โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

เพลิงไหม้ค่ายที่พบพระ-วอด 3 พันหลัง-ผู้ลี้ภัยรอความช่วยเหลือ

Posted: 24 Feb 2012 11:46 AM PST

ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต แต่มีผู้ลี้ภัยจากรัฐกะเหรี่ยงได้รับผลกระทบ 4 พันกว่าคน ต้องพักอาศัยชั่วคราวในโกดังเก็บของ และอาคารอื่นที่ไม่ถูกเพลิงไหม้ โดยขณะนี้ในค่ายผู้ลี้ภัยต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

เหตุการณ์เพลิงไหม้ค่ายผู้ลี้ภัยบ้านอุ้มเปี้ยม อ.พบพระ จ.ตาก เมื่อ 23 ก.พ. (ที่มาของภาพ: IRC/TBBC)

ที่มาของภาพ: vaughan09/youtube.com

ที่มาของภาพ: gospelinterview/youtube.com

สำนักข่าวมิสซิมา รายงานว่า ค่ายผู้ลี้ภัยบ้านอุ้มเปี้ยม อ.พบพระ จ.ตาก ที่อยู่บริเวณชายแดนไทย-พม่า ต้องการรับบริจาคอาหาร เสื้อผ้า และเงิน หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ค่ายผู้ลี้ภัยอย่างหนักเมื่อวานนี้ (23 ก.พ.) โดยล่าสุดองค์กรไทยแลนด์ เบอร์ม่า บอร์เดอร์ คอนซอเตียม หรือ TBBC ระบุว่ายังไม่มีตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้ แต่มีรายงานว่ามีเด็กสูญหาย 1 คน

ทั้งนี้เว็บไซต์ของ TBBC ที่ประกาศขอรับบริจาคอยู่ที่ http://www.tbbc.org/donate/donate.htm

รายงานในเว็บไซต์โดยเจ้าหน้าที่ TBBC ระบุว่า เพลิงไหม้เริ่มต้นเมื่อเวลาประมาณ 12.15 น. ที่หมู่ 9

"ภายใน 5 นาที เพลิงไหม้ได้ทำให้เกิดควันลุกโขมงที่หมู่ 9 จากนั้นได้ลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังบ้านหลังอื่นๆ" รายงานระบุ โดยเพลิงได้ลุกลามไปยังหมู่ 6, 7, 8, 9 และ 10 ซึ่งเป็นชุมชนมุสลิม โดยมีประชากรอาศัยใน 5 หมู่บ้านดังกล่าวรวม 3,019 หลังคาเรือน ประชากรรวม 4,410 คน"

ในเวลา 14.30 น. รถดับเพลิงจากเจ้าหน้าที่ไทยมาถึงที่ค่าย "อย่างไรก็ตาม สามารถควบคุมเพลิงไหม้ได้แล้ว" บทรายงานของ TBBC ระบุ โดยรถคันดังกล่าวมีที่ตั้งห่างจากค่ายตามระยะทางรถยนต์ราว 1 ชั่วโมงครึ่ง

TBBC รายงานว่า มีบ้านทั้งหมด 566 หลังถูกเพลิงไหม้ทั้งหมด มีบ้าน 257 หลังถูกทำลายบางส่วนเพื่อใช้ทำแนวกันไฟไม่ให้ลุกลามไปยังส่วนอื่น โดยในรายงานของ TBBC ระบุว่าอาคารที่ได้รับความเสียหายประกอบด้วยโรงเรียนรับเลี้ยงเด็ก 2 หลัง อาคารของกลุ่มสตรีในชุมชนมุสลิม มัสยิด 2 แห่งประกอบด้วยมัสยิดในหมู่ 8 และหมู่ 9 และอาคารสำนักงานรักษาความปลอดภัยของหมู่ 9 ถูกเผาทั้งหมด

นอกจากนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 20 คนระหว่างพยายามดับไฟ

TBBC ระบุว่า ขณะนี้กำลังพยายามกระจายอาหารสำเร็จรูปให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว รวมทั้งได้ร่วมกันรวบรวมเงินช่วยเหลือจากองค์กรช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในพื้นที่ และยังต้องการการบริจาคจำนวนมาก และเมื่อคืนวันที่ 23 ก.พ. ได้ส่งมอบผ้าห่มไปแล้ว 500 ผืน เสื่อ 200 ผืน มุ้ง 271 หลัง และหม้อ 168 ใบ และในวันที่ 24 ก.พ. มีการส่งมอบผ้าห่มเพิ่มอีก 1,900 ผืน เสื่อ 187 ผืน มุ้ง 781 หลัง และหม้ออีก 750 ใบ

และตั้งแต่คืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ผู้ลี้ภัยที่ได้รับผลกระทบจากเพลิงไหม้ต้องพักอาศัยในโกดังเก็บสินค้า มัสยิด โรงเรียนเลี้ยงเด็กอ่อน และบ้านของผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ ในค่าย โดยผู้ลี้ภัยเหล่่านี้เจ้าหน้าที่ไทยไม่ได้อนุญาตให้ออกนอกค่าย

 

ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก 

No deaths in camp fire; donations needed, Mizzima News, Friday, 24 February 2012 13:36 http://www.mizzima.com/news/regional/6650-no-deaths-in-camp-fire-donations-needed.html

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

399 เสียงจาก 2 สภาลงมติรับหลักการ 3 ร่างรัฐธรรมนูญ

Posted: 24 Feb 2012 10:40 AM PST

ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาลงมติ 399 เสียงรับรองหลักการแก้ไข รธน. ม.291 เปิดทางให้มี ส.ส.ร. เข้ามาจัดทำ รธน. ใหม่ทั้งฉบับ ขณะที่มีเสียงไม่รับรอง 199 เสียง และงดออกเสียง 14 เสียง โดยเตรียมแปรญัตติภายใน 30 วัน และเริ่มประชุมนัดแรก 29 ก.พ.

(25 ก.พ.) เมื่อเวลา 01.10 น. ที่ประชุมร่วมรัฐสภาซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาได้ลงมติรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เรื่องการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร. ในวาระที่ 1 ทั้ง 3 ร่าง โดยสมาชิกทั้ง 2 สภา ลงมติรับรองด้วยคะแนน 399 เสียง ไม่รับรอง 199 เสียง และงดออกเสียง 14 เสียง

ทั้งนี้ เริ่มมีการประชุมร่วมรัฐสภาตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ. เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ.... จำนวน 3 ฉบับ ฉบับหนึ่งจากการเสนอของคณะรัฐมนตรี อีกฉบับจากการเสนอของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และอีกฉบับมาจากการเสนอของ ส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา รวม 3 ฉบับ โดยสาระสำคัญของทั้ง 3 ร่าง คือ การแก้ไขมาตรา 291 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เพื่อเปิดโอกาสให้มีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร. เข้ามาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นควรให้ใช้ร่างฯ แก้ไขที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรีเป็นหลัก และให้แปรญัตติภายใน 30 วัน เริ่มประชุดนัดแรกวันที่ 29 ก.พ.

ขณะที่ก่อนหน้านี้ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้มีการออกแถลงการณ์ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และนัดชุมนุมหยั่งท่าทีในวันที่ 10 มี.ค. โดยยังไม่ระบุสถานที่ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) นอกจากนีั้เมื่อ 23 ก.พ. เครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดินหรือกลุ่มเสื้อหลากสี นำโดย น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ได้เดินทางมายื่นหนังสือลงลายมือชื่อประชาชน 30,000 รายชื่อที่รัฐสภาเพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขณะที่มีคนเสื้อแดงเดินทางมาที่รัฐสภาในวันเดียวกันเพื่อชุมนุมสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) 

ขณะเดียวกันในช่วงเย็นวันนี้ (25 ก.พ.) กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ได้นัดชุมนุมใหญ่ที่โบนันซ่า เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา เพื่อสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เช่นกัน

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สวดอภิธรรมวันแรก ‘ฐานุทัศน์’เหยื่อกระสุน53 ฌาปนกิจ 29 ก.พ.

Posted: 24 Feb 2012 07:45 AM PST

 

24 ก.พ.55  ที่วัดหัวลำโพง ศาลา 14 เวลา 19.00 น. มีการสวดอภิธรรมศพ นายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง วัย 55 ปี ซึ่งเสียชีวิตลงเมื่อวานนี้หลังถูกกระสุนปริศนาเมื่อวันที่ 14 พ.ค.53 ระหว่างเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง จนเป็นอัมพาตและอาการทรุดลงจนกระทั่งเสียชีวิต โดยมีญาติมิตร เพื่อนฝูง นักกิจกรรม รวมไปถึง นายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตแกนนำ นปช. และ นางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของน้องเกด กมนเกด อัคฮาด ผู้เสียชีวิตในวัดปทุม เข้าร่วมฟังสวดอภิธรรมด้วย และมีพวงหรีดจากหลายกลุ่ม อาทิ นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช.,www. GO6TV.com, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, คอป., เมธาวี ธารดำรงค์  สก.เขตปทุมวัน, อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ ส.ส.ประชาธิปัตย์, นพ.เหวง โตจิราการ

ทั้งนี้ งานสวดอภิธรรมศพนายฐานุทัศน์จะมีทั้งสิ้น 6 วัน และกำหนดฌาปนกิจศพในวันที่ 29 ก.พ.นี้ เวลา 17.00 น.

 


นางวรานิษฐ์ อัศวสิริมั่นคง ภรรยานายฐานุทัศน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อุดมการณ์เบื้องหลังระบบยุติธรรมในการบังคับใช้ ม. 112

Posted: 24 Feb 2012 07:24 AM PST

ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในใจเมื่อผมร่าง “คำให้การคดี 112” จบลง คือความรู้สึกว่า “สิทธิ เสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเองกำลังถูกคุกคาม”
 
เพราะผมเชื่อมั่นว่า เมื่อเราอยู่ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย เราย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 4 ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง
 
ที่ผมรู้สึกเช่นนี้ เพราะผมเห็นว่า ผมกำลังเผชิญกับ “ความอยุติธรรม”
 
ความอยุติธรรมที่ว่านี้คือ การแจ้งความและข้อกล่าวหาสะท้อนถึงการ “บิดเบือน” ความหมายของข้อความที่ผมโพสต์แสดงความเห็นท้ายบทความทางวิชาการ ซึ่งเป็น “ข้อความที่ถูกต้องตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” อยู่แล้ว ให้มีความหมายใหม่ตามความต้องการของผู้ตีความที่ “ใส่ความหมายตามการตีความของตนเองลงไปเพื่อเอาผิดตาม ม. 122 ให้ได้”
 
ขอยกตัวอย่างเทียบเคียงให้เห็น สมมติในการถกเถียงทางวิชาการในประเด็นว่า “จะจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของสมเด็จพระสังฆราชในสังคม-การเมืองไทยอย่างไร?” แล้วผมก็เสนอไป 9 ข้อ ซึ่ง 9 ข้อนี้ผมประสงค์ให้เป็น “ข้อเสนอเชิงปฏิรูป” หมายความว่า เป็นข้อเสนอที่ให้ “คงหลักการที่ดีอยู่เดิม” บางอย่างไว้ และเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
 
แล้วผมก็เสนอไป 1 ใน 9 ข้อนั้น (ย้ำ“สมมติ”) ว่า “พระสังฆราชต้องไม่แทรกแซงการเมือง” ซึ่งข้อเสนอนี้มีความหมายตรงไปตรงมาว่า เป็นการยืนยันให้ “คงหลักการเดิม” ที่ว่า “พระสังฆราชไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง อยู่เหนือการเมือง” เอาไว้เท่านั้นเอง
 
แต่มีคนไปตีความว่า ข้อเสนอนี้เท่ากับเป็นการกล่าวหาว่า “พระสังฆราชองค์ปัจจุบันแทรกแซงการเมือง” การตีความเช่นนี้เป็นการ “บิดเบือน” ความหมายของข้อความเดิมโดยการ “ตัดทิ้ง” บางคำ คือคำว่า “ต้องไม่” ออกไป แล้วก็ใส่ข้อความใหม่คือ “องค์ปัจจุบัน” เข้ามาแทนที่
 
ฉะนั้น จากข้อความเดิมที่ว่า “พระสังฆราชต้องไม่แทรกแซงการเมือง” กลายเป็นข้อความใหม่ว่า “พระสังฆราชองค์ปัจจุบันแทรกแซงการเมือง” และมีการใช้ข้อความใหม่จากการตีความเอาเองหรือบิดเบือนตามความต้องการของตนเองนี้เป็น “ข้อกล่าวหา” ว่า “ผมหมิ่นสังฆราช”
 
สิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่ก็มีลักษณะคล้ายกันกับ “สถานการณ์สมมติ” ดังกล่าวนี้ และนี่จึงทำให้ผมผมรู้สึกอย่างแจ่มชัดว่า ผมกำลังเผชิญกับ “ความอยุติธรรม” จากข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ!
 
ยิ่งเมื่อดูบริบทของข้อความทั้ง 9 ข้อ ที่ผมเสนอยิ่งชัดเจนว่า เป็น “ข้อเสนอเชิงปฏิรูปที่อยากให้เกิดขึ้นในอนาคต” ไม่ได้มีข้อความที่กล่าวหา โจมตี ใส่ร้าย ให้อดีตและปัจจุบันเสื่อมเสียเป็นที่ดูถูกเกลียดชังของผู้คน ตามนิยามของคำว่า “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้าย” แต่อย่างใด
 
ฉะนั้น ผมจึงมั่นใจว่า ข้อเสนอทั้ง 9 ข้อนั้นที่เป็นข้อเสนอในบริบทของบทความทางวิชาการ จึงเป็น “ข้อเสนอทางวิชาการ” คือ ข้อเสนอที่อธิบายได้ด้วยหลักการ เหตุผลบนพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพื่อชวนให้เกิดการถกเถียงแลกเปลี่ยนด้วยเหตุผลอันจะก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางความรู้และความคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่กำลังถกเถียงแลกเปลี่ยนกันอยู่
 
เมื่อเป็นเช่นนี้ข้อเสนอดังกล่าว ย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 45 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น...
 
มาตรา 50 บุคคลย่อมมีเสรีภาพทางวิชาการ การศึกษาอบรม การเรียนการสอน การวิจัย การเผยแพร่งานวิจัยตามหลักวิชาการ ย่อมได้รับความคุ้มครอง ทั้งนี้เท่าที่ไม่ขัดต่อหน้าที่ของพลเมือง หรือต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
 
การแสดงความคิดเห็นหรือข้อเสนอเชิงวิชาการดังกล่าว เป็นข้อเสนอที่ไม่ได้ขัดต่อหน้าที่พลเมืองและศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด และไม่ไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิ เสรีภาพของผู้อื่นตามที่กฎหมายบัญญัติแต่อย่างใด จึงย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 45 และมาตรา 50 อีกทั้งย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 26 และ 29 ดังความข้างล่างนี้
 
มาตรา 26 การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กรต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
 
มาตรา 29 การจำกัดสิทธิ เสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้ และเท่าที่จำเป็น และจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้ 
 
ซึ่งความคุ้มครองดังกล่าว ย่อมสอดคล้องกับบทบัญญัติใน มาตรา 4  ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง ดังกล่าวแล้ว
 
แน่นอนว่า รัฐธรรมนูญมาตราต่างๆ ที่ผมยกมานี้ ย่อมเป็นบทบัญญัติเพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตาม “อุดมการณ์ประชาธิปไตย” หากระบบความยุติธรรมของบ้านเรายึด “อุดมการณ์ประชาธิปไตย” ตามรัฐธรรมนูญ (โดยเฉพาะมาตรา 29) ในการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นฯ ม. 112 ย่อมไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ศาลจะไม่อนุญาตให้ประกันตัวคุณสุรชัย คุณสมยศ อากง หรือผู้ต้องหาคดี ม.112 คนอื่นๆ
 
เราจึงไม่ชัดเจนว่า อุดมการณ์เบื้องหลังในการบังคับใช้ ม.112 ของระบบยุติธรรมในบ้านเราคืออุดมการณ์อะไรกันแน่?
 
ถ้าดูเหมือนจะไม่ใช่อุดมการณ์ประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญมาตราต่างๆ ดังกล่าวมา ถามว่าระบบยุติธรรมบ้านเราบังคับใช้ ม.112 โดยอ้างอิง “อุดมการณ์ธรรมราชา” ตามมาตรา 9 ที่บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ” ใช่หรือไม่?
 
คำตอบก็ไม่น่าจะใช่ เพราะตามอุดมการณ์ธรรมราชาที่ยึดหลัก “ทศพิธราชธรรม” ชาวพุทธย่อมเข้าใจดีว่าหลักทศพิธราชธรรมนั้น เป็นหลักแห่งความไม่โกรธ ให้อภัย ไม่เบียดเบียน ยึดความยุติธรรม (อวิโรธนะ) โดยคำนึงถึง “หลักการที่ถูกต้อง” ของระบอบการปกครองที่สังคมยอมรับร่วมกัน (ธรรมาธิปไตย) ใช้ปัญญา มีการุณยธรรม และเคารพ “ความเป็นมนุษย์” ของประชาชน
 
เอาเข้าจริงแล้ว หากอุดมการณ์เบื้องหลังการบังคับใช้ ม.112 ไม่น่าจะใช่ทั้งอุดมการณ์ประชาธิปไตย และอุดมการณ์ธรรมราชาที่ยึดหลักทศพิธราชธรรม ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ระบบยุติธรรมไทยบังคับใช้ ม.112 โดยยึดอุดมการณ์อะไรกันแน่ และ “การใช้ดุลยพินิจ” ของระบบยุติธรรมได้คำนึงถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548 หรือไม่ว่า
 
"แต่อย่างไรก็ตาม เข้าคุกแล้ว ถ้าเป็นการละเมิดพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์เองเดือดร้อน เดือดร้อนหลายทาง ทางหนึ่งต่างประเทศเขาบอกว่าเมืองไทยนี่พูดวิจารณ์พระมหากษัตริย์ไม่ได้ ว่าวิจารณ์ไม่ได้ก็เข้าคุก มีที่เข้าคุก เดือดร้อนพระมหากษัตริย์"   
 
คำถามสำคัญจึงมีว่า การบังคับใช้ ม.112 ของระบบยุติธรรมไทยที่เป็นอยู่นี้ นอกจากจะไม่ชัดเจนว่า เป็นการบังคับใช้ที่ยึด “อุดมการณ์ประชาธิปไตย” และ “อุดมการณ์ธรรมราชา” หรือไม่แล้ว ยังอาจตั้งคำถามได้อีกว่า เป็นการบังคับใช้ที่ทั้งอาจเป็นทั้งการทำให้ “ราษฎร” และ “พระมหากษัตริย์” เดือดร้อนหรือไม่?
 
นี่เป็นคำถามที่ระบบยุติธรรมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งระบบยุติธรรมนี้อ้างอิงความชอบธรรมจาก “อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย” และอ้างอิงการปกป้องประมุขของรัฐบน “อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย” ด้วยเช่นกัน ต้องมีคำตอบให้กับสังคม!
 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ผู้แทนสหรัฐเผยมีความคืบหน้าในการเจรจานิวเคลียร์เกาหลีเหนือ

Posted: 24 Feb 2012 07:13 AM PST

สหรัฐเจรจาทวิภาคีกับเกาหลีเหนือในวันนี้ที่ปักกิ่ง หวังเจรจายุติโครงการนิวเคลียร์หลังจากมีการหารือครั้งล่าสุดในปี 2551 ผู้แทนสหรัฐเผยมีความคืบหน้าบ้างเล็กน้อย

ปักกิ่ง 24 ก.พ. - นายกลิน เดวีส์ ผู้แทนเจรจาสหรัฐ กล่าวว่า มีความคืบหน้าเล็กน้อยในการหารือกับผู้แทนเกาหลีเหนือเพื่อรื้อฟื้นการเจรจายุติโครงการนิวเคลียร์โดยแลกเปลี่ยนกับการได้รับความช่วยเหลือด้านอาหาร นับเป็นการหารือกันครั้งแรกตั้งแต่ที่นายคิม จอง อิล อดีตผู้นำเกาหลีเหนือ ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อสองเดือนก่อน 

ผู้แทนสหรัฐกล่าววันนี้ว่า จากการหารือกันจึงหวังว่าจะได้ข้อมูลมากขึ้น แม้ยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน และว่าสหรัฐรวมทั้งประเทศพันธมิตรญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จะต้องประเมินผลการเจรจาต่อไป สำหรับการเจรจาระหว่างคณะผู้แทนเกาหลีเหนือกับสหรัฐประกอบด้วย ประเด็นการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียม สิทธิมนุษยชน และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

การหารือในระดับทวิภาคีครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่สามนับแต่เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว เดิมทั้งสองฝ่ายมีกำหนดจะพบปะกันในเดือนธันวาคม แต่ต้องระงับไว้เนื่องจากการอสัญกรรมของนายคิม จอง อิล เมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ สหรัฐและเกาหลีเหนือยังจะหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการรื้อฟื้นการเจรจา 6 ฝ่าย ประกอบด้วยเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย เพื่อยุติโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ โดยการเจรจาพหุภาคีดังกล่าวจัดขึ้นครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนธันวาคม 2551 ก่อนที่เกาหลีเหนือจะหันหลังจากโต๊ะเจรจาดังกล่าวในปี 2552 และทำการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ครั้งแรกในปีเดียวกัน

 

ที่มา: เรียบเรียงจาก สำนักข่าวแห่งชาติ

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กลุ่มนิยมสาธารณรัฐร้อง ‘บีบีซี’ สอบรายการฐานนำเสนอข้อมูลเอียงข้างราชวงศ์

Posted: 24 Feb 2012 06:43 AM PST

กลุ่มรณรงค์เพื่อสาธารณรัฐในอังกฤษ ยื่นหนังสือต่อประธานบีบีซีให้ตรวจสอบรายการในช่องสถานี ฐานนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือน ชี้ เอนเอียงข้างสถาบันกษัตริย์เกินไป และเป็นการรายงานข่าวที่มีอคติ-ไม่สอดคล้องมาตรฐานการทำงานสื่อ

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (21 ก.พ.) กลุ่มรณรงค์เพื่อสาธารณรัฐในอังกฤษหรือ Republic Campaign ได้ยื่นหนังสือเปิดผนึกต่อประธานกรรมการของสำนักข่าวบีบีซี ให้ตรวจสอบรายการในผังของบีบีซีที่ชื่อว่า The Diamond Queen ซึ่งเป็นสารคดีเกี่ยวกับการครองราชย์ครบ 60 ปีของราชินีอลิซาเบ็ธของอังกฤษ โดยกลุ่มดังกล่าวระบุว่า เป็นการนำเสนอข้อมูลที่ปลอมแปลงและบิดเบือน ซึ่งอาจทำให้ผู้ฟังได้รับข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง

หัวหน้ากลุ่มรณรงค์เพื่อสาธารณรัฐ ระบุในจดหมายดังกล่าวว่า การรายงานของบีบีซีเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็นการนำเสนอข่าวสารที่ต่ำกว่ามาตรฐานทางวารสารศาสตร์ อีกทั้งจงใจส่งเสริมสถาบันฯ มากกว่าจะเป็นการรายงานข้อเท็จจริง

“วิธีดังกล่าวอาจจะเหมาะสมในการรายงานกีฬาฯ ข่าวบันเทิงหรืองานการกุศล แต่เมื่อเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์แล้วย่อมเป็นเรื่องการเมืองโดยแท้ และเป็นสถาบันที่ถูกท้าทายและมีประเด็นถกเถียงอยู่เสมอมา อีกทั้งยังเป็นใจกลางหลักของรัฐธรรมนูญและโครงสร้างทางอำนาจในประเทศนี้ด้วย” จดหมายของกลุ่ม Republic Campaign ระบุ

ด้านหัวหน้ากลุ่มดังกล่าว เกรแฮม สมิธ ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า “สิ่งที่ถูกนำเสนอเสมือนว่าเป็นการรายงานข่าวเชิงชีวประวัติของราชินี ที่จริงแล้วมันก็เป็นการนำเสนอข้อโต้แย้งเข้าข้างราชวงศ์นั่นเอง” นอกจากนี้ ในจดหมายยังระบุว่า บีบีซีทำให้ผู้ชมเข้าใจผิด ปิดปากคนทีเห็นต่างและพิทักษ์ประมุขของรัฐจากการวิพากษ์วิจารณ์ที่แท้จริง

ด้านโฆษกของบีบีซีกล่าวว่า สำนักข่าวบีบีซีได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเหมาะสมเพื่อให้เป็นกลางในการรายงานข่าวในทุกๆ แห่ง

นอกจากในจดหมายจะเรียกร้องให้มีการสอบสวนรายการ และเสนอให้ผู้นำเสนอรายการ แอนดรูว์ มาร์ มาร่วมโต้วาทีออกอากาศกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยแล้ว กลุ่มรณรงค์ยังให้บีบีซีปฏิรูปการนำเสนอข่าวให้เป็นกลางอย่างแท้จริง และจัดประเภทของการรายงานเรื่องสถาบันกษัตริย์อยู่ในหมวด “ที่เป็นประเด็นถกเถียง” (Controversial subject)

ทั้งนี้ บีบีซีมีข้อตกลงร่วมกับกรมวัฒนธรรม สื่อ และการกีฬา ที่กำหนดให้การรายงานประเด็นที่ถกเถียงต้องทำโดยความละเอียดถูกต้อง และเป็นกลางในทุกแง่มุม

บีบีซีรายงานว่า กลุ่ม Republic Campaign ซึ่งเป็นกลุ่มกดดันและอ้างว่าเป็นตัวแทนของชาวอังกฤษผู้นิยมสาธารณรัฐราว 10-12 ล้านคน จะนัดชุมนุมหน้าสถานีบีบีซีเพื่อประท้วงในประเด็นดังกล่าวต่อไป

ที่มา: เรียบเรียงจาก BBC royal series The Diamond Queen biased, Republic says.  

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ซูจีเดินทางหาเสียงในรัฐคะฉิ่น

Posted: 24 Feb 2012 06:18 AM PST

ผู้นำพรรคเอ็นแอลดีเดินทางไปเยือนรัฐคะฉิ่นเพื่อเตรียมรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งซ่อม และหารือกับสมัชชาที่ปรึกษาแห่งชาติคะฉิ่น ชี้สันติภาพกับชนกลุ่มน้อยเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาเศรษฐกิจ-การเมือง

 23 ก.พ. 55 - มีรายงานว่า นางอองซาน ซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ได้เดินทางเยือนรัฐคะฉิ่นในวันนี้ เพื่อพบหารือกับสมาชิกกลุ่มสมัชชาที่ปรึกษาแห่งชาติคะฉิ่น (the Kachin National Consultative Assembly – KNCA) และเตรียมรณรงค์หาเสียงในหลายเมืองของรัฐคะฉิ่น

นางซูจีเตรียมปราศรัยในเมืองโมกอง เมืองมิตจีนาและเมืองบ่าหม่อในวันพรุ่งนี้ รวมทั้งมีกำหนดการจะพบหารือกับกลุ่ม KNCA ทั้งนี้ สมาชิกกลุ่ม KNCA ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากองค์กรคะฉิ่นอิสระ (the Kachin Independence Organization) นักธุรกิจและผู้นำทางศาสนาชาวคะฉิ่น โดยที่ผ่านมากลุ่ม KNCA เป็นคนกลางที่คอยประสานการเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลพม่าและทหารคะฉิ่น KIA

ด้านนางซูจีกล่าวว่า สันติภาพในพื้นที่ชนกลุ่มน้อยเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับประเทศในการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมือง โดยก่อนหน้านี้ นางซูจีเคยเสนอตัวเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลพม่าและ KIA ขณะที่การเจรจาของ KIA กับรัฐบาลพม่านั้นแตกต่างจากชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่นๆ เนื่องจาก KIA เรียกร้องที่จะเจรจาทางการเมืองก่อนที่จะลงนามหยุดยิงกับรัฐบาลพม่า จึงยังคงเกิดการสู้รบอย่างต่อเนื่องในรัฐคะฉิ่น แม้จะมีคำสั่งจากประธานาธิบดีเต็งเส่งให้กองทัพยุติการโจมตีทหาร KIA แล้วก็ตาม

ส่วนการเยือนรัฐคะฉิ่นในครั้งนี้ของนางซูจี ถือเป็นการเยือนรัฐคะฉิ่นเป็นครั้งที่สาม ก่อนหน้านี้ นางซูจีเคยเยือนรัฐคะฉิ่นในปี 2003 และในปี 1989 มีรายงานว่า การเยือนรัฐคะฉิ่นครั้งนี้ พรรคเอ็นแอลดีได้นำเสื้อผ้าและเงินราว 10 ล้านจ๊าตมาบริจาคให้กับผู้ลี้ภัยชาวคะฉิ่นที่กำลังได้รับความเดือดร้อนจากสงครามด้วย

 

แปลและเรียบเรียงจาก Mizzima 23 กุมภาพันธ์ 55

ที่มา: เว็บไซต์สาละวินนิวส์ออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รายงาน: ย้อนรอยกระสุนปี53 'ลุงคิม ฐานุทัศน์' ผู้เสียชีวิตรายล่าสุด..เรื่องผัวเมียทะเลาะกัน?

Posted: 24 Feb 2012 03:54 AM PST

ชื่อเรื่องเดิม: เหตุการณ์ที่ลุงคิม ฐานุทัศน์ผู้เสียชีวิตล่าสุด เหยื่อความรุนแรงจากทหาร ผัวเมียทะเลาะกัน?

 

 

R.I.P. ลุงคิม (เรื่องราวชีวิต "ลุงคิม อัศวสิริมั่นคง"เหยื่อกระสุน 14พ.ค.  http://news.voicetv.co.th/thailand/31875.html)

สืบเนื่องจากภาพที่โพสต์ไว้เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2648399242275 ตอนที่ ลุงคิม หรือนายฐานุทัศน์ อัศวศิริมั่นคง ชายวัย 55 ปี ที่เป็นเหยื่อในเหตุสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อบ่ายวันที่ 14 พฤษภาคม 2553   ที่บริเวณบ่อนไก่ โดยล่าสุดได้เสียชีวิตแล้วเมื่อวานนี้ (ประมาณ 23.00 น. ตามการแจ้งข่าวของเพื่อนๆ) ที่โรงพยาบาลมเหสักข์  ย่านบางรัก จึงขออนุญาติเพิ่มเติมข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์เพื่อทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่ทำให้ลุงแกต้องบาดเจ็บและเสียชีวิตนี้

จากรายงานข่าวของ Voice TV (http://news.voicetv.co.th/thailand/31849.html) ระบุว่า หลังจากที่เขาต้องพักรักษาตัวในห้องไอซียูนานนับปี  เนื่องจากเขากลายเป็นคนพิการ  เพราะถูกกระสุนยิงทะลุเข้ากระดูกสันหลัง  ไปฝังอยู่ที่ปอด  ส่วนกระสุนนัดที่ 2 ยังคงฝังอยู่ที่สะบัก  เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 ระหว่างปฎิบัติการกระชับวงล้อมของทหาร  ย่านบ่อนไก่  โดยนายฐานุทัศน์ อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวและไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมแต่อย่างใด

โดยช่วงเวลาเกิดเหตุ เขาและครอบครัวเดินออกจากบ้านพัก   เพื่อไปชำระค่าไฟฟ้าที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น  และถูกยิงในบริเวณดังกล่าว  เนื่องจากเขาเพิ่งเข้ารับการบำบัดด้วยเคมีเพื่อรักษโรคมะเร็ง  ร่างกายจึงไม่แข็งแรงนักและหลบหนีการยิงปะทะกันในพื้นที่ไม่ทัน


คลิปเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง 

คลิปตอนลุง ฐานุทัศน์ ถูกยิงมองจากมุมสูง

 

                                                                 ภาพ 1 ฐานุทัศน์ ถูกยิงมองจากมุมสูง

 

(ลองดูคลิปนี้นาทีที่ 1.49 ชื่อคลิป “in front of lumpini tower at rama 4 in bangkok.MP4” Uploaded by ijakat1 on May 14, 2010 http://www.youtube.com/watch?v=hi3s4mwzVUg) ประมาณบ่ายโมงถึงบ่าย 2 (สังเกตุจากเงา)

 โดยในคลิปดังกล่าวนาทีที่ 0.40 มีคนที่อยู่ในคลิปพูกว่า “มันยิงกันแล้ว” และอีกเสียงหนึ่งพูดว่า “ทหารยิงเลยหรอ” และนาที่ที่ 1.20 มีคนพูดว่ามีคนโดน หามมาแล้วนั่นไงเสื้อเขียว (ตามภาพ 1)

ภาพ 2 บรรยากาศขณะนั้น

 

ภาพ 3 ภาพมุมสูง ขณะถูกยิงแล้ว (ที่มาภาพ : Al menos siete muertos y 90 heridos deja represión a 'camisas rojas' en Tailandia)

 

นอกจากนี้ยังมีคลิปในเหตุการณ์เดียวกัน (โดยสังเกตจากรถดับเพลงสีแดงและกองไฟ รวมทั้งเงาแดด) กับอันนี้ ชื่อคลิป "แดงบ่อนไก่140553" Uploaded by planescape790 on May 16, 2010 http://www.youtube.com/watch?v=Y_fraPffyBE

และ อีกมุมถ่ายจากสะพานลอยใกล้เคียง ชื่อคลิป "Thai Red-Shirt Freaking Cat at work (raw video) - F24 100519" Uploaded by newsupload2010 on May 18, 2010 http://www.youtube.com/watch?v=PBPM2_ymKPo (จะได้ยินเสียงบั้งไฟเล็กแล้วตามด้วยปืน) 

 

 

 
ตำแหน่งรถดับเพลิงแดงที่อยู่ที่เดียวกันและกองเพลิงเล็กๆข้างๆ และช่วงที่รถดับเพลิงแดงมาแรกๆ อีกมุม ก่อนเกิดเหตุ http://www.youtube.com/watch?v=YpfFeNuT9Dc
 
โดยในบริเวณดังกล่าวในเวลาไม่ห่างกันมากนักมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก เช่น นายเสน่ห์ นิลเหลือง ขับรถแท็กซี่ วัย 48 นายอินแปลง  เทศวงศ์ ขับรถแท็กซี่เช่นกัน วัย 32  และ นายบุญมี  เริ่มสุข วัย 71 ที่ถูกยิงแล้วได้รับบาดเจ็บเสียชีวิตในเวลาต่อมาคือ 28 ก.ค.53 เป็นต้น
 
ภาพลุงคิมช่วงปีใหม่ โดย  Nithiwat Wannasiri, Kaekai Ing ฯลฯ ที่ได้เข้าไปเยียม (ดู https://www.facebook.com/photo.php?fbid=210930118992699 และ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=210927922326252)
 
เรื่องที่เกี่ยวข้อง :
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

46 พันธมิตรเจอเรียกแจ้งข้อหาเพิ่ม 2 มี.ค.นี้

Posted: 24 Feb 2012 02:33 AM PST

24 ก.พ. 55 - มติชนออนไลน์รายงานว่าพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่ ปรึกษา (สบ10) ด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมปิดท่าอากาศยานดอนเมือง และสุวรรณภูมิ เปิดเผยเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ก่อนการประชุมคณะพนักงานสอบสวนเพื่อเตรียมเรียกตัวแกนนำที่ตกเป็นผู้ต้องหามาแจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่าคดีนี้พนักงานสอบสวนสรุปสำนวนมีความเห็นทางคดีเสนอต่ออัยการไปแล้วเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2554 ต่อมาเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนได้รับการประสานจากสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 สั่งการให้สอบสวนเพิ่มเติมโดยแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับผู้ต้องหา 46 คนและให้ส่งผลการสอบสวนเพิ่มเติมดังกล่าวภายในวันที่ 10 มีนาคม ซึ่งพนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกผู้ต้องหาทั้ง 46 คนให้มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 2 มีนาคม นี้ เวลา 09.00 น. ที่กองปราบปราม

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 46 คนนั้นจะถูกแจ้งข้อหาแตกต่างกันตามพฤติการณ์ และมีเพียง 1 คนที่จะถูกแจ้งข้อหาก่อการร้ายเพิ่มเติม แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ ทั้งนี้หากผู้ต้องหามาตามนัดทุกคนก็จะส่งผลการสอบสวนเพิ่มเติมให้อัยการได้ภายในกำหนดแต่หากผู้ต้องหาไม่มาพบพนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกครั้งที่ 2 และหากไม่มาพบอีกก็จะขออนุมัติออกหมายจับจากศาลตามขั้นตอนต่อไป

สำหรับผู้ต้องหาจำนวน 46 ราย ที่จะถูกเรียกตัวมาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ประกอบด้วย 1.นายนรัณยู  ( ศรัณยู )  วงษ์กระจ่าง 2.นายศิริชัย ไม้งาม 3.นายสาวิทย์ แก้วหวาน 4.นายกษิต ภิรมย์  5.นายเทิดภูมิ ใจดี 6.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก 7.น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ 8.นายพิชิต ไชยมงคล 9.นายบรรจง นะแส 10.นายสมบูรณ์ สุพรรณฝ่าย 11.นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด 12.นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์13.นายพิเชฏฐ พัฒนโชติ 14.นายสุนันท์ ศรีจันทา  15.นายสมบูรณ์ ทองบุราณ 16.นายปราโมทย์ หอยมุกข์ 17.นายอธิวัฒน์ บุญชาติ 18.นายจำรูญ ณ ระนอง 19.นายเติมศักดิ์ จารุปราณ 20.นายอัมรินทร์ คอมันตร์ 21.นายเกรียงศักดิ์ หลิวจันทร์พัฒนา  22.พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ 23.นายปราโมทย์ นาครทรรพ 24.นายสุทิน วรรณบวร25.นายสุทธิ อัชฌาศัย 26.นายเทิดศักดิ์ สัจจะรักษ์ 27.นายสุนทร รักษ์รงค์ 28.นายสุรพงษ์ ชัยนาม29.นายสุริยนต์ สุวรรณวงศ์ 30.นายอนันต์ กาญจนสุวรรณ 31.พล.อ.ปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์ 32.นางกรรณิกา วิชชุลตา 33.พล.ร.ต.มินต์ กลกิจกำจร 34.นายยศ เหล่าอัน 35.นายสมัชชา วิเชียร 36.นายสุพัฒน์ นิลบุตร 37.นายศักดิ์สิทธิ์ เชื้อกลาง 38.นายระพินทร์ พุฒิชาติ 39.นายสุมิตร นวลมณี 40.นายแสงธรรมดา กิติเสถียรพร 41.นายประทีป ขจัดพล 42.นายพงศธร ผลพยุง43.น.ส.เสน่ห์ หงส์ทอง 44.นายการุณ ใสงาม 45.นายประมวล หะหมาน และ46.นายสมศักดิ์ อิสมันยี

ส่วนนายกษิต นายเทิดภูมิ น.ส.อัญชลี น.ส.สโรชา นายพิชิต และนายบรรจง  นั้นคณะพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องในข้อหาก่อการร้าย ซึ่งอัยการพิจารณาแล้วเห็นด้วยกับพนักงานสอบสวนแต่ก็ให้เรียกตัวมาแจ้งข้อกล่าวหาอื่นเพิ่มเติมอีก 1 ข้อหา คือ มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไปโดยเป็นหัวหน้า ส่วนผู้ต้องหาคนอื่นๆนั้นจะถูกเรียกมาแจ้งข้อหาเพิ่มเติมคนละ 1 ข้อหา  โดยแต่ละคนถูกแจ้งข้อหาแตกต่างกัน ไปซึ่งประกอบด้วยข้อหา ฝ่าฝืนข้อกำหนด ประกาศ หรือคำสั่ง แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และทำลาย ทำให้เสียหายร้ายแรงต่อสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานตาม พ.ร.บ.ความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รัฐบาลพม่าหยุดยิงชาติพันธุ์หวังสร้างสันติภาพ แต่กองทัพยังเดินหน้าการทหาร

Posted: 24 Feb 2012 02:17 AM PST

รัฐบาลพม่าหวังสร้างสันติภาพโดยเสนอเจรจาหยุดยิงกลุ่มติดอาวุธทั่วประเทศ หากแต่กองทัพยังเดินหน้าเคลื่อนไหวด้านการทหาร มีการซ่อมแซมฐาน สร้างถนนสู่จุดยุทธศาสต์บริเวณชายแดนไทย - พม่า (รัฐฉาน) ต่อเนื่อง

24 ก.พ. 55 - แหล่งข่าวชายแดนไทย-พม่า (รัฐฉาน) ด้านอ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ รายงานว่า ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ เป็นต้นมา ทหารพม่าที่ประจำการอยู่ในพื้นที่เมืองทาและชายแดนไทย ด้านปางใหม่สูง ปางก้ำก่อ ตรงข้ามบ้านหลักแต่ง บ้านเปียงหลวง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ได้มีการซ่อมแซมฐานที่มั่นและสร้างถนนหนทางไปยังจุดยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่อง โดยใช้รถไถ (แทรกเตอร์) ล้อสายพานปรับซ่อมแซมถนนจากเมืองทา มายังชายแดนไทย และสร้างเส้นทางรถขึ้นสู่ฐานที่มั่นยามหมาย 2 และยามหมาย 3 ที่เคยถูกกองกำลังไทใหญ่ SSA บุกยึดเมื่อปี 2545 ด้วย

โดยเมื่อวันที่ 22 ก.พ. ทหารพม่าชุดเดียวกันซึ่งอยู่ในสังกัดกองพันทหารราบ 360 ได้ใช้รถไถสร้างถนนจากโรงเรียนบ้านก้ำก่อ ขึ้นสู่ฐานที่มั่นที่ตั้งอยู่บนพระอุโบสถ วัดฟ้าเวียงอินทร์ (ฝั่งรัฐฉาน) และกำลังมีการปรับสร้างเส้นทางไปฐานอื่นๆ อยู่

แหล่งข่าวเผยว่า หลังทหารพม่ามีการซ่อมแซมและสร้างเส้นทางใหม่ไปยังฐานที่มั่น ทหารไทยที่ประจำการตามแนวชายแดนด้านนี้ก็มีการซ่อมแซมฐานประจำการเช่นเดียวกัน ส่งผลให้พระภิกษุสามเณรวัดฟ้าเวียงอินทร์ ที่มีอยู่กว่า 50 รูป ไม่มั่นในสถานการณ์และได้มีการซักซ้อมแผนอพยพหนีภัยเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น

พระปรีชา ปัญญาสาโร เจ้าอาวาสวัดฟ้าเวียงอินทร์ กล่าวว่า การซักซ้อมแผนลักษณะเช่นนี้ไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่เมื่ออยู่ชายแดนก็จำเป็นต้องฝึกความพร้อมไว้ป้องกันตัว ในอนาคตจะมีอะไรเกิดขึ้นไม่อาจคาดเดาได้ ฝึกความพร้อมไว้หากเกิดการสู้รบตามแนวชายแดนเช่นเมื่อปี 2545 พระเณรจะได้รู้จักวิธีเอาตัวรอด

สำหรับวัดฟ้าเวียงอินทร์ เป็นวัดสองแผ่นดินตั้งอยู่บนสันเขาชายแดนไทย-พม่า (รัฐฉาน) สร้างโดยนายพลกอนเจิง อดีตผู้นำไทใหญ่ โดยพระอุโบสถและเรือนนอนพระเณร ตั้งอยู่ในฝั่งพม่า (รัฐฉาน) ส่วนในฝั่งไทยมีพระวิหารหลวง อาคารเรียน และเจดีย์ เมื่อปี 2545 บริเวณนี้ได้เกิดการสู้รบอย่างรุนแรงระหว่างทหารพม่ากับกองกำลังไทใหญ่ SSA เป็นเหตุให้ชาวบ้านจากหลายหมู่บ้านในฝั่งรัฐฉานถูกขับไล่อพยพเข้ามาตั้งศูนย์ลี้ภัยอยู่ในฝั่งไทยเกือบ 1,000 คน ขณะที่ทหารพม่าได้ยึดเอาพระอุโบสถเป็นฐานที่ตั้งทางหารมาจนถึงปัจจุบัน

 

ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/

"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ชมรมแพทย์ชนบทจี้ รมว. สาธารณสุข เร่งผ่านงบประมาณการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์

Posted: 24 Feb 2012 02:08 AM PST

24 ก.พ. 55 - ชมรมแพทย์ชนบทเผยแพร่จดหมายเปิดผนึกข้อเสนอให้ รมว. สาธารณสุขแก้ปมปัญหาที่ผูกไว้ เรื่องการผ่านงบประมาณ DPL (ไทยเข้มแข็ง) ในการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อให้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 

......

จดหมายเปิดผนึกชมรมแพทย์ชนบท

ข้อเสนอให้ รมว. สาธารณสุขแก้ปมปัญหาที่ผูกไว้

เรื่องการผ่านงบประมาณ DPL (ไทยเข้มแข็ง) ในการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์

เพื่อให้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง

ตามที่มีกระแสข่าวว่า “บิ๊กกระทรวงสาธารณสุข” เรียกประชุมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เมื่อวันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 และมีการนัดกินข้าวเย็นต่อเนื่องบนเรือลำน้ำเจ้าพระยา โดยสาระสำคัญคือ ให้พยายามปรับลดวงเงิน DPL (Development Policy Loan) หรือไทยเข้มแข็งเดิม ลงอีก 5-10 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่ได้มีการประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างเสร็จสิ้นกระบวนการ และ รายงานผลมายังกระทรวงสาธารณสุขแล้ว ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2554 รอเพียงให้สำนักงบประมาณโอนเงินงบประมาณมาให้เท่านั้น พื้นที่ก็จะทำสัญญาจ้างได้ทันที หามิเช่นนั้นจะไม่ได้รับจัดสรรงบ และ การสั่งการดังกล่าวเป็นการสั่งการด้วยวาจา ไม่กล้าสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นทางการลงมา สมาชิกชมรมฯ หลายจังหวัดแจ้งยืนยันมาแล้วว่าจังหวัดแจ้งลงมาจริง ซึ่งเป็นที่ชวนสงสัยและผิดสังเกตเป็นอย่างยิ่ง 

งบประมาณ DPL นี้เกิดจากการตรวจสอบงบไทยเข้มแข็ง 2553-2555 ของชมรมแพทย์ชนบทในปี 2553 จึงทำให้มีการปรับปรุงราคาครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างลงอย่างขนานใหญ่ให้ถูกต้องเหมาะสม ส่งผลให้เกิดการประหยัดงบประมาณของชาติได้กว่า 10,000 ล้านบาท 

ในปี 2554 ทาง สธ. จึงขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณขอใช้งบประมาณก้อนนี้เพื่อจัดสรรครุภัณฑ์ที่ยังขาดแคลนและจำเป็นแก่สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่งทั่วประเทศกว่า 1,000 แห่ง แทนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ให้กับโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกระดับกว่า 900 แห่ง เพื่อจัดซื้อครุภัณฑ์ จำนวน 3,456 ล้านบาท เช่น เครื่องกำเนิดไฟฟ้า, เครื่องกระตุกหัวใจ, เครื่องอัลตร้าซาวด์, เครื่องติดตามสัญญาณชีพ, เครื่องเอ็กซเรย์ ฯลฯ และ มีการดำเนินการตามระเบียบพัสดุก็เสร็จสิ้นลงแล้ว ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2554 จนกระทรวงสาธารณสุขก็ได้มีหนังสือสั่งการลงมาให้เตรียมรับโอนเงินแล้ว และให้รีบแจ้งบริษัทให้มาทำสัญญา จะเห็นได้ว่ากระบวนการเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว แต่จนบัดนี้งบก็ยังไม่ผ่าน ครม. และเกิดกระแสเสียงร่ำลือว่ามีการพยายามต่อรองเรียกรับผลประโยชน์จากบริษัทฯ หากเป็นเช่นนั้นจริง ทางชมรมฯ ขอให้ทางสธ. รีบเร่งชี้แจงและแก้ไขให้ถูกต้อง เพราะความล่าช้าและการทุจริตจะส่งผลร้ายต่อการให้บริการประชาชน โดยเฉพาะสถานบริการขนาดเล็กห่างไกลแต่อยู่ใกล้ชิดประชาชน ที่รอคอยเครื่องมือแพทย์ที่จะมาให้บริการกับประชาชนที่ล้มป่วยเจ็บตายไปทุก ๆ วัน 

ชมรมแพทย์ชนบทรู้สึกเสียใจและรู้สึกสังเวช ที่ขณะนี้นอกจากการขับเคลื่อนงานที่ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมของ สธ. แล้ว ยังมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นอีกซ้ำซากไม่เข็ดหลาบ จากทุจริตยา 1,400 ล้าน ทุจริตรถพยาบาล คอมพิวเตอร์ 900 ล้าน ตลอดจนถึงไทยเข้มแข็ง แต่ในขณะเดียวกันในโรงเรียนแพทย์ซึ่งมีไม่ถึง 10 แห่ง กลับของบก้อนเดียวกันได้กว่า 6,000 ล้าน และครม. อนุมัติไปแล้วตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม ทั้งๆที่หลายรายการตั้งราคาไว้สูงกว่ากระทรวงสาธารณสุขอย่างมาก ขณะที่ รมว.สธ. กลับยังไม่ยืนยันของบประมาณให้หน่วยบริการของกระทรวงสาธารณสุขกว่า 1,000 แห่ง

นอกจากงบ DPL แล้วขณะนี้ชมรมแพทย์ชนบทยังได้รับทราบมาว่า มีการส่งสัญญาณให้มีการกำหนดเกณฑ์ในการของบประมาณครุภัณฑ์ปี 2556 ให้ขอชิ้นละไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ และเพื่อจะได้มาดำเนินการจัดซื้อที่ส่วนกลาง โดยไม่มีแผนในการพัฒนาหน่วยบริการขนาดเล็กที่อยู่ในชนบทแต่อย่างใด รวมทั้งมีการเตรียมจัดตั้ง “สำนักก่อสร้าง” เพื่อจะได้รวบเอาการก่อสร้างอาคารของ สธ. ทั้งประเทศมารวมไว้ที่ส่วนกลาง ส่อเจตนาที่น่าเคลือบแคลงสงสัยเป็นอย่างยิ่ง 

ชมรมแพทย์ชนบทจึงเตรียมที่จะตรวจสอบการทุจริตที่อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่เคยตรวจสอบการทุจริตยาและเวชภัณฑ์ 2540 การทุจริตรถพยาบาลและตรวจสอบงบไทยเข้มแข็ง 2553-2555 มาแล้ว และขอเตือนบรรดา “บิ๊กสธ.” ให้พึงละเว้นการทุจริต ขอให้คำนึงถึงชื่อเสียงเกียรติภูมิของ สธ. อย่าทำให้สาธารณสุขมัวหมองและอย่าทำให้มวลชนคนรากหญ้าทั่วประเทศต้องผิดหวัง 

ตามที่สังคมได้แสดงความห่วงใยต่อการเข้ายึดครองกลไกการกำหนดนโยบาย และมีความพยายามจะเปลี่ยน หลักการเพื่อแสวงหาประโยชน์จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ของกลุ่มที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนตามแผนล้มระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 4 ขั้นตอน และ รมว. สาธารณสุขได้ปฏิเสธ ละยืนยันต่อสังคมตลอดมาว่าจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นภายในระบบรวมทั้งมีนโยบายจะพัฒนาระบบให้ดียิ่งขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงตลอดเวลา 6 เดือน ระบบ สปสช. หยุดชะงักไม่มีผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนแต่กลับมีสิ่งที่เพิ่มความเคลือบแคลง ให้กับสังคมมากยิ่งขึ้น อาทิเช่น ความพยายามจะผลักดันให้มีการเรียกเก็บเงิน 30 บาท กับผู้ป่วยที่ถูกยกเลิกไปแล้ว หรือการเสนอให้แก้ไขมาตรา 41 เพื่อกันเงินเหมาจ่ายของหน่วยบริการเพิ่มขึ้นกว่า 2,000  ล้านบาท เพื่อช่วย โรงพยาบาลเอกชนในระบบประกันสังคมรวมทั้งล่าสุดมีการเสนอให้นักธุรกิจที่เคยถูกเปิดเผยบนเวทีสาธารณสุขว่าเป็นคนของพรรคการเมืองส่งเข้าดูแล สนามบินสุวรรณภูมิที่มีผลประโยชน์ มหาศาล เข้าสรรหาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลังในบอร์ด สปสช. แต่ได้รับการคัดค้าน อย่างกว้างขวางจนต้องเลื่อนการสรรหาออกไป แต่ก็มีความพยายามที่จะเสนอคนใหม่คือ นายวินัย วิทวัสการเวชที่เป็นอดีตอธิบดีกรมสรรพากร ปัจจุบันเป็นกรรมการบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งและมีประวัติความก้าวหน้าในราชการอย่างรวดเร็ว ในสมัยที่พรรค พลังประชาชนเป็นรัฐบาล เพื่อมาช่วยเหลือกรณีการจัดการปัญหาภาษีของตระกูลนักการเมือง ใหญ่ในขณะนั้น มาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลังในบอร์ด สปสช. ดังกล่าว ทำให้มีกระแสต่อต้านอีกครั้งถึงความไม่เหมาะสมที่มองเห็นว่าเลือกคนที่สั่งได้เพื่อมาล้วงลูกเงิน กองทุนใน สปสช.

เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจที่จะแก้ปมปัญหาที่ผูกไว้และให้ระบบหลักประกันสุขภาพของประชาชนสามารถพัฒนาต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ชมรมแพทย์ชนบทขอเรียกร้องความจริงใจ และความรับผิดชอบ ของ รมว. สาธารณสุข ดังนี้

1.งบประมาณการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์ (ไทยเข้มแข็ง) จำนวน 3,456 ล้านบาทของกระทรวงสาธารณสุขที่ดำเนินการตามกระบวนการที่ถูกต้องจนจบสิ้นกระบวนการแล้ว โรงพยาบาลต่างรองบก้อนนี้ เนื่องจากไม่ได้ตั้งงบในปี 2555 ไว้  การถ่วงเวลาทำให้ประชาคม สาธารณสุขและพี่น้องประชาชนเห็นว่าเป็นการส่อเจตนา ที่จะกระทำการทุจริต แสวงหาผลประโยชน์ บนความทุกข์ยากของผู้ป่วย. ซึ่งรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข ต้องชี้แจง 

2.การสรรหาและคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลังคนใหม่แทนผู้ที่ลาออกในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ จะต้องดำเนินการให้ได้ผู้ที่มีความรู้ด้านการเงินการคลัง มีความเข้าใจระบบหลักประกันสุขภาพและระบบบริการสาธารณสุขของประเทศอย่างแท้จริงเป็นผู้ที่มี ผลงานประจักษ์และมีต้นทุนทางสังคมสูงเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย รวมทั้งมีความอิสระ ปลอดจากการแทรกแซงจากกลุ่มผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อน

3.เปลี่ยนตัวกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติผู้ที่คณะกรรมการชุดเดิม มีมติว่าเป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียตามมาตรา 16 (6) ของ พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พศ. 2545 รวมทั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอื่นที่คุณสมบัติไม่เหมาะสมอิงแอบกับอำนาจ ทางการเมือง ไร้จุดยืนเพื่อประโยชน์ของประชาชน

4.การสรรหาและคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. กระบวนการดำเนินการและบุคคล ที่ได้มาจะต้องตอบสังคมได้อย่างชัดเจนว่าเป็นผู้มีความรู้ มีความสามารถ มีผลงานเป็น ที่ประจักษ์ชัดว่าสามารถบริหารและพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้อย่างต่อเนื่อง มีความอิสระจากการแทรกแซงของกลุ่มที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลง ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สามารถตอบสังคมได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าเดิมอย่างไร

ชมรมแพทย์ชนบทไม่มีความเชื่อมั่นว่า รมว. สาธารณสุขจากพรรคเพื่อไทย จะแสดงออกถึงความจริงใจในการแก้ไขปมปัญหาที่ผูกไว้จึงได้ทำจดหมายเปิดผนึกจัดทำ ข้อเสนอข้างต้นดังกล่าวเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ที่ส่งผลให้ตลอดเวลา 6 เดือนที่ผ่าน มาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติภายใต้คณะกรรมการชุดใหม่ต้องหยุดชะงัก ไม่มีผลงานปรากฏที่เป็นประโยชน์กับประชาชนโดยรวม และสามารถทำให้สังคมเชื่อมั่นว่า รมว. สาธารณสุข จากพรรคเพื่อไทยยังมีความจริงใจในการพัฒนาและไม่สนับสนุน กลุ่มที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการล้มระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่พรรคไทยรักไทยมีส่วนริเริ่มไว้ในอดีตที่ผ่านมา โดยชมรมแพทย์ชนบท จะร่วมกับเครือข่ายผู้ป่วย กลุ่มรัก หลักประกันสุขภาพ นักวิชาอาวุโส ในการจับตาดูการแสดงออกซึ่งความจริงใจในการสรรหา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลังของบอร์ด สปสช. ที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ นี้                                                             

ชมรมแพทย์ชนบท                                                                                    
24  กุมภาพันธ์  2555

 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

มท.1 ระบุไม่มีกลุ่มล้มสถาบันเคลื่อนไหวในต่างจังหวัด

Posted: 24 Feb 2012 01:38 AM PST

'ยงยุทธ วิชัยดิษฐ' รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ยัน "หัวเด็ดตีนขาด" ไม่มีกลุ่มล้มสถาบันเคลื่อนไหวในต่างจังหวัดย้ำแก้ รธน. ไม่แตะ ม.112

24 ก.พ. 55 - เว็บไซต์แนวหน้ารายงานว่าที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 11.00 น. นายยงยุทธ  วิชัยดิษฐ  รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวว่ามีการกลุ่มล้มล้างสถาบันเคลื่อนไหวในพื้นที่ต่าง จังหวัดหลายแห่ง เช่น ที่ จ.อุดรธานี ว่า  ยืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่าไม่มีเลย  กระทรวงมหาดไทยมีเครือข่ายทุกหย่อมหญ้าระดับตำบล และตนก็เพิ่งเดินทางกลับจากไปประชุมครม.สัญจรที่จ.อุดรธานี  และขณะนี้ก็ยังไม่มีใครมายื่นเรื่องขอให้ตรวจสอบ  คน 63 ล้านคนถ้าจะมีคนบ้าๆ บอๆ  ไม่สบาย ไม่สมประกอบสักคนหนึ่งออกมาพูด แล้วก็ขยายกันต่อ ยืนยันว่าไม่มี  ขอให้เลิกคิดเลิกถามได้เลยเพราะเรื่องความไม่จงรักภักดี ไม่มีอยู่ในศีรษะของคนปกติหรอก แต่คนไม่ปกติเราก็ไม่ทราบ   เพราะมันเป็นตัวตน อยู่ในสายเลือดของคนไทย  ตนในฐานะ รมว.มหาดไทย เคยเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย เคยเป็น ผวจ.มาก่อน บอกได้เลยว่าเรื่องนี้ไม่มี  เครือข่ายของกระทรวงมหาดไทยมีทุกหย่อมหญ้าตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน  เรามีข้อมูลทุกตารางนิ้วของประเทศไทย ไม่เคยได้ยินข่าวพวกนี้  ก็อย่าได้พยายามสร้างกระแสความขัดแย้ง สร้างความคิดนี้ขึ้นมาเพราะมันไม่มี ตนตอบได้ชัดเจนและไม่ลังเล ยืนยันแทนพี่น้องประชาชนได้ทั่วประเทศ   ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ตรวจเช็คอยู่แล้ว ถามไปก็ไม่มี ตนออกไปต่างจังหวัดเยอะก็ไม่เคยมีใครมาให้ข้อมูลเรื่องนี้เลย มีแต่ความจงรักภักดี ซึ่งก็ทราบข่าวดีมาว่าพระองค์ทรงมีพลานามัยแข็งแรงขึ้นเป็นข่าวดีของพสกนิกร

เมื่อถามว่า ตั้งแต่ช่วงที่บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายในปี 2552-2553 ที่ผ่านมามีการสอดโคลนกันไปมาว่าบา'กลุ่มจะล้มล้างสถาบัน นายยงยุทธ กล่าวว่า  แล้วมีหรือไม่  ดูจากการที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี มางานรักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ มารับหรือไม่  ถ้านายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีก็ต้องมายืนรับเหมือนกัน นี่ระดับประธานองคมนตรีทุกคนก็เคารพ สำหรับสถาบันที่สูงส่งกว่านั้นยิ่งไม่มีปัญหา  ทั้งนายขวัญชัย ไพรพนา นพ.เหวง โตจิราการ นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช.ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันหมดแล้วว่า เรื่องพวกนี้ไม่มี

เมื่อถามว่า  มองว่าบางกลุ่มชูประเด็นนี้ขึ้นมาไปโยงกับการต่อต้านการที่รัฐบาลเดินหน้า แก้รัฐธรรมนูญ โดยพรรคประชาธิปัตย์โจมตีว่าจะไปแก้ไขโยงหมวดพระมหากษัตริย์หรือไม่  รองนายกฯ กล่าวว่า  "ก็ลองไปแตะดูเถอะ เขาจะพูดก็พูดไป แต่เราก็ยืนยันว่าเราไม่แตะ ใครก็ตามที่ลองไปแตะดู จะไม่มีแผ่นดินจะอยู่ และผมคิดว่าคนที่มาแตะไม่มีด้วย ยืนยันว่าไม่มี แต่ก็พยายามที่จะพูดใส่ร้ายป้ายสีกันมา มีมาตั้งแต่อดีต ในยุคปัจจุบันนี้คนเข้าใจเท่าเทียมกันหมด การสื่อสารเร็วจี๋ ประเด็นพวกนี้สื่อเองไม่ต้องมาถามพรรคเพื่อไทย และไม่ต้องไปถามใครที่เป็นคนไทยว่ามีความคิดเรื่องนี้อย่างไร เสียเวลา คุยเรื่องอื่นดีกว่า  เพราะไม่มีอยู่ในความคิด"  นายยงยุทธ กล่าวว่า

รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นว่าประเด็นเรื่องนี้จะไม่มีผลเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คอยดูแล้วกัน ถ้าดูจากผลคะแนนเสียงในสภาฯจากการโหวตลงมติเลือนหรือไม่เลื่อนการพิจารณา ญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ผลออกมา 341 เสียง ต่อ  180 ให้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้าเราต้องการระบอบการปกครองอย่างนี้ก็ต้องเคารพประชาชน  โดยผ่านทางเสียงของผู้แทนประชาชนในรัฐสภา เมื่อตอนที่มีการรัฐประหาร ทำไมบางฝ่ายเงียบกริบ แต่พอพรรคเพื่อไทยหาเสียงและแจ้งว่าเราจะแก้รัฐธรรมนูญ เราก็ทำตามพันธะสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ทำตามนโยบาย มันจะเอาตรงไหนมาเกี่ยวว่าจะมาช่วยคนๆ เดียว  จะไปลดพระราชอำนาจหรือไปแตะต้องหมวดพระมหากษัตริย์หรือจะไปเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญา ม. 112

ผู้สื่อข่าวถามว่า มองบทบาทนายคณิต ณ นคร  ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายอย่างไรที่ออกมาคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยขอให้รอร่างรัฐธรรมนูญภาคประชาชนก่อน นายยงยุทธ กล่าวว่า  ไม่อยากวิจารณ์ท่านอื่น    คิดว่าการทำอะไรของใครก็ตามเมื่ออ้าปากพูดขึ้นมาเราก็จะทราบว่าท่านนั้นพูด มีวาระซ่อนเร้นหรือพูดเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติประชาชน พออ้าปากพูดสื่อก็แทบจะจับได้ว่าพูดเพื่อให้เกิดปัญหา  ความแตกแยกหรือพูดเพื่อให้เกิดความปรองดอง สังคมเกิดความสงบสุขก็จะจับคำพูดได้ทันที  เมื่อถามว่า มองว่าแม้จะมีกระแสต่อต้านขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ล่าช้า แต่ด้วยเสียงในสภาฯรัฐบาลจะผลักดันให้แก้รัฐธรรมนูญไปได้ตลอดรอดฝั่ง นายยงยุทธ กล่าวว่า  จะเป็นไปได้หรือไม่อยู่ที่สิ่งที่เราทำเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติประชาชนและ ต้องไว้วางใจตัวแทนของราษฎรที่เขาได้เลือกตั้งมา ถ้าเราไว้ใจระบอบประชาธิปไตยก็ต้องไว้ใจประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ด้วย ถ้าเราฟังเสียงประชาชนเหมือนประเทศที่เขาเจริญแล้วทุกอย่างก็จะจบ  แต่ที่ทุกอย่างไม่จบเพราะไม่ฟังเสียงประชาชน แต่ไปฟังเสียงผู้มีอำนาจบางคนบางกลุ่ม และจะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ ปัญหาถึงได้ขึ้นจนทุกวันนี้ แต่ถ้าเรามีจิตใจเชื่อมั่นและเคารพการตัดสินใจของประชาชน เคารพผลของการเลือกตั้ง และเคารพมติของผู้แทนประชาชนเรื่องทุกเรื่องก็จะจบ เหมือนในประเทศใหญ่ ๆ ประเทศอื่น ความเห็นที่แตกต่างกันก็มีเยอะแต่จะมาจบลงที่เสียงของประชาชน และเสียงตัวแทนประชาชน

เมื่อถามว่า เสียงของรัฐบางในสภาฯคงไม่มีปัญหา แต่ก็มีเสียงกลุ่มต่อต้านที่เคลื่อนไหวต่อต้านทุกสัปดาห์ นายยงยุทธ กล่าวว่า  เสียงในสภาฯมาจากไหน  แต่งตั้งโดยคนหนึ่งคนใดหรือไม่  หรือแต่งตั้งโดยคนทีเปลี่ยนแปลงโดยใช้กำลังหรือเปล่า หรือเสียงในสภาฯเป็นเสียงที่ประชาชนเขชาเลือกตั้งมาโดยยุติธรรมและเสรี สื่อทุกคนเป็นพยานได้ว่าการเลือกตั้งครั้งหลังสุดที่พรรคเพื่อไทยชนะเลือก ตั้งมาอย่างถล่มทลายไม่มีการใช้เงิน ซื้อเสียง เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วก็ต้องเคารพเสียงของประชาชนในสภาฯ

 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

บ้านสมเด็จโพลล์เผยคนกรุงฯ 53.4% คิดว่าไม่มีความจำเป็นแก้ ม.112

Posted: 24 Feb 2012 01:22 AM PST

บ้านสมเด็จโพลล์สำรวจพบคน กทม. เห็นว่าไม่มีความจำเป็นในการแก้ไข ม.112 ถึง 53.4% เห็นว่ามีความจำเป็น 16.1% คิดว่าหากมีการแก้นักการเมืองจะได้ประโยชน์ 49% รองลงมาคือประชาชน 21.8 %

24 ก.พ. 55 - อาจารย์สิงห์ สิงห์ขจร อาจารย์ประจำสาขาการประชาสัมพันธ์และการสื่อสารองค์การ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กล่าวว่า ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นกับเกี่ยวกับการแก้ไขประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 ของประชาชนในกรุงเทพมหานคร โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครจำนวนทั้งสิ้น 1,352 คน เก็บข้อมูลในวันที่ 22 - 23 กุมภาพันธ์ 2555 

อาจารย์สิงห์ สิงห์ขจร ประธานโครงการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวต่อว่า ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ ต้องการสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนในประเด็นปัญหาต่างๆ และแนวทางในการแก้ไขปัญหา เพราะทางศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ไม่เพียงต้องการสะท้อนความคิดเห็นของประชาชน แต่ต้องการให้ปัญหาได้ถูกนำไปแก้ไขเพื่อเสริมสร้างสังคมไทยให้เข้มแข็ง

ประเด็นที่น่าสนใจจากการสำรวจโครงการสำรวจความคิดเห็นกับเกี่ยวกับการแก้ไขประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 ของประชาชนในกรุงเทพมหานคร 

1. กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่าไม่มีความจำเป็นในการแก้ไขประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 ร้อยละ 53.4  ไม่แน่ใจร้อยละ 30.5  และ เห็นว่ามีความจำเป็น ร้อยละ 16.1  

2. ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112  ร้อยละ 46.0 ไม่แน่ใจร้อยละ 33.8  และ เห็นด้วย ร้อยละ 20.2  

3. กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่าประชาชนจะไม่ได้รับประโยชน์ในการแก้ไขประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 ร้อยละ 43.8  ไม่แน่ใจร้อยละ 30.6 และ คิดว่าประชาชนได้รับประโยชน์ในการแก้ไขประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112  ร้อยละ 25.6  

4. ประชาชนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าการแก้ไขประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 จะทำให้เกิดการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ร้อยละ  47.2 ไม่แน่ใจร้อยละ 31.4 และคิดว่าการแก้ไขประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 จะทำให้เกิดการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ร้อยละ 21.4     

5. กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่านักการเมืองจะได้รับประโยชน์จากการแก้ไขประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 ร้อยละ 49.0 รองลงมาคือประชาชน ร้อยละ 21.8 และไม่แน่ใจว่าผู้ใดจะได้รับประโยชน์ ร้อยละ 29.2

โดยผลการสำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ โครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 ของประชาชนในกรุงเทพมหานคร โดยละเอียดมีดังต่อไปนี้ 

 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อัพเดตสถานการณ์ชุมพร ‘โรงไฟฟ้าบี้–อุตสาหกรรมหนักจี้–เขื่อนจ้อง’

Posted: 23 Feb 2012 08:42 PM PST

ท่ามกลางแรงผลักดันให้ปักษ์ใต้กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรม ภายใต้ “แผนพัฒนาภาคใต้” วันนี้จังหวัดชุมพรจึงตกอยู่ในสถานการณ์  ‘โรงไฟฟ้าบี้–อุตสาหกรรมหนักจี้–เขื่อนจ้อง’

 
ตลอดวันที่ 25–27 มกราคม 2555 บรรดารถยนต์ รถตู้ปรับอากาศ รถกระบะ ต่างนำผู้คนพุ่งไต่ถนนขึ้นลงเนินเขาสูง สองข้างทางคละคลุ้งไปด้วยฝุ่นดิน จับต้นกาแฟ ต้นหมาก ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ฯลฯ ที่รายเรียงเป็นสีทึมเทา เพื่อร่วมเวทีสมัชชาเครือข่ายจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และพลังงานอย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1 ที่บ้านคลองเรือ ตำบลปากทรง อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร
 
นายวน วงษ์ศรีนาค ชาวบ้านคลองเรือ ตำบลปากทรง อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร เล่าว่า ก่อนหน้านี้ชาวบ้านใช้ไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งสามารถใช้ไฟฟ้า ดูโทรทัศน์ เสียบตู้เย็น ต่อมามีโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำชุมชน ชาวบ้านจึงช่วยกันคนละไม้ละมือเพื่อก่อสร้างเพื่อความมั่นคงในการใช้กระแสไฟฟ้าขนาด 100 กิโลวัตต์
 
โรงไฟฟ้าพลังน้ำชุมชนบ้านคลองเรือ
 
สำหรับโรงไฟฟ้าพลังน้ำชุมชน เป็นโครงการที่คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) และมหาวิทยาลัยชีวิตเมืองนครศรีธรรมราช ดำเนินการตามความต้องการของชาวบ้านคลองเรือ ในโครงการการจัดการความรู้ด้านพลังงานไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้ (ระยะที่ 2) ภายใต้กรอบ “การศึกษาเพื่อการพัฒนาเชื้อเพลิงทางเลือก และโรงไฟฟ้าชุมชน” มีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้สนับสนุน
 
ทว่า หากมองตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2553–2573 (PDP 2010) ของกระทรวงพลังงาน ในจังหวัดชุมพร มีโครงการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยอย่างน้อย 2 โครงการ ที่เคยเป็นข่าวครึกโครม เนื่องเพราะเจ้าหน้าที่มวลชนสัมพันธ์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ถูกชาวบ้านอำเภอปะทิวไล่ออกจากจังหวัดชุมพร เมื่อปลายปี 2551 และถูกไล่อีกครั้งที่อำเภอละแม จังหวัดชุมพร เมื่อปลายปี 2553
 
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีเป้าหมายจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่บ้านบางจาก บริเวณอ่าวยายไอ๋ หมูที่ 5–6 ตำบลชุมโค อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนขนาดกำลังการผลิต 700–1,000 เมกะวัตต์ 4 เครื่อง รวมกำลังการผลิต 4,000 เมกะวัตต์
 
รวมตัวป้องกันพื้นที่ การตื่นตัวเฝ้าระวังของชุมชนพื้นที่เป้าหมายสร้างโรงไฟฟ้า
 
นายสุพนัด ดวงกมล ประธานเครือข่ายปะทิวรักษ์ถิ่น เล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่ชาวบ้านไล่เจ้าหน้าที่ฝ่ายมวลชนสัมพันธ์ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยออกจากพื้นที่ เมื่อปี 2551 ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยคนใดเข้ามาพื้นที่อีกเลย แต่ชาวปะทิวยังคงเฝ้าระวังและสังเกตคนแปลกหน้าที่เข้ามาในพื้นที่
 
นายสุพนัด ดวงกมล ประธานเครือข่ายปะทิวรักษ์ถิ่น
 
ขณะนี้นายสุพนัด ดวงกมล กับชาวบ้านกำลังผลักดันให้ตำบลชุมโคจัดทำผังตำบล โดยอาศัยช่องทางสภาองค์กรชุมชนตำบลชุมโค ขับเคลื่อนประสานงานกับเทศบาลตำบลชุมโค โดยเชิญนางสาวภารณี สวัสดิรักษ์ ประธานเครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคมมาให้ความรู้ด้านผังเมือง
 
“นอกจากนี้เรายังมีกิจกรรมด้านงานอนุรักษ์ เช่น โครงการอนุรักษ์หอยมือเสือ เก็บข้อมูลที่ชาวบ้านเคยเห็นพะยูนมากินหญ้าทะเลบริเวณชายฝั่งอำเภอปะทิว รวมถึงการบุกเบิกสถานที่รกร้างบริเวณชายทะเลแหลมแท่นให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ” นายสุพนัด บอกถึงแนวทางที่กำลังดำเนินการ
 
ส่วนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมีแผนจะตั้งที่ตำบลชุมโค และบ้านปากน้ำละแม ตำบลปากน้ำ อำเภอละแม กำลังการผลิตแห่งละ 1,000 เมกะวัตต์ ที่ผ่านมาโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้ง 2 แห่ง ถูกต่อต้านอย่างหนัก จนต้องเลื่อนการดำเนินโครงการออกไปอีก 3 ปี
 
 
ถึงกระนั้น ข้อมูลจากนายวิเวก อมตเวทย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายรักษ์ละแม ยังคงระบุว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายมวลชนสัมพันธ์ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ที่อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร
 
นายวิเวก อมตเวทย์ ตั้งข้อสังเกตว่า อำเภอละแมน่าจะเป็นพื้นที่หลอก เพราะพื้นที่ที่ระบุว่าจะตั้งโรงไฟฟ้า อยู่ที่อำเภอละแม ใกล้กับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ วิทยาเขตชุมพร
 
นายวิเวก อมตเวทย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายรักษ์ละแม
 
“ถ้าพูดกันจริงๆ แล้ว ปากน้ำละแมค่อนข้างกว้าง อาจรวมไปถึงริมฝั่งทะเลอำเภอหลังสวนติดกับอำเภอละแม ไปจนถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานีก็ได้ เพราะปลายปี 2553 ยังมีการสำรวจขุดเจาะดิน ที่ตำบลคันธุลี อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้เคียงกับปากน้ำละแมด้วย” เป็นข้อสังเกตของนายวิเวก อมตเวทย์
 
ดูเหมือนการเคลื่อนไหวก่อสร้างโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จะสอดรับกับการเคลื่อนไหวของกรมชลประทาน เนื่องเพราะที่อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร กรมชลประทานก็พยายามผลักดันโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำท่าแซะ หรืออีกนัยหนึ่งคือเขื่อนท่าแซะ ที่ถูกชาวบ้านต่อต้านมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมๆ กับการต่อต้านอ่างเก็บน้ำรับร่อ ในอำเภอเดียวกัน จนคณะรัฐมนตรีมีมติให้ยกเลิกอ่างเก็บน้ำรับร่อ และให้ชะลออ่างเก็บน้ำท่าแซะ
 
รถจักรยานยนต์วิบากแล่นไปตามถนนที่คดเคี้ยว ก่อนขึ้นหุบเนินควนอันขรุขระเป็นระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร มายังโรงจักรรีดยางที่บ้านหลังหนึ่ง
 
“มาจากไหน มาทำอะไร ใครส่งมา” พี่ปุ้ม หรือ นางวัชรี จันทร์ช่วง ผู้ประสานงานกลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำท่าแซะ จังหวัดชุมพร
 
พี่ปุ้ม ยิงคำถามหนักๆ และตรงๆ ทันทีที่ผู้มาเยือนย่างกรายเข้ามาในอาณาเขตบ้านตัดผม ตำบลสองพี่น้อง จังหวัดชุมพร และใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงเพื่อซักถามจนแน่ใจว่าไม่ใช่ฝ่ายตรงข้ามที่มาล้วงข้อมูล ด้วยเพราะที่ผ่านมามีคนของหน่วยงานของราชการ เข้ามาสืบเสาะข้อมูลจากชาวบ้าน ขณะที่กรมชลประทานก็จัดเวทีในตัวจังหวัดชุมพรชี้นำให้สร้างเขื่อนท่าแซะ ชาวบ้านจึงต้องเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา
 
เมื่อการพัฒนาไฟ (ฟ้า) ไปคู่กับน้ำ แล้วโรงงานอุตสาหกรรมจะไปไหนเสีย
 
“อ่างเก็บน้ำรับร่อ และอ่างเก็บน้ำท่าแซะ ทั้ง 2 โครงการผ่านการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเมื่อปี 2536–2538 ชาวบ้านจึงหวาดผวา เพราะรัฐบาลจะฟื้นโครงการนี้ขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ขณะเดียวกันในเวทีจัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโครงการศึกษาความเหมาะสมการบรรเทาอุทกภัยและบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำคลองท่าตะเภาและภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชุมพร หลายภาคส่วนเสนอให้สร้างอ่างเก็บน้ำท่าแซะอยู่เป็นระยะ ตอนนี้มีการสร้างประตูระบายน้ำคุริงกว่า 7 ร้อยไร่ ดำเนินการไปแล้ว 80 %” ข้อมูลจากนายวิโรจน์ ชูกลาง ผู้ประสานงานกลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำท่าแซะ
 
 
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเคลื่อนไหวก่อสร้างอ่างเก็บน้ำของกรมชลประทาน สอดรับกับการเคลื่อนไหวก่อสร้างโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ด้วยเพราะทั้งเขื่อนและโรงไฟฟ้า ล้วนแล้วแต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอุตสาหกรรมหนัก อย่างอุตสาหกรรมเหล็ก โดยเฉพาะน้ำจากอ่างเก็บน้ำ ที่ต้องนำไปใช้ทั้งในโรงงานอุตสาหกรรม และโรงไฟฟ้าในปริมาณมหาศาล
 
จึงไม่แปลกที่นางสาวภารนี สวัสดิรักษ์ พบว่าร่างผังเมืองรวมจังหวัดชุมพร พ.ศ. ... มาตราส่วน 1: 250,000 ซึ่งอยู่ในขั้นตอนเตรียมประกาศพระราชกฤษฎีกาประกาศใช้ ระบุในเอกสารแนบท้ายของร่างผังเมืองรวมฉบับนี้ชนิดชัดเจนยิ่ง
 
“...พื้นที่สีเขียว (พื้นที่เกษตรกรรมในจังหวัดชุมพร) สามารถพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมปิโตรเคมี โรงไฟฟ้าได้”
 
ลำดับที่ 49 โรงงานกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม โรงงานจำพวกที่ 3 สามารถสร้างในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม พื้นที่อนุรักษ์และเกษตรกรรม
 
ลำดับที่ 59 โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการถลุงเหล็ก ผลิตเหล็ก หรือเหล็กกล้าในขั้นต้น โรงงานจำพวกที่ 3 สามารถสร้างในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม พื้นที่อนุรักษ์และเกษตรกรรม
 
ลำดับที่ 88 โรงงานผลิต ส่ง หรือจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า โรงงานจำพวกที่ 3 สามารถสร้างในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม พื้นที่อนุรักษ์และเกษตรกรรม
 
ลำดับที่ 89 โรงงานผลิตก๊าซ ซึ่งมิใช่ก๊าซธรรมชาติ ส่ง หรือจำหน่ายก๊าซ โรงงานจำพวกที่ 3 สามารถสร้างในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม พื้นที่อนุรักษ์และเกษตรกรรม
 
เหล่านี้คือสภาพที่ดำรงอยู่ ณ จังหวัดชุมพรในยามนี้
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คณะทำงาน UN ประณามซีเรียก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

Posted: 23 Feb 2012 08:15 PM PST

คณะทำงานสืบสวนเหตุการณ์ความรุนแรงในซีเรียเผยรายงานระบุ มีเจ้าหน้าที่ทหารซีเรียสั่งการกระทำรุนแรงถึงขั้นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ด้านซีเรียปัดไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อความตายของนักข่าวเพราะ 'แฝงตัว' เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2012 คณะทำงานสืบสวนของสหประชาติรายงานสรุปว่าทางรัฐบาลของซีเรียได้ "ละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรง" มีการใช้กำลังในระดับที่เรียกว่าเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

คณะทำงานสืบสวนของสหประชาชาตินำโดย เปาโล ปินเยโร จากบราซิล ไม่ได้เปิดเผยชื่อเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนรับผิดชอบต่อเหตุรุนแรงในซีเรีย แต่ก็มีการนำชื่อพวกเขาเหล่านั้นส่งให้กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ

ทางคณะทำงานฯ ได้ตีพิมพ์รายงาน 72 หน้า ในนั้นระบุว่ากองกำลังปลดปล่อยซีเรียฝ่ายกบฎเอง ซึ่งเป็นทหารที่ย้ายข้างจากฝ่ายประธานาธิบดีมาอยู่ฝ่ายต่อต้าน ก็กระทำการรุนแรงเช่นเดียวกัน เพียงแต่ไม่อาจเทียบได้กับฝ่ายรัฐในแง่ของการจัดตั้งและระดับความรุนแรง

คณะทำงานสืบสวนเปิดเผยว่ารายงานของพวกเขามาจากการสัมภาษณ์เหยื่อ, ผู้เห็นเหตุการณ์, ทหารบ้ายข้าง และประชาชนอื่นๆ ที่มีความรู้ 'เรื่องภายใน' ของซีเรีย รวมทั้งหมด 369 ราย คณะทำงานฯ ยังได้ตรวจสอบรูปถ่าย, ภาพวีดิโอ และภาพผ่านดาวเทียม เพื่อเทียบเคียงกับคำพูดของพยานด้วย พวกเขาเผยอีกว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าไปในซีเรียเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์โดยตรงได้

รายงานของสหประชาชาติระบุว่าซีเรียกำลังหมิ่นเหม่ต่อวะสงครามกลางเมือง วิกฤติที่ยังไม่ยุตินี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการทำให้ประชาชนมีความสุดโต่งมากขึ้น สร้างความตึงเครียดของคนระหว่างกลุ่ม และบ่อนเซาะโครงสร้างของสังคม

รายงานยังได้กล่าวถึงการทรมานและการสังหารประชาชนอีกด้วย

"ทางคณะทำงานรับหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ว่ามีสมาชิกระดับกลางและระดับสูงของกองทัพซีเรียได้สั่งการให้มีการยิงเข้าใส่ผู้ประท้วงที่ปราศจากอาวุธ สังหารทหารที่ปฏิเสธคำสั่ง จับตัวประชาชนโดยไม่มีสาเหตุ ปฏิบัติต่อผู้ต้องขังอย่างไม่เป็นธรรม และใช้รถถังกับปืนกลยิงเข้าใส่บ้านเรือนประชาชนอย่างไม่เลือก" คณะทำงานสืบสวนของสหประชาติกล่าว

ในรายงานระบุว่ามีหลักฐานที่สามารถโยงเข้าถึงตัวปัจเจกบุคคลรวมถึงที่เป็นเจ้าหน้าที่สั่งการและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทหารที่มีส่วนในการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรงอื่นๆ

 

ฝ่ายช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเจออุปสรรคด้านการเข้าถึง

ในขณะที่รายงานฉบับนี้ได้ส่งไปยังคณะมนตรีด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติในกรุงเจนีวา ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐขอลซีเรียก็ยังคงใช้อาวุธโจมตีเขตเมืองฮอมอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นวันที่ 20 แล้ว แม้ว่ามีเสียงเรียกร้องจากนานาชาติให้เปิดทางให้แก่ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อคนป่วยและผู้ได้รับบาดเจ็บ

รัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศยุโรปกับอาหรับหลายประเทศประชุมกันที่กรุงลอนดอนในวันที่ 23 ก.พ. เพื่อหารือเรื่องวิธีการส่งเสริมกลุ่มต่อต้านรัฐบาลซีเรีย เรื่องการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมโดยเฉพาะความต้องการทรัพยากรทางการแพทย์อย่างเร่งด่วนในเมืองฮอม ส่วนในวันที่ 24 ก.พ. นี้ก็จะมีการประชุมกลุ่มนานาชาติ "เพื่อนของซีเรีย" ที่กรุงตูนิส ประเทศตูนีเซีย

เจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่ายการต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่เดินทางมาพร้อมกับฮิลลารี่ คลินตันเปิดเผยว่า กลุ่มประเทศที่มาร่วมประชุมเหล่านี้พร้อมให้ความช่วยเหลือผ่านทางหน่วยบรรเทาทุกข์ของสหประชาชาติ แต่สิ่งที่ท้าทายคือเรื่องความสามารถในการเข้าถึงซีเรีย

 

ซีเรียปัดรับผิดชอบต่อการตายของนักข่าวที่ 'แฝงตัว' เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต

กรณีการเสียชีวิตของผู้สื่อข่าวชาวตะวันตก 2 รายในซีเรียนั้น นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศสเปิดเผยว่ามีนักข่าวอีกรายที่ได้รับบาดเจ็บชื่อ อีดิธ โบวเวียร์ ผู้สื่อข่าวอิสระของหนังสือพิมพ์ เลอ ฟิกาโร และในวีดิโอของยูทูบยังได้นำเสนอภาพของช่างภาพข่าวอีกรายหนึ่งที่ทำงานร่วมกับมารี โคลวิน คือ พอล คอนรอย ซึ่งกำลังนอนอยู่ที่สถานพยาบาลภาคสนาม สื่อฝรั่งเศสรายงานว่า โบวเวียร์ ได้เรียกร้องให้มีการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเนื่องจากเธอต้องการการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที 

ทางเจ้าหน้าที่ของอังกฤษก็ได้เรียกตัวเอกอัครราชทูตของซีเรีย ซามี คียามี เข้าพบเพื่อประท้วงการโจมตีเมืองฮอม และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ของซีเรียส่งร่างของผู้สื่อข่าวที่เสียชีวิตกลับประเทศ

ขณะที่สื่อของรัฐบาลซีเรียรายงานข่าวว่า ทางรัฐมนตรีต่างประเทศของซีเรียได้ปฏิเสธว่าซีเรียไม่มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ต่อการตายของนักข่าว ผู้ที่แฝงตัวเข้ามาในซีเรียเองโดยไม่รายงานตัวให้ทางการซีเรียรับทราบว่าพวกเขาเข้ามาทางใดและอยู่ที่ไหน

 

ที่มา

U.N. Panel Accuses Syria of Crimes Against Humanity, New York Times, 23-12-2012 http://www.nytimes.com/2012/02/24/world/middleeast/shelling-resumes-in-homs-syria-despite-ceasfire-calls.html

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น