โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ค้านนายกคนกลาง/สภาประชาชน ยันให้เสียงข้างมากจากการเลือกตั้งชี้ขาด

Posted: 15 Dec 2013 11:33 AM PST

 

แถลงการณ์ฉบับที่ 2
วิพากษ์แนวทาง  กป.ปส.
ฉีกหน้ากาก . กบฏเทพเทือก สัมภเวสีผู้แสวงหาอำนาจทางลัด รัฐประหารเงียบ


ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ  ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กป.ปส.) แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2553

โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับแนวทางการต่อสู้ของ กป.กส. คือ

" กดดันจนกว่านายกรัฐมนตรีจะลาออก เพื่อให้เกิดสูญญากาศทางอำนาจ และคงต้องใช้การบังคับโดยพลังประชาชน  หรือใช้มวลชนลุกขึ้นยึดอำนาจรัฐจนสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และใช้อำนาจอธิปไตย  ดำเนินการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่มาจากคนกลาง  และตั้งสภาประชาชน "

ความคิดเห็นของ สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) คือ

1.ไม่ว่า  นายกรัฐมนตรีคนกลาง  หรือ สภาประชาชน  ล้วนเป็นข้อเสนอเพื่อสร้างพื้นที่ทางอำนาจให้กับชนชั้นนำ   สร้างป้อมค่ายที่จะใช้ต่อสู้ระหว่างชนชั้นนำ  "สภาประชาชน" แท้จริงก็คือสภาขุนนาง เพื่อเป็นฐานรองรับนายกคนกลางซึ่งสื่อมวลชนก็ วิเคราะห์ฟันธงออกมาแล้วว่าจะมาจากองคมนตรีคนใดคนหนึ่ง แล้วดอกผลอันใดเล่าที่จะตกถึงมือชนชั้นล่างของสังคมอย่างแท้จริง  แม้แต่มวลชนที่ร่วมสู้กับ นายสุเทพฯ ก็ไม่ได้รับอะไร  นอกจากความสะใจ

2. นายกฯ คนกลาง  คือใคร มาจากไหน  ก็รู้กันอยู่แล้ว ที่ผ่านๆมาก็ ล้วนมาจากการแต่งตั้งจากอำนาจเบื้องบน ซึ่งไม่ได้ยึดโยงกับอำนาจประชาชนโดยตรง  ประชาชนจึงไม่มีช่องทางในการตรวจสอบ  ทั้งๆ ที่ กป.ปส. เน้นย้ำเรื่อง "อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน"  ตรงนี้ก็ขัดแย้งในตัวเองมากๆ

3. การใช้มาตรการบังคับ กดดัน สร้างความเกลียดชัง ไม่ฟังเหตุผลใดๆ ทำตามอำเภอใจ จนเกินเลยไปสู่สภาวะอนาธิปไตย ในสังคม เพียงเพื่อบีบคั้นให้นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลาออก หรือสร้างเงื่อนไขให้ทหารยึดอำนาจ ไม่ใช่วิถีทางประชาธิปไตย  ไม่ใช่สันติอหิงสา ตามที่นายสุเทพฯ โฆษณาชวนเชื่ออยู่ทุกครั้งที่ขึ้นเวที  แนวทางการเคลื่อนไหวของ กป.ปส. จึงเข้าลักษณะ "กรรมส่อเจตนา"  เจตนาที่ว่า คือ ต้องการให้ทหารทำการรัฐประหาร หรือให้อำนาจนอกเหนือรัฐธรรมนูญ เข้ามาแทรกแซงการบริหารของรัฐบาล

4.  แนวทางของ กป.ปส. ที่นายสุเทพฯ ประกาศต่อสาธารณะนั้น  ต้องการให้เว้นวรรคประชาธิปไตย  8- 14 เดือน ให้ "นายกฯ และครม. คนกลาง" รักษาการบริหารประเทศ โดยอ้างว่าต้องให้คนกลางเข้ามานำการปฎิรูปการเมืองการปกครอง  ให้เสร็จแล้วจึงจัดการเลือกตั้งในภายหลัง  

แนวทางนี้เป็นการนำประเทศถอยหลังไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชใหม่  และแก้ไขกฎกติกาต่างๆ ให้เอื้อประโยชน์กับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคของมหาอำมาตย์ แต่พ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งแบบเสรีประชาธิปไตย มาตลอดระยะเวลา 21 ปี  ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ ฯหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นนายกฯ จากการเลือกตั้งปลายปี 2551 ก็เพราะกองทัพฯ ช่วยอุ้มชูขึ้นสู่ตำแหนง  มิใช่เพราะชนะการเลือกตั้ง

กป.ปส.จะใช้ระบอบที่ได้อำนาจรัฐมาจากการ "บีบบังคับปล้นชิง" มาปฏิรูปการเมือง สร้างสรรค์ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้อย่างไร

งาช้างจะงอกออกมาจากปากสุนัข ได้อย่างไร
เผด็จการจะสร้างประชาธิปไตย ได้อย่างไร

ดังนั้นสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ ( สกต.) ขอสนับสนุนการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 และในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งแต่ละพรรคการเมืองและ องค์กรต่างๆ ในสังคม ที่ต้องการให้มีการปฎิรูปการเมือง ก็สามารถเสนอนโยบายเพื่อนำไปสู่การปฎิรูปการเมืองได้ตามความเชื่อของตนเอง  การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557  จะชี้ขาดว่า 48 ล้านเสียงของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ต้องการระบบการเมืองแบบใด และ อย่างไร  เสียงข้างมากของประชาชนไทยจะชี้ขาด  เพราะนี่คือเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง 

อำนาจอธิปไตยมิได้เป็นของ "มวลมหาประชาชน" ที่อยู่ภายใต้การบัญชาการของนายสุเทพฯ แต่เพียงกลุ่มเดียว หากแต่เป็นของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคน

เดินหน้าประชาธิปไตย  ไปเลือกตั้ง 2 กุมภา 57
ประชาชน  เสรีชน  ผู้รักประชาธิปไตย  จงลุกขึ้นสู้

 

สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้  สกต.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คนไทยกำลังแสดงความ 'รักชาติ' เพื่ออะไร และสู้กับใคร

Posted: 15 Dec 2013 08:43 AM PST


คนไทยกำลังแสดงความ 'รักชาติ' เพื่ออะไร และสู้กับใคร

นี่คือ คำถามหลักที่ผมต้องตอบชาวต่างชาติเสมอเวลาเกิดความไม่สงบในประเทศ

เนื่องจากขบวนการเคลื่อนไหวที่ปรากฏสู่สายตาโลกนั้น เต็มไปด้วย ธงชาติ พระบรมฉายาลักษณ์ และบางครั้งมีการอุ้มพระมาด้วย

ชาวต่างชาติจะเกิดความสงสัยทันทีว่านี่เป็นขบวนการ "ชาตินิยม" หรือไม่

หากใช่ การเดินทางไปเที่ยว หรือทำงาน ลงทุนในเมืองไทยสำหรับชาวต่างชาติ ก็เป็นสิ่งที่น่าหวั่นในระดับหนึ่ง

แต่จนบัดนี้ เราได้พิสูจน์แล้วว่า การแสดงความรักชาติของคนไทย ไม่เกี่ยวกับการต่อต้าน "ต่างชาติ" แต่อย่างใด

หลักๆ ง่ายๆ คือ เราแสดงความรักชาติโดยการชี้หน้าคนไทยที่คิดต่างว่า "ไม่ไทย" เรื่อยไปจนถึง "การขับไล่ออกนอกประเทศ" กันต่างหาก

จึงไม่แปลกที่ขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองจึงมีลักษณะ หาทางลงไม่เจอ เพราะหาข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมไม่ได้

ในทางกลับกันขบวนการเคลื่อนไหวแนวชาตินิยมในโลกลาติน เช่น อเมริกาใต้ หรือ แคว้นคาร์ตาลุนญ่า ที่ข้าพเจ้ามาสิงอยู่ หากมีการเคลื่อนไหวเชิงชาตินิยมแล้วล่ะก็

เป้าหมายหลักในการต่อต้าน คือ "ทุนต่างชาติ" และ "คนต่างด้าว" อย่างชัดเจน เนื่องจากความรู้สึกต่อต้านเกิดจาก การถูกขูดรีด และกดขี่ปกครองจากเจ้าอาณานิคมทางทหารในอดีต เรื่อยมาเป็น บรรษัทข้ามชาติ ในปัจจุบัน

ดังนั้น หากการเคลื่อนไหวมีทิศทางในการปราบทุนสามานย์ เพื่อแสดง "การรักชาติ" ในระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์ปัจจุบัน จึงทำในลักษณะเสนอให้กำกับควบคุมบรรษัทข้ามชาติที่ขูดรีดคนทั้งชาติ และผลักภาระด้านสิ่งแวดล้อม แรงงาน ให้คนในชาติแบกอยู่

ข้อเสนอที่ปรากฏ จึงอยู่ในรูปการเข้าไปกำกับกิจการที่เป็นบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน การเข้าไปจัดการสัดส่วนผู้ถือหุ้มในบรรษัท การดำเนินคดีที่บรรษัทขูดรีดสิทธิแรงงาน ทำลายสิ่งแวดล้อม และละเมิดสิทธิมนุษยชน

ต่างกับการรักชาติที่มากสุดทำได้แค่ไล่คนไทยด้วยกันออกนอกประเทศ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากบุคคลผู้มีสัญชาติจากการเกิดในรัฐใด ย่อมมีสิทธิในการอยู่รัฐนั้นไปจนตาย

ข้อเสนอในการจัดการทุนสามานย์ คือ การบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า กฎหมายสิ่งแวดล้อม และการละเมิดสิทธิมนุษยชนของบรรษัททั้งหลายครับ

หรือไม่กล้าเสนอ เพราะคนที่สนับสนุนขบวนการรักชาติเป็นเจ้าของบรรษัท เป็นพนักงาน ผู้ถือหุ้น หรือเป็นผู้บริโภค ซึ่งล้วนซื่อสัตย์ต่อบรรษัทและหวงแหนระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูต่างหาก
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คู่ขัดแย้งในตูนิเซียจับมือตั้งนายกฯ ชั่วคราว ก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป

Posted: 15 Dec 2013 08:32 AM PST

ตูนิเซียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ความขัดแย้งทางการเมืองยังไม่คลี่คลายลงแม้จะสามารถโค่นล้มผู้นำเก่าช่วง 'อาหรับสปริง' ลงได้ โดยตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมามีการประท้วงต่อต้านรัฐบาลอิสลามที่มาจากการเลือกตั้ง จนกระทั่งล่าสุดฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลมีมติร่วมกันในการแต่งตั้งรักษาการนายกฯ ก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป

15 ธ.ค. 2556 รัฐบาลพรรคอิสลามเอนนาห์ดาและพรรคฝ่ายค้านในตูนิเซียได้แต่งตั้งให้รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม เมห์ดี โจมา เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราวเพื่อเป็นผู้นำรัฐบาลรักษาการจนกระทั่งถึงการเลือกตั้งในปีหน้า หลังจากที่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านสามารถเจรจาตกลงร่วมกันได้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (12 ธ.ค.)

องค์กรสหภาพแรงงานทั่วไปของตูนิเซีย (UGTT) ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางการเจรจาระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ประกาศเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ที่ผ่านมาว่า พวกเขาสามารถบรรลุข้อตกลงได้โดยพรรคเอนนาห์ดายอมจะยอมลาออกเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลรักษาการแล้ว

โดยที่พรรคเอนนาห์ดาเป็นพรรครัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งครั้งแรก หลังเหตุการณ์ลุกฮือโค่นล้มผู้นำคนเก่าซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของกระแส 'อาหรับสปริง' ในปี 2553-2554 แต่การเมืองแบบเก่าของตูนิเซียที่ไม่มีการผูกติดกับศาสนาก็ดูจะขัดแย้งกับพรรคการเมืองอิสลามสายกลางอย่างเอนนาห์ดา ซึ่งกลุ่มไม่ผูกติดกับศาสนานี้มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับอดีตเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสและมีการพึ่งพาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยวจากยุโรป

การประท้วงใหญ่ครั้งล่าสุดในตูนิเซียเกิดขึ้นหลังเกิดเหตุลอบสังหารนักกิจกรรมและนักการเมืองคนสำคัญสองรายคือโชกรี เบลาอิด ผู้นำขบวนการฝ่ายซ้ายฆราวาสนิยม และโมฮัมเหม็ด บรามี ส.ส. หัวหน้าพรรคสังคมนิยมพีเพิลมูฟเมนท์ โดยหลังจากเหตุการณ์สังหารบรามีในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมาชาวตูนิเซียก็เริ่มออกมาประท้วงเพื่อขับไล่รัฐบาลและต่อต้านการนำศาสนาเข้ามามีส่วนในการเมือง เหตุสังหารดังกล่าวมีการมุ่งเป้าผู้ต้องสงสัยไปที่บูวบาคาร์ ฮาคิม ผู้เป็นนิกายซาลาฟีหัวรุนแรงว่าเป็นผู้ก่อเหตุ

ฮูซีเน อับบาสซี เลขาธิการ UGTT กล่าวว่าการเจรจาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้าง ทางด้านผู้สื่ออัลจาซีรา ยุสเซฟ ไกกี รายงานจากกรุงตูนิสว่า เมห์ดี โจมา ได้รับเลือกเป็นรักษาการนายกฯ จากมติในที่ประชุม โดยที่โจมาร์เป็น ส.ส. อิสระผู้ไม่สังกัดพรรคการเมืองใด และทำงานในรัฐบาลปัจจุบันในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

อัลจาซีราระบุอีกว่ามีคนสองคนที่มีอิทธิพลสูงมากในการเมืองของตูนิเซียคือ หัวหน้าพรรคเอนนาห์ดา ราเชด กันนูวชี และอีกคนคือ เบจิ คาอิด เอสเซบซี อดีตเจ้าหน้าที่ในยุคผู้นำเบน อาลี ผู้ถูกโค่นล้มในปี 2554 ซึ่งปัจจุบันเอสเซบซีเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองฝ่ายค้านนิดาตูวเนส ทั้งสองกล่าวตรงกันว่าการเลือกตั้งเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้ประเทศเดินต่อไปข้างหน้า

 

เรียบเรียงจาก

Tunisia picks new PM ahead of polls, Aljazeera, 15-12-2013
http://www.aljazeera.com/news/africa/2013/12/tunisian-parties-pick-pm-ahead-polls-20131214201031409972.html

Tunisia parties reach political agreement, Aljazeera, 13-12-2013
http://www.aljazeera.com/news/middleeast/2013/12/tunisia-parties-reach-political-agreement-20131213111047685681.html

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปากคำป้าเสื้อแดงคลิป ‘รับจ้าง 200’ เหตุหน้ารามฯ บาดแผลสำหรับผู้ชื่นชอบระบอบทักษิณ

Posted: 15 Dec 2013 07:18 AM PST

ท่ามกลางฝุ่นควันความรุนแรงที่ย่านรามคำแหงเมื่อวันที่ 30 พ.ย. ต่อเนื่องถึงวันที่ 1 ธ.ค. มีคลิปมากมายที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียเพื่อต่อต้านฝ่ายตรงข้าม บ้างเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นจริง บ้างเป็นคลิปที่ระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หนึ่งในคลิปที่ได้รับการแชร์มากที่สุด คือ คลิปป้าเสื้อแดง 2 คนที่ออกมายอมรับว่ารับจ้างมาชุมนุมที่ราชมังคลากีฬาสถาน โดยมีการเผยแพร่กันตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันที่เหตุการณ์การปะทะเริ่มเบาบางลงและ นปช.ตัดสินใจยุติการชุมนุม ผู้ชุมนุมทยอยกันออกจากสนามกีฬา

ในคลิปดังกล่าว ปรากฏภาพกลุ่มผู้ชายยืนล้อมหญิงวัยกลางคนและหญิงสูงอายุ หญิงวัยกลางคนตอบคำถามยอมรับต่อหน้ากล้องว่าได้รับการจ้างให้มาชุมนุมวันละ 200 บาท






มีการแชร์คลิปวิดีโอของผู้ใช้ชื่อว่า Tan Tan จำนวน 20,201 แชร์ เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.56



มีการแชร์คลิปวิดีโอของผู้ใช้ชื่อว่า You Clip (รวมคลิป) จำนวน 11,678 แชร์ เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.56

 

ดูเผินๆ เหตุการณ์นี้ไม่น่าจะมีอะไร เป็นการเปิดโปงความจริงจากปากคำของหญิงสองคนที่นั่งยองๆ ท่ามกลางวงล้อมของชายฉกรรจ์ เพียงแต่บังเอิญว่าผู้หญิงหนึ่งในนั้นเป็นสมาชิกสภาจังหวัด (ส.จ.) ระดับนำของคนเสื้อแดงในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี

มีผู้คนรู้จักเธออยู่ไม่น้อย หลายคนเกิดความงุนงงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเธอจึงพูดเช่นนั้น ความพยายามติดต่อเธอเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากทั้งนักกิจกรรม ผู้สื่อข่าว ฯลฯ แต่เธอไม่รับโทรศัพท์ของใครทั้งสิ้น จนกระทั่งเหตุการณ์ผ่านไปหลายวัน จึงสามารถติดต่อเธอได้

การพูดคุยกันทำให้ทราบถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยกลุ่มคนไม่ทราบฝ่ายที่กระทำต่อผู้ชุมนุม แม้ความรุนแรงจะเกิดขึ้นเพียง 2 วัน 1 คืน สื่อมวลชนรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ ผู้มีสถานะทางสังคมที่ออกมาให้ความเห็นต่อเหตุการณ์นี้ แต่สิ่งที่มองไม่เห็นคือ ความรุนแรงย่อยๆ ที่เกิดขึ้นกับคนที่ไม่มีปากมีเสียง มันเป็นภาพสะท้อนอันโหดร้ายและน่าสะพรึงกลัวท่ามกลางความแตกแยกที่มีอยู่ขณะนี้ และไม่มีใครรับประกันได้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีก กระทั่งลุกลามหนักหน่วงกว่านี้

คำแสน ไชยเทพ วัย 43 ปี คือหญิงที่ปรากฏในภาพ เธอเป็นคนเสื้อแดงตั้งแต่ปี 2551 ในเหตุการณ์ปี 2553 ลูกชายของเธอถูกจับกุมในคดีเกี่ยวกับการชุมนุมเมื่อปี 2553 ต่อมาเธอได้รับเลือกเป็น สมาชิกสภาจังหวัดอุดรธานี ประชาไทโทรศัพท์สัมภาษณ์เธอเพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ในวันดังกล่าว

คำแสนเล่าว่า เธอเดินทางพร้อมชาวบ้าน ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เพื่อมาร่วมชุมนุมกับ นปช.โดยว่าจ้างรถตู้จำนวน 8 คันในราคารถปิกอัพเนื่องจากคนขับรถตู้เองก็อยากมาร่วมชุมนุมด้วย พวกเขาเดินทางมาถึง กทม.ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 30 พ.ย. และเข้าร่วมชุมนุมในสนามกีฬาตามปกติ กระทั่งตอนเย็นที่เริ่มเกิดเหตุปะทะกัน เธอก็อยู่ภายในสนามกีฬา

เธอเล่าว่า คนในสนามมีจำนวนพอสมควร ทุกคนที่นั่งอยู่รู้ว่าเกิดความรุนแรงขึ้นภายนอก แต่บนเวทีไม่ค่อยมีการพูดเรื่องนี้ ซึ่งเธอคิดว่าเป็นเพราะแกนนำคงกลัวมวลชนจะตื่นตกใจ ขณะเดียวกันก็มีการประกาศห้ามคนในสนามออกไปด้านนอกด้วย

"สงสารคนกรุงเทพฯ มาก เขากลับไม่ได้ เราคนต่างจังหวัด เราเคยมาค้าง เราอยู่ได้ แต่คนกรุงเทพฯ ที่มา หน้าตาดีๆ อดหลับอดนอน ออกมาไม่ได้ อยู่กันจนสว่าง พวกเราที่ไปด้วยกันก็ไม่มีใครออกมาเพราะกลัว แต่มีคนเทียวออกมาเอาของที่รถตู้อยู่ การ์ดบอกให้หลบกระสุน ก็เห็นเขายิงกัน เห็นเขาหามคนเจ็บกันอยู่ แต่ไม่คิดว่าใครจะเสียชีวิต รถตู้ที่เราเอาไปจอดอยู่ที่ชั้น 2 ก็เพิ่งรู้คืนนั้นแหละว่า นั่นรามคำแหง ยังคิดว่า โห ทำไมมันใกล้กันจัง กำแพงเตี้ยๆ เอง"

จนถึงตอนเช้า แกนนำประกาศให้รอตำรวจมารับ ผู้คนในสนามรอคอยกันอยู่เป็นเวลานานก็ยังไม่เห็นวี่แววตำรวจ ในขณะที่อาหารและน้ำดื่มขาดแคลนตั้งแต่เมื่อคืน ห้องน้ำเต็ม ไม่สามารถใช้การได้ ทำให้คนจำนวนหนึ่งทยอยออกจากสนามเอง เมื่อเห็นดังนั้น คำแสนและพรรคพวกจึงออกมาขึ้นรถตู้เพื่อออกจากสนามกีฬา โดยนัดแนะกันว่าจะเลี้ยวขวาไปรอกันที่ปั๊มเชลล์ซึ่งอยู่ไม่ไกลแล้วจะยูเทิร์นกลับรถเพื่อเดินทางกลับบ้าน  รถตู้ 5 คันแรกดำเนินการได้ตามนั้น แต่มี 3 คันที่ยังติดค้างอยู่จนกระทั่งเกิดเหตุ

 

นาทีชีวิต ความผิดพลาดของ "การเข้าห้องน้ำ" และ "GPS"

"คันอื่นเขายูเทิร์นไปแล้ว แต่อีกสามคันยังออกไม่ได้ เพราะรอชาวบ้านเข้าห้องน้ำ ตอนจอดรถรออยู่ก็เอะใจแล้ว ความรู้สึก สัญชาตญาณของเรารู้สึกว่าไม่ใช่แล้วล่ะ ชาวบ้านไม่รู้ว่าสถานการณ์อย่างนั้นไม่ควรไปเข้าห้องน้ำ แต่เขาก็ลงไป มอเตอร์ไซด์ก็จ้องแล้ว เราก็บ่นกันอยู่ว่าทำไมต้องไปเข้าห้องน้ำในสถานการณ์แบบนี้ ก็โมโหให้ชาวบ้านอยู่ เขาก็บอกว่าเขาทนไม่ไหวในนั้น (สนามกีฬา) ห้องน้ำมันเต็ม บ่นไม่ทันขาดคำ มอเตอร์ไซด์ก็มาวนรอบรถตู้แล้ว ประมาณ 3-4 คัน ใจคอไม่ดีแล้ว เรารู้เลยว่ามันผิดปกติ"

เธอไล่ชาวบ้านขึ้นรถ โดยเธอและผู้ใหญ่กองชัย ผู้เป็นสามีขึ้นรถตู้คันสุดท้าย รถตู้ทั้งสามคันยูเทิร์นกลับและขับเกาะกลุ่มกัน แต่คันที่ออกก่อนหน้าไม่ขับตรงไป กลับเลี้ยวซ้ายไปทางด้านหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะคนขับไม่รู้ทางในกรุงเทพฯ และขับตามที่จีพีเอสบอก

"เราก็ตกใจ เรามาชุมนุมบ่อยก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่แล้ว ไปถึงก็เห็นรถคันเหลืองๆ ที่ถูกทุบ โทรไปหารถตู้คันหน้าให้หันกลับด่วน แต่มันไม่ทันแล้ว มอเตอร์ไซด์มันเริ่มวนมาแล้ว จะกลับมาก็ไม่ได้ มันล้อมหมดไม่รู้กี่คันต่อกี่คัน ไปไม่ได้แล้ว มีคนซัก 50 คนขวางอยู่"

"พวกนั้นเข้ามาทุบประตูให้เปิดออก ถามว่าเราเป็นเสื้อแดงไหม รถคันหน้าเปิดประตู ประสบการณ์เราในการชุมนุมเรารู้แล้วนี่ไม่ใช่คนของเรา แต่เราก็บอกไม่ได้มันนั่งรถตู้คนละคัน มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน เขาเปิดประตู พวกนั้นมีมีด ปืนสั้น ค้อน มีทุกอย่าง เขาเอาไม้เหมือนไม้หน้าสาม ไม้กอล์ฟทุบรถคันแรก เอาระเบิดปิงปองโยนเข้าในรถจนมีคนบาดเจ็บ รถยังเป็นรอยอยู่ แล้วก็เอาไม้กอล์ฟฟาดที่แขนของป้าคนที่โดนระเบิดปิงปองด้วย เอาไม้กระทุ้งท้องผู้ชายอีกคน แต่รถคันนั้นสุดท้ายก็พยายามประคองขับรถไป รอดไปได้"

ภาพรอยช้ำบริเวณแขนและขาของนาง คำแสน ไชยเทพ อายุ 43 ปี
(ถ่ายเมื่อ 3 ธ.ค.56)

"แต่อีกสองคันไปไม่ได้ คันข้างหน้ามันเลี้ยวไปผิดซอย เป็นซอยตัน ไปไหนไม่ได้ เขาก็วิ่งตาม ร้อง "ฆ่ามันๆ" พวกเราก็วิ่งลงจากรถตู้สองคัน ตัวพี่ ผู้ใหญ่ และป้าอีกคนหนึ่งแยกไปซ่อนอยู่ที่บ้านหลังใหญ่หน่อย เขาล็อคประตู คนอื่นๆ ไปไหนก็ไม่รู้ เราไปซ่อนตัว ได้ยินเสียงมันทุบรถ ในใจคิดว่าเราไม่รอดแล้วแหละ พยายามโทรหาผู้ใหญ่ โทรหา ส.ส. แต่โทรไม่ติด เพิ่งรู้ว่า ส.ส.แบตหมด ก็เลยโทรหา ส.จ.อีกคนหนึ่งที่มาด้วยกัน เขาก็ตกใจ เราบอกว่าช่วยหน่อย ตกอยู่ในอันตราย ตอนนั้นแบตเตอรี่เรามีค่ามาก อยู่ชุมนุมสองวันจนมันเหลือน้อยเต็มที ต้องการโทรหาผู้ใหญ่ให้ช่วยเรา ทาง ส.ส.อุดรก็ประสานให้ ไม่รู้ว่าใครโทรมาบ้าง จนมีผู้ใหญ่โทรมา เขาถามว่าอยู่ไหนก็บอกว่าไม่รู้ เราก็ไม่รู้จริงๆ ไม่รู้ว่าที่ไหน ก็บอกเขาว่ามันมีห้องเช่า มีคอนโด แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นซอยไหน แม้แต่หน้ารามหลังรามก็ยังไม่รู้เลย เพิ่งมารู้ตอนหลัง สุดท้ายก็บอกเขาว่ามาซอยไหนก็ได้จะเห็นรถตู้จอดทิ้งอยู่ เขาก็บอกว่าตำรวจเข้าไม่ได้ อ้าว ถ้าตำรวจเข้าไม่ได้จะทำยังไง คน 20 กว่าคนนี่จะปล่อยให้เขาตายหรือ"


เธอเล่าว่า เธอหลบอยู่นานกับสามีและป้าอีกคนหนึ่ง จนกระทั่งตัดสินใจให้สามีข้ามไปขอความช่วยเหลือจากบ้านอีกหลังหนึ่ง โดยเธอกับป้าจะรออยู่ที่เดิม เนื่องจากคิดว่ากลุ่มชายฉกรรจ์จะไม่ทำร้ายผู้หญิงสูงวัย สามีของเธอไปขอความช่วยเหลือจากบ้านฝั่งตรงข้าม

"ตอนนั้นได้ยินคนในบ้านเขาถามกันว่าใครเหรอ พอผู้ใหญ่กองชัยบอกว่าเป็นเสื้อแดง เขาก็บอกว่า เสื้อแดงเหรอ ฆ่ามันเลยๆ เราก็เลยพูดกับป้าว่า เราไม่ต้องไปหรอก ไปเราก็ตาย ไม่ไปเราก็ตาย เราเอาเวลาสวดมนต์ดีกว่า สุดท้ายมันก็ตามเจอ แต่พอมันมาถึงก็ไม่เห็นผู้ใหญ่ปองชัยแล้ว" 

 

รู้จักประชาธิปไตยไหม จงรักภักดีไหม

ก่อนหน้าที่จะถูกจับได้ เธอทำลายบัตร ส.จ.และนัดแนะกับป้าที่มาด้วยว่า อย่าบอกว่าเธอเป็น ส.จ. และหากพวกเขาถามอะไรเธอจะเป็นคนพูดเอง จากนั้นชายฉกรรจ์ราว 30-40 คนก็มาพบและนำตัวทั้งสองออกไป 

"เขาเอาปืนสั้นจี้หัว ตอนแรกยืนอยู่ก็เตะขาข้างหลังให้นั่ง "พวกมึงไม่ต้องมายืนคุยกับพวกกู พวกมึงมันพวกคนชั่ว มึงรู้ไหมมาทำอะไร" เราก็บอกไม่รู้ เขาบอกจะพามาเที่ยวสนามราชมังคลา เราเห็นพวกเขาถือกล้องใหญ่เหมือนกล้องทีวีเลย ตอนนั้นคิดในใจว่า ถ้ามึงถ่ายกูก็จะเห็นภาพที่เอาปืนจี้หัวกู แล้วคำที่พูดกับกูนั่นมันโหดร้ายป่าเถื่อนขนาดไหน มันบอกว่า มึงต้องพูดว่ามึงถูกจ้างมาพันสอง เราก็บอกว่าป้าไม่ได้มาอะไรขนาดนั้น มันบอกไม่ได้ เราก็ว่าไม่ใช่ มันก็เลยทุบแขน เอาสันมีดทุบที่แขน เราก็แค้นเนอะ ร้องไห้ด้วย ในใจคิดว่าทำไมบ้านเมืองเราโหดร้ายป่าเถื่อนขนาดนี้ ทำไมไม่ยุติธรรมอย่างนี้ ชะตากรรมเราทำไมมันเป็นแบบนี้ ในใจคิดว่าเราพูดอะไรออกไปก็ได้ เอาปืนจี้หัวเราคนก็จะเห็น พวกนั้นเอาน้ำให้กิน ตอนแรกจะไม่กิน แต่มันบังคับก็ต้องกิน แล้วก็ถามว่า เรารู้จักประชาธิปไตยไหม รักในหลวงไหม ก็บอกว่า พวกเราคนไทยทุกคนต้องรักในหลวง พวกเราไม่เคยคิดว่าใครจะไม่รักในหลวง เราว่าอย่างนี้ ถ้าเราอธิบายเยอะ มันจะรู้ว่าพวกเรารู้เรื่องการเมือง เราก็บอกว่า ป้าก็เทิดทูนสถาบัน ทำไมอยู่ๆ ถึงเอาเรื่องในหลวงของเรามาพูด ในหลวงคือพ่อของแผ่นดิน มันถามว่ามึงจงรักภักดีใช่ไหม รัก เรารักในหลวง แล้วมันก็ถามว่า มึงรู้จักประชาธิปไตยไหม ก็บอกไม่รู้ เขาบอกจะพามาเที่ยวสนามราชมังคลา ไม่เคยมาก็เลยอยากมา ก็ได้ยินมันพูดกันว่า สงสัยเป็นชาวบ้านธรรมดา แล้วมันก็ถามหา ส.จ.-ส.ส. ที่มาด้วยกัน ก็เลยบอกว่า ไม่รู้เขาวิ่งไปทางไหนกันบ้าง ไม่เห็นเขา" 

นางกองแก้ว โพธิ์จันทร์ แสดงบาดแผลจากเหตุถูกทำร้ายเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.56 โดยระบุว่าถูกทำร้ายด้วยการถูกตีด้วยไม้กอล์ฟที่แขน (ภาพบน) และถูกทำร้ายด้วยระเบิดปิงปองจนเกิดบาดแผลที่ก้น (ภาพล่าง)

 

รอยแผลที่ก้นของนางกองแก้ว โพธิจันทร์ อายุ 50 ปี (ถ่ายเมื่อ 3 ธ.ค.56)

รอยแผลที่แขนนางกองแก้ว โพธิจันทร์ อายุ 50 ปี (ถ่ายเมื่อ 3 ธ.ค.56)


คำแสนเล่าว่า ทุกอย่างดูจะผ่านไปได้ ท่ามกลางหมู่ชายฉกรรจ์ เธอได้ยินบางคนห้ามปรามคนในกลุ่มไม่ให้ทำร้ายพวกเธอมากกว่านี้ และให้ปล่อยเธอทั้งสองคนไป เพราะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา จนสุดท้ายทั้งหมดก็ยอมปล่อยพวกเธอ โดยพาไปขึ้นรถที่วินมอเตอร์ไซด์ที่ด้านหลังซอย

"เราก็ใจคอไม่ดี รองเท้าก็ไม่มี เหมือนคนสติไม่สมประกอบแล้ว มันบังคับให้ใส่เสื้ออื่น กระเป๋าเรามันก็ค้น อะไรเกี่ยวกับสีแดงมันทิ้งหมด เราก็ต่อรองว่าไม่ถอดเสื้อแล้วสวมทับได้ไหม ตอนนั้นเราใส่เสื้อสีขาวแต่มีรูปดาวแดงอยู่บนหน้าอก มันก็บอกว่าได้ แต่อย่าให้กูเห็นสีแดง"

"สีแดงมึงห้ามใส่ มึงกลับไปบอกชาวบ้านว่า ระบอบทักษิณไม่มีใครเอา" นั่นคือคำล่ำลาสุดท้ายที่พวกเขาบอกกับเธอ

หลังจากนั้นเธอก็ได้รับความช่วยเหลือจากมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่นำเธอไปส่งที่ สน.วังทองหลาง และอยากจะให้ค่ารถเธอกลับบ้านแต่เขาก็ไม่มีเงินเช่นกัน

"เราถึง สน. ก็ไม่ได้แจ้งความ ไม่รู้สึกเจ็บเนื้อเจ็บตัวอะไรเลย เพราะเป็นห่วงคนที่ติดอยู่ในนั้นมากกว่า อยู่โรงพักก็เอาแต่ร้องไห้ ตำรวจก็มาสอบถาม ตำรวจบอกว่าอยากช่วยแต่ช่วยไม่ได้ เพราะตำรวจเข้าไปไม่ได้ เขาเผารถตำรวจไปแล้ว" 

จากนั้นเธอก็ติดต่อกับลูกสาวของเธอที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ลูกเธอมาพร้อมกับเพื่อนและเมื่อเห็นแม่ก็ได้แต่กอดคอกันร้องไห้ เธอเล่าว่า ลูกสาวพยายามตามหาแม่ตลอดเช้านั้น

"ลูกมาถึงก็กอดแม่ร้องไห้ บอก แม่ มันโหดร้ายจริงๆ แต่ก่อนลูกสาวแกไม่รู้ ถึงรู้ว่าพ่อแม่เป็นแดง แต่แกก็อยู่ครึ่งๆ กลางๆ แกไม่ยอมให้แม่เป็นเพื่อนเกี่ยวกับเฟซบุ๊กอะไรน่ะ แกบอกว่าอยู่กับกลุ่มเสื้อเหลืองก็ต้องไปตามเขา แต่ทีนี้เห็นแม่เจ็บตัว เพื่อนแกที่มาด้วยกันก็เป็นสลิ่ม มาเห็นสภาพแม่ คนแก่คนเฒ่า แกก็บอกว่านี่เหรอพวกก่อการร้าย เขาก็ร้องไห้กัน ทำไมต้องโหดร้ายขนาดนี้ ทีนี้ตอนขากลับแกไปโพสต์ด่าพวกสลิ่ม บอกนี่แหละรถที่แม่กูนั่งมา ที่บอกว่ามีอาวุธ หยุดเถอะ หยุดใส่ร้ายคนเสื้อแดง ทั้งที่แกไม่เคยพูดเลยก่อนหน้านี้ ลูกเคยถามตรงๆ ว่าแม่มาได้ตังค์ไหม แม่ก็บอกไม่ได้ ช่วยๆ กันออกค่ารถตู้มา ถ้าไม่พอก็พอจะขอพวกส.ส.ได้อยู่บ้าง" 

สุดท้ายเธอก็ได้เดินทางกลับบ้านถึงบ้านจังหวัดอุดรราวตีสองตีสามของวันรุ่งขึ้น 

 

ความเอื้ออารีของคนต่างสีเสื้อ

สำหรับผู้ใหญ่กองชัย สามีของเธอ เธอเล่าว่า เขาขาดการติดต่อกับเธอไปตลอดคืน และเธอคิดว่าเขาอาจจะไม่รอดแล้ว แต่ปรากฏว่าช่วงบ่ายแก่ของวันรุ่งขึ้น ผู้ใหญ่กองชัยติดต่อมาถึง ส.ส.ในจังหวัด แจ้งข่าวว่าเขาปลอดภัย เพราะ ส.ส.อุดรฯ ประสานกับตำรวจ ส.น.วังทองหลาง ให้เข้าไปช่วยรับคนที่ติดค้างตรงนั้นออกมา โดยผู้ใหญ่กองชัยไปรอที่หมอชิตก่อนหน้านั้นแล้ว ผู้ใหญ่เล่าว่ามีคนประมาณ 20 คนไปอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งเจ้าของเป็นคนจังหวัดกาฬสินธุ์ ช่วยให้เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาทีละคนสองคน ขณะที่บ้านหลังที่ผู้ใหญ่กองชัยไปขอความช่วยเหลือตอนแรกเจ้าของบ้านดูจะปฏิเสธเพราะเกลียดเสื้อแดง แต่เมื่อเขาเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ทำกับเธอและป้า เจ้าของบ้านก็เปลี่ยนใจ

"เขาบอกว่าผู้ใหญ่ว่า "ผมไม่ชอบเสื้อแดง ผมเป็นเสื้อเหลือง บอกตรงๆ แต่ไม่ชอบการกระทำที่โหดร้ายแบบนั้น ผมไม่เอา ผมจะเอาคุณไว้ตรงนี้" พอดีเขาเป็นเจ้าของหอตรงนั้นแล้วเขาก็บอกผู้ใหญ่กองชัยว่ากลุ่มนั้นปล่อยผู้หญิงสองคนไปแล้ว แล้วก็ให้ผู้ใหญ่กองชัยเปลี่ยนเสื้อ แล้วก็ขับรถไปส่งผู้ใหญ่ แล้วยังให้เงินอีก 500 บาทค่ารถ เดี๋ยวนี้ก็ยังโทรขอบคุณกันอยู่ เขาบอกว่าสงสาร คนแก่ๆ ยังทำกันได้"

นี่อาจเป็นบทสรุปที่ช่วยให้ใจชื้นขึ้นได้บ้าง ท้ายที่สุดเราถามถึงสภาพจิตใจของคำแสนหลังเผชิญเหตุการณ์ความรุนแรงนี้ รวมถึงสอบถามว่าเห็นคลิปที่เผยแพร่แล้วหรือไม่ เธอตอบว่า

"สภาพจิตใจตอนนั้นแย่มาก ไม่รู้สึกเจ็บตัวแต่เจ็บใจ ทำไมบ้านเมืองเรามันป่าเถื่อนอย่างนี้ เมืองไทยเหรอเนี่ย เราพูดไปเราก็ร้องไห้ไป หลังเหตุการณ์มีคนโทรมา คนก็ถามว่าทำไมโทรมาแล้วไม่รับ ไม่มีจิตใจจะรับจะพูดกับใครเลย ตัวเราช้ำไปหมดแต่เราไม่รู้สึกเจ็บตัวเลย ด้านหลังเราโดนของแข็งกระแทกก็ไม่รู้ว่าอะไร ทำไมมันป่าเถื่อนแบบนี้ ตำรวจก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ถ้าเป็นเสื้อแดงทำแบบนี้เขาจับตั้งแต่วินาทีนั้นแล้ว เมืองไทยสยามเมืองยิ้มเหรอ มันไม่น่าอยู่แล้วล่ะตอนนี้ คิดไปก็ร้องไห้ไป"

"เห็นคลิปวิดีโอแล้ว ทำไมมันไม่มีตรงที่ทำกับเรา ไม่มีตรงที่พูดกับเราแบบจะฆ่า ไม่มีภาพเอาปืนจี้หัวเรา ก็ยังงงอยูว่าทำไมมันไม่มี ยังคิดอยู่ตลอด ไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว พูดแล้วมันสะเทือนใจ มันแค้น คนที่รู้จักเขาเข้าใจ แต่คนไม่รู้จักเราเขาไม่เข้าใจ มีคนพูดให้ฟังว่ามีคนเสื้อแดงว่าให้ เราก็บอกว่าช่างเถอะเขาไม่รู้ว่าตอนนั้นเราถูกบังคับ เราต้องรักษาชีวิตของพี่น้องเราไว้ เราเอาคนไป เราต้องรับผิดชอบอีกหลายชีวิต และเรารู้ว่าอะไรคือเรื่องจริง"

สำหรับรถตู้ทั้ง 2 คันนั้น จากการโทรสอบถามวิโรจน์ ลาบคำนูน เจ้าของรถตู้ซึ่งซื้อดาวน์รถดังกล่าวจากชาวบ้านในพื้นที่มาผ่อนต่อ พบว่า หลังจากหลบหนีออกจากพื้นที่ได้ ก็เห็นข่าวรายงานว่ารถของเขาซึ่งจอดทิ้งในซอย 53 ตั้งแต่ช่วงสายของวันที่ 1 ธ.ค. กลางดึกของวันดังกล่าว รถตู้ทั้งสองคันก็ถูกเข็นออกมาเผาที่หน้าปากซอย 53 (อ่านข่าว)

 

เสียงจากลูกสาวนักศึกษารามฯ "ทำไมทำกันขนาดนี้"

ปอ คือชื่อเล่นของลูกสาวคำแสน เธอเพิ่งเรียนจบคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงหมาดๆ จากที่ไม่เคยสนใจการเมืองมากนักและไม่เคยแสดงจุดยืนใดๆ ทางการเมือง แต่เหตุการณ์ที่เกิดกับแม่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป

"บรรยากาศภายในรามก่อนจะเกิดเหตุการณ์ ส่วนตัวหนูไม่ได้จะเข้าข้างฝ่ายไหน หนูว่ามันวุ่นวาย ไม่ค่อยสนใจเรื่องการเมือง เวลากลับบ้านก็เป็นบรรยากาศนึง แม่ก็จะสีนี้นะ มาเรียนก็จะเป็นอีกบรรยากาศหนึ่ง เพื่อนๆ ก็ชอบว่าเสื้อแดงอย่างนั้นอย่างนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่หนูไม่พอใจก็คือที่เขาว่า คนอีสานโง่ เสื้อแดงโง่ ไม่มีการศึกษา หนูจะรู้สึกเสียใจตลอดแต่พูดอะไรไม่ได้ ก็หลีกเลี่ยง ไม่อยากมีปัญหากับเพื่อน แต่เคยถามแม่ตลอดว่าทำไมถึงชอบ แม่ให้เหตุผลมาก็ฟัง เวลาแม่มาชุมนุม หนูก็ไปหาแม่ตลอด หนูก็เห็นบรรยากาศตลอดว่าเป็นยังไง ก็รู้สึกว่าไม่มีพิษภัยอะไร"

"จนวันที่เกิดเหตุ หนูไปหาแม่ที่ราชมังฯ เพื่อนหนูบอกว่าเขาจ้างมา ยึดบัตรประชาชน แต่หนูเห็นตลอด แม่มาชุมนุมไม่เคยโดนยึดบัตรประชาชน หนูไปก็ไม่เคยโดนยึด หนูก็เถียงว่าเขาไม่เคยยึดนะ เพื่อนก็หาว่าหนูเข้าข้างแม่ เพื่อนก็รู้ว่าแม่เราเสื้อแดง จะพูดกระแนะกระแหนหนูตลอด แต่หนูก็ไม่เคยโต้ตอบ"

"ในโซเชียล (social media) ของดาราก็โพสต์ว่า เวทีของคุณสุเทพมีธงชาติและรูปในหลวง เวทีเสื้อแดงมีธงสีแดงและรูปฮุนเซน หนูก็บอกว่า เอ๊ะ ทำไมไม่เห็น เลยถามแม่ว่ามีรูปฮุนเซนกับทักษิณไหม แม่ก็บอกไม่มี หนูก็ไม่เห็น ก็ไม่พอใจมากว่าเอามาจากไหน โจมตีกันโดยที่ชาวบ้านเขาไม่รู้เรื่อง เพราะเขาเปิดโซเชียลไม่เป็น แล้วก็ยังโจมตีว่ามีอาวุธสงคราม ในรูปที่รถอุดรฯ โดนทุบ มันคือรถตู้ที่แม่หนูนั่งมา เขาบอกว่ามีอาวุธสงคราม คนที่แชร์ก็คือเพื่อนสนิทที่หนูรู้จัก หนูเลยโพสต์ว่า รถคันนี้แม่ฉันนั่งมาเอง ไม่มีอาวุธสงครามอะไรทั้งสิ้น หยุดใส่ร้ายป้ายสีกัน ตอนนี้หนูรู้แจ้งเห็นจริงแล้วว่าอะไรคืออะไร เพื่อนๆ ส่วนมากก็มาให้กำลังใจ ส่วนคนไม่พอใจก็ไม่มาอะไร หนูก็ไม่แคร์แล้วว่าใครจะเลิกคบหนู หนูแคร์แม่หนูมากกว่า แล้วหนูก็เอาคลิปแม่ไปลงด้วย หนูไม่อาย หนูรู้สึกว่าทำกับแม่หนูขนาดนี้ หนูก็ไม่อาย ไม่ไว้หน้าใครแล้ว"

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ด้านมืดของพี่ชาย คือ ทางสว่างของน้องสาว

Posted: 15 Dec 2013 06:43 AM PST

ในครอบครัวชินวัตรได้สร้างปรากฏการณ์ทางการเมืองไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านในหลายๆอย่าง ในส่วนของคุณทักษิณได้สร้างปรากฏการณ์การดำรงตำแหน่งครบวาระ 4 ปี คนแรกและคนเดียวในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และในส่วนของคุณยิ่งลักษณ์ก็ได้สร้างปรากฏการณ์นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย แต่การใช้นิยามว่าเป็นความมหัศจรรย์ทั้ง 2 อย่าง มันแลดูไม่น่าชื่นชมนัก เพราะ นายกรัฐมนตรีท่านอื่นๆทำไมถึงอยู่ได้ไม่ครบวาระเสียเลย เรามีเหตุการณ์ทางการเมืองที่มาขัดขวางการพัฒนาการทางประชาธิปไตยหลากหลายครั้ง ผ่านการรัฐประหารนับสิบครั้ง  เป็นต้น  และการก้าวขึ้นมาของการเป็นผู้นำหญิงมันต้องเป็นเรื่องที่แลดูปกติ ถ้าเรามองว่าผู้หญิงและผู้ชายเท่าเทียมกันในพื้นที่ทางการเมือง แต่การกล่าวว่าในลักษณะเป็นเรื่องใหม่หรือมหัศจรรย์(คนแรก) การกล่าวว่าผู้ชายและผู้หญิงในพื้นที่ทางการเมืองนั้นยังต้องนำมาขบคิดอีกมาก แต่ก็เป็นนิมิตรหมายที่ดีในการสร้างพื้นที่ความเท่าเทียมนี้ขึ้น เพราะ จำนวนผู้หญิงก็มีจำนวนมากขึ้นในพื้นที่ที่เคยถูกผูกขาดด้วยผู้ชาย ทั้ง 2 ท่านนี้มาจากครอบครัวเดียวกันมีหลายหลายความคิดที่อาจคล้ายคลึงกันและแตกต่างกัน  เราไม่สามารถปฏิเสธการเป็นพี่ชายและน้องสาวของทั้งสองท่านได้ แต่เราสามารถแลกเปลี่ยนในกระบวนการคิดของทั้งสองท่านได้

คุณทักษิณมาพร้อมกับ ความ Aggressive สังเกตได้จากการสอบชิงทุนของกรมตำรวจได้เป็นที่หนึ่ง เพื่อศึกษาต่อปริญญาเอก จากนั้นก็ได้กลับมาทำงานทางราชการและลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัวแต่วัยหนุ่ม เขาประสบความสำเร็จในธุรกิจที่เขาสร้างขึ้น สิ่งเหล่านี้มันเป็นพื้นฐานมาจากเขามีภาวะผู้นำที่สูง สูงในแง่ของการสั่งการและเข้มงวด เมื่อลงสมัครรับเลือกตั้งก็สามารถครองคะแนนเสียงเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้ มีกำลังอำนาจนำเหนือองค์กรอิสระ(รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540) การเป็นที่นิยมของประชาชนที่เป็นฐานมวลชนเมื่อออกปฏิบัติภารกิจนอกพื้นที่ก็มีมวลชนมาต้อนรับจำนวนมาก และเขาเองก็นำวิธีการบริหารงานรูปแบบภาคเอกชนเข้าปรับใช้ในการบริหารราชการ (CEO)

คุณยิ่งลักษณ์มาพร้อมกับ ความอ่อนน้อมถ่อมตน (เธอมีเท่านี้ เธอก็ใช้เท่านี้สู้กับสิ่งที่เผชิญหน้า และบังเอิญสิ่งที่เธอมีเท่านี้ มันไม่ล้ำหน้าใครหลายคนในสังคม กล่าวคือ มันไม่เป็นแสงแยงตาใครเสียเกินไปหรือการพร้อมที่จะประนีประนอม เพราะ ใครในที่นี้ คือ คนที่ขั้วตรงข้ามของพี่ชายของเธอ)

คุณยิ่งลักษณ์จึงสามารถสร้างบรรยากาศแห่งความปรองดองได้ผ่าน "ความอดทน อดกลั้น" หรือ การเป็น Soft Leader สิ่งนี้ คือ สิ่งที่เธอแตกต่างจากพี่ชายของเธอ เธอก็ยังคงมีอิสระทางความคิดของเธอ ไม่ได้ถูกพี่ชายของเธอครอบงำไปเสียหมดตามที่ผู้ต่อต้านเธอมักกล่าวถึง การที่เธอมักถูกกล่าวว่าเป็นร่างโคลนนิ่งพี่ชาย ได้ผ่านการมองที่ว่า "ผู้นำสตรี ขึ้นมามีอำนาจได้เพราะมีสายสัมพันธ์จากผู้ชายเป็นแรงผลักดัน มากกว่าความสามารถของตัวเธอเอง ; ผู้หญิงมักถูกวิจารณ์ว่า "ลำพังตัวเธอเองมาไม่ได้ไกลขนาดนี้หรอก ถ้าเธอไม่มีสายสัมพันธ์จากพี่ชายที่ดีพอ เช่น กรณีคุณยิ่งลักษณ์ ถ้าเธอไม่ได้เป็นน้องสาวของคุณทักษิณ เธอก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะได้เป็นนายกฯหรอก" ทั้งที่ผู้คนไม่เคยมองและใช้มาตรฐานเดียวกันนี้ ตั้งคำถามต่อผู้ชาย เช่น ลำพังคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เองคงไม่ได้เป็นนายกฯหรอก ถ้าไม่ได้เป็นสามีของคุณเยาวภา" มายาคติเช่นนี้พูดเหมือนการขึ้นสู่อำนาจของผู้หญิงเป็นเรื่องแปลกประหลาดกว่าการขึ้นสู่อำนาจของผู้ชาย ผู้คนไม่เห็นว่า Connection เป็นเรื่องปกติที่ผู้นำทุกคนต้องมีเมื่อจะขึ้นสู่อำนาจ ผู้คนมองไม่เห็น Political Capital (ต้นทุนทางการเมือง) ของ Political Dynasty (การเมืองของวงศาคณาญาติ) ทายาททางการเมืองนั้น เป็นไปได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ผ่านการขึ้นสู่อำนาจด้วยแรงผลักดันจากสายสัมพันธ์ทั้งสิ้น[1]

การเป็น Soft Leader ของเธอ มันทำให้ลดการเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุม เธอถอยหนีการปะทะกัน เธอถอยหนีการสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อ เพื่อหลีกหนีภาพความเจ็บปวดทางการเมืองที่มีมาในอดีตไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดที่ได้รับความสูญเสีย และการประกาศยุบสภาของเธอ ก็คือการแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง ในการกระทำที่ผิดพลาดของเธอและคณะรัฐบาลทั้งหมด เป็นการแสดงความรับผิดชอบในระบอบประชาธิปไตย และการลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งเพื่อให้ประชาชนตัดสินตัวเธอจากประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งประเทศ เป็นการต่อสู้กันในระบบ ประชาธิปไตยที่เข้มแข็งดูได้จากการที่ให้ประชาชนเดินเข้าหาระบบ มีข้อเรียกร้องใดๆเราก็ต้องเดินเข้าระบบ เพราะ ณ  เวลานี้ระบบยังคงทำงานได้ ไม่ใช่สร้างเงื่อนไขเพื่อเดินหนีระบบ ผ่านการออกมาริมถนนหรือการเดินหาอำนาจใดๆที่ไม่ได้มาจากประชาชน เป็นการถอยที่ทรงพลังทั้งทางการเมืองและทางมนุษยธรรม ตามที่เธอได้กล่าวว่า

"ดิฉันไม่ใช่ไม่มีความรู้สึก ดิฉันได้ฟังมาตลอดกับการร้องขอกับผู้ชุมนุม การที่กล่าวถึงทั้งตระกูลนั้น ดิฉันก็ถือว่าเราเป็นคนไทยด้วยกัน จะถึงขนาดไม่ให้เหยียบอยู่ในแผ่นดินไทยเลยหรือ เราจะเป็นกันอย่างนี้หรือ ดิฉันถอยไม่รู้ว่าจะถอยอย่างไรแล้ว ก็ขอความเป็นธรรมด้วยค่ะ" นาวสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวแถลงข่าวและตอบคำถามสื่อ 10 ธันวาคม 2556

แต่หลังการยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว รัฐมนตรีทั้งคณะย่อมพ้นจากตำแหน่งไปด้วยตามมาตรา 180 (2) แต่ต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 ซึ่งกำหนดไว้ด้วยว่า คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่ได้เท่าที่จำเป็น ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดในมาตราดังกล่าว เธอจึงยังคงมุ่งมั่นทำงานต่อไป ทั้งการดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนภาคใต้ที่ประสบปัญหาอุทกภัย การลงพื้นที่ตรวจงานการซ่อมแซมทางรถไฟสายเหนือ การเยี่ยมพี่น้องประชาชนในจังหวัดทางภาคเหนือ เป็นต้น  สถานการณ์ ณ เวลานี้ เธอจึงยังคงทำงานได้ตามปกติ  ทุกคนจึงยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ด้วยความประนีประนอมของเธอ และการจัดงานรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆในการปฏิรูปประเทศและร่วมแก้ไขปัญหาอย่างสันติ ในวันที่ 15 ธันวาคม นี้ ก็ทำให้อุณหภูมิทางการเมืองลดลง การเปิดพื้นที่นี้ เป็นพื้นที่ที่ระบอบประชาธิปไตยมอบให้ เพื่อรองรับให้ทุกความต้องการของทุกๆคนได้แสดงออกมา ระบอบประชาธิปไตยมันสร้างพื้นที่ให้ผู้คนมาต่อรอง ไปสู่การหาจุดดุลยภาพร่วมกันเพื่อเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย เพื่อหลีกหนีการปะทะกันที่ต้องสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินในอนาคต

อุณหภูมิทางการเมืองที่ลดลงก็ทำให้อำนาจอื่นๆที่ไม่ได้มาจากประชาชน เช่น กองทัพ ไม่มีความชอบธรรมที่จะเข้ามาจัดการปัญหาทางการเมือง ผ่านการรัฐประหารเช่นในอดีต ที่หลังรัฐประหารก็ยิ่งกลับมีความปะทุทางการเมือง ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีในการสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง กองทัพจะยิ่งเป็นที่น่าเชื่อถือของประชาชน เป็นกองทัพของประชาชน รักษาเกียรติของตนไว้อย่าสง่างาม เพราะ ทหาร คือ พลเมืองในเครื่องแบบ ทหารจึงไม่มีอำนาจในการใช้อำนาจแทนประชาชนทั้งประเทศ โดยทหารก็จะเป็นที่ยกย่องของประชาชนในฐานะผู้เสียสละในการปกป้องประเทศด้านความมั่นคงกับภายนอกประเทศ เป็นสังคมแห่งการให้เกียรติซึ่งกันและกัน  และด้วยพลังจาก "การควบตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของคุณยิ่งลักษณ์ มีการมองในเรื่องการเป็นนักการเมืองพลเรือนและเป็นผู้หญิง แต่ประเด็นที่ถูกมองเป็นหมุดหมายสำคัญคือ 1. การโยกย้ายตำแหน่งทางทหารที่จะตามมา 2.อาจมีรัฐมนตรีช่วย ที่เป็นนายทหารเก่าช่วยงาน แสดงให้เห็นว่าไม่ค่อยมีใครมองไปที่เรื่องความเป็นผู้หญิง เวลาที่เรามองกระทรวงกลาโหม ก็จะเป็นด้านความมั่นคงทางการทหาร นักการเมือง/นักเลือกตั้ง ไม่ค่อยมีความรู้ด้านนี้ กองทัพก็จะดูแลความมั่นคงกันเอง และมีการโทษกันไปมาของ 2 ทั้งสองฝ่ายในด้านทิศทาง.....

...... กองทัพและการเมืองไทย มันกำลังบอกตำแหน่งแห่งพื้นที่ เช่น เรื่องงบประมาณ แนวนโยบาย กองทัพหรือกระทรวงกลาโหมก็จะดูแลกันเองมากกว่าให้นักการเมืองพลเรือนมาดูแล แต่กรณีการควบของคุณยิ่งลักษณ์ก็เป็นการส่งสัญญาณว่าเป็นการเริ่มต้นของการควบคุมผ่านนักการเมืองพลเรือน ก็ต้องรอดูว่าจะส่งผลต่อภาพรวมอย่างไรทางการเมืองไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีเองก็ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เพื่อการประสานงานและพูดคุยที่ง่ายขึ้น ประกอบกับด้วยความอ่อนน้อมของนายกรัฐมนตรีก็จะทำให้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย"[2] ยิ่งทำให้กองทัพเป็นที่น่าเชื่อถือมากขึ้นในสายตาประชาชน เพราะ มีรัฐบาลจากประชาชนมากำกับดูแลและทำงานร่วมกันได้เพื่อประชาชนทุกคน

 

ด้วยความ Aggressiveของพี่ชายเธอมันนำมาสู่การเพิ่มพลังอุณหภูมิทางการเมืองดั่งเช่นในอดีต

ความเป็นผู้นำที่เด็ดขาด ที่แข็งกร้าว ที่ประชาชนนิยมมองว่าเข้มแข็ง ก็ย่อมเป็นภัยแก่ตัวผู้นำและสังคมเสียเอง

ความอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าใช้ได้ไม่ทรงพลังก็ถูกมองว่าไม่เข้มแข็งได้ ประชาชนก็จะขาดความเชื่อมั่นได้

แต่เธอเลือกใช้ความแข็งแกร่งที่จะนำความอ่อนน้อมถ่อมตนของเธอมาดับร้อนการเมือง

ด้านมืดของพี่ชาย จึงเป็น ทางสว่างของน้องสาว

 

 

 


1] รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์,จากหลังบ้าน ถึงนายกรัฐมนตรีหญิงฯ, http://prachatai.com/journal/2012/01/38617,5 มกราคม 2555

[2] รายการคิดยกกำลัง 2 กับ COMMENTATORS ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส, http://clip.thaipbs.or.th/home.php?vid=6832&ap=flase,วันที่ 2 กรกฎาคม 2556

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

การบุกยึดสถานทูตสหรัฐอเมริกาเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

Posted: 15 Dec 2013 06:21 AM PST

                                                                                                                                                

บทนำ

ตามที่มีข่าวว่าแกนนำค.ป.ท.จะนำผู้ชุมนุมประท้วงบุกยึดสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยนั้น เป็นประเด็นที่มีความสำคัญยิ่งเพราะเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต โดยเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1979 นักศึกษาและประชาชนชาวอิหร่านที่ไม่พอใจการกระทำของรัฐบาลอเมริกันได้บุกรุกและทำลายทรัพย์สินของสถานทูตอเมริกาประจำกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน รวมทั้งจับคณะผู้แทนทางทูตและประชาชนชาวอเมริกันอีกหลายร้อยคนเป็นตัวประกันเป็นเวลาหลายเดือน[1] การบุกยึดสถานทูตเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงและทำให้สหรัฐอเมริกาฟ้องอิหร่านต่อศาลโลกมาแล้วจนเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกว่าเป็นคดีจับตัวประกัน (The Hostage case)

หากผู้ชุมนุมประท้วงมีการบุกยึดสถานทูตสหรัฐอมริกาประจำประเทศไทยจริง จะเป็นการละเมิดหลักความละเมิดมิได้ในสถานที่ของคณะผู้แทน (Inviolability of Mission Premises) อันเป็นหลักกฎหมายสำคัญของความสัมพันธ์ทางการทูตซึ่งได้รับการรับรองไว้ในอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 (Vienna Convention on Diplomatic Relations) (ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีด้วย) ดังนี้

หลักความละเมิดมิได้ในสถานที่ของคณะผู้แทน (Inviolability of Mission Premises)

ประเทศไทยในฐานะรัฐผู้รับ (Receiving state) มีพันธกรณีตามข้อบทที่ 22 (2) ของอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 ที่จะดำเนินการทั้งมวลที่เหมาะสม เพื่อคุ้มครอง "สถานที่ของคณะผู้แทน" (หรือที่คนทั่วไปเรียกว่าสถานทูต) ของประเทศสหรัฐอเมริกาในฐานะรัฐผู้ส่ง (Sending state) จากการบุกรุก หรือความเสียหายใด และที่จะป้องกันการรบกวนใดๆต่อความสงบสุขของคณะผู้แทน หรือการทำให้เสื่อมเสียเกียรติของคณะผู้แทน โดยหน้าที่คุ้มครองสถานที่ของคณะผู้แทนโดยรัฐผู้รับนี้แบ่งได้ออกเป็นสามกรณีใหญ่ๆคือ หน้าที่ป้องกันมิให้เกิดการบุกรุก (intrusion) การทำความเสียหาย และการรบกวนใดๆ(disturbance)

สำหรับตัวอย่างของการบุกรุก (intrusion) และการทำความเสียหายให้แก่สถานทูตนั้นที่รู้จักกันทั่วโลกได้แก่กรณีที่นักศึกษาและประชาชนอิหร่านได้บุกยึดสถานทูตอเมริกาประจำกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่านและยังได้จับนักการทูตและประชาชนชาวอเมริกันหลายร้อยคนเป็นเวลาปีเศษ สหรัฐอเมริกาฟ้องต่อศาลโลกว่าอิหร่านได้ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ศาลโลกได้ตัดสินว่าอิหร่านละเมิดอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ที่น่าสนใจของคดีนี้ก็คือศาลโลกได้ตัดสินว่าแม้การกระทำดังกล่าวจะเกิดจากเอกชนหรือประชาชนก็ตามแต่เจ้าหน้าที่ของอิหร่านมิได้ทำการป้องกันอย่างเต็มที่ในอันที่จะมิให้เกิดความเสียหายขึ้น จึงมีผลเท่า กับว่าการทำลายสถานทูตและการจับนักการทูตถือเป็นการกระทำของรัฐบาลอิหร่าน อิหร่านจึงมีความผิดและต้องรับผิดชอบตามกฎหมายระหว่างประเทศ[2] ดังนั้น ประเทศไทยในฐานะรัฐผู้รับจึงต้องใช้มาตรการที่เหมาะสมที่จะต้องป้องกันมิให้กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงบุกยึดสถานทูตสหรัฐอเมริกาได้ มิฉะนั้นแล้ว ประเทศไทยอาจละเมิดข้อบทที่ 22 (2) ของอนุสัญญาเวียนนาและก่อให้เกิดความรับผิดในทางระหว่างประเทศได้

สำหรับกรณีของการป้องกันการรบกวนใดต่อความสงบสุขของคณะผู้แทน หรือการทำให้เสื่อมเสียเกียรติของคณะผู้แทนนั้น เป็นกรณีที่ผู้ชุมนุมประท้วงยังมิได้บุกรุกเข้าไปในสถานทูตแต่ทำการใดๆที่มีลักษณะเป็นการรบกวนหรือขัดขวางต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตัวแทนทางทูตหรือมีการกระทำใดอันเป็นการหมิ่นเกียรติของทูต ก็ถือว่าเป็นการละเมิดข้อบทที่ 22 (2) เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยในฐานะรัฐผู้รับยังมีหน้าที่ที่จะต้องป้องกันมิให้กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง ก่อความวุ่นวายหรือสร้างความรบกวนจนมีผลกระทบต่อการปฎิบัติหน้าที่หรือเป็นการหมิ่นเกียรติของตัวแทนทางทูตด้วยแม้ว่าจะมีการประท้วงบริเวณรอบๆสถานทูตด้วย

บทส่งท้าย

ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะ (Public assembly) และการเดินประท้วง (Procession) ในหลายประเทศได้มีกฎหมายนี้ สำหรับกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมในที่สาธารณะของต่างประเทศนั้นจะมีลักษณะการใช้บังคับที่ค่อนข้างเคร่งครัด กล่าวคือ มีการใช้ระบบอนุญาต ระบบการแจ้งล่วงหน้ามีมาตรการควบคุมการชุมนุมทั้งก่อนและระหว่างการชุมนุม โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจออกกฎ ระเบียบ หรือคำสั่งในระหว่างการชุมนุมได้ หากเห็นว่าการชุมนุมนั้นอาจนำไปสู่ ความขัดแย้ง วุ่นวาย หรือไม่สงบเรียบร้อย รวมทั้งมีอำนาจในการสั่งให้ยุติการชุมนุมได้ด้วย นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเกี่ยวกับเงื่อนเวลา เช่น ในบางประเทศมีการกำหนดให้บุคคลจะใช้เสรีภาพในการชุมนุมในที่สาธารณะได้ต้องเป็นภายหลังช่วงเวลาเร่งด่วน เช่น ภายหลัง 07.00-09.00นาฬิกา เป็นต้นไป บางประเทศก็กำหนดให้ชุมนุมได้ถึงเวลา 21.00-23.00 นาฬิกา เท่านั้น การที่ประเทศไทยยังขาดกฎหมายการชุมนุมและเดินประท้วงทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงอ้างสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญจนเกินขอบเขตและอาจนำไปสู่สภาวะความไร้ขื่อแปของกฎหมายในที่สุด

 




[1] สาเหตุของการเกิดวิกฤติการณ์การจับตัวประกันครั้งนี้เป็นผลมาจากการที่มีการปฎิวัติใหญ่ในประเทศอิหร่าน โดยมีการโค่นล้มระบอบการปกครองเเบบกษัตริย์ ซึ่งมีกษัตริย์ ชาห์ ปาเลวี (Muhammad Reza Shah Pahlevi) เป็นประมุข ซึ่งรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุน หลังจากที่มีการโค่นล้มชาห์สำเร็จเเล้ว ชาห์ได้ลี้ภัยที่ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งสร้างความไม่พอใจเเก่นักศึกษาอิหร่านเป็นอย่างมากจนนักศึกษาอิหร่านจำนวนมากบุกยึดสถานทูตอเมริกา ณ กรุงเตหะรานเเละจับนักการทูตเป็นตัวประกัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในครั้งนั้น คือจิมมี่ คาร์เตอร์ พยามยามเเก้ไขวิกฤตการณ์ครั้งนี้ทั้งทางการทูตเเละการใช้กำลังโดยหน่วยคอมมมานโดเเต่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฮลิคอปเตอร์สามลำได้ประสบอุบัติเหตุท่ามกลางพายุทะเลทรายเสียก่อน วิกฤตการณ์นี้คลี่คลายลงโดยคณะกรรมาธิการของสหประชาชาติ ซึ่งในนั้นมีนักการทูตชาวอัลจีเรียประจำสหประชาชาติอย่างท่าน Mohammed Bedjaoui อยู่ด้วย ต่อมาท่าน Bedjaoui ได้รับเลือกให้เป็นผู้พิพากษาศาลโลก

[2] See UNITED STATES DIPLOMATIC AND CONSULAR STAFF IN TEHRAN (UNITED STATES OF AMERICA v. IRAN), I.C.J. Report 1980, para. 95 (2)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

การเข้าใจการชุมนุมทางการเมืองผ่านการศึกษาการแสดง (Performance Studies)

Posted: 15 Dec 2013 05:55 AM PST

Performance ในที่นี้ กำลังพูดถึง การแสดง ซึ่งหมายถึง การนำเสนอตัวตน แสดงออก ให้คนอื่นเห็นว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ เหตุใด Performance จึงมีความสัมพันธ์กับการชุมนุมทางการเมือง นักการเมืองกำลังเล่นละครตบตาพวกกเราอยู่หรือ? หรือคนในม็อบเป็นแค่พวกนักแสดงที่เล่นบทว่าห่วงใยประเทศ และต่อสู้กับความอยุติธรรม?

อันดับแรกเราต้องเข้าใจ การแสดง ในบริบทสังคมก่อน ซึ่งไม่ใช่เป็นการแสดงบนเวที ในทีวี หรือภาพยนตร์ แต่เป็นการเข้าใจการแสดงในฐานะส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ทฤษฎีทางสังคมวิทยา Erving Goffman ได้อธิบาย การกระทำของมนุษย์ในชีวิตประจำวันผ่านหลักของการแสดงละครไว้ใน Presentation of Self in Everyday Life (1959) สรุปประเด็นสำคัญสั้นๆคือ มนุษย์มีพื้นที่สองส่วนคือ หลังเวที (Back) และหน้าเวที (Front) ในพื้นที่หลังเวที คือพื้นที่ที่เรามีความเป็นส่วนตัวสูง อยู่คนเดียว อาจเป็นห้องน้อนของเรา ห้องทำงานที่บ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เราจะทำอะไรก็ได้ แคะขี้มูก นอนเกาพุง น้ำลายไหล ในขณะที่ หน้าเวที คือพื้นที่สาธราณะที่เราต้องติดต่อกับคนอื่นๆนอกจากตัวเราเอง เราต้องใส่เสื้อผ้า (Costume) เลือก Props เลือกบทสนทนา ท่าทาง การกระทำ และ "ภาพลักษณ์บางส่วน" ที่เราอยากให้คนเห็นและเข้าใจว่าเรามีตัวตนอย่างไร แน่นอน ตัวเราในตลาดนัดข้างบ้าน กับ ตัวเราในซุปเปอร์มาเก็ตในห้างสรรพสินค้า ก็ไม่เหมือนกันแล้ว จะอธิบายหลักการแสดงให้ชัดขึ้นในโลกวันนี้ Facebook เป็นอีกตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดในฐานะพื้นที่ "หน้าเวที" ในขณะที่เรานั่งชันเข่าเกาหัวอยู่ในห้องนอนหน้าคอมมพิวเตอร์ เรากำลัง "Perform" ตัวเราเอง ผ่านฟีเจอร์ของ Facebook โดย "เลือก" ว่า ตัวเราแบบไหนดีที่อยากให้สาธารณชนรู้จัก เริ่มจากเลือกรูปประจำตัว การศึกษา บ้านเกิด รสนิยม เพลงโปรด กิจกรรมยามว่าง หรือกระทั่งรสนิยมทางการเมือง ซึ่งสิ่งที่เราเลือกออกมานี้ไม่ได้แปลว่าเราโกหก หรือ เราพูดจริง แต่ Performance ที่เกิดขึ้นนี้คือ "ความจริง" ชุดหนึ่งที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อจูงใจให้คนรับรู้ ในความเป็นเราแบบนี้

กลับมาที่เรื่องการเมือง ตกลงมันเกี่ยวยังไงกับการชุมนุมทางการเมือง?

แน่นอนว่าการศึกษาการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางสังคมศาสตร์ โครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเงื่อนไขทางสังคมเหล่านี้มักเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดการเคลื่อนไหวทางสังคม หรือการชุมนุมทางการเมือง คือถ้าไม่เดือดร้อน ก็ไม่ออกมา แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นและขาดไม่ได้ นั่นก็คือ การรวมตัวกันของคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีอุดมการณ์ ความเชื่อ มีเป้าหมายสูงสุดตรงกัน และมีความไม่พอใจอะไรบางอย่างในสังคมไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรวมตัว เป็นเหตุว่า ทำไม เสื้อเหลือง กับ เสื้อแดง อยู่ม๊อบเดียวกันไม่ได้ ทั้งๆที่คนจำนวนไม่น้อยทั้งเหลืองและแดงมีความเห็นตรงกันในบางเรื่อง แต่เป้าหมายสูงสุดของแต่ละฝ่ายเป็นคนละเรื่อง นั่นส่งผลให้วันที่คนจำนวนมากออกมาโต้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พร้อมกับนกหวีด และมีคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ. นี้ แต่ปฏิเสธที่จะไปร่วมในพื้นที่เดียวกันกลับคนอีกกลุ่ม ซึ่งแกนนำและมวลชนมีรากฐานมาจากการสนับสนุนรัฐประหาร หรือชูเพียงประเด็นว่าไม่เอาทักษิณกลับมา และมองข้ามบทบาทการสลายการชุมนุมของอภสิทธิ์ปี 53 ซึ่งขัดกับเป้าหมายสูงสุดของเขา และในการเคลื่อนไหวที่มีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ต้องมีการติดต่อสื่อสารกัน เงื่อนไขทางสังคมอาจเป็นตัวยึดเหนี่ยวพวกเขา แต่สิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยคือการสื่อสารทางอารมณ์และความรู้สึกร่วม เปรียบเสมือนกาวที่ทำให้ตัวต่อยึดติดกันแน่นขึ้น และขับเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกันอย่างแน่นแฟ้น ซึ่งการศึกษา Performance นี่แหละ ที่เป็นตัวกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึกผ่านสัญลักษณ์ บทปราศรัย เพื่อยึดโยงมวลชนไว้ด้วยกัน

ถึงจุดนี้แล้วหน้าที่ของ Performance ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองคืออะไร?

สรุปสั้นๆก็คือ การทำอย่างไร ที่จะแสดงให้สาธารณชนเห็นว่า "เราคือพวกเดียวกัน" เลือกนำความจริงชุดหนึ่งออกมานำเสนอเป็นภาพ เสียง สัญลักษณ์ เป็นคำพูด เพื่อให้เกิดการยึดโยงทางอารมณ์ เช่น การใช้นกหวีด มือตบ ตีนตบ หน้ากากขาว ใส่เสื้อเหลือง เสื้อแดง Costumes และ Props เหล่านี้จะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง หากมีเพียงคนเดียวในม็อบนำมาใช้ การที่เรามีข้อตกลงร่วมกัน ในการจะ Perform หรือ แสดง โดยทำการกระทำอย่างหนึ่งที่เราไม่ได้ทำเป็นปกติในชีวิตประจำวัน นั่นเป็นกลวิธีหนึ่งในการสร้างพลังให้กับมวลชน เพื่อแสดงจุดร่มเดียวกันผ่านสัญลักษณ์เหล่านี้ เมื่อเราตกลงกันว่า เราจะคาดผ้าธงชาติ เป่านกหวีด และไปชุมนุมที่ราชดำเนิน นั่นหมายความว่า เราต้องการแสดงออกให้สาธารณชนเห็นว่า เรารักชาติ และต่อต้านคอร์รัปชั่น ซึ่งจากที่อธิบายไว้ในย่อหน้าแรก นั่นไม่จำเป็นว่าเราต้องเชื่อจริงๆว่าเรารักชาติและต่อต้านคอร์รัปชั่น เราอาจจะมีเหตุผลสำเร็จในใจอยู่แล้วว่าเราออกไปทำไม แต่นี่คือสิ่งที่เราต้องการให้คนเห็นและเข้าใจเราในแบบนี้

แล้วรู้ไปมีประโยชน์อะไร?

การสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สร้างอารมณ์รู้สึกร่วมกันย่อมส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนมวลชน แต่ที่สำคัญกว่านั้นการที่เราเข้าใจหลัก Performance ช่วยทำให้เรามองออกและแยกส่วนได้ว่าอะไรคือแก่นของการเคลื่อนไหว ตัวอย่างเช่น Performance ของแกนนำ หรือผู้นำม๊อบ เราต้องเข้าใจว่ามันเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่ง ซึ่งจุดประสงค์ของการขับเคลื่อนและปลุกระดมคือการทำให้มวลชนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากที่สุด ดังนั้นคำปราศรัย และสำนวนโวหารที่ใช้บนเวที จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาเลือกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น สุเทพ หรือ ณัฐวุฒิ พวกเขาเลือกพูดในสิ่งที่มวลชนของพวกเขาพร้อมจะตบมือและสนับสนุน มันไม่ใช่ว่าเขากำลังโกหกหรือพูดจริง ไม่ใช่ข้อเท็จจริง (fact) แต่เป็นความจริง (truth) ที่เขาเลือกมาเพื่อมวลชนของเขา และแน่นอนว่า บทปราศรัยของณัฐวุฒิ บนเวทีเสื้อแดงคงไม่เข้าหูมวลมหาประชาชนที่ราชดำเนิน เช่นกัน คำปลุกระดมของกำนันสุเทพ ก็คงไร้สาระในมุมมองของคนเสื้อแดง

ถ้าเช่นนั้น เราเป็นพวกโง่ ไร้สมอง โดนพวกนักการเมืองชั่ว ล้างสมองอยู่หรือ?  

เป็นอีกวาทะกรรมหนึ่งซึ่งชนชั้นล่างมักโดนเล่นงานอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่เลย ไม่ว่าคนกลุ่มไหน ชนชั้นใดก็ตาม ในวิถีทางของประชาธิปไตย เป็นอย่างที่มวลมหาประชาชนย้ำเสมอ ว่าอำนาจเป็นของประชาชน แต่ต้องขอย้ำต่ออีกทีว่า อำนาจเป็นของประชาชนทุกคน ถ้าเรายังอยู่ในระบบประชาธิปไตยที่ทุกคนมี 1 สิทธิ์ 1 เสียงเท่ากันนี้ นักการเมืองหาใช่นักแสดงที่จะมากำหนดความคิดของเรา แต่หากเป็นประชาชนที่เป็นคนกำหนด Performance ของนักการเมือง รวมถึงพรรรคการเมือง ประชาชนมีสิทธิ์ในการที่จะไม่สนับสนุนเขาในการเลือกตั้งครั้งต่อไป หาก Performance ไม่เป็นที่พอใจ นักการเมืองจึงต้องทำให้ดีที่สุดในการที่จะเอาใจมวลชนของเขา การศึกษาการละครและการแสดงในบริบทสังคมและการเมืองระบอบประชาธิปไตย จึงแตกต่างจากรูปแบบการทำงานของละครเวทีในเชิงสร้างสรรค์ที่ผู้กำกับมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการเลือกนักแสดงและกำกับการแสดงให้เป็นไปในทิศทางที่ตนต้องการ แต่สำหรับสังคมประชาธิปไตยแล้วผู้กำกับไม่ได้มีเพียงคนเดียวแต่หากคือทุกคนที่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจ  แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ ในขณะที่เรามีอำนาจในการกำหนด Performance ของนักการเมืองอยู่ทุกวันนี้ คนกลุ่มหนึ่งกำลังจะหยิบยื่นอำนาจของตัวเองให้กับนักการเมืองหรือคนกลุ่มหนึ่งที่ตนไว้ใจ จะแสดงตลกปาหี่อะไรก็ได้ โดยที่ไม่ต้องสนใจความต้องการของมวลชนอีกแล้ว

แล้วไง? ไม่ต้องไปไหน? ทนกับความไม่ยุติธรรม?

ไปเลย มันเป็นสิทธิ์ของคุณ และเป็นวิถีทางทางประชาธิปไตย ในการชุมนุมอยู่ภายใต้กรอบกฏหมาย ไม่ว่าม๊อบไหน การเข้าใจ Performance ในฐานะการขับเคลื่อนมวลชนในการชุมนุม เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้เราวิเคราะห์ตัวเอง วิเคราะห์สถานการณ์ได้ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีในขณะที่มีการชุมนุม การปราศรัย ล้วนถูกคัดสรรค์และสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของมวลชน ณ จุดนั้น  ซึ่งไม่ได้แปลว่าดีหรือเลว แต่เป็นยุทธศาสตร์ทางสากลในการขับเคลื่อนมวลชน แต่อาจไม่ใช่ Fact ทั้งหมด ยังมีข้อเท็จจริงอีกมากมายที่ไม่ได้อยู่แค่บนเวที วิเคราะห์ตัวเองให้ออก ถ้าวันหนึ่งเราไม่รู้สึกอยากปรบมือ หรือ เฮ กับข้อเสนอของแกนนำในที่ชุมนุมแล้ว นั่นก็แสดงว่าจุดยืนและเป้าหมายของเรากับเขาไม่ตรงกัน ก็แค่เดินออกมา แสดงพลังว่า ถ้าคุณแสดงแย่ ผมก็มีสิทธิ์ที่จะไม่เอาคุณ อย่ากลัวที่จะต้องยอมรับว่าเราเคยเห็นด้วยกับเขา เพราะนี่คือการแสดงอำนาจของประชาชนที่แท้จริง  

 

 

เกี่ยวกับผู้เขียน:

รับขวัญ ธรรมบุษดี

MA Performance, Culture and Context
School of Performance and Cultural Studies
University of Leeds, UK

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วิถีการปฏิรูปและทางเลือกเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย

Posted: 14 Dec 2013 11:40 PM PST

                

บทนำ

"การปฏิรูป" เป็นกระแสหลักของภารกิจระดับชาติของประเทศไทยมาเป็นเวลาร่วม 20 ปี ครอบคลุมถึงการพัฒนาการเมืองจนนำไปสู่การสร้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 สมัยนายกบรรหาร ศิลปอาชา  การปฏิรูประบบราชการ พ.ศ. 2545 สมัยนายกทักษิณ ชินวัตร การจัดทำข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยของประชาชนผ่านกลไกองค์กรที่ชื่อว่า "สำนักงานปฏิรูป (สปร.)" ระหว่าง พ.ศ. 2553-กลาง พ.ศ. 2556 ที่มีสืบเนื่องมาในสมัยนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

กระแสปฏิรูปล่าสุดที่กลายเป็นกระแสอันเชี่ยวกรากในขณะนี้นั้น นับได้จากการจัดตั้งสภาปฏิรูปการเมือง เมื่อเดือนสิงหาคม 2556 ของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร การปฏิเสธการเข้าร่วมของพรรคประชาธิปัตย์ ตามด้วยการเรียกร้องอย่างคู่ขนานให้มีการปฏิรูปประเทศไทยของขบวนการภาคประชาชน การโต้ตอบรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์นอกสภาต่อกรณี พ.ร.บ. นิรโทษกรรมและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การโหมกระหน่ำโดยคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส.) (ภายใต้การนำของอดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ และการสมทบกับแกนนำอดีตพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ องค์กรในเครือข่าย) การยุบสภาของรัฐบาลเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 และการเตรียมการเลือกตั้งครั้งใหม่ ที่สะสมกันๆจนทำให้ภาคส่วนต่างๆในสังคม รวมทั้งพรรคการเมืองที่จะแข่งกันในสนามเลือกตั้ง ร่วมขับขานร้องเพลงการปฏิรูปดังกระหึ่มทั่วประเทศไปด้วยในขณะนี้

ข้อเขียนชิ้นนี้จะนำเสนอวิถีการปฏิรูปผ่านนิยามของการปฏิรูป ประสบการณ์และการเรียนรู้เพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐบาลชุดที่แล้ว และนำเสนอข้อเสนอทางเลือกเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยที่กำลังเป็นที่เรียกร้องต้องการของสังคมในขณะนี้ ดังต่อไปนี้

วิถีการปฏิรูป

1. การปฏิรูปจำเป็นต้องมีนิยามเพื่อการเข้าใจร่วมกันทั้งสังคมและส่วนย่อยต่างๆ ไม่เช่นนั้นเราอาจขับเคลื่อนกันไป โดยอะไรๆก็เป็นการปฏิรูปไปหมด ในทางทฤษฎี การปฏิรูปควรจะหมายถึง "กระบวนทัศน์ หลักการ แบบแผน การกระทำ และวิธีการของการกระทำที่สมเหตุสมผลอย่างใหม่ การปรับปรุงหรือปรับตัวใหม่ การสร้างความแตกต่าง การกระทำที่เป็น ความก้าวหน้า และเหมาะสมที่สุดสำหรับยุคสมัยนั้นๆ แต่ไม่ใช่แบบฉับพลันทันด่วน ทั้งโดยค่อยๆเป็นไปเอง หรือเร่งเร้าพอสมควรอย่างตั้งใจให้เกิดขึ้น ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ที่อาจเกิดกับทั้งสังคม ขบวนการ สถาบัน องค์การ และบุคคล และที่มักจะอาศัยปรัชญา ค่านิยม หรืออุดมการณ์ใหม่ หรือค่านิยมเดิมในอดีตที่ยังมีคุณค่าแต่ถูกละเลยมาอ้างอิง รวมทั้งการมีกฎระเบียบใหม่หรือการจัดตั้งองค์การเฉพาะเรื่องๆที่มีภารกิจรองรับกิจกรรมการปฏิรูป ให้เกิดการปฏิรูปตนเองและโดยรวม เพื่อผลหรือเป้าหมายในการแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่และขับเคลื่อนหรือนำพาสังคม สถาบัน องค์การ และผู้คนไปสู่สภาพที่ก้าวหน้ากว่าเดิม"

2. การปฏิรูปอาจมีได้หลายกลยุทธ์หรือวิธีการ เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูป ดังที่เคยมีการจัดตั้งสมัยรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยมีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิรูป พ.ศ.๒๕๕๓ รองรับ ระหว่าง พ.ศ. 2553 – 2555 (จบงานจริงโดยสมัชชาปฏิรูปในกลาง พ.ศ. 2556) หรือปล่อยให้เป็นเรื่องของพรรคการเมืองขับเคลื่อนตามนโยบายของตน คือ พรรคการเมืองใดชนะการเลือกตั้ง รัฐบาลก็ย่อมปฏิรูปไปตามแนวนโยบายของพรรคนั้น หรือ ให้องค์กรประชาชนดำเนินการเคลื่อนไหวกันเองเพื่อเรียกร้องต่อรัฐให้ปฏิรูป หรือ การกระตุ้นให้องคาพยพต่างๆในสังคมสร้างกระแสการปฏิรูปตนเองขึ้นอย่างขนานใหญ่ ไม่ใช่การรวมศูนย์การปฏิรูปไว้ที่รัฐบาล หรือ การจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษของรัฐสภาคล้ายการร่างรัฐธรรมนูญแต่เพื่อการปฏิรูปประเทศ หรือ การตั้งคณะกรรมการพิเศษของรัฐสภา รัฐบาล และ ศาล ร่วมกัน หรือ การจัดตั้งเป็นองค์กรกลางเพื่อประมวลข้อความเห็นต่างๆ จากองค์การและสถาบันทั้งหลายทั้งปวง ทั้งของทางราชการ องค์การอิสระ องค์การประชาชน องค์การธุรกิจ สถาบันวิชาการ หรือ อื่นๆ ที่เสนอกันไว้มากมายแล้วมาคัดสรร วิเคราะห์และสังเคราะห์ ประเมินคุณค่า และจัดลำดับความสำคัญ แล้วทำเป็นข้อเสนอประกอบเหตุผลต่อไปยังรัฐบาลหรือองค์การต่างๆ โดยสภาปฏิรูปมีเพียงหน้าที่เสนอความเห็นว่าควรหรือจะต้องทำอะไร อย่างไร และทำไมจึงต้องทำเช่นนั้น แต่ไม่มีหน้าที่ขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิรูป หรือหากให้มีทั้งหน้าที่เสนอความเห็นและขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิรูปไปพร้อมกันด้วยก็จะเป็นงานที่ท้าทายอย่างมาก


ประสบการณ์และการเรียนรู้เพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูป

1. ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่เรื้อรัง รวมทั้งปัญหาสำคัญๆที่สะสมของประเทศในด้านต่างๆ มาถึงปัจจุบันนั้น เราทั้งหลายย่อมเห็นว่าในเรื่องส่วนรวม รัฐบาลย่อมต้องเป็นภาระต่อการปฏิรูป แต่ผู้เขียนก็สนับสนุนการกระตุ้นให้องคาพยพต่างๆ ในสังคมสร้างการปฏิรูปตนเองขึ้นอย่างขนานใหญ่ด้วย คือ ปฏิรูปทั้งส่วนย่อยและส่วนรวมกันทั้งประเทศ เพราะทุกส่วนนั่นแหละที่เกี่ยวโยงถึงกันและพึ่งพาอาศัยกัน (Connectivity and dependency) เป็นสิ่งแวดล้อมต่อกันและกัน และกลายเป็นสังคมส่วนรวม แต่ละส่วนจึงต้องเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อให้มีผลต่อส่วนรวมด้วย ไม่ใช่การรวมศูนย์หรือมอบภาระการปฏิรูปไว้ที่รัฐบาลเท่านั้น รัฐบาลแม้จะอยู่ในฐานะที่ต้องรับผิดชอบบ้านเมืองในภาพรวม แต่ก็สามารถจุดประกายและเสริมสร้างหรือส่งเสริมด้วยการจัดตั้งกลไกที่เป็นองค์กรกลางมาเอื้อให้เกิดความก้าวหน้าของการเปลี่ยนแปลงในส่วนย่อยๆของสังคมได้  การใช้แนวทางเช่นนี้จะทำให้เกิดภาพประชาชนร่วมรัฐเพื่อการปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง ซึ่งต่างจากการปฏิรูปก่อนหน้าครั้งนี้ ที่ดำเนินงานภายใต้องค์กรชื่อว่า "สำนักงานปฏิรูป (สปร.)" แต่ไม่มีลักษณะที่ชัดเจนว่าเป็นองค์กรของส่วนรวมหรือส่วนกลางจริงๆ โดยที่มาของคณะกรรมการปฏิรูปไม่สะท้อนการเป็นตัวแทนขององค์การตามกฎหมายและไม่มีกฎหมายรองรับที่มีบทบาทสำคัญๆในสังคมไทยมากนัก ผู้เข้าร่วมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเป็นคนดีมีฝีมือทั้งจากฝ่ายอนุรักษ์และฝ่ายก้าวหน้าในระดับแนวหน้าของประเทศ แต่ส่วนใหญ่ค่อนไปในทางเครือข่ายของปัญญาชนอนุรักษ์มากกว่าฝ่ายก้าวหน้า อันประกอบด้วย อดีตข้าราชการ นักวิชาชีพ นักวิชาการ นักวิพากษ์สังคม ผู้นำแรงงาน ผู้นำชุมชน และนักกิจกรรมภาคประชาชน รวมทั้งหน้าที่ของคณะกรรมการก็ยังจำกัดที่จะส่งเสริมให้องคาพยพต่างๆในสังคมสร้างการปฏิรูปตนเอง พร้อมกับการปฏิรูปของรัฐบาลขึ้นอย่างขนานใหญ่ร่วมกัน  แต่โน้มไปในทางรวบรวมข้อเสนอเพื่อปฏิรูปและสร้างมติหรือให้ได้ข้อยุติเพื่อการปฏิรูปตามที่กำหนดโดยคณะกรรมการส่วนกลางแล้วส่งต่อไปยังรัฐบาล (และพรรคการเมือง) ที่จะรับไปเป็นภาระการปฏิรูป โดยอาศัยการผลักดันและขับเคลื่อนของสาธารณชนเพื่อหวังจะให้การปฏิรูปเป็นจริง

ดังที่ปรากฏว่าคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยที่มีในสมัยนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีโครงสร้างสองส่วน คือ คณะกรรมการปฏิรูป และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป  โดยหน้าที่ดังนี้[2]

คณะกรรมการปฏิรูป มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

· กำหนดยุทธศาสตร์ แนวทาง มาตรการ และกระบวนการต่างๆ เกี่ยวกับการปฏิรูป

· จัดทำข้อยุติและข้อเสนอแนะต่างๆ เกี่ยวกับการปฏิรูปเสนอต่อสาธารณชนและภาครัฐเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง

· ประสานงานกับคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปในการได้มาซึ่งข้อมูล ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของสาธารณชนเกี่ยวกับการปฏิรูป

· ประสานงานกับคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปในการสนับสนุน ติดตาม ผลักดัน การขับเคลื่อนของสาธารณชนและภาครัฐต่อการปฏิรูปให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

· แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะประเด็นหรือเฉพาะด้าน คณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะกรรมการปฏิรูปมอบหมาย

คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป มีอำนาจหน้าที่

· ส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนในสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเพื่อการปฏิรูปตลอดจนสนับสนุนการสื่อสารทางสังคมเพื่อให้ทุกภาคส่วน ได้รับรู้ เข้าใจ และเข้าร่วมในการปฏิรูปอย่างกว้างขวาง

· ดำเนินการให้ได้มาซึ่งข้อมูล ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะของสาธารณชนเกี่ยวกับการปฏิรูป

· จัดให้มีสมัชชาปฏิรูประดับชาติ และสนับสนุนให้มีการจัดสมัชชาปฏิรูปเฉพาะพื้นที่เฉพาะประเด็นเพื่อให้ได้มา ซึ่งข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับการปฏิรูป

· ประสานงานกับคณะกรรมการปฏิรูป ในการสนับสนุน ติดตามผลักดันการขับเคลื่อนของสาธารณชนและภาครัฐต่อการปฏิรูป ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

ผลงานสำคัญชิ้นหนึ่งของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย คือ รายงานเรื่อง "แนวทางปฏิรูปประเทศไทย : ข้อเสนอต่อพรรคการเมืองและผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง" (2554) ในรายงานเล่มนี้นำเสนอแก่นของความจำเป็นและแนวทางในการปฏิรูปคือ ความล้มเหลวเชิงโครงสร้างของประเทศไทย ความเหลื่อมล้ำ  และนำเสนอแนวทางการปฏิรูปประเทศไทยผ่านการอธิบายด้วยภาษาของการบริหารจัดการทรัพยากร โดยในการบริหารจัดการทรัพยากร ซึ่งถือเป็นแกนหลักของข้อเสนอแนวทางการปฏิรูปนั้น ได้แบ่งออกเป็น 4 ด้านดังนี้

1) ทรัพยากรธรรมชาติ ประกอบด้วย 1.1) ปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร 1.2) ปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ 1.3) ปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรป่า 1.4) ปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 1.5) ปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 1.6) ปฏิรูปสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ

2) ทรัพยากรเศรษฐกิจ ประกอบด้วย 2.1) ปฏิรูปทุน 2.2) ปฏิรูปด้านแรงงาน 2.3) ปฏิรูปการเกษตรเพื่อสังคมที่เป็นธรรม 2.4) ปฏิรูประบบภาษี 2.5) ปฏิรูประบบตลาด 2.6) ปฏิรูปด้านพาณิชย์และอุตสาหกรรม 2.7) ปฏิรูประบบพลังงาน

3) ทรัพยากรสังคม ประกอบด้วย 3.1) ปฏิรูปการศึกษา 3.2) ศาสนธรรมและจิตวิญาณ 3.3) การเปิดพื้นที่ทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ 3.4) ปฏิรูปด้านการสื่อสาร 3.5) ปฏิรูประบบสาธารณสุข 3.6) ปฏิรูปเมืองเพื่อคุณภาพชีวิต 3.7) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

4) ทรัพยากรทางการเมือง ประกอบด้วย 4.1) ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ 4.2) ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม 4.3) ปฏิรูปการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร 4.4) ปฏิรูปกองทัพ

ข้อเสนอเหล่านี้ มีทั้งที่นำเสนอเนื้อหาสาระไว้พอสมควร โดยระดับคณะอนุกรรมการบางชุด แต่หลายรายการ คณะกรรมการปฏิรูปได้ยอมรับเองว่ายังมิได้ทำการศึกษาจนได้ข้อสรุปที่ชัดเจน แต่เสนอเป็นข้อสังเกตและหลักการเบื้องต้นเท่านั้น จึงจำเป็นที่องค์กรเพื่อการปฏิรูปรอบใหม่ต้องนำมาพิจารณาอย่างรอบคอบร่วมกับข้อเสนอจากองค์การอื่นๆ[3]เพื่อตัดสินใจอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่าจะนำไปใช้ประโยชน์ได้เลยหรือยังไม่ได้มากน้อยเพียงใด หากข้อเสนอสามารถนำไปใช้ได้เลยก็นับว่าโชคดีเพราะทำให้ไม่ต้องทำงานใหม่หรือเกิดความล่าช้าต่อประโยชน์ที่ประชาชนผู้รอคอยจะได้รับ นอกจากนี้ การปฏิรูปที่กำลังจะเป็นไปของรัฐบาลปัจจุบันจะเดินตามรอยคณะกรรมการปฏิรูปก่อนหน้าและข้อเสนอเหล่านั้น หรือ สร้างความแตกต่างอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ควรด้องรับฟังคนชุดเก่าเขาในระดับหนึ่งด้วย ทั้งนี้เพราะปัญหาของชาติย่อมเหมือนกัน แต่สถานการณ์ของประเทศไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แนวทางแก้ไขจึงอาจมองต่างกัน รวมทั้งปรัชญาหรือทฤษฎีการปฏิรูปและการจัดองค์กรเพื่อการปฏิรูปก็ย่อมมีผลต่อทิศทาง สาระข้อเสนอ และกระบวนการขับเคลื่อนเพื่อการปฏิรูปด้วย แต่ผู้เขียนก็หวังแบบคนชอบจินตนาการว่าการปฏิรูปรอบใหม่นี้ควรก้าวหน้าหรือสร้างสรรค์ไม่ด้อยกว่ารอบแรก และควรทำให้การปฏิรูปเกิดขึ้นจริงอย่างมีเป้าหมายเชิงระยะเวลาด้วย ทว่าการปฏิรูปประเทศจะเป็นจริงก็ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงกลไกหรือองค์การที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปในเรื่องนั้นๆ ที่ผนวกขึ้นเป็นปัญหาส่วนรวมด้วย ฉะนั้นสถาบันและองค์การทั้งหลายจึงย่อมหนีไม่พ้นต่อการปฏิรูปตนเอง ทั้งในทางความคิดและการกระทำให้แตกต่างจากเดิมเพื่อรับใช้แนวคิดการปฏิรูปประเทศที่กำหนดขึ้นหรือจะสามารถตกลงร่วมกันได้นั้น

แม้ว่าผลการดำเนินงานของคณะกรรมการปฏิรูปข้างต้นจะมีความน่าสนใจไม่น้อย แต่หนึ่งในผู้นำการทำข้อเสนอเพื่อการปฏิรูป (อดีตนายกรัฐมนตรีอานันท์ ปันยารชุน) ได้เคยแสดงความเสียใจว่ารัฐบาลปัจจุบัน (ซึ่งมาทีหลังการจัดตั้งและการผลิตผลงานคณะกรรมการปฏิรูป) รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ (ซึ่งเป็นเจ้าของรัฐบาลและผู้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูป) เองก็มิได้นำข้อเสนอไปดำเนินการ[4]และก็เป็นความจริงว่ารัฐบาลที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนกลางหลังจากที่นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการปฏิรูปเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและสื่อถึงความปรองดองได้ไม่นาน ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปกลางปี 2554 และพรรคประชาธิปัตย์ก็ประกาศใช้นโยบายประชาภิวัตน์ ในขณะที่พรรคเพื่อไทยก็ยังยืนยันนโยบายประชานิยมต่อไป เมื่อชนะการเลือกตั้งและเข้ามาเป็นรัฐบาลจึงไม่ได้สนใจหรือรับรองผลงานของคณะกรรมการปฏิรูปที่รัฐบาลคู่แข่งตั้งขึ้น ฉะนั้นการจะดำเนินการปฏิรูปประเทศต่อไปอย่างไรในคราวนี้ของรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยเป็นใหญ่ในปัจจุบัน อันเป็นผลผลิตที่ต่อเนื่องของความขัดแย้งทางการเมืองเรื้อรังและเจตนาที่จะสร้างความปรองดองในประเทศให้สำเร็จนั้น จึงสมควรเรียนรู้บทเรียนในอดีต และองค์กรและกระบวนการปฏิรูปครั้งใหม่สมควรได้รับการออกแบบอย่างเหมาะสมด้วย

ทางเลือกการปฏิรูปประเทศไทย: ภารกิจและโครงสร้างของสภาปฏิรูป

อย่างไรก็ตาม หากหวังผลในทางรูปธรรมอย่างแท้จริง มิใช่เกมการเมือง  องค์กรกลางดังกล่าว สมควรรองรับโดยออกเป็นพระราชกำหนดหรือพระราชบัญญัติ พร้อมกับกำหนดหน้าที่ของคณะกรรมการ โครงสร้าง (องค์ประกอบ) และที่มาของคณะกรรมการจากองค์การต่างๆในสังคมที่มาจากพหุภาคีผู้มีพลังอำนาจหลักๆในสังคมให้ชัดเจน ทั้งนี้การออกเป็นกฎหมายจะทำให้สภาการปฏิรูปมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการทำงานที่เกิดความชอบธรรม และในห้วงแห่งวิกฤตของประเทศขณะนี้ ประกอบกับงานการฟื้นฟูประเทศเป็นงานในอำนาจของรัฐบาลโดยทั่วไปอยู่แล้ว และแม้ว่าเราควรมีองค์กรกลางเพื่อเป็นกลไกเสริมแรงขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างใหม่ให้กับสังคมก็ตาม ฉะนั้นการปฏิรูปประเทศก็ไม่ควรเป็นการเคลื่อนไหวที่เป็นอิสระเกินไปหรือไปแข่งกับรัฐบาล ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลไม่สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในที่สุด รัฐสภา รัฐบาล และฝ่ายค้านจึงควรส่งเสริมขบวนการขับเคลื่อนเพื่อการปฏิรูป โดยอาจจะประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวที่ชื่อว่า "พระราชกำหนดว่าด้วยการเสริมสร้างการปฏิรูปประเทศและสันติธรรมในทางประชาธิปไตยและการบริหารบ้านเมือง" ตามประเด็นสมควรพิจารณาดังนี้

1. สภาปฏิรูปประเทศไทยควรมีภารกิจหรือหน้าที่ใดบ้าง เช่น

1.1 การส่งเสริมและสนับสนุนให้หน่วยงานต่างๆของรัฐ รัฐสภา และศาล รวมทั้งองค์การของภาคเอกชน และภาคประชาชนจัดทำข้อเสนอการปฏิรูปตนเอง และข้อเสนออื่นๆ เพื่อการปฏิรูปประเทศไทย พร้อมๆกับรับเอาความเห็นเพื่อการปฏิรูปตามความเห็นของสภาการปฏิรูปประเทศไทยที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบไปพิจารณาดำเนินการ

1.2 รวบรวม ศึกษาวิจัย รับฟัง หรือขอความเห็นจากบุคคล คณะบุคคล และ องค์การในภาคส่วนต่างๆ อย่างกว้างขวางทั้งในประเทศและต่างประเทศ ประมวล กลั่นกรอง และจัดทำเป็นความเห็นโดยเฉพาะความเห็นที่สร้างสรรค์และมีลักษณะเป็นนวัตกรรมเพื่อการปฏิรูปหรือการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของประเทศไทยในทางการเมือง เศรษฐกิจ และ สังคม เพื่อเสนอต่อรัฐบาล รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และองค์การต่างๆ ของประชาชนในสังคมให้พิจารณาดำเนินการ

1.3 ส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูปตนเองของสถาบัน องค์การ และส่วนต่างๆในสังคมพร้อมกับการขับเคลื่อนสาธารณะในการร่วมมือเพื่อการปฏิรูปกับรัฐบาล และรายงานผลการดำเนินงานดังกล่าวต่อรัฐบาลและสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ

1.4 ให้คำแนะนำ ติดตาม ประเมินผล ตอบสนอง และสนับสนุน หน่วยงานของรัฐ เอกชน และ ประชาชนเพื่อการบรรลุการปฏิรูปตนเองและปฏิรูปประเทศในทางการเมือง เศรษฐกิจ และ สังคม และสันติธรรมในทางประชาธิปไตยและการบริหารบ้านเมือง

1.5 การเป็นสื่อกลางหรือเป็นคนกลางในการระงับข้อขัดแย้งหรือเสริมสร้างสันติธรรมในทางการเมืองการปกครองของประเทศไทยและการมีสัมพันธ์กับนานาประเทศ

1.6  ดำเนินการอื่นๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย

1.7 จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสนับสนุนการบรรลุหน้าที่ต่างๆ ข้างต้น

2. โครงสร้างหรือองค์ประกอบของสภาปฏิรูปหรือคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย อาจมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้

2.1 สภาหรือคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยมีจำนวน 100 คน

2.1.1 คณะกรรมการโดยตำแหน่งมาจากประธานหรือผู้แทนองค์กรอิสระและองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญโดยมีจำนวน (ประมาณ) 10 คน

2.1.2 คณะกรรมการโดยการแต่งตั้งของคณะรัฐมนตรี โดยมีจำนวน 60 คน จากสถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการสำคัญๆ และองค์การประชาชน และเอกชน ที่มีประสบการณ์ ความรู้และความสามารถเป็นที่ประจักษ์ในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งในทางกฎหมาย วิชาการและเทคโนโลยี และรวมถึงการคำนึงถึงสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างเพศด้วย

2,1.3 คณะกรรมการที่มาจากการเสนอชื่อขององค์การของประชาชน ประเภทองค์การละ 1 คน โดยให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง มีจำนวน 15 คน โดยองค์การเหล่านี้ เป็นองค์การระดับชาติที่มีกฎหมายรองรับ อาทิ สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า สมาคมนายธนาคาร สภาเกษตรกร สภาแรงงาน สันนิบาตสหกรณ์ สันนิบาตเทศบาล สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัด สันนิบาตองค์การบริหารส่วนตำบล สภาองค์กรชุมชน สภาวิชาชีพต่างๆ (เช่น สภาทนายความ แพทยสภา สภาวิชาชีพนักสังคมสงเคราะห์) และ สภาพัฒนาการเมือง เป็นต้น 

2.1.4 คณะกรรมการที่มาจากการเสนอชื่อของที่ประชุมร่วมของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง มีจำนวน 10 คน

2.1.5 คณะกรรมการที่มาจากการเสนอชื่อขององค์การกลางขององค์การพัฒนาเอกชน และนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง มีจำนวน 5 คน

2.2 ให้แบ่งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยออกเป็นสามด้านหลัก คือ คณะกรรมการปฏิรูปการเมือง คณะกรรมการปฏิรูปเศรษฐกิจ และคณะกรรมการปฏิรูปสังคม

2.3 คณะกรรมการปฏิรูปการเมือง คณะกรรมการปฏิรูปเศรษฐกิจ และคณะกรรมการปฏิรูป สังคม สามารถตั้งคณะทำงานเฉพาะเรื่องได้ตามจำเป็น

2.4  ให้มีสำนักงานของคณะกรรมการปฏิรูปเป็นองค์การกลางเพื่อการประสานการปฏิรูป

2.5 คณะกรรมการปฏิรูปแต่ละด้านหรือโดยร่วมกันสามารถจัดองค์กรหรือระบบงานภายใน หรือระบบการประชุมระดับชาติ ภูมิภาค หรือตามสาขา และดำเนินงานอื่นๆ ได้ตามความเหมาะสม

2.6 สภาหรือคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยสามารถแต่งตั้งคณะบุคคลเป็นที่ปรึกษาเพื่อการบรรลุภารกิจได้

2.7 คณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยมีวาระการทำงานในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (เช่น 5 ปี และอาจต่ออายุได้)

2.8 ให้นายกรัฐมนตรีหรือบุคคลที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ

2.9 ผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนที่มาร่วมงานของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยให้ถือว่าเป็นการทำงานให้กับทางราชการและให้ผู้บังคับบัญชาสนับสนุน

2.10  คณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยจะต้องรับฟังความเห็นจากประชาชนและองค์การต่างๆ ในสังคม อย่างกว้างขวางและไม่เลือกปฏิบัติ

สรุปและบทส่งท้าย

วิถีการปฏิรูปเป็นวิถีแห่งการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างสันติ แต่เราควรมีความชัดเจนในเชิงหลักคิดกันพอสมควรตั้งแต่นิยาม กลยุทธ์ และทางเลือกการจัดการ ข้อเสนอของข้าพเจ้าข้างต้นนั้นเป็นเพียงทางเลือกหนึ่ง โดยเน้นที่การออกแบบและกำหนดหน้าที่ขององค์กรการปฏิรูปเพื่อส่งเสริมการปฏิรูปตนเองและส่วนรวมพร้อมกันไป[5] ส่วนใครจะเข้ามาบ้างก็จะเป็นเรื่องที่ควรจะตามมา และเรายังควรนำเอาประสบการณ์ของการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศในคราวรัฐบาลชุดก่อนมาเรียนรู้ด้วย ทั้งในเชิงลักษณะองค์กร การจัดการ จุดอ่อนและจุดแข็ง ความสำเร็จและไม่สำเร็จผล รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคต่างๆ อาทิ ทำไมการปฏิรูปไม่เกิดขึ้นจริง

การปฏิรูปเพื่อส่วนรวมจริงๆ คงไปไม่ได้ไกล หากขาดเสียซึ่งการสารภาพและวิพากษ์วิจารณ์ตนเองหรือต่อกันและกัน เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงการเปลี่ยนแปลงมิติต่างๆของตนเองและของประเทศให้เหมาะสมที่สุด กล่าวคือ การวิพากษ์วิจารณ์ตนเองเพื่อการปฏิรูปส่วนตนขององคาพยพทั้งหลาย หรือสถาบันต่างๆที่มีผลผลิตและผลกระทบต่อกันและกันจนเป็นสภาพร่วมของสังคมนั้นควรจะมีอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นสถาบันหรือองค์การสำคัญๆของชาติทั้งหลายก็จะล้าสมัยและอาจเป็นตัวถ่วงรั้งความก้าวหน้าของสังคมโดยรวมไปด้วย (ดังเช่นที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังเริ่มต้นปฏิรูปตนเองแล้วในขณะนี้ และย่อมส่งผลกระทบถึงการเมืองไทยและเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมไปด้วย นับเป็นการกระทำที่สมควรให้รางวัล) และการจัดตั้งขบวนการปฏิรูปของภาคประชาชนกันเองเพื่อวิพากษ์วิจารณ์และนำเสนอทางเลือกการปฏิรูปต่างๆต่อสาธารณะหรือต่อรัฐบาลที่มีในขณะนี้ คงจะช่วยให้การปฏิรูปอย่างเป็นทางการของรัฐบาลได้ประโยชน์ไม่น้อย

 

 

 




[1] โปรดดูเพิ่มในบทความของผู้เขียน เรื่อง "กระบวนทัศน์การปฏิรูปประเทศไทย : ข้อพิจารณาเพื่อการปฏิรูปส่วนรวมและการปฏิรูปตนเอง" รัฐสภาสาร ประจำเดือนธันวาคม 2556 หน้า 11-38. ใน www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/.../article_20131129134954.pdf‎.

 

 

[2] อ้างจาก http://www.reform.or.th/about-us, วันสืบค้น  14 ตุลาคม 2556 และคณะกรรมการชุดแรก คือคณะกรรมการปฏิรูปทำงานได้ 10 เดือน ก็ยุติบทบาทเพราะมีการยุบสภาและการเลือกตั้งใหม่ แต่ชุดที่สอง คือคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปยังทำงานต่อไปจนครบสมัย

[3]ดังที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้ทำเปรียบเทียบประเด็นหัวข้อไว้บ้างแล้วจากรายงานหลายชิ้น เช่น รายงานของ คอป.  รายงานวิจัยการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สถาบันพระปกเกล้า แผนพัฒนาการเมือง สภาพัฒนาการเมือง รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร มติสมัชชาปฏิรูปประเทศไทย คสป. สรุปรายงานผลการดำเนินการพูดจาหาทางออกประเทศไทย 108 เวที ปคอป. ร่วมกับที่องค์การอิสระอื่นๆ ทำไว้ เช่น สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรามการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการป้องการและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบแห่งชาติ และ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น

[4] การสัมภาษณ์ตามเนื้อหาดังกล่าวปรากฏในปี 2556 ในสื่อโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ตหลายสำนัก

[5] การปฏิรูปตนเองเพื่อความเจริญก้าวหน้าทั้งส่วนตนและผลต่อส่วนรวมควรเกิดขึ้นอย่างน้อยกับสถาบันและองค์การของชาติต่อไปนี้ คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันการศึกษา สถาบันสื่อมวลชน สถาบันทางการเมือง (เช่น สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และพรรคการเมือง) องค์การศาล หน่วยงานราชการและกองทัพ องค์การอิสระที่รัฐธรรมนูญกำหนดและนอกเหนือจากนั้น องค์การของนายทุนและนักธุรกิจ (เช่น สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมนายธนาคารแห่งประเทศไทย และ สภาองค์การนายจ้าง) สภาแรงงาน (องค์การระดับชาติของสหภาพแรงงาน) สภาองค์กรมชุมชน คณะกรรมการประสานงานองค์การพัฒนาเอกชน (องค์การระดับชาติขององค์การพัฒนาเอกชน)  สภาองค์การวิชาชีพต่างๆ สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย สันนิบาตหรือสมาคมขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ องค์การของนักศึกษา และสมาคมของประชาชน นักวิชาการ และ นักธุรกิจทั้งหลาย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ความชอบธรรมทางการเมืองของ กปปส. กับการเลือกตั้ง

Posted: 14 Dec 2013 11:03 PM PST


กล่าวอย่างกระชับ คำว่า "ความชอบธรรมทางการเมือง" (political legitimacy) หมายถึง เหตุผลที่รองรับปฏิบัติการทางการเมืองซึ่งเป็นที่ยอมรับได้โดยทั่วไป เนื่องจากสอดคล้องกับจริยธรรมและบรรทัดฐานทางการเมืองที่สังคมกำหนดไว้

ในโลกแห่งความเป็นจริง คำว่าจริยธรรมและบรรทัดฐานข้างต้น ย่อมมีความเห็นดี เห็นชอบแตกต่างกันไปตามบริบทและจิตสำนึกของปัจเจกชนและกลุ่มสังคมต่างๆ ยิ่งในสังคมที่มีลักษณะพหุนิยม (pluralism) ด้วยแล้ว จริยธรรมและบรรทัดฐานที่ว่านี้ ยิ่งหาข้อสรุปร่วมกันได้ยากขึ้นไปอีก ด้วยเหตุดังนั้น ในประเทศที่สมาทานระบอบประชาธิปไตย จึงถือเอารัฐธรรมนูญเป็นบรรทัดฐานร่วมกันในฐานะกฎหมายสูงสุดของประเทศ และยึดเสียงข้างมากโดยเคารพเสียงข้างน้อยเป็นหลักการพื้นฐานประการหนึ่ง ในการกำหนดชะตากรรมของบ้านเมือง

ดังนั้นการที่คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือที่เรียกโดยย่อว่า กปปส. อ้างเหตุว่ารัฐบาลเป็นโมฆะเพราะไม่เคารพอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ทุจริตคอร์รัปชั่นและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม ด้วยเหตุดังนั้น จึงจำเป็นต้องโอนอำนาจอธิปไตยกลับคืนสู่มวลมหาประชาชนโดยอ้างบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา3 และขอให้มีนายกรัฐมนตรีพระราชทานตามมาตรา 7นั้น ขาดความชอบธรรมทางการเมืองเพราะขัดกับเจตนารมณ์และเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันดังที่คณะนิติราษฎร์ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงไปแล้ว

เมื่อถึงบรรทัดนี้ ผมขอสารภาพว่า โดยส่วนตัวแล้ว ผมชื่นชมความกล้าหาญของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ด้วยเหตุที่ว่า คุณสุเทพ (และแกนนำท่านอื่น) ทำให้การเมืองมวลชน (mass politic) มีความหมายถึงขั้นเป็นขบวนการเคลื่อนไหวในระดับชาติ อาจกล่าวได้ว่าคุณสุเทพมีส่วนอย่างสำคัญในการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับการเมืองไทยในแง่ที่ว่า ลำพังแค่การ "เกียเซี๊ย"กันในหมู่ชนชั้นนำทางการเมืองแล้วจะสามารถทำอะไรได้ตามข้อตกลงแบบลับๆนั้น มิอาจกระทำได้ง่ายดายอีกต่อไปหากปราศจากความชอบธรรมทางการเมือง ตลอดรวมไปถึงประเด็นที่ว่า การได้รับการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากอันเป็นช่องทางเข้าสู่อำนาจทางการบริหารและนิติบัญญัตินั้น เป็นคนละประเด็นกับการใช้อำนาจ โดยเฉพาะการใช้อำนาจที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบต่อผลประโยชน์หรือผลกระทบต่อมโนธรรมจิตสำนึกของประชาชนก็ตาม ดุจดังการได้รับอนุญาตให้ครอบครองใบขับขี่ ก็มิได้หมายความว่า บุคคลผู้นั้น จะขับรถตามอำเภอใจอย่างใดก็ได้

แต่เมื่อได้ทบทวนอ่านรัฐธรรมนูญทุกมาตราที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องของ กปปส. แล้วจึงพิจารณาเนื้อหาของแถลงการณ์และคำชี้แจงของคณะนิติราษฎร์ที่เกี่ยวข้องด้วยความพยายามทำใจให้เป็นกลางอย่างถึงที่สุด บอกตามตรงว่า ผมยอมศิโรราบให้กับทัศนะและข้อคิดเห็นของคณะนิติราษฎร์ จึงทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าการให้ความชอบธรรมทางการเมืองที่ใช้รัฐธรรมนูญเป็นกรอบอ้างอิงของ กปปส.นั้น "เสียเปล่า"

ทว่าปัญหาเรื่องความชอบธรรมทางการเมืองของ กปปส.ยังมีอีกประเด็นหนึ่งซึ่งผมคิดว่า มีความสำคัญขั้นชี้ขาดว่า จะกำหนดการขับเคลื่อนมวลมหาประชาชนไปในทิศทางใดและการใช้มวลมหาประชาชนเป็นกรอบอ้างอิงความชอบธรรมทางการเมืองของ กปปส.นั้นเหมาะสมหรือไม่ ก็คือคำว่า "มวลมหาประชาชน" นี่แหละครับ

ตกลง "มวลมหาประชาชน"ภายใต้การนำของ กปปส. represent เสียงส่วนมากของประชาชนไทยอีก 60 กว่าล้านคนหรือเปล่า?

ประเด็นนี้สำคัญมากนะครับ เหตุที่สำคัญก็เพราะท่าทีของ กปปส.หรือคุณสุเทพเองแสดงออกให้ตีความได้ว่าเป็นศูนย์รวมอำนาจอธิปไตยของปวงชนไปเสียแล้ว  ดังเห็นได้จากการเรียกร้องให้โอนอำนาจอธิปไตยของประชาชนมายังมวลมหาประชาชน ออกแถลงการณ์ถึงภาคส่วนต่างๆให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยอาศัยกรอบอ้างอิง (ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น ออกแถลงการณ์โดยมีฉากมวลมหาประชาชนอยู่ด้านหลังกระทั่งประกาศแถลงการณ์บนเวที) คือ มวลมหาประชาชน

เอแบคโพลล์ ได้สำรวจความคิดของประชาชน พบว่า ประชาชนร้อยละ 89.0 อยากให้ประเทศสงบสุขและอยากเห็นทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศไปพร้อมๆกัน มีเพียงร้อยละ 11.0 เท่านั้นที่อยากให้รวมตัวกันต่อสู้ต่อไป
หากผลการสำรวจนี้แม่นยำ ถูกต้องตามหลักวิชาการอย่างแท้จริง ก็ย่อมเป็นเครื่องเตือนใจประการหนึ่งว่า "มวลมหาประชาชน" ที่กล่าวอ้างนั้น เป็นเพียงเสียงส่วนหนึ่งของประเทศ ขอย้ำนะครับว่า ผมกำลังพูดถึงปริมาณ ส่วนเรื่องความมุ่งมั่นบริสุทธิ์ใจของผู้เข้าร่วมเป็นมวลมหาประชาชนในการร่วมผลักดันข้อเรียกร้องของ กปปส. นั้น ผมเคารพศรัทธาและยังเห็นต่อไปด้วยว่าการชุมนุมทั้งก่อนและหลังยกระดับการชุมนุมนั้น มีพี่น้องประชาชนเดินทางเข้าร่วมอย่างมากมายเป็นประวัติศาสตร์ (ขนาดเพื่อนและญาติโกโหติกาของผม ซึ่งไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมครั้งใดมาก่อนเลย ยังระดมพลกันออกไปร่วมกับคุณสุเทพ)

เมื่อถึงบรรทัดนี้ ก็เกิดคำถามต่อไปว่า แล้วจะมีกลไกใดรับประกันว่า เสียงใดคือเสียงข้างมาก คือเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ ที่เราสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็น "มวลมหาประชาชน" ได้อย่างแท้จริง? และสอดคล้องกับหลักการยึดเสียงข้างมากซึ่งเป็นฐานความชอบธรรมทางการเมืองตามครรลองประชาธิปไตยดังที่กล่าวไว้ในตอนต้น?
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ชี้ว่า อยู่ที่การทำประชามติและการเลือกตั้ง

โดยเฉพาะการเลือกตั้ง (ซึ่งมีการประกาศยุบสภา กำหนดวันเลือกตั้งแล้ว) เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญทั้งฉบับปี 40และปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่า ปรารถนาให้มวลมหาประชาชนเสียงส่วนใหญ่หรือทั้งหมดที่มีสิทธิ์เลือกตั้งตามคุณสมบัติที่กำหนดไว้ ต้องมาใช้สิทธิ์หย่อนบัตรเลือกตั้ง หาไม่แล้ว ก็ต้องมีบทลงโทษตัดสิทธิ์ทางการเมืองบางประการ ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า การเลือกตั้งเป็นกลไกที่รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นบรรทัดฐานร่วมของระบอบประชาธิปไตย (และเป็นฐานของความชอบธรรมทางการเมืองด้วย) ได้กำหนดหลักประกันเท่าที่ทำได้ไว้แล้วว่า การเลือกตั้งเป็นกลไกในการแสดงออกถึงเจตนารมณ์ของเสียงข้างมาก

เหตุที่ผมยังไม่ได้พูดถึงการทำประชามติ ก็ด้วยเหตุที่ว่า การยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปนั้น คือรูปธรรมของการโอนอำนาจอธิปไตยกลับสู่ประชาชนอย่างมีความชอบธรรมทางการเมืองโดยอิงกับรัฐธรรมนูญและสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของ กปปส.

อย่างไรก็ตาม ถึงมีประกาศยุบสภามีพระราชกฤษฎีกาฯแล้ว ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า (ทั้งในช่วงรณรงค์หาเสียงและหย่อนบัตรเลือกตั้งจนได้ผลการเลือกตั้ง)?

ก็คุณสุเทพประกาศชัดนี่ครับว่า ไม่เอาเลือกตั้ง ขอปฎิรูปการเมืองก่อน โดยมีสภาประชาชน 400 คนทำหน้าที่กำหนดแนวทางการปฏิรูปการเมืองทั้ง 6 ข้อตามที่คุณสุเทพเสนอตลอดจนการวางกฎ กติกาการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ ยุติธรรมจริงแล้วค่อยเลือกตั้ง

ตามความเข้าใจของผม เหตุผลสำคัญที่คุณสุเทพประกาศเช่นนั้นเพราะ ประการแรก เลือกตั้งทีไร พวกระบอบทักษิณ ก็ชนะทุกที ประการที่สอง การรณรงค์เลือกตั้งยังไม่ปลอดจากการซื้อสิทธิ์ ขายเสียง (ซึ่งมีนัยยะว่าก็เป็นเพราะพรรคการเมืองตัวแทนคุณทักษิณนั่นแหละ เป็นตัวการ)

สำหรับเหตุผลประการแรก ผมตั้งสมมติฐานว่า ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ไม่น่าจะอุ่นหนาฝาคั่งเหมือนก่อน ก็เล่นผลักดันพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งนี่แหละครับที่ทำให้มวลชนเสื้อแดงไม่น้อย เห็นว่า เป็นการหักหลังพรรคพวกเดียวกัน ข้อสนับสนุนสมมติฐานนี้ ก็คือ มวลชนเสื้อแดงเองนั่นแหละครับ ได้แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างขึงขังต่อร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งเป็นกลุ่มแรกๆ (เช่นการรวมพลังคนเสื้อแดงในการแสดงจุดยืนดังกล่าวนำโดย บก.ลายจุด) นอกจากนี้ขีดความสามารถในการระดมพลเสื้อแดงของแกนนำ นปช.ลดลง ดังจะเห็นได้จากจำนวนคนเสื้อแดงที่มาร่วมชุมนุมกันที่สนามกีฬาราชมังคลาสถาน ไม่มากพอเมื่อเทียบกับมวลมหาประชาชนของคุณสุเทพ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่มวลชนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง หากไม่มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งก็จะกาบัตรเลือกตั้งแบบ say no เท่าที่ผมค้นคว้าข้อคิดเห็นของนักวิชาการปัญญาชน พบว่ามีหลายท่านนะครับที่เสนอให้มวลชนเสื้อแดง ใช้โอกาสนี้สั่งสอนและปฏิรูปพรรคเพื่อไทย บางท่านประเมินว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ก็จะชนะแบบไม่ทิ้งห่าง

แต่ถ้าหากคุณสุเทพ ยังยืนกรานจุดยืนเดิมและใช้ยุทธวิธีทั้งทางตรงทางอ้อมสกัดไม่ให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ไม่ว่าจะในนามของสันติวิธีหรืออารยะขัดขืน ผลที่อาจเกิดขึ้นตามมา คือ การสร้างเงื่อนไขให้แกนนำ นปช. (ซึ่งประกาศไปแล้วว่าจะไม่ร่วมสังฆกรรมทางการเมืองกับคุณสุเทพ) มีความชอบธรรมทางการเมืองโดยอิงกับรัฐธรรมนูญควบคู่กับการโจมตีว่ากลุ่มของคุณสุเทพไม่ใช่เสียงข้างมาก กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ กปปส.และมวลมหาประชาชนนั้น ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่และทำลายครรลองของระบอบประชาธิปไตย หากประเด็นนี้จุดติด ก็จะทำให้มวลชนเสื้อแดงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากขึ้นกว่าเดิมได้

หากเกิดฉากทัศน์ (scenario) เช่นว่านี้จริง ก็ย่อมเปิดทางให้แก่ "ความเป็นไปได้" ของการระดมพลและการเผชิญหน้ากัน ถึงขั้นสงครามกลางเมืองดังที่บางท่านวิเคราะห์ไว้หรือไม่ ผมยังไม่มีปัญญาหยั่งถึง หยั่งถึงแต่เพียงว่า หากเกิดการเผชิญหน้ากัน คงไม่มีมวลชนฝั่งใดให้ดอกกุหลาบกับมวลชนฝั่งตรงข้ามตัวเองแน่

สำหรับเหตุผลประการที่สอง  เรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียงนั้น ผมตั้งสมมติฐานว่า ชาวบ้านฉลาดขึ้น ด้วยผลพวงของการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น กว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา ชาวบ้านออกเสียงเลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำให้พวกเขาได้รับประสบการณ์จริง กล่าวคือ เห็นถึงความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างผลการเลือกตั้งกับผลประโยชน์ที่พวกเขาได้ ดูเหมือนว่าเงิน ไม่ใช่ตัวแปรชี้ขาดที่เข้มข้นอีกต่อไป ในเมื่อชาวบ้านเรียนรู้ที่จะรับเงินจากทุกค่าย แล้วไปกาบัตรเลือกตั้งตามเจตจำนงของพวกเขาเอง ดังนั้น ตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจของชาวบ้านว่าจะเลือกใครเป็นผู้แทนนั้น จึงอยู่ที่การคาดคะเนถึงประโยชน์ที่พวกเขาจะพึงได้รับจากนโยบายและประเด็นที่ใช้หาเสียงต่างหาก

ผมจึงอยากเสนอให้ กปปส.ยอมรับการเลือกตั้งอย่างมีเงื่อนไข กล่าวคือ

1) ใช้ระยะเวลาที่เหลืออยู่ก่อนวันเลือกตั้ง ทำให้สังคมไทยเข้าใจข้อเรียกร้องของคุณสุเทพ โดยเฉพาะการตั้งสภาประชาชนและการปฏิรูปการเมือง

2) กดดันให้ทุกพรรคการเมือง ลงสัตยาบันร่วมกันว่า หลังเลือกตั้ง ทุกพรรค จะเดินหน้าเต็มที่ในการปฏิรูปการเมือง อันที่จริงผมอยากให้ไปไกลถึงคำว่า การปฏิรูปประเทศไทยด้วยซ้ำ

3) เร่งสร้างเครือข่าย กปปส.ทั่วประเทศ แล้วแปลงพลังมวลชนที่มีอยู่ ให้เป็นพลังแสดงเจตจำนงตามข้อเรียกร้องของ กปปส.ผ่านการเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ให้ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

อันที่จริง พลังจากการทำประชามติเกี่ยวกับประเด็นการปฏิรูปการเมืองกระทั่งการจัดให้มีสภาประชาชนนั้น มีผลผูกมัดพรรคการเมืองได้อย่างแน่นแฟ้นกว่าการทำสัตยาบันระหว่างพรรคการเมืองด้วยกันเอง ด้วยเหตุที่ผลการทำประชามติมีความชอบธรรมทางการเมืองตามหลักการพื้นฐานว่าด้วยการยึดเสียงข้างมากและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ในการกำหนดให้ผลของการทำประชามตินั้นผูกพันต่อการตัดสินใจของพรรคการเมืองทุกพรรค ติดอยู่ตรงที่ว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ มาตรา 6 (1) กำหนดให้ต้องมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 90 วันนับจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา จึงไม่ทันการณ์

อันที่จริงฝ่ายที่น่าจะคิดถึงเรื่องการเลือกตั้งอย่างเอาจริงเอาจังพอๆกับคุณสุเทพ ก็คือ พรรคประชาธิปัตย์นี่แหละครับ หากลงเลือกตั้งก็เท่ากับว่า มีจุดยืนที่แตกต่างจาก กปปส. ซึ่งพรรคฯให้การสนับสนุนอย่างชัดเจนด้วยการลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งพรรค การตัดสินใจลงเลือกตั้ง จึงอาจทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงความจริงใจของพรรคฯในการยืนหยัดตามจุดยืนของมวลชน กปปส. แต่หากไม่ลงเลือกตั้ง ก็เท่ากับว่าพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งสามารถเป็นกระบอกเสียงของ กปปส.ได้ จะขาดพื้นที่ทางการเมืองในระบบรัฐสภา ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งของการต่อสู้ทางการเมืองในระดับมหภาค

สิ่งที่ กปปส.และพรรคประชาธิปัตย์พึงวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน ก็คือ การแสดงจุดยืนผ่านข้อเรียกร้องที่ปราศจากพื้นที่การเจรจา (bargaining arena) หรือเรียกง่ายๆว่า เป็นข้อเรียกร้องแบบยื่นคำขาดนั้น ที่สุดแล้ว "มวลมหาประชาชน" ที่แท้จริงจะได้ประโยชน์อะไร? และตราบใดที่ฉากหลังการต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้ ยังคงวนรอบอยู่แต่ประเด็นการจัดสรรอำนาจให้ลงตัวระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองโดยใช้มวลมหาประชาชนเป็นกำลังสนับสนุน ประเด็นการต่อสู้ทางการเมืองเช่นนี้ ก็คงเป็นเพียงแค่เหล้าเก่าในขวดใหม่ ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2475 และทวีความแหลมคมขึ้นทุกทีในช่วงปลายรัชกาลปัจจุบัน

ใครอยากตาสว่าง เข้าใจรหัสนัยของเรื่องนี้ รีบหาหนังสือ "ขอฝันใฝ่ ในฝัน อันเหลือเชื่อ: ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ.2475-2500)" ของคุณณัฐพล ใจจริง มาอ่านโดยพลัน

 


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จดหมายถึงนายก คำขวัญวันเด็กปี57

Posted: 14 Dec 2013 09:51 PM PST


โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2556

เรียน นายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เรื่อง ข้อเสนอคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2557


ก่อนอื่น กระผมนักเรียนคนหนึ่งต้องขอแสดงชมเชยและห่วงใยต่อนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในสถานการณ์ทางการเมืองเช่นนี้ ไม่ว่าใครๆที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดเช่นท่านย่อมยากที่จะอดทนและดำรงขันติธรรมไว้ได้ หากนายกฯทำได้เหมาะสม ทั้งท่านยังได้เรียนรู้บทเรียนของนายกรัฐมนตรีคนก่อนที่ใช้ความรุนแรงในการโต้ตอบประชาชนและพยายามไม่ให้ซ้ำรอย นับว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว กระผมขอกล่าวไว้ด้วยว่า กระผมมิใช่พวกชื่นชมอะไรแล้วติไม่ได้ ในหลายประเด็นกระผมก็มิได้เห็นด้วยกับรัฐบาล อย่างไรก็ตามเราสามารถตรวจสอบ สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ แม้เราไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลก็ควรพิจารณาไม่สมควรที่จะล้มเลิกระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งย่อมชอบธรรมและดีกว่ารัฐบาลจากการแต่งตั้งสรรหาคนดีอันยากนิยามได้เป็นไหนๆ
     
กล่าวกลับมาในประเด็นนำเสนอเรื่อง "คำขวัญวันเด็ก" กระผมมีความเห็นว่า คำขวัญวันเด็กซึ่งเริ่มให้ตั้งแต่สมัยจอมพลป.พิบูลสงคราม จนถึงปัจจุบันมักจะเป็นไปในแนวทางเดียวกันคือใช้อำนาจบังคับสั่ง ปลูกฝังให้เยาวชนเชื่อตามผู้นำ และคำขวัญก็ดูจะซ้ำซากหรือก็แค่สลับเปลี่ยนบางคำเท่านั้นเอง กระผมคิดว่าเป็นประเด็นนี้สำคัญมาก คำขวัญวันเด็กส่วนหนึ่งก็สะท้อนวิธีคิดของรัฐในการมองเยาวชน รัฐไทยในสมัยเผด็จการก็นิยมให้นักเรียนเป็นไปตามที่เขาสั่งต้องเชื่อฟังโดยไม่ต้องตั้งคำถาม คำขวัญก็สะท้อนวิธีคิดวิธีปฏิบัติของยุคสมัยนั้นอย่างเห็นได้ชัด ปัจจุบันแม้เราจะอยู่ในยุครัฐบาลประชาธิปไตย แต่ก็ดูเหมือนว่าก็ไม่สนใจใยดีกับนักเรียนเท่าไหร่ คำขวัญก็ดูจะสั่งการให้เชื่อให้ปฏิบัติไม่เปลี่ยน ทั้งๆที่โดยเนื้อหาสาระแล้วระบอบประชาธิปไตยจะมั่นคงได้ก็เพราะระบบการศึกษาเป็นประชาธิปไตย เยาวชนสามารถที่จะตั้งคำถามวิพากษ์วิจารณ์ เป็นตัวของตัวเอง สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวรับประกันไม่ให้เผด็จการมาครอบงำทำลายล้างระบอบประชาธิปไตย และนำมาซึ่งสังคมไทยที่เจริญงอกงามทางความคิด

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและต้องการธำรงประชาธิปไตยให้มั่นคงในสังคมนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนระบบการศึกษาที่เป็นธรรม โรงเรียนที่เป็นประชาธิปไตยเปิดกว้างให้นักเรียนตั้งคำถามวิพากษ์วิจารณ์ ก่อร่างสร้างความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมา กระผมคิดว่าถ้ารัฐบาลเห็นความสำคัญ ในส่วนของคำขวัญวันเด็กแห่งชาติซึ่งให้ทุกปีมาตลอดของรัฐบาลนั้นก็ควรจะมีข้อความแสดงจุดยืนสนับสนุนเรื่องประชาธิปไตยในโรงเรียน สนับสนุนสิทธิมนุษยชน สนับสนุนสิทธิเสรีภาพ ความคิดสร้างสรรค์และพลเมืองโลก

ข้อเสนอเรื่องคำขวัญวันเด็กของผมนั้น หวังว่าจะได้รับการพิจารณาจากนายกรัฐมนตรีผู้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน การแหวกออกไปจากข้อความเดิมๆ ให้ความสำคัญกับนักเรียนอย่างแท้จริง จะเป็นมรดกที่สำคัญของท่าน เป็นคุณูปการสำคัญแก่ระบบการศึกษา สังคม และสำคัญต่อประชาธิปไตยที่มั่นคงในประเทศไทย
ด้วยความเคารพ

 

(นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล)
นักเรียน
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คริส เบเกอร์

Posted: 14 Dec 2013 09:09 PM PST

"ชนชั้นนำและชนชั้นกลางกรุงเทพ มักใช้เวลาในฮ่องกง บอสตัน หรือปารีส มากกว่าในหมู่บ้านของไทย" "ทัศนะของพวกเขาที่มองว่า ชาวบ้านยากจนไร้การศึกษา นั้น ล้าสมัยไป 2 ทศวรรษ"

นักวิชาการชาวอังกฤษผู้ศึกษาการเมืองไทย กล่าวใน รอยเตอร์, "High society hits the streets as prominent Thais join protests"

เสวนา ‘ข้อเสนอทางเลือกในการแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองตามวิถีทางประชาธิปไตย’

Posted: 14 Dec 2013 07:31 PM PST

เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2556 ที่ผ่านมา สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) ร่วมกับศูนย์ศึกษาความขัดแย้งและสันติวิธี และศูนย์ศึกษาการพัฒนาสังคม คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนา 'ข้อเสนอทางเลือกในการแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองตามวิถีทางประชาธิปไตย' ที่ห้องจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย เกษม เพ็ญภินันท์ ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เอกชัย ไชยนุวัติ รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม วิโรจน์ ณ ระนอง จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI) สมชัย จิตสุชน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI) ธนพร ศรียากูล นายกสมาคมรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง อนุสรณ์ ธรรมใจ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ดำเนินรายการโดย จอม เพชรประดับ

การเสวนาช่วงที่ 1
ข้อเสนอทางออกโดย วิโรจน์ ณ ระนอง และสมชัย จิตสุชน จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI)

การเสวนาช่วงที่ 2 การอภิปรายของเกษม เพ็ญพินันท์ อนุสรณ์ ธรรมใจ และเอกชัย ไชยนุวัติ

การเสวนาช่วงที่ 3 การอภิปรายของบัณฑิต จันทร์โรจนกิจ และการอภิปรายสรุป

ไฮไลท์การเสวนา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น