โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ส่งท้ายปี Quotes of the Year (1): เอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้า

Posted: 29 Dec 2011 09:44 AM PST

ส่งท้ายปี ทีมประชาไท รวบรวมคมคำเด็ดๆประจำปีที่กลายเป็นวลีและประโยคฮิตทั้งในสังคมออฟไลน์และออนไลน์ ย้อนความทรงจำที่มาที่ไป และแรงกระเพื่อมจากถ้อยคำ ซึ่งหลายคำกลายเป็นผลสะเทือนต่อคนพูดเอง ขณะที่อีกหลายถ้อยคำ ก่อให้เกิดการอภิปรายอย่างหลากหลาย แต่ที่แน่ๆ ล้วนถูกพูดขึ้นมาในจังหวะร้อนและสะท้อนความสนใจของสังคมไทยในสถานการณ์ที่ช่วยก่อกำเนิดถ้อยคำเหล่านี้ขึ้นมา

0 0 0

สำหรับ Quotes of The year ประจำปีนี้ ประชาไทขอยกให้กับวลี/ประโยคเหล่านี้

  • เอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้า
  • ขอพูดอะไรแรงๆ สักครั้งในชีวิต
  • ขอแชร์นะ
  • ดีแต่พูด
  • เอาอยู่ค่ะ
  • คืนนั้นเป็นคืนที่ผมร้องไห้อยู่นานมากครับ
  • เราคืออากง
  • Forgive and Forget และ ไม่แก้แค้นแต่แก้ไข
  • นี่เราพูดอะไรโง่ๆ มากเกินไปหรือเปล่า

 

“เอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้า ?”

รายการ “ตอบโจทย์” ซึ่งออกอากาศตอนดึกทางสถานีไทยพีบีเอส สร้างความฮือฮาในรอบปี เมื่อภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ผู้ดำเนินรายการ ถามคำถามวงแตกกลางจอทีวีกับแขกรับเชิญว่า “เอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้า ?”

เอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้า กลับมาเป็นประเด็นใหญ่ของสังคมไทยอีกครั้ง และต่อเนื่องมาถึงปี 2554 เมื่อมีการนำสถาบันกษัตริย์มายุ่งเกี่ยวกับการเมืองตั้งแต่ปี 2548 และการนำสถาบันกษัตริย์มาเป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 เป็นเหตุให้เกิดคำถามและการพูดคุยในกลุ่มคนที่ต่อต้านรัฐประหาร ถึงบทบาทของสถาบันกษัตริย์ต่อการเมืองไทยในเวลาต่อมา และนำไปสู่การตีความและบังคับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นฯ ในการดำเนินคดีกับประชาชนอย่างกว้างขวาง

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ที่เพิ่งได้รับการประกันตัวในคดีก่อการร้าย ได้รับเชิญมาออกรายการซึ่งออกฉายในตอนดึกของวันที่ 8 เม.ย.54 และเป็นแขกรับเชิญรายแรกที่ถูกถามด้วยคำถามนี้จากผู้ดำเนินรายการ

ภิญโญ : นี่ถ้าใช้ภาษาชาวบ้าน ถามกันตรงไปตรงมา คุณณัฐวุฒิเอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้า

ณัฐวุฒิ : คือ ผมเป็นคนไทย ผมไม่ต้องตอบคำถามว่าเอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้า เพราะผมไม่มีสิทธิจะคิดไปเอาหรือไม่เอา เพราะสถาบันเบื้องสูงอยู่เหนือการเมือง ผมเป็นคนไทยใต้พระบารมี และผมยืนยันจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของผมในทุกกรณี คนที่กล่าวหาพวกผมต่างหากที่มีปัญหาเรื่องนี้

 

วรเจตน์ ภาคีรัตน์ นักกฎหมายมหาชน หนึ่งในคณะนิติราษฏร์ ถูกเชิญมาในรายการตอบโจทย์ หลังจากคณะนิติราษฎร์จัดเสวนาข้อเสนอล้มล้างผลพวงรัฐประหาร เนื่องในวาระครบ 1 ปีของการก่อตั้งคณะนิติราษฏร์ และ 5 ปีรัฐประหาร 19 ก.ย. และจัดเสวนารับฟังความคิดเห็นต่อร่างแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือ “กฎหมายหมิ่นฯ” ที่จัดทำโดยคณะนิติราษฎร์ วรเจตน์เป็นแขกรับเชิญรายล่าสุดที่ถูกถามด้วยคำถามนี้ ในรายการตอบโจทย์ซึ่งออกอากาศวันที่ 28 พ.ย.54

ภิญโญ : นี่ถามกันแบบภาษาชาวบ้าน ตกลงนิติราษฎร์เอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้าฮะ

วรเจตน์ : ก็ถามว่าเอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้าในแง่ที่ว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก็ชัดเจนว่าเรายืนยันในการปกครองระบอบประชาธิปไตยในรัฐที่เป็นราชอาณาจักร ไม่เป็นสาธารณรัฐ ซึ่งรัฐที่เป็นราชอาณาจักรก็คือพระมหากษัตริย์เป็นประมุขครับ อันนี้ชัดเจนว่าเราย้อนกลับไปที่ 2475 ซึ่งใน 2475 นั้น เมื่อมีการอภิวัฒน์แล้ว ความลงตัวก็คือว่า คณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นสาธารณรัฐ แต่ยังยืนยันในระบอบประชาธิปไตย แต่ให้พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ นิติราษฎร์ยืนยันในหลักการอันนี้ครับ แน่นอนครับ

 

การถามของภิญโญ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากฝ่ายผู้สนับสนุนการแก้กฎหมายมาตรา 112 ด้วยเห็นว่านี่เป็นคำถามที่ไม่ใช่ถาม เพราะบริบทวัฒนธรรมการเมืองไทย ไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้ถูกถามตอบเป็นอื่นไปได้ (อ่าน คำถามถึงภิญโญ: “คุณเอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้า?” และ คำถามที่มีเพียงหนึ่งคำตอบ..!)

อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่ดี ก็มีผู้ให้ความเห็นว่า การถามของภิญโญนั้นเป็นการถามจากความรู้สึกนึกคิดของสังคมไทย และเขาน่าจะประเมินได้ว่า ผู้ถูกถามมีศักยภาพที่จะตอบคำถามและอธิบายด้วยเหตุผลและหลักการได้ และปฏิเสธไม่ได้ว่า ภิญโญมีส่วนในการทำให้การพูดจาเรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 ขยายพื้นที่ไปสู่สื่อโทรทัศน์หลักอย่างไทยพีบีเอส

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คอป.เผย 'โคฟี อันนัน' ตอบรับร่วมวงถกปรองดอง

Posted: 29 Dec 2011 09:23 AM PST

29 ธ.ค.2554 กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงานการประชุมคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) โดยมี นายคณิต ณ นคร ประธาน คอป.เป็นประธานในที่ประชุม และมีกรรมการเข้าร่วมหารืออย่างพร้อมเพรียง โดยวาระสำคัญของการประชุมคือทิศทางการทำงานของ คอป.ในปี 2555 และติดตามความคืบหน้าการทำงานที่ผ่านมา

ทั้งนี้ นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะกรรมการ คอป. ได้รายงานต่อที่ประชุมว่า นายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ซึ่งมีบทบาทโดดเด่นในเรื่องการสร้างสันติภาพของโลก ได้ตอบรับการเดินทางเยือนประเทศไทยตามคำเชิญของ คอป. ระหว่างวันที่ 16-19 ก.พ.2555 เพื่อร่วมประชุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับกระบวนการสร้างความปรองดอง พร้อมพบปะกับฝ่ายต่างๆ ในประเทศไทยเพื่อร่วมค้นหาหนทางคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งและสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา นายคณิตและนายกิตติพงษ์ได้เดินทางเข้าเยี่ยมคารวะ นายโคฟี อันนัน ที่มูลนิธิโคฟี อันนัน กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางการสร้างความปรองดองในประเทศไทย รวมทั้งเชิญนายอันนันเยือนประเทศไทยเพื่อแสดงทัศนะในเรื่องการปรองดองสมานฉันท์

ข้อเสนอแนะของนายอันนันจากการหารือในครั้งนั้นมี 3 ข้อ คือ 1.ผู้ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ขัดแย้งทางการเมือง ควรให้ความร่วมมือต่อกระบวนการสร้างความปรองดองในประเทศอย่างจริงจังและจริงใจ มิใช่ให้การสนับสนุนแต่เพียงคำพูดว่าจะให้ความร่วมมือกับ คอป.เท่านั้น

2.การเข้าถึงและการมีส่วนร่วมของสาธารณะ (public outreach) ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างมากต่อความสำเร็จของ คอป. โดย คอป.ควรดำเนินการให้ประชาชนทราบและเข้าใจถึงบทบาทและอำนาจหน้าที่ (mandate) ของ คอป. ทั้งยังควรเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการต่างๆ ของ คอป.มากขึ้น เช่น การเยียวยาในระดับชาติ (national healing) หรือการสร้างความปรองดอง เป็นต้น เพราะการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการต่างๆ จะเป็นการสร้างความเชื่อถือต่องานของ คอป.เอง

3.คอป.ต้องดำเนินงานอย่างมีอิสระ ไม่อยู่ภายใต้ความกดดันและอิทธิพลทั้งจากในและต่างประเทศ

ที่ประชุม คอป.เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ยังได้ข้อสรุปเบื้องต้นเกี่ยวกับทิศทางการทำงานในปี 2555 กล่าวคือ จะเปิดเวทีระดับชาติเพื่อขับเคลื่อนเรื่องงานเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 หลังจาก นพ.รณชัย คงสกนธ์ ประธานอนุกรรมการการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความรุนแรง ได้รายงานต่อที่ประชุมว่า จากการลงพื้นที่พบปะเยี่ยมเยียนประชาชนในช่วงที่ผ่านมา พบว่ายังมีประชาชน นิติบุคคล และภาคธุรกิจจำนวนมากเข้าไม่ถึงการเยียวยาของรัฐ จึงต้องเร่งจัดเวทีเยียวยา โดยกำหนดห้วงเวลาไว้ช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน ม.ค.2555 ซึ่งอาจมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการเยียวยาจากอินโดนีเซียมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ด้วย

นอกจากนั้น จะมีการเปิดเวทีสาธารณะเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง รวมทั้งเครือข่ายของ คอป.มาระดมสมองเพื่อกำหนดทิศทางการทำงานของ คอป.ต่อไป รวมถึงกรอบเวลาการทำงานของ คอป.ที่จะครบกำหนดตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ พ.ศ.2553 ในวันที่ 15 ก.ค.2555 นี้ด้วย

 

 

ที่มา:  กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

‘สุภิญญา’ ยุติบทบาทโฆษก กสทช.

Posted: 29 Dec 2011 08:45 AM PST

หลังทำหน้าที่โฆษก กสทช.มาราว 2 เดือน สุภิญญา กลางณรงค์ ยุติบทบาทอย่างเป็นทางการ เปิดทางเลขาธิการทำหน้าที่ต่อ

 
 
วันที่ 28 ธ.ค.54 นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ได้แถลงยุติการดำรงตำแหน่ง โฆษก กสทช. อย่างเป็นทางการ โดยให้เหตุผล 2 ข้อ คือ 1.เพื่อเปิดทางให้เลขาธิการ ที่เพิ่งได้รับการคัดเลือกจาก กสทช. ด้วยเสียงข้างมาก ได้ทำหน้าที่เป็นโฆษกต่อไป ทั้งนี้ เนื่องเพราะเลขาธิการจะทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่าง กสทช. ทั้ง 11 คน ที่อาจมีความเห็นแตกต่างกัน และในกรณีที่ไม่มีมติเป็นเอกฉันท์ ทำให้มีเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อย ดังนั้น การมีคนกลางที่จะแถลงถึงมติและการดำเนินการดังกล่าวจึงมีความเหมาะสมที่สุด
 
2.เพื่อให้ กสทช. ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นในฐานะกรรมการคนหนึ่งอย่างเป็นอิสระและมีความสบายใจมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องเป็นเสียงข้างน้อย
 
นางสาวสุภิญญากล่าวว่า กรณีเสียงข้างน้อยที่เกิดขึ้น เช่น การตัดสินใจเรื่องคลื่นวิทยุ 1 ปณ. ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งในฐานะ โฆษก กสทช. ทำให้ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ อย่างไรก็ตามแม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งโฆษกแล้ว ก็จะได้แสดงความความคิดเห็น จุดยืน และรายงานกิจกรรมความคืบหน้าในการทำงานในบทบาท กสทช. ของตนผ่านช่องทางไมโครบล็อกส่วนตัว Twitter:@supinya สม่ำเสมอ
 
จากที่ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา หลังจากผู้สมัครเลขาธิการ กสทช.แสดงวิสัยทัศน์ แต่หน้าคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ทั้ง 11 คน โดยผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดจากการลงคะแนนของ กสทช. คือ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ซึ่งตามกฎหมายต้องเซ็นสัญญาภายใน 90 วัน คาดจะเซ็นสัญญาว่าจ้างภายในสิ้นปีนี้
 
ทั้งนี้ หน้าที่ของเลขาธิการ กสทช. คือดูแลงบประมาณ และผลักดันงานให้เป็นไปตามมติของ กสทช. ด้วยการดูแลสำนักงาน กสทช. โดยขึ้นกับประธาน กสทช.โดยตรง อยู่ในตำแหน่งวาระละ 5 ปี และสามารถเป็นได้ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน
 
สำหรับนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รักษาการเลขาธิการ กสทช. ก่อนที่จะได้รับสรรหาจากกสทช. ให้เป็นเลขาธิการ กสทช.และก่อนหน้านี้เคยดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.)
 
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แพทย์ชนบทจับตา หวั่นเปิดทางเก็บ 30บาท เพิ่มงบเอื้อเอกชน

Posted: 29 Dec 2011 08:07 AM PST

29 ธันวาคม 2554 เครือข่ายแพทย์ชนบทเคลื่อนไหวจับตาการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลัง สปสช.ชุดใหม่เผย มีผู้แทนแพทย์เอกชนยกขบวนยึดครอง  หวั่นชงเสนอบอร์ดเก็บ 30บาท และเพิ่มงบครั้งใหญ่ใกล้เคียงประกันสังคม  ชี้เป็นจุดเริ่มต้นล้มระบบบัตรทองที่หมอสงวนปูพื้นไว้

นพ.เกรียงศักดิ์  วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท เปิดเผยว่าเครือข่ายแพทย์ที่ทำงานอยู่ใน  รพ.ชุมชนทั่วประเทศ  ได้เห็นร่างรายชื่อคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลังสปสช.ชุดใหม่ ซึ่งมีนางวรานุช  หงส์ประภาส ผู้ทรงคุณวุฒิที่ นายวิทยา  บูรณศิริ รมว.สธ. แต่งตั้งและจะเสนอบอร์ด สปสช.เห็นชอบในวันที่ 9 มค. 2555 นี้ ว่าดูรายชื่อแล้วน่าเป็นห่วง  เพราะนอกจากมี นพ.ชุมศักดิ์  พฤกษาพงษ์  กรรมการแพทย์ประกันสังคมเป็นรองประธานแล้ว  ยังดึงกลุ่มแพทย์เอกชนและนายทุนพรรค เช่น นพ.เอื้อชาติ  กาญจนพิทักษ์  นพ.พินิจ หิรัญโชติ  และนพ.ประดิษฐ์  สินธวณรงค์  ร่วมเป็นอนุกรรมการและที่ปรึกษา เป็นการเปิดทางให้ รพ.เอกชนและนายทุนเข้ามากำหนดนโยบายกองทุน สปสช. และเตรียมเสนอเก็บเงิน 30 บาทกับผู้ป่วย รวมทั้งผลักดันเพิ่มงบประมาณเหมาจ่ายตามระบบ DRG ให้สูงเท่าเทียมกับระบบประกันสังคมซึ่งกำลังถูกสังคมมองว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับ รพ.เอกชน “ การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นใน สปสช.โดยเปิดช่องให้เอกชนและนายทุนของพรรคเข้ามายึดครองกำหนดนโยบายการเงินการคลังของระบบบัตรทองครั้งนี้  จะทำให้ระบบสปสช.อ่อนแอลง และต้องใช้งบประมาณเพิ่มมากขึ้นมหาศาล เป็นภาระกับงบประมาณของประเทศ จนทำให้ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติถึงกับล่มสลายกลายเป็นระบบสงเคราะห์คนจนอนาถาเหมือนในอดีต” ประธานชมรมแพทย์ชนบทกล่าว

รายงานเปิดเผยว่าคณะอนุกรรมการการเงินการคลังในระบบ สปสช. เป็นกลไกสำคัญที่สุดในการกำหนดหลักเกณฑ์และการจัดสรรงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติซึ่งปีหนึ่งๆมีงบประมาณมากกว่าหนึ่งแสนล้านบาท ในอดีตมี ดร.โอฬาร ไชยประวัติและ ดร.อัมมาร์  สยามวรา เป็นประธาน  และมีนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขร่วมเป็นอนุกรรมการทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นที่จับตา ของประเทศต่างๆ และนายบันคีมูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ เคยกล่าวชมเชยในคราวมาเยือนประเทศไทยเมื่อเดือน พย. 2554 ที่ผ่านมา

                                                

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ข้อเรียกร้องต่ำต้อยที่สุด: ขอไมค์ให้บัลลังก์

Posted: 29 Dec 2011 04:39 AM PST

ข้อเสนอแนะอันเกิดจากการเข้าฟังคำพิพากษาลงโทษจำคุก 10 ปี คดี คำหล้า ชมชื่น ผู้ต้องหาคดีปล้นปืนทหาร 2 กระบอกเมื่อปีที่แล้ว

 


ภาพประกอบจาก s_falkow (CC BY NC 2.0)

 

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา บางกลุ่มออกมารณรงค์ให้แก้กฎหมายมาตรา 112 บางคนเสนอให้แก้ถึงในรัฐธรรมนูญ บางกลุ่มเรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กฎอัยการศึกในภาคใต้

ไม่ เราไม่ได้เรียกร้องอะไรใหญ่โตเช่นนั้น

บางคนเรียกร้องสิทธิการประกันตัวของผู้ต้องหา หลายคนเรียกร้องสิทธิในการรักษาพยาบาลนักโทษ บ้างเรียกร้องให้ยกเลิกโทษประหาร และไม่น้อยอยากให้เลิกการตีตรวน

ไม่ เราไม่ได้เรียกร้องอะไรใหญ่โตเช่นนั้น

เราเรียกร้องสิ่งเล็กน้อยที่สุด เท่าที่มนุษย์ที่ต่ำต้อยที่สุดจะคิดได้ นั่นคือ ไมโครโฟน

 

000000000

 

ผู้เข้าฟังคำพิพากษาในคดีของคำหล้า ชมชื่น ผู้ต้องหาคดีปล้นปืน เริ่มต้นรายงานตัวทีละคนๆ ว่าเป็นใคร มาจากไหน ตามที่ผู้พิพากษาที่ขึ้นบัลลังก์สั่ง พวกเขารู้สึกประหลาดใจ เพราะในการเข้าร่วมพิจารณาคดีที่ผ่านมา ไม่เคยพบเห็นการรายงานตัวถ้วนทั่วทุกตัวคนเช่นนี้มาก่อน

จากนั้นการอ่านคำพิพากษาก็เริ่มขึ้น

สักพักพวกเขาก็หันมองหน้ากันเลิกลั่ก

สิ่งที่ปรากฎตรงหน้าคือริมฝีปากบางสีชมพูของผู้พิพากษาวัยกลางคนที่ขยับขึ้นลงไปมา พร้อมกับเสียงอ่อนหวานที่ไหลลื่นต่อเนื่องแต่จับความอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย

ทุกคนเงี่ยหูฟัง บางคนทำคอยืดคอยาว บางคนโน้มตัวไปข้างหน้าแทบตกเก้าอี้ แต่ก็ล้วนดูไม่เป็นผล ผ่านไปห้านาที คำพิพากษาถูกอ่านไปแล้วหลายหน้า ผู้คนหันมองหน้ากันไปมาอีกครั้ง

นักข่าวหญิงอาวุโสจากหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษหันมากระซิบบอกคนข้างๆ  “ยกตูด” คนข้างๆ กระซิบต่อกับคนถัดไป ถัดไป และถัดไปในแถวเดียวกัน ทุกคนพร้อมใจกระทำการดังกล่าว จากนั้นช่วยกันเอามือลากเก้าอี้ให้ขยับขึ้นหน้าไปได้เล็กน้อย นักข่าวอาวุโสหันมาส่งซิกอีกครั้ง ขยับไปได้อีกหน่อย อีกหน่อย และอีกหน่อย

เป็นความสามัคคีที่ดูค่อนข้างประหลาด เก้าอี้แถวหน้าฝั่งซ้ายมือของห้องค่อยๆ กระดึ๊บๆ ไปข้างหน้าจนแทบจะชิดคอกกั้น แต่ก็ไม่มีใครได้ยินสิ่งที่ต้องการได้ยิน หลายคนถอดใจเพราะสถานการณ์ดูไม่มีทีท่าจะดีขึ้น

บางคนเหม่อลอยมองผนังห้อง การตกแต่งห้องพิจารณาคดีไปเรื่อยเปื่อย พร้อมฟังเสียงแอร์เครื่องเก่าที่ครางหึ่งๆ แล้วหันมองจำเลยที่ถูกขังตั้งแต่ชั้นสอบสวนมาเกือบ 2 ปี จนถึงวันพิพากษา เขาอยู่ในชุดนักโทษสีน้ำตาลอ่อน ถูกตีตรวนที่ข้อเท้า จ้องมองไปยังผู้พิพากษาบนบัลลังก์ด้วยแววตานิ่งๆ สีหน้าเรียบเฉย

นักข่าวอาวุโสคนเดิมไม่ยอมแพ้ เอี้ยวตัวนั่งหันข้าง เอามือป้องใบหู ทำท่าเงี่ยหูฟังอย่างชัดเจน

ผู้พิพากษาที่กำลังอ่านคำพิพากษาเหลือบตาขึ้นมามอง หยุดอ่าน ถอดแว่นออกแล้วพูดกับนักข่าวคนดังกล่าวว่าคำพิพากษานี้ยาวนับสิบยี่สิบหน้า หากจะให้ตะเบ็งอ่านด้วยเสียงอันดังโดยตลอดนั้นคงไม่ไหว นักข่าวหญิงแสดงอาการเข้าอกเข้าใจแต่ยังยืนยันให้ช่วยออกเสียงเน้นส่วนที่สำคัญ แววตาโดยรอบแสดงอาการลิงโลด บางคนแทบโผเข้ากอดฮีโร่ของคนยาก

ผู้พิพากษาก้มลงอ่านคำพิพากษาอีกครั้ง ด้วยเสียงคงเดิม - -“

ทนายความสองคนลุกจากโต๊ะทนายไปยืนชิดติดกับบัลลังก์

ริมฝีปากสีชมพูขยับขึ้น ลง ขึ้น ลง ขึ้น ลง ขึ้น ลง ....

ชื่อเฉพาะบางชื่อ คำบางคำ ที่เล็ดรอดออกมาค่อนข้างชัดเจนถูกจดบันทึกอย่างอึกทึกครึกโครม ราวกับเป็นขุมทรัพย์ที่นักเดินทางพเนจรค้นพบโดยบังเอิญ

ตรงหน้าบัลลังก์ หนึ่งในทนายความหันมากระซิบกับอีกคน ผู้พิพากษาหยุดอ่านอีกครั้ง ถอดแว่นออก และพูดด้วยเสียงดัง

“มีอะไร”

“ไม่มีครับ”

“พูดอะไรกัน”

“ไม่มีอะไรครับ”

กองเชียร์ใจหายวาบ แต่แล้วริมฝีปากสีชมพูก็กลับไปขยับขึ้นลงเช่นเคย

ผู้พิพากษาชายที่นั่งอยู่ด้านข้างก้มหน้านิ่ง และบางครั้งก็เหลือบตามองเพดาน

สักพัก ทนายความคนหนึ่งหันมาทางคนฟัง ทำสัญลักษณ์โดยใช้นิ้วชี้ของมือสองข้างไขว้กันเป็นเครื่องหมายกากบาท

A:“มันคืออะไรวะพี่” 

B:“เขาว่าศาลลง(โทษ)แน่นอน”

ภรรยาจำเลยนั่งอยู่ริมสุดของแถวที่นั่ง เธอหันมาตามเสียงการหารือ “อะไรนะพี่”

ไม่มีใครตอบคำถามนั้น ทั้ง A ทั้ง B ต่างหันไปคนละทิศละทาง แล้วเธอก็เริ่มนั่งน้ำตาไหลอยู่เงียบๆ

 ริมฝีปากสีชมพูยังขยับขึ้นลงตามปกติ

ผู้พิพากษาหยุดอ่าน แล้วส่งกระดาษให้ทนายความลงชื่อ

จบแล้ว !!!

ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก สอบถามกันเองให้วุ่นถึงผลการตัดสินทั้งที่ก็รู้ว่าไม่มีใครได้ยิน

ทนายความคนหนึ่งเดินออกมาจากคอกกั้นแล้วกระซิบกับคนฟังสั้นๆ ว่า “จำคุกสิบปี”

ภรรยาจำเลยวิ่งก้มหน้าออกไปนอกห้อง

ทนายความคนเดิมเดินไปนั่งข้างจำเลยบอกผลคำพิพากษา จำเลยปล่อยตัวลงนั่งพิงกับพนักเก้าอี้ช้าๆ สีหน้ายังเรียบเฉยเช่นเดิม

 

000000000

 

“แม้แต่คนเลวที่ทำเรื่องระยำที่สุดในสามโลกก็น่าจะมีสิทธิได้ยินที่มาของโทษทัณฑ์ของเขา มิพักต้องพูดถึงเรื่องว่าเขาทำผิดจริงหรือไม่ สมควรได้รับโทษทัณฑ์นั้นเพียงใด” ... ขงจื๊อไม่ได้กล่าวไว้

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เกิดระเบิดใกล้ย่างกุ้งเช้ามืดวันนี้ มีผู้เสียชีวิต 17 ราย

Posted: 28 Dec 2011 09:01 PM PST

มีเหตุระเบิดในโกดังเก็บสารเคมีที่ย่างกุ้งเมื่อช่วงเช้านี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 17 ราย บาดเจ็บกว่า 80 คน

ที่มา: yeyintnge/youtube.com

สำนักข่าวมิซซิม่า ของผู้สื่อข่าวพลัดถิ่นพม่า รายงานว่าเกิดเหตุระเบิดขนาดใหญ่ตามมาด้วยเพลิงไหม้ในย่างกุ้ง ประเทศพม่า เช้ามืดเวลา 2.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันนี้ (29 ธ.ค.) โดยตำรวจระบุว่าทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 17 ราย และมีผู้บาดเจ็บกว่า 80 คน โดยสาเหตุของการระเบิดยังไม่ทราบแน่ชัด

นอกจากนี้ยังเกิดระเบิดเล็กน้อยตามมาจากเหตุระเบิดครั้งแรก และเกิดเพลิงไหม้ลุกลามไปยังอาคารข้างๆ ซึ่งปลูกสร้างด้วยไม้

เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า มีพนักงานดับเพลิงเสียชีวิต 3 รายขณะปฏิบัติหน้าที่ด้วย

ทั้งนี้ระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นในโกดังแห่งหนึ่ง ที่เขตซัตซาน เมืองมิงกลาตองยุ้นต์ โดยโกดังสินค้าดังกล่าวมีสารเคมีที่ไม่สามารถระบุชนิดได้ และมีวัสดุที่ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างและอุตสาหกรรมผลิตเกลือ โดยผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่ามีรถดับเพลิงอย่างน้อย 5 คันเข้ามาดับเพลิงไหม้ดังกล่าวด้วย

 

ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก Large explosion shakes Rangoon, Mizzima
Thursday, 29 December 2011 08:34

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น