โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ชายคนแรกบนดวงจันทร์ 'นีล อาร์มสตรอง' เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 82

Posted: 25 Aug 2012 02:09 PM PDT

นักบินอวกาศสหรัฐ "นีล อาร์มสตรอง" เจ้าของวลี "ก้าวเล็กๆ ของคนหนึ่ง คือก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่แห่งมวลมนุษยชาติ" เสียชีวิตแล้วบ่ายวันเสาร์ที่ผ่านมา จากปัญหาการผ่าตัดหัวใจ

สำนักข่าวเอ็นบีซีของสหรัฐรายงานว่า เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (25 ส.ค.)  เวลา 14.45 ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา นีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศคนแรกที่เยือนดวงจันทร์ ได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 82 ปี หลังจากที่เขาได้รับการผ่าตัดหัวใจมาเป็นเวลาหลายอาทิตย์ โดยสาเหตุการเสียชีวิตนั้น ครอบครัวของเขาได้ออกแถลงการณ์ระบุว่าเกิดจากอาการติดเชื้อขณะเข้ารับการผ่าตัดโรคหลอดเลือดหัวใจ

นีล อาร์มสตรอง เป็นชาวสหรัฐคนแรกที่สั่งการนำยานอวกาศอพอลโล 11 ขึ้นไปเยือนดวงจันทร์ในวันที่ 20 ก.ค. 1969 (พ.ศ. 2512) และวิทยุรายงานกลับมายังโลกด้วยวลีอันเป็นที่จดจำ "มันเป็นก้าวเล็กๆ ของมนุษย์คนหนึ่ง เป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่แห่งมวลมนุษยชาติ" 


ที่มาภาพ: NASA

ทางครอบครัวของอาร์มสตรอง ได้ออกแถลงการณ์ว่าด้วยการเสียชีวิตของเขา โดยกล่าวแสดงความเสียใจ และขอให้คนหนุ่มสาวทั่วโลกมองอาร์มสตรองเป็นตัวอย่างในการทำความฝันของตัวเองให้สำเร็จ

"นีล อาร์มสตรอง ได้เป็นผู้ที่สนับสนุนแวดวงการบินและการแสวงหาสิ่งใหม่ๆ มาตลอดชีวิตของเขา และไม่เคยสูญเสียความกระตือรือร้นในการตามหามัน" 

"ในขณะที่เราโศกเศร้ากับการจากไปของชายที่ดีคนนี้ เราก็อยากเฉลิมฉลองชีวิตที่น่าอัศจรรย์ของเขาและหวังว่ามันจะเป็นตัวอย่างแก่คนหนุ่มสาวทั่วโลกให้ทำงานหนักเพื่อให้ความฝันของพวกเขาเป็นจริง ยินดีที่จะแสวงหาสิ่งใหม่ๆ และไปให้ไกลกว่าข้อจำกัด และทำงานรับใช้แก่สิ่งที่ใหญ่กว่าตนเองโดยไม่เห็นแก่ตัว" แถลงการณ์ของครอบครัวอาร์มสตรองระบุ 

สำหรับประวัติของนีล อาร์มสตรอง เขาเกิดและเติบโตที่รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา และมีความสนใจในการบินตั้งแต่เด็กๆ ต่อมา มีโอกาสเป็นนักบินร่วมรบในสงครามเกาหลีช่วงทศวรรษที่ 1950 และไม่นานหลังจากนั้น ได้เข้าร่วมเป็นนักบินทดสอบให้กับคณะกรรมการที่ปรึกษาแห่งชาติเพื่อการบิน (NACA) 

เมื่อปี 1962 เขาเข้าเป็นนักบินในโครงการของนาซ่า (NASA - องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ) จากนั้นเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 1969 ได้เป็นนักบินสั่งการภารกิจนำยานอวกาศอพอลโล 11 ขึ้นสู่ดวงจันทร์ นับเป็นครั้งแรกที่มนุษย์สามารถขึ้นไปเยือนดวงจันทร์ได้สำเร็จ หลังจากนั้น อาร์มสตรองไม่ได้บินขึ้นในยานอวกาศอีกเลย แต่ได้รับตำแหน่งเป็นอาจารย์ด้านวิศวกรรมการบินที่มหาวิทยาลัยซินนินาติ 8 ปี ก่อนที่จะมาเป็นโฆษกให้กับธุรกิจบางแห่งในสหรัฐ เช่น รถยนต์ไครสเลอร์ และเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจให้แก่บริษัทด้านวิศวกรรมและน้ำมันหลายแห่ง เขาอาศัยอยู่ในเมืองซินนินาติกับครอบครัวในช่วงบั้นปลายชีวิต

 


การเยือนดวงจันทร์ครั้งแรกของมนุษย์ในปี 1969 นำโดยนีล อาร์มสตรอง กับยานอพอลโล 11

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประมวลภาพบรรยากาศงานศพอากง

Posted: 25 Aug 2012 11:45 AM PDT

13.00 น. ภรรยาและครอบครัวเคลื่อนศพอากงออกจากที่เก็บศพ(โกดัง)วัดด่านสำโรง ก่อนจะมีการเคลื่อนศพอากง ไปตั้งยังวัดลาดพร้าว ถ.ลาดพร้าว-วังหิน ในเวลาประมาณ 16.30 น.

16.57 น.ขบวนรถได้นำศพอากงมาถึงวัดลาดพร้าวเพื่อรอการฌาปนกิจ ในวันอาทิตย์ที่ 26 ส.ค. (พรุ่งนี้)

ที่วัดลาดพร้าวมีการประกอบพิธีสวดในเวลาประมาณ 19.00 น. จากนั้น เวลาประมาณ 20.00 น. มีการจัดกิจกรรมปราศรัย อ่านบทกวี และเสวนาโดยสุดา รังกุพันธุ์ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ประวิตร โรจนพฤกษ์ และปิยบุตร แสงกนกกุล โดยช่วงท้ายของกิจกรรมมีการปราศรัยของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล (รายละเอียดจะนำเสนอต่อไป)

สำหรับกำหนดการวันฌาปนกิจ (อาทิตย์ที่ 26 ส.ค. ) มีดังนี้

-เลี้ยงพระเพล
-ช่วงพิธีกรรม ทอดผ้าบังสุกุล โดยผู้แทนจากภาคการเมืองและภาคประชาชน
-อ่านบทกวี เป่าขลุ่ย
-ภรรยาอากงกล่าวไว้อาลัยครั้งสุดท้าย
-ปล่อยนกพิราบขาว 112 ตัว
- 17.00 น. ฌาปนกิจ

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เล็งขอกำลังทหารคุ้มกัน ‘เทือกเขาบรรทัด’ ผวาอุทยานปราบชาวบ้านเหมือนคอมมิวนิสต์

Posted: 25 Aug 2012 08:29 AM PDT

เครือข่ายปฏิรูปฯ เขาบรรทัดเล็งขอกำลังทหารคุ้มกัน ผวา‘อุทยานฯ’ปราบชาวบ้านเหมือนคอมมิวนิสต์ หารือม็อบทำเนียบ-ศาลากลางตรัง กดดันคณะรัฐมนตรีมีมติชะลอการฟันยาง เครือข่ายฯ รักษ์เขาบรรทัดจี้‘ดำรง พิเดช’ กรรมการแก้สมัชชาคนจนแก้ ระดมมวลชลใหญ่บีบ
 


บุญ แซ่จุ่ง (ซ้าย) อานนท์ สีเพ็ญ (ขวา)
 
นายบุญ แซ่จุ่ง ผู้ประสานงานเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2555 ที่ศูนย์ประสานงานเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ตำบลควนปริง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง คณะทำงานเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ได้ประชุมประเมินสถานการณ์ และ หารือคร่าวๆ เบื้องต้นมีความคิดหลายแนวทาง อาทิ จะมีการเคลื่อนไหวกดดันคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล หรือศาลากลางจังหวัดตรังเพื่อให้มีมติคณะรัฐมนตรีหยุด หรือชะลอการตัดฟันสวนยางพาราในภาคใต้ ในวันที่ 28 สิงหาคม 2555 
 
นายบุญ เปิดเผยอีกว่า เบื้องต้นเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด มีแนวคิดจะยื่นหนังสือถึงกองทัพบก เพื่อขอกำลังทหารคุ้มกัน ฯลฯ โดยในวันที่ 27 สิงหาคม 2555 ชาวบ้านสมาชิกเครือข่ายฯ จะมีการประชุมหารือเพื่อเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรมอีกครั้งว่าจะเอาอย่างไร โดยวางรูปแบบเคลื่อนใหญ่กันทั่วประเทศร่วมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) หรืออาจร่วมกันกดดันชุมนุมยืดเยื้อที่ทำเนียบรัฐบาลเลย
 
นายบุญ กล่าวว่า สำหรับในระดับองค์กรชุมชนในแต่ละพื้นที่ให้ชาวบ้านเฝ้าระวังแปลงยางพารา ที่เป็นเป้าหมายอย่างเคร่งครัดที่สุด ตอนนี้มีข่าวลือออกมาว่าเจ้าหน้าที่ชุดหน่วยปฏิบัติการรื้อถอน 1,500 นาย ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ออกปฏิบัติการในพื้นที่โน่นพื้นที่นี้จนชาวบ้านหวาดผวา และวิตกกังวลเป็นอย่างมาก เวลาเห็นรถยนต์ผ่านไปผ่านมาก็นึกว่าเป็นหน่วยปฏิบัติการดังกล่าว คณะทำงานเครือข่ายฯ จึงคอยแนะนำชาวบ้านสมาชิกเครือข่ายฯ หากทีเหตุการณ์เร่งด่วนที่ไหน ชาวบ้านสมาชิกเครือข่ายฯ พร้อมเข้าไปสมทบกับพื้นที่เกิดเหตุทันที เพื่อยื้อ เจรจา ต่อรอง
 
“รัฐบาลอนุมัติงบประมาณ 50 ล้านบาท ให้กรมอุทยานฯ เพื่อปราบปรามผู้บุกรุกทำลายป่าในภาคใต้ แต่ไม่ได้แยกแยะระหว่างผู้บุกรุกทำลายป่า กับพื้นที่ป่าทับซ้อนที่อยู่อาศัยและทำกินของชาวบ้าน จนเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นในพื้นที่ และอาจลุกลามกลายเป็นปัญหาความมั่นคงได้ ชาวบ้านจำเป็นต้องขอกองกำลังทหารมาคุ้มกันชาวบ้าน เพราะการสนธิกำลังแบบนี้เหมือนกับการทำสงครามกับชาวบ้าน ประหนึ่งการทำสงครามกับกองกำลังคอมมิวนิสต์ในอดีต” นายบุญ กล่าว
 
นายอานนท์ สีเพ็ญ ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เขาบรรทัด สมาชิกสมัชชาคนจน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2555 ที่ศูนย์ประสานงานเครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เขาบรรทัด ตำบลละมอ อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง เครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เขาบรรทัดได้ประชุมมีมติออกมาว่า ในวันที่ 27 สิงหาคม 2555 เครือข่ายฯ จะเดินทางไปยื่นหนังสือถึงนายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในฐานะกรรมการของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชาคนจน ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 181/2555 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2555 ลงนามโดยของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ชะลอการตัดฟันยางพาราของชาวบ้าน ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง พร้อมเปิดโต๊ะแถลงข่าวที่ศาลากลางจังหวัดตรัง ถึงความเดือดร้อนของชาวบ้าน พร้อมกับให้องค์กรสมาชิกเครือข่ายฯ กลับไปเฝ้าระวัง ตรวจตราพื้นที่ของตัวเองอย่างเข้มงวด หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นที่ไหน เครือข่ายฯ พร้อมลงไปสมทบเพื่อยื้อ เจรจา ต่อรอง
 
นายอานนท์ เปิดเผยอีกว่า วันที่ 27 สิงหาคม 2555 นี้ เครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เขาบรรทัด จะมีการจัดเวทีที่ศูนย์ประสานงานเครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เขาบรรทัด พร้อมระดมชาวบ้านให้มากที่สุดเท่าทีจะทำได้ โดยประสานกับแนวร่วมชาวบ้านที่เดือดร้อนจากการตัดฟันยางพาราตามนโยบายปราบปรามผู้บุกรุกทำลายป่าในภาคใต้ ของกรมอุทยานฯ ส่วนรูปแบบกิจกรรมต้องรอมติที่ประชุมเครือข่ายฯ ในวันที่ 26 สิงหาคม 2555 ว่าจะเคลื่อนไหวในรูปแบบไหน อย่างไร พร้อมทั้งประมวล และประเมินสถานการณ์องค์กรสมาชิกเครือข่ายฯ ร่วมกัน
 
นายอานนท์ เปิดเผยต่อไปว่า ตนทราบข่าวว่าในวันที่ 25 สิงหาคม 2555 ชาวบ้านที่อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดเวทีเกี่ยวกับเรื่องการบุกฟันยางพาราของกรมอุทยานฯ โดยชาวบ้านเข้าร่วมประมาณ 400 คน ซึ่งตนจะเดินทางไปประสานเพื่อมาเป็นแนวร่วมเคลื่อนไหวในวันที่ 27 สิงหาคม 2555 นี้ด้วย 
 
“ขณะเดียวกันเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ได้ประสานงานมายังเครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เขาบรรทัด ซึ่งทางเครือข่ายฯ ของเราก็พร้อมจะร่วมกดดันให้มีวาระการหยุด หรือชะลอการตัดฟันยางพารา ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 28 สิงหาคม 2555 แต่ทั้งนี้ต้องเจรจาว่าส่วนไหนจะร่วมกันตีได้ ส่วนไหนจะแยกกันตี ซึ่งมีเป้าหมายเดียวกัน” นายอานนท์ กล่าว
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทหารไทยรื้อถอนชุมชนดอยไตยแลง ฐานที่มั่น SSA ชี้สร้างล้ำเขตแดน

Posted: 25 Aug 2012 08:02 AM PDT

ทหารไทยแม่ฮ่องสอนรื้อถอนบ้านเรือนชุมชนบนดอยไตยแลง ฐานที่มั่นกองกำลังไทใหญ่ SSA ระบุสร้างรุกล้ำเขตแดนไทยซึ่งเคยแจ้งรื้อถอนโยกย้ายแล้ว ขณะที่ฝ่าย SSA ยันเป็นเส้นเขตแดนหากยึดแผนที่อังกฤษพื้นที่อยู่ในเขตของรัฐฉาน
 
 
 
 
ที่มาภาพ Taifreedom
 
 
25 ส.ค. 55 - มีรายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 55 ที่ผ่านมา ทหารไทยในพื้นที่แม่ฮ่องสอน ที่รับผิดชอบพื้นที่ด้านตรงข้ามดอยไตแลง ได้รับคำสั่งให้ขึ้นไปรื้อถอนบ้านเรือนชุมชนบนดอยไตยแลง ที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพรัฐฉาน SSA ภายใต้การนำของเจ้ายอดศึก โดยระบุว่าสร้างล้ำเข้าเขตแดนไทย ซึ่งมีบ้านเรือนที่ถูกระบุว่าสร้างอยู่ในเขตไทยทั้งหมด 17 หลังกำลังถูกรื้อถอน
 
ด้านพ.ท. สิริ เลขาธิการสภากอบกู้รัฐฉาน RCSS กองทัพรัฐฉาน SSA กล่าวว่า บ้านเรือนที่ถูกรื้อถอนนั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยระบุว่าอยู่ในเขตแดนไทย โดยบ้านเรือนชุมชนบนดอนไตแลงปลูกสร้างอยู่เป็นแนวยาวตามสันเขตแดนซึ่งไม่มีความชัดเจน หากยึดตามแผนที่อเมริกาจะอยู่บนเส้นเขตแดนพอดี แต่หากยึดตามแผนที่อังกฤษพื้นที่นั้นจะอยู่ในเขตของรัฐฉาน แต่ไม่ทราบว่าฝ่ายไทยยึดอ้างแผนที่อันไหน
 
ขณะที่เจ้าหน้าที่ของ SSA ที่ทำหน้าที่ดูแลชุมชนบนดอยไตแลงเปิดเผยว่า เมื่อต้นปี 2554 ทหารไทยได้แจ้งว่า บ้านเรือนที่ปลูกสร้างอยู่ตามสันเขาด้านตะวันตกของเส้นทางที่พาดผ่านชุมชน อยู่ในเขตไทย และขอให้ย้ายออกทั้งหมด ในปลายปี 2554 ถึงต้นปี 2555 ทาง SSA ได้ย้ายสิ่งปลูกสร้างซึ่งมีทั้งวัด โรงเรียน โรงพยาบาลขนาดเล็ก และบ้านเรือนชาวบ้านอีกหลายสิบหลังไปอยู่ในที่แห่งใหม่
 
เจ้าหน้าที่ SSA กล่าวว่า หลังจากได้รับแจ้งให้มีการรื้อถอนแล้ว มีบ้านเรือนหลังใหญ่ประมาณ 10 กว่าหลังที่ยังไม่ได้รื้อถอน เพราะทาง SSA ได้ร้องขอไว้ให้เป็นสถานที่พักแขกในยามที่ดอยไตแลงมีการจัดงานต่างๆ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ไทยก็ได้อนุญาตแล้ว แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารไทยกว่า 10 นาย ขึ้นไปรื้อถอนบ้านเรือนที่เคยร้องขอไว้
 
ทั้งนี้ เมื่อช่วงหน้าฝนปี 2548 ทหารไทยได้สั่งรื้อถอนชุมชนบนดอยไตแลงซึ่งเป็นที่พักพิงผู้ลี้ภัยแล้วครั้ง หนึ่ง โดยระบุว่าสร้างล้ำเขตแดนไทยและว่าเป็นที่อยู่อาศัยของสมาชิก SSA ซึ่งมีบ้านเรือนถูกสั่งโยกย้ายกว่า 50 หลัง และมีชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพซึ่งมีทั้งเด็กกำพร้าราว 200 – 300 คน ต้องอพยพไปอยู่ที่ใหม่
 
ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/
 
"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) สำนักข่าวอิสระของไทยใหญ่ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า และตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org
 
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

การเข้าสู่ตำแหน่ง "ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" : โดยสังเขป

Posted: 25 Aug 2012 07:52 AM PDT

สภาพการณ์ของสถาบันกษัตริย์ในช่วงปลายรัชกาล คงหลีกเลี่ยงมิได้ที่จะพิจารณาถึงความจำเป็นต้องมี "ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" ขึ้น  ด้วยเหตุที่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กำหนด "เงื่อนไขก่อตั้งเหตุ" ที่จะต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (ไม่ใช่อำนาจดุลยพินิจในการเลือกที่จะแต่งตั้งผู้สำเร็จฯ หรือไม่ก็ได้) ถึงกระนั้นก็ตาม ความดำริที่จะแต่งตั้ง "ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" ก็ยังคงเป็นเรื่องที่สังคมไทยมองข้ามหรือเมินเฉยต่อการเปลี่ยนแปลงตามกาลสมัยให้สอดคล้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

 

บทความนี้ จึงหยิบยก "ประเด็นการเข้าสู่ตำแหน่งของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" ขึ้นพิจารณาภายใต้โครงสร้างรัฐธรรมนูญไทย (ปัจจุบัน) ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านได้ใช้ประกอบการพิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย อันเป็นการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (ความเคารพต่อรัฐธรรมนูญ) ของสถาบันการเมืองทั้งปวง ตามครรลองแห่ง "นิติรัฐ-ประชาธิปไตย" อีกด้วย

 

ผู้เขียนจะอธิบาย "เหตุในการเข้าสู่ตำแหน่ง, การเข้าสู่ตำแหน่ง และการสิ้นสุดลง" ของตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นลำดับโดยสังเขป ดังนี้

 

 

[ตอนที่ ๑.] "เหตุ" ในการแต่งตั้ง "ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" แบ่งเป็น ๒ กรณี

 

กรณีที่ ๑.กษัตริย์จะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ ไม่ว่าเพราะเหตุใดก็ตาม

 

คำอธิบายประกอบ จะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ หรือ บริหารพระราชภาระ ไม่ได้นั้น มีลักษณะอย่างไร? ในทางตำรายกตัวอย่างว่า "ทรงพระประชวร" (โดยดู หยุด แสงอุทัย. คู่มือรัฐธรรมนูญและธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร. พิมพ์ครั้งที่ ๒. พระนคร : มงคลการพิมพ์, ๒๕๐๕. หน้า ๒๖.) ลักษณะดังกล่าวต้องถึงขนาดเพียงใด? เช่น ทรงประชวรมีพระอาการมากซึ่งทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญได้เป็นเวลาช้านานเกินปกติ หรือ เคลื่อนไหวอิริยาบถของร่างกายไม่สะดวก เป็นต้น (โดยดู ไพโรจน์ ชัยนาม. คำอธิบายกฎหมายรัฐธรรมนูญเปรียบเทียบ (โดยสังเขป) เล่ม ๒ ตอน ๑. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๔๙๕. หน้า ๑๗๖.)ในทางภาวะวิสัยโดยสภาพเช่นว่านั้น กษัตริย์ย่อมไม่อาจบริหารพระราชภาระได้ เช่น การเข้าสู่ตำแหน่งของ "ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง" จะต้องถวายสัตย์ต่อกษัตริย์อันเป็นเงื่อนไขในการเข้ารับหน้าที่, การลงพระปรมาภิไธยในกฎหมายก่อนประกาศใช้ (เช่น เกิดเหตุฉุกเฉินรัฐบาลต้องตราพระราชกำหนด เหล่านี้ต้องมีผู้ลงพระปรมาภิไธย) เป็นต้น เพื่อกิจการของรัฐจะดำเนินสืบเนื่องต่อไปไม่สะดุดชะงักลงโดยเหตุจากตัวบุคคล (พระมหากษัตริย์ในฐานะองค์กร : ดำรงอยู่อย่างสืบเนื่องไม่ขาดสาย เพราะเป็นตำแหน่ง)

 

กรณีที่ ๒.พระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร

 

คำอธิบายประกอบ เนื่องจากพระมหากษัตริย์มีเขตอำนาจในทางพื้นที่ - พระมหากษัตริย์เป็นผู้แสดงเจตนาของรัฐ ในการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย : ตำแหน่งประมุขของรัฐจึงต้องการความสืบเนื่อง, เช่นเดียวกับ ผู้ว่าราชการจังหวัด ออกนอกเขตจังหวัด ก็ต้องแต่งตั้งรองผู้ว่าฯ ทำหน้าที่รักษาการแทน เป็นต้น

 

 

[ตอนที่ ๒] รัฐธรรมนูญบัญญัติหน้าที่ไว้ดังนี้

 

ทางที่หนึ่ง.ให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่ง เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

 

คำอธิบายประกอบ จะทรงแต่งตั้งใครเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ได้ตามพระราชอัธยาศัย (รัชทายาท, พระราชินี, นาย ก. หรือ นาย ข. ก็ได้)

 

ทางที่สอง.ถ้าพระมหากษัตริย์ไม่สามารถแต่งตั้งผู้ใดผู้หนึ่งได้ :

๑.ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปพลางก่อน

๒.ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ไปให้

๓.รัฐสภาให้ความเห็นชอบรายชื่อผู้หนึ่งผู้ใดนั้น

 

คำอธิบายประกอบ 

ก.คณะองคมนตรี เป็นผู้มีอำนาจตีความว่า ลักษณะเช่นใดที่พระมหากษัตริย์อยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถแต่งตั้งใครได้ (ตามทางที่หนึ่ง) กรณีที่ตีความโดยอาศัย "มติของคณะองคมนตรี" ว่า ในสภาวะเช่นว่านั้นพระมหากษัตริย์แต่งตั้งใครไม่ได้แล้ว ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ชั่วคราว โดยผลของรัฐธรรมนูญ

 

ข.คณะองคมนตรีเป็นผู้เสนอรายชื่อใครก็ได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (รัชทายาท, พระราชินี, นาย ก. หรือ นาย ข. ก็ได้) และผู้ชี้ขาดคือ รัฐสภาให้ความเห็นชอบ

ข.๑) กรณีรัฐสภาไม่ให้ความเห็นชอบรายชื่อดังกล่าว คณะองคมนตรีต้องกลับไปคัดเลือกบุคคลผู้เหมาะสมคนใหม่

ข.๒) กรณีรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ก็ให้ประธานรัฐสภาแต่งตั้งบุคคลนั้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

ข.๓) กรณีได้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โดยความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ให้ "ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ชั่วคราว" กลับมาดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรีดังเดิม และผู้รักษาการตำแหน่งประธานองคมนตรี ก็กลับไปเป็นองคมนตรีดังเดิม

 

ค.หากผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โดยความเห็นชอบของรัฐสภา อยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ประธานองคมนตรี ทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปชั่วคราวไปพลางก่อน จนกว่าคณะองคมนตรีจะเสนอรายชื่อผู้เหมาะสมไปยังรัฐสภาเห็นชอบเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์คนใหม่ (ตีความโดยเทียบเคียงกฎหมายลายลักษณ์อักษร ให้นำข้อ ก, ข มาใช้โดยอนุโลม)

 

ง.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ชั่วคราว ดำรงตำแหน่งจนกว่า :

ง.๑) พระมหากษัตริย์กลับมายังพระราชอาณาจักร (หรือ)

ง.๒) พระมหากษัตริย์กลับมาสามารถบริหารพระราชภาระได้ (หรือ)

ง.๓) มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่

 

 

[ตอนที่ ๓] ผลบังคับตามรัฐธรรมนูญ

 

ตามที่กล่าวใน ตอนที่ ๒. ว่าเมื่อปรากฏ "เหตุ" ในสองกรณี (ดังกล่าวในตอนที่ ๑.) เป็น "หน้าที่" ของพระมหากษัตริย์ หรือคณะองคมนตรี ในการ "แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" (ในกรณีกษัตริย์ตั้งเอง) หรือ "เสนอรายชื่อไปยังรัฐสภาให้ความเห็นชอบ" (ในกรณีกษัตริย์ไม่สามารถแต่งตั้งเองได้)

 

เมื่อเป็น "หน้าที่" แต่ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นการกระทำที่ "ขัดรัฐธรรมนูญ" และทำให้ "บทรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวไม่มีผลบังคับ" ในที่สุด กล่าวคือ บุคคลดังกล่าวกำลังละเมิดรัฐธรรมนูญ และอาจกระทำผิดตามกฎหมายอาญา เช่น ปลอมลายเซ็นต์ในเอกสารราชการ (ลงพระปรมาภิไธยปลอม - ลงในกฎหมายก่อนบังคับใช้ หรือตามตัวบทรัฐธรรมนูญเรียกว่า "ร่างพระราชบัญญัติ") เป็นต้น.

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ไม่อนุญาตรัฐบาลติดภาพคำเตือนบนซองบุหรี่

Posted: 25 Aug 2012 06:44 AM PDT

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ ต้องการให้มีภาพคำเตือน 9 ชนิดบนซองบุหรี่ แต่ทางบริษัทยาสูบเผยเป็นภาพเกินจริง จากข้อพิพาทศาลอุทธรณ์ตัดสินว่าไม่ให้รัฐบาลติดภาพดังกล่าว อ้างจำกัดเสรีภาพการแสดงความเห็น และเป็นการบังคับให้โฆษณาเกินจริง
 
 
25 ส.ค. 2012 - สำนักข่าว BBC รายงานว่า ผู้พิพากษาในชั้นศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ ตัดสินให้รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่สามารถออกคำสั่งให้บริษัทยาสูบติดภาพคำเตือนเรื่องสุขภาพลงบนบรรจุภัณฑ์บุหรี่ได้
 
ศาลของสหรัฐฯ บอกว่าแผนการของรัฐบาลเป็นการทำลายเสรีภาพในการแสดงความเห็นในอเมริกา
 
ก่อนหน้านี้ ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ ต้องการให้มีภาพคำเตือนผู้สูบบุหรี่ 9 ชนิด ติดลงบนซองบุหรี่ ซึ่งเป็นรูปเกี่ยวกับโรคและความตาย เพื่อเป็นการเตือนให้เห็นอันตรายของบุหรี่
 
แต่ทางบริษัทยาสูบแย้งว่าภาพดังกล่าวเป็นภาพเกินความจริงหากอ้างตามข้อมูล และเป็นภาพในเชิงโฆษณาชวนเชื่อของการต่อต้านการสูบบุหรี่
 
การตัดสินในครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่ประเทศอื่นๆ เริ่มมีคำสั่งแบบเดียวกันคือให้มีการติดภาพคำเตือนบนบรรจุภัณฑ์บุหรี่ ในประเทศออสเตรเลียถึงขั้นห้ามไม่ให้มีโลโก้ของบริษัทยาสูบอยู่บนกล่อง
 
ศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ ยืนยันการตัดสินจากศาลชั้นต้น ที่มีมติ 2-1 ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่สามารถสั่งติดภาพคำเตือนได้
 
ศาลกล่าวว่า คดีนี้ได้ชวนให้ตั้งคำถามเกี่ยวกับขอบเขตอำนาจของรัฐบาลในการบังคับให้ผู้ผลิตสินค้าต้องเผยแพร่ข้อมูลที่เกินจริงและไม่ตรงตามโฆษณา รวมถึงทำลายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของพวกเขาเองด้วย
 
ศาลระบุว่าในคดีนี้เป็นเรื่องของการที่รัฐบาลพยายามทำให้ซองบุหรี่ทุกซองในประเทศกลายเป็นป้ายโฆษณาขนาดเล็กเพื่อเผยแพร่ข้อความต่อต้านบุหรี่ของรัฐบาล
 
ศาลกล่าวอีกว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาไม่ได้นำเสนอหลักฐานที่บ่งบอกว่าภาพดังกล่าวจะช่วยทำให้นโยบายลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ในอเมริกาประสบความสำเร็จมากขึ้น
 
กลุ่มบริษัทยาสูบแสดงความยินดีต่อคำตัดสินนี้ โดยบริษัทลอร์ริลาด โทแบคโค พูดถึงคดีนี้ว่าเป็นเรื่องความสำคัญของหลักการตามมาตรา 1 ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ (มาตราที่ว่าด้วยเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น-ผู้แปล)
 
โดยในตอนนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ ยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะว่าจะมีการยื่นเรื่องไปถึงชั้นศาลฎีกาหรือไม่
 
 
ที่มา:
 
US court blocks graphic cigarette warnings, BBC, 25-08-2012
http://www.bbc.co.uk/news/world-us-canada-19377660
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 19-25 ส.ค. 2555

Posted: 25 Aug 2012 05:35 AM PDT

กพอ.เห็นชอบยกร่างพรบ.พนักงานในสถาบันอุดมศึกษา

เมื่อวันที่ 19 ส.ค.2555 รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ที่มีศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) เป็นประธาน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีมติตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด โดยชุดแรกมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานวุฒิสภา ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย เป็นประธาน ยกร่างพ.ร.บ.พนักงานในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.... จะเชิญตัวแทนจากเครือข่ายพนักงานในสถาบันอุดมศึกษา และผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมพิจารณารายละเอียดต่าง ๆ ที่จะนำไปกำหนดไว้ในร่างพ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว โดยที่ประชุมให้คณะกรรมการฯ ไปดูด้วยว่ากฎหมายที่ออกมาเอื้อให้กับข้าราชการที่อยู่ในสถาบันอุดมศึกษาได้ ด้วยหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยาก ต้องมีกฎหมายหลายฉบับ เพราะขณะนี้ ข้าราชการในสถาบันอุดมศึกษามีอยู่จำนวนไม่มาก และคิดว่าน่าจะน้อยลงเรื่อย ๆ

รศ.นพ.กำจร กล่าวต่อว่า ส่วนคณะกรรมการอีกชุด มีนายถนอม อินทรกำเนิด ผู้ทรงคุณวุฒิ ก.พ.อ. เป็นประธาน เพื่อศึกษาเรื่องการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการทั้งหมด โดยที่ผ่านมาพบว่ามีบางประเด็นที่ต้องแก้ไข อาทิ เดิมกำหนดให้ผู้ที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการระดับผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) จะต้องมีผลงานวิชาและผลงานที่ตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือทางวิชาการ เปลี่ยนเป็น ต้องมีผลงานวิชาหรือผลงานที่ตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือทางวิชาการ และมาเพิ่มว่าต้องเป็นผลงานที่มีผลกระทบทางสังคมด้วย ซึ่งเท่ากับว่าทำให้การเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการยากขึ้นไปอีกเป็นต้น ดังนั้น ควรมีการยกเครื่องการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการใหม่ทั้งระบบ โดยมีเป้าหมายว่าระเบียบการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการใหม่ต้องทำให้คนสามารถ เข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการได้เร็วขึ้น แต่ไม่ใช่ง่ายขึ้น รวมถึงให้ดูด้วยว่า จะนำผลงานสายรับใช้สังคมมาใช้เพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการได้อย่างไร โดยทั้ง 2 ประเด็นคือ การยกร่าง พ.ร.บ.พนักงานในสถาบันอุดมศึกษา และการแก้ไขระเบียบการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ เป็นเรื่องที่รัฐมนตรีว่าการศธ. สนับสนุนตั้งแต่แรก เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่จะทำประโยชน์ให้กับบุคคลากรในสถาบันอุดมศึกษาในภาพ รวม

(เนชั่นทันข่าว, 20-8-2555)

คสรท.ระบุแรงงานกว่า 50% เป็นหนี้นอกระบบ

นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงภาระหนี้สินของกลุ่มผู้ใช้แรงงานในปัจจุบัน โดยยอมรับว่า ขณะนี้แรงงานในระบบกว่า 50% เป็นหนี้จากการกู้เงินนอกระบบมากที่สุด ซึ่งสาเหตุของการเป็นหนี้นอกระบบนั้น ส่วนหนึ่งมาจากรายได้ รวมถึงค่าจ้างของผู้ใช้แรงงานไม่สะท้อนกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าเช่าบ้าน ซึ่งแรงงานก็คาดหวังว่าจะนำรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายรัฐบาลมาชำระหนี้ เดิมที่มีอยู่ให้ลดลง แต่ก็ไม่สามารถทำได้  เพราะต้องนำเงินมาจ่ายค่าครองชีพ  จึงทำให้ต้องหันมาเป็นหนี้นอกระบบ ซึ่งถ้าแรงงานบางคนไม่มีเงินมาจ่ายหนี้ ก็ต้องลาออกจากงานเพื่อหนีหนี้ กลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจ รวมถึงปัญหาอาชญากรรมตามมา ดังนั้น จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้แรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการปรับขึ้นค่าจ้าง รวมถึงการดูแลราคาสินค้า นอกจากนี้ รัฐบาลควรออกมาตรการควบคุมราคาค่าเช่าบ้าน ห้องพัก หอพัก โดยอาจจะกำหนดเป็นราคากลางของห้องเช่า เพื่อให้เป็นธรรมกับผู้ใช้แรงงาน เพราะทุกวันนี้ผู้ประกอบการที่พัก ได้ขึ้นค่าเช่าโดยไม่คำนึงถึงรายได้ของผู้ใช้แรงงาน

(ไอเอ็นเอ็น, 20-8-2555)

อาชีวะ ฟุ้งพร้มรับอาเซียน เชื่อปี 56 เด็กแห่เรียนป.ตรี สายอาชีพ

อาชีวศึกษาจัดงานสถาปนาครบรอบ 71 ปี ศักดาย้ำอาชีวะต้องก้าวไปข้างหน้าเตรียมพร้อมรับเข้าอาเซียน ทั้งเน้นผลิตบุคลากรที่มีทักษะและฝีมือแรงงาน ยกระดับการสื่อสารภาษาอังกฤษ รวมทั้งจะเร่งสร้างความมีวินัย ความอดทน ฟุ้งเชื่อเมื่อเปิดป.ตรีสายปฏิบัติการในปี 56 จะมีคนสนใจเรียนอาชีวะมากขึ้น

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 20-8-2555)

พนง.ยาสูบได้เฮ คลังชง ครม.เพิ่มวันหยุดประจำปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุม ครม.วันที่ 21 ส.ค. กระทรวงการคลัง ขอความเห็นชอบการปรับเพิ่มจำนวนวันหยุดพักผ่อนประจำปีสำหรับพนักงานของโรง งานยาสูบ (รยส.) ที่ทำงานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จาก 10 วันทำงาน เป็น 13 วันทำงาน ตามมติของคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ในคราวประชุมครั้งที่ 5/25554 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2554 เพื่อให้เป็นตามนัยพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543 มาตรา 13 วรรคสาม ทั้งนี้ ให้ รยส. บริหารจัดการองค์กรภาพรวมโดยมิให้ผลกระทบต่อการผลิตยาสูบ ค่าใช้จ่ายองค์กร และคำนึงถึงฐานะทางการเงินเป็นสำคัญ ให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พิจารณาความเหมาะสมของจำนวนวันหยุด พักผ่อนประจำปี สำหรับพนักงานรัฐวิสาหกิจโดยรวม โดยเฉพาะพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มีอายุการทำงานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป เพื่อให้รัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติเป็นหลักเกณฑ์เดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของรัฐวิสาหกิจโดย รวม.

(ไทยรัฐ, 20-8-2555)

ทูตอิสราเอลอำลาตำแหน่ง-"ปู"ขอบคุณช่วยสนับสนุนแรงงานไทย

วันที่ 20 ส.ค.  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้อนรับนายอิตซ์ฮัก โซฮัม (Mr. Itzhak Shoham) เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจำประเทศไทย ที่เข้าเยี่ยมคารวะเพื่ออำลาเนื่องในโอกาสครบวาระการดำรงตำแหน่ง โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วงดำรงตำแหน่งได้ผลักดันให้การจัดหาแรงงานไทยเพื่อไปทำงานในอิสราเอลถูก ต้องตามกฎหมาย และได้รับความยุติธรรม รวมทั้งดำเนินการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในภาคเกษตรอิสราเอลตามความตกลงแรง งานไทย-อิสราเอล การจัดทำความตกลงการค้าไทย-อิสราเอล และการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมไทย-อิสราเอลว่าด้วยการ คุ้มครองข้อมูลและสิ่งอุปกรณ์ที่มีชั้นความลับร่วมกันด้วย

ขณะที่นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณที่อิสราเอลให้การสนับสนุนไทยในหลายสาขา อาทิ ด้านแรงงาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหวังว่าการประชุม Working Group Dialoque (WGD) ไทย-อิสราเอล ครั้งที่ 7 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 4 ก.ย.นี้ จะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกัน และขยายความร่วมมือไปยังสาขาอื่นๆ ต่อไปในอนาคต

(ข่าวสด, 20-8-2555)

ครูฟิตเนสร้องก.แรงงาน แคลิฟอร์เนียว้าวไม่จ่ายค่าจ้าง

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ตัวแทนกลุ่มครูสอนฟิตเนสของศูนย์ฟิตเนส "แคลิฟอร์เนีย ว้าว" จาก 8 สาขาทั่วกรุงเทพฯ จำนวน 20 คน ได้เข้าร้องเรียนต่อสำนักคุ้มครองแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน เพื่อขอความช่วยเหลือ กรณีบริษัทไม่จ่ายค่าจ้างตามกฎหมาย
 
นายชยังกร ทับทิมทอง ครูสอนฟิตเนส สาขาเอสพลานาด กล่าวว่า บริษัทเริ่มจ่ายค่าจ้างล่าช้ามาตั้งแต่ต้นปี 2555 ล่าสุดปิดสาขาแล้ว 7 แห่ง เหลือเพียงเอสพลานาดที่ยังเปิดให้บริการ ทั้งนี้ บริษัทมีพนักงานเกือบ 1,000 คน ขณะที่มีสมาชิกทั่วประเทศประมาณ 170,000 คน แต่หลังจากบริษัทขาดสภาพคล่อง ทำให้พนักงานเกิดความไม่มั่นคง นอกจากจะค้างจ่ายค่าจ้างแล้ว ยังจะให้พนักงานลาออกโดยไม่จ่ายค่าชดเชย
 
นายอาทิตย์ อิสโม อธิบดี กสร. กล่าวว่า กสร.เคยเชิญนายจ้างมาชี้แจงแล้ว 2 ครั้ง แต่ไม่มาตามนัด จึงจะเรียกมาชี้แจงอีกเป็นครั้งสุดท้าย หากไม่มาจะทำการวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้ หากนายจ้างไม่ยอมจ่ายค่าจ้างจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ จะเรียกนายจ้างมาพบและจะวินัจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน

(มติชน, 21-8-2555)

ประกันสังคม เตรียมพร้อมใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด นายจ้างค้างชำระเงินสมทบแล้วไม่นำส่ง

นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคมกระทรวงแรงงาน เปิดเผย ต่อสื่อมวลชน กรณีนายจ้างติดค้างชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคม เหตุนายจ้างหักเงินสมทบในส่วนของนายจ้าง ผู้ประกันตนแล้วไม่นำส่ง สำนักงานประกันสังคม ซึ่งจากการประมวลผลข้อมูลหนี้ค้างชำระ ณ วันที่ 10 สิงหาคม 2555 พบหนี้ค้างชำระลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2555 คือจำนวนสถานประกอบการค้างชำระจำนวน 33,071 ราย จำนวนเงิน 4,047 ล้านบาท ลดลงเหลือ 32,385 ราย จำนวนเงิน 3,980 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้แยกตามสถานะของสถานประกอบการคือ สถานะ(A) นายจ้างยังประกอบกิจการอยู่เป็น จำนวน 18,412 ราย จำนวนเงิน 2,240 ล้านบาท สถานะ(S) หยุดกิจการไปแล้ว จำนวน 13,335 ราย จำนวนเงิน 1,660 ล้านบาท และสถานะ(C)เลิกกิจการกับกระทรวงพาณิชย์จำนวน 638 ราย จำนวนเงิน 78 ล้านบาท

ขณะนี้สำนักงานประกันสังคมได้มีแนวทางมาตรการดำเนินการกับนายจ้างที่ติด ค้างชำระหนี้ ตามขั้นตอน คือ แจ้งเตือนและเชิญพบ กรณีนายจ้างมาพบ จะได้รับหนังสือรับสภาพหนี้โดยมีหลักทรัพย์ หรือบุคคลค้ำประกัน หากผิดนัดไม่ชำระ 2-3 ครั้ว จะดำเนินการกับบุคคลหรือหลักทรัพย์ทันที หากในกรณีนายจ้างไม่มาพบตามหนังสือเชิญ สำนักงานประกันสังคมจะดำเนินคดีขัดคำสั่ง พนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้จะจัดส่ง รายชื่อนายจ้างชำระหนี้และประวัติไม่ดีให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อเฝ้าระวังและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้วยกัน ในกรณี ที่นายจ้างต้องการความช่วยเหลือทางด้านที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุน ทางสำนักงานประกันสังคมจะจัดส่งคณะทำงานเข้าช่วยเหลือ สำหรับนายจ้างที่มีเจตนาไม่ชำระเงิน หรือไม่ใส่ใจในข้อกฎหมายใดๆ เลยจะใช้มาตรการดำเนินการยึด อายัดและขายทอดตลาดหลักทรัพย์ และหากมีมูลหนี้สูงจะทำการฟ้องล้มละลาย สำหรับนายจ้าง ที่ปิดกิจการไปแล้ว หากสำนักงานประกันสังคมติดตามนายจ้างได้ก็จะดำเนินการเช่นเดียวกับสถาน ประกอบการ สถานะยังดำเนินกิจการอยู่หากไม่สามารถติดตามนายจ้างได้ หรือคดีหมดอายุความตามกฎหมายแล้วจะดำเนินการปรับปรุงค่าหนี้ทางบัญชี ให้เหลือเป็นหนี้จริงเท่านั้น

เลขาธิการฯ กล่าวต่อไปว่า สำนักงานประกันสังคมได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอยู่ โดยอยู่ระหว่างทำข้อตกลงเพื่อร่วมมือกับกรมสรรพกร ในการให้กรมสรรพากรรับชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมเพื่อให้นายจ้างได้ ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม ซึ่งผลการใช้มาตรการดังกล่าว ในปี 2556 จะดำเนินการใช้หนี้ค้างชำระลดลงได้เหลือ 2,000 ล้านบาท จากจำนวนหนี้ทั้งหมด 4,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ขอฝากนายจ้างที่อยู่ในระบบประกันสังคมอย่าเบียดบังซ่อนเร้นไม่ยอมจ่ายเงิน สมทบให้ลูกจ้าง หากสำนักงานประกันสังคมตรวจพบนายจ้างจะต้องจ่ายทั้งเงินสมทบพร้อมเงินเพิ่ม ในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนของเงินสมทบที่ยังไม่นำส่ง หรือส่วนที่ขาดอยู่จนครบ และถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย ยังส่งผลกระทบต่อ ลูกจ้าง/ผู้ประกันตน หรือผู้ที่พบเห็นการกระทำดังกล่าว แจ้งข้อมูลเบาะแส ได้ที่สำนักงานประกันสังคม กรุงเทพมหานครพื้นที่ทั้ง 12 แห่ง/จังหวัด/สาขา/ที่ท่านสะดวก

สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน

สอบถามประกันสังคม โทร.1506 ให้บริการ 24 ชั่วโมง / www.sso.go.th

(บ้านเมือง, 21-8-2555)

ร.ร.พิจิตร ป่วนทั้ง จว.นโยบายปูป.ตรีหมื่นห้า ทำพิษ/ถูกครูพิเศษ-ภารโรงขอขึ้นค่าจ้าง

(21 ส.ค.55) นายชาติชาย เจียมศรีพงษ์ นายก อบจ.พิจิตร เปิดเผยภายหลังประชุมผู้บริหารโรงเรียนระดับประถม-มัธยม จำนวน 79 แห่ง ว่า ตามที่ อบจ.พิจิตร สนับสนุนงบประมาณปีละเกือบ 7 ล้านบาท ให้ผู้บริหารสถานศึกษานำไปจ้างครูสอนคอมพิวเตอร์ตามดุลยพินิจ และอำนาจที่เหมาะสม ซึ่งเป็นการอุดหนุนแบบจ่ายขาดไม่มีพันธะผูกพัน กับ อบจ.พิจิตร ผู้บริหารโรงเรียนต่างๆนำไปบริหารจัดการจ่ายเงินเดือนเป็นอัตราจ้างเดือนละ 8,300 บาท แต่ปรากฏว่า ด้วยนโยบายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล ที่กำหนดว่า สิ้นปีนี้จะให้ปรับค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท จบปริญญาตรีจะต้องได้เงินเดือน 15,000 บาท จึงทำให้ครูจ้างสอนคอมพิวเตอร์ตามโรงเรียนต่างๆออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้องของเงินเดือนๆละ 15,000 บาท

จนทำให้บรรดาผู้บริหารโรงเรียน รวมตัวกันมาประชุมปรึกษาหารือกับ คณะผู้บริหารของ อบจ.พิจิตร ซึ่งได้ข้อสรุปว่า อบจ.พิจิตร ไม่สามารถจะหาเงินจำนวนดังกล่าวมาจ่ายให้ได้ เนื่องจากภาระที่มีอยู่ก็หนักมากพออยู่แล้ว จึงให้คำแนะนำกับผู้บริหารของโรงเรียนต่างๆ ว่า หากต้องจ้างครูสอนคอมพิวเตอร์เหล่านั้นต่อแล้ว ไม่จ่ายตามนโยบายของรัฐบาล ก็อาจถูกฟ้องต่อศาลปกครองหรือถูกฟ้องร้องศาลแรงงาน ซึ่งความผิดคงไม่ตกต่อ อบจ.พิจิตร ที่เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ แต่ความผิดจะไปตกกับผู้บริหารของโรงเรียนต่างๆที่เป็นผู้ว่าจ้าง

นายชาติชาย บอกว่า ตนได้แจ้งต่อที่ประชุมผู้บริหารโรงเรียนว่า อบจ.พิจิตร ไม่สามารถจะจัดงบเพิ่มเติมให้ได้อีกแล้ว จึงไม่สามารถสนองนโยบายของรัฐบาลได้ เนื่องจากไม่มีเงินมากพอขนาดนั้น ดังนั้นถ้าครูที่มีอยู่ประสงค์จะรับจ้างสอนคอมพิวเตอร์ต่อไปก็ต้องทำสัญญา กันใหม่ว่า พึงพอใจกับเงินเดือนในอัตรา 8,300 บาท ไม่เช่นนั้นก็ต้องลดจำนวนครูผู้สอน เพื่อเอาเงินไปเพิ่มให้กับคนที่ว่าจ้างให้เป็นครู และต้องให้วิ่งรอกสอนคนละอย่างน้อย 2-3 โรงเรียน ซึ่งถ้าทำตามวิธีนี้ จะต้องใช้วิธีจับฉลากให้ออกเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนครูที่มีอยู่

นอกจากนี้ ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่ง ก็ยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นักการภารโรงที่จ้างในอัตราเงินเดือย 6,700 บาท/เดือน ก็เรียกร้องจะเอาเงินเดือนๆละ 9,000 บาท หรือวันละ300 บาทด้วย จึงทำให้โรงเรียนหลายแห่งขาดแคลนภารโรงเช่นกัน

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 21-8-2555)

ครม.มีมติอนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบแห่งชาติ

ครม.มีมติอนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบแห่ง ชาติ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ โดยองค์ประกอบของคณะกรรมการฯประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นรองประธานกรรมการ กรรมการประกอบด้วย ปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปลัดกรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผู้อำนวยการสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ (ประจำประเทศไทย) อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านแรงงานนอกระบบ รศ.ดร.นฤมล นิราทร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านแรงงานนอกระบบ นายกิรศักดิ์ จันทรจรัสวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านแรงงานนอกระบบ นางสุวัฒนา ศรีภิรมย์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านแรงงานนอกระบบ นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ นายบัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒิ ผู้อำนวยการมูลนิธิอารมณ์พงศ์พงัน นางพูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธุ์ ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ นางสุจิน รุ่งสว่าง ประธานศูนย์ประสานงานเครือข่ายแรงงานนอกระบบ นายสมคิด ด้วงเงิน ประธานเครือข่ายแรงงานนอกระบบ นางสาวอรุณี ศรีโต ผู้แทนศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบ เขตปริมณฑล โดยมีรองปลัดกระทรวงแรงงานที่ได้รับมอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการ ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน และผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจการแรงงาน เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

(เนชั่นทันข่าว, 22-8-2555)

ชี้แรงงานอีสานประสบอันตรายจากการทำงานต่ำ

(22 ส.ค.) กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน จัดงานสัปดาห์ความปลอดภัยในการทำงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือปี 2555 ภายใต้หัวข้อ ก้าวสู่ประชาคมอาเซียนอย่างมั่นใจ แรงงานปลอดภัยและสุขภาพอนามัยดีโดยมีนายวิสา คัญทัพ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน ณ ขอนแก่นฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
      
ภายในงานดังกล่าวมีหน่วยงานสังกัดกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานใน พื้นที่ 20 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมด้วยหน่วยงานภาคเอกชน ทั้งโรงงานอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการผลิตสินค้าด้านสุขอนามัยและความปลอดภัย ร่วมกิจกรรมออกบูธให้ความรู้ด้านความปลอดภัยในการทำงาน รวมทั้งจำหน่ายสินค้าด้านความปลอดภัยในการทำงาน มาร่วมออกบูธอย่างคับคั่ง
      
นายอาทิตย์ อิสโม อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า การจัดสัปดาห์ความปลอดภัยในการทำงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยและ สุขอนามัยของทำงานทุกสาขาอาชีพ เป็นเวทีแลกเปลี่ยนและเสริมสร้างองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีปัจจุบัน ทบทวนบทบาทหน้าที่ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554
      
จากข้อมูลสำนักงานประกันสังคมพบว่า ในปี 2554 อัตราการประสบอันตรายจากการทำงานรวมทุกกรณีเฉลี่ยของ 20 จังหวัดภาคอีสานอยู่ที่ 7.71 รายต่อลูกจ้าง 1,000 คน ลดลงจากปีที่แล้วที่มีอัตรา 10.41 หรือลดลงร้อยละ 25.94 และถือได้ว่าภาคอีสานมีอัตราประสบอันตรายน้อยกว่าอัตราการประสบอันตรายจาก การทำงานรวมทุกกรณีในภาพรวมทั้งประเทศ ซึ่งอยู่ที่อัตรา 15.76 รายต่อลูกจ้าง 1,000 คน
      
ส่วนมาตรการสำคัญที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานใช้เพื่อแก้ปัญหา อันตรายจากการทำงาน คือมาตรการทางกฎหมายควบคู่ไปกับมาตรการส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการเห็นความ สำคัญของการดำเนินงานด้านความปลอดภัย ที่มีผลต่อภาพลักษณ์และศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจของสถานประกอบกิจการ เช่น โครงการประกวดสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อมในการทำงาน
      
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกล่าวต่อว่า ในปีนี้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ถือเป็นจุดเริ่มต้นการเตรียมแรงงานให้พร้อมก้าวไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ภายในปี 2558 โดยประเทศไทยต้องแสดงศักยภาพให้ประชาคมโลกเห็นว่า ไทยมีทรัพยากรแรงงานที่มีคุณภาพ สามารถสร้างงานได้อย่างมีคุณค่า ด้วยกระบวนการทำงานที่ปลอดภัยทุกขั้นตอน ไม่ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย ทั้งต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค และไม่ก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 22-8-2555)

ก.แรงงานได้งบกว่า 3.6 หมื่นล้านเตรียมพร้อมรับ AEC

นายสง่า ธนสงวนวงศ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้สภาผู้แทนราษฎรได้ให้ความเห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณพ.ศ.2556 โดยในส่วนของกระทรวงแรงงาน(รง.)ได้รับงบประมาณทั้งหมดกว่า 36,525 ล้านบาท แยกเป็นงบรายกรมได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานกว่า 1,346 ล้านบาท กรมการจัดหางาน(กกจ.)กว่า 1,046 ล้านบาท กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน(กพร.)กว่า 2,126 ล้านบาท กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน(กสร.)กว่า 1,086 ล้านบาท และสำนักงานประกันสังคม(สปส.)กว่า 30,920 ล้านบาทโดยในจำนวนนี้เป็นเงินสมทบกองทุนประกันสังคมกว่า 24,700 ล้านบาท

นายสง่า กล่าวอีกว่า โดยภาพรวมแล้วกระทรวงแรงงานได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นกว่า 20,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 131.85 เนื่องจากรัฐบาลเพิ่มวงเงินชำระหนี้เงินสมทบกองทุนประกันสังคมซึ่งปัจจุบัน รัฐบาลค้างจ่ายอยู่หลายหมื่นล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อแยกเป็นรายกรมได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานได้งบเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.76 กกจ.ได้งบเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.71 กพร.ได้งบเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.62 กสร.ได้งบเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.44 และสปส.ได้งบเพิ่มขึ้น 187.68 โดยในปีที่แล้วสปส.ได้รับงบเพียงกว่า 11,165 ล้านบาท

"หลังจากนี้ในช่วงต้นเดือนกันยายนนี้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ จะเข้าสู่วุฒิสภา เพื่อให้ข้อเสนอแนะโดยไม่มีการตัดงบประมาณใดๆอีก ทั้งนี้ ภารกิจของกระทรวงแรงงานที่อยากจะให้เห็นผลเป็นรูปธรรมในช่วง 3 เดือนข้างหน้าหรือภายในวันที่ 1 มกราคม 2556 คือ การดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและนโยบายของนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงานโดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาทใน 70 จังหวัดที่เหลือ การเตรียมความพร้อมแรงงานเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) เช่น การพัฒนาทักษะฝีมือ ทักษะภาษาอังกฤษและภาษาอาเซียน รวมถึงทักษะไอทีให้แก่แรงงานไทย การพัฒนาแรงงานในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้เด็กรุ่นใหม่เรียนจบ แล้วมีงานทำ และลดจำนวนผู้ว่างงาน โดยให้ทั้ง 5 หน่วยงานสังกัดรง.บูรณาการการทำงานร่วมกันและทำงานเชิงรุก เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีเอกภาพและเห็นผลงานชัดเจน" เลขานุการรมว.แรงงาน กล่าว

นายสง่า กล่าวต่อไปว่า ส่วนการเตรียมความพร้อมแรงงานเพื่อรองรับเออีซีนั้น กระทรวงแรงงานจะตั้งคณะกรรมการพัฒนาแรงงานเพื่อรองรับเออีซีโดยมีผู้บริหาร กระทรวงแรงงาน รวมทั้งเชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานภายนอก เช่น อาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทีดีอาร์ไอมาร่วมเป็นคณะกรรมการ และจะจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมารองรับ โดยเบื้องต้นจะจัดตั้งเป็นหน่วยงานย่อยๆในสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานภายใน เดือนกันยายนนี้ หลังจากนั้นในอนาคตจะยกระดับขึ้นมาเป็นระดับสำนัก โดยจะมอบให้รองปลัดกระทรวงแรงงานดูแล เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมแผนงาน ยุทธศาสตร์และข้อมูลต่างๆด้านเออีซีของทั้ง 5 หน่วยงาน ซึ่งจะทำให้การขับเคลื่อนภารกิจในการพัฒนาแรงงานรองรับเออีซีเป็นไปอย่างมี เอกภาพและมีประสิทธิภาพ.

(เนชั่นทันข่าว, 22-8-2555)

สปส.ตั้งกก.สอบทุจริตเบิกค่ารักษาพยาบาล

นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม(สปส.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ได้ตรวจสอบว่าพบเจ้าหน้าที่กองคลังซึ่งเป็นพนักงานลูกจ้างของ สปส.มีพฤติกรรมทุจริตในการเบิกค่ารักษาพยาบาลภายในสำนักงานประกัน สังคม(สปส.) ทั้งนี้ เบื้องต้นได้ย้ายเจ้าหน้าที่กองคลังคนดังกล่าว ซึ่งรับผิดชอบเรื่องการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปปฏิบัติงานในตำแหน่งอื่น เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยตนได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการในเรื่องนี้และมีรองเลขาธิการส ปส.เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เบื้องต้นพบว่ามีการเบิกค่าเอ็กซเรย์ร่างกายของเจ้าหน้าที่ในสปส.หลายคน เป็นวงเงินกว่า 50,000 บาท อย่างไรก็ตาม คาดว่าวงเงินที่มีการทุจริตน่าจะมียอดสูงกว่านี้ แต่ยังไม่สามารถบอกได้ในขณะนี้ จะต้องรอตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน

"จากการเรียกมาสอบถามเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่มีการตรวจตามที่เบิกค่า รักษาพยาบาล ดังนั้น จึงได้ทำหนังสือตรวจสอบข้อมูลไปยังโรงพยาบาลที่เจ้าหน้าที่สปส.ใช้บริการว่า มีกี่รายที่ทำการตรวจร่างกายด้วยการเอ็กซเรย์ รวมทั้งมีการตรวจร่างกายในลักษณะใด และมีค่ารักษาพยาบาลจำนวนเท่าใดบ้าง ขณะนี้กำลังรอโรงพยาบาลแจ้งข้อมูลกลับมา หากโรงพยาบาลแจ้งข้อมูลกลับมา ก็จะสามารถสรุปข้อเท็จจริงได้ หากพบว่ามีการทุจริตจริงก็ต้องแจ้งความดำเนินคดีและให้เจ้าหน้าที่ที่กระทำ ผิดออกจากสปส. เนื่องจากความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดร้ายแรง" เลขาธิการสปส. กล่าว

ด้านนายเผดิม สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน(รมว.รง.) กล่าวว่า ได้กำชับไปยังเลขาธิการสปส.ให้ตรวจสอบอย่างรัดกุม หากพบว่ามีการทุจริตให้ดำเนินการขั้นเด็ดขาด เนื่องจากเป็นเงินสมทบที่มาจาก 3 ฝ่ายทั้งนายจ้าง ลูกจ้างและรัฐบาล ในการนำมาดูแลสิทธิประโยชน์ต่างๆของผู้ประกันตนกว่า 10 ล้านคน รวมทั้งในการนำมาดูแลรักษาพยาบาลและสิทธิประโยชน์ต่างๆของผู้ประกันตนและ เจ้าหน้าที่สปส.ด้วย

(เนชั่นทันข่าว, 22-8-2555)

คค.นัดการท่าเรือฯ แจง หลังถูกผู้บริหารขู่

นายอนันต์ รัตนพันธ์ พนักงานการสินค้า 6 การท่าเรือแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า วันนี้ ผู้แทนพนักงานแต่ละสายงาน กว่า 100 คน เดินทางมายื่นหนังสือเพื่อขอความเป็นธรรมถึง พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะที่กำกับดูแลการท่าเรือฯ โดยในปัจจุบัน พนักงานของการท่าเรือที่ฟ้องร้องศาล เนื่องจากการท่าเรือฯ จ่ายค่าทำงานล่วงเวลาที่ยังจ่ายไม่ครบตามมาตรฐานขั้นต่ำ ของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ซึ่งได้มีการดำเนินการฟ้องร้องถึง 3 ครั้ง และศาลได้พิพากษาให้ชนะคดีแล้ว แต่ทางการท่าเรือฯ ไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาล รวมทั้งจะมีการจ้างทนายมาฟ้องดำเนินคดีอาญากับพนักงานกลับด้วย นอกจากนี้ ในปัจจุบัน พนักงานที่ร่วมฟ้องศาล ได้ถูกผู้บริหารระดับสูงข่มขู่ว่า จะไม่ได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งประจำปี หรือถึงขั้นจะถูกไล่ออกทั้งหมดอย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการรับหนังสือจากพนักงานการท่าเรือฯ ว่า ในวันพุธที่ 29 ส.ค.นี้ ได้นัดหารือกับตัวแทนพนักงานในเรื่องดังกล่าว เพื่อหาทางออกของปัญหาต่อไป

(ไอเอ็นเอ็น, 23-8-2555)

วอลเลย์บอลเพื่อชาติเบี้ยซ้อมนักกีฬาเทียบเท่าค่าแรงขั้นต่ำ

รายได้ในการฝึกซ้อมของนักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติไทย จากทางสมาคมวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ได้มีมารตฐานในการให้ค่าตอบแทนการฝึกซ้อมต่อเดือน จำนวนเงินเดือนล่ะ 9,000 บาท ตกเฉลี่ยต่อวัน 300 บาท ซึ่งเท่ากับรายได้ค่าแรงขึ้นต่ำที่ทางรัฐบาลได้ตั้งขึ้น

ส่วนข้อมูลได้รับยืนยันได้จากจากร.ท.จักรสุวรรณ โตเจริญ เลขาธิการสมาคมวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ซึ่งทุกข้อมูลทางสมาคมไม่มีการปิดบังแต่อย่างใดและพร้อมที่จะให้ประชาชนได้ รับทราบและเข้าใจในทิศทางเดียวกัน

จากกรณีเบี้ยเลี้ยงการฝึกซ้อมของนักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติไทย ได้รับเงินในการฝึกซ้อมต่อเดือน เดือนล่ะ 9,000 บาท โดยเป็นมารตฐานที่ทุกทีมในสมาคมจะได้รับ

ไม่ว่าจะเป็น วอลเลย์บอลทีมชาติชาย-หญิง ,เยาวชนชาย-หญิง , ยุวชนชาย-หญิง ตลอดจนทีมวอลเลย์บอลชายหาดทุกชุด ในการรับเงินนักกีฬาจะได้รับต่อเมื่อมีการเข้าเก็บตัวฝึกซ้อมเพื่อเข้าร่วม แข่งขันในรายการต่างๆที่ทางสมาคมได้ส่งสมัครเพื่อเข้าร่วม

(ไอเอ็นเอ็น, 23-8-2555)

คนงานโลหะ ปิโตเรียม เคมีภัณฑ์ สิ่งทอ ประเทศไทยร่วมเดินหน้าความเป็นหนึ่ง

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2555ทีผ่ามา คนงานโลหะฯ เคมีภัณฑ์ และสิ่งทอ ได้ประชุมร่วมกันที่ห้องประชุมสำนักงาน สมาพันธ์แรงงาน เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเลคทรอนิกส์ ยานยนต์และโลหะ แห่งประเทศไทย (TEAM) เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ การทำกิจกรรมร่วมกัน ทั้งด้านวิชาการ และภาคสนาม ก่อนนำไปสู่การควบรวมเป็น IndustriALL THAILAND ในอนาคต โดยมีองค์กรสมาชิกฯ ที่เข้าร่วมประชุมดังนี้

สมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคทรอนิกส์ ยานยนต์และโลหะแห่งประเทศไทย (TEAM) สหพันธ์แรงงานปิโตเรียมและเคมีภัณฑ์แห่งประเทศไทย (ICEM) สหพันธ์แรงงาน สิ่งทอ แห่งประเทศไทย (ITGWFT) สภาองค์การลูกจ้างแรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย (ALCT)

จากการประชุมในครั้งนี้มีข้อสรุปแนวทางการควบรวมเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับขบวนการแรงงาน ตามนโยบายขององค์กรแม่ต่างประเทศ

1.  จัดตั้งคณะทำงาน  จากผู้แทนของแต่ละองค์กรเพื่อประชุมและประสานงานร่วมกัน   โดยจะคัดเลือกเข้ามาองค์กรละ ไม่ต่ำกว่า 5 คน   โดยให้แต่ละองค์กรไปคัดสรรกรรมการเอง

2.  จัดประชุมร่วมกันในรูปแบบสัญจร  เดือนละ 1 ครั้ง ผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพในการต้อนรับ กรณีที่ใดไม่พร้อมในรอบการประชุมให้ TEAM รับผิดชอบแทนในเดือนนั้น ๆ

3.  ในขณะที่ยังควบรวมกันไม่ได้  ให้ใช้กิจกรรมเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ เพื่อให้เกิดความเป็นพี่เป็นน้องและรักใคร่กลมเกลียวกันมากขึ้น  โดยการทำกิจกรรมทุกครั้งถ้าต้องทำเสื้อให้ใช้โลโก้ IndustriALL THAILAND เพื่อบ่งบอกความเป็นตัวตนที่มีจุดยืนคือเป็นองค์กรเดียวกัน

4.  คณะทำงานที่มีการประชุมกัน จะต้องมีการทำแผนงานและกิจกรรมร่วมกัน ทำแผนระยะยาวเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้าร่วมกัน  มีการเรียนรู้เรื่องของโครงสร้างและข้อจำกัดความเป็นตัวตนของแต่ละองค์กร เพื่อปรับเปลี่ยนแนวคิดร่วมกัน

5.  เมื่อเรามีความกลมเกลียวกันมากขึ้นแล้ว  จะมีการจัดสัมมนาคณะกรรมการทุกองค์กรร่วมกัน เพื่อการควบรวม  และเปิดตัวต่อสาธารณะชนว่าเราคือ IndustriALL ประเทศไทย

6.  จึงเกิดแนวความคิดในเรื่องของการรวมตัวกันของขบวนการแรงงาน  ซึ่งจะต้องรวมภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อจะได้ช่วยเหลือ  พึ่งพาและร่วมกันสร้างความเข้มแข็ง สร้างอำนาจต่อรองทั้งภายในประเทศและร่วมกับต่างประเทศ ต้องร่วมกันทำให้เสียงของแรงงานดังขึ้นต้องดังพอที่จะทำให้รัฐบาลแต่ละ ประเทศหันมาฟังและหันมาให้ความสำคัญกับการแก้ไขประเด็นปัญหาของแรงงาน  จึงมีนโยบายให้กับประเทศสมาชิกฯ ได้มีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์  ปรับแนวความคิดเพื่อให้สอดคล้องกับองค์กรต้นสังกัดคือ  INDUSTRIALL โดยเริ่มจากการจัดประชุมพูดคุยหารือร่วม  การวางแผนงานและการทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อนำไปสู่กันควบรวมองค์กรในแต่ละประเทศสมาชิกฯ จึงก่อให้เกิดการจัดการประชุมร่วมกันตามแผนงานในครั้งนี้

ธีระวุฒิ เบญมาตย์ นักสื่อสารแรงงาน สมุทรปราการ รายงาน

(ว๊อยซ์เลเบอร์, 25-8-2555)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดตัว “กระบวนการสันติภาพปาตานี” สร้างพื้นที่กลาง-ระดมความคิดดับไฟใต้

Posted: 25 Aug 2012 04:45 AM PDT

ในช่วงต้นเดือนกันยายน ภาคประชาสังคมที่ขับเคลื่อนเรื่องสันติภาพในภาคใต้จะมีการเปิดตัว “กระบวนการสันติภาพปาตานี” (Pat[t]ani Peace Process - PPP) โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ได้พูดคุยกับผศ.ดร. ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี นักรัฐศาสตร์ผู้คร่ำหวอดกับการศึกษาเรื่องความขัดแย้งในภาคใต้ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนแนวคิดดังกล่าว
 
“กระบวนการสันติภาพปาตานีคืออะไร”
 
 
รศ.ดร. ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี 
 
ความรุนแรงได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเกือบ 9 ปีแล้วแต่ว่ายังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ว่าความขัดแย้งที่มีการใช้ความรุนแรงนี้จะจบลงอย่างไร และเมื่อไร  รศ.ดร. ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี   นักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  วิทยาเขตปัตตานีอธิบายว่านักวิชาการบางสายที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องความขัดแย้งไม่ได้มุ่งที่จะหยุดความขัดแย้ง แต่มุ่งที่จะเปลี่ยนความขัดแย้ง (conflict transformation) จากความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรงไปสู่การไม่ใช้ความรุนแรง
 
“การมีความคิดเห็นที่แตกต่างเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีด้วย เพราะความขัดแย้งสามารถเป็นพลังในการขับเคลื่อนการพัฒนาของสังคม แต่ว่าประเด็นคือจะต้องไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนั้น” ดร.ศรีสมภพอธิบาย
 
“กระบวนการสันติภาพปาตานี” เป็นโมเดลทางความคิดที่ต้องการเปิด “พื้นที่กลาง” ในการพูดคุยระหว่าง “คนใน” ซึ่งหมายถึงคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง (stakeholders) เพื่อที่จะนำไปสู่การวิเคราะห์ความขัดแย้งและการเสนอแผนที่เดินทางไปสู่สันติภาพอย่างเป็นรูปธรรม โดยจะมีการขับเคลื่อนในลักษณะที่เป็น  “พหุวิถีการสื่อสาร” (Multi platform)  โดยดึงเอาหลายๆ ภาคส่วนเข้ามาร่วมทั้งองค์กรภาคประชาสังคม สื่อสารมวลชน สถาบันการศึกษา และหน่วยงานภาครัฐต่างๆ  และจะใช้การสื่อสารในหลายๆ ช่องทาง ทั้งสื่อกระแสหลัก สื่อทางเลือกและโซเชียลมีเดียในการขับเคลื่อน
ดร.ศรีสมภพยังชี้ว่าการเอาคู่ขัดแย้งมาคุยกันเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอสำหรับการแสวงหาทางออก
 
“กระบวนการสันติภาพในปาตานีเป็นกระบวนการที่ต้องเดินไปพร้อมกันหลายภาคส่วน ไม่เพียงแต่ปล่อยให้คู่กรณีหลักอย่างฝ่ายรัฐและฝ่ายตรงข้ามรัฐมากำหนดแนวทางยุติความขัดแย้งฝ่ายเดียว แต่ยังต้องให้ภาคประชาสังคม นักวิชาการ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำศาสนาที่อยู่ในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วม และที่สำคัญประชาชนต้องมีพื้นที่ในการเสนอทางออกสู่สันติภาพด้วย” ดร.ศรีสมภพกล่าว
 
ดร.ศรีสมภพอธิบายว่านักวิชาการด้านสันติภาพที่ได้ศึกษาถึงความสำเร็จและความล้มเหลวของการจัดการความขัดแย้งในพื้นที่ต่างๆ ในโลกได้แบ่งกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการพูดคุยเพื่อสันติภาพเป็น 3 ระดับชั้น Track 1 คือ รัฐ กับ ขบวนการกบฏติดอาวุธ Track 2 ภาคประชาสังคม และ Track 3 คือ ประชาชนรากหญ้า 
 
“ในภาคใต้นั้น  ที่ผ่านมาการพูดคุยจำกัดอยู่เฉพาะแค่ Track 1 กระบวนการเดินหน้าเพื่อหาสันติภาพของปัตตานีต้องไม่ผูกขาดโดยรัฐหรือขบวนการอย่างเดียว ข้อเสนอต้องมาจากข้างล่าง การเดินไปในรูปแบบที่หลากหลายและไปพร้อมๆ กัน จะทำให้เกิดความเข้มแข็งและสร้างอำนาจต่อรองได้จริง” ดร.ศรีสมภพกล่าว
 
สิ่งที่รัฐและภาคประชาสังคมจะต้องร่วมกันผลักดันคือ การเปิดพื้นที่ทางการเมืองเพื่อให้ทุกๆ ฝ่ายมาร่วมกันถกเถียง  เปิดให้มีการพูดคุยถึงเรื่องรากเหง้าของปัญหา เช่น เรื่องความไม่เป็นธรรม ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องชาติพันธุ์  และจะต้องดึงฝ่ายที่ใช้ความรุนแรงเข้ามาเพื่อทำให้พวกเขาเข้าใจว่าเขาสามารถที่จะนำเสนอความคิดทางการเมืองได้อย่างสันติ 
 
 ดร.ศรีสมภพได้อธิบายเพิ่มเติมว่าสิ่งที่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะช่วยลดการใช้ความรุนแรงได้คือการสร้างอำนาจเพื่อถ่วงดุลจากพื้นที่กลางให้มากขึ้นเรื่อยๆ ข้อเสนอที่มีน้ำหนักจากฝ่ายที่ประกาศไม่ใช่ความรุนแรงจะมีพลังในการเรียกร้องมากกว่า ซึงไม่จำเป็นว่าจะต้องลดทอนข้อเสนอทางการเมืองของฝ่ายขบวนการแต่อย่างใด  
 
นอกจากนี้ ดร.ศรีสมภพยังชี้ว่ากระบวนการสันติภาพปาตานีนั้นจะต้องรวมถึงการปฏิรูปฝ่ายความมั่นคง (security sector reform) ด้วย การทำงานด้านความคิดกับกองทัพจะเป็นหัวใจสำคัญต่อความสำเร็จของกระบวนการนี้  ถ้ากองทัพจะยังมุ่งใช้กำลังในการปราบปรามกองกำลังติดอาวุธฝ่ายตรงข้าม การแสวงหาทางออกร่วมกันก็คงจะดำเนินไปได้ยาก
 
เปิดตัว Pat[t]ani Peace Process – PPP
 
 
 
เพื่อวางหมุดหมายการเริ่มต้น “กระบวนการสันติภาพปาตานี” (PPP: PA(T)TANI PEACE PROCESS IN ASEAN CONTEXT) ทาง Deep South Watch ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้าในการเป็นเจ้าภาพจัดเวทีอภิปรายเรื่อง "กระบวนการสันติภาพปาตานีในบริบทของอาเซียน" ในเวลา 14.00 – 17.00 น. วันที่ 7 กันยายน 2555 ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ 
 
เวทีนี้เป็นส่วนหนึ่งของการประชุมวิชาการนานาชาติรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และสันติศึกษาในบริบทอาเซียน (The International Conference on Political Science, Public Administration and Peace Studies in ASEAN Countries) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 6 – 7 กันยายน 2555  
 
วิทยากรในเวทีมีดังนี้
 
- ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) และผู้อำนวยการสถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี พูดเรื่อง “แนวคิดเรื่องพหุวิถีและสหอาณาบริเวณสำหรับกระบวนการสันติภาพปาตานี” 
 
- ดร.อะกิโกะ โฮริบะ ที่ปรึกษามูลนิธิสันติภาพซาซากาว่า  ประเทศญี่ปุ่น พูดเรื่อง “การหนุนเสริมสันติภาพจากคนนอก”
 
- นายดาดัง ตรีซาซงโก ที่ปรึกษาสถาบันช่วยเหลือทางกฎหมาย Lembaga Bantuan Hukum (LBH)  ประเทศอินโดนีเซีย พูดเรื่อง “บทบาทของประชาสังคมในกระบวนการสันติภาพ”
 
- ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสารสันติภาพ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์สันติวิธี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) พูดเรื่อง “ทำความเข้าใจสันติเสวนาและการเจรจาเพื่อสันติภาพ”
 
- ศ.ดร.ดันแคน แมคคาร์โก ศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยลีดส์ ประเทศอังกฤษ พูดเรื่อง “บทสนทนาว่าด้วยการปกครองตนเองในฐานะที่เป็นสาระหลักในความขัดแย้งชายแดนใต้”
 
- นายคอยริน อันวาร์  ผู้ประสานงานประจำภูมิภาคแห่งอาเซียน Malaysian Relief Agency (MRA) พูดเรื่อง “ประสบการณ์มาเลเซียในจังหวัดชายแดนใต้ของไทย”
 
- ตัวแทนจากประเทศฟิลิปปินส์ (อยู่ระหว่างการประสานงาน)
 
ดำเนินรายการโดยเมธัส อนุวัตรอุดม สำนักงานสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า และชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

 

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

‘เครือข่ายป่าภาคใต้’ เตรียมเคลื่อนใหญ่กดดันนำปัญหาที่ดินเข้าประชุม ‘ครม.’

Posted: 25 Aug 2012 04:30 AM PDT

เทือกเขาบรรทัดร้อนจัด อุทยานฯ บุกพัทลุงฟันยางราบ 17 แปลง โร่ม็อบศาลากลางตรัง รองผู้ว่าฯ แจงจังหวัดไม่มีอำนาจชะลอปฏิบัติการ 1,500 นาย หัวหน้าเขาปู่-เขาย่ายันทำตามกฎหมาย รออธิบดีสั่งลุย “เครือข่ายฯ ป่าภาคใต้”เตรียมเคลื่อนใหญ่กดดันนำปัญหาที่ดินเข้าประชุมครม. จี้ดำรงค์แก้ปัญหาสมัชชาคนจน
 
 
เดือดร้อน-ชาวบ้านเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด ระแวงจัดม็อบศาลกลางตรัง หวังผู้ว่าฯ ช่วยชะลอการตัดฟันของกรมอทยานฯ
 
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 24 สิงหาคม 2555 ที่หน้าศาลากลางจังหวัดตรัง เครือข่ายปฏิรูปเทือกเขาบรรทัด จากจังหวัดตรัง พัทลุง และประจวบคีรีขันธ์ สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) จากจังหวัดสุราษฎร์ธานี สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย และเครือข่ายชาวบ้านที่ถูกอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมประกาศทับที่ ประมาณ 300 คน ชุมนุมเรียกร้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตรังแก้ไขปัญหาของชาวบ้านเครือข่ายปฏิรูปเทือกเขาบรรทัด กรณีที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด มีแนวโน้มบุกทำตัดฟันยางพารา และอาสิน ของชาวบ้านในเขตป่าอนุรักษ์ในพื้นที่จังหวัดตรัง ตามนโยบายปราบปรามผู้บุกรุกเขตป่าอนุรักษ์ของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช 
 
หลังจากวันที่ 23 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อุทยานเขาปู่-เขาย่า เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด พร้อมตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) สนธิกำลังประมาณ 200 นาย ได้บุกตัดฟันสวนยางพารา และอาสิน ของชาวบ้านคอกเสือ ตำบลบ้านนา อำเภอศรีนครินทร์ จังหวัดพัทลุง 5 แปลง เป็นสมาชิกของเครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เขาบรรทัด และสมัชชาคนจน จำนวน 4 แปลง ชาวบ้านบ้านตะแพน ตำบลตะแพน อำเภอศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง จำนวน 2 แปลง และชาวบ้านที่อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง อีก 9 แปลง รวม 17 แปลง
 
นายมนภัทร วังศานุวัตร ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทสจ.) จังหวัดตรัง บอกกับชาวบ้านว่า นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดตรังติดภารกิจไม่สามารถพบกับชาวบ้านได้ แต่ตนได้ประสานงานไปยังหัวหน้าเขตอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า แล้วได้รับคำตอบว่าภายในเดือนสิงหาคม 2555 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะไม่สนธิกำลังตัดฟันยางพาราขงชาวบ้านในจังหวัดตรัง
 
แต่ชาวบ้านยืนยันที่จะพบผู้ว่าราชการจังหวัดให้ได้ โดยปักหลักกินข้าวและจะนอนที่ศาลากลางจังหวัดตรัง หากไม่ได้พบผู้ว่าฯ เพื่อประสานงานกับอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด ให้ชะลอการตัดฟันยางพาราและอาสิน ของสมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด และเครือข่ายชาวบ้านที่ถูกอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมประกาศทับที่ ซึ่งดำเนินการนโยบายโฉนดชุมชน ของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน (ปจช.)
 
ต่อมาเวลา 16.35 น. นายสาธร นราวิสุทธิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ได้เปิดห้องเจรจากับตัวแทนชาวบ้าน 23 คน โดยมีนายมนภัทร วังศานุวัตร ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทสจ.) จังหวัดตรัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดยชาวบ้านให้จังหวัดตรัง ทำหนังสือชะลอการรื้อถอนอาสินถึงหัวหน้าชุดปฏิบัติการรื้อถอนของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช 1,500 นาย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า และหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด
 
นายสาธร ชี้แจงว่า จังหวัดตรัง และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทสจ.) จังหวัดตรัง ไม่สามารถทำหนังสือชะลอการรื้อถอนอาสินของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สิ่งที่ทำได้คือการทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ว่าชาวบ้านเดือดร้อนจากนโยบายปราบปรามผู้บุกรุกเขตป่าอนุรักษ์ของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช จากนั้นปลัดกระทรวงฯ จะหารือกับอธิบดีกรมอุทยานฯ ว่าจะดำเนินการอะไรได้
 
นางสาวบัณฑิตา อย่างดี เจ้าหน้าที่สื่อสารสาธารณะและสนับสนุนเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด เสนอว่า ถ้าอย่างนั้นให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ประสานงานกับหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการรื้อถอนของกรมอุทยานฯ 1,500 นาย เพื่อให้ชาวบ้านได้ทราบนโยบายการรื้อถอนว่าจะลงพื้นที่ไหนอย่างไร ก่อนเข้าปฏิบัติการ โดยชาวบ้านจะรอฟังคำตอบหน้าศาลากลางจังหวัดตรัง
 
กระทั่งเวลา 20.13 น. นายสาธร นราวิสุทธิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ได้ลงมาพบกับชาวบ้าน และกล่าวว่า ตนได้โทรศัพท์ไปถึงอธิบดีกรมอุทยานฯ และรองอธิบดีกรมอุทยานฯ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ จากนั้นตนได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า ได้รับเอกสารยืนยันว่า เจ้าหน้าที่อทยานฯ ต้องปฏิบัติตาม มาตรา 22 ของพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504  สำหรับคำสั่งของจังหวัดให้ชะลอการตัดฟัน ไม่สามารถปฏิบัติตามได้
 
สำหรับมาตรา 22 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504  ระบุว่า ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้ เป็นเหตุให้มีสิ่งปลูกสร้างขึ้นใหม่ หรือมีสิ่งอื่นใดในอุทยานแห่งชาติ ผิดไปจากสภาพเดิม ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้ผู้กระทำความผิดทำลายหรือรื้อถอนสิ่งนั้นๆ ออกไปให้พ้นอุทยานแห่งชาติ หรือทำให้สิ่งนั้นๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม แล้วแต่กรณีถ้าผู้กระทำความผิดไม่ปฏิบัติตาม หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้กระทำความผิด หรือเพื่อป้องกัน หรือบรรเทาความเสียหายแก่อุทยานแห่งชาติ พนักงานเจ้าหน้าที่ จะกระทำดังกล่าวแล้วอย่างใดอย่างหนึ่งเสียเองก็ได้ตามสมควรแก่กรณี และผู้กระทำความผิดมีหน้าที่ชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป ในการที่พนักงานเจ้าหน้าที่กระทำการเสียเองนั้น
 
นายสาธร ชี้แจงว่า หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า บอกว่าถ้าต้องการให้มีการชะลอการตัดฟันยางพารานั้นต้องออกเป็นมติคณะรัฐมนตรีเท่านั้น ซึ่งจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 28 สิงหาคม 2555 ตนจึงขอความร่วมมือไปว่าจนกว่าจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีขอให้เจ้าหน้าที่ฯ อย่าตัดฟันสวนยางพาราของชาวบ้านได้ไหม แต่ได้รับคำตอบว่าต้องฟังคำสั่งของอธิบดีกรมอุทยานฯ เท่านั้น
 
เมื่อได้ฟังคำชี้แจงแล้วชาวบ้านได้เลิกชุมนุมในเวลา 21.30 น.
 
นายสมนึก พุฒนวล กรรมการเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าเครือข่ายปฏิรูปเทือกเขาบรรทัดจะเดินทางมาชุมนุมประท้วงที่ศาลากลางจังหวัดตรังอีกครั้งด้วยการระดมมวลชนให้มากกว่าเดิมเพื่อกดดันให้คณะรัฐมนตรีนำปัญหาเรื่องการตัดฟันอาสินของชาวบ้าน จากนโยบายของกรมอุทยานฯ เพื่อนำเข้าพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรี
 
“โดยในระหว่างนี้ให้ชาวบ้านกลับไปเฝ้าระวังพื้นที่อย่างเข้มงวด หากมีพื้นที่ไหนที่ถูกเจ้าหน้าที่นำกำลังฯ จะเข้าตัดฟันสวนยางพารา ให้ประสานงานกับเครือข่ายฯ โดยเร่งด่วนเพื่อจะได้นำกำลังสมาชิกเครือข่ายฯ ไปช่วยตรึงพื้นที่สวนยางพาราของชุมชนไว้ เพื่อป้องกันการหลอกล่อด้วยการคุยกับชาวบ้าน แล้วนำกำลังตีตลบหลังไปบุกตัดฟันเช่นที่เกิดกับพื้นที่จังหวัดพัทลุงมาแล้ว” นายสมนึก กล่าว
 
นายอานนท์ สีเพ็ญ ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เขาบรรทัด สมาชิกสมัชชาคนจน เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าเครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เขาบรรทัด จะยื่นหนังสือถึงนายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในฐานะกรรมการของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชาคนจน ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 181/2555 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2555 ลงนามโดยของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้แก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน กรณีปัญหาที่ดิน ให้หยุด หรือชะลอการตัดฟันยางพาราในเขตป่าอนุรักษ์ที่ถูกประกาศทับที่ชาวบ้าน ผ่านนายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง
 
นายอานนท์ เปิดเผยอีกว่า ช่วงวันที่ 25-26 สิงหาคม 2555 ตนได้กำชับสมาชิกเครือข่ายฯ ให้เฝ้าระวังพื้นที่ของตัวเองเอาไว้อย่างเข้มงวด ขณะที่สัปดาห์หน้าเครือข่ายองค์กรชุมชนรักษ์เขาบรรทัด จะมีการเคลื่อนไหวใหญ่ เพื่อยกระดับการต่อสู้ให้คณะรัฐมนตรี กรมอุทยานฯ หรือหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ต้องลงมาเจรจากับชาวบ้านให้ได้ ไม่ใช่ชาวบ้านต้องเดินทางชุมนุมประท้วงหน้าทำเนียบรัฐบาล หน้าศาลากลางจังหวัดเท่านั้น 
 
“ก่อนหน้านี้ผมเคยเร่งให้ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชาคนจน ดำเนินการประชุมแก้ปัญหาในวันที่ 28 สิงหาคม 2555 แต่ได้รับคำตอบว่ารัฐบาลกำลังยุ่งอยู่กับการเสนอผลงานรัฐบาลในรอบ 1 ปี  ครั้นเมื่อมีปัญหาไฟลนก้นเกิดขึ้นในพื้นที่อย่างนี้ต้องมีการกระตุ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ผมศรัทธาในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยนะ ที่มีการประกาศนโยบายแก้ไขปัญหาที่ดินให้ชาวบ้าน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ผมว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ได้ต่างกับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เลย” นายอานนท์ กล่าว
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"เสรีพิศุทธ์" เปิดตัวลงชิงผู้ว่าฯกทม. ลั่นกรุงเทพฯเปลี่ยนใน 4 ปี

Posted: 25 Aug 2012 03:30 AM PDT

25 ส.ค. 55 - เนชั่นทันข่าวรายงานว่าที่ห้องบอลรูม 2 ชั้น 4 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล บางกอก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จัดงานเปิดตัวลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ภายใต้สังกัด "กลุ่มพลังกรุงเทพ" ซึ่งบรรยากาศก่อนเริ่มงานมีประชาชน ข้าราชการตำรวจทั้งในอดีตและปัจจุบันมาร่วมงานอย่างคึกคัก ภายในงานมีการแจกเสื้อสกรีนภาพ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ พร้อมข้อความ เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ประธานกลุ่มเพื่อนเสรี 5-5-55 นอกจากนี้มีการแจกซีดี สติกเกอร์ และนามบัตรระบุข้อความ เพื่อกรุงเทพที่ดีกว่า ผมและเพื่อน กลุ่มพลังกรุงเทพ ขออาสารับใช้ครับ โดย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า กรุงเทพฯอายุ 200 กว่าปี ตั้งแต่เกิดมากรุงเทพฯ ยังมีปัญหาเรื่อยๆ ถ้าตนได้รับความไว้วางใจจากประชาชนโดยกลุ่มพลังกรุงเทพฯภายใน 1 ปี จะเห็นความเปลี่ยนแปลง อีก 4 ปีจะเห็นวามเรียบร้อยอย่างที่ต้องการ เพราะตนกล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ ภายใต้อุดมการณ์ ขยัน ซื่อสัตย์ สุจริต ตนประเดิมเปิดตัวเป็นคนแรกทั้งที่พรรคอื่นยังไม่เปิดตัว เพราะทำอะไรต้องมีความพร้อม 
 
จากนั้นนายสุวิช สุทธิประภา รับหน้าพิธีกรสอบถามพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ถึงการแสดงวิสัยทัศน์ลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. โดยพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ตนมีความพร้อม ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ตอนนี้อายุ 64 ข้าราชการประจำยังเป็นลูกน้อง ที่ผ่านมามีตำรวจในปกครองกว่า 200,000 นาย และประชาชนทั้งประเทศ ถ้าเป็นผู้ว่าฯกทม.ก็ดูแลกรุงเทพฯได้ กรุงเทพฯพื้นที่ไม่มาก จึงอยากใช้เวลาที่เหลือก่อนตายทำงานให้ประชาชน เพราะคนกล้าตัดสินใจมีน้อย ส่วนตำแหน่งทีมงาน ตนมีจำนวนมาก แต่ยังไม่จำเป็นจะเปิดตัววันนี้ รอเวลาที่เหมาะสม ขณะที่ฐานเสียงพรรคการเมืองนั้น ตนมีคนกรุงเทพฯและต่างจังหวัดสนับสนุนมหาศาล เพียงยังไม่มีการเลือกนายกฯเท่านั้นเอง 
 
"ปีนี้ถ้าน้ำมาเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและผู้ว่าฯกทม.คนปัจจุบัน แต่ถ้ารัฐบาลเอาไม่อยู่ ผู้ว่าฯกทม.เอาไม่อยู่ไปฆ่าตัวตายซะ แต่ถ้าผมเป็นผู้ว่าฯกทม.น้ำไม่มีแน่ ทั้งนี้ ถ้าได้เป็นผู้ว่าฯกทม.จะไม่ทะเลาะกับใคร จะทำงานอย่างเดียว เพราะไม่อยากเสียเวลา และตั้งใจว่าถ้าใครด่าก็จะไม่ฟ้อง ผมมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุ 30 คนที่อายุ 60 หรือคนอายุ 20 ก็รู้จักผม ตอนนี้อายุ 60 แล้ว คนที่อายุ 50 ขึ้นไปต้องรู้จักผม เด็กๆเจอหน้าก็รู้จัก ตอนนี้มีแฟนเพจเข้ามาได้ตลอดเวลา ดังนั้นที่ผมลงมาสู้รับรองชนะ"พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักสหภาพฯ เดินหน้าสู่ IndustriALL THAILAND

Posted: 25 Aug 2012 02:49 AM PDT

คนงานโลหะฯ เคมีภัณฑ์ และสิ่งทอ ได้ประชุมร่วมกันที่ห้องประชุมสำนักงาน สมาพันธ์แรงงาน เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเลคทรอนิกส์ ยานยนต์และโลหะ แห่งประเทศไทย (TEAM) เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ การทำกิจกรรมร่วมกัน ทั้งด้านวิชาการ และภาคสนาม ก่อนนำไปสู่การควบรวมเป็น IndustriALL THAILAND ในอนาคต
 
25 ส.ค. 55 - เว็บไซต์ว๊อยเลเบอร์เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2555ทีผ่ามา คนงานโลหะฯ เคมีภัณฑ์ และสิ่งทอ ได้ประชุมร่วมกันที่ห้องประชุมสำนักงาน สมาพันธ์แรงงาน เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเลคทรอนิกส์ ยานยนต์และโลหะ แห่งประเทศไทย (TEAM) เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ การทำกิจกรรมร่วมกัน ทั้งด้านวิชาการ และภาคสนาม ก่อนนำไปสู่การควบรวมเป็น IndustriALL THAILAND ในอนาคต โดยมีองค์กรสมาชิกฯ ที่เข้าร่วมประชุมดังนี้
 
สมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคทรอนิกส์ ยานยนต์และโลหะแห่งประเทศไทย (TEAM) สหพันธ์แรงงานปิโตเรียมและเคมีภัณฑ์แห่งประเทศไทย (ICEM) สหพันธ์แรงงาน สิ่งทอ แห่งประเทศไทย (ITGWFT) สภาองค์การลูกจ้างแรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย (ALCT)
 
จากการประชุมในครั้งนี้มีข้อสรุปแนวทางการควบรวมเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับขบวนการแรงงาน ตามนโยบายขององค์กรแม่ต่างประเทศ
 
1. จัดตั้งคณะทำงาน  จากผู้แทนของแต่ละองค์กรเพื่อประชุมและประสานงานร่วมกัน   โดยจะคัดเลือกเข้ามาองค์กรละ ไม่ต่ำกว่า 5 คน   โดยให้แต่ละองค์กรไปคัดสรรกรรมการเอง
 
2. จัดประชุมร่วมกันในรูปแบบสัญจร  เดือนละ 1 ครั้ง ผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพในการต้อนรับ กรณีที่ใดไม่พร้อมในรอบการประชุมให้ TEAM รับผิดชอบแทนในเดือนนั้น ๆ
 
3. ในขณะที่ยังควบรวมกันไม่ได้  ให้ใช้กิจกรรมเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ เพื่อให้เกิดความเป็นพี่เป็นน้องและรักใคร่กลมเกลียวกันมากขึ้น  โดยการทำกิจกรรมทุกครั้งถ้าต้องทำเสื้อให้ใช้โลโก้ IndustriALL THAILAND เพื่อบ่งบอกความเป็นตัวตนที่มีจุดยืนคือเป็นองค์กรเดียวกัน
 
4. คณะทำงานที่มีการประชุมกัน จะต้องมีการทำแผนงานและกิจกรรมร่วมกัน ทำแผนระยะยาวเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้าร่วมกัน  มีการเรียนรู้เรื่องของโครงสร้างและข้อจำกัดความเป็นตัวตนของแต่ละองค์กรเพื่อปรับเปลี่ยนแนวคิดร่วมกัน
 
5. เมื่อเรามีความกลมเกลียวกันมากขึ้นแล้ว  จะมีการจัดสัมมนาคณะกรรมการทุกองค์กรร่วมกัน เพื่อการควบรวม  และเปิดตัวต่อสาธารณะชนว่าเราคือ IndustriALL ประเทศไทย
 
6. จึงเกิดแนวความคิดในเรื่องของการรวมตัวกันของขบวนการแรงงาน  ซึ่งจะต้องรวมภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อจะได้ช่วยเหลือ  พึ่งพาและร่วมกันสร้างความเข้มแข็ง สร้างอำนาจต่อรองทั้งภายในประเทศและร่วมกับต่างประเทศ ต้องร่วมกันทำให้เสียงของแรงงานดังขึ้นต้องดังพอที่จะทำให้รัฐบาลแต่ละประเทศหันมาฟังและหันมาให้ความสำคัญกับการแก้ไขประเด็นปัญหาของแรงงาน  จึงมีนโยบายให้กับประเทศสมาชิกฯ ได้มีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์  ปรับแนวความคิดเพื่อให้สอดคล้องกับองค์กรต้นสังกัดคือ  INDUSTRIALL โดยเริ่มจากการจัดประชุมพูดคุยหารือร่วม  การวางแผนงานและการทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อนำไปสู่กันควบรวมองค์กรในแต่ละประเทศสมาชิกฯ จึงก่อให้เกิดการจัดการประชุมร่วมกันตามแผนงานในครั้งนี้
 
ที่มา: 


ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อำลา “อากง SMS”

Posted: 24 Aug 2012 11:37 PM PDT

นายอำพล (สงวนนามสกุล) หรือ “อากง SMS” ชายชราวัย 60 ปีเศษ เป็นที่สนใจอย่างกว้างขวาง ภายหลังถูกดำเนินคดีในข้อหาส่ง SMS หมิ่นเบื้องสูง นับตั้งแต่การเริ่มพิจารณาไต่สวนคดี คดีนี้ก็เป็นจุดสนใจของนักกิจกรรมทางสังคม นักวิชาการ สื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ และเป็นประเด็นถกเถียงในโลกออนไลน์ และเมื่ออากงถูกพิพากษาจำคุก 20 ปี ประเด็นเรื่องความเหมาะสมของโทษและข้อกังขาต่อการดำเนินกระบวนการยุติธรรมในการพิจารณาคดีตามกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็กลายเป็นข้อถกเถียงของสังคมไทยที่ขยายใหญ่กว่าเดิม และเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้แก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายมาตรานี้เป็นวงกว้าง

การเริ่มต้นรณรงค์ครั้งใหญ่ให้ปลดปล่อยสังคมไทยออกจากพันธนาการแห่งความกลัวกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือโครงการ Thailand Fearlessness Free Akong ของปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ในขณะนั้น ได้สร้างกระแสการตื่นตัวอย่างมากในสังคมออนไลน์ มีผู้เข้าร่วมการรณรงค์ครั้งนั้นเป็นจำนวนมาก และมีกลุ่มเคลื่อนไหวต่อมาคือ คณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 หรือ ครก.112  เริ่มการรณรงค์รวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อเสนอต่อรัฐสภาขอแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยอาศัยร่างกฎหมายของนักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์เป็นหลัก

อากง SMS เสียชีวิตในวันที่ 8 พ.ค.2555 ระหว่างถูกคุมขังที่เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพฯ มานาน 1 ปีเศษ จากอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งในระยะสุดท้าย ผู้ต้องขังที่อยู่ใกล้ชิดอากงระบุในจดหมายว่า ระหว่างเจ็บป่วยอากงไม่เคยได้รับการรักษาพยาบาลอย่างถูกต้องเหมาะสม

การเสียชีวิตของอากง SMS ได้จุดกระแสความตื่นตัวต่อสิทธิของผู้ต้องขัง และเกิดกลุ่มกิจกรรมชื่อ กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล ที่จัดกิจกรรมการเสวนาหน้าศาลอาญา รัชดาต่อเนื่องทุกวันอาทิตย์ และปลายเดือน พ.ค.นั้น ครก.112 ได้นำรายชื่อประชาชนที่รวบรวมได้เกือบ 3 หมื่นรายชื่อยื่นต่อขอแก้ไขมาตรา 112 ต่อรัฐสภา

การทำพิธีและฌาปนกิจศพ อากง SMS จะจัดขึ้นในวันที่ 25 และ 26 พ.ค.นี้ ที่วัดลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"อังคาร กัลยาณพงศ์" เสียชีวิตแล้ว

Posted: 24 Aug 2012 06:37 PM PDT

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กของสุลักษณ์ ศิวรักษ์ แจ้งว่า อังคาร กัลยาณพงศ์ กวีซีไรท์และศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ เสียชีวิตแล้วเมื่อเวลา 1.30 น. วันนี้ (25 ส.ค.) โดยมีกำหนดอาบน้ำศพที่วัดตรีทศเทพ เวลา 17.00 น. โดยจะมีการสวดอภิธรรม 7 คืนก่อนรอรับพระราชทานเพลิงศพ

เนชั่นแชนเนลรายงานเพิ่มเติมว่า  อังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ ด้านกวีนิพนธ์ วัย 86 ปี เสียชีวิตแล้ว โดยจะมีพิธีอาบน้ำศพเย็นวันนี้ เวลา 17.00 น. วัดตรีทศเทพ และจะมีการสวดพระอภิธรรมศพเป็นเวลา 7 วัน 



อังคาร กัลยาณพงศ์ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของกำนันเข็ม และนางขุ้ม กัลยาณพงศ์ ในวัยเด็กร่างกายเคยเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวไม่ได้ มีหมอมารักษาด้วยสมุนไพรจนหาย



เรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดใหญ่และโรงเรียนวัดจันทาราม เรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนพระพุทธเจ้าหลวงอุปถัมภ์และโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดนครศรีธรรมราช ศึกษาจากโรงเรียนเพาะช่าง มหาวิทยาลัยศิลปากร แล้วไปเรียนที่คณะจิตรกรรมและประติมากรรมมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นศิษย์ของศิลปินใหญ่อย่างเช่น ศ. ศิลป พีระศรี. อ, เฟื้อ หริพิทักษ์,จึงได้ติดตามและร่วมมือกับอาจารย์ในด้านศิลปกรรม โบราณคดี และประวัติศาสตร์ 



ความเป็นกวีนั้นเป็นพรสวรรค์ที่อังคารเชื่อมั่นและฝึกฝนมาตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยม เมื่อออกจากมหาวิทยาลัยศิลปากรแล้ว ได้ร่อนเร่เรียนรู้และสร้างสรรค์การวาดภาพและเขียนบทกวี ได้มีโอกาสคุ้นเคยกับศิลปินและกวีร่วมยุคสมัยหลายคน มีผลงานบทกวีปรากฏในหนังสือ "อนุสรณ์น้องใหม่" มหาวิทยาลัยศิลปากร กระทั่งได้พบกับสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผู้ก่อตั้งกและเป็นบรรณาธิการคนแรกของ "สังคมศาสตร์ปริทัศน์" บทกวีของอังคาร กัลยาณพงศ์ จึงได้พิมพ์เผยแพร่อย่างกว้างขวาง มีผลงานที่จัดพิมพ์สร้างความตื่นตัวตื่นใจให้กับวรรณกรรมไทยมาเนิ่นนาน เช่น กวีนิพนธ์ (2507), ลำนำภูกระดึง (2512), สวนแก้ว (2515), บางกอกแก้วกำสรวลหรือนิราศนครศรีธรรมราช (2512) อันเป็นเล่ม



ในปี 2532 ได้รับคัดเลือกให้เป็นศิลปินแห่งชาติ ด้านกวีนิพนธ์ ซึ่งเป็นกวีร่วมสมัยที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น จินตกวี ผู้ที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับทั้งในด้านวรรณศิลป์และทัศนศิลป์



อังคาร กัลยาณพงศ์ ได้สมรสกับคุณอุ่นเรือน มีบุตรชาย 1 คน บุตรสาว 2 คน คือ ภูหลวง อ้อมแก้ว และวิสาขา กัลยาณพงศ์ โดยสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมและงานประพันธ์ทั้งร้องกรองและร้อยแก้วเป็นอาชีพ

 

ที่มา:
https://www.facebook.com/sulak.sivaraksa/posts/10151041435162798
http://breakingnews.nationchannel.com/home/read.php?newsid=647050&lang=T&cat

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

Archiculture Cross Section: อิสรภาพของป้าอุ๊และอากง

Posted: 24 Aug 2012 06:05 PM PDT

คืนนี้หยิบหนังสือที่ปราบดา หยุ่นแปลชื่อเป็นภาษาไทยไว้อย่างงดงามว่า “จะเป็นผู้คอยรับไว้ไม่ให้ใครร่วงหล่น”ขึ้นมาอ่านอีกหนึ่งรอบ ในวันที่ทั้งการมีชีวิตและการไม่มีชีวิต...ค่อยๆหล่นไปๆ.... พรุ่งนี้อากงจะกลายเป็นธุลีที่เป็นแค่ผงฝุ่นเล็กๆที่คงบังอาจทำได้เพียงทำให้บางคนเคืองตาไปตลอดชีวิต... หรืออาจลอยสูงเหนือไปกว่านั้นผ่านน้ำตาของใครอีกหลายคน

ข้อความเหล่านี้เขียนให้”ป้าอุ๊” (รสมาลิน) สำหรับชีวิตที่หนักหน่วงในช่วงไม่ถึง2 ปีสุดท้ายกับอากง มาจนถึงแม้หลังโศกนาฏกรรมส่วนตัวของครอบครัว  ป้าอุ๊ก็ยังคอยรับไว้อีกหลายชีวิตอย่างแข็งขัน  ด้วยไม่อยากให้ใครร่วงหล่นลงมาอีก... เหมือนกับที่แกเคยแบกรับไว้ไม่ทัน...
 
หนุ่มในห้องขัง

ปลายเดือนธันวา 2554 หนุ่มในห้องขังชะเง้อมองหาพวกเรา ด้วยความเงอะงะของพวกเราเองที่ไม่รู้ว่าเลยเวลารอบเยี่ยมที่กำหนดไว้เพียง15นาทีต่อคนต่อรอบที่พวกเราลงเวลาไว้ ...”ลงรอบใหม่เลยครับ” หนุ่มตะโกนร้องบอกทันทีตอนเห็นเราวิ่งเข้าไปถาม...แม้เราต่างก็ไม่รู้จักกันมาก่อนเลย.... หนุ่มพรั่งพรูตอบทุกอย่างที่เราถาม กระหายในมิตรภาพ สุภาพในทุกคำพูด “อยากได้หนังสืออ่านครับ...ผมอยากเข้าใจ” ...เขาคือ”หนุ่ม(เรดนนท์)และช่องทางหนึ่งของอิสรภาพที่เขาต้องการเพื่อไปให้พ้นจากสิ่งที่กักขังเขาไว้....
 
ในโลกของฉัน...คือการออกแบบพื้นที่นานาชนิดให้แก่มนุษย์ผู้มีอิสรภาพที่จะเลื่อนไหลไปบนพื้นที่ต่างๆตามใจต้องการ ไปจนถึงคาดหวังว่าความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการและการเรียนรู้นานาชนิด อาจถูกกระตุกกระตุ้นกันแทบตายให้ได้ด้วยการลงทุนสร้างพื้นที่อันแสนสวยงาม...เพื่อคนที่ไม่กล้าที่จะคิด? คิดแต่ไม่กล้าที่จะแสดงออก? แสดงออกแต่ก็จะต้องบิดเบือนความคิดที่แท้จริงออกไปเสียบ้างเพราะความกลัว?...คนแบบหนุ่มจึงได้รับเชิญให้ไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งเสีย...
 
มีพื้นที่”เพื่อการเรียนรู้”มากมายอยู่ข้างนอกเพื่อคนที่ถูกทำให้ด้านชากับการคิด   ส่วนคนที่ถูกตัดสินว่า....เขาเป็นอิสระมากเกินไปที่จะคิด...กลับถูกจำกัดพื้นที่ไว้ในคุก อิสรชนที่งดงามหลงเหลืออยู่น้อยเกินการปะทะสังสรรค์...พื้นที่นอกคุกจึงไม่อาจสวยงาม ตราบใดที่เรายังอนุญาตให้สังคมมีนักโทษทางความคิด


หนุ่มพอจะหาทางออกได้อยู่ดี เหมือนกับที่Tim Robbins เคยพบอิสรภาพกับการร้องเพลงอยู่ในใจในคุกมืด ที่ Shawshank โลกของหนุ่มและผู้ต้องหาทางความคิดอีกหลายสิบชีวิตจึงกักขังไม่ได้...และไม่อาจหยุดสร้างพื้นที่นามธรรมให้ใจตัวเองภายใต้พื้นที่ที่ถูกจำกัด...พวกเขาไม่ได้ท้าทาย...เขาเพียงแต่มีสิ่งที่หลายคนยอมที่จะเสียมันไป
 
...ใครกันแน่ที่รู้จักอิสรภาพมากกว่ากัน...ระหว่างคนในคุกกับคนนอกคุก...
 
อิสรภาพของป้าอุ๊และอากง
 
ป้าอุ๊ตอนปลายปี2554 ในวันที่คำตัดสินของอากงเพิ่งผ่านไป1เดือน ไม่มีความโกรธแค้นใดๆให้เรามองเห็น...นอกเสียจากคนที่อ่อนแรงและดูยับเยิน... มีสายตาที่ดูหวาดกลัวและตื่นผวาอยู่ในนั้น  ป้าบอกว่า”สิ่ง”ที่กระทำกับแกนั้น มันคืออะไรแกยังไม่รู้จักมันเลย คนรอบตัวเปลี่ยนไป คนไม่รู้จักมานินทาว่ากล่าว

พวกเราเริ่มจากเป็นคนแปลกหน้า... โชคดี(หรือโชคร้าย)ที่เรายังพอรู้จัก”สิ่ง”นั้น...อะไรที่มันทำร้ายแก...มันเลือดเย็นและกระทำกันยาวนาน พวกเราอาจโกรธตัวเองเสียมากกว่า เพราะนอกจากรู้สึกบีบเค้นในใจกับสิ่งที่เห็นและได้ยิน ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากไปกว่า ให้ป้าอดทน เราเป็นเพื่อนและมีอีกหลายคนที่จะไม่ปล่อยให้ป้าอุ๊โดดเดี่ยวเหมือนที่ผ่านมา
 

...ไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียวหรอก... เราโกรธที่สังคมไทยยังเบียดขับคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาเป็นเพื่อนร่วมโศกนาฏกรรมที่คล้ายกันกับพ่อและแม่ของพวกเรากันอยู่อีกต่างหาก โกรธที่มันบังคับให้ชีวิตเขาต้องผ่านเรื่องที่ต้องใช้ความเข้มแข็งกับความไร้สาระของกฏหมายที่กระทำกับคนที่ไม่เคยต้องการสู้กับมัน...แล้วเราก็ได้แต่ภาวนาให้ป้าอุ๊ผ่านมันไปให้ได้

“เดี๋ยวนี้ป้ารู้อะไรเยอะขึ้นมากแล้วนะ”
ป้าอุ๊เมื่อ สค.2555  ทักทายเราด้วยประโยคนี้  ถึงป้าไม่บอกเราก็ติดตามข่าวและตามฟังสิ่งที่ป้าพูดอยู่เป็นระยะ มันบอกเราว่าป้าอุ๊กำลังยืนยันว่าไม่มีมนุษย์คนไหนยอมเจ็บปวดอยู่กับความไม่รู้ โดยเฉพาะเมื่อมันมากระทำกับคนที่เรารักและสิ่งที่เราหวงแหน พวกเราดีใจที่ป้าดูเข้มแข็งกว่าเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ป้าและอากงที่มีอาชีพเลี้ยงหลานรู้จัก”สิ่ง”เหล่านี้ในบั้นปลายชีวิตเพราะเขาถูกขโมยเอาอิสรภาพไปดื้อๆ!  สิ่งที่ป้ารู้ก็คือสังคมไทยไม่ยอมปล่อยให้ชาวบ้านธรรมดาครอบครัวหนึ่งมีชีวิตเป็นอิสระได้  เพราะมันยังมีกฎหมายข้อหนึ่งที่สามารถหล่นใส่ลงหัวใครก็ได้ในวันที่โชคร้าย   สิ่งที่ป้าอุ๊ยังทำต่อไปก็เพื่อปลดปล่อยข้อหาไม่เป็นธรรมที่ค้างคาออกจากร่างกายที่ไม่มีวิญญาณแล้วของอากง  มันเป็นการสู้เพื่อที่จะต้องไม่เกิดเรื่องเหล่านี้อีกด้วยน้ำใจของคนธรรมดา ที่ความเข้าใจเหล่านี้แลกมาด้วยความเจ็บปวดที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนยื่นเดิมพัน...
 
“เขาปล่อยลื้อแล้ว ลื้อเป็นอิสระแล้วนะ” ป้าอุ๊ไม่ได้แค่พูดกับอากง...ความตายไม่ใช่พ่ายแพ้...ป้าอุ๊และอากงเป็นอิสระเกินกว่าที่หลายคนจะตระหนักถึงมันอย่างสุดหัวใจ
 
...จะคอยรับกันไว้...ไม่ว่าอิสระชนจะร่วงหล่นลงมาอีกกี่คนก็ตาม...

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น