจจัยหลักสำคัญที่จะมีส่วนให้ความมุ่งหวังตามนโยบายและกฎหมายประสบความสำเร็จดูจะอยู่ที่ “จินตภาพต่อคนพิการ” ของสังคม ชุมชน และกลุ่มคนหรือหน่วยงานที่ทำงานเกี่ยวกับคนพิการว่าเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิและความเท่าเทียมทางสังคมของคนพิการมากน้อยเพียงใด?


 

หมายเหตุ:
เผยแพร่ครั้งแรก
ในคอลัมน์ มุมมองบ้านสามย่าน หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2554
ภาพประกอบจาก 
MinimalistPhotography101.com (CC BY 2.0)
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สหภาพโฮยา ตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ถูกเลิกจ้าง ยืนยันเรียกร้องความเป็นธรรมจนถึงที่สุด

Posted: 21 Dec 2011 10:26 PM PST

22 ธ.ค. 54 – ความคืบหน้ากรณีบริษัทโฮยากลาสดิสค์ (ประเทศไทย) จำกัด จะมีการเลิกจ้างพนักงานเกือบ 2,000 คนนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 54 ที่ผ่านมา ทางสหภาพฯ และกลุ่มผู้ถูกเลิกจ้าง ได้มีการรวมตัวที่หน้าบริษัทโฮยา โรงงานหนึ่ง (เวลา 17.30 -21.00 น.) เพื่อประชาสัมพันธ์ เรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานในการรวมกลุ่มเพื่อคัดค้านการเลิกจ้าง เนื่องจากทางสหภาพฯ เห็นว่าเหตุผลในการเลิกจ้างครั้งนี้ไม่มีความชอบธรรม รวมถึงขอให้พนักงานสมัครสมาชิกสหภาพฯ เพื่อเข้าร่วมประชุมใหญ่สามัญประจำปี รับรองการยื่นข้อเรียกร้องเพื่อมิให้มีการเลิกจ้างและรับรองข้อเรียกร้องเดิมให้คงสภาพการจ้างต่อไป โดยทางสหภาพฯ ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะขอคัดค้านการเลิกจ้างครั้งนี้ และจะยืนหยัดต่อเพื่อพนักงานทุกคน

นอกจากนี้สหภาพแรงงานอิเลคทรอนิคส์และอุปกรณ์ไฟฟ้าสัมพันธ์ ยังได้จัดตั้งศูนย์ให้การช่วยเหลือผู้ถูกเลิกจ้างจาก บ.โฮยา ที่สำนักงานของสหภาพฯ ต.บ้านกลาง อ.เมือง จ.ลำพูน

 

อ่านข่าวเกี่ยวข้อง:

โฮยายังยันเลิกจ้าง สหภาพฯ หวัง กมธ.แรงงานตัวกลางขึ้นโต๊ะเจรจาอีก
คนงานโฮย่าจี้ผู้ว่าลำพูนช่วยเหลือ
โฮย่าเจรจานัดแรก ยังไม่ได้ข้อตกลง
สหภาพฯ โฮย่ายื่นหนังสือถึงนายกผ่าน กมธ.แรงงาน 
สหภาพแรงงานแรงงานโฮย่าร้องสำนักงานสวัสดิการฯ ลำพูน 
โฮย่าลำพูน ประกาศเลิกจ้างคนงานหลังใช้ ม.75

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

การศึกษาที่ชายแดนใต้ เสียงสะท้อนจากภาพยนตร์ “Laskar Pengali”

Posted: 21 Dec 2011 11:45 AM PST

กิจกรรม Filem Cafe ดูภาพยนตร์จากอินโดนีเซีย Laskar Pelangi “นักรบสายรุ้ง” ที่ถ่ายทอดเรื่องราวการต่อสู้ดิ้นรนของกลุ่มคนชายขอบในสังคม ต่อด้วยวงพูดคุยถึง “ตาดีกา” และประเด็นการศึกษาในพื้นที่ชายแดนใต้

 
 
อาทิตย์วันหยุดที่ 18 ธ.ค.54 บรรยากาศสบายๆ ในช่วงเช้าที่ฝนตก แต่เมื่อสายฝนซาลงไป ผู้เข้าชมภาพยนตร์ภายใต้กิจกรรม Filem Cafe ต่างทยอยกันมาตามกำหนดการที่ได้วางไว้ หนังเรื่องแรกเริ่มฉาย Laskar Pelangi ภาพยนตร์อินโดนีเซีย เนื้อหาเกี่ยวกับการศึกษาและความเป็นครูใน เมืองเบลิตอง บนเกาะสุมาตรา เมื่อหนังจบการพูดคุยวงกาแฟในประเด็นการศึกษาในพื้นที่ชายแดนใต้ก็เริ่มต้น
 
ผู้เข้าชมใน Filem Cafe รอบนี้ส่วนใหญ่เป็นครูผู้สอนตาดีกา ครูวิทยากรสอนศาสนาในโรงเรียนสามัญของรัฐ อาจารย์ระดับมหาวิทยาลัย และคนทำงานภาคประชาสังคมในพื้นที่ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากภาพยนตร์ Laskar Pengali ประเด็นสิทธิทางการศึกษาในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เริ่มต้นจากการสะท้อนปัญหาของตาดีกา
 
อาจารย์ระดับมหาวิทยาลัย กล่าวถึง การศึกษาในอดีตสำหรับพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส คือ ตาดีกา TADIKA – Taman Didikan Kanak-kanak ซึ่งเดิมไม่ได้มีค่าตอบแทนจากหน่วยงานรัฐแต่อย่างใด ครูผู้สอนเป็นผู้ที่มีความตั้งใจ และเจตนาที่ดีที่จะสอน ลูกหลานของตนเอง แต่เมื่อมีค่าตอบแทนหรือการสนับสนุนจากรัฐ ทำให้ความตั้งใจ และความเสียสละเดิมหดหายไป
 
ครูผู้สอนตาดีกา กล่าวว่า การปลูกฝั่งความรู้ทางด้านศาสนาเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อพูดถึงตาดีกา ตาดีกาไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐเท่าใดนัก แท้จริง ผู้ที่ให้การสนับสนุนส่วนใหญ่เป็นชาวบ้าน หากว่าชาวบ้าน หรือประชาชนในพื้นที่ไม่ได้ให้การสนับสนุนแน่นอนตาดีกาก็อาจจะจบลงไปได้ สำหรับเวลาที่ทำการเรียนการสอน ก็ไม่เพียงพอ ต่างกับช่วงเวลาการเรียนสามัญที่โรงเรียนของรัฐมีมากกว่า
 
เมื่อผู้ปกครองเล็งเห็นแต่ความสำคัญของสามัญ ซึ่งมองว่า เมื่อเรียนศาสนาจบชั้นสิบแล้วก็ไม่มีงานทำ นอกเสียจากจะเป็นผู้สอนตาดีกา ซึ่งต่างไปจากการเรียนสามัญ ที่เมื่อจบไปแล้วจะทำให้สามารถทำงานได้หลากหลายอาชีพ
 
ครูผู้สอนตาดีกา กล่าวด้วยว่า ปัญหาของตาดีกา ที่ไม่ได้พัฒนา อาจมาจากการที่ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นเพียงสาเหตุเพียงเล็กน้อย เมื่อเราเทียบกันกับผู้เป็นครูที่สอนในภาพยนตร์ จนเสียชีวิตบนโต๊ะ นั่นคืออะไร การสอนไม่ได้เป็นการรับเพียงอย่างเดียว การสอนเป็นการให้มากกว่า หากว่าเรามีจิตวิญญาณของความเป็นครู และเสียสละแล้ว จะทำให้ตาดีกามีการพัฒนาไปได้ดีกว่า การมองปัญหาไปที่ตัวเงิน ไม่ใช่ว่าเงินไม่สำคัญ ต้องมาตั้งคำถามกับตนเองว่า ทำไมเราถึงได้มาเป็นครู และในวันนี้ Sekolah Melayu หรือ TADIKA ทำไมถึงไม่มีการพัฒนา เป็นเพราะคนอื่น หรือว่าตัวเราเอง
 
ครูผู้สอนตาดีกา สะท้อนสิ่งที่ได้เห็นจากภาพยนตร์ว่า เรื่องราวในภาพยนตร์เมื่อมาเทียบกับพื้นที่ชายแดนใต้ ทำให้เห็นถึงสิทธิทางการศึกษา ที่ได้รับการพัฒนาไม่เต็มที่ และไม่เท่าเทียมกัน ในพื้นที่บ้านเราก็เป็นเช่นเดียวกัน การจัดการทางด้านการศึกษา คนที่มีรายได้ได้รับการศึกษาเต็มที่ และคนที่ยากจนไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเท่าเทียมกัน สิ่งที่เห็นต่างกัน คือสภาพแวดล้อม กิจกรรม การทำการเรียนการสอน
 
สภาพของการศึกษาในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ อย่างหลักสูตรการศึกษา ในอดีตเป็นอย่างไรปัจจุบันก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีการพัฒนา แม้ว่าเรามองเห็นเทคโนโลยีมากมาย แต่กลับไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์เพื่อการศึกษาแต่อย่างใด เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถนำใช้ประโยชน์ต่อการศึกษาได้ แต่เราจะนำมาใช้หรือไม่ เราจะทำอย่างไรให้สิ่งที่อยู่ในหนังสือให้เปิดมาแล้วเป็นสิ่งที่สามารถสัมผัสได้จริงในชีวิตประจำวัน
 
สภาพของโรงเรียนตาดีกา ในปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบกับอดีต มีความต่าง เมื่อก่อนต้องเรียนที่บนลานหน้ามัสยิด ปัจจุบันเป็นตัวอาคารสองชั้น เมื่ออดีตเรามองเห็นถึงคือความเสียสละของชุมชน ซึ่งมีการเสียสละจากผู้นำศาสนา แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นมองเห็นถึงความขัดแย้งระหว่างผู้นำศาสนากับผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านแทน
 
แม้ว่าชาวบ้านในพื้นที่ ไม่มีอำนาจในระบบการศึกษา แต่เราสามารถเอาสิ่งที่ไม่ดีออกไป หรือนำเอาสิ่งที่ดีๆ เข้ามาได้ ทำไมถึงไม่มีโรงเรียนระดับประถมที่คนในพื้นที่จัดตั้งขึ้นมาเอง โดยทำหลักสูตรที่เหมาะสำหรับพื้นที่โดยคนในพื้นที่เอง ให้เป็นไปตามความต้องการของชุมชน
 
มองเห็นจิตวิญญาณความเป็นครูในภาพยนตร์ และบทบาทจิตวิทยาอย่างครบครัน หากเทียบกับความเป็นครูในบ้านเราแล้วมองเห็นความต่าง สิ่งแรกที่ทางครูในภาพยนตร์ได้เอามานำหน้าคือหน้าที่ และบทบาทของความเป็นครู มากกว่าตัวเงิน
 
อดีตนักศึกษาอินโดนีเซีย แสดงความคิดเห็นว่า เราต้องมีจิตใจที่บริสุทธิ์ และ จิตสำนึกของผู้สอน หากไม่มีการปลูกจิตสำนึกของความเป็นครูก่อน ครูผู้นั้นจะสอนด้วยความเป็นงานวิชาการหรือป้อนแต่เนื้อเพียงอย่างเดียว ไม่มีการนำเอาจิตวิญญาณของครูออกมา สำหรับในบ้านเราพื้นที่ชายแดนใต้การพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับตาดีกา หรือสถานศึกษาต่างๆ หากว่าเรามัวไปอยู่กับปัญหาของสถานภาพของสถานศึกษาแสดงว่าเรายังไม่มีการพัฒนา เราต้องมองข้ามปัญหาดังกล่าวได้ ในภาพยนตร์ พยายามฉายให้เห็นถึงบทบาท หน้าที่ ความรับผิดชอบ จิตวิญญาณความบริสุทธิ์ของผู้เป็นครู มากกว่าปัญหาของสภาพของโรงเรียนหรือหลักสูตร
 
เมื่อหันมามองดูเด็กบ้านเรามีความสามารถมาก เด็กชนบทมีความสามารถด้านการวาดรูป แต่ทำไมเด็กถึงไม่ได้ถูกพัฒนา หรือไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ เหตุเพราะว่าผู้เป็นครูเป็นคนที่ปิดโอกาสซะเอง ทำไมเราไม่ให้เด็กได้รับการพัฒนาไปด้วยความสามารถของเด็กอย่างเต็มที่ การพัฒนาด้านความคิดของครูในบ้านเราเพิ่งอยู่ในระดับคนหนุ่ม ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ และเป็นความคิดที่ยังไม่มีการพัฒนาแต่อย่างใด
 
สิ่งที่ได้รับคือ จิตวิญญาณของความเป็นครู ผู้ที่เป็นครูสามารถทำให้เด็กได้รับความสำเร็จในชีวิตได้ แม้ว่าจะอยู่ในเมืองหรือชนบท “อย่าเอาความขาดแคลนมาเป็นอุปสรรคของความเป็นครู”
 
เรื่องย่อ
 
Laskar Pelangi ลาสกา เปอลางี “นักรบสายรุ้ง” ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากงานเขียนของอันเดรีย ฮิราตา ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2004 โดยกลั่นกรองมาจากความทรงจำในวัยเยาว์ของเขาเอง
 
ณ เมืองเบลิตอง บนเกาะสุมาตรา ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดฉากขณะที่ชายผู้หนึ่งกาลังเดินทางกลับบ้านเกิด ภายหลังจากมานานหลายปี จากนั้นเรื่องราวถูกย้อนกลับไปยังวันแรกที่เขาเข้าเรียน วันนั้นมีครูสองคนคือ มุสลิมะห์และฮาร์ฟัน ซึ่งกำลังตั้งหน้าตั้งตารอนักเรียนมาสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนสอนศาสนาระดับประถมที่แสนจะเก่าและทรุดโทรม ก่อนหน้านั้นคณะกรรมการการศึกษาเขตพื้นที่ประกาศจะยุบโรงเรียนแห่งนี้ทิ้ง หากมีนักเรียนมาสมัครเรียนไม่ถึงสิบคน
 
ทว่าในที่สุดแล้ว มีนักเรียนมาสมัครเรียนที่นี้ครบสิบคนพอดี โดยเด็กๆ ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวยากจนมีอาชีพรับจ้างรายวัน และเด็กกลุ่มๆ นี้เองที่ครูมุสลิมะห์ขนานนามว่า “นักรบสายรุ้ง” นอกจากอีกัล ซึ่งเป็นตัวนำในภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว กลุ่มนักรบสายรุ้งยังประกอบด้วยเด็กๆ อีก 9 คน อาทิ ลินตัง ลูกชาวประมงซึ่งจะกลายเป็นอัจฉริยะ และมาฮาร์ เด็กหนุ่มช่างฝันผู้หลงใหลในดนตรี โดยไม่เคยยอมให้วิทยุคู่ใจออกห่างกาย จากนั้น 5 ปีต่อมา ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอดเรื่องราวชะตาชีวิตทั้งดีและร้าย ทั้งสุขและทุกข์ของเด็กๆ กลุ่มนี้ขณะเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 5
 
ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอดเรื่องราวการต่อสู้ดิ้นรนของกลุ่มคนชายขอบในสังคม ในการที่จะพิชิตฝันของตนเอง ตลอดจนสะท้อนความงดงามของมิตรภาพระหว่างเพื่อน
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

60 ปี ธเนศวร์ เจริญเมือง: ล้านนายูโทเปีย กับ เส้นขอบฟ้าของสำนักท้องถิ่นนิยม

Posted: 21 Dec 2011 11:32 AM PST

ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์[1]

 

"ชาวแม่ขะจานฟังตางนี้หื้อดี เปิ้นปิ๊กมาแล้ว เปิ้นปิ๊กมาแล้วววววววววว...เปิ้นพร้อมจะปิ๊กมาป้องกันตำแหน่ง สมาชิกสภาเทศบาล 2 สมัยเปิ้นพร้อมสู้เพื่อชาวแม่ขะจาน เปิ้นคือ อาจ๋ารย์กรองทอง ปั๋ญญาโน...อดีตข้าราชการครูโรงเรียนบ้านหม้อ...ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลแม่ขะจาน

โอ๊ยยยย ตะก่อนผลงานเปิ้นนี่นักขนาด สนับสนุนงบประมาณเทศบาลแม่ขะจานซะป๊ะ...5 พฤศจิกายน นี้ เข้าคูหาเลือกตั้งสภาเทศบาล กรุณาก๋าเบอร์ 1เบอร์ 1 เต่านั้น แม่ขะจานเขต 1 ต้องเบอร์ 1 เต่านั้น อาจ๋ารย์กรองทอง ปัญญาโน...

(ท่อนฮุค) กรองทอง ปัญญาโณ เลือกสมาชิกสภาเทศบาล เข้าคูหาต้องกาเบอร์ 1 "

เพลงหาเสียงของกรองทอง ปัญญาโณ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลแม่ขะจาน จ.เชียงราย ที่เป็นเพลงหาเสียงแนวใหม่ที่ใช้รูปแบบดนตรีคนรุ่นใหม่นั่นคือ สไตล์ฮิปฮอป/แร็ป แต่งโดยศิลปินฟักกลิ้ง ฮีโร่ ร่วมกับ วงทะนง ด้วยการใช้ “คำเมือง” ตามพื้นเพบ้านเกิดของเจ้าของผลงาน[2] เพลงนี้ถูกเผยแพร่ใน Youtube ก่อนที่จะถูกแชร์ต่อผ่านสังคมออนไลน์ที่ฮอตที่สุดในเวลานี้คือ Facebook ซึ่งถูกแชร์ไปอย่างน้อย 39,000 ครั้ง (อัพโหลดตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2554 สถิตินี้นับจนถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2554) ดูเพียงผิวเผินอาจเป็นการนำเสนออย่างฉลาด สร้างสรรค์ ฉีกแนว หรือกระทั่งอาจคิดต่อไปได้ว่า การเมืองท้องถิ่นของไทยได้ก้าวหน้าไปไกลแล้ว แต่เมื่อดูในรายละเอียดของผู้แต่งเพลงบอกว่า เพลงนี้เขาแต่งให้แม่ของเพื่อนสนิทที่จะลงเลือกตั้งตำแหน่งดังกล่าว โดยนำเพลง Too Live and Die in LA. ของศิลปินวง 2Pac มาปรับแต่งอีกที ไม่เพียงเท่านั้นผลเลือกตั้งออกมากลับเป็นว่า พ่ายแพ้การเลือกตั้ง สำหรับผู้เขียนแล้วได้นำไปสู่ข้อสงสัยว่า เอาเข้าจริงแล้วเพลงรสนิยมแบบนี้มีผลแค่ไหนในเชิงการเมืองวัฒนธรรมต่อกลุ่มเป้าหมาย นั่นคือ คนแม่ขะจาน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ยิ่งเมื่อวัดจากผลการเลือกตั้งระบุคะแนนอันดับ 6 นั้นอยู่ที่ 279 คะแนน[3] ซึ่งกรองทอง ที่ได้คะแนนไม่ถึง 279 ถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยมาก หรือในที่สุดแล้วเพลงนี้มีฐานะเป็นเพียงแค่สีสันการเลือกตั้งที่เห็นได้ทั่วๆไป ยังไม่นับว่าการทำเพลงยังเกิดจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดส่วนตัว มากกว่าจะอยู่ในระบบการจ้างวานแบบมืออาชีพ นอกจากนั้นอาชีพเดิมของกรองทองที่เป็นข้าราชการเก่าครองตำแหน่งสท.มา 2 สมัย ไฉนไม่ถูกเลือกเป็นสมัยที่ 3 จะเป็นเพราะอะไร?

“...การพูดถึงคนเมืองด้วยการเริ่มต้นที่การอ้างแนวคิดของตะวันตกก็ยิ่งเป็นปัญหา เพราะอยากรู้ว่าคนเมืองคือใครก็ต้องถามคนเมือง เหตุใดต้องไปเริ่มต้นที่ฝรั่ง...”
ธเนศวร์ เจริญเมือง
[4]

ปัญหาเกี่ยวกับเพลงเลือกตั้ง ผู้สมัค รสท.แม่ขะจาน ที่ยกมามีความเชื่อมโยงต่อการวิพากษ์ผลงานที่ผ่านมาของธเนศวร์ เจริญเมือง แน่นอนว่าเรามิอาจปฏิเสธผลงานมหาศาลของเขาในการทุ่มเทศึกษาในเชิงวิชาการและการผลักดันในเชิงปฏิบัติการทางสังคมที่เขาเองได้มีส่วนร่วมมาร่วมค่อนชีวิต แต่ความลักลั่นในสิ่งเหล่านั้น ยิ่งควรที่จะตั้งคำถามดังๆ ในเมื่อบริบททางสังคม “ล้านนา” ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว ชุดความรู้เกี่ยวกับ “คนเมือง” เดิมๆ อาจไม่เพียงพอต่อไปที่จะสร้างสำนึกร่วมที่เข้มแข็งมากพอที่จะเป็นพลังร่วมกันได้ในสังคมที่มีความแตกแยกเช่นนี้

บทความนี้เป็นมุมมองต่อธเนศวร์ เจริญเมือง ในฐานะของคนนอก ด้วยการมองชุดความสัมพันธ์เกี่ยวกับชีวิตธเนศวร์เทียบเคียงกับการเปลี่ยนแปลงสังคมท้องถิ่น “ล้านนา” ตลอด 6 ทศวรรษที่ผ่านมา พร้อมทั้งคำถามที่ชวนกังว่าเอาเข้าจริงการเน้นความเป็น “ล้านนา” และ “ท้องถิ่นนิยมนั้น” มีส่วนเสริมหรือทอนอำนาจท้องถิ่นไปอย่างไร

 

ส่วนแรก : ธเนศวร์ ในฐานะส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เชียงใหม่

ในส่วนนี้จะทำความเข้าใจช่วงชีวิตของธเนศวร์ ท่ามกลางบริบททางประวัติศาสตร์ที่อยู่แวดล้อมตัวเขา ที่ได้หล่อหลอมสร้างอัตลักษณ์คนเมืองและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับดินแดนล้านนา ซึ่งในบทความนี้จะเลือกใช้คำว่า “คนเมืองที่ดี” อธิบายถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มคน พลเมืองท้องถิ่นคนเมืองที่แม้ว่าปฏิบัติการทางสังคมจะดูก้าวหน้า กระทั่งมีการตั้งคำถาม ท้าทายรัฐ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทะลุ ยิ่งกว่านั้นอาจจะช่วยเสริมอุดมการณ์ของรัฐไปอย่างไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ส่วนคำว่า “ล้านยูโทเปีย” นั้นจะให้หมายถึง อัตลักษณ์ของดินแดนภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยในปัจจุบันที่มีวัฒนธรรมใกล้ชิดกันตั้งแต่สมัย “สหพันธรัฐล้านนา” เมื่อราว 500-600 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอัตลักษณ์นี้สอดคล้องกับการเกิดขึ้นของ “คนเมืองที่ดี” ตั้งแต่การรวมเป็นหนึ่งเดียวกับรัฐชาติสยามเป็นต้นมา และยิ่งชัดเจนหลังสงครามโลกครั้งที่2 ที่โครงสร้างทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ที่พบว่ามีการใช้คำว่า “ล้านนา” “ลานนา” “ลานนาไทย” อย่างแพร่หลาย “ล้านนายูโทเปีย” จึงเป็นอัตลักษณ์หนึ่งที่มีความโหยหาอดีต มองย้อนกลับไปในฐานะอดีตอันงดงามและเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ที่สำคัญมักจะเน้นศูนย์กลางอยู่ที่เชียงใหม่ในฐานะเมืองหลวงของล้านนา

 

เชียงใหม่ในกระแสธารการเปลี่ยนแปลง ทศวรรษ 2490

ธเนศวร์ เจริญเมือง เกิดใน ปี 2494 จากครอบครัวครูต่างอำเภอ อ.ดอยสะเก็ด เชียงใหม่[5] ก่อนที่จะใช้ชื่อจริงว่า “ธเนศวร์” เขาได้รับการเสนอชื่อหลายต่อหลายชื่อ เช่น ผู้ใหญ่บ้านที่ชอบพอกันกับบิดาตั้งชื่อ “ฉลาด” ขณะที่ครูบาที่บิดาเคารพก็ให้ชื่อ “สิงห์คำ” ไม่เพียงเท่านั้น ตาของเขาซึ่งเป็นศึกษาธิการอำเภอ ก็ได้ชื่อมาจากพระที่เคารพอีกหลายชื่อ เช่น พิฆเนศวร์ ธรนินทร์ ธเนศวร์ ในที่สุดข้อสรุปของการระบุนามมาลงตัวที่ “ธเนศวร์”[6]

ทศวรรษ 2490 นับว่าเป็นช่วงที่สังคมไทยขยายตัวจากทุนนิยม การค้า และการขยายตัวของเมืองทั่วประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 [7] โดยเฉพาะเชียงใหม่ที่เริ่มตั้งตัวกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวก่อนเมืองในภูมิภาคอื่นๆ ด้วยเงื่อนไขหลายอย่างที่พร้อมมูล ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางโดยรถไฟจากเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ที่ค่อนข้างสะดวก การเติบโตของทุนนิยมสิ่งพิมพ์ การสร้างความรับรู้ของสังคมไทยผ่านสื่อมวลชน ทำให้เกิดมายาคติของภาพลักษณ์ที่ว่าเชียงใหม่เป็นเมืองดอกไม้สวย ผู้หญิงงาม[8]  สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นความสำเร็จในชั้นแรกของการสถาปนาความเป็นเมืองหลวงของ “ล้านนายูโทเปีย” ธเนศวร์ย่อมเกิดมาภายใต้บรรยากาศการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของเชียงใหม่ การตั้งชื่อของธเนศวร์เองน่าจะเป็นตัวแทนความเปลี่ยนแปลงของสังคมท้องถิ่นเชียงใหม่ ที่ทำให้เห็นที่ของชื่อ จากชื่อง่ายๆที่ล้อกับชื่อพ่ออย่าง “ฉลาด” ชื่อแบบคนเมือง “สิงห์คำ” มาถึงชื่อที่มีกลิ่นนมเนยบาลีสันกฤตอย่าง “ธเนศวร์” ทำให้เห็นว่ากลุ่มทางสังคมเริ่มมีความคิดที่หลากหลายยิ่งขึ้น

ก่อนธเนศวร์เกิดเพียงหนึ่งปี ทองดี อิสราชีวิน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ ได้ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเรื่องมหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อทวงสิ่งที่รัฐบาลเก่าเคยให้นโยบายไว้ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอย่าง ชาวเหนือ ซึ่งมีนายสงัด บรรจงศิลป์ เป็นบรรณาธิการ ได้เสนอข่าวการตั้งกระทู้ถามของทองดี เรื่องมหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทั้งเชิญชวนให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นผ่านหนังสือพิมพ์[9] ซึ่งประเด็นนี้ถูกขยายผลอย่างกว้างขวางในปี 2496 อาจเรียกได้ว่าเป็นกระแสท้องถิ่นนิยมแรกๆ ที่ประกาศตัวออกมาเป็นรูปธรรมผ่านการเรียกร้องมหาวิทยาลัยของคนเชียงใหม่ โดยการปฏิบัติการผ่านสังคมเมืองแบบ “ล้านนายูโทเปีย”

สติ๊กเกอร์เรียกร้องให้มีมหาวิทยาลัยภาคเหนือ

กระแสท้องถิ่นนิยมที่เกิดขึ้นนี้ ส่วนหนึ่งก็เกิดจากคนในท้องถิ่นที่พอมีฐานะและได้รับการศึกษาระดับสูงที่ครุ่นคิดที่จะสร้างอัตลักษณ์และกลุ่มทางสังคมขึ้นมา ดังที่เราอาจพบได้จากการตั้งสมาคมชาวเหนือขึ้นที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2489[10] สำหรับเชียงใหม่แล้วผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากก็คือ ไกรศรี นิมมานเหมินท์ ผู้ซึ่งมีฐานจากครอบครัวอันมั่งคั่งและการศึกษาทางด้านบริหารธุรกิจจากสหรัฐอเมริกา[11] ไกรศรี เป็นหนึ่งในรูปปฏิมาของปัญญาชน ชนชั้นกลางเชียงใหม่ที่มีบทบาทในการอนุรักษ์ ซ่อม สร้าง ประดิษฐ์ วัฒนธรรมความเป็น “คนเมืองที่ดี” อันทรงพลังอย่างยิ่ง เขายังเป็นผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์รายวันและวารสารรายเดือนในนาม คนเมือง ที่เริ่มต้นในปี 2496[12] และหนังสือพิมพ์นี้เป็นปากกระบอกเสียงอันสำคัญต่อการรณรงค์เรียกร้องมหาวิทยาลัยระดับภูมิภาคในเวลาต่อ

คนเมือง เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีกลุ่มเป้าหมายและการตลาดชัดเจนว่าเน้นการขายความเป็น “ล้านนายูโทเปีย” บนสำนึกท้องถิ่นนิยมที่ขยายตัวมากขึ้น นอกจากเป็นการสื่อสารกับคนภายในแล้ว ยังได้สื่อสารไปสู่คนนอกอย่างแนบเนียนและละเมียดละไม มีรสนิยม การผูกตนเองกับความเป็น “คนเมืองที่ดี” ของไกรศรีนั้น มิได้เกิดขึ้นโดยไร้เหตุผล หรือเกิดขึ้นจากปัจจัยภายใน คือ สำนึกรักท้องถิ่นอย่างแรงกล้าเท่านั้น แต่เป็นปฏิบัติการทางการเมืองอย่างหนึ่งที่ผ่านการครุ่นคิดคำนวณเพื่อสร้างอัตลักษณ์ของตน[13] จึงพบว่าคนเสียงดังอย่างไกรศรี ได้การสร้างความเป็น “คนเมือง” ผ่านการจัดเลี้ยงขันโตก ผ่านการอุปโลกน์เสื้อหม้อห้อมให้เป็นสัญลักษณ์ของ “คนเมืองที่ดี” ในหมู่ชนชั้นสูง จุดนี้เองได้ทำให้วัฒนธรรม “ล้านนายูโทเปีย” เช่นนี้แพร่หลายออกไปผ่านการรับรู้ของชนชั้นนำและชนชั้นกลางในสังคมไทย ความเป็นท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับการจัดสถานะตนเองกับอุดมการณ์รัฐชาติและชนชั้นปกครองและชนชั้นอำนาจ

 

ทศวรรษ 2500 เชียงใหม่เมืองเจ้า

สังคมไทยหลังปี 2500 ได้เกิดการจัดรูปโครงสร้างทางสังคมการเมืองอย่างใหญ่หลวง รัฐราชการอนุรักษ์นิยมที่ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าคณะรัฐประหารและเครือข่ายอำมาตย์ทหารและพลเรือน รวมถึงการหนุนหลังของสหรัฐอเมริกา ได้ทำให้ประเทศไทยเติบโตไปคู่ขนานกันสองทาง ทางแรกเป็นการมุ่งก้าวกระโดดไปข้างหน้าด้วยวาทกรรมการพัฒนาเพื่อสร้างความมั่งคั่งและต่อต้านคอมมิวนิสต์ กับอีกทางก็คือ การฟื้นฟูแนวคิดอนุรักษ์นิยม และสถาบันกษัตริย์ขึ้นเพื่อรักษาสถานภาพทางอำนาจของชนชั้นนำและกล่อมเกลาสังคมด้วยอำนาจแบบดั้งเดิม และเป็นที่แน่นอนว่า การรัฐประหารของสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่ยอมให้การเติบโตของฝ่ายซ้ายทั้งในเชิงขบวนการและการเผยแพร่สิ่งพิมพ์เกิดขึ้นบนดิน ต่างจากความหลากหลายของการเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้ายที่เคยคึกคักในทศวรรษ 2490 ราวกับว่าลบปฏิบัติการทางวัฒนธรรมของฝ่ายซ้ายออกจากแผนที่ประเทศไทย

หมุดหมายสำคัญของการพัฒนา ก็คือ การตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในปี 2507 ส่วนหนึ่งมาจากผลพวงการเรียกร้องในทศวรรษที่ 2490 แต่เงื่อนไขสำคัญที่ผลักดันให้สร้างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้นั่นคือ นโยบายยุคพัฒนาของรัฐบาลเผด็จการ ที่แถลงนโยบายตั้งแต่ปี 2501 ว่าจะดำเนินการ “พัฒนาการศึกษาในส่วนภูมิภาค ตลอดถึงการศึกษาขั้นสูง” โดยริเริ่มอย่างเป็นรูปธรรมในการประชุมที่เชียงใหม่ปี 2502 ที่นำโดย ปิ่น มาลากุล จนในที่สุดได้มีการชงเรื่องไปยังสฤษดิ์ นายกรัฐมนตรี ผลก็คือได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เดือนมีนาคม 2503 ความกระตือรือร้นดังกล่าวเห็นได้จากข้อสรุปประชุมที่กำหนดอย่างฉับไวว่า จะให้เปิดการเรียนการสอนในปี 2507 การสร้างมหาวิทยาลัยขึ้นใหม่โดยใช้เวลาเพียง 4 ปีด้วยระบบราชการไทยที่แสนจะอุ้ยอ้ายนับว่าเป็นความรวดเร็วที่น่าตกใจ[14] การเปิดเรียนในระยะเริ่มต้นนั้น พบว่ามีการจัดตั้งคณะวิชาพื้นฐานเพียง 3 คณะวิชา คือ คณะมนุษยศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ ในปีต่อมาได้จัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ที่รับโอนมาจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ที่เปิดดำเนินการมาแล้วที่เชียงใหม่ก่อนหน้านี้[15] ขณะที่ปี 2506 คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เริ่มสร้างสถานีวิจัยดอยปุย[16] ที่ในเวลาต่อมาก็ได้เป็นหน่วยงานทีสนับสนุนการดำเนินการของกษัตริย์ที่ปัจจุบันนี้รู้จักกันในนาม “โครงการหลวง”

กระแสการพัฒนาดังกล่าวเชื่อมั่นในพลังความก้าวหน้า ยังมีการจัดการเมืองรูปแบบใหม่ที่เน้นแนวความคิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาด สุขอนามัยและความปลอดภัยจากอาชญากรรมของเมืองโดยเฉพาะเห็นได้ชัดในยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์[17] ที่ทำการกวาดล้างทำความสะอาดความสกปรกทั้งในด้านกายภาพและด้านความปลอดภัยของบ้านเมือง พื้นที่เสื่อมโทรมในเมืองจึงต้องถูกจำกัด บางส่วนก็ถูกแทนที่ด้วยพื้นที่สันทนาการ พื้นที่พักผ่อนอย่างสวนหย่อม สนามเด็กเล่น ฯลฯ จึงพบว่าเริ่มมีการรื้อกำแพงเมืองเชียงใหม่ โดยผู้บริหารเทศบาลและชุมชนท่าแพ ช้างม่อย ศรีภูมิในปี 2507[18] ในยุคดังกล่าวแนวความคิดเรื่องการพัฒนาที่ส่งผลต่อการทำลายโบราณสถาน เมืองเก่าและการอนุรักษ์ยังไม่ได้เป็นประเด็นถกเถียง

อีกขั้วที่เติบโตคู่ขนานกันไปก็คือ อุดมการณ์อนุรักษ์นิยม การปรากฏตัวและการสร้างตำแหน่งแห่งที่ของสถาบันกษัตริย์เป็นครั้งแรกในดินแดน “ล้านนายูโทเปีย” ที่เชียงใหม่ก็คือ ช่วงเดือนมีนาคมปี 2501 มีการเสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการและประกอบพระราชพิธีสมโภชพระธาตุดอยสุเทพ ในครั้งนั้นยังเสด็จร่วม “พิธีทูนพระขวัญของเจ้านายฝ่ายเหนือ” พิธีกรรมดังกล่าว มีขบวนอัญเชิญพระขวัญโดยเจ้านายชายหญิง และวางพวงมาลาและทอดผ้าไตรอนุสาวรีย์ราชวงศ์เชียงใหม่ที่ประดิษฐานอัฐิพระราชชายาเจ้าดารารัศมีที่วัดสวนดอก[19] การเชื่อมโยงกษัตริย์ของไทยเข้ากับพระธาตุความเชื่อศักดิ์สิทธิ์ของท้องถิ่น ทำให้สถาบันกษัตริย์ถูกประดิษฐานอย่างงามสง่า และการที่สามารถเชื่อมโยงกับ “เชื้อสายเจ้านายทางเหนือ” ไว้เช่นนี้ ทำให้เจ้านายท้องถิ่นมีตำแหน่งแห่งที่บนปิระมิดยอดสุดของ “คนเมืองที่ดี”ไปโดยปริยาย และเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เจ้านายทางเหนือเองเริ่มกลับมามีบทบาทในแวดวงสังคมชนชั้นสูงในเชียงใหม่อีกครั้ง หลังจากที่สูญเสียความเป็นผู้นำทางวัฒนธรรมไปในช่วงปฏิวัติสยาม 2475 เป็นอย่างช้า

หลังจากการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศปี 2502 มาแล้ว ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำริว่าควรจะเชิญประมุขประเทศต่างๆ ให้มาเยือนประเทศไทยบ้าง แต่ข้อติดขัดคือสถานที่พัก จึงทรงมีพระราชดำริว่าควรสร้างพระตำหนักที่บนภูเขาในจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยเหตุผลที่เชียงใหม่นั้น “มีอากาศเย็นสบาย ตัวเมืองก็มีขนาดใหญ่ ไม่ขาดแคลนข้าวปลาอาหาร ทั้งชาวไทยภาคเหนือยังดำรงรักษาจารีตประเพณีอันดีงามไว้ ซึ่งดูเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่จะสร้างพระตำหนักขึ้นสำหรับต้อนรับแขกต่างประเทศ และเพื่อประทับพักผ่อนเป็นการส่วนพระองค์เป็นครั้งคราว” [20]ทัศนะเช่นนึ้ย่อมสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของ “ล้านนายูโทเปีย” เป็นอย่างยิ่ง พระตำหนักแห่งนี้จึงเป็นพระตำหนักหลังแรกของ “กษัตริย์ไทยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์” ที่สร้างขึ้น ณ จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นเมืองหลวงของรัฐล้านนาโบราณ การค้นพบช้างสำคัญ หรือที่รู้จักกันว่าช้างเผือก[21]ที่อำเภอสันทราย ไม่ห่างไปจากตัวเมืองเชียงใหม่เท่าใดนัก จนได้มีการขึ้นระวางช้างสำคัญเมื่อเดือนมกราคม 2509 ณ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ช้างสำคัญดังกล่าวได้นามว่า “พระเศวตวรรัตนกรีฯ” นับได้ว่าปรากฏการณ์นี้เป็นการตอกย้ำสัญลักษณ์สำคัญของกษัตริย์ผู้เปี่ยมไปด้วยบารมี จากความเชื่อโบราณ คติดังกล่าวจึงเป็นอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมเก่าที่ถูกกลับมาสถาปนาในกาลเวลาสมัยใหม่อย่างทรงพลัง

ขณะที่คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ อันเป็นคณะที่เต็มไปด้วยผู้มีความรู้ความสามารถอันเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญที่จะผลิตบุคลากรที่จะก้าวไปสู่สถานที่สูงส่งทางชนชั้น พบว่าคณะนี้มีความสัมพันธ์กับสถาบันพกษัตริย์อย่างเด่นชัด เราจะเห็นการเลือกพื้นที่ของคณะแพทยศาสตร์เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมต่างๆอันเกี่ยวกับสถาบันได้แก่ พิธีบายศรี สมเด็จพระเจ้ากรุงเดนมาร์กและสมเด็จพระราชินีอินกริด (2505)[22]และพระราชคันตุกะอื่นๆ หรือการเสด็จร่วมในบางกิจกรรม เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯเสด็จไปแข่งขันแบดมินตันกับข้าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ณ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เชียงใหม่ (2507) [23] การขึ้นระวางช้างสำคัญ (2509)

กระแสท้องถิ่นนิยมที่ต่อเนื่องจากทศวรรษที่แล้ว ก็เชื่อมกับงานเขียนด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จากการสำรวจของยงยุทธ ชูแว่น พบการขยายตัวของงานเขียนดังแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การเขียนประวัติของบ้านเมือง และบุคคลสำคัญ และอีกประเภทคือ การปริวรรต และรวบรวมหลักฐานและเอกสารที่เกี่ยวข้อง[24] โดยงานประเภทแรก เป็นงานเขียนที่มีเนื้อหาจับต้องได้ มีบุคคลและเหตุการณ์สำคัญแวดล้อมและเขียนด้วยภาษาร่วมสมัยที่สามารถเผยแพร่ไปสู่วงกว้างได้ เช่น วีรกรรมเจ้ากาวิละ (2502) ประวัติเมืองเชียงใหม่และทิพย์ช้างวีรบุรุษแห่งปงยางคก (2506) ตำนานเมืองเหนือ (2508) โดย สงวน โชติสุขรัตน์, ประวัติเมืองลำปางและพระธาตุลำปางหลวง (2508) โดย ศักดิ์ รัตนชัย, เพชรล้านนา เล่ม 1,2 (2507) โดย ปราณี ศิริธร ณ พัทลุง เป็นต้น[25] ส่วนงานประเภทที่สอง กลับเน้นไปที่ความเป็น “หลักฐานทางประวัติศาสตร์” เพื่อนำมาเป็นแหล่งอ้างอิงในงานประเภทแรก ที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็คือ การปริวรรตเอกสารโบราณที่มีจำนวนมหาศาลยิ่งทำให้งานสืบค้นในอดีตเพื่อค้นหาตัวตนยิ่งเป็นหนทางที่เปิดกว้างและมีเสน่ห์ดึงดูดให้คนจำนวนหนึ่งเอาจริงเอาจังกับงานเขียนเหล่านี้ หน่ออ่อนของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกำลังก่อรูป ในอีกด้านหนึ่งธเนศวร์ได้เข้ามาเรียนในเมืองที่โรงเรียนปรินซ์รอแยลส์ฯ ตั้งแต่ชั้น ป.3-ม.ศ.5 เขาจบการศึกษา ในปี 2512 ธเนศวร์ไม่ได้เลือกที่จะศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยภูมิภาคอย่างเชียงใหม่

 

ทศวรรษ 2510 เชียงใหม่กับความรุนแรงทางการเมือง

ปี 2512 เป็นปีที่ทางหลวงหมายเลข 11 ตัดถึงเชียงใหม่ ถนนเส้นนี้ได้เชื่อมต่อระหว่างลำปางเชียงใหม่อย่างสมบูรณ์ และทำให้ทางหลวงอ้อมตัวเมืองลำพูนออกไป การตัดถนนเป็นรูปธรรมของความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่นอกจากจะเชื่อมระหว่างเมืองหนึ่งไปสู่อีกเมืองหนึ่งแล้วยังย่นระยะเวลา เพิ่มประสิทธิภาพในการคมนาคมขนส่งอีกด้วย ทางหลวงมาตรฐานที่กว้างขวางย่อมมีความแตกต่างจากถนนสายเก่าที่เชื่อมระหว่างลำพูน-เชียงใหม่  

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปยังหมู่บ้านชาวเขาในที่ต่าง ๆ ได้ทอดพระเนตรเห็นสภาพความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น ในปี 2511 จึงได้ทรงสนับสนุนงานวิจัยไม้ผลเมืองหนาว โดยได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 2 แสนบาท (บ้างก็ว่าเป็นเงินซื้อสวนผลไม้) สนับสนุนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ดอยปุย จังหวัดเชียงใหม่ (ปัจจุบันเรียกว่า สวนสองแสน) พร้อมทั้งทรงโปรดเกล้าฯ ให้คณะทูตานุทูตพิจารณาให้ความช่วยเหลือ อันเป็นผลให้หลายประเทศให้ความสนใจช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ และได้จัดส่งพันธุ์ไม้นานาชนิดมาให้ทดลองปลูก โครงการหลวงจึงเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2512[26] เช่นเดียวกับการตั้ง วัตถุประสงค์และประโยชน์ในการก่อตั้งโครงการหลวงจะเห็นได้จากพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปี 2517 โอกาสที่ทรง เยี่ยมคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่[27]  ดังที่ว่า

 

"… เรื่องที่จะช่วยชาวเขาและโครงการชาวเขานั้น มีประโยชน์โดยตรงกับชาวเขาเพื่อที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวเขามีความเป็นอยู่ดีขึ้น สามารถที่จะเพาะปลูกสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นรายได้กับเขาเอง ที่มีโครงการนี้ จุดประสงค์อย่างหนึ่งก็คือ มนุษยธรรม หมายถึงให้ผู้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารสามารถที่จะมีความรู้และพยุงตัวมีความเจริญได้ อีกอย่างหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ช่วยในทางที่ทุกคนเห็นว่าควรจะช่วย เพราะเป็นปัญหาใหญ่ก็คือปัญหาเรื่องยาเสพติด ถ้าสามารถช่วยชาวเขาปลูกพืชที่เป็นประโยชน์บ้าง เขาจะเลิกปลูกยาเสพติด คือ ฝิ่น ทำให้นโยบายการระงับ การปราบปรามการสูบฝิ่น และการค้าฝิ่นได้ผลดี อันนี้ก็เป็นผลอย่างหนึ่ง

ผลอีกอย่างหนึ่งซึ่งสำคัญมากก็คือ ชาวเขาตามที่รู้เป็นผู้ที่ทำการเพาะปลูก โดยวิธีที่จะทำให้บ้านเมืองของเราไปสู่หายนะได้ โดยที่ถางป่าและปลูกโดยวิธีที่ไม่ถูกต้อง ถ้าพวกเราทุกคนไปช่วยเขา ก็เท่ากับช่วยบ้านเมืองให้มีความอยู่ดีกินดี และปลอดภัยได้อีกทั่วประเทศ เพราะถ้าสามารถทำโครงการนี้ได้สำเร็จ ให้ชาวเขาอยู่เป็นหลักเป็นแหล่งสามารถที่จะมีความอยู่ดีกินดีพอสมควร และสนับสนุนนโยบายที่จะรักษาป่าไม้รักษาดินให้เป็นประโยชน์ต่อไป ประโยชน์อันนี้จะยั่งยืนมาก"

 

โครงการหลวงในระยะแรกนั้น เป็นโครงการอาสาสมัคร คณะผู้อาสาสมัครมีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ กรมวิชาการเกษตร กรมปศุสัตว์ และกองทัพอากาศ งานที่กระทำคือ การช่วยตำรวจตระเวนชายแดนในการส่งเสริมการปลูกพืชแก่ชาวเขา ซึ่งแน่นอนว่างานนี้ไม่ได้เป็นการช่วยเหลือสงเคราะห์เฉยๆเพราะมีความเมตตากรุณา แต่ชื่อของ ตำรวจตระเวนชายแดน เป็นยี่ห้อที่สะท้อนถึงปฏิบัติการทางการเมืองเพื่อความมั่นคงของรัฐ และนั่นก็เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่เพื่อสู้กับสงครามจิตวิทยากับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่ส่วนใหญ่แย่งชิงมวลชนไปได้ด้วยการผนวกชาวบ้านเข้าไปเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขาในพื้นที่ชายขอบและรอยตะเข็บชายแดนอีกด้วย

ในปีเดียวกันกับที่ทางหลวงหมายเลข 11 สร้างเสร็จ ธเนศวร์เดินทางลงไปกรุงเทพฯเพื่อศึกษา ณ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขามีชีวิตอยู่ภายใต้กระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เขาได้มีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์ด้วยการดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการฝ่ายการเมือง ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนนท.) อันเป็นขบวนความเคลื่อนไหวที่มีบทบาทในเหตุการณ์สำคัญ 14 ตุลาคม 2516 อีกหนึ่งปีต่อมา ธเนศวร์เรียนจบในปี 2517 และเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อศึกษาต่อในปี 2518 หลังเหตุการณ์ดังกล่าวในช่วงแรกได้เพิ่มอำนาจการต่อรองให้กับประชาชนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เกิดการเคลื่อนไหวของประชาชน และผู้ด้อยโอกาสในสังคม เสียงตะโกนถึงความเป็นธรรมเพื่อชีวิตที่ดีกว่าได้ส่งเสียงดังจนแสบแก้วหูชนชั้นนำ นับว่าเป็นการท้าทาย และคุกคามบรรยากาศสังคมที่สงบร่มเย็นของชนชั้นนำและชนชั้นปกครองทั้งหลายอย่างที่พวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน ชาวนา กรรมกร คนงาน คนเล็กคนน้อยที่เคยเป็นคนชนชั้นล่าง ไม่มีสิทธิ มีเสียง ออกมาแสดงความไม่พอใจ บ้างก็ประท้วง บ้างก็นัดผละงาน ยังไม่นับว่าขบวนการความเคลื่อนไหวส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากนักศึกษาฝ่ายซ้าย อารมณ์ปฏิปักษ์ของฝ่ายปฏิกิริยา

ได้มีการจัดตั้งมวลชนฝ่ายขวาเพื่อทำการต่อสู้กลับด้วยวิธีการต่างๆ ทำให้ความรุนแรงค่อยๆสั่งสมจากการรบกวนเล็กๆน้อยๆ ขยายขนาดไปจนถึงการเอาชีวิตกัน

ความรุนแรงดังกล่าวไม่จำกัดวงเฉพาะในเมืองหลวง เท่านั้นเชียงใหม่ก็กลายเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่อยากลืมแห่งหนึ่ง เดือนกุมภาพันธ์ 2518 ประเสริฐ (ขอสงวนนามสกุล) นักศึกษาคณะสังคมศาสตร์ ปีที่4 ม.เชียงใหม่ ถูกจับกุมโดยถูกกล่าวหาว่าใช้ชอล์กขีดข้อความบริเวณพลับพลาที่ประทับในหลวง บริเวณศาลาอ่างแก้ว ในวันพระราชทานปริญญาบัตร ม.เชียงใหม่[28] ทำให้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ นักศึกษาและประชาชนเชียงใหม่ 500 คน ชุมนุมโจมตี ประเสริฐ และขู่ฆ่านักศึกษาฝ่ายซ้ายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้หมด[29] เดือนมิถุนายน 2518 เกิดเหตุชาวเชียงใหม่กลุ่มหนึ่งบุกเผารถและปิดล้อมโรงเรียนตัวแทนชาวนาชาวไร่ ณ รร.บ้านต้นแก้ว อ.หางดง เชียงใหม่[30]  เดือนกรกฎาคม 2518 อินถา ศรีบุญเรือง ประธานสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย ถูกลอบสังหารที่บ้านพัก อ.สารภี เชียงใหม่ [31]  ประวัติศาสตร์การเมืองในสมัยนั้นยังบอกเราด้วยว่า เชียงใหม่เคยมีสมาชิกสภาผู้แทนที่สังกัดพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยชื่อว่า อินสอน บัวเขียว ที่ดำรงตำแหน่งส.ส.ตั้งแต่มกราคม 2518[32] ความรุนแรงกระจายอยู่ไปทั่วดุจไอแก๊ซที่รั่วกระจายไปตามสายลม ในที่สุดความรุนแรงก็นำไปสู่เหตุการณ์อันน่าสยดสยองในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และท้องสนามหลวง ความโหดร้ายป่าเถื่อนของโศกนาฏกรรมนี้ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลกและช็อกความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ การจัดการขั้นเด็ดขาดด้วยความรุนแรงและความหวาดกลัว นำไปสู่รัฐประหารและการลิดรอนเสรีภาพครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ปัญหาสำคัญที่ตามมาก็คือ การลิดรอนสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน และการสร้างสภาวะหวาดกลัวด้วยอำนาจฝ่ายขวาที่พยายามจะทำลายล้างฝ่ายซ้ายให้ไร้ที่ยืน โดยเฉพาะในเขตเมืองหรือเขตที่อำนาจรัฐเข้าไปแทรกแซงได้

หลัง 6 ตุลาฯ ตำรวจเข้าค้นบ้านของธเนศวร์และพบหนังสือ The Soviet Political System ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนโดยนักวิชาการอเมริกัน Alfred Meyer เพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ แต่กลับถูกเข้าใจผิดว่าเป็นหนังสือต้องห้าม ข่าวที่แพร่ออกไปทำให้กลุ่มจัดตั้งทางการเมืองฝ่ายขวาอย่างลูกเสือชาวบ้าน ออกมาเดินขบวนตามไปโห่ร้องด่าทอ และขว้างปาที่หน้าบ้าน พ่อของเขาถูกตำรวจล่ามโซ่ไว้ที่โรงพักหลายวัน ก่อนจะถูกส่งตัวไปคุมขังที่ศูนย์การุณยเทพในตัวเมืองเป็นเวลา 7 เดือน และในที่สุดก็ถูกไล่ออกจากราชการ โศกนาฏกรรมครั้งนี้สร้างความสะเทือนใจให้กับธเนศวร์เป็นอย่างสูง หลังจากเขาทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยปลายเดือนตุลาคม เขาตัดสินใจยุติการเรียนตั้งแต่นั้น และร่วมกับเพื่อนคนไทยเดินขบวน และแจกใบปลิวที่กระทรวงต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา เดินทางไปฟังปาฐกถาของป๋วย อึ๋งภากรณ์ที่ มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด ธเนศวร์หาทางกลับไปร่วมงานกับเพื่อนในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย โดยเลือกหาเส้นทางเข้าที่หลบเลี่ยงการตรวจของราชการ ซึ่งในที่สุดมาลงเอยที่การเดินทางผ่านประเทศจีนต่อมายังลาว อย่างไรก็ตามการเดินทางไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนเดินทาง เขาต้องรอคอยข่าวสารที่แน่ชัด ระหว่างนั้นเขาต้องทำงานสารพัดเพื่อเก็บเงินให้แม่และน้อง การเดินทางต่อมาได้พาเขาไปยังญี่ปุ่น ฮ่องกง มาเก๊า ในปี 2520 จนปลายปีธเนศวร์เข้าไปถึงจีน แต่ก็ต้องรอการอนุมัติจากจีนอีก จนถึงเดือนกันยายน 2521 เขาถึงได้เดินทางออกจากคุนหมิงมาที่เมืองลา การเดินทางผ่านทั้งรถบรรทุก เครื่องบินของโซเวียต เรือ และเดินเท้า ธเนศวร์เดินทางในชุดสีเขียวสวมหมวกดาวแดงเข้าสู่แผ่นดินไทยทางเขตห้วยโก๋น อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2522 [33] ธเนศวร์ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) อย่างเต็มตัว

ในอีกด้านหนึ่งนั้น งานเขียนประวัติศาสตร์ล้านนา ในช่วงนี้ส่วนใหญ่เป็นงานลักษณะ “หลักฐานทางประวัติศาสตร์” ที่หนักแน่นไปด้วยหลักวิชาการมากขึ้นและมีความสำคัญมากจนสามารถตั้งเป็นสถาบันได้ อันได้แก่ กฎหมายพระเจ้ามังราย (2510) โดย ประเสริฐ ณ นคร, กฎหมายพระเจ้าน่าน (2514) ตำนานพระเจ้าหริภุญชัย (2516) และงานอีกจำนวนมากโดย สิงฆะ วรรณสัย, ประมวลรายชื่อคัมภีร์ใบลานและสมุดข่อยในเขตอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่ภาค 1-4 (2517) , มังรายศาสตร์ภาคปริวรรต ลำดับ 1 (2518) ตำนานมูลศาสนา ฉบับวัดป่าแดง (2519) โดย สมหมาย เปรมจิตต์, กฎหมายมังรายศาสตร์ต้นฉบับวัดหัวข่วง (2519) เป็นต้น[34] การขยายตัวเช่นนี้ทำให้คณะสังคมศาสตร์ ม.เชียงใหม่ จัดตั้ง “ศูนย์วิจัยสังคมศาสตร์”ในปี 2519 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็น สถาบันวิจัยสังคม ม.เชียงใหม่[35] หลักฐานเหล่านี้จะสั่งสมเป็นคลังเพื่อนำไปสู่การวิจัยและค้นคว้าเพื่องานเขียนในทศวรรษต่อไป วิธีเขียนประวัติศาสตร์ที่สอดคล้องกับ “ล้านนายูโทเปีย” นี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องและไม่นับความทรงจำสมัยใหม่ โดยเฉพาะเรื่องเล่าที่มีพล็อตเรื่องไม่เข้ากันกับอุดมการณ์ของรัฐ งานเขียนจึงแทบจะออกมาแนวเดียวนั่นคือ การเขียนประวัติศาสตร์แนวท้องถิ่นจารีตนิยม

 

ทศวรรษ 2520 ท้องถิ่นชาตินิยมต้านคอมมิวนิสต์

ในที่สุดพคท.ก็พ่ายแพ้ ด้วยปัจจัยรุมล้อมทั้งความขัดแย้งภายในพรรค ความขัดแย้งภายในค่ายคอมมิวนิสต์ระหว่างโซเวียต กับจีน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนก็ขัดแย้งตามไปด้วย เวียดนามและลาวที่โซเวียตหนุนหลังจึงแตกหักกับกัมพูชาและพคท.ที่จีนสนับสนุนอยู่ พคท.ที่มีฐานที่มั่นสำคัญอยู่ในลาวซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่จะเชื่อมต่อกับจีนจึงตกที่นั่งลำบากและเสื่อมสลายในที่สุด  พคท. ยังถูกโจมตีอย่างเข้าเป้าเมื่อรัฐบาลออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 เรื่อง นโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ในเดือนเมษายน 2523 [36] โดยใช้ “การเมือง” แก้ไขปัญหาโดยแปลงผู้ก่อการร้ายให้เป็น “ผู้พัฒนาชาติไทย”

ต้นทศวรรษ 2520 ที่ยังมีความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองสูง รัฐพยายามช่วงชิงอำนาจนำด้วยการบูรณาการอำนาจและอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมให้มีความเข้มแข็งขึ้น ช่วงดังกล่าว พบว่ามีการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนครั้งใหญ่ในปี 2521 ผ่าน พระราชบัญญัติ คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2521  สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการเทงบประมาณสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในการก่อตั้งศูนย์วัฒนธรรมประจำจังหวัดเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ภาษาและวัฒนธรรมของท้องถิ่น นำไปสู่การจัดประชุมสัมมนาด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นในจังหวัดต่างๆอย่างคึกคัก ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังสัมพันธ์กับการวิจัยระดับอุดมศึกษาที่หันมาสนับสนุนโครงการวิจัยเกี่ยวกับท้องถิ่นเพิ่มขึ้นอีกด้วย อาจกล่าวได้ว่า การสัมมนาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในระดับจังหวัดเฟื่องฟูสูงสุดในทศวรรษ 2520[37] โดยสถาบันการศึกษาที่เป็นตัวตั้งตีขณะนั้นก็คือ วิทยาลัยครูนั่นเอง อย่างไรก็ตามแม้ฉลากป้ายจะบอกว่าเป็นการเน้น “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น” แต่การสนับสนุนการเขียนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเช่นนี้ มีฐานะเป็นเพียงประวัติศาสตร์ส่วนขยายต่อจากประวัติศาสตร์แห่งชาติเท่านั้น นั่นหมายถึง ประวัติศาสตร์ที่ตั้งคำถามกับอำนาจรัฐ ประวัติศาสตร์การต่อต้านรัฐ ล้วนไม่เป็นประวัติศาสตร์ที่อยู่ในกรอบ และบางครั้งอาจถูกกำหนดให้เป็น “ผู้ร้าย” ในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นนั้นเสียเอง เช่น “กบฏเงี้ยวเมืองแพร่” ที่ยังสร้างวีรบุรุษด้วยตัวละครที่เป็นฝ่ายรัฐอย่าง พระยาไชยบูรณ์ ซึ่งสภาวการณ์เช่นนี้ได้ส่งเสริมให้แนวคิดประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เน้น “คนเมืองที่ดี” และ “ล้านนายูโทเปีย” ขยายตัวอย่างแจ่มชัด

หลังจากที่ธเนศวร์แยกตัวมาจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย คาดว่าเขากลับไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ทำให้เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท สาขา Russian Area Studies ณ Georgetown University ในปี 2529 ระหว่างนั้นพบว่า เขาเริ่มบทความลงหนังสือพิมพ์เพื่อสื่อสารกับสังคม บทความหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ “เฉลิมฉลองวันเกิดเมือง ด้วยการเยียวยารักษาเมือง” ใน ผู้จัดการรายวันภาคเหนือ ฉบับวันที่ 17 พฤษภาคม 2526 ขณะที่อีก 3 ปีต่อมาก็พบว่าเขามีงานเขียน 700 ปี ของเมืองเชียงใหม่ ในปี 2529 ซึ่งนับเป็นการป่าวประกาศต่อสาธารณะก่อนที่เชียงใหม่จะครบรอบ 700 ปี กว่าทศวรรษ แต่นั่นก็อาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากการฉลองอายุกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปีของรัฐบาลไทยในปี 2525 ในบริบทที่สังคมการเมืองไทยคลายตัวลงจากความตึงเครียดทางการเมืองหลัง 6 ตุลาคม 2519 และการสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และที่สำคัญการเฉลิมฉลองนี้ เป็นกิจกรรมของผู้ชนะในสงครามอุดมการณ์การเมือง การพลิกฟื้นความคิดแบบอนุรักษ์นิยมให้เข้ามารับใช้อุดมการณ์รัฐ ด้วยประวัติศาสตร์ชาตินิยมและอนุรักษ์นิยมจึงเป็นสิ่งที่ไม่เหนือความคาดหมาย  

 

การเมืองวิชาการและการสถาปนาคำว่า “ล้านนา”

การเสนอใช้คำว่า “ล้านนา” นั้นอาจพบมาตั้งแต่ทศวรรษ 2510 แต่ยังไม่ถือเป็นประเด็นทางสาธารณะมากพอ จนกระทั่งกระแสความตื่นตัวในการศึกษาประวัติศาสตร์ขยายตัวอีกเกือบสิบปีตามเงื่อนไขที่กล่าวมาแล้ว พบว่าดร.ฮันส์ เพนธ์เสนอบทความในปี 2523 ยืนยันการพบคำล้านนาในศิลาจารึกวัดเชียงสา ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ได้ตรวจสอบศิลาจารึกดังกล่าวแล้วเห็นว่า มีคำ "ล้านนา" คู่กับคำว่า "ล้านช้าง"จริง จึงเสนอให้ใช้คำ"ล้านนา" แทนคำ "ลานนา" ในปี 2526[38]

การสร้างอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ในช่วงปี 2526-2527 ที่มีข้อถกเถียงอย่างน้อยสองประเด็นนั่นคือ การใช้ตัวละครที่เป็นกษัตริย์ถึง 3 องค์มาสร้างเป็นรูปเคารพ ได้แก่ พญามังรายแห่งเชียงใหม่ พญางำเมืองแห่งพะเยา และ พ่อขุนรามคำแห่งแห่งสุโขทัย แน่นอนในมิติทางประวัติศาสตร์แล้ว ทั้ง 3 เป็นพันธมิตรต่อกันเพื่อต่อต้านพลังทางการเมืองจากทางเหนือคือมองโกล และเพื่อสร้างพันธมิตรในภูมิภาค โดยเฉพาะพญามังรายที่มีนโยบายจะผนวกเอาหริภุญชัยไว้กับตน แต่การเกิดขึ้นของเมืองเชียงใหม่ หรือจะพูดเหมารวมคือ อาณาจักรล้านนานั้น อีก 2 กษัตริย์ไม่ได้มีบทบาทมาก เพราะเอาเข้าจริงก็เป็นที่ปรึกษาเท่านั้น และอาจไม่เคยร่วมรบและผ่านศึกแบบลงแรง ลงเลือดกันด้วยซ้ำ แต่การหล่อรูปสำริดทั้งสาม กลับสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์อีกแบบที่สร้างความเชื่อมโยงเชียงใหม่ ล้านนา เข้ากับ ตัวแทนของสยามไทย นั่นคือ สุโขทัยซึ่งเป็นรัฐในอุดมคติของสยามไทยนั่นเอง ประเด็นที่สอง พบว่ามีการใช้ชื่อ "ล้านนาไทย" เป็นชื่อหนังสืออนุสรณ์พระราชพิธีเปิด พระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ที่เชียงใหม่[39] ซึ่งคำนี้มีปัญหาในทางประวัติศาสตร์ เนื่องจาก คำว่าไม่เคยปรากฏคำนี้ และที่ใกล้เคียงก็คือ “ลานนาไทย” ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกสร้างขึ้นในสมัย 100 ปีที่แล้ว

ในปี 2530 พบว่าการใช้คำว่า “ล้านนา” ยุติลง แต่ที่น่าสังเกตก็คือ นอกจากจะใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์และเหตุผลหักล้างแล้ว ยังสำแดงอำนาจผ่านทาง คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย ที่มีศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร เป็นประธาน[40] โดยมีหลักฐานอ้างอิงคือ หลักจารึกวัดเชียงสาที่ค้นพบโดย ฮันส์ เพนธ์ ปรากฏว่าข้อถกเถียงดังกล่าวแม้จะยุติแล้ว ก็ยังมีนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นผู้ไม่เห็นด้วย ยังยืนยันที่จะใช้คำว่า “ลานนา” ต่อไป

           

จรัล มโนเพ็ชร จุดบรรจบของอุดมการณ์ วัฒนธรรมป๊อบกับท้องถิ่นนิยม

ปรากฏการณ์จรัล มโนเพ็ชร ในทศวรรษ 2520 นั้นสร้างความประทับใจอย่างสูงให้กับธเนศวร์ดังที่เห็นได้จากบทความและข้อเขียนที่ธเนศวร์ได้กล่าวถึงจรัลในหลายวาระ เขากล่าวว่า ในฐานะทางอุดมการณ์ทางการเมือง จรัลได้ "ปฏิบัติการกบฏละมุน (Soft rebellion) ต่อสังคมไทยยุคเผด็จการได้อย่างมีศิลปะ ปลุกเร้าผู้คนไม่น้อยให้รับรู้พลังของแนวรบด้านศิลปะ-วัฒนธรรม" ซึ่งธเนศวร์น่าจะตีความแนวรบดังกล่าว ให้เข้ากับการต่อสู้ทางอุดมการณ์ฝ่ายซ้ายอันเป็นสิ่งที่เขายึดถืออยู่ในขณะนั้น และที่สำคัญเพลงของจรัลยังเป็น “เพลงแนวมนุษยนิยมและท้องถิ่นนิยม” อีกด้วย[41] ธเนศวร์ถึงกับเน้นว่า

“การแต่งกายพื้นเมือง ของกิ๋นคนเมือง เล่นดนตรีพื้นเมือง เสียงเพลงคำเมือง ผู้คนเดินคุยกันหรือประกาศ-ประชาสัมพันธ์เป็นคำเมือง และการประดิษฐ์ของเครื่องใช้และเครื่องประดับต่างๆ ของคนเมืองบนถนนคนเดินก็คือ ผลพวงของการทำงานด้านศิลปวัฒนธรรมที่ปี้อ้ายจรัล (และศิลปินคนอื่นๆ) ช่วยกันลงแรงตั้งแต่ทศวรรษที่ 2520 เป็นต้นมา” [42]

หรือการกล่าวถึงความสำคัญจนถึงขนาดเสนอให้เทศบาลนครเชียงใหม่สร้างอนุสาวรีย์จรัล มโนเพ็ชร ในปี 2549

“ตั้งแต่ปี 2520 เป็นต้นมา จรัล มโนเพ็ชร เป็นศิลปินชาวเชียงใหม่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศในฐานะศิลปินคนเมือง เพลงของจรัลจำนวนมาก เช่น เพลงน้อยใจยา ล่องแม่ปิง พี่สาวครับ อุ๊ยคำ สาวเชียงใหม่ สาวมอเตอร์ไซค์ ของกิ๋นคนเมือง หมะเมียะ เสเลเมา เจ้าดวงดอกไม้ฯลฯ ทำให้ภาษาคำเมืองเป็นที่รู้จักและชื่นชอบของคนทั้งประเทศ คุณจรัลได้สร้างชื่อเสียงให้แก่คนเชียงใหม่และเมืองเชียงใหม่อย่างสูง ทำให้คนเมืองรู้สึกภาคภูมิใจ รักและหวงแหนท้องถิ่นของตน และยังทำให้คนไทยจำนวนมากรู้จักอาหารพื้นเมืองของเชียงใหม่ และทำให้คนทั่วไปต้องการรับประทานอาหารของคนเมือง ชื่นชอบประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมล้านนา ผลงานของคุณจรัล จึงมีส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของเชียงใหม่ไปด้วย"”[43]

 

จรัล มโนเพ็ชร

ธเนศวร์อยู่ในสถานะที่ต่างกันกับจรัลอย่างสิ้นเชิง การส่องประกายสกาวของจรัล ในช่วงเวลาดังกล่าวน่าจะเป็นช่วงที่เขาอยู่ในรอยต่อของชีวิตที่อยู่ระหว่างเดินทางไปศึกษาต่อยังสหรัฐอเมริกาและเดินทางเพื่อกลับมายังบ้านเกิด อันเนื่องจากเหตุผลทางการเมืองและอุดมการณ์ของตน การต่อสู้แบบปิดลับทำให้เขาต้องรี้หายไปจากสังคมสาธารณะในยุคนั้นอย่างช่วยไม่ได้ อาการที่ธเนศวร์ให้ความสำคัญกับจรัล อาจเป็นการเติมเต็มให้กับส่วนเสี้ยวชีวิตของเขาที่หายไปในช่วงนั้นก็เป็นได้  จรัลยังเป็นผู้จุดประกายเรื่องท้องถิ่นนิยม ให้กับธเนศวร์ผู้มีสำนึกของคนที่อยู่ไกลบ้าน และเดินทางมาตลอดหลังจากที่จบระดับมัธยมแล้ว เราอาจนับได้ว่า หลังจากเขาเข้าเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่กรุงเทพฯในทศวรรษ 2510 แล้ว กว่าที่เขาจะได้กลับมาเริ่มงานในบ้านเกิดอย่างเป็นจริงจังก็เกือบยี่สิบปี อย่างไรก็ตาม ธเนศวร์ก็มิได้ถึงกับหลับหูหลับตาเชียร์จรัลตลอด เขายังได้เขียนวิจารณ์จรัล "ความเป็นเมืองเคิบของ จรัล มโนเพ็ชร"[44] ไว้ด้วยในปี 2552  ซึ่งมีเนื้อหาหลักอยู่ที่ปัญหาการ “อู้คำเมือง” ที่ไม่ได้ “มาตรฐาน” เนื่องจากผสมกับภาษาไทยมากเกินไปทำให้เพี้ยนจากความเป็น “ล้านนา”

ปฏิบัติการทางสังคมที่กลายเป็นกระแสท้องถิ่นนิยมเกิดขึ้นในปี 2529 พบว่าประชาคมเชียงใหม่ได้ต่อต้านการสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวนำโดยพระโพธิรังษีแห่งวัดพระธาตุดอยสุเทพ ความตื่นตัวดังกล่าว หากวัดเป็นตัวเลขแล้วพบว่าสามารถรวบรวมรายชื่อผู้คัดค้านได้ถึง 20,000 กว่าชื่อ เพื่อยื่นต่อชัยยา พูนศิริวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมัยนั้น[45] หากข้อมูลไม่คลาดเคลื่อน การต่อต้านกระเช้าไฟฟ้าอาจเป็นครั้งแรกๆ ในทศวรรษ 2500 ที่คนเชียงใหม่รวมตัวกันเรียกร้องทางการเมือง หลังจากที่สร้างพลังร่วมกันอย่างคึกคักมาแล้วเมื่อคราวเรียกร้องมหาวิทยาลัยในทศวรรษ 2490 การรวมพลังคราวนี้ยังเป็นการทดสอบพลังของประชาคมและกลุ่มคนในพลังฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ประกอบไปด้วยพระสงฆ์, ประชาคม “คนเมือง”, นักวิชาการ ฯลฯ

 

ทศวรรษ 2530 กลับสู่บ้านเกิด และที่ยืนของธเนศวร์

จากหนังสือ มาจากล้านนา (2536 ที่ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ผู้จัดการ ซึ่งในปีที่ผ่านมาสื่อมวลชนค่ายเดียวกันนี้ให้เกียรติธเนศวร์ ว่าเป็น “นักวิชาการเทิดทูนทักษิณ” [46]) ทำให้เห็นว่าธเนศวร์เริ่มเขียนบทความเป็นอย่างช้าตั้งแต่กลางปี 2533 จนถึงเดือนสิงหาคม 2535 ปรากฏอยู่ตามสิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่น ศิลปวัฒนธรรม ข่าวพิเศษ ผู้จัดการรายวัน ผู้จัดการรายวันภาคเหนือ และสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ กระทั่งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเชียงใหม่อย่าง ไทยนิวส์ ข่าวสยาม และ เชียงใหม่นิวส์

บทความหนึ่งที่ทรงพลัง และถูกนำมาผลิตซ้ำในเวลาต่อมาก็คือ การตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับวัฒนธรรมประดิษฐ์ของ “คนเมือง” อย่าง “เสื้อหม้อห้อม” ผ่านบทความที่ชื่อว่า “เสื้อหม้อห้อมไม่ใช่เสื้อสัญลักษณ์ของคนเมือง” ตีพิมพ์ในศิลปวัฒนธรรม ในปี 2534[47] บทสรุปของเขาทำให้เห็นว่า เสื้อหม้อห้อมเป็นวัฒนธรรมประดิษฐ์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยความรู้ไม่มากพอ โดยเฉพาะเมื่อผู้นำมาใช้มีเครดิตทางสังคมอย่างไกรศรี นิมมานเหมินท์[48] ก็ยิ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นจนกระทั่งมีการผลิตซ้ำตามกันมาโดยไม่รู้ที่มาและความหมาย ในที่นี้อาจนับรวมจรัล มโนเพ็ชร ด้วยที่แต่งเพลง “เสื้อหม้อห้อม” ที่แต่งเนื้อเพลงถึงขนาดว่า เสื้อหม้อห้อมคือวัฒนธรรมของคนเมือง คนที่ไม่ใส่คือคนที่ลืมเชื้อชาติความเป็นคนเมือง[49]

งานเขียนอีกส่วนหนึ่งของธเนศวร์ ทำให้เห็นว่าเขาให้ความสนใจกับการพัฒนาเมืองอีกด้วย เช่น บทความ “สร้างเมืองใหม่” (2533) “เชียงใหม่ในกระแสการเปลี่ยนแปลง” (2534) “จากพัซซาถึงนครพิงค์”(2535) เขายังเขียนบทความที่กล่าวถึงจังหวัดในดินแดน “ล้านนา” ที่อยู่รอบเชียงใหม่ด้วยได้แก่ “เชียงราย” (2533) “แม่ฮ่องสอน” (2534) “พะเยา” (2534) “เมืองน่าน” (2535) “ป่าไม้เมืองแพร่” (2534) “นิคมอุตสาหกรรมลำพูน” (2535) “เวียงละกอน” (2535)

ด้วยความเป็นนักวิชาการช่างสังเกตของเขาจึงทำให้บทความดังกล่าวเชื่อมต่อกับบริบทปัญหาเมืองที่เขาสนใจจึงทำให้เกิด ศูนย์ศึกษาปัญหาเมืองเชียงใหม่ ในปี 2533 ซึ่งต่อมาจะพัฒนาเป็นมูลนิธิสถาบันพัฒนาเมือง อันเป็นฐานสำคัญในการทำงานเชิงท้องถิ่นและเกี่ยวกับเมืองเชียงใหม่ ช่วงปีสองปีนี้พบว่าเขาสามารถวางรากฐานในงานที่เขารัก ถนัดและสนใจอย่างต่อเนื่อง ในปี 2534 ได้มีการจัดตั้งโครงการศึกษาการปกครองท้องถิ่น คณะสังคมศาสตร์ ม.เชียงใหม่[50] ในช่วงเวลาไม่ไกลกันนัก นักวิชาการและนักการเมืองกลุ่มหนึ่งในเชียงใหม่ โดยเฉพาะ สจ. ได้จัดประชุม สัมมนาเกี่ยวกับประเด็นเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด แต่การขยายตัวของทุนนิยมและการเติบโตของเสรีประชาธิปไตยถูกสกัดกั้นด้วยการรัฐประหารปี 2534 โดย คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่นำโดย สุจินดา คราประยูร

พบว่าในช่วงปี 2535 ประชาคมเชียงใหม่ได้แสดงพลังอีกครั้งด้วยการรวมตัวคัดค้านการขยายทางหลวงผ่านหน้าวัดเจ็ดยอด ซึ่งการขยายถนนนี้จะทำให้อาณาเขตของถนนกินเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นโบราณสถานสำคัญมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าติโลกราชเป็นอย่างน้อย[51] หลังเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ไม่นานเราอาจกล่าวได้ว่าเกิดการฟื้นตัวและตื่นตัวของประชาธิปไตยขึ้นอีกครั้งของเหล่าชนชั้นกลาง สำหรับเชียงใหม่เอง ในปี 2538 ได้รับงานสำคัญระดับนานาชาตินั่นคือ เป็นเมืองเจ้าภาพซีเกมส์ และในปีต่อมาก็เป็นวาระฉลองครบรอบ 700 ปีของอายุเมือง ดังนั้นเราคงพอจินตนาการได้ถึงการขยายตัวของการลงทุนและกิจกรรมทางวัฒนธรรมของเชียงใหม่นี้เพื่อรองรับแขกแก้วที่มาเยือน และการเฉลิมฉลองสมโภช แน่นอนสิ่งที่ตามมาอีกก็คือปัญหาการจัดการเมืองที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

ธเนศวร์ ดำรงตำแหน่งกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขารัฐศาสตร์ ระหว่างปี 2538-2540 ขณะที่ก็มีผลงาน หนังสือ เลือกตั้งผู้ว่าฯ (2537) รวมไปถึงการจัดทำเอกสารชุดปฏิรูปการปกครองท้องถิ่น ในนาม โครงการศึกษาการปกครองท้องถิ่น คณะสังคมศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ในปี 2539 นับเป็นนักวิชาการรุ่นบุกเบิกเกี่ยวกับเรื่อง การปกครองท้องถิ่น ขณะที่ในแวดวงชนชั้นสูงเชียงใหม่ก็สูญเสียเจ้านายฝ่ายเหนือนั่นคือ เจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง ในปี 2532 แต่ภายหลังมรณกรรมครั้งนั้น ได้มีการฟื้นฟูการจัดประเพณีฌาปนกิจอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2533 ณ วัดสวนดอก อย่างสมศักดิ์ศรีและฐานะทางการเงิน ฉากและอุปกรณ์ประกอบอันอลังการ ผสมผสานวัฒนธรรมแบบล้านนา ไทใหญ่ ไทเขิน ฯลฯ และที่สำคัญ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาเป็นประธานในพิธี[52] “ล้านนายูโทเปีย” จึงเริ่มแตกหน่อขยายกอตีความอย่างพิศดารมากขึ้น[53]

           

ทศวรรษ 2540 วาระแห่งศตวรรษใต้อาณานิคมสยาม

อาจกล่าวได้ว่าในทศวรรษนี้ เป็นช่วงที่ธเนศวร์ได้ปล่อยของแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ จังหวะที่ครบรอบ 100 ปีของการผนวกรัฐชายขอบ และประเทศราชเข้ากับสยามจึงเป็นโอกาสที่เหมาะมากสำหรับธเนศวร์ที่จะนำเสนอแนวความคิดว่าด้วยท้องถิ่นนิยมทั้งในมิติทางประวัติศาสตร์ สังคม การเมือง ในลักษณะที่ตอบโต้การครอบงำของรัฐสยาม-ไทย

โดยเฉพาะงานเหล่านี้ที่สะท้อนจากมุมมองของท้องถิ่นที่เป็น “ผู้ถูกกระทำ” จากรัฐบาลสยามอย่างชัดเจน การปกครองเมืองในสังคมไทย : กรณีเชียงใหม่ 7 ศตวรรษ (2541) 100 ปี สายสัมพันธ์สยาม-ล้านนา พ.ศ.2442-2552  (2542), 100 ปีแห่งรัก หมะเมียะ-เจ้าศุขเกษม พ.ศ.2446-2546 (2546) ในงานส่วนหลังนี้อาจเป็นไปได้ที่ธเนศวร์ได้รับอิทธิพลมาจากเพลง หมะเมีย ของจรัลในปี 2520

ภายใต้บรรยากาศแห่งการรำลึกนี้ยังพบว่าในเดือนสิงหาคม ธเนศวร์ยังได้จัดงานสัมมนาวิชาการเรื่อง “คนเมืองในบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลง” นับเป็นสัมมนาวิชาการที่เกี่ยวกับเรื่อง “คนเมือง” ครั้งแรก[54] และเป็นที่มาของหนังสือ คนเมือง ประวัติศาสตร์ล้านนาสมัยใหม่ (2544) ซึ่งมีเนื้อหาหลักที่ตั้งคำถามต่อการครอบงำของอำนาจรัฐสยามที่มีต่อล้านนา ที่มีต่อคนเมือง ยังพบว่า คณะกรรมการจัดงานสืบสานล้านนาที่เกิดมาจากการรวมตัวกันขององค์กรต่างๆทั้งภาครัฐ องค์กรปกครองท้องถิ่น ภาคธุรกิจ สถาบันวิชาการ นักเขียน ศิลปิน กลุ่มศิลปวัฒนธรรม องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรชุมชน ร่วมกันจัดงาน”สืบสานล้านนา” มาตั้งแต่ปี 2540 ก็ตัดสินใจก่อตั้ง “โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา” ในปี 2543 [55]

แต่เหตุการณ์สำคัญที่กลายเป็นอีกหนึ่งกระแสความเปลี่ยนแปลงนั่นคือ การเสียชีวิตของจรัล มโนเพ็ชรในเดือนกันยายน 2544 มรณกรรมของจรัลกลายเป็นประเด็นสาธารณะหนึ่งที่ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมต่อสังคมล้านนาไม่น้อย โดยเฉพาะการฟื้นฟูวิถีของจรัลที่ได้ปูทางไว้ให้กับแวดวงศิลปะวัฒนธรรมสายล้านนาเชียงใหม่ ธเนศวร์ได้ผลิตผลงานจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับจรัล มโนเพ็ชร จนกระทั่งสามารถรวมเล่มได้ในชื่อ จรัล มโนเพ็ชร ศิลปินล้านนาแห่งยุคสมัย (2545) ความสำคัญของจรัลจากปากธเนศวร์ก็คือ “ชีวิตและผลงานของอ้ายจรัลนั้นยิ่งใหญ่นัก คนเมืองเป็นหนี้บุญคุณศิลปินผู้นี้” [56]

กระแสท้องถิ่นนิยมล้านนานิยมนี้ก็ทำให้เกิดวิวาทะขึ้นอีกกรณีนั่นคือ กรณีทักษาเมือง อันเนื่องมาจากข้อเสนอของสมโชติ อ๋องสกุล และสรัสวดี อ๋องสกุลผ่าน วัดในทักษาเมือง / ทักษาเมืองและวัดในทักษาเมืองเชียงใหม่มีจริง: บทพิสูจน์ความจริงโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์ (2548) ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวสร้างความคึกคักของแวดวงวิชาการท้องถิ่นทำให้เกิดหนังสือ ไม่มีวัดในทักษาเมืองเชียงใหม่ : บทพิสูจน์ความจริงโดยนักวิชาการท้องถิ่น (2548) โดย ดวงจันทร์ อาภาวัชรุตม์ , ยุพิน เข็มมุกด์ และวรวิมล ชัยรัต (บรรณาธิการ) ที่ประกอบด้วยบทความโต้แย้งจากนักวิชาการคนท้องถิ่นที่ไม่เห็นด้วย ที่น่าสนใจก็คือ ท่าทีของฝ่ายหลังที่เสนอความเห็นทำนองว่า ไม่มีใครรู้ดีเรื่องท้องถิ่นมากเท่ากับคนท้องถิ่นเอง และธเนศวร์ เจริญเมืองเป็นหนึ่งในผู้เขียนบทความด้วย

สำหรับงานชิ้นเอกของธเนศวร์ที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ เนื่องจากงานคลาสสิคนี้ถูกตีพิมพ์ซ้ำอย่างน้อย 6 ครั้งมาแล้วตั้งแต่ปี 2540 นั่นก็คือหนังสือ 100 ปี การปกครองท้องถิ่นไทย พ.ศ.2440-2540 หนังสือเล่มนี้ถือเป็นตำราสำคัญสำหรับการเริ่มต้นการทำความเข้าใจการปกครองท้องถิ่นไทยที่คลี่คลายมาจากการปกครองเมื่อครั้งถูกผนวกมาเป็นส่วนหนึ่งกับราชอาณาจักรสยามจนยาวนานมาจนถึงร่วมสมัย ในนี้บรรจุทั้งภาคทฤษฎี การแยกวิเคราะห์หน่วยการปกครองท้องถิ่นแบบเทศบาล สุขาภิบาล อบจ. และอบต. นอกจากนั้นยังมีการรวมประเด็นนโยบายและปัญหา รวมไปถึงการมองไปข้างหน้ากับการปกครองท้องถิ่นไทยอีกด้วย จะเห็นได้ชัดว่าผลงานรวบยอดฉบับนี้เกิดจากความมุ่งมั่นมาตลอดช่วงทศวรรษ 2530 ที่เข้ามีบทบาทในนาม ศูนย์ศึกษาปัญหาเชียงใหม่และโครงการศึกษาการปกครองท้องถิ่น คณะสังคมศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ขณะที่บริบทการเมืองไทยทั้งระดับประเทศและท้องถิ่นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญนั่นคือ การประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 ซึ่งเกิดจากการร่างจากเครือข่ายประชาชนที่หลากหลาย[57] โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของการปกครองส่วนท้องถิ่นที่ค่อยๆเปลี่ยนตั้งแต่ปี 2540 ที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด มีผลให้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด มาจาก สมาชิกสภาเป็นครั้งแรก[58] ปี 2541 ประกาศใช้ พ.ร.บ.ยกฐานะสุขาภิบาลทั่วประเทศเป็นเทศบาลกว่า 900 แห่ง[59] และกฎหมายให้อำนาจประชาชนในเขตพัทยาและเทศบาล ทั่วประเทศได้สิทธิเลือกนายกฯโดยตรง[60] ส่งผลให้เกิดหนังสืออีกจำนวนหนึ่งที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนี้เช่น เทศบาลในศตวรรษที่ 21 (เล่มนี้พบว่ามีปาฐกถาของทักษิณ ชินวัตร เมื่อยังเป็นรองนายกรัฐมนตรี และหนังสือเล่มนี้ได้รับการสนับสนุนการพิมพ์จาก บริษัทชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น) อันเป็นบันทึกการประชุมนายกเทศมนตรีและปลัดเทศบาลกลุ่มภาคเหนือ ในปี 2540 ที่ลำพูน

 

หลังรัฐประหาร 2549 กับ นิยาม “คนเมือง” แบบเก่าที่ล้าสมัย

พลังของการอธิบายด้วยกรอบ “คนเมืองที่ดี” ความเป็น “ล้านนายูโทเปีย” น่าจะเติบโตเดินหน้าไปเคียงข้างกับการขยายตัวของทุนและการขยายตัวของพลังทางการเมือง จนกระทั่งเหตุการณ์สำคัญบนสันปันน้ำทางประวัติศาสตร์อย่าง รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ได้ทำให้เราเห็นว่า ยังมีคนอีกจำนวนมากใน “ดินแดนล้านนา” ที่ไม่อยู่กรอบความสัมพันธ์และนิยามของ “คนเมืองที่ดี” ภาพของความขัดแย้ง การประท้วง การลุกฮือต่อต้านของประชาชนในเขตภาคเหนือที่สนับสนุนรัฐบาลไทยรักไทยและรัฐบาลต่อๆมา ได้ทำลายภาพลักษณ์ของเมืองเหนือในอุดมคติของคนกรุงเทพฯลงอย่างถึงรากถึงโคน

เมื่อเชียงใหม่แทบจะกลายเป็นเมืองหลวงของฝ่ายสนับสนุนทักษิณ ต่อต้านรัฐประหาร ที่มีกิจกรรมทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ธเนศวร์เองเคยเป็นเสียงหนึ่งที่สนับสนุนให้ทักษิณเว้นวรรค ในเงื่อนไขที่ว่าหากการเลือกตั้งถูกพิจารณาให้มีผลเป็นโมฆะ จากการสัมภาษณ์เขาในเดือนเมษายน 2549[61] หรือในคำนำหนังสือ พลเมืองกับท้องถิ่นเข้มแข็ง ที่ตีพิมพ์เดือนมิถุนายน 2549 ยังแสดงให้เห็นว่า “ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนและเน้นการเลือกตั้งปิดกั้นหนทางการต่อสู้และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของภาคประชาชน” และเห็นว่า ความเคลื่อนไหวทางการเมืองตั้งแต่ปลายปี 2548 เป็นต้นมาเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุน หากเทียบกับบริบททางประวัติศาสตร์ก็น่าจะอยู่ในช่วงที่ สนธิ ลิ้มทองกุลและคณะ จัดรายการ เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2548[62] อีกด้วย การเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านทักษิณยังมีแนวร่วมที่แข็งแกร่งก็คือ บางส่วนของฝ่ายศิลปินและองค์กรพัฒนาเอกชน ดังที่เป็นข่าวว่า สุนทรี เวชานนท์ ได้เปิดจุดบริจาคถึง 3 จุดเพื่อหาเงินสมทบทุนช่วยเหลือตัวแทนที่เข้าร่วมเคลื่อนไหวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในส่วนกลางที่สนามหลวง[63] ซึ่งทั้งสามจุดนั้นเป็นนับพื้นที่ของชนชั้นกลางและปัญญาชนเชียงใหม่ในยุคนั้นก็คือ ร้านอาหารพื้นเมือง ร้านหนังสือ และร้านอาหารกึ่งผับ บุคคลและสถานที่เหล่านี้ล้วนชูธงต่อต้านทุนนิยมและการเมืองที่สามานย์อันเข้มแข็ง ซึ่งแน่นอนว่า เรามิอาจปฏิเสธได้ว่าพวกเขามีจิตใจของพลเมืองมากพอที่จะเอาธุระกับปัญหาสาธารณะ แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังมองไม่เห็นปัญหาอีกซีกหนึ่งที่เคยถูกกลบไว้ ซึ่งต่อมาถูกเปิดเผยอย่างล่อนจ้อน สิ่งเหล่านี้จึงเป็นบรรยากาศของเมืองเชียงใหม่ช่วงก่อนที่จะเกิดรัฐประหาร แต่น่าเสียดายที่เราไม่พบว่าสื่อให้ความสนใจสัมภาษณ์หรือทำข่าวเกี่ยวกับฝ่ายที่ต่อต้านฝ่ายสนับสนุนทักษิณด้วยมุมมองที่พยายามเข้าใจพวกเขา ในสถานการณ์ที่ชนชั้นกลางและปัญญาชนค่อนประเทศต่อต้านทักษิณอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตามหลังรัฐประหาร 2549 ได้ทำให้หลายคน “ตื่น” และ “ตาสว่าง” กับการพังทลายของประชาธิปไตย ธเนศวร์ คิดอะไรหลังจากนั้น เราพบว่าอีก 3 ปีต่อมาธเนศวร์เขียนบทความชื่อ "ธเนศวร์ เจริญเมือง : วิกฤตการเมืองไทย พ.ศ. 2549-2552 ผลพวงของระบอบรัฐในอดีต" [64]และในปี 2553 ธเนศวร์ก็ได้จัดทำหนังสือ ประชาธิปไตยกับสังคมไทย (24 มิถุนายน 2475 – กุมภาพันธ์ 2553)  

ที่ตลกร้ายก็คือ ภาพของธเนศวร์ที่เดินทางไปพบทักษิณที่ดูไบ ได้ถูกสื่อในเครือผู้จัดการนำมาโจมตีในหัวข้อ "ภาพประจาน “ดร.ธเนศวร์-มช.” ร่วมไข่แม้ว พบ “ทักษิณ” ถึงดูไบ" เมื่อเดือนธันวาคม 2552[65]  

           

“ล้านนายูโทเปีย” การเพิ่มอำนาจท้องถิ่น ที่บั่นทอนอำนาจของประชาชนอันเสมอภาค

เราไม่อาจปฏิเสธสำนึกทางประวัติศาสตร์ของธเนศวร์ได้ว่าเป็นพลังอันสำคัญอย่างยิ่งที่เขาใช้ในงานเขียนของเขาทั้งงานเขียนที่เป็นประวัติศาสตร์โดยตรง และงานเขียนเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่น งานเขียนของธเนศวร์นับว่ามีลักษณะประวัติศาสตร์เชิงวิพากษ์อยู่ในตัว โดยเฉพาะงานเขียนที่ทรงพลังและสรุปรวบยอดเป็นหนังสือประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่ชื่อ คนเมือง ประวัติศาสตร์ล้านนาสมัยใหม่ (พ.ศ.2317-2553) เพียงแต่น่าเสียดายว่า สำนึกท้องถิ่นของธเนศวร์เน้นไปที่การปักหลักรื้อถอนและสร้างความเป็น “คนเมืองที่ดี” ความเป็น “ล้านนายูโทเปีย” ที่มีศูนย์กลางและยอดปิระมิดอยู่ที่ชนชั้นสูงเป็นหลัก

ในกรณีของพญามังรายในบทความ “ไหว้สาพญามังราย” และ “600 ปี พระเจ้าติโลกราช” ที่ทั้งคู่เป็นกษัตริย์ที่นิยมแผ่ขยายดินแดนสร้างจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ขึ้นบนโครงสร้างทางอำนาจแบบศักดินาที่คนชั้นบนขูดรีดคนที่อยู่ในชนชั้นที่ต่ำกว่า กษัตริย์ ขุนนาง ไพร่ ทาส เป็นโครงสร้างทางสังคมตายตัวที่แทบไม่เปิดโอกาสให้ไพร่และทาสมีความเป็นอิสระขึ้นมาได้ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น-กษัตริย์นิยมแบบนี้ หากอ่านเพียงผิวเผินก็อาจจะสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนท้องถิ่นได้ เพราะได้สร้างสำนึกร่วมกันของคนในพื้นที่ขณะที่ผลักความเป็นอื่นไปให้กับอาณาจักรที่เป็นศัตรูอย่างสยาม หรือพม่า แต่หากอ่านอย่างจริงจังแล้วจะพบว่าปัญหาใหญ่ของประวัติศาสตร์แบบนี้ทำให้เราถูกครอบงำด้วยความรู้สึกว่าสังคมลำดับชั้นมีที่สูงที่ต่ำขึ้นอย่างที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว

ประวัติศาสตร์แบบผู้พิชิตเช่นนี้ มักจะโฟกัสไปอยู่ที่ศูนย์กลางอำนาจ นั่นคือ เมืองหลวงอย่างเชียงใหม่ ดังนั้นจึงพบว่าประวัติศาสตร์นิพนธ์ท้องถิ่นในบริเวณที่เรามักเรียกกันว่า “ล้านนา” นี้ ก็คือ ประวัติศาสตร์ของเชียงใหม่แทบทั้งสิ้น และคือประวัติศาสตร์ของการยึดครองเมืองต่างๆให้มาอยู่ใต้อาณาจักร เมืองที่อยู่ใต้รัศมีการควบคุมระยะใกล้อย่างลำพูน ลำปาง จึงพบประวัติศาสตร์ที่บันทึกถึงน้อยมาก ขณะที่การเขียนถึงพะเยา แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน ก็ยิ่งเป็นประวัติศาสตร์ส่วนต่อขยายจากล้านนามากกว่า แพร่กับน่านจะมีบทบาทก็ต่อเมื่อเชียงใหม่มีอุบายทางการเมืองที่จะยกทัพเข้าไปยึดครองในเชิงพื้นที่และวัฒนธรรมแล้ว “ล้านนายูโทเปีย” จึงแทนความหมายของสังคมล้านนาในอุดมคติที่ธเนศวร์ได้สร้างขึ้น

 

“คนเมืองที่ดี” ในนามวีรบุรุษทางวัฒนธรรม

ธเนศวร์ สร้างคำอธิบายเชิงบุคลาธิษฐานให้กับไกรศรี นิมมานเหมินท์ และจรัล มโนเพ็ชร ว่าเป็นตัวแทนของ “คนเมืองที่ดี” ในแนวรบวัฒนธรรมแล้วพวกเขาได้ทำให้ “คนเมืองที่ดี” และ “ล้านนายูโทเปีย” ได้มีที่ยืนอย่างปฏิเสธไม่ได้ และในด้านหนึ่งต้องยอมรับด้วยว่าพวกเขานี่แหละที่ได้นำความเป็น “คนเมือง” และ “ล้านนา” มาขายเป็นพวกแรกๆ ไกรศรีทำมันสำเร็จในทศวรรษ 2490 ขณะที่จรัลกลายเป็นราชาเพลงโฟล์กซองคำเมืองในทศวรรษ 2520

เพลงของจรัลดังเป็นพลุในตลาดเพลงระดับประเทศ ในด้านหนึ่งในสถาปนาความเป็น “คนเมืองที่ดี” ในที่สาธารณะอย่างแข็งแรง แต่ถามว่าเพลงคำเมืองอีกแบบหนึ่งอย่าง “ไอ้เก๋าอีต่วม” (ไอ้เก๋า หรือ สุรินทร์ แม่ขาน หรือชื่อจริง สุรินทร์ หน่อคำ และอีต่วม คำน้อย เมืองพร้าว หรือชื่อจริง สุจิตรา คำขัติย์) ที่ตั้งคณะละครซอในนาม “เก๋าต่วม”  ขึ้นในปี 2518 เพลงแบบนี้ไม่นับได้ว่าถูกจริตชนชั้นกลาง และไม่ถูกเผยแพร่ ไม่เป็นที่รู้จัก หรืออาจเรียกได้ว่า เพลงแบบจรัลนี่แหละที่เบียดขับเพลงซอแบบพื้นเมืองนี้ออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

ถ้าอย่างนั้นต้องถามว่า คนเมือง ของธเนศวร์หมายถึงใคร และชนชั้นใด ในความหมายของธเนศวร์การใช้ “คนเมือง” ก็เพื่อเป็นการต่อสู้เชิงอัตลักษณ์กับรัฐตั้งแต่ร้อยกว่าปีที่แล้วที่สยามพยายามผนวก “ล้านนา” เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสมัยใหม่ โดยเฉพาะการปฏิบัติการเชิงอำนาจจากรัฐสยามที่สร้างความไม่พอใจนั่นคือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการปกครอง ความเดือดร้อนจากข้าราชการสยาม การถูกบังคับทางภาษี และการใช้คำสื่อตัวแทนของท้องถิ่นด้วยคำว่า “คนลาว” และเรียกดินแดนว่า “หัวเมืองลาว” โดยมีนัยการดูถูกเหยียดหยาม การใช้คำว่า “คนเมือง” นี้พบว่าปรากฏในหลักฐานประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สุดก็คือ ปี 2427 และถูกใช้เป็นครั้งแรกๆที่เชียงใหม่ อันเนื่องมาจากว่าเป็นศูนย์กลางและเป็นที่มีความขัดแย้งสูงกับรัฐสยาม[66] อย่างไรก็ตามนิยามของ “คนเมือง” ก็ถูกนำหยิบใช้ตามความเข้าใจของแต่ละกลุ่มชน และถูกบัญญัติอย่างเป็นเรื่องราวโดยไกรศรี ในทศวรรษ 2490 จากนั้นคำว่า “คนเมือง” ก็น่าจะถูกใช้อย่างหลากหลาย เช่นเดียวกับวัฒนธรรมและชีวิตที่เปลี่ยนแปลงมากขึ้นในทศวรรษ 2520 แต่ความหลากหลายนั้นล้วนถูกครอบงำด้วยวาทกรรม “คนเมืองที่ดี” “ล้านนายูโทเปีย” ที่มีเชียงใหม่เป็นภาพตัวแทนของเมืองที่สงบ ดินแดนดอกไม้งาม ผู้หญิงสวย ชุดของความจริง ความดี ความงามชุดนี้ ไปกันได้ดีกับอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมและการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จในยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่เน้นชาติที่มีความเป็นเอกภาพ ผู้คนทำตามหน้าที่พลเมือง ภรรยาเชื่อฟังสามี พุทธศาสนิกชนศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยไม่มีข้อสงสัยหรือตั้งคำถาม ฯลฯ ตามอุดมการณ์ปกครองของรัฐสมัยใหม่ แต่ที่ต่างไปจากรัฐประชาชาติประชาธิปไตยก็คือ สังคมที่มีลำดับชั้นอย่างชัดเจน สำหรับผู้ที่อยู่นอกคำอธิบาย “คนเมืองที่ดี” นั้นเป็นใคร

อรพิน สร้อยญานะ ได้วิเคราะห์เนื้อเพลงของจรัล มโนเพ็ชรไว้ว่า ผู้หญิงในเพลงของจรัลนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภท นั่นคือ

“ผู้หญิงดี” ในแบบกุลสตรีไทย ที่มีความอ่อนช้อยงดงาม พูดจาไพเราะ สวมชุดเมือง ไว้ผมยาวทัดดอกเอื้อง อันเป็นเอกลักษณ์ของผู้หญิงชนชั้นกลางของภาคเหนือ ในขณะที่ “ผู้หญิงไม่ดี” คือผู้หญิงชาวบ้านชนบท ที่มีความละโมบโลภมาก มีการแสดงออกทางอารมณ์อย่างชัดเจน และเลือกผู้ชายที่มีเงินทองเท่านั้น[67]

 

“คนเมือง” จำนวนหนึ่งอยู่ในเมืองฟังเพลง จรัล มโนเพ็ชร รู้เรื่อง และเข้าใจ แต่ถามว่า คนที่อยู่นอก “เขตเมือง” ที่ฟังเพลงอย่าง ไอ้เก๋าอีต่วม, บุญศรี รัตนัง, วิฑูรย์ ใจพรหม, เหินฟ้า หน้าเลื่อม ฯลฯ เป็น “คนเมือง” ในนิยามของธเนศวร์หรือไม่ เนื่องจากว่า “คนเมือง” จากชนบทเหล่านี้ เริ่มมีสิทธิมีเสียงมากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยการที่พวกเขาได้ไปเห็นโลกกว้างจากการเดินทางไปขายแรงงานต่างแดน ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานในภาคบริการ ภาคอุตสาหกรรมที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น หรือว่าพวกเขากำลังเติบใหญ่อยู่ในสายการเมืองท้องถิ่น คนเหล่านี้ไม่อาจจัดว่าเป็น “คนเมืองที่ดี” ตามมโนทัศน์ที่ชนชั้นกลางใน

แต่ผลงานชิ้นเยี่ยมเรื่อง “ลาบ” [68]  นั้นต่างไป ผู้เขียนเห็นว่า ผลงานเชิงมานุษยวิทยาแบบนี้แหละที่จะทำให้เราเห็น ความสัมพันธ์ของคนเมืองในอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าจะอธิบายต่อยอดไปสู่เรื่องอื่นได้อีก (แม้ว่าเรื่องลาบจะเด่นชัดอย่างมากในเรื่อง สังคมชายเป็นใหญ่)

 

ภาพลักษณ์การต่อสู้ของ “คนเมืองที่ดี”

การต่อสู้ของประชาชนต่อต้านรัฐที่ธเนศวร์ และนักเคลื่อนไหวทางสังคมมักจะหยิบยกมาอธิบาย ก็คือ กบฏพญาผาบ ที่ทำการต่อต้านอำนาจรัฐของสยามที่ใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม พญาผาบเป็นเสมือนวีรบุรุษที่ออกมาต่อสู้กับเหล่าอธรรม การพูดถึงพญาผาบนั้นเอาเข้าจริงแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ยากนักที่จะพูดถึง เนื่องจากว่าการพูดถึงการต่อต้านรัฐเมื่อ 100 ปีที่ผ่านมานั้นแทบจะไม่ทำให้นักวิชาการหรือผู้เขียนหนังสือมีความเสี่ยงต่อการปะทะกับอำนาจรัฐเท่าใด ดังที่เห็นว่าการเขียนถึงพญาผาบปรากฏขึ้นในทศวรรษ 2520 ได้แก่ “กบฏพญาผาบ (ปราบสงคราม) : กบฏชาวบ้านในภาคเหนือ” โดย ชูสิทธิ์ ชูชาติ ใน กบฏชาวนา (2525) ในเล่มที่สองมีงานชื่อว่า “กบฏพระยาปราบสงครามแม่ทัพเมืองเชียงใหม่ พ.ศ.2432” โดย สรัสวดี อ๋องสกุล ใน ความเชื่อพระศรีอาริย์และกบฏผู้มีบุญในสังคมไทย (2527)

การต่อสู้ของ “คนเมือง” ในประวัติศาสตร์ระยะใกล้ต่างหากที่เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักที่จะเขียนออกมา ด้วยเหตุที่ว่าจะต้องฝ่าแรงกดดันทางการเมืองนานาประเภท อย่างไรก็ตาม ธเนศวร์ ก็ได้เขียนถึงนักต่อสู้ที่เป็นชาวนาชาวเชียงใหม่ไว้สั้นๆ ถึง อินถา ศรีบุญเรือง ผู้นำเกษตรกรที่ถูกลอบสังหารในปี 2518 [69] ซึ่งเนื้อหาและปริมาณที่ธเนศวร์ทุ่มเทศึกษาและเขียนถึงนั้น เอาเข้าจริงการเขียนถึงคนตัวเล็กตัวน้อยที่ต่อสู้กับรัฐนั้นยิ่งมีน้อยกว่าน้อย อาจเป็นเพราะว่า เขาเหล่านั้นไม่ได้เป็น “คนเมืองที่ดี” ตามแบบฉบับของรัฐและยังไม่ลงรอยกับชุด “ล้านนายูโทเปีย” ดังนั้นเราจึงมิค่อยได้ยินการต่อสู้ของพวกเขาเหล่านี้เท่าใดนัก

ยังไม่ต้องนับถึงประวัติศาสตร์ระยะใกล้ของการต่อสู้ของกลุ่มทางการเมืองอย่างคนเสื้อแดง “ล้านนา” ที่ต่างประกอบไปด้วยคนเล็ก คนน้อย ผู้ด้อยโอกาส ผู้ประกอบการใหม่ แม้กระทั่งกลุ่มคนที่นักวิชาการไม่ชอบหน้าอย่างนักการเมือง ก็ล้วนต่อสู้กับอำนาจที่ไม่เป็นธรรมจากการรัฐประหารและการกดขี่จากรัฐ อย่างไรก็ตามการศึกษากลุ่มคนเหล่านี้ก็มีนักวิชาการอย่าง นิธิ เอียวศรีวงศ์, อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์, ผาสุก พงษ์ไพจิตร, ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, เกษียร เตชะพีระ, ชาร์ล คายส์ พัฒนา กิติอาษา, ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี ฯลฯ เป็นอย่างน้อยที่ได้ให้ความสนใจทำการศึกษาและสร้างคำอธิบายขึ้น แต่ไม่ใช่ในฐานะ “คนเมืองที่ดี” [70] อีกต่อไปแล้ว

 

“ล้านนายูโทเปีย” กับพุทธศาสนา

ธเนศวร์ ขับเน้นพุทธศาสนาของคนเมืองอันเป็นวิถีชีวิตที่เป็นส่วนหนึ่งของ “ล้านนา” และความเป็น “คนเมือง” ราวกับว่าพุทธศาสนาในล้านนานั้นไร้การเมือง ไร้การกดขี่ การยกรณีครูบาศรีวิชัย[71] ที่มีความขัดแย้งกับรัฐขึ้นมายิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงภาวะของ “ผู้ถูกกระทำ” เป็นอย่างดี ธเนศวร์ให้ความสำคัญถึงขนาดว่า ครูบาศรีวิชัยเป็น “บุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ล้านนาสมัยใหม่” ขณะที่เลือกที่จะไม่อธิบายถึงโครงสร้างเชิงอำนาจของพุทธศาสนาในล้านนาที่กษัตริย์ล้านนาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ตั้งแต่พญากือนาที่นำเข้านิกายลังกาวงศ์เก่า (นิกายรามัญ) แล้วให้พระนิกายเดิมตั้งแต่หริภุญชัยบวชใหม่ถึง 8,400 รูป หรือสมัยพระเจ้าติโลกราชที่ใช้พระนิกายสีหลเป็นฐานอำนาจเพื่อค้ำจุนบัลลังก์ ด้วยการสนับสนุนให้พระสายนี้มีบทบาทเป็นผู้นำในการสังคายนาพระไตรปิฎก

พุทธศาสนาแบบนี้จึงยังถูกรักษาสถานภาพไว้ไม่ให้ถูกวิจารณ์ด้วยกรอบทางการเมือง แต่กลับถูกห่อหุ้มด้วยเกราะทางศีลธรรมอนุรักษ์นิยมอย่างเช่นบทความ “พระธาตุ, สตรี, ล้านนา กับ สังคมไทย” [72] ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องมาจากวิวาทะของระเบียบรัตน์ พงษ์พาณิชย์ที่ยกประเด็นเรื่องการห้ามผู้หญิงเข้าไปในบริเวณหวงห้ามของพระธาตุในล้านนา ใจความหลักของบทความอยู่ที่การปกป้องความเชื่อพุทธศาสนาแบบล้านนาที่ “ไม่อนุญาตให้สตรีเข้าไปในบริเวณพระธาตุ” ว่า ไม่นับเป็นการกดขี่แต่เป็นการ “แสดงความเคารพ” และการทำ “ระยะห่าง” ระหว่างกันระหว่างพระสงฆ์กับสตรี ซึ่งธเนศวร์อ้างว่า ข้อห้ามท้องถิ่นดังกล่าวเป็นผลมาจากการตีความของพุทธศาสนาสำนักหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลมาในสมัยที่พม่าปกครองช่วงปี 2101-2317 และการพยายามอธิบายแก้ต่างแทนว่าพุทธศาสนาไม่ได้จำกัดสิทธิสตรี หากจะมีก็เนื่องมาจากการปะปนกับสำนักคิด หรือกลุ่มความเชื่อต่างๆที่ส่งอิทธิพลมา [73] ซึ่งการถกเถียงเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ต้องเถียงกันต่อไปว่า พุทธศาสนาที่ดีพร้อมและบริสุทธิ์ถึงพร้อมโดยไม่ต้องรับอิทธิพลของท้องถิ่นต่างๆนั้นมีจริงหรือไม่ และทำได้หรือไม่ ซึ่งปัญหาที่ศาสนาหรือความเชื่อได้รับอิทธิพลและการตีความของท้องถิ่นต่างๆ มีอยู่เป็นเรื่องปกติแล้วมิใช่หรือ ยังไม่ต้องนับถึงการยึดถือตำราอย่างเคร่งครัดตามทีท่าของ “เถรวาท” ที่ไม่ยอมให้มีการบวชภิกษุณี และพยายามแก้ต่างด้วยว่า การบวชนั้นเป็นการสมมติ บวชอยู่บ้านก็สามารถบรรลุธรรมได้ แต่ข้ออ้างนี้ก็ทำให้เราหลุดลอยจากการวิเคราะห์อำนาจการเมืองของภิกษุที่มีต่อปริมณฑลอำนาจในวัด และนอกวัด ที่เกือบจะเป็นสูตรสำเร็จของธเนศวร์คือ การกล่าวโทษอำนาจรัฐสยาม ในเรื่องสตรีก็คือ รับเอาแนวคิดการกดขี่สตรีของคนสยามเข้ามา และยิ่งทำให้พุทธศาสนาบิดเบือนไปอีก

แต่ถ้าเรานึกถึงตำนานพระแก้วดอนเต้า ลำปาง จะเห็นว่าเนื้อหานั้นแม้จะมีตัวเอกของเรื่องคือ นางสุชาดา ที่เป็นสตรี แต่สุดท้ายก็ต้องถูกสังเวยชีวิตเพราะถูกเข้าใจผิดว่ามี “ความสัมพันธ์” กับ “พระเถระ” นางสุชาดาถูกตัดหัว ขณะที่พระเถระก็ไม่ปรากฏว่าถูกลงโทษ ตำนานนี้ประมาณอายุน่าจะอยู่ช่วงเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมืองที่คาดว่า วัฒนธรรมแบบสยามยังไม่ครอบงำกระมัง

ด้วยเหตุที่ว่าธเนศวร์ ยกพระ วัด และพุทธศาสนาขึ้นหิ้ง ดังนั้นจำเลยของเขาก็คือ นักธุรกิจร่วมสมัยที่หากินกับศาสนสถานอย่างเช่นกรณี  “ทำโรงแรมให้เหมือนวัด แล้วสังคมไทยจะเหลืออะไร” [74] ที่มีจุดโจมตีสำคัญอยู่ที่ การยอมรับหรือเห็นดีเห็นงามกับการกระทำแบบนี้ เป็น “ความเสื่อมสลายทางจิตวิญญาณ” เป็น “กระบวนการทำให้พุทธศาสนาเป็นเชิงพาณิชย์ทั้งระบบ” (Systematic commercialization of Buddhism) ที่ถือว่าเป็นการปล้นทรัพย์สินทางปัญญาของบรรพชน เพราะว่านั่นเป็นการเอามาทำกำไรส่วนตัว ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นการ “ทำลายพระศาสนา” และ “ทำลายจิตวิญญาณ” ทางสังคม[75] แน่นอนว่าในขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมใหม่เห็นว่า ทุนนิยมเป็นมหันตภัยอันร้ายกาจ กรณีของการทำโรงแรมให้วัดก็อาจมีข้อควรตำหนิอยู่บ้าง แต่ถามว่า เอาเข้าจริงแล้วจิตวิญญาณของพุทธโดยแก่นแท้นั้นคืออะไร สำหรับผู้เขียนเห็นว่า มันเป็นแนวความคิด ไม่ใช่รูปแบบ ดังนั้นการอ้างว่าทำลายพระศาสนานั้น อาจไม่จริง แต่การก้าวล่วงพื้นที่ของวัด โดยการนำเอาฟังก์ชั่นสาธารณะแบบทางโลกย์มาใช้นั้น ในเชิงลำดับศักดิ์ และคุณค่าแบบไสยศาสตร์ขมังเวทแล้ว นั่นคือปัญหาแน่ๆ สิ่งที่โรงแรมกระทำได้ทำการตบหน้านักอนุรักษ์นิยมทั้งหลายอย่างไม่ตั้งใจด้วยการจี้จุดไปส่วนที่สำคัญที่สุดของเขานั่นคือ “ความศักดิ์สิทธิ์” ที่ในโลกสมัยใหม่นับวันจะถูกทำให้กลายเป็นเรื่องทางโลกมากขึ้นทุกที

ในทางกลับกัน การที่วัดจำนวนมากในภาคเหนือโดยเฉพาะเชียงใหม่เอง มุ่งที่จะก่อสร้างอาคารต่างๆ ทั้งที่ไม่มีรสนิยมและมีรสนิยม กลับถูกตั้งคำถามและต่อต้านน้อยกว่า ทั้งยังอาจใช้อำนาจทางศีลธรรมและอำนาจแห่งความกลัวต่อคำขู่ของศาสนาว่า “ตกนรก” “ตายไปเป็นเปรต” หรืออะไรต่างๆ ระงับการวิพากษ์วิจารณ์ต่อพระสงฆ์ วัด และศาสนาพุทธ ทั้งๆที่จุดมุ่งหมายของศาสนานั้นคือ การตื่นจากความไม่รู้และอวิชชา โดยเฉพาะในเวลานี้ที่อุดมการณ์แบบอนุรักษ์นิยมกลับฟื้นคืนมาอย่างคึกคัก นักบวชและผู้มีอำนาจทางสังคมอ้างศีลธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งจะไม่มีปัญหาเลยถ้าเรายังอยู่ในยุคจารีตที่จำใจต้องอยู่ใต้เผด็จการ

 

เส้นขอบฟ้าของสำนักท้องถิ่นนิยม

สิ่งที่ธเนศวร์รณรงค์มาอย่างมากอีกเรื่องนั่นก็คือ การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นและการยกประเด็นการปกครองส่วนท้องถิ่นขึ้นมาเป็นประเด็นถกเถียงอย่างจริงจัง จึงพบว่างานเขียนและกิจกรรมจำนวนมากของธเนศวร์ เกิดขึ้นก่อนการขยายตัวของการกระจายอำนาจในทศวรรษ 2540 เสียอีก แต่การที่ธเนศวร์เคลื่อนงานในทั้งสองขา คือในส่วนท้องถิ่นนิยมล้านนา และส่วนการปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นส่วนที่ทั้งเสริมกันและส่วนที่ขัดแย้งกันอย่างไม่รู้ตัว

นั่นคืออำนาจของท้องถิ่นที่ถูกกดทับด้วยรสนิยมของชนชั้น เราจะสังเกตเห็นว่า กรณีตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ของธเนศวร์ส่วนมากเป็นชนชั้นนำและผู้มีอำนาจในสังคม นอกจากนั้นในเชิงการเมืองวัฒนธรรมแล้ว ธเนศวร์ก็ให้น้ำหนักกับวัฒนธรรมแบบชนชั้นกลางในเมืองเสียมากกว่าจะสนใจอธิบายหรือเสริมอำนาจให้กับวัฒนธรรมชนชั้นล่างหรือ “วัฒนธรรมไพร่” ที่เริ่มขยายตัวตั้งแต่ทศวรรษ 2530 การเน้นเชิดชู จรัล จนถึงทำกับให้เกิดความรู้สึกว่า คนล้านนาเป็น “หนี้บุญคุณ” ผู้เขียนเห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่เข้าท่านัก วัฒนธรรมของชนชั้นล่าง คนที่อยู่ชายขอบของสังคม คนที่ถูกมองจากสังคมว่าไม่อยู่ในกรอบมาตรฐานศีลธรรมจริยธรรมเหล่านี้เองที่เป็นคนจำนวนมากที่กำลังถูกลิดรอนสิทธิ จากประวัติของครูเพลงซออย่าง บุญศรี รัตนัง ก็ระบุว่า เขาเคยขับรถสี่ล้อแดงมาก่อน[76] ซึ่งในสายตาของชนชั้นกลางแล้วสี่ล้อแดงเชียงใหม่มีลักษณะที่ไม่อยู่ในกรอบของ “คนเมืองที่ดี” [77] แต่เป็นอาชีพที่เห็นแก่ตัว โลภ ไม่เคารพกฎจราจร ฯลฯ  ทั้งที่ “คนเมือง” ที่มีเลือดมีเนื้อ คือ ปุถุชนธรรมดาที่มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง เช่นเดียวกับรสนิยมที่จะสร้างหรือจะเสพวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไปบนความหลากหลาย ซึ่งไม่ใช่ความหลากหลายทางวัฒนธรรมดาษๆที่ยอมรับการดำรงอยู่ของเปลือก

วิฑูรย์ ใจพรหมก่อนที่จะดังระเบิดในฐานะนักร้องเพลงลูกทุ่งคำเมือง ก็เคยเป็นนักร้องในร้านอาหารและภัตตาคารในเชียงใหม่ กระทั่งเคยเป็นนักร้องเพลงเพื่อชีวิต[78] หรือกระทั่งเพลงซอสตริงที่รุกเร้าขอความรักต่อเพศชายอย่าง กระแต อาร์สยาม (นิภาพร แปงอ้วน) [79] หรือเพลงคาบลูกคาบดอกสองแง่สองงามของตู่ ดารณี ที่นอกจากจะมีเนื้อหาคาบเส้นทางเพศแล้ว ยังเปิดมิติของผู้หญิงข้ามเพศอีกด้วย[80] การแต่งกายของนักร้องผู้หญิงที่มีการศึกษาค้นพบว่า เน้นการแต่งกายที่โชว์รูปร่างมากยิ่งขึ้น อาทิเช่น ใส่กางเกงยีนส์รัดรูปทั้งขาสั้น – ขายาว, กางเกงขาสั้น, กระโปรงมินิสเกิร์ส, รองเท้าส้นสูง, เสื้อส่ายเดี่ยว ฯลฯ เป็นต้น การแต่งกายเหล่านี้มาพร้อมกับความทันสมัยของกระแสสังคม กางเกงยีนส์รัดรูป กางเกงขาสั้น, เสื้อส่ายเดี่ยว, เกาะอก ฯลฯ เหล่านี้เข้ามาแทนที่ผ้าซิ่นที่ยาวคร่อมมาถึงเท้าแบบเดิมของผู้หญิงชนบทภาคเหนือ สัดส่วนรูปร่างของผู้หญิงเหนือจึงถูกเปิดเผยผ่านอาภรณ์ที่แสดงถึงความทันสมัยเหล่านี้ หญิงสาวชนบทส่วนใหญ่จึงนิยมสวมใส่เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นคนทันสมัยของตน[81] สตรีล้านนาแบบนี้จึงอาจไม่เข้าข่ายคนเมืองที่ดีอย่างที่ธเนศวร์นิยามไว้เลย

(ซ้าย) ตู่ ดารณี (คนกลาง) นักร้องชายและแดนเซอร์ (ขวา) ปกวีซีดีวิฑูรย์ ใจพรหม

 

การเมืองท้องถิ่นที่ธเนศวร์นำเสนอ จึงไม่เป็นการสร้างพื้นที่ทางการเมืองที่นำไปสู่ความเข้าใจคนกลุ่มอื่นๆที่นอกเหนือจากกรอบ “คนเมืองที่ดี” หรือ “ล้านนายูโทเปีย” สิ่งที่ต้องก้าวข้ามไป อาจจะต้องนำไปสู่การสร้างคำอธิบายชุดใหม่เกี่ยวกับ “คนเมือง” ในท้องถิ่น อบต. เทศบาล ที่ประกอบด้วยคนใน “ชนบทใหม่” คนที่หาเช้ากินค่ำ คนที่เลื่อนสถานะของตนโดยโอกาสของเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวย รัตติกาล หินแก้ว ได้ทำการศึกษาความเปลี่ยนแปลงในอบต.ป่าสัก อ.เมือง จ.ลำพูน ก็พบว่า กลุ่มทุนท้องถิ่นทั้งรายใหญ่และรายย่อย ไม่ว่าจะเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง เจ้าของธุรกิจเล็กๆน้อยๆ กลุ่มผู้นำเดิม กลุ่มชาวบ้านที่มีฐานเศรษฐกิจมาจากการเป็นแรงงานรับจ้างและการทำเกษตรกรรมเชิงพาณิชย์ต่างพยายามเข้ามามีส่วนในพื้นที่การต่อรองเพื่อช่วงชิงอำนาจในการจัดการทรัพยากรกลางของชุมชน[82] ขณะที่พื้นที่ศึกษาที่ลำพูนหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับผลจากการเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมลำพูน แต่ก็พบการปรับตัวที่น่าสนใจในกรณีพยายามรักษาอัตลักษณ์ของตนผ่านการไหว้ผีบรรพบุรุษ[83]

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมหาศาลนี้ ความหยุดนิ่งของการนิยาม “คนเมือง” “ล้านนา” ในลักษณะของ “คนเมืองที่ดี” และ “ล้านนายูโทเปีย” นอกจากไม่เพียงพอที่จะทำให้เราเข้าใจถึงความซับซ้อนของสังคมท้องถิ่นแล้ว ยังอาจทำให้เราไปไม่ถึงการเส้นขอบฟ้าแห่งการเฉลิมฉลองของความสำเร็จของการผลักดันให้เกิด “การปกครองท้องถิ่น” ได้ เพราะหากในมุมมองเดิม เราก็จะไม่เห็นพลังทางวัฒนธรรมในคนชนชั้นล่าง ชนชั้นกลางระดับบน คนตัวเล็กตัวน้อยที่สั่งสมขึ้นมาจากประสบการณ์ชีวิตที่พบเห็นโลกมากขึ้น เราก็จะไม่เห็นด้วยว่า ชาวบ้าน ชาวนา มิได้เป็นคนเปล่าเล่าเปลือยที่ไม่รู้อะไร เป็นคนที่คิดคำนวณล่วงหน้าในการตัดสินใจทางเศรษฐกิจและการเมือง

ก็เพราะความรู้สึกว่า ชาวบ้าน โง่ จน เจ็บ มิใช่หรือ ที่ทำให้คนที่ “มีการศึกษา” จำนวนมากเห็นดีเห็นงามกับการจำกัดสิทธิเลือกตั้ง[84] เพราะเห็นว่าชาวบ้านยังโง่อยู่ จึงไม่เข้าใจการเมือง การเลือกตั้ง และโลภจนเกินที่จะแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัว และผลประโยชน์สาธารณะ สิ่งเหล่านี้นั่นแหละที่จะกลายเป็นพลังปฏิกิริยาที่ต่อต้านการเติบโตของ “คนเมืองหน้าใหม่” เหล่านี้ และกีดกันพวกเขาออกจากการมีส่วนร่วมในการปกครองตนเอง ทั้งที่เป็นหัวใจสำคัญของการกระจายอำนาจเสียด้วยซ้ำ

เส้นขอบฟ้านั้นอยู่ใกล้ตาเราเสมอ แต่การจะไปให้ถึงนั้น...เราคงต้องก้าวเดินไปเอง.



เชิงอรรถ

[1] อาจารย์ประจำ สาขาสังคมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง
[2] หน้าเพจ Facebook ของ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ http://th-th.facebook.com/FukkingHero/posts/200164796724257 (12 พฤศจิกายน 2554)
[3] สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงราย. "ผลการเลือกตั้งของนายกและสมาชิกสภาเทศบาลตำบลแม่ขะจาน" http://www2.ect.go.th/content.php?Province=chiangrai&SiteMenuID=8435&Action=view&Sys_Page=&Sys_PageSize=&DataID=6619 (8 พฤศจิกายน 2554) 
[4] ธเนศวร์ เจริญเมือง. “บทส่งท้าย คนเมืองในกระแสสยามานุวัตร-โลกานุวัตร”. คนเมือง ประวัติศาสตร์ล้านนาสมัยใหม่ (พ.ศ.2317-2553)  (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พิมพ์ครั้งที่ 2), 2554, น.230
[5] ธเนศวร์ มักจะเขียนประวัติอย่างง่ายของเขาไว้ภายในหนังสือของเขาเสมอ ในที่นี้อ้างอิงมาจาก ธเนศวร์ เจริญเมือง. คนเมือง ประวัติศาสตร์ล้านนาสมัยใหม่ (พ.ศ.2317-2553)  (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พิมพ์ครั้งที่ 2), 2554, น.244 ในประวัตินี้ยังระบุด้วยว่า บิดาเกิดที่บ้านไร่ ต.สันปูเลย อ.ดอยสะเก็ด เป็นครูใหญ่โรงเรียนบ้านเชิงดอย ส่วนมารดา เกิดที่บ้านท่าสะต๋อย ต.หนองหอย อ.เมือง เชียงใหม่ เป็นครูโรงเรียนบ้านลวงเหนือ อ.ดอยสะเก็ด
[6] ธเนศวร์ เจริญเมือง. “สิงห์คำ” ใน มาจากล้านนา (กรุงเทพฯ : ผู้จัดการ), 2536, น.129
[7] ณัฏฐพงษ์ เลี่ยววิวัฒน์อุทัย. “การ “ปรับตัว” ของ “นายทุนจีน”ภาพสะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมไทยในทศวรรษ 2490” ใน ศิลปวัฒนธรรม 29 : 10 (สิงหาคม 2551)
[8] อ่านการอภิปรายเกี่ยวกับประเด็นการขยายตัวการท่องเที่ยวเชียงใหม่ที่ได้เปรียบกว่าภูมิภาคและจังหวัดอื่นๆ เพิ่มเติมได้ใน ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์. "การสร้าง "พื้นที่ประเทศไทย" ด้วยพลานุภาพของสิ่งพิมพ์ ความเย้ายวนทางเพศ และการท่องเที่ยว ทศวรรษ 2500" ใน ศิลปวัฒนธรรม 31 : 3 (มกราคม 2553), น.138-157
[9] หอประวัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หอศิลป์ปิ่นมาลา). "ประวัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่" http://library.cmu.ac.th/pinmala/cmu_request.php (12 พฤศจิกายน 2554)
[10] นิตยสาร โยนก (ธันวาคม 2491)
[11] นอกจากนั้น สุกิจ นิมมานเหมินท์ ที่เป็นญาติกับไกรศรี ก็ยังเป็นนักการเมืองที่ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลตั้งแต่กลางทศวรรษ 2490 ด้วย
[12] Lanna Corner, สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ . "หนังสือพิมพ์คนเมืองหนังสือพิมพ์รายวันฉบับแรกในเชียงใหม่" http://www.lannacorner.net/lanna2011/article/article.php?type=A&ID=1041 (19 พฤศจิกายน 2554) อ้างอิงจาก www.chiangmainews.co.th
[13] อ่านข้อเสนอนี้ใน ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ "ไกรศรี นิมมานเหมินท์ มิใช่นักรบท้องถิ่น แต่เป็นผู้สร้าง "คนเมืองกระฎุมพี" รับใช้รัฐไทย". ใน ประชาไทออนไลน์ http://prachatai.com/journal/2009/09/25812 (14 กันยายน 2552)
[14] หอประวัติมหาวิทยาลัย (หอศิลป์ปิ่นมาลา) "การก่อตั้งมหาวิทยาลัย" http://library.cmu.ac.th/pinmala/cmu_build.php (26 พฤศจิกายน 2554)
[15] หอประวัติมหาวิทยาลัย (หอศิลป์ปิ่นมาลา) "พัฒนาการของมหาวิทยาลัย" http://library.cmu.ac.th/pinmala/cmu_develop.php
 (26 พฤศจิกายน 2554)
[16] สถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบนิเวศเกษตร. "สถานีวิจัยดอยปุย" http://www.aerdi.ku.ac.th/aerdi/index.php?option=com_content&view=article&id=2&Itemid=7 (8 กุมภาพันธ์ 2554)
[17] ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์. การผลิตความหมาย “พื้นที่ประเทศไทย” ในยุคพัฒนา (พ.ศ.2500-2509) วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2552, น.89-105
[18] ธเนศวร์ เจริญเมือง. "เศรษฐศาสตร์การเมือง เรื่องตลาด, ท่าน้ำ และเมืองเชียงใหม่" (คัดจากสยามเสวนา) วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2548 อ้างอิงใน มุสลิมเชียงใหม่ดอทเน็ต http://muslimchiangmai.net/index.php?topic=3992.0 (9 สิงหาคม 2554)
[19] สำนักราชเลขาธิการ. ประมวลพระราชกรณียกิจสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ  เล่ม 1 ปีพุทธศักราช 2493-2502, 2539, น.230
[20] อนุสรณ์ในงานรับพระราชทานเพลิงศพหม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร ป.ช., ป.ม., ท.จ.ว. วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 (พระนคร : โรงพิมพ์พระจันทร์), 2510, น.54
[21] ช้างสำคัญช้างแรกคือ “พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ” ขึ้นระวางช้างสำคัญเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2502 เป็นช้างจากสวนสัตว์ดุสิต เขาดินวนา ช้างสำคัญที่สาม คือ “พระเศวตสุรคชาธารฯ”ขึ้นระวางช้างสำคัญเมื่อเดือนมีนาคม 2511 เป็นช้างจากจังหวัดยะลา
[22] สำนักราชเลขาธิการ. ประมวลพระราชกรณียกิจสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ  เล่ม 2 ปีพุทธศักราช 2503-2507(กรุงเทพฯ : อมรินทร์), 2539, น.171-172
[23] สำนักราชเลขาธิการ. เรื่องเดียวกัน, น.361
[24] ยงยุทธ ชูแว่น. ครึ่งศตวรรษแห่งการค้นหาและเส้นทางสู่อนาคต ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไทย (กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย), 2552, น.64
[25] ยงยุทธ ชูแว่น. เรื่องเดียวกัน, น.65
[26] มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. "โครงการหลวง" . http://web.ku.ac.th/king72/2539/kaset9.htm (26 พฤศจิกายน 2554)
[27] มูลนิธิโครงการหลวง. "ประวัติความเป็นมา" http://www.royalprojectthailand.com/general/history/decade1/index-decade1.htm (30 พฤศจิกายน 2554)
 
[28] เกรียงศักดิ์ เชษฐพัฒนวนิช. ลำดับเหตุการณ์ทางการเมือง 14 ตุลาคม 2516 ถึง 6 ตุลาคม 2519  (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่ 4), 2551, น. 128
[29] เกรียงศักดิ์ เชษฐพัฒนวนิช. เรื่องเดียวกัน, 2551, น. 129
[30] เกรียงศักดิ์ เชษฐพัฒนวนิช. เรื่องเดียวกัน, 2551, น. 69
[31] เกรียงศักดิ์ เชษฐพัฒนวนิช. เรื่องเดียวกัน, 2551, น. 69
[32] ประชาชน 2535. "พรรคการเมืองและทิศทางสังคมนิยมในประเทศไทย(ตอนที่ 3)" 
[33] ในตัวบทนี้ ตัวละครชื่อ “สิงห์คำ” อันพ้องกับหนึ่งในหลายชื่อของธเนศวร์ ที่มีผู้ใหญ่เสนอให้พ่อของเขา ดังนั้นผู้เขียนเห็นว่า สิงห์คำในบทความนี้ก็คือ ธเนศวร์ นั่นเอง ดูใน ธเนศวร์ เจริญเมือง. คนเมือง ประวัติศาสตร์ล้านนาสมัยใหม่ (พ.ศ.2317-2553) (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พิมพ์ครั้งที่ 2), 2554, น.223-226
[34] ยงยุทธ ชูแว่น. เรื่องเดียวกัน, น.69-70
[35] สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. "ประวัติความเป็นมา" http://www.sri.cmu.ac.th/about.php (26 พฤศจิกายน 2554)
[36] ศูนย์ข้อมูลการเมืองไทย "คำสั่ง 66/2523" http://politicalbase.in.th/index.php/คำสั่ง_66/2523 (18 เมษายน 2553)
[37] ยงยุทธ ชูแว่น. เรื่องเดียวกัน, น.98-99
[38]สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา (กรุงเทพฯ : อมรินทร์, พิมพ์ครั้งที่ 6), 2552, น.26
[39] โลกล้านนา. "ล้านนา หรือ ลานนา ?" http://www.lannaworld.com/history/lannaname.htm (20 พฤศจิกายน 2554) อ้างว่า เรียบเรียงจาก ทิว วิชัยขัทคะ
[40] สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา (กรุงเทพฯ : อมรินทร์, พิมพ์ครั้งที่ 6), 2552, น.26
[41] ธเนศวร์ เจริญเมือง. "5 ปีที่ ปี้อ้ายจรัลจากไป" http://www.jaranmanopetch.com/board/forum.php?req=thread&id=191 (26 กันยายน 2549)
[42] ธเนศวร์ เจริญเมือง. "5 ปีที่ ปี้อ้ายจรัลจากไป" http://www.jaranmanopetch.com/board/forum.php?req=thread&id=191 (26 กันยายน 2549)
[43] ประชาไทออนไลน์. "เครือข่ายศิลปินเหนือ เสนอสร้างอนุสาวรีย์ "จรัล มโนเพ็ชร"" http://www.prachatai.com/journal/2006/09/9525 (5 กันยายน 2549)
[44] ธเนศวร์ เจริญเมือง. "ความเป็นเมืองเคิบของ จรัล มโนเพ็ชร" http://www.9dern.com/rsa/view.php?id=1507 (1 มกราคม 2552)
[45] ธเนศวร์ เจริญเมือง. "ความเป็นเมืองเคิบของ จรัล มโนเพ็ชร" http://www.9dern.com/rsa/view.php?id=1507 (1 มกราคม 2552)
[46] ธเนศวร์” นักวิชาการเทิดทูน “ทักษิณ” ออกโรงร่วมเวทีเสื้อแดงเชียงราย http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000144647 (14 ตุลาคม 2553)
[47] เครือมาศ วุฒิการณ์. "พระโพธิรังษี ในวิถีธรรมตามแบบล้านนาและความกล้าหาญ" http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-phothirungsi-101.htm (29 พฤศจิกายน 2554) อ้างจาก http://www.kruamas.org/html/life&work/article/bhodhi.html
[48] ธเนศวร์ เจริญเมือง. “เสื้อหม้อห้อมไม่ใช่เสื้อสัญลักษณ์ของคนเมือง” ใน มาจากล้านนา (กรุงเทพฯ : ผู้จัดการ), 2536, น.44-47
[49] ธเนศวร์ เจริญเมือง. “เสื้อหม้อห้อมไม่ใช่เสื้อสัญลักษณ์ของคนเมือง” ใน มาจากล้านนา (กรุงเทพฯ : ผู้จัดการ), 2536, น.49-50
[50] ธเนศวร์ เจริญเมือง. เลือกตั้งผู้ว่าฯ (เชียงใหม่ : โครงการศึกษาการปกครองท้องถิ่น คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่), 2537, น.คำแถลง
[51] ดวงจันทร์ อาภาวัชรุตม์ และคณะ. ไม่มีวัดในทักษาเมืองเชียงใหม่ บทพิสูจน์ความจริงโดยนักวิชาการท้องถิ่น (เชียงใหม่ : มูลนิธิสถาบันพัฒนาเมือง), 2548, น. (6)
[53] กรณีการเติบโตของการสร้างวัฒนธรรม “ล้านนายูโทเปีย” อีกรูปแบบ โดยเฉพาะจากการประดิษฐ์โดยเครือข่าย ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจตรศิลป์ ม.เชียงใหม่ ที่เปิดสอนตั้งแต่ปี 2526 จะต้องทำการอธิบายเป็นประเด็นใหญ่อีกประเด็นหนึ่ง
[54] ธเนศวร์ เจริญเมือง. คนเมือง ประวัติศาสตร์ล้านนาสมัยใหม่ (พ.ศ.2317-2553) (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พิมพ์ครั้งที่ 2), 2554, น.1
[55] "ความเป็นมา" ใน โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา. http://www.lannawisdoms.com/joomla/index.php/2011-11-10-08-22-10 (11 พฤศจิกายน 2554)
[56] ธเนศวร์ เจริญเมือง. จรัล มโนเพ็ชร ศิลปินล้านนาแห่งยุคสมัย (เชียงใหม่ : สถาบันพัฒนาเมือง), 2546, น.6
[57] ธเนศวร์ เจริญเมือง. 100 ปี การปกครองท้องถิ่นไทย พ.ศ.2540-2540 (กรุงเทพฯ : คบไฟ, พิมพ์ครั้งที่ 6), 2550, น. คำนำ
[58] ธเนศวร์ เจริญเมือง. เรื่องเดียวกัน, น. คำนำ
[59] ธเนศวร์ เจริญเมือง. เรื่องเดียวกัน, น. คำนำ
[60] ธเนศวร์ เจริญเมือง. เรื่องเดียวกัน, น. คำนำ
[61] "ธเนศวร์แนะทักษิณ เว้นวรรคการเมือง รอปฏิรูปเสร็จกลับมา". http://tnews.teenee.com/politic/1768.html (30 เมษายน 2549)
[62] วิกิพิเดีย สารานุกรมเสรี. "เมืองไทยรายสัปดาห์" (20 พฤษภาคม 2554)
[63] สุนทรีแม่"ลานนา"นักร้องดัง รับบริจาคทุนไล่"ทักษิณ" http://tnews.teenee.com/politic/498.html (9 มีนาคม 2549)
[64] ธเนศวร์ เจริญเมือง "ธเนศวร์ เจริญเมือง : วิกฤตการเมืองไทย พ.ศ. 2549-2552 ผลพวงของระบอบรัฐในอดีต" http://prachatai.com/node/23903/talk (8 พฤษภาคม 2552)
[65] ASTVผู้จัดการออนไลน์. "ภาพประจาน “ดร.ธเนศวร์-มช.” ร่วมไข่แม้ว พบ “ทักษิณ” ถึงดูไบ". http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000147475 (3 ธันวาคม 2552)
[66] ธเนศวร์ เจริญเมือง. “ลาบ” ใน คนเมือง ประวัติศาสตร์ล้านนาสมัยใหม่ (พ.ศ.2317-2553) (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พิมพ์ครั้งที่ 2), 2554, น.165-178
[67] อรพิน สร้อยญาณะ. การสร้าง "พื้นที่ที่สาม" ของผู้หญิง "ชนบทใหม่" ภาคเหนือ ผ่านเพลงซอสตริง วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต คณะมนุษยศาสตร์ สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2554, น.115
[68] ธเนศวร์ เจริญเมือง. “คนเมืองคือใคร” ใน คนเมือง ประวัติศาสตร์ล้านนาสมัยใหม่ (พ.ศ.2317-2553) (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พิมพ์ครั้งที่ 2), 2554, น.20
[69] ธเนศวร์ เจริญเมือง. “บทส่งท้าย คนเมืองในกระแสสยามานุวัตร-โลกานุวัตร” ใน คนเมือง ประวัติศาสตร์ล้านนาสมัยใหม่ (พ.ศ.2317-2553) (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พิมพ์ครั้งที่ 2), 2554, น.222
[70] "ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรีเสนอ"ความเป็นแดง/ไพร่”อัตลักษณ์ร่วมเสื้อแดง" ใน ประชาไทออนไลน์ http://prachatai.com/journal/2011/09/36827 (8 กันยายน 2554)
[71] ธเนศวร์ เจริญเมือง. “ครูบาศรีวิชัย” ใน คนเมือง ประวัติศาสตร์ล้านนาสมัยใหม่ (พ.ศ.2317-2553) (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พิมพ์ครั้งที่ 2), 2554, น.89-98
[72] ธเนศวร์ เจริญเมือง. “พระธาตุ, สตรี, ล้านนา กับ สังคมไทย” ใน รัฐศาสตร์ที่ยังมีลมหายใจ (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์พิราบ, พิมพ์ครั้งที่ 2), 2548?, น.209-221
[73] ธเนศวร์ เจริญเมือง. “พระธาตุ, สตรี, ล้านนา กับ สังคมไทย” ใน รัฐศาสตร์ที่ยังมีลมหายใจ (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์พิราบ, พิมพ์ครั้งที่ 2), 2548?, น.212-213
[74] ธเนศวร์ เจริญเมือง. “ทำโรงแรมให้เหมือนวัด แล้วสังคมไทยจะเหลืออะไร” ใน รัฐศาสตร์ที่ยังมีลมหายใจ (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์พิราบ, พิมพ์ครั้งที่ 2), 2548?, น.223-239
[75] ธเนศวร์ เจริญเมือง. “ทำโรงแรมให้เหมือนวัด แล้วสังคมไทยจะเหลืออะไร” ใน รัฐศาสตร์ที่ยังมีลมหายใจ (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์พิราบ, พิมพ์ครั้งที่ 2), 2548?, น.231
[76] เกรียงศักดิ์ เชษฐพัฒนวนิช. “เพลงลูกทุ่งคำเมืองกับอัตลักษณ์พันทางของ “คนชนบทใหม่” ของเชียงใหม่” ใน หนังสือรวมบทความและบทเสวนาจากการประชุมประจำปี ครั้งที่ 8 ผู้คน ดนตรี ชีวิต 2 เสียงของประเทศไทย (กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)), 2553, น.250
[77] ส่วนหนึ่งของมุมมองต่อเสื้อแดงกรุณาอ่านใน ปรียานุช วัฒนกูล. การเมืองเรื่องการจัดระบบขนส่งมวลชนเชียงใหม่ วิทยานิพนธ์ รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองและการปกครอง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2551,
[78] เกรียงศักดิ์ เชษฐพัฒนวนิช. เรื่องเดียวกัน, น.259
[79] อรพิน สร้อยญาณะ. การสร้าง "พื้นที่ที่สาม" ของผู้หญิง "ชนบทใหม่" ภาคเหนือ ผ่านเพลงซอสตริง วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต คณะมนุษยศาสตร์ สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2554, น.137-138
[80] อรพิน สร้อยญาณะ. เรื่องเดียวกัน, น.133-134
[81] อรพิน สร้อยญาณะ. เรื่องเดียวกัน, น.140-141
[82] รัตติกาล หินแก้ว. ความเปลี่ยนแปลงของการเมืองท้องถิ่น : ศึกษากรณีองค์การบริหารส่วนตำบลป่าสัก อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน (พ.ศ.2538-ปัจจุบัน) วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต คณะมนุษยศาสตร์ สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2551, น.134-135
[83] รัตติกาล หินแก้ว. เรื่องเดียวกัน, น.139
[84] อ่านข้อถกเถียงเร็วๆนี้ได้ใน Faris Yothasamuth. "ทำไมวาทกรรม "ไม่จบปริญญาตรีไม่ควรมีสิทธิเลือกตั้ง" จึงเป็นตรรกะที่ใช้ไม่ได้?" ใน ประชาไทออนไลน์ .http://prachatai.com/journal/2011/11/37879 (16 พฤศจิกายน 2554)
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น