โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงของผู้ชุมนุมในช่วงเย็นวันที่ 2 ธันวาคม 2556

Posted: 02 Dec 2013 11:02 AM PST

 

 

สืบเนื่องจากวิดีโอที่ผมได้ถ่ายมุมสูงจากทางวัดโสมนัสวิหารไปยังแยกเทวกรรม มีการจุดพลุดอกไม้ไฟจำนวนมากยิงเข้าไปยังแนวตำรวจอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายชั่วโมง มีคนบอกว่ากลุ่มที่ยิงพลุเข้าไปคือนักศึกษาอาชีวะ ที่ไม่ฟังการห้ามปรามของทางแกนนำผู้ชุมนุมกลุ่มต่างๆ จากการสังเกตการชุมนุมต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานานทำให้ผมเชื่อว่าแกนนำของกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มต่างๆ นั้น ไม่ต้องการใช้ความรุนแรงจริงๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความไม่พอใจมาจากลุ่มนักศึกษาอาชีวะมาหลายครั้ง เนื่องจากความเห็นไม่ตรงกัน กลุ่มนักศึกษาอาชีวะต้องการปะทะและยินดีที่จะใช้ตัวเองเป็นแนวหน้า แต่ทางแกนนำเห็นว่าไม่ควรใช้ความรุนแรง ซึ่งอาจจะกลายเป็นสาเหตุให้หมดความชอบธรรมในการต่อสู้ในแนวทางสันติได้

และในที่สุดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เริ่มตั้งแต่คืนเมื่อวานมีนักศึกษาอาชีวะขว้างระเบิดปิงปองเข้าใส่ตำรวจ จนเป็นเหตุให้ตำรวจยิงแกสน้ำตาเข้ามาทำให้แกนนำที่แยกนางเลิ้งปราศรัยต่อต้านการกระทำของนักศึกษาอาชีวะที่ทำให้ผู้ชุมนุมจำนวนมากเดือดร้อนจากแกสน้ำตาที่พัดเข้ามาถึงบริเวณชุมนุม และในช่วงเย็นวันนี้หลังจากมีการปะทะกันด้วยแก๊สน้ำตา ฉีดน้ำ และกระสุนยางอย่างต่อเนื่องและหนักหน่วง ทำให้ในที่สุดนักศึกษาอาชีวะที่เจ็บแค้นก็ไม่ฟังแกนนำอีกต่อไป และเริ่มมีการใช้ดอกไม้ไฟและประทัดยักษ์ ยิงและโยนเข้าไปใส่ในแนวของตำรวจอย่างต่อเนื่อง

ข้อสังเกตคือจำนวนพลุและดอกไม้ไฟที่นำมาใช้นั้นมีจำนวนมากมายมหาศาลจริงๆ จากการยิงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายชั่วโมงก็ยังไม่หมด นั่นหมายความว่าต้องมีการเตรียมการรวบรวมดอกไม้ไฟเหล่านี้มาก่อนซึ่งลำพังเพียงนักศึกษาอาชีวะเองคงไม่สามารถจัดหามาได้ง่ายๆ อาจมีการจัดเตรียมไว้ให้จากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ปัญหาที่หลายคนคุยและกลัวคือการสร้างสถานการณ์ซึ่งอาจจะมีบุคคลแฝงมาในการชุมนุมและใช้ความรุนแรง หรือแฝงเข้ามาในกลุ่มผู้ชุมนุมและยั่วยุให้ผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรง ซึ่งในกรณีนี้อาจจะมีบุคคลดังกล่าวยั่วยุให้นักศึกษาอาชีวะกระทำการรุนแรงก็เป็นได้

สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือพลุและดอกไม้ไฟที่ยิงเข้าไป อาจทำให้เกิดเพลิงไหม้อาคารต่างๆ ในบริเวณ ซึ่งนั่นจะหมายความว่าการชุมนุมครั้งนี้ไม่ได้ทำอย่างสันติ ปราศจากความรุนแรงอีกต่อไป เพราะมีการเผาบ้านเผาเมืองเกิดขึ้น ความชอบธรรมที่สั่งสมกันมาก็จะหมดไปอย่างง่ายดาย ทางผู้ชุมนุมจึงควรจะดำเนินการใดๆ เพื่อยับยั้งไม่ให้มีการก่อการเช่นนี้อีกต่อไป มิเช่นนั้นทางรัฐบาลก็จะมีเหตุผลในการใช้กำลังและมีความชอบธรรมในการใช้กำลังได้ทันที

ความรู้สึกตอนที่ผมนอนหมอบอยู่ในเขตวัดโสมนัสวรวิหารเมื่อคืนนี้ มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายใกล้เคียงกับเมื่อครั้งที่ผมอยู่ที่แยกบ่อนไก่ในปี 2553 มาก การใช้ดอกไม้ไฟ ประทัดยักษ์ การเผายาง ทำให้การชุมนุมครั้งนี้ใกล้เคียงกับการชุมนุมของ นปช เมื่อ 3 ปีก่อนเข้าไปเรื่อยๆ ถ้าอยากจะมีความชอบธรรมต่อไป แกนนำการชุมนุมต้องรีบดำเนินการยับยั้งการก่อการให้เร็วที่สุด

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มองปฏิวัติวัฒนธรรมจีนแล้วแลกลับมาการเมืองไทย

Posted: 02 Dec 2013 10:48 AM PST

เหตุการณ์ความวุ่นวายสับสนที่เกิดขึ้นในเมืองไทยนับตั้งแต่ช่วงการก่อรัฐประหารปี 2549  โดยม็อบของกลุ่มเสื้อเหลืองสลับกับกลุ่มเสื้อแดง ซ้ำเติมโดยพวกเสื้อไม่มีสีอย่างในขณะนี้ทำให้ผู้เขียนอดนึกถึงประวัติศาสตร์จีนในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมช่วงปี ค.ศ.1966-1975 ไม่ได้ ประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นมีตัวละครที่โดดเด่นที่สุดคือบรรดาเยาวชนและคนหนุ่มสาวชาวจีนที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มเรดการ์ด  หรือ Red Guard  (1)  คนเหล่านี้เป็นพวกหัวรุนแรงคือต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมจีนครั้งยิ่งใหญ่ อันมีลักษณะแตกต่างจากพวกวัยรุ่นวัยเดียวกันในฝั่งอเมริกาและยุโรปในยุคเดียวกันที่ต่อต้านสงครามเวียดนามและสังคมแนวอนุรักษ์นิยมเพราะพวกเรดการ์ดได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครองบางกลุ่มเช่นเหมา เจ๋อตงและแก๊งสี่คนซึ่งนำโดยเจียง ชิงภรรยาของเหมา   พวกเรดการ์ดยกย่องเชิดชูแนวคิดเหมาหรือทฤษฎีของประธานเหมา ดุจดังเทพเจ้าโดยมีคัมภีร์คือหนังสือเล่มเล็กสีแดง (little red book) ซึ่งเป็นหนังสือรวมวาทะของเหมาติดตามตัวไป หนังสือเล่มได้รับการกล่าวขานมีจำนวนตีพิมพ์มากเป็นอันดับ  2 ของโลกรองจากคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น

พวกหนุ่มสาวภายใต้ชุดและหมวกสีเขียวขี้ม้าเหมือนกับทหารเหล่านี้ต้องการเล่นงานพวกที่ตนกล่าวหาว่าเป็นพวกต่อต้านการปฏิวัติ   (counter-revolutionary) ตามแนวคิดของประธานเหมาที่ว่าถึงแม้จีนจะเป็นประเทศสังคมนิยมแต่ก็มีคนจีนที่ยังแอบมีแนวคิดหรือความนิยมในลัทธิศักดินากับระบบทุนนิยม (capitalist roader) อยู่ไม่น้อย คนเหล่านั้นแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของสังคมจีนแม้กระทั้งผู้บริหารระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์เอง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการกำจัดคนเหล่านั้นไป ประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตจากปฏิวัติวัฒนธรรมจีนกว่าล้านคน และวิธีการนี้เหมาลอกเลียนจาก โจเซฟ สตาลินผู้นำสหภาพโซเวียตที่ใช้เข่นฆ่าประชาชนไปเป็นล้านๆ คนในทศวรรษที่สามสิบอีกเช่นกัน

พวกเรดการ์ดมีแหล่งกำเนิดมาวัยรุ่นกลุ่มเล็ก ๆ จากโรงเรียนมัธยมชิงหวาในปี ค.ศ.1966 ก่อนที่จะเพิ่มขยายจำนวนสมาชิกอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ ของจีนโดยการสนับสนุนจากเหมา นักประวัติศาสตร์มักจะมองว่าเหมาได้ใช้คนเหล่านั้นในการจัดกัดศัตรูทางการเมืองของตัวเองหรือผู้นำระดับสูงของพรรคที่เคยกอดคอกับเหมาในการต่อสู้สงครามกลางเมืองมาด้วยกันเช่น หลิว เส้าฉี เติ้ง เสี่ยวผิง เผิง เต๋อฮว้าย พวกเรดการ์ดในชุดแบบเหมาพร้อมกับผ้าพันแขนสีแดงเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อเผยแพร่คำสอนของเหมาและมุ่งกำจัดพวกขวา หรือพวกสี่เก่าคือ ประเพณีเก่า วัฒนธรรมเก่า นิสัยเก่า และความคิดเก่า มีการทำลายวัดวาอารามและพระพุทธรูปเป็นจำนวนมากแม้แต่ป้ายของบ้านขงจื้อนักปรัชญาก็โดนทุบทำลาย เมื่อพบกับใครเข้าก็บังคับให้กล่าวคติพจน์ของประธานเหมาให้ถูกต้องจึงจะปล่อยตัวไป (คล้ายกับบังคับให้เป่านกหวีด) คนจีนจำนวนมากยังถูกพวกเขาลากไปประจานบนท้องถนนถูกทุบตี นั่งคุกเข่าและจับแขนไพล่ไปข้างหลัง ดังที่เรียกว่าท่านักบิน ถูกจับกล้อนผมและให้สวมหมวกคนโง่ แขวนป้ายคำด่าไว้บนคอ (ฉากนี้เราสามารถเห็นเป็นรูปธรรมได้ในภาพยนตร์เรื่อง The Last Emperor ตอนท้ายเรื่อง) หรือแม้แต่พ่อแม่ของบรรดาเรดการ์ดก็ถูกลูกของตัวเองประณามจนครอบครัวต้องแตกแยก นอกจากนี้ยังมีคนจำนวนไม่น้อยถูกพวกเรดการ์ดทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิตโดยปราศจากการแทรกแซงจากทางตำรวจและทหาร หนึ่งในเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคือ หลิว เส้าฉี ประธานแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งถูกพวกเรดการ์ดเล่นงานและกักขังให้อยู่แต่ในบ้านจนเสียชีวิตเพราะขาดยารักษาโรคประจำตัว เมื่อเติ้งเสี่ยวผิงขึ้นมามีอำนาจในช่วงปลายทศวรรษที่เจ็ดสิบก็ประกาศเชิดชูเกียรติยศของหลิวและจัดงานศพให้เขาอย่างใหญ่โต

วีรกรรมของพวกเรดการ์ดประการหนึ่งที่น่าจดจำคือการเข้าไปยึดอาวุธของสหภาพโซเวียตที่ส่งผ่านจีนมาช่วยเหลือเวียดนามเหนือในสงครามเวียดนามอันมีส่วนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหภาพ   โซเวียตเสื่อมทรามลง  เราต้องยอมรับประธานเหมาก็มีส่วนรับผิดชอบอยู่มากมาย ตรงกันข้ามกับความคิดของพวกที่ยกย่องเชิดชูเขา อย่างเช่นเหมาได้เดินทางไปเป็นประธานของการชุมนุมของพวกเรดการ์ดหลายล้านคนในช่วงปี ค.ศ.1966 อันแสดงความจงใจว่าจะเป็นการเสริมสร้างลัทธิบูชาบุคคลของเหมาเอง

อย่างไรก็ตามพวกเรดการ์ด เองก็มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายบางพวกเป็นพวกหัวรุนแรง บางพวกก็มีหัวอนุรักษ์นิยม มีการโจมตี กล่าวหาและปะทะกันเองหรือแม้แต่บางกลุ่มก็หันมาโจมตีตัวเหมาเอง รวมไปถึงมีการต่อสู้กับพวกคนงานในโรงงานต่างๆและพวกชาวนา จนประเทศจีนในช่วงปลายทศวรรษที่หกสิบเกิดภาวะมิคสัญญี ในที่สุดเหมาเห็นว่าสถานการณ์กำลังจะอยู่นอกเหนือการควบคุม เขาจึงตัดสินใจส่งทหารของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนในการควบคุมหรือปรามพวกเรดการ์ด จนประสบความสำเร็จในช่วงปี ค.ศ.1968 พวกคนหนุ่มสาวเป็นล้าน ๆคนถูกส่งไปยังชนบทเพื่อศึกษาชีวิตและการทำงานของพวกชาวไร่ชาวนา จนมีคนตั้งสมญาว่าเป็นคนรุ่นสาบสูญ (Lost Generation) ปัจจุบันคนหนุ่มสาวเหล่านี้อายุประมาณห้าสิบกว่าไปจนถึงเจ็ดสิบปี มีจำนวนมากที่รู้สึกละอายใจและรู้สึกผิดบาปต่ออดีตของตัวเอง


แลกลับมาการเมืองไทย

พวกเรดการ์ดแม้จะมีความแตกต่างจากชาวม็อบของไทยในปัจจุบันอยู่หลายประการเช่นเรื่องอุดมการณ์ บริบททางสังคมและวัย แต่ก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันคือสะท้อนความล้มเหลวของระบบของรัฐและการใช้กฎหมายเมื่อพบกับคนจำนวนมากที่มาร่วมกลุ่มกันและมีการจัดตั้งอย่างดีเช่นมีการฝึกกองทัพเป็นของตัวเอง (militia) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับกลุ่มเรดการ์ดบางกลุ่มแต่พวกชาวม็อบไทยทั้งหลายมีลักษณะที่ค่อนข้างจะแยบยลกว่า แม้ฝูงชนโดยมากจะไม่ก้าวร้าวทางกายมากนักแต่ก็ไม่สามารถอ้างว่าเป็นการประท้วงอย่างสันติได้เต็มปากเพราะผู้ที่ถูกมองว่าเข้ามาก่อกวนหรือขัดขวางเช่นนักข่าวหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะอาจถึงตายได้หากมาผิดที่ผิดเวลาเพราะม็อบมีการ์ดหรือกลุ่มรักษาความสงบที่นิสัยพอๆ กับพวกเรดการ์ด อย่างไรก็ตามภาพแห่งสันติซึ่งฉาบเคลือบความรุนแรงภายในได้สร้างความชอบธรรมของตัวเองในการเข้ายึดพื้นที่ต่างๆ  และมีแรงสนับสนุนจากมวลชนเป็นจำนวนมากตามพื้นที่ต่างๆ ของประเทศและรอเวลาที่จะก่อความรุนแรงหากได้รับการชี้นำจากผู้นำม็อบหรือได้รับการยั่วยุไม่ว่าจากฝ่ายตรงกันข้ามหรือมือที่ 3

ถึงแม้มักคิดกันว่ามีคนอยู่เบื้องหลังชาวม็อบสามารถชี้ให้ขวาหันซ้ายหันได้ตลอดเวลาเช่นเสื้อแดงมีทักษิณเป็นท่อน้ำเลี้ยง เสื้อเหลืองและกลุ่มต้านทักษิณมีผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเป็นผู้บงการ แต่ความจริงแล้ว มีคนจำนวนมากของกลุ่มดับกล่าวอาจอยู่ในภาวะที่ผู้บงการควบคุมไม่ได้เสมอไปในระยะยาว และยังมีการวิเคราะห์จากวิจัยหลายชิ้นว่าการก่อม็อบเป็นการต่อสู้ของชนชั้นเช่นชนชั้นกลางต่อสู้กับชนชั้นสูงที่ใช้ชนชั้นล่างเป็นเครื่องมือ หรือชนชั้นล่าง(รวมไปถึงชนชั้นกลางรุ่นใหม่) ต่อสู้กับชนชั้นกลาง (รุ่นเก่า)และระบบราชการ แต่ผู้เขียนคิดว่าความขัดแย้งต่อไปนี้ไม่น่าจะมีเรื่องชนชั้นเพียงประการเดียวเพราะกลุ่มเสื้อแดงเองก็มีชนชั้นกลางอยู่ไม่น้อยที่เรียกร้องความยุติธรรมและประชาธิปไตยที่ปลอดจากกลุ่มอำมาตย์ เช่นเดียวกับที่กลุ่มเสื้อเหลืองและกลุ่มต่อต้านทักษิณที่มีไม่น้อยที่เป็นชนชั้นรากหญ้าที่เรียกร้องประชาธิปไตยที่ปราศจากทักษิณ  ผู้เขียนคิดว่าปัจจัยสำคัญประการหนึ่งของความขัดแย้งในครั้งนี้คือความต้องการของทุกชนชั้นในการทำลายของกรอบหรือพันธนาการหรือการลดความกดดันที่ตนต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐและระบบทุนนิยมหรือกรอบของชีวิตแบบสำเร็จรูปในยุคใหม่ ด้วยความรู้สึกว่ารัฐนั้นกำลังเรียกร้องมนุษย์มากเกินไป เช่นเดียวกับพวกเรดการ์ดที่เบื่อหน่ายคนรุ่นพ่อแม่จนนำไปสู่การขบถหรือการทำลายล้างสังคมแบบอนุรักษ์นิยมของตัวเองมากไปกว่าการสนับสนุนเหมาเพียงประการเดียว

นอกจากนี้การประท้วงไม่ว่าจะเกิดจากการอ้างถึงอุดมการณ์หรือความดีงามสักร้อยอย่างก็ตามซึ่งผู้เขียนไม่ปฏิเสธแต่ประการใดแต่สิ่งที่สามารถตอบสนองความต้องการลึกๆ ของชาวม็อบคือการเพิ่มอำนาจให้กับตัวเองหรือการเพิ่มที่ยืนในสังคมนั้นเอง คือในช่วงก่อนประท้วง เขาเป็นใครก็ไม่ทราบ (Nobody) แต่พอมารวมกลุ่มประท้วงได้เข้ายึดที่โน่นที่นี่ได้ตั้งด่านสกัดรถยนต์ หรือได้ด่าเจ้าหน้าที่ได้จับกุมหรือล้อมตำรวจทหาร ได้ค้นรถและตัวของชนชั้นกลางที่เคยมองเขาด้วยสายตาดูถูก มีอำนาจเหนือคนที่เคยมีอำนาจเหนือเขาเมื่อยามปกติ  หรือแม้แต่ได้เข้ามานั่งบนเก้าอี้ของรัฐมนตรีประจำกระทรวงสำคัญถึงแม้จะเสี่ยงตายหรือจะต้องถูกเล่นงานทางกฎหมายในภายหลังก็ตามเช่นเดียวกับพวกเรดการ์ดที่ต้องการมีที่อยู่ของสังคมจีนในฐานะคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนแปลงประเทศหรือมีอำนาจเหนือคนรุ่นเก่าและ       อภิสิทธิชนทั้งหลายดังที่ได้กล่าวมา

ความขัดแย้งครั้งนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐในการพยายามทำให้คนที่มีความหลากหลายทางความคิดและวิถีชีวิตได้มาอยู่รวมกันอย่างสันติและความรักใคร่ภายใต้การปกครองของรัฐ บทเพลงที่รัฐไทยมักกล่อมให้ประชาชนมองโลกและชีวิตแบบสีชมพู (La Vie en rose) ผ่านศีลธรรมและหลักศาสนาพุทธ (ที่รัฐเองก็ไม่เคยเข้าถึงเลย)  ต้องมาสะดุดลง เพราะความขัดแย้งได้ขยายเขตวงจาก 2  กลุ่มไปยังสู่ความขัดแย้งของหลายฝ่ายผสมกับปัจจัยอื่นเช่นความขัดแย้งเรื่องส่วนตัว และความเกลียดชังซึ่งกันและกัน สามีทะเลาะกับภรรยา พี่ผิดใจกับน้อง  ญาติตัดขาดญาติด้วยกัน พระสงฆ์ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเลือกข้างถูกโจมตี ด่าทอไม่ต่างจากฆราวาส ฯลฯ ราวกับมีผู้ที่เปิดยักษ์จินนี่ออกจากขวดแล้วไม่สามารถหยุดไม่ให้มันออกอาละวาดจนหลายครั้งดูเหมือนประเทศไทยจะแตกเป็นเสี่ยงๆ  เช่นเดียวกับจีนในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมซึ่งลัทธิขงจื้อมีอิทธิพลต่อคนจีนในเรื่องคุณค่าของครอบครัวและสังคมต้องหยุดชะงักลง

ที่น่ากลัวคือความขัดแย้งนี้ไม่ได้ถูกกำจัดอย่างง่ายดายเหมือนกับที่เหมาทำกับพวกเรดการ์ด มักมีการคิดถึงหนทางแก้ไข เช่นอยากให้ทักษิณสามารถตกลงกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้ (แต่ความจริงเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเพราะอย่างไรแล้วทั้งสองฝ่ายได้มาถึงจุดที่ผลประโยชน์ไม่สามารถลงตัวกันได้ ) หรืออยากให้ทักษิณหมดอำนาจไปจริงๆ หรือเสียชีวิตหรืออะไรก็ตามแต่ เพื่อให้ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับไปสงบเหมือนเดิม แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัจจัยสำคัญสำหรับการประท้วงที่รอระเบิดเวลาที่รอวันจะระเบิดอีกครั้งอย่างเช่นความแตกทางอุดมการณ์ทางการเมือง สังคม ความแตกต่างทางชนชั้น และที่สำคัญคือการเพิ่มจุดยืนทางสังคมและความต่อต้านอำนาจของรัฐดังที่ผู้เขียนได้วิเคราะห์  เหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นในหลายประเทศด้วยด้วยการเสริมแรงจากเทคโนโลยีแห่งการสื่อสารที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ทำให้รัฐไม่สามารถครอบงำข้อมูลบางประการที่พรางตาประชาชนมานานและประชาชนยังสามารถนัดแนะกันในการรวมตัวประท้วงได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือสามารถส่งสารแสดงความเกลียดชังต่อกันได้อย่างทั่วถึงผ่านโลกไซเบอร์เช่นเขียนเฟซบุ๊ค หรือทวิตเตอร์ด่าหรือข่มขู่กัน

ผู้เขียนคิดว่าปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งพยากรณ์ยากเช่นอาจจะคลี่คลายดีขึ้น (แบบชั่วคราว)หรืออาจจะนำไปสู่การนองเลือดระหว่างผู้ประท้วงด้วยกัน  สงครามกลางเมือง การล่มสลายของรัฐไทยหรือการที่ประเทศไทยแตกเป็นเสี่ยง ๆ หรือถ้ามองในด้านดีอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างที่อาจจะดีขึ้นหรือเลวลง ซึ่งเราคาดเดาได้ยาก แม้แต่การปฏิวัติหรือการใช้กำลังทหารยึดอำนาจรัฐซึ่งเป็นทางแก้ไขแบบคลาสสิกที่สุดของพวกหัวอนุรักษ์นิยม (ซึ่งกลุ่มประท้วงในปัจจุบันกำลังเรียกร้องกันถึงขั้นไปเข้าไปในกองทัพอย่างง่ายดาย อันทำให้มีคนระแวงว่าเป็นภาวะสองจิตสองใจของกองทัพ) ก็ไม่สามารถช่วยอะไร อาจจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำเพราะมีคนไทยจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติซึ่งอาจจะออกมาประท้วงและปะทะกับไม่ใช่เฉพาะทหารเท่านั้นแต่รวมถึงกลุ่มบุคคลที่ยังคงเห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร

ปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นทางแยกครั้งสำคัญของประเทศไทยที่เราทุกคนต้องช่วยหาทางออกเช่นการปฏิรูปโครงสร้างครั้งใหญ่ของประเทศไทยที่ไม่ใช่เพื่อใครบางคนหรือบางกลุ่มบุคคลไม่ใช่ว่าเอาแต่รอวีรบุรุษหรือวีรสตรีขี่ม้าขาว หรือรัฐบาลจะยุบสภา เพี่อที่ว่าเหตุการณ์จะกลับมาปกติเสียที

 

 

(1) ผู้เขียนลองพยายามหาคำอื่นอย่างเช่นยุวชนแดงหรือหงเว้ยปิงแต่ก็ไม่รู้สึกว่าจะได้อารมณ์เท่ากับเรดการ์ดเท่าใดนัก
  
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บันทึก 30 พ.ย.2556 "สมรภูมิรามคำแหง"

Posted: 02 Dec 2013 10:13 AM PST

(1)

แนวโน้มความรุนแรงเริ่มส่อเค้าก่อตัวช่วงหัวค่ำ ผมมาถึงรามคำแหงประมาณ 6 โมงเย็น (เพื่อมาคอยดูแฟนที่กำลังทำข่าวในพื้นที่) ใช้ถนนเส้นรามคำแหงจะเดินไปยังหน้ารามที่ตอนเย็นมีการปะทะเล็กๆ แต่มาติดผู้ชุมนุมกลุ่มย่อยไม่ทราบฝ่ายชัดเจนว่าเป็นกลุ่มไหน (แต่การแต่งกายมีนกหวีดแลัวสายธงชาติห้อยคอและธงชาติรัดข้อมือ) ปิดถนนตรงแยกวัดเทพลีลาคอยตรวจตรารถที่ผ่านไปมา

ถ้ามีรถหรือมอเตอร์ไซด์ที่ผู้โดยสารมีสัญลักษณ์สีแเดงจะถูกคนกลุ่มนี้รุมเข้าไปยื้อยุดฉุดกระชาก หรือเข้าไปรุมโห่ ถ้าเป็นมอเตอร์ไซด์คนขับขี่ที่ใส่เสื้อแดงก็จะถูกรุมถอดเสื้อออกมาเผาเป็นอยู่อย่างนี้ประมาณ 4-5 ครั้ง ถ้าเป็นคนธรรมดาที่น่าสงสัยว่าเป็นคนเสื้อแดงที่เดินอยู่ก็จะถูกรุมดันออกมาและโห่ร้องเป่านกหวีดใส่ แต่ไม่ถึงขั้นถูกรุมกระทืบเท่าที่เห็นอย่างมากก็ตบหัวและดันผลักเขาออกไป และโชคดีที่ตรงนั้นเหมือนจะมีผู้ชุมนุมประมาณ 2 ท่านที่คอยห้ามไม่ให้ใช้ความรุนแรง

ผมเก็บภาพอยู่ตรงนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง ช่วงชุลมุนมีตลอด ทั้งโห่ฮารถตู้รถเมล์ที่สงสัยว่ามีคนเสื้อแดงอยู่ มีความพยายามที่จะเอารถเมล์ 1 คันมาปิดถนน แต่คนขับรถเมล์รีบหักรถออกมาทัน

ผมเห็นรถ 2 แถว 1 คันที่บรรทุกคนงานก่อสร้างเต็มคันที่บังเอิญใส่ชุดสีเลือดหมูก็โดนกวดโดนไล่ด้วย ขณะเดียวกันมีวิ่งไล่กวดไล่ตีกันเข้าไปในซอยอยู่บ้าง ช่วงนั้นความชุลมุนเกิดขึ้นตลอดเวลา

กลุ่มผู้ชุมนุมตรงแยกวัดเทพลีลาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่มีตร.ทำหน้าที่อยู่ท่านเดียว ไม่มีแกนนำคุมการชุมนุม แต่มีรถกระจายเสียงคอยประกาศว่าให้เตรียมตัวไว้คนเสื้อแดงกำลังจะกลับออกมาจากสนามราชมังคลาฯ แล้ว ตอนนั้นผมคิดว่าเสื้อแดงคงผ่านตรงนี้เข้าไปในสนามราชมังคลาฯไม่ได้ หรือแม้ตอนออกมาก็คงมีปะทะแน่นอน

เมื่อผมเดินผ่านตรงนั้นไม่ได้ จึงเดินย้อนกลับมาพยายามเข้าไปทางหลังรามประมาณทุ่มครึ่งเศษๆ...


(2)

ประมาณทุ่มครึ่งเศษๆ ผมจึงเดินย้อนกลับมาทางซ.รามคำแหง 24 เพื่อจะย้อนเข้าไปทางหลัง ม.ราม เมื่อเดินมาถึงปากซอยเจอผู้ชุมนุมเสื้อแดงพ่อแม่ลูกครอบครัวหนึ่งกำลังขี่มอเตอร์ไซด์คุยโทรศัพท์เพื่อหาทางเข้าสนามราชมังคลาฯ ผมจึงเดินไปเตือนว่าอย่าขี่ไปทางวัดเทพลีลาไม่เช่นนั้นอันตรายแน่ และถ้าเป็นไปได้ให้ถอดเสื้อแดงออกก่อน เพราะผู้ชุมนุมเป่านกหวีดขี่มอเตอร์ไซด์วนเวียนแถวนั้นตลอดเวลา

หน้าปากซอยราม 24 ประชาชนยังใช้ชีวิตปกติแต่ดูตึงเครียดหลายคนดูเร่งรีบจะกลับที่พักให้เร็วที่สุด ผมเดินเข้าไปในซอย 24 จนเกืบถึงปลายๆซอยหลังราม เริ่มเห็นคนเสื้อแดงเดินกันเป็นหย่อมๆ เข้าใจว่าคนกลุ่มนี้เพิ่งมาถึงและกำลังหาทางเข้าสนามราชมังคลาฯ สักพักมีคนกลุ่มใหญ่วิ่งสวนผมออกมาและตะโกนว่า "มียิงกัน" ..

ผมจึงหลบเข้าไปข้างทาง คนยังวิ่งสวนออกมาตลอดดูชุลมุนวุ่นวาย ผมเห็นแสงไฟรถหวอของตำรวจที่จอดอยู่ในปั๊มน้ำมันจึงเดินเข้าไปสังเกตุการณ์ เห็นกลุ่มคนเสื้อแดงจับกลุ่มอยู่ตรงปั๊มน้ำมันเป็นกลุ่มๆ เป็นผู้หญิงวัยกลางคนถึงสูงอายุซะส่วนมาก ผมจึงสอบถามว่าใครยิงกัน เขาตอบมาว่าไม่รู้ฝ่ายไหนยิงแต่ว่าได้ยินเสียงปืน

ผมเดินเข้าไปในซอย 24 หลังรามเข้าไปเรื่อยๆ ไปทางสนามราชมังคลาฯ เริ่มเจอกลุ่มคนเสื้อแดงหลายกลุ่มเดินไปทางเดียวกัน แต่มีบางส่วนก็เดินสวนออกมา ได้ยินคนเสื้อแดงหลายกลุ่มคุยกันจับใจความได้ว่าพวกเขาพยายามจะเข้าไปสนามราชมังคลาฯ แต่ข้างหน้ามีกลุ่มวัยรุ่นไม่ยืนยันว่าเป็นกลุ่มไหนตั้งด่านไว้อยู่จึงไม่สามารถเข้าไปได้

ผมมาหยุดอยู่ที่ปากซอยราม 24 แยก 10 มีหญิงเสื้อแเดงคนหนึ่งวิ่งมาตะโกนบอกว่าถูกกลุ่มวัยรุ่นบังคับให้ถอดเสื้อ พร้อมตะโกนด่าทอวัยรุ่นกลุ่มนั้น สักพักคนเสื้อแดงหลายคนก็เริ่มตะโกนด่ากลุ่มวัยรุ่นที่ตั้งด่านอยู่ไกลพอสมควร ตอนนั้นเหตุการณ์ชุลมุนเริ่มมีการขว้างปาสิ่งของตอบโต้กันไปมา ทั้งเสื้อแดงและกลุ่มวัยรุ่น

ขว้างปาตอบโต้ไปมาสักพัก ฝ่ายกลุ่มวัยรุ่นเริ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้กลุ่มคนเสื้อแดง คนเสื้อแดงจึงวิ่งถอยกลับไป ชาวบ้านและคนที่เดินไปเดินมาแถวนั้นจึงหาที่หลบขวดหลบไม้กันให้วุ่น สักพักได้ยินเสียงปืนดังขึ้นฟ้า 1 นัด แต่ไม่สามารถระบุแน่ชัดว่ามาจากคนกลุ่มไหน

สถานการณ์ตึงเครียดผมจึงเข้าไปหลบอยู่ในร้านเกมส์ข้างๆ ขณะที่ข้างนอกกลุ่มวัยรุ่นเหมือนจะคลุมพื้นที่ตรงปากซอยแยก 10 ไว้ได้แล้ว

ร้านเกมส์รีบปิดประตูและมีคนที่ไม่รู้เรื่องเข้ามาหลบด้วยอยู่มาก ข้างนอกเริ่มเงียบและมีเสียงด่าทอกันออกมาเป็นระยะๆ ประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนสงครามหลังรามเต็มรูปแบบที่จะเริ่มต้นประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ คือ

"เดี๋ยวมึง...อีก 5 นาทีเจอกัน"


(3)

ร้านเกมส์ปิดล็อคประตูกระจกและดึงประตูเหล็กด้านนอกลงมาครึ่งหนึ่ง ยังมีเด็กในร้าน 2-3 คนที่ยังเล่นเกมส์โดยไม่สนใจว่าเหตุการณ์ข้างนอกจะเกิดอะไรขึ้น

ตอนแรกผมคิดว่าเหตุการณ์แรงสุดที่เกิดขึ้นคงเป็นแค่มวลชน 2 ฝ่ายขว้างปาสิ่งของใส่กัน ...แต่สักพักเริ่มมีเสียงคล้ายประทัดยักษ์บ้าง ระเบิดบ้าง ปืนบ้าง ดังถี่กันหลายครั้ง เลยทำใหัรูัว่านี่คงไม่ใช่เหตุการณ์ปกติธรรมดาแล้ว

กลุ่มวัยรุ่นยึดครองพื้นที่ปากซอย 10 ได้แค่ชั่วระยะเวลาเดียว หลังจากที่เสื้อแดงล่าถอยออกไปและผมได้ยินเสียงทิ้งท้ายจากชายคนหนึ่งว่า "อีก 5 นาทีเจอกัน" นั้น ...ไม่นานคนที่มาเป็นแนวหน้าคอยปะทะกับกลุ่มวัยรุ่นดูเหมือนจะเป็นชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งมีทั้งใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีแดง เสื้อสีดำ (ชายชุดดำ?) บางคนใส่หมวกกันน็อค คอยเป็นแนวหน้าให้คนเสื้อแดง แต่ผมเห็นมีผู้ชุมนุมที่เป็นผู้หญิงบางคนที่มีอารมณ์โมโหออกมายืนข้างหน้าด้วย

ผมมองลอดจากกระจกร้านเกมส์ออกไปมีการปะทะกันตลอดเวลา มีเสียงปืนดังเป็นระยะๆ ทั้งนัดเดียวบ้าง รัวกระสุนแบบหมดแม็คบ้าง เสียงระเบิด เสียงขวดปากันไปมา เสียงวิ่งไล่กวดกัน และซอย 10 ข้างๆ ดูจะเป็นสมรภูมิรบอันดุเดือด ได้ยินได้ฟังการด่าทอ เชียร์ให้ฆ่ากัน เอามันให้ตาย ไม่งั้นเราตาย

ช่วงที่ผมสามารถออกมาจากร้านได้เพื่อมาเก็บภาพจะเป็นช่วงที่ฝ่ายเสื้อแดงคุมพื้นที่ปากซอย 10 ไว้ได้ ผมออกมาสังเกตุการณ์ ตอนนั้นคนเสื้อแดงส่วนมากจะเป็นชายฉกรรจ์ซะส่วนมากแล้ว ผู้หญิงและคนแก่แทบไม่เห็น

แนวหน้ายังปะทะกันต่อไปเป็นอยู่อย่างนี้ร่วม 2 ชม. โดยไม่มีทหารตำรวจมาในพื้นที่ คนที่หลบอยู่ในร้านเกมส์ก็ยังออกไปไหนไม่ได้ แต่ละฝ่ายยังปะทะกันตลอด ถ้าช่วงไหนกลุ่มวัยรุ่นยึดพื้นที่ได้ผมจะได้ยินเสียงนกหวีด ถ้าช่วงไหนเสื้อแดงยึดพื้นที่ได้จะได้ยินเสียงคนคุยกันว่าให้ลุยเข้าไป พวกมันไม่มีอะไร

สถานการณ์ยิ่งนานยิ่งดูบานปลายเสียงปืนและระเบิดถี่ขึ้น ผมได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกันว่ามีคนโยนขวดลงมาจากตึกร้านเกมส์ที่ผมเข้าไปหลบอยู่

ผ่านไป 2 ชม. 4 ทุ่มกว่าแล้วข้างนอกยังปะทะกันดุเดือด ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ เดี๋ยวรอตำรวจมาค่อยหาทางออกไป เจ้าของร้านเกมส์ปิดล็อคประตูทุกอย่างและบอกหัามทุกคนออกไปจนกว่าตร.จะมา

ร้านเกมส์ปิดไฟให้ทุกคนอยู่นิ่งๆ เพราะเหมือนสถานกาคณ์ข้างนอกเริ่มแรงขึ้น ...อยู่ๆ ทันใดนั้นมีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งประมาณ 4-5 คนไม่ทราบสังกัดแน่ชัด (แต่เห็นบางคนห้อยสายธงชาติ และผ้าสีเหลือง) เปิดประตูแผงเหล็กร้านเกมส์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และพยายามจะพังประตูร้านเข้ามาอย่างกระหายเลือดเคียดแค้น ทั้งเอาท่อแป๊บเหล็กฟาดกระจก เอาขวดเบียร์ทุบ เอาไม้ฟาด ยื้อยุดฉุดกระชากประตูบอกให้เปิด บอกให้ออกมา พวกมึงหลบกันอยู่ข้างในใช่มั้ย

คนที่หลบอยู่ในร้านตกใจกันมาก ทุกคนรีบวิ่งขึ้นหนีไปชั้น 2 เพราะข้างหลังเป็นเหล็กดัดไม่มีทางออก พวกข้างนอกก็ยังพยายามพังประตูเข้ามา ผมได้ยินแต่เสียงว่าพวกมึงหลบกันอยู่ข้างในใช่มั้ยมึงออกมา ท่าทางออกอาการแค้นมากมาย

ชั้น 2 ร้านเกมส์เป็นที่เก็บของ แถมประตูยังพัง ผมไดัยินเสียงปืนดังขึ้นถี่กันหลายนัดตรงหน้าร้านเกมส์ ไม่แน่ชัดว่าเป็นความพยายามยิงกระจกร้านเข้ามาหรือไม่ หลังจากนั้นก็มีเสียงขว้างปาก้อนหินเข้ามาที่กำแพงร้านชั้น 2 ตลอดเวลา

ผมกับเด็กผู้ชายช่วยกันเอาเก้าอี้ 2 ตัวใหญ่กับแอร์เก่าขนาดใหญ่มาขวางประตูชั้น 2 ไว้ เพื่อให้พวกเขาบุกเข้ามาไดัยากขึ้น

เวลานั้นทุกคนตกใจมาก เด็กผู้หญิงร้องไห้ เรานั่งกันตรงกลางห้องคิดว่าจะทำอย่างไรดี เลยตกลงกันว่าถ้ามันเข้ามาได้ให้นิ่งและเงียบที่สุด ใครใส่เสื้อแดงอยู่ให้ถอดออกก่อน เพราะมีเด็กคนหนึ่งดันใส่เสื้อสีแดงมา และพยายามบอกว่าเราเป็นแค่เด็กที่เข้ามาเล่นเกมส์ไม่ใช่เสื้อแดง ขณะที่แฟนผมยังสวมปลอกแขนนักข่าวก็จะใช้โอกาสนี้บอกว่าเป็นนักข่าวหลบเข้ามา

ขณะที่ชายฉกรรจ์ข้างล่างยังทุบกระจกกันไม่หยุด ดูอารมณ์ของพวกนั้น ตอนนั้นผมคิดแต่เพียงว่าถ้าพวกเขาบุกเข้ามาได้จริงคงไม่มีสติจะฟังอะไรพวกเรา สิ่งแรกที่เขาน่าจะทำคือบุกเข้ามาและเอาปืนกราดยิงพวกเราตายกันทั้งหมดเพราะสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความแค้นอย่างมาก

สถานการณ์ยังไม่สงบ เด็กคุมร้านเน็ตโทรแจ้งตำรวจ โทรแจ้งเจ้าของร้านว่าร้านจะถูกพังเข้ามา ขณะที่ชั้น 2 ยังมีความเสี่ยงที่หน้าต่างเป็นเหล็กดัดและบางบานไม่มีหน้าต่าง ถ้ามีใครโยนระเบิดลอดลูกกรงเข้ามาคงไม่รอดแน่ เพราะตลอดเวลานั้นเหมือนอาวุธที่ทั้ง 2 ฝ่ายใช้เริ่มหนักขึ้น ถี่ขึ้น และมีความพยายามจะปาสิ่งของจำพวกขวด ก้อนหินขึ้นมาตลอดเวลา

พวกเราอยู่กันแบบเงียบที่สุด มือถือไม่ใช้เพื่อไม้ให้เขาเห็นแสงไฟว่ามีคนอยู่ เพราะตึกนีัถูกต้องสงสัยว่าเป็นทีีโยนขวดลงมาโดนกลุ่มวัยรุ่น เวลานั้นผมสื่อสารอะไรกับโลกข้างนอกไม่ได้เลย

ผ่านไปเกือบชั่วโมงเรายังติดอยู่บนชั้น 2 ขณะที่ข้างนอกก็ยังปะทะกันเหมือนแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน ผมนั่งคิดในใจว่าอะไรทำให้คนเกลียดกันถึงที่ยอมจะฆ่ากันไดัขนาดนี้ และคิดปล่อยวางว่าถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันจะทำอะไรได้บ้าง

เวลาที่เงียบช่างน่ากลัวเพราะมันจะตามมาด้วยเสียงระเบิดลูกใหญ่ๆ 1 ลูก กับเสียงขว้างปาของขึ้นมาชั้น 2 ทุกคนนั่งกระจัดกระจายหาที่หลบเพราะถ้าโชคไม่ดีคงมีระเบิดปาเข้ามาที่เราสัก 1 ลูก

ผมได้ยินเสียงคนหนึ่งตะโกนให้เผาเลย สักพักเริ่มเห็นแสงไฟเหมือนวัตถุโดนเปลวเพลิง ตอนแรกผมคิดว่าเราคงโดนเผาทั้งเป็นแล้ว เพราะไม่มีทางออก หน้าต่างเป็นเหล็กดัดทั้งหมด ลงไปข้างล่างก็คงโดนพวกนั้นไม่ยิง ก็ตีตาย ...เแต่พอมองออกไปนอกหนัาต่างเป็นการเผาเสื้อจึงโล่งอกไป

เงียบไปสักพักผมเริ่มเห็นไฟของรถตำรวจ และเสียงจากรถตำรวจประกาศขอคืนพื้นที่ให้ทุกคนหยุด อยู่ในความสงบและกลับบัาน

ขบวนรถตำรวจมากกว่า 20 คันขับตามกันมา พวกเราคิดว่าปลอดภัยแล้วจึงเดินลงมาและออกมาจากร้านเกมส์สภาพที่เห็นข้างนอกดูไม่จืด ถนนเต็มไปด้วยเศษแก้ว ก้อนหิน ท่อนไม้ ข้าวของพังเสียหาย

นี่คือเหตุการณ์ที่ผมพบเจอเมื่อคืนวันที่ 30 พ.ย. ที่ตลอด 4 ชั่วโมง คน 2 กลุ่มสามารถฆ่ากันได้อย่างอิสระเสรีเพื่ออะไรสักอย่างแม้แต่คนที่กำลังไล่ฆ่ากันก็คงตอบไม่ได้

มันคือการฆ่าเพื่อฆ่าจริงๆ

และดูจากนี้เราคงจะต้องฆ่ากันไปอีกนาน...

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สภาประชาชนไม่ใช่หางเครื่องการต่อสู้ของการเมืองสองขั้วอำนาจ

Posted: 02 Dec 2013 09:41 AM PST


หนึ่งเดือนของการต่อสู้ล่วงไปแล้ว ข้อเสนอการจัดตั้งสภาประชาชน และรัฐบาลประชาชนของสุเทพและแกนนำการต่อสู้ในขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนแต่ประการใด สร้างความเคลือบแคลงสงสัยกับผู้ใส่ใจในการต่อสู้ของประชาชนว่า สิ่งที่จะมาแทนที่รัฐบาลและรัฐสภาของพรรคเพื่อไทยนั้นคืออะไร? สุดท้ายคือ การสมคบกันระหว่างแกนนำกับข้าราชการทหารระดับนำแล้วแต่งตั้งสภาประชาชนขึ้นมาเองหรือไม่? ถ้าใช่ นั่นย่อมไม่ใช่การปฎิวัติของประชาชน แต่เป็นการช่วงชิงกระทำแทนประชาชนโดยอาศัย "มวลมหาประชาชน"เป็นเพียงหางเครื่องของการต่อสู้ หรือเป็นเพียงเบี้ยทางการเมืองเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เราควรมาทำความเข้าใจกันว่า สภาประชาชนที่จริงแท้ควรเป็นอย่างไร?

กิตติศักดิ์ ปรกติ นักวิชาการที่สนับสนุนสภาประชาชน ยกตัวอย่างที่เขาเห็นเป็นต้นแบบ เช่น การจัดตั้งการประชุมโต๊ะกลมที่โปแลนด์(Polish Round Table) ในปีค.ศ.1989 แต่ข้อเท็จจริงของต้นแบบดังกล่าว คือ การสมคบกันระหว่างแกนนำฝ่ายค้านของสหภาพแรงงานโซลิดาริตี้ กับระดับนำของพรรคคอมมิวนิสต์โปแลนด์รวมกันประมาณ 50 คน มาดำเนินการเจรจาหาทางออกให้กับประเทศ ซึ่งสุดท้ายลงเอยด้วยการต่อรองอำนาจกันในระดับนำของขั้วอำนาจโดยต่อมาประชาชนได้การเลือกตั้งที่ทำให้เกิดรัฐบาลและรัฐสภาที่มีผู้แทนที่มาจากขั้วอำนาจทั้งสองฝั่ง และนำประเทศไปสู่การขายกิจการของรัฐให้เอกชน(Privatization) กันอย่างรุนแรง ทำให้คนตกงานเป็นจำนวนนับล้านคน ค่าแรงถูกแช่แข็งและสวัสดิการสังคมถูกทำลาย โดยที่ประชาชนไม่สามารถรวมตัวต่อต้าน และไม่มีโอกาสใช้สื่อสาธารณะเสนอความเห็นได้เลย นี่คือความจริงของชีวิตชาวโปแลนด์ภายหลังปีค.ศ.1991

ดังนั้นสภาประชาชนที่เลว ที่คด ที่ไม่สมควร และที่กดประชาชนเป็นเพียงเบี้ยทางการเมือง คือ การแต่งตั้งแกนนำสองขั้วอำนาจไปสมคบกันหาทางออกโดยไม่ฟังเสียงประชาชน และไม่สนับสนุนให้ประชาชนจัดตั้งตนเอง และเลือกผู้แทนของตนเองไปหาทางออกให้กับประชาชน

ในทางตรงกันข้าม สภาประชาชนที่ดี ที่ตรง ที่สมควร และที่นำพาประชาชนไปสู่การสถาปนาอำนาจอธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริงนั้น ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้


1. สภาประชาชน เป็นการจัดตั้งตนเองท่ามกลางการต่อสู้ แกนนำการต่อสู้จะต้องสนับสนุนให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าทุกสาขาอาชีพที่เห็นด้วยกับการโค่นรัฐบาลที่ไร้ความชอบธรรม และอยากปฏิรูปประเทศให้ดีกว่าเดิมได้เลือกตั้งผู้แทนของกลุ่มตน แล้วมารวมเป็นสภาประชาชนแห่งชาติ ประกอบด้วยผู้แทนนับร้อยนับพันคนจากทั่วประเทศ (ตัวอย่างในอดีตสภาประชาชนมีจำนวนประมาณ 600 – 1,000 คน) ที่ประชุมแห่งนี้จะเป็นที่ที่ผู้แทนของประชาชนมาคิดหาทางออกให้กับประเทศ และกำกับการต่อสู้ของประชาชนเพื่อให้ทางออกนั้นบรรลุผล

2. เหตุที่ต้องจัดตั้งสภาประชาชนในท่ามกลางการต่อสู้ ก็เพราะในสถานการณ์ต่อสู้จะเกิดพลเมืองที่มีสำนึก(Active citizen) อย่างมากมายและกว้างขวาง คนเหล่านี้คือ กำลังของแผ่นดินที่หากได้จัดตั้งตนเองอย่างเข้มแข็งแล้ว จะเป็นหลักประกันในการรักษาดอกผลของการต่อสู้ให้เกิดกับประชาชน พวกเขาจะติดตาม ตรวจสอบ และรวมตัวจัดตั้งเพื่อคะคานอำนาจกับแกนนำ หรือผู้นำขั้วอำนาจต่างๆ ตลอดจนกระทั่งผู้แทนของพวกเขาเองในสภาประชาชนให้ทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ดังนั้นกฏข้อสำคัญของสภาประชาชน คือ ผู้แทนของประชาชนในสภาประชาชนสามารถถูกถอดถอนได้ตลอดเวลา

นี่คือการยึดโยงกันของประชาธิปไตยทางตรง(Direct democracy) ระหว่างประชาชนกับผู้แทนของเขา ซึ่งแตกต่างจากการยึดโยงกันของประชาธิปไตยรัฐสภาที่ทุนเป็นใหญ่ซึ่งประชาชนอยู่ในภาวะพลเมืองพร่องสำนึก (Passive citizen) ในสถานการณ์ปกติที่ขาดการจัดตั้งที่เข้มแข็ง ขาดการสื่อสารที่สาธารณะอย่างแท้จริง และสุดท้ายตกอยู่ภายใต้ความจำนนต่อการเมืองระบบผู้แทนของพรรคการเมืองนายทุนซึ่งอาศัยทุนเป็นใหญ่โดยครอบงำประชาชนด้วยการสื่อสารที่เหนือกว่าและระบบอุปถัมภ์ให้ได้เข้ามาสู่อำนาจครั้งแล้วครั้งเล่า

3. สภาประชาชนทั่วประเทศ และสภาประชาชนแห่งชาติจะทำหน้าที่เป็นสติปัญญาของสังคมในการจัดทำข้อเสนอที่เป็นทางออกให้เป็นรูปธรรม และผลักดันให้เกิดขึ้นเป็นจริง ข้อเสนอ 6 ประการที่สุเทพแถลงไปก่อนหน้านี้ ควรได้รับการแลกเปลี่ยนกันในสภาประชาชนทั่วประเทศในท่ามกลางการต่อสู้กันอยู่ในขณะนี้ เพื่อให้เกิดเป็นสัญญาประชาคมของการต่อสู้ ที่สภาประชาชนทั่วประเทศ และสภาประชาชนแห่งชาติใช้ยึดถือเป็นแนวทางว่าสังคมที่ดีกว่าเดิมที่เราร่วมสู้กันมาคือสังคมที่

1) มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมและปลอดพ้นจากอำนาจทุนเป็นใหญ่

2) ต่อต้านกลุ่มทุนคอรัปชั่นทุกกลุ่มที่แสวงหาผลประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม

3) มีการขยายประชาธิปไตยให้ประชาชนอย่างกว้างขวางโดยมีระบบถอดถอนผู้นำทางการเมืองที่เอื้อให้ประชาชนสามารถเคลื่อนไหว และใช้สื่อสาธารณะเพื่อการถอดถอนได้อย่างเสรี มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด การกระจายอำนาจไปสู่จังหวัดจัดการตนเอง การเลือกตั้งตำรวจ และข้าราชการทุกหมู่เหล่า เพื่อให้เป็นข้าราชการที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชนอย่างแท้จริง เป็นต้น

4) การปฏิรูปการศึกษา สังคม สาธารณสุข และคมนาคม ต้องเป็นวาระแห่งชาติโดยสภาประชาชนทุกหมู่เหล่าร่วมกันจัดทำข้อเสนอ นโยบาย และแนวทางที่มีความยั่งยืนและพัฒนาปรับปรุงให้บรรลุเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ถูกพรรคการเมืองกลุ่มทุน หรือข้าราชการระดับสูงชักพาไปทำเพื่อประโยชน์ของกลุ่มตนและพวกพ้อง


นี่คือสิ่งที่สุเทพ และกปปส.สมควรกระทำมาตั้งแต่แรกเริ่มการชุมนุมแล้ว บัดนี้ก็ยังไม่สายที่จะทำ ผู้เขียนเชื่อว่าเหตุที่ยังไม่ได้ทำจนบัดนี้ ก็เป็นเพราะ แกนนำอย่างพวกเขายังคงมีวิธีคิดในระบบอุปถัมภ์จากประสบการณ์การเมืองแบบเลือกตั้ง และการใช้อำนาจกันอยู่แต่ในระดับชนชั้นนำและข้าราชการระดับสูง บรรดาแกนนำเหล่านี้แม้ประสบความสำเร็จในการปลุกระดมมวลชนมาร่วมต่อสู้เรือนแสนเรือนล้าน แต่พวกเขายังคิดเพียงอาศัยฐานมวลชนไปต่อรองกันอยู่ในหมู่ชนชั้นนำขั้วอำนาจต่างๆเท่านั้น ดังกรณีการหลบไปเจรจาลับกับนายกฯยิ่งลักษณ์พร้อมกับผู้นำเหล่าทัพ

ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาก็คงจะเพียงรอแต่ให้ทหารเข้าร่วมทำการยึดอำนาจแทนประชาชนเท่านั้น แล้วแต่งตั้งสภาประชาชนหลังการรัฐประหารมาบังหน้าเพื่อให้ชอบธรรม ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นภาวะเสี่ยงต่อการต่อต้านทั้งจากประชาชนที่ไม่ได้ร่วมสู้เพียงเพื่อให้ใครมากระทำแทน และจากการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่จะปลุกระดมต่อต้านการรัฐประหาร ด้วยภาวะเสี่ยงเช่นนั้น อาจจะตามมาด้วยการปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรงเพื่อสะกดฝ่ายตรงข้ามให้สยบยอม ภาวะไร้ประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพเช่นนี้ และความเป็นไปได้ที่อาจลุกลามเป็นสงครามกลางเมือง จะทำให้ประชาชนถูกใช้เป็นเบี้ยทางการเมืองไม่มีที่สิ้นสุด และดอกผลแห่งการต่อสู้ของประชาชนสูญเสียไปด้วย

ตัวสุเทพเองมีประสบการณ์ดังกล่าวมาแล้วเมื่อคราวเป็นผู้นำการปราบปรามการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในปีพ.ศ.2553 จึงควรสำนึกและหาทางออกให้หลุดพ้นจากการเมืองสองขั้วอำนาจเสียที

ผู้เขียนยังคงเห็นแนวโน้มที่ดีที่การชุมนุมและการต่อสู้ในขณะนี้ไม่มีข้อเรียกร้องขอให้ทหารทำการยึดอำนาจแทนประชาชน ไม่มีการเรียกร้องของพระราชทานรัฐบาลใหม่ และแกนนำมุ่งขยายการมีส่วนร่วมต่อสู้ของประชาชนทุกหมู่เหล่าอย่างกว้างขวาง และเป็นการต่อสู้ที่สงบสันติอหิงสา แสดงว่าอย่างน้อยแกนนำและประชาชนตระหนักดีว่า เราจะเอาความไร้ชอบธรรมของการรัฐประหารหรืออำนาจนอกระบบ มาแทนที่ความไร้ความชอบธรรมของรัฐบาลและรัฐสภาไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะสุดท้ายสิ่งนี้จะดึงประเทศชาติของเราจมดิ่งอยู่กับการเมืองสองขั้วอำนาจอย่างไม่ได้ผุดได้เกิด

ผู้เขียนจึงยืนยันว่า สภาประชาชนคือทางสายเอกที่จะพาประเทศชาติหลุดพ้นจากการเมืองสองขั้วอำนาจ โดยเริ่มต้นจากการไม่พึ่งพาแต่แกนนำกลุ่มเล็กๆนำการต่อสู้เท่านั้น และเพียงรอคอยให้แกนนำสั่งการไปทีละขั้นทีละตอน และประชาชนเพียงรู้แต่ว่าจะไปต่อสู้ แต่ไม่รู้ว่าจะเก็บเกี่ยวดอกผลการต่อสู้ให้ตกกับประชาชนได้อย่างไร? เพราะอาการเช่นนี้คือการยอมลดตัวลงเป็นเพียงเบื้ยทางการเมืองของการเมืองสองขั้วอำนาจเท่านั้น

ดังนั้นประชาชนทุกหมู่เหล่าทุกสาขาอาชีพที่เข้าร่วมต่อสู้และเห็นด้วยกับการต่อสู้กับรัฐบาลที่ไร้ความชอบธรรมจำเป็นต้องพึ่งตนเองจัดตั้งตนเองเป็นสภาประชาชนที่มีภาวะการนำ(Leadership) ที่เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง และใช้สติปัญญาของพลเมืองที่มีสำนึกคิดหาทางออกให้กับประเทศชาติ

หากข้อเสนอหรือทางออกดังกล่าวได้รับการปฏิบัติเป็นจริง การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมจะทำให้เราได้ผู้แทนที่จะทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ การกระจายอำนาจของประชาชนจะทำให้เราได้ข้าราชการที่ทำประโยชน์เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง และดำเนินการปฏิรูปประเทศในทุกๆด้านเพื่อประชาชน โดยประชาชนมีการจัดตั้งที่เข้มแข็งขึ้น มีส่วนร่วมปฏิรูปอย่างแข็งขัน และสามารถติดตามตรวจสอบ ปรับปรุงแก้ไขการทำงานของผู้แทนและข้าราชการได้อย่างเต็มที่ สิ่งเหล่านี้จะช่วยดับความขัดแย้งและทุกข์ของสังคมไปได้อย่างแท้จริง

ฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของปัญญาชน และนักต่อสู้ที่จะร่วมคิดร่วมปฏิบัติเพื่อให้วิกฤตการณ์การปฏิวัติของประชาชนในครั้งนี้ ประชาชนต่อสู้ได้ดีขึ้น และสร้างดอกผลให้ตกอยู่กับประชาชนยิ่งๆขึ้น

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'สุเทพ' ประกาศยึดนครบาลให้ได้ในวันพรุ่งนี้ และจะเล่นบทพระเอก

Posted: 02 Dec 2013 07:55 AM PST

สุเทพ เทือกสุบรรณ ชวน ขรก.-นักการเมืองเปลี่ยนข้างก่อนสายเกินไป ลั่น 3 ธ.ค. จะยึด บช.น. ให้ได้แบบอหิงสา "เพราะเกิดมาเป็นพระเอก ไม่ใช่ผู้ร้าย" เตือน ผบ.สตช. ถ้าไม่เปลี่ยนข้างจะเป็นเป้าหมายต่อไป ลั่นจะต่อสู้จนกว่าจะขจัดทุนสามานย์ ไม่ฟังเสียง'พวกโลกสวย'ด่าว่า ย้ำไม่มีพื้นที่ให้คนกลาง-จะต้องเลือกข้างอยู่กับความดีหรือความชั่ว

 

2 ธ.ค. 2556 - บรรยากาศการชุมนุม "ขจัดระบอบทักษิณ" ในช่วงค่ำวันนี้ (2 ธ.ค.) นี้นั้น ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อเวลา 19.00 น. สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ได้ปราศรัยว่า ผู้ชุมนุมตัดสินใจมาถึงขั้นนี้แล้วจะไม่ถอยเด็ดขาดต้องเดินหน้า จะต้องสู้ต่อไม่มีทางเลือก ต่อมาศิรินทรา นิยากร ได้ขึ้นร้องเพลง ล้นเกล้าเผ่าไทย และความฝันอันสูงสุด ทำให้ผู้ชุมนุมเฮปรบมือด้วยความดีใจ

ต่อมาที่ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ ในเวลา 20.29 น. สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ "คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" หรือ กปปส. ได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่ศูนย์ราชการ โดยได้ขอบคุณที่ผู้ชุมนุมได้ร่วมมือกันปฏิบัติการอย่างเข้มแข็งเมื่อวานและวันนี้

 

สุเทพชี้แจงไปที่ช่องทีวีเพื่อพูดคุยให้สื่อนำเสนอข่าว หากเห็นว่าไปคุกคามก็ขอโทษ ขอรับผิดผู้เดียว

ต่อมาในเวลา 20.29 น. สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ "คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" หรือ กปปส. ได้กำลังขึ้นเวทีปราศรัยที่ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ ได้กราบขอบคุณที่ผู้ชุมนุมได้ร่วมมือกันปฏิบัติการอย่างเข้มแข็งเมื่อวานและวันนี้"

ขอให้ข้าราชการหยุดงานต่อไป ยันไปที่สถานีโทรทัศน์ไม่ได้ไปคุกคาม แต่ขอให้ช่วยนำเสนอข่าว "ผมในนามของ เลขาธิการ กปปส. ต้องขอกราบขอบพระคุณพี่น้องมวลมหาประชาชน ที่ได้ร่วมมือกันปฏิบัติการอย่างเข็มแข็งสองวัน กรอบขอบพระคุณครับ ผลการปฏิบัติการของมวลมหาประชาชน ที่ออกไปปฏิบัติการในแต่ละพื้นที่ด้วยมือเปล่า ไม่มีอาวุธ สันติ สงบ อหิงสา  ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง วันนี้ข้าราชการส่วนใหญ่ก็หยุดราชการ ไม่ไปทำงาน ถนนในกทม ว่างเป็นพิเศษ วันนี้ ซึ่งเราต้องเรียนยืนยันกับข้าราชการเหล่านั้นว่า การนัดหยุดราชการวันนี้เพียงเป็นวันแรก และต้องหยุดต่อไป ไม่เป็นเครื่องมือของระอบทักษิณอีกต่อไป"

สุเทพกล่าวถึงการไปยึดสถานีโทรทัศน์เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมาว่า "การไปยึดทีวี มีการวิจารณ์มาก ส่วนใหญ่เป็นพวกมองโลกสวย หาว่าเราไปคุกคามสื่อ สารพัด เลยเถิดไปว่าทำการที่กระทบต่อเสรีภาพของสื่อมวลชน ผมต้องกราบเรียนว่า ผมเป็นคนชอบพูดความจริง ไม่เสแสร้ง สื่อในไทยป็นสื่อที่ดี มีเสรีภาพ และมีอุดมการณ์ที่จะทำงานเป็นสื่อมวลชน แต่บังเอิญว่า บริษัทแล้วนั้น ที่สื่อสังกัด เป็นธุรกิจ เขาต้องคิดถึงเรื่องกำไรขาดทุน นักข่าวที่ลงมาทำข่าว พอส่งข่าวไปข้างใน เขาก็ตัดทอนข่าวเป็นอีกเรื่องนึง นายทุนก็มีเป้าหมายของตัวเอง มีเป้าที่จะทำกำไร มันจึงเข้าทางระบอบทักษิณ เพราะทางโน้นพร้อมจะให้ผลประโยชน์ไม่อั้นอยู่แล้ว ถ้ารับใช้เขา ความเป็นกลางของสื่อจึงได้เฉไฉออกไป ประชาชนมาชุมนุมกันเป็นล้าน แสดงออกซึ่งจตนรมณ์ชัดเจนว่า ไม่ยอมรับทักษิณอีกต่อไปแล้ว แต่สื่อเสนอข่าวให้จิ๊ดเดียว มีข่าวเฉลิม ยิ่งลักษณ์ จตุพร ยาวเหยียด"

"เราจึงจำเป็นต้องพูดคุยกับสื่อมวลชนเหล่านัน และสื่อที่มีผลต่อการรับรู้ของพี่น้องมากที่สุด คือฟรีทีวี เราจึงจำเป็นต้องเดินทางกันไป พบกับพี่น้องสื่อมวลชนเหล่านั้น ไม่ได้ไปคุกคาม แต่ไปขอให้เสนอข่าวของมวลมหาประชาชนบ้างได้ไหม อย่าปิดหูปิดตาคนทั้งประเทศ และสื่อมวลชนทั้งหลายเป็นพยานได้ เราพูดดีตลอด ไม่ได้แบกไม้แบกกระบองไป ไปขอความเห็นใจ แล้วจะโกรธเคืองอะไรหนักหนา หากท่านมีใจเอื้อเฟื้อ นำเสนอข่าวแถลงข่าวเรา เราก็ตื้นตันใจ กลับบ้านไม่ได้คุกคามอะไรต่อเลย"

"ที่พูดอย่างนี้เพราะผมเข้าใจดี เพราะคนติดยึดเรื่องนี้ ผมขอรับคำตำหนิ ทั้งหมดนี้ผมวางแผนและสั่งการเองคนเดียว เพราะว่าคนอย่างผม โดนมาเยอะแล้ว แถมอีกสักข้อก็ไม่หนักหนาเท่าไหร่ สื่อจะโกรธจะเกลียดไม่ชอบ ก็ขอโทษเถอะ ผมไม่ใช่คนยโส จบงานนี้ผมไม่เป็นนักการเมืองแล้ว หยุดแค่นี้"

 

สู้บนถนนรอบนี้ จะไม่กลับไปเล่นการเมือง และไม่กลับประชาธิปัตย์แล้ว

ตอนหนึ่งสุเทพกล่าวว่า "ผมสู้ในสภามา 35 ปี เห็นว่าการต่อสู้ในระบอบไม่ชนะทุนสามานย์ จึงมาสู้เพื่อพี่น้องประชาชน แพ้ชนะให้มันรู้กันคราวนี้ เมื่อตัดสินใจออกมาสู้บนถนน เคียงข้างพี่น้องทั้งหลาย ไม่คิดกลับไปสู้ในสภาอีกแล้ว เพราะไม่ต้องการให้ใครครหาว่าแพ้ในสภา ไปตีหัวข้างนอก แล้วไปเล่นในสภาอีก คนอย่างกำนันสุเทพ ไม่ทำอย่างนั้น"

"แล้วจะได้เบ็ดเสร็จกันเสียทีว่า เมื่อตัดสินใจออกมาทำงานให้พี่น้องประชาชนคราวนี้ ก็จะไม่สมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ไม่กลับไปพรรคประชาธิปัตย์แล้ว"

สุเทพกล่าวอีกครั้งถึงกรณีที่ไปยึดสถานีโทรทัศน์เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมาว่า "ถ้าสื่อมวลชนโกรธเคืองแล้วทำให้พวกท่านขุ่นเคืองใจ ผมยอมรับผิด ขอโทษ ขอให้ลงโทษผม ให้เข้าใจว่าผมไม่มีทางเลือกจริงๆ อยากให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศเข้าใจว่า มวลมหาประชาชนสู้กับอะไรอยู่ ถ้าเขาไม่รู้เลย ความทุ่มเทของประชาชนจะกลายเป็นอากาศธาตุ ระบอบทักษิณก็จะอยู่ต่อไป ดังนั้นถ้าท่านจะโกรธก็เข้าใจ เดินหน้ากันแล้ว ไม่ว่ากันอีก"

"แต่ถ้าท่านทั้งหลายที่เป็นสื่อมวลชน มีความเป็นธรรมกับเรา ให้พื้นที่ข่าวเรา เท่าๆ กับที่ให้รัฐบาล ผมจะไม่รบกวน รังควานท่านทั้งหลายต่อไป จะเคารพนับถือท่านที่เป็นสื่อมวลชน ผมขอแค่นี้ครับ"

 

ย้ำให้ข้าราชการต้องเลือกข้าง-ไม่มีเวลาให้คิดนานกว่านี้ และเชื่อว่ากองทัพไม่หนุนรัฐบาลแล้ว

สุเทพกล่าวด้วยว่า "วันนี้มีตัวแปรสองประการที่เกื้อหนุนระบอบทักษิณ คือสื่อมวลชน กับข้าราชการ เราได้พูดเรื่องสื่อมวลชนแล้ว เหลือแต่ข้าราชการ ผมต้องเรียนพี่น้องข้าราชการว่าต้องเลือกข้างได้แล้ว ว่าจะเลือกระบอบทักษิณหรือประชาชน ไม่มีเวลาให้คิดนานมากไปกว่านี้ เมื่อคืนผมก็ได้กราบเรียนพี่น้องว่าได้ไปพบกับคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พูดคุยกันต่อหน้า ผบ.สามเหล่าทัพ และผมได้กราบเรียนว่า ทหารเขาได้ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าเขาอยู่ข้างประเทศไทย"

"ที่พูดอย่างนี้ ส่งสัญญาณอย่างนี้ แต่ยังมีคนวอแว ข้องใจสงสัยอีก แปลผิดแปลถูกผมรับผิดชอบคนเดียวรัฐบาลหมดความชอบธรรมแล้ว แต่ยังอ้างว่ามีอำนาจอยู่ อีกคนหนึ่งคือผมคือตัวแทนมวลมหาประชาชน ตัวแทนอำนาจประชาชน คนที่นั่งต่อหน้าเขามีสองคน คนหนึ่งยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นรัฐบาลที่โมฆะหมดความชอบธรรมแล้ว แต่ยังอ้างว่ามีอำนาจอยู่ อีกคนหนึ่งคือผมซึ่งเป็นตัวแทนมวลมหาประชาชน เป็นตัวแทนอำนาจประชาชน เป็นของจริงอยู่ และจะดำรงอยู่ต่อไป ทหารทั้งหลายควรจะประกาศข้าง และโดยตัวบทกฎหมายเขาควรยืนยันว่าเขาอยู่ข้างรัฐบาล แต่เขาไม่พูดอย่างนั้น เขายืนข้างประเทศ หมายความว่าเขาไม่เอากับคุณยิ่งลักษณ์ ส่วนที่เขาไม่เอากับผม ผมไม่ติดใจ เพราะไม่ประกาศว่าอยู่ข้างผม ผมไม่ติดใจ แค่เขาประกาศว่าอยู่ข้างประเทศไทย ผมก็ชื่นใจแล้ว ผมมั่นใจว่าไม่ว่าเราจะทำอะไรต่อไป ทหารไม่มีวันหันปากกระบอกปืนมาหาประชาชนอย่างเด็ดขาด"

"แปลว่าในการต่อสู้ของมวลมหาประชาชนคราวนี้ เราไม่ต้องกลัวว่าทหารจะเป็นเครื่องมือของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ มาปราบปรามพวกเรา กล้าเอาหัวเป็นประกัน จากการตีความสนทนาที่ว่านั้น ทหารไม่ปราบปรามประชาชนแน่นอน"

 

แต่ที่ยิ่งลักษณ์อยู่ได้ เพราะยังมีตำรวจค้ำจุน ดังนั้นต้องยึดนครบาลให้ได้พรุ่งนี้

สุเทพปราศรัยต่อไปโดยเขาเชื่อว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์มีตำรวจสนับสนุน "แต่ที่ยิ่งลักษณ์ดื้อรั้นได้วันนี้ ก็คือตำรวจ "มหาต๋า" ผมเคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลตำรวจ ตำรวจส่วนใหญ่เป็นคนดี มีส่วนน้อยที่เลวมากเลวจัด เลวทุกวัน ตำรวจพวกนี้ที่สร้างปัญหาพวกนี้ที่ร่วมกับคนเสื้อแดง เสื้อดำ ฆ่านักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ผมได้แสดงความเสียใจกับครอบครัวกับนักศึกษาที่เสียชีวิตบาดเจ็บไปแล้ว เสียใจกับตำรวจที่ไม่ดูแลนักศึกษารามคำแหง ตำรวจยิงแก๊สใส่เราทุกวัน สองวันแล้ว ผมเห็นใจพี่น้องประชาชนมาก ไปหาตำรวจดีๆ ไปพูดกับเขาดีๆ ขอร้องเขาว่าออกมาอยู่ข้างประชาชนอย่ารับใช้ระบอบทักษิณ อย่าเป็นเครื่องมือรัฐบาล คำตอบที่ได้คือแก๊สน้ำตายิงทุกวัน"

"พี่น้องทั้งหลาย ไปให้มันยิงอีก ตัดสินใจแล้วครับพี่น้องครับ มันจะยิงแก๊สน้ำตากี่ลูกก็ตาม ต้องยึดกองบัญชาการตำรวจนครบาลให้ได้ รวมกำลังมวลมหาประชาชนทุกสายพรุ่งนี้ มุ่งไปยึดกองบัญชาการตำรวจนครบาลมาเป็นของประชาชน ให้ตำรวจเห็นว่าประชาชนว่ามือเปล่าอย่างเรา ไม่มีอาวุธ สามารถต่อสู้สมุนทรราชย์ที่ทำกับเราด้วยความรุนแรงและเอาชนะได้ พิสูจน์กันที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลพรุ่งนี้"

 

ลั่นหมดภารกิจขจัดระบอบทักษิณเมื่อไหร่จะไปมอบตัว ไม่หนีคดี

สุเทพอ้างว่ามีการเอาตำรวจมาซ่อนในสนามกอล์ฟใกล้เคียงกับศูนย์ราชการ เพื่อที่จะมาจับแกนนำ โดยเขาท้าว่า "มา ... มาเลย คราวนี้มาเลย อ้างว่าคืนนี้ได้หมายศาลสุเทพ เป็นกบฎ ถือหมายจะมาจับผมคืนนี้ ผมคืนนี้นอนที่นี่ มาจับเลย มาเลย จับได้จับไป ผมเข้าไปสู้คดี แล้วพี่น้องจะลุกขึ้นมาทำแทน ผมอายุ 64 เคยเป็นมาหมดทุกอย่างแล้ว เหลือแต่ยังไม่ได้เป็นนักโทษ แต่จะบอกตำรวจรู้นะ ว่าแม้จะรู้ว่า อาจจะมีโอกาสเป็นนักโทษ ติดคุก แต่คนอย่างสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่เหมือนายมึงที่หนีคุกไปต่างประเทศ"

"ถ้ากระเหี้่ยนกระหือรือจะเอาใจใน จะลุยมาจับก็ยินดี ถ้าไม่มาลุยจับ ถ้าผมหมดเรื่องยุ่งในการขจัดระบอบทักษิณ ผมพร้อมไปมอบตัว พิจารณาคดี ไม่หนีข้อหาแน่นอน ผมก็มานึกๆ นะพี่น้อง ตั้งแต่ทำงานต่อสู้กับพี่น้องมา 30 กว่าวัน ผมไม่ได้ทำอะไรรุนแรงเลย เพราะยึดมั่นในหลักการว่าเราจะต่อสู้สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ ผมยังไม่ได้ข่มขู่ประทุษร้ายใครเลย ไม่ได้บอกจะใช้กำลังประทุษร้าย แต่มันไปพลิกตำราตั้งข้อหากบฎได้ ก็มาสู้คดีกัน"

"ที่จริงเขาตั้งข้อหาเร็วไปหน่อย ผมกะว่าอีกไม่กี่วันจะเผด็จศึก ประกาศชวนพี่น้องทวงคืนอำนาจประชาชนจากรัฐบาลทรราชย์ให้ได้ ที่จริงถ้าอดใจรอวันนั้นก็ได้ตั้งข้อหากบฎอยู่ดี ผมรู้อยู่ว่าผมทำอะไร การจะต่อสู้ให้ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงพัฒนา จะกำจัดระบอบทักษิณถือดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้ทุกวันไม่มีวันชนะ ผมรู้อยู่แล้ว จะอาศัยพี่น้องมาเยอะแยะเป็นล้านๆ ทักษิณก็ไม่สะดุ้ง เพราะอยู่ดูไบ นั่งกินข้าว มีนักร้องเมืองไทยไปร้อง มีดาราป้อนข้าว ประชาชนนอนกลางดินกินกลางทราย ไม่เห็นหน้ามันเลย ที่สู้อยู่ลูกสมุนหมาต๋าทั้งนั้น"

 

ถ้าชุมนุมได้รับชนะ ยืนยันว่าจะปฏิรูปโครงสร้างตำรวจด้วย

"เพราะตำรวจลืมไปว่าประชาชนอย่างพวกเรา คือผู้บังคับบัญชาตัวจริง คือนายเขาตัวจริง แต่ตำรวจเลวๆ เหล่านั้นลืม คิดแต่โน่นนายมันนู่น พ่อมันนู่น ทำงานรับใช้ ตัวตายไม่คิด บอกตำรวจไว้เลย ถ้ามวลมหาประชาชนชนะคราวนี้ งานสำคัญการปฏิรูปคือปฏิรูปโครงสร้างตำรวจทั้งประเทศ"

"วันนี้ตำรวจทำตัวเป็นนายประชาชนก็ช่าง ถ้าชัยชนะเป็นของประชาชนเมื่อไหร่ ตำรวจต้องเป็นตำรวจประชาชนไม่มีทางได้เป็นสมุนทรราชย์ได้แล้ว จะจัดโครงสร้างใหม่ ถ้าจะได้ดี ประชาชนให้ ไม่ใช่พี่ให้อย่างทุกวันนี้"

สุเทพโน้มน้าวให้ตำรวจเปลี่ยนใจด้วยว่า "ที่จริงตำรวจดีๆ ควรตัดสินใจมาอยู่ข้างประชาชน เป็นตำรวจดี มีฝีมือ มีคุณธรรม ประชาชนใจกว้างจะสนับสนุนให้เติบโตในหน้าที่ราชการ ผมการันตีแทนประชาชนได้เลย ปรับโครงสร้างตำรวจเสร็จ ต่อไปจะเป็นนายร้อย นายพัน ผู้กำกับ ผู้การ ไม่ต้องวิ่งเต้น ไปต้องเอาเงินไปเซ่นแลกตำแหน่งอีกต่อไป ตำรวจดี ลูกคนจนจะได้เป็นนายพัน นายพลกับเขา ไม่เหมือนทุกวันนี้ ไม่มีเงินซื้อตำแหน่ง ไม่ได้เลื่อนยศ เป็นต้นเหตุให้ตำรวจรีดนา ทาเร้น" โดยสุเทพย้ำว่า "เรื่องนี้จะจบเมื่อเราชนะ"

 

ย้ำตำรวจให้รีบถอดเครื่องแบบมาร่วมกับ กปปส. และพรุ่งนี้จะปลดแอกตำรวจจากระบอบทักษิณ

สุเทพกล่าวด้วยว่า "จึงขอเรียนเชิญชวนตำรวจอีกครั้งหนึ่ง ฟังแล้วคิด สิ่งที่มวลมหาประชาชนเป็นความดี ประโยชน์ต่อชาติ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ถอดเครื่องแบบมารวมอยู่กับมวลมหาประชาชน ถ้าไม่ยอมถอดเครื่องแบบ เราจะไปถอดเอาจนได้พรุ่งนี้ บอกไว้ก่อนไม่ได้ไปด้วยการอาฆาตมาดร้าย ไม่ทุบตี จะไปปลดแอกตำรวจให้พ้นสภาพขี้ข้าระบอบทักษิณมาเป็นตำรวจประชาชนโดยสมบูรณ์แบบ แล้วไม่ต้องใส่ร้ายป้ายสี ได้ยิน พล.ต.อ.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบ.ชน. อยากยึดตำรวจนครบาลเมื่อไหร่ก็เชิญเลย อยากเผาก็เชิญเลย พี่น้องทั้งหลาย ต้องระวังให้ดี คำรณวิทย์มันตัวร้าย วันนี้ชุมพล จุลใส พาพี่น้องไป บช.น. วันที่สอง และถ้าปฏิบัติการต่ออีก 1 หรือ 2 ชั่วโมงยึดกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้แน่นอน ผมสั่งว่ามันค่ำแล้ว ถอยออกมาก่อน เข้าไปตอนค่ำๆ เกิดพี่น้องจุดไฟเผา แล้วมันจะมาป้ายสีเรา"

"วันนี้ผมจึงสั่งว่า คุณลูกหมี ถอนก่อน พรุ่งนี้ไปใหม่ ไปแต่เช้า ไปเช้าๆ ลงมือแต่เช้า เพราะฉะนั้นพี่น้องประชาชนที่ติดใจกองบัญชาการตำรวจนครบาล ทานอาหารแต่เช้ามืด เจ็ดโมงออกเดินทาง ขบวนรถพร้อม ไปด้วยกัน แล้วก็ต้องยึดกองบัญชาการตำรวจนครบาล สักบ่ายสามโมง จะได้เข้าไปตอนค่ำ ลูกน้องคำรณวิทย์เผาไม่ทัน เราก็ไล่ไปให้หมด ที่ต้องไปจัดการกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพราะมันมีฤทธิ์มีแรงมาก ประกาศตัวเป็นสมุนรับใช้ระบอบทักษิณ แล้วตำรวจนครบาล จะใช้เป็นเครื่องมือปราบปราม เราต้องไปก่อน ทำให้รู้ว่า ถ้าคิดปราบประชาชน คนมือเปล่าอย่างพวกเราก็ปราบคุณได้เหมือนกัน ทำให้ดู"

 

บอกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถ้าไม่รีบเปลี่นใจ ผู้ชุมนุมจะไปเยือนเช่นกัน

สุเทพกล่าวถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ย่าน ถ.พระราม 1 ว่า "ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คุณพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ซ้อมมาสองวันแล้ว วันหนึ่งก็ต้องจัดการเหมือนกัน เดี๋ยวดูก่อนว่าพรุ่งนี้มีกำลังขนาดไหน แต่บอกให้ท่าน ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบว่า ถ้าท่านไม่รีบตัดสินใจ ประกาศเข้าข้างประชาชน จำเป็นที่จะต้องเข้าไปในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ต้องการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเครื่องมือระบอบทักษิณอีกต่อไป"

"คือผมเรียนไว้ เครื่องมือที่รัฐบาลใช้ปราบปรามประชาชน เมื่อทหารไม่ยอม ก็มีแต่ตำรวจเท่านั้น เราจึงจำเป็นต้องปฏิบัติการกับตำรวจ เหลือแต่คุณโด่เด่แล้วนะ เราจำเป็นต้องจัดการกับคุณ วันข้างหน้าคุณจะแต่งเครื่องแบบเดินถนนไม่ได้อีกต่อไป คือจำเป็นครับ ต้องให้ตำรวจตระหนักว่าถ้าคุณตั้งตัวเป็นศัตรูประชาชน รับใช้ระบอบทักษิณ คุณไม่สามารถแต่งเครื่องแบบเดินถนนได้แล้ว คุณเจอประชาชนที่ไหน จะเดือดร้อนที่นั่น"

"แล้วอย่าคิดว่าประชาชนจะเป็นอาชญากร ไม่ใช่ เราจะทำอย่างนี้ (เป่านกหวีด) เห็นตำรวจแต่งเครื่องแบบเดินถนนเสร็จงานนี้ ถ้าเขาไม่เข้าข้างประชาชน เราจะเป่านกหวีดตั้งแต่หัวซอย ก้นซอย ออกถนนใหญ่ เป่าทุกแห่ง คือคนถ้าไม่คิดอยู่ข้างมวลมหาประชาชน ต้องเจออย่างนี้ เราจะทำอย่างสันติ อหิงสา แต่บอกให้รู้ว่าคุณเป็นศัตรูประชาชน รับใช้รัฐบาลทรราชย์ เจอเสียงนกหวีดเราให้ประสาทแตกไปเลย"

 

อัดตำรวจไม่ช่วย นศ.รามคำแหง จึงจะต้องจัดการ บช.น. เรียกร้องตำรวจหน่วยอื่นให้รีบเปลี่ยนใจ

สุเทพ ได้ปราศรัยตำหนิตำรวจว่า สงสัยว่าทำไมไม่ไปปกป้องนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ปล่อยให้ถูกฆ่าตาย ทำร้ายบาดเจ็บ ตำรวจนครบาลยิงแก๊สน้ำตาใส่ประชาชนบาดเจ็บ "เราจึงจำเป็นต้องจัดการกองบัญชาการตำรวจนครบาลในวันพรุ่งนี้ บอกให้สื่อเข้าใจเสียด้วย และถ้าตำรวจหน่วยอื่นไม่ว่าภูธรภาค 1 จากค่ายนเรศวร หรืออรินทราช คิดบังอาจจะยกกำลังปราบปรามประชาชน เราจะทำเช่นเดียวกับที่ทำกับตำรวจนครบาล"

"พี่น้องทั้งหลาย นอกจากตำรวจจะต้องตัดสินใจเลือกข้างแล้ว ก็ต้องย้ำกับพี่น้องข้าราชการทั้งหลาย ตัดสินใจได้แล้ว พูดกันไปหมดแล้วปากเปียกปากแฉะ เห็นชัดๆ ว่ารัฐบาลแพ้ประชาชนแน่นอน ไม่งั้นนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ไม่ดิ้นทั้งวันทั้งคืนแบบขณะนี้"

 

จวกยิ่งลักษณ์ซื้อเวลา ลั่นไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด และจะไม่เจรจาเพราะผู้ชุมนุมไม่ทนระบอบทักษิณแล้ว

สุเทพเล่าถึงการพบกับยิ่งลักษณ์เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. อีกรอบด้วยว่า "เมื่อคืนเจอกับผม ตอบอะไรไม่ได้ บอก 'ขอไปคิดก่อน' ผมรู้ คิดไม่เป็นหรอก สมองนิ่มๆ อย่างเธอคิดเองไม่ได้ คนคิดอยู่ดูไบ วันนี้ออกมาจีบปากจีบคอแถลงการณ์อีกแล้ว สื่อออกหมดทุกช่อง รวมทั้งช่อง 9 ช่อง 11 ไม่ออกแถลงข่าวของเรา จดใส่บัญชีไว้ก่อน เจอสุเทพและมวลมหาประชาชนแน่นอน ที่พูดไม่ได้ข่มขู่นะ แต่อาฆาตไม่ลืมก็แล้วกัน นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ออกแถลงการณ์ไม่มีสาระที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศ มีแต่ซื้อเวลาไปวันๆ พูดว่าไงครับ ดิฉันไม่ติดใจ ไม่ติดยึด ยุบสภาก็ได้ ลาออกก็ได้"

"แต่ว่าพวกนี้ใครจะเชื่อมันก็แล้วไป ผมไม่เชื่อ ไม่มีวันที่คนพวกนี้จะรักคนไทย รักประเทศไทย เหมือนพี่น้องประเทศไทยรักคนไทย และรักประเทศไทย"

สุเทพ กล่าวด้วยว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แต่หลอกลวงผู้ชุมนุมไปวันๆ "เมื่อคืนผมไปเจอ ผมถึงบอกว่า มาเพราะเกรงใจ ผบ.สามเหล่าทัพ ไม่ต้องการมาเจรจาอะไรกับนายกรัฐมนตรีทั้งสิ้น ผมมาบอกว่าประชาชนเขาไม่ทนกับระบอบทักษิณอีกต่อไปแล้ว ต้องออกไป ผมอยากให้พี่น้องที่เคารพ ตั้งสติให้มั่น คิดให้แน่นอน ว่าที่ออกจากบ้านมานอนกลางดิน กินกลางทราย ตากแดดตากฝน ต้องการอะไร ตอบตัวเองให้ได้ อย่าวอกแวก ผมถามหลายครั้งหลายหน ว่ามาต่อสู้คืออะไร พี่น้องตอบว่าต้องการขจัดระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยใช่ไหมพี่น้อง"

"ผมฟังเสียงพี่น้องแบบนี้ไง ถือเป็นลูกยุ ลูกยอ เลยลุยเต็มที่จนกลายเป็นขบถ ผมเรียนกับพี่น้อง ผมเชื่อพี่น้องประชาชนผมมอบหัวใจให้พี่น้องประชาชนไม่มีข้อเคลือบแคลง พี่น้องบอกว่าต้องต่อสู้เพื่อขจัดระบอบทักษิณ ผมเอาชีวิตเดิมพัน ตายเป็นตาย สู้ให้ได้ ให้ประชาชนชนะให้ได้"

 

ถ้ายุบสภา เลือกตั้งใหม่ ระบอบทักษิณจะกลับมาเหมือนเดิม จึงขอยืนหยัด-ไม่ฟังพวกโลกสวย

"และเพราะผมถือว่าเสียงพี่้น้องคือคำสั่งศักดสิทธิ ผมต้องอุทิศตัว จึงจะเดินหน้าต่อสู้ เพราะฉะนั้นถ้าวันสองวันนี้รัฐบาลยุบสภา ผมนำพี่น้องสู้ต่อไปอย่าว่าผมไม่รู้จักพอ เพราะถึงเลือกตั้งใหม่ ซื้อเสียงได้ โกงได้ มันก็กลับมาเป็นรัฐบาลปกครองใหม่ สูบเลือดสูบเนื้อ ปล้นประชาชนต่อไป ไม่เคารพรัฐธรรมนูญ เป็นวัฏจักรอย่างนี้ เราก็เป็นขี้ข้าต่อไป"

"ผมประกาศไว้เลยครับ ผมยืนหยัดอย่างนี้ไม่ว่าพวกโลกสวยจะด่าอย่างไร ผมฟังเสียงพี่น้อง ถ้าพี่น้องกลับบ้านหมด พอใจไปเลือกตั้ง เหลือผมคนเดียว ผมก็เดินไปเข้าคุก ข้อหากบฎคนเดียว เพราะว่ารัฐบาลนี้เปิดประตูคุกรอผมอยู่แล้ว ด้วยข้อหาเยอะแยะไปหมด เช่นเดียวกันครับ ถ้าอยู่ๆ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ลาออก พี่น้องประชาชนบอกชนะแล้วกลับบ้าน ถึงลาออกมันยังรักษาการณ์เป็นนายกรัฐมนตรีจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ และไม่ใช่รัฐบาลประชาชนแน่นอน"

"ที่น่ากลัวกว่านั้น เมื่อวานหรือวันนี้ผมจำไม่ได้ เขาปลดประชา พรหมนอกออกแล้ว จาก ผอ.ศอ.รส. แล้วตั้งสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็น ผอ.ศอ.รส. ไอ้นี่สายตรงดูไบเลย แล้วบ้าที่สุด เพราะฉะนั้นแม้ยิ่งลักษณ์ลาออกไปต่างประเทศเลย ไอ้สุรพงษ์จะเป็นตัวตายตัวแทน รับคำสั่งมาจัดการกับเราต่อไป พี่น้องจับตาเอาไว้"

 

ลั่นจะลุยให้สุดไม่หยุดกลางทาง และไม่อยากเห็นภาพยิ่งลักษณ์กล่าวนำถวายพระพรฯ

"ผมถึงกราบเรียนพี่น้องว่า ตั้งใจให้มั่น คุมสติตัวเองให้ดี ถามใจตัวเองให้ดี สู้เพื่ออะไร สู้ไปถึงไหน ผมไม่หว่านล้อม ไม่ชักจูงพี่น้องทั้งสิ้น ถ้าพี่น้องให้ผมไปที่สุดผมจะไม่หยุดกลางทาง ให้พี่น้องตัดสินใจเอาเอง ที่ต้องพูดกับพี่น้องเปิดใจกันอย่างนี้ มันกำลังโอบล้อม กดดันให้ผมรับเงื่อนไขรัฐบาล ผมประกาศเลยว่าผมไม่รับ ให้เป็นเรื่องของพี่น้องสั่งผม ผมมีหน้าที่อย่างเดียว รับคำสั่งพี่น้อง แล้วทำให้ดีที่สุด ทำให้ถึงที่สุด เป็นอย่างไรเป็นกัน ผมเดินของผมทะลุทะลวงเรื่อยๆ"

"และพี่น้องทั้งหลายครับ ผมก็ต้องเรียนพี่น้องว่าเคยคิดว่าจะจัดการรัฐบาลนี้ให้สำเร็จให้ได้ก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษา เพราะผมเห็นยิ่งลักษณ์กล่าวนำถวายพระพรมันบาดหัวใจผมมาก ผมไม่อยากเห็น แต่ว่าถ้ายังจัดการตำรวจไม่เรียบร้อย วันที่พี่น้องลุกขึ้นทวงอำนาจคืน จะมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายมาก เพราะผมเคยเห็นฤทธิ์เดช จัดการตำรวจให้ราบคาบ เมื่อทหารไม่ยุ่งด้วย ตำรวจหมดแรง เหลือแต่ยิ่งลักษณ์ ไม่รู้ใครเป็นใครกันแน่ ทีนี้แหละ ผมขอถือโอกาสนี้ กราบขอบพระคุณบรรดานักเรียน นักศึกษา คุณครูอาจารย์ทุกมหาวิทยาลัยที่ได้ร่วมมือกับมวลมหาประชาชนหยุดการเรียนการสอน หยุดราชการจนกว่าประชาชนจะชนะ"

"และก็ถือโอกาสกราบขอบพระคุณพี่น้องสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวการต่อสู้ของประชาชน ทุกช่อง โดยเฉพาะที่ผมจับตาอยู่คือคุณสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ช่องสาม วันนี้เสนอข่าวดีมาก คนอย่างเราใจนักเลงครับพี่น้อง เมื่อทำไม่ดี เราด่าเขา เวลาเขาทำดี เราก็กล้าชมเขา"

 

จะต่อสู้จนกว่าจะมีประชาธิปไตยที่ไม่มีทุนสามานย์ และย่้ำไม่มีที่ตรงกลาง จะต้องเลือกระหว่างชั่วหรือดี

สุเทพกล่าวว่า กปปส. จะต่อสู้จนกว่าจะมีระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่บริสุทธิ์เป็นประเทศที่มีกษัตริย์เป็นประมุข ไม่มีนายทุนสามาย์ เผด็จการนายทุนมาหากำไรสูบเลือดสูบเนื้อคนไทย มาเถอะครับ รีบมา มาเสียในโอกาสนี้ เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายคนชั่ว กับคนดี ไม่มีที่ตรงกลางให้ท่านยืน ต้องเลือกว่าจะเอาชั่วหรือดี"

สุเทพ ได้เชิญชวนเพื่อนนักการเมืองของเขาให้เลือกข้างด้วย "ขณะนี้ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างพรรคการเมือง เป็นการต่อสู้ระหว่างเผด็จการทรราชย์นายทุน กับประชาชนทั้งประเทศไทย เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายคนชั่วกับฝ่ายคนดีเพราะฉะนั้นไม่มีที่ตรงกลางให้ท่านยืน ต้องเลือกข้างยืนว่าจะเอาชั่วหรือว่าเอาดี บรรดาเพื่อนนักการเมืองทั้งหลาย ทั้งที่เคยร่วมงานกัน ทั้งที่เคยคบค้าสมาคมกัน ผมสุเทพ เทือกสุบรรณขอประกาศว่าถ้าจะคบพวกผม ต้องมาคบแต่ตอนนี้ พ้นกำหนดนี้ไม่ต้องมาคบกันอีกต่อไป"

"ทั้งนี้เป็นโอกาสเดียวที่นักการเมืองจะต้องเลือกข้างดี ช่วยกันคิดอ่านทำบ้านเมืองให้เจริญไม่ต้องลอยตัว คิดเห็นเหมือนกันให้แสดงตัวออกมา ในอนาคตก็คบกันได้ ไม่มาคราวนี้ก็ตัดญาติกัน เพราะคบกันไปก็ไร้ประโยชน์"

"ส่วนตำรวจมาได้แล้วครับ ถ้าท่านแสดงจุดยืนอยู่ข้างประชาชน พิทักษ์รักษาประชาชนให้อยู่รอดปลอดภัย เป็นตำรวจอาชีพให้เปรียบไปถึงพี่น้องข้าราชการตำรวจอื่นๆ มาตั้งแต่ตอนนี้แล้ว"

 

ย้ำกับผู้ชุมนุมจะยึด บช.น. แบบเล่นบทพระเอก และขอให้ กปปส. ในต่างจังหวัดทำงานประสานกัน

"ผมต้องกราบเรียนพี่น้องมวลมหาประชาชนที่รักท่านต่อสู้มาด้วยความอดทน ด้วยความมุ่งมั่น ผมเห็นอยู่ตลอดเวลา เพราะผมกินนอนอยู่กับท่าน ผมอยากให้ท่านรักษาความแน่วแน่มั่นคงในแนวทางต่อสู้ อดทนต่อไป แม้ว่าเราต้องไปปฏิบัติภารกิจที่ยาก ลำบาก ท้าทาย แต่ต้องยึดหลักให้มั่นว่าจะต่อสู้สันติ ไม่มีอาวุธไม่ใช้ความรุนแรง ต้องยึดให้มั่น เพราะผมกลัวถูกยิงแก๊สน้ำตา แล้วอย่าเอาหนังสติ๊กไปยิง ต้องเล่นบทพระเอกนะครับ เพราะเราเกิดมาเป็นพระเอก ไม่ใช่ผู้ร้าย"

"ถือโอกาสกราบเรียนพี่น้องต่างจังหวัดไม่ว่าท่านจะอยู่ในเครือข่ายองค์กรประชาชนหน่วยไหน โปรดรวมตัวกันเป็น กปปส. จังหวัดนั้นๆ เราจะได้ทำงานเชื่อมประสานกัน ท่านเข้าไปควบคุมพื้นที่ศาลากลาง ท่านไปจัดเดินขบวนรอบศาลากลางในตลาดให้ประชาชนตื่นตัวลุกขึ้นร่วมกันต่อต้านระบอบทักษิณ เราจะทำงานประสาน และถ้าเราต่อสู้ได้สำเร็จ เราจะจับมือกันทั้งคนต่างจังหวัด คนกรุงเทพฯ สร้างประเทศด้วยมือของเราในนาม กปปส. ทำงานประสานกันรบระบอบทักษิณทุกหัวระแหง รบทุกแนวจนชนะให้ได้ นี่คือสิ่งที่เราจะทำด้วยกัน"

"ผมขอร่วมแรงร่วมใจกับพี่น้อง แล้วก็ตั้งเป้าอย่างเดียว ชัยชนะของประชาชนและเราจะต้องฉลองชัยชนะด้วยกันให้ได้ในเร็ววันนี้ ไม่นานเกินรอ" สุเทพกล่าวในที่สุด

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทปอ. เสนอยุบสภา ตั้งรัฐบาลกลาง ชี้นายกฯ ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง

Posted: 02 Dec 2013 07:20 AM PST

 
2 ธ.ค.2556 เว็บไซต์แนวหน้า รายงานว่า ที่อาคารจามจุรี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) วาระพิเศษเพื่อหารือถึงสถานการณ์ทางการเมือง รวมถึงมีการหารือถึงการประกาศปิดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โดยมี ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ในฐานะประธาน ทปอ.เป็นประธานประชุมร่วมด้วย 27 มหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิก โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
 
โดย ศ.ดร.สมคิด กล่าวภายหลังประชุมว่า ที่ประชุมได้ออกแถลงการณ์ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 4 ว่า ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศได้เข้าสู่ความไม่สงบ เกิดการปะทะในหลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร จนมีผู้เสียชีวิตและมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ทปอ.เสียใจต่อและยืนยันเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนอรงเพื่อไม่ให้ประเทศชาติสูญเสียไปมากกว่านี้
 
นอกจากนี้ ทปอ.ขอประณามเหตุความรุนแรงในมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ม.ร.) ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของ ทปอ.จึงเรียกให้สถาบันการศึกษาเป็นที่ที่พึงได้รับความคุ้มครองและรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่จากหน่วยงานของรัฐ และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องค้นหาความจริง เพื่อดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิด
 
ศ.ดร.สมคิด กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ทปอ.ยังเห็นว่าการยุบสภาเป็นกระบวนการตามระบอบประชาธิปไตยที่มีความเหมาะสมในขณะนี้เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย ด้วยการคืนอำนาจการตัดสินใจให้กับประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ตามถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี ที่พร้อมจะไม่ทำตัวเป็นเงื่อนไขในการทำให้กลับคืนสู่ความสงบ และในระหว่างยุบสภาให้มีรัฐบาลรักษาการที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายมาบริหารประเทศ รวมทั้งตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางจากทุกภาคส่วนเพื่อปฏิรูปประเทศไทยทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่มีคุณธรรมและมีส่วนร่วมในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทปอ.พร้อมและยินดีที่จะใช้องค์ความรู้และบุคลากรที่มีอยู่ของมหาวิทยาลัยให้ความร่วมมือกับทุกฝ่ายที่จะร่วมกันพิจารณาหาทางออกให้แก่ประเทศ
 
"หากมีการยุบสภา รัฐบาลสามารถลาออกจากตำแหน่งและให้มีรัฐบาลกลางเกิดขึ้น เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้บังคับว่านายกฯ จะต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่นายกฯ อาจจะเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อนำพาประเทศให้ก้าวข้ามเหตุการณ์ปัจจุบันไปได้ ซึ่งการดำเนินการลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยที่พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม ทปอ.พร้อมเป็นคนกลางในการเจรจาประสานความเข้าใจ ซึ่งหากมีคนเชิญให้ทปอ.ก็ยินดีเพราะเรามีนักวิชาการ มีความรู้ความสามารถจำนวนมาก  แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีใครรับฟังหรือไม่ ซึ่งถ้าจะเชิญก็ขอให้รับฟังข้อเสนอของ ทปอ.ด้วย" ศ.ดร.สมคิด กล่าว
 
ประธาน ทปอ.กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมยังหารือกรณีที่นักศึกษาของ ม.รามคำแหง ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการปะทะที่ผ่านมา โดยมีมติมอบเงินจำนวน 300,000 บาท เพื่อให้อธิการบดี ม.ร.นำไปบริหารจัดการให้ความช่วยเหลือนักศึกษา รวมทั้งจะเดินทางไปเยี่ยมนักศึกษาที่ได้รับบาดเจ็บด้วย ส่วนข้อเสนอที่จะให้มีการปิดเรียนวันที่ 5 - 10 ธันวาคมนั้น ที่ประชุมไม่ได้มีการหารือเพราะขณะนี้มหาวิทยาลัยหลายแห่งก็ปิดเรียนอยู่แล้ว
 
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ขึ้นเวทีของผู้ชุมนุมที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน โดยส่วนตัวมองว่านายจาตุรนต์ ควรจะไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือดูแลนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม กรณีนี้หากเป็น รัฐมนตรีอื่นขึ้นเวทีและไม่ไปเยี่ยมคงไม่เป็นไร แต่นี่เป็น รมว.ศึกษาธิการ น่าจะดูแลนักศึกษาและแถลงจุดยืนที่ชัดเจนแก่มหาวิทยาลัยทั้งหมด
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แม่ยันกระดูกลูกชายในบัสถูกเผาหน้ารามฯ ขณะที่ปะทะ บช.น.เจ็บ 78

Posted: 02 Dec 2013 06:15 AM PST

แม่ยืนยันโครงกระดูกในรถบัสที่ถูกเผาที่ ม.รามฯ เป็นลูกชายจริงหลังพบแหวนประจำตัว ขณะที่ศูนย์เอราวัณรายงานตัวเลขผู้บาดเจ็บจากการปะทะที่ บช.น.จำนวน 78 ราย

2 ธ.ค.2556 เวลา 16.00 น. ศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉินกรุงเทพมหานคร (ศูนย์เอราวัณ) สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร รายงานตัวเลขผู้บาดเจ็บเหตุการณ์ปะทะของผู้ชุมนุมต้านระบอบทักษิณ หรือ กปปส. กับเจ้าหน้าที่บริเวณ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) จำนวน 78 ราย

แม่ยืนยันโครงกระดูกในรถบัสที่ถูกเผาที่ ม.รามฯ เป็นลูกชายจริง

ขณะที่เหตุปะทะบริเวณมหาวิทยาลัยรามคำแหงและราชมังคลากีฬาสถานเมื่อคืนวันที่ 30 พ.ย. ต่อ วันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น ครอบครัวข่าว 3 รายงานว่า พลตำรวจเอก เอก อังศนานนท์ พร้อมด้วย พลตำรวจเอกจรัมพร สุระมณี รอง ผบ.ตร. เรียกประชุมคณะทำงานชุดคลี่คลายคดีปะทะดังกล่าวหลังมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 คน เป็นพลทหารเสียชีวิตที่โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยล่าสุดมียอดผู้เสียชีวิตจำนวน 5 คน ได้รับบาดเจ็บ 29 คน โดยได้วางแนวทางในการทำงานเพื่อพิสูจน์ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำความผิด โดยได้แบ่งสำนวน เป็น 5 สำนวน และกรณีเผารถบัสอีก 1 สำนวน ในส่วนคดีอื่นๆ โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจะแยกตามฐานความผิด โดยได้ประสานสำนักงานกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ในการตรวจสอบวัตถุพยานอย่างเร่งรัด ซึ่งได้แบ่งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานทั้งชุดตรวจที่เกิดเหตุ ตรวจวิถีกระสุน และตรวจ ดีเอ็นเอ. เพื่อความรวดเร็ว

พลตำรวจเอกจรัมพร เปิดเผยว่าจากการตรวจที่เกิดเหตุเบื้องต้น โดยเฉพาะผู้เสียชีวิต คือ นายวิโรจน์ ถูกยิงบริเวณใกล้ประตู N ถูกยิงมาจากมุมสูง ในขณะที่นายวิษณุ ถูกยิงบริเวณประตูหน้าในวิถีราบ สำหรับศพที่พบในรถบัสเบื้องต้นเป็นชาย สภาพการเสียชีวิตสันนิษฐานว่าพยายามที่จะลงมาด้านล่างแต่เกิดสำลักควัน เนื่องจากสภาพศพคว่ำหน้าลงมาด้านล่าง รวมทั้งวัตถุพยานที่พบ

ล่าสุดนางนฤมล คำพยัคฆ์ได้มาดูหลักฐานจากแหวน และหัวเข็มขัดยืนยันว่าเป็นศพนายสุรเดช คำแปงใจ อายุ 17 ปี ลูกชายของตนเอง ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างตรวจดีเอ็นเอเพื่อยืนยัน เว็บไซต์เรื่องเล่าเช้านี้รายงานเพิ่มเติมว่า นางนฤมล มาให้ปากคำกับตำรวจด้วยว่าน่าจะเป็นศพลูกชายตนเอง และทราบข่าวจากเพื่อนบ้านที่ได้ชมรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ไม่ว่าจะเป็นซากเคสเครื่องโทรศัพท์ หัวเข็มขัด กุญแจบ้านเมื่อมาดูแล้วเป็นของลูกช้ายจริง และเมื่อค้นหาในที่เกิดเหตุยังพบแหวนหัวมังกรที่ลูกตนเองสวมไว้เป็นประจำจึงยิ่งมั่นใจ

มติชนออนไลน์รายงานว่า นางนฤมล กล่าวว่า ช่วงเช้า วันที่1 ธันวาคมที่ผ่านมา นายสุรเดชโทรศัพท์มาบอกตนว่า จะออกไปกินข้าวกับเพื่อน เเล้วหายไปเลย กระทั่งเห็นข่าวจึงสงสัยว่าจะเป็นลูกชาย จึงมาเเจ้งความคนหาย พร้อมขอดูหลักฐาน ก่อนจะเเน่ใจว่าเป็นลูกชายตนเองนั่นเอง

นายสุทธิ เฟ็นดี้ อายุ 18 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ของเทคโนโลยีบางกะปิ เพื่อนของผู้ตาย กล่าวว่า ทราบจากเพื่อนที่ชื่อนายเบนซ์ ว่าเวลา 12.00 น. วันที่ 1 ธันวาคม ชักชวนผู้ตายไปซื้อของ โดยขี่รถจักรยานยนต์จากซอยเอกมัย 30 มายังบริเวณหน้าสนามราชมังคลากีฬาสถาน จากนั้นเพื่อนทั้งสองโดนระเบิดปิงปอง เเละไม่สามารถหาทางกลับออกไปจากจุดเกิดเหตุได้ จึงมาจอดรถบริเวณที่รถบัสคันดังกล่าวจอดอยู่ ก่อนจะเจอกลุ่มนักศึกษาไม่ทราบสถาบันอยู่บริเวณนั้นชักชวนขึ้นไปบนรถบัส จากนั้นนายเบนซ์เล่าว่าไม่นานได้ยินเสียงคนตะโกนว่าไฟไหม้รถ จึงรีบกระโดดลงมา เเละพลัดหลงกับผู้ตาย จนกระทั่งวิ่งมาเจอตนที่กำลังขับวินอยู่ จึงยืมโทรศัพท์โทรหาผู้ตาย เเต่โทรไม่ติด เช่วงนั้นเป็นช่วงชุลมุน จึงเเยกย้ายกันกลับบ้าน ก่อนที่เเม่ผู้ตายจะมาชวนให้มาที่สน.หัวหมากเพื่อเเจ้งความว่าผู้ตายหายไป

คนขับรถบัสรับส่งเสื้อแดงระบุถูกกลุ่มชายฉกรรจ์จี้บังคับ ก่อนไฟไหมและพบซากกระดูก
 
วันนี้เมื่อ 08.28 น. Nation Channel รายงานด้วยว่า คนขับiรถบัสคันดังกล่าวเข้าแจ้งความ พร้อมระบุได้ขับรถมาส่งคนเสื้อแดงเข้าร่วมชุมนุม ก่อนถูกชายฉกรรจ์จี้บังคับจนมาประสบเหตุไฟไหม้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 26 พ.ย. - 2 ธ.ค. 2556

Posted: 02 Dec 2013 06:09 AM PST

"สปส." เปิดทางเลือกที่ 3 รับ "แรงงานนอกระบบ"

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดตัวการขยายความคุ้มครอง มาตรา 40 ทางเลือกที่ 3 ที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) จ.นนทบุรี

นายจีรศักดิ์เปิดเผยว่า ประกันสังคมทางเลือกที่ 3 จะให้สิทธิประโยชน์เฉพาะกรณีชราภาพเท่านั้น โดยผู้ประกันตนจ่าย 100 บาท รัฐบาลสมทบ 100 บาท รวมเป็นเดือนละ 200 บาท และสามารถส่งเงินออมเพิ่มเติมได้ไม่เกิน 1,000 บาทต่อเดือน หากจ่ายเงินสมทบอย่างน้อย 420 เดือน จะได้รับเป็นเงินบำนาญชราภาพ แต่หากจ่ายเงินสมทบน้อยกว่า 420 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จพร้อมผลประโยชน์ตอบแทนตามที่ สปส.ประกาศในแต่ละปี

"สำหรับเงินกรณีชราภาพนั้น ผู้ประกันตนจะได้รับเมื่ออายุ 60 ปีบริบูรณ์ และไม่ประสงค์เป็นผู้ประกันตนอีกต่อไป ซึ่ง สปส.จะเริ่มเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคมนี้ โดยขณะนี้ สปส.ได้เตรียมระบบคอมพิวเตอร์สำหรับการขึ้นทะเบียน รับชำระเงินสมทบ และจ่ายประโยชน์ทดแทนไว้เรียบร้อยแล้ว และจะให้สำนักงานประกันสังคม ซึ่งมีสาขาจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้ และจะจัดรถโมบายลงไปให้ความรู้ตามชุมชน รวมทั้งประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ของ สปส. ด้วย ซึ่ง สปส.จะขยายจำนวนผู้ประกันตน มาตรา 40 จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณกว่า 1.5 ล้านคน ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อขยายความคุ้มครองไปสู่แรงงานนอกระบบให้มากที่สุด โดยคาดว่าปี 2557 จะขยายความคุ้มครองประกันสังคม มาตรา 40 ทุกทางเลือกได้ทั้งหมด 2 ล้านคน" นายจีรศักดิ์กล่าว และว่า สปส.จะรับสมัครผู้ประกันตน มาตรา 40 ทางเลือกที่ 3 เป็นระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลบังคับใช้ คือ ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2556 จนถึงวันที่ 8 ธันวาคม 2557

นายจีรศักดิ์กล่าวอีกว่า ในระยะเวลา 1 ปีนับจากนี้ เปิดให้แรงงานนอกระบบที่อายุระหว่าง 15-65 ปี สมัครได้ทุกทางเลือก โดยทางเลือกที่ 1 จ่ายเดือนละ 100 บาท ผู้ประกันตนจ่ายเอง 70 บาท และรัฐบาทสมทบ 30 บาท ได้รับสิทธิประโยชน์ คือ เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ค่าทำศพ ทางเลือกที่ 2 จ่ายเดือนละ 150 บาท ผู้ประกันตนจ่าย 100 บาท รัฐบาลสมทบ 50 บาท ได้รับสิทธิประโยชน์ทั้ง 3 กรณี และเพิ่มกรณีเงินชราภาพ แต่สำหรับผู้ที่อายุเกิน 65 ปี จะสมัครได้เฉพาะทางเลือกที่ 3 เท่านั้น หลังจากนั้น นับจากวันที่ 9 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป จะรับสมัครเฉพาะผู้ที่มีอายุ 15-60 ปีเท่านั้น โดยคาดว่าจะมีผู้สมัครเข้าประกันสังคม มาตรา 40 ทางเลือกที่ 3 ประมาณ 600,000 คน

ด้านนายอารักษ์ พรหมณี รองเลขาธิการ สปส. กล่าวว่า สปส.เตรียมเสนอคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ และรัฐบาล เปิดช่องให้ผู้ประกันตนที่เกษียณอายุจากการทำงาน และมีอายุ 60 ปี ซึ่งได้รับเงินบำนาญจาก สปส.แล้วส่วนหนึ่ง ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอีกทางหนึ่งด้วย เบื้องต้นได้หารือกับคณะอนุกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) ต่างเห็นด้วยกับข้อเสนอของ สปส. แต่ยังมีความกังวลว่าจะขัดต่อระเบียบ มท.ว่าด้วยการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่นหรือไม่ หากไม่ขัดระเบียบจะทำให้ผู้ประกันตนที่เกษียณอายุมีเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำ วันมากขึ้น เนื่องจากเงินบำนาญที่ สปส.จ่ายให้ผู้ประกันตน คือ ต่ำสุดเดือนละ 720 บาท สูงสุดเดือนละ 3,000 บาท และได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพิ่มอีกเดือนละ 600 บาท

(ประชาชาติธุรกิจ, 26-11-2556)

เคาะบรรจุลูกจ้าง สธ.เป็น ขรก.ปี 57 ได้ 8.9 พันราย

(26 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มลูกจ้างชั่วคราวสายวิชาชีพ 25 สายงาน จำนวนประมาณ 500 คน นำโดย นายวัฒนะชัย นามตะ ประธานชมรมสหวิชาชีพกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เดินทางมาเรียกร้องให้ผู้บริหาร สธ.จัดสรรตำแหน่งการบรรจุข้าราชการอย่างเป็นธรรม โดยมีการกำหนดสัดส่วนในแต่ละวิชาชีพอย่างเท่าเทียม ระหว่างก่อนเริ่มการประชุมพิจารณากรอบอัตรากำลังการบรรจุข้าราชการ
      
นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัด สธ.กล่าวภายหลังการประชุมว่า ผลการหารือมีข้อตกลงร่วมกัน 3 ประเด็น คือ 1.การจัดทำกรอบอัตรากำลังบุคลากรภาพรวมทั้งหมดเพื่อนำเสนอที่ประชุม ครม.ในการกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่ในปีงบประมาณ 2557 โดยขอให้คิดจากภาระงานของแต่ละวิชาชีพ ตามแผนพัฒนาระบบบริการและฐานประชากรร่วมด้วยเป็นหลัก 2.การคัดเลือกบรรจุ ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ.กำหนด โดยให้พิจารณาตามอายุงานของการจ้างงานตั้งแต่ปี 2553 ลงมา โดยในปีงบประมาณ 2557 จะสามารถบรรจุลงตำแหน่งข้าราชการได้ทั้งหมด 8,908 คน ซึ่งจะเร่งดำเนินการให้เสร็จก่อนสิ้นปี 2556 เพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับเจ้าหน้าที่ และ 3.การเตรียมการเพื่อจัดสรรตำแหน่งและการบรรจุเข้ารับราชการในปีงบประมาณ 2558 โดยกำหนดให้มีตัวแทนวิชาชีพๆละ 2 คน เข้าร่วมพิจารณาหลักเกณฑ์ด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และความโปร่งใส
      
นายวัฒนะชัย กล่าวว่า ข้อสรุปเป็นที่น่าพอใจ โดย สธ.รับปากจะดูแลจนถึงปี 2553 อย่างไรก็ตาม ในการเรียกร้องครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชมรมแพทย์ชนบท หรือการชุมนุมเวทีใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการเรียกร้องในส่วนของบุคลากร สธ.เท่านั้น

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 26-11-2556)

กพร.ลงนามร่วม มสธ. สอนภาษาผ่านดาวเทียมให้แรงงานไทย

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่ชั้น 10 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงานมีพิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง กพร.กับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) ในการจัดอบรมฝึกทักษะภาษาทางไกลผ่านระบบดาวเทียมในหลักสูตรภาษาต่างประเทศ

นายนคร ศิลปะอาชา อธิบดี กพร. กล่าวภายหลังการลงนามว่า กพร.ได้ร่วมกับ มสธ.จัดอบรมทักษะภาษาอังกฤษและภาษาจีนผ่านระบบการเรียนการสอนทางไกล เพื่อเตรียมความพร้อมแรงงานไทยในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ซึ่งหลักสูตรภาษาอังกฤษที่จัดอบรมมีทั้งหมด 10 สาขาอาชีพ อาทิ การท่องเที่ยวและโรงแรม พยาบาล เกษตร เป็นต้น โดยจะเริ่มเปิดอบรมทางไกลทั้ง 2 ภาษาช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้

"หลังจากอบรมไปแล้ว หากพบว่าแรงงานมีปัญหาในเรื่องของทักษะภาษาอังกฤษ ก็จะเชิญอาจารย์จาก มสธ.มาอบรมเพิ่มเติมให้แก่แรงงานเพื่อให้มีทักษะที่ดีขึ้น รวมทั้งจะรวบรวมความต้องการของแรงงานในการเรียนรู้เพิ่มเติมด้านภาษา เพื่อให้ มสธ.จัดทำหลักสูตรและอบรมให้แก่แรงงาน" นายนครกล่าว

รศ.ชัยเลิศ พิชิตพรชัย อธิการบดี มสธ. กล่าวว่า มสธ.จะจัดการเรียนการสอนฝึกอบรมภาษาอังกฤษและภาษาจีนผ่านระบบการเรียนการสอน ทางไกล โดยผ่านสถานีโทรทัศน์ Stou Channal และ www.stou.ac.th รวมทั้งสามารถเรียนรู้ผ่านสื่อการเรียนการสอนอื่นๆ เช่น เอกสารการเรียนการสอน วีดิทัศน์ของ มสธ. ซึ่งแรงงานไทยสามารถนำความรู้จากการอบรมไปสมัครสอบที่ศูนย์การศึกษาทางไกล ของ มสธ.ในจังหวัดต่างๆ ได้ และจะได้รับใบสัมฤทธิ์บัตรจากการเรียนและหากเรียนครบ 24 ชุดวิชา ก็สามารถนำมาใช้เป็นหน่วยกิตสะสม เพื่อเรียนต่อปริญญาตรีในสาขาต่างๆ ของ มสธ.ได้

(มติชนออนไลน์, 26-11-2556)

รถเมล์-รถไฟ ประกาศไม่หยุดงาน - บริการประชาชนตามปกติ

นายวีระพงษ์ วงแหวน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กล่าวว่า คณะกรรมการบริหารสหภาพ ขสมก. มีมติว่า จะไม่เข้าร่วมกับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ที่ขอให้หยุดงานระหว่างวันที่ 28-29 พ.ย. นี้ เนื่องจากเห็นว่าการชุมนุมครั้งนี้ มีการปิดสถานที่ราชการ ซึ่งวัตถุประสงค์เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม

 นายอำพน ทองรัตน์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าว สหภาพ รฟท.จะไม่นัดหยุดงานประท้วงในวันที่ 28-29 พ.ย. นี้ โดยรถไฟยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ขอให้ประชาชนผู้ใช้บริการสบายใจได้ ส่วนเรื่องการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองถือว่าทำได้ในฐานะส่วนบุคคล ไม่ได้ปิดกั้น

(ข่าวสด, 28-11-2556)

ชัชชาติยันมติ สรส.นัดหยุดงานไม่กระทบ ปชช.

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า จากมติสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ หรือ สรส. ที่ให้สมาชิกใช้สิทธิ์ลาหยุดงาน ในวันที่ 28-29 พฤศจิกายนนี้ เพื่อเข้าร่วมการชุมนุมต่อสู้ทางการเมืองนั้น ถือว่าเป็นสิทธิ์ที่พนักงานสามารถกระทำได้ แต่ขอให้ทำในนอกเวลางาน ทั้งนี้ขอยืนยันว่าการให้บริการกับประชาชนยังเป็นไปด้วยความปกติ โดยได้มีการหารือกับหัวหน้าหน่วยงานและปลัดกระทรวงคมนาคม ซึ่งได้รับการยืนยันแล้วว่า จะไม่ส่งผลกระทบกับการให้บริการอย่างแน่นอน นอกจากนี้จากการที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้ปิดหน้ากระทรวง เพื่อไม่ให้ข้าราชการเข้าทำงานได้นั้น ขณะนี้ได้ให้ข้าราชการย้ายไปทำงานที่กรมการขนส่งทางบก เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำงานและงานของกระทรวงสามารถดำเนินการได้ อย่างไรก็ตาม ภารกิจของกระทรวงคมนาคม ที่ส่วนตัวมองว่าจะต้องปรับปรุงคือเรื่องการบริการ ทั้งนี้จะต้องทำควบคู่ไปพร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้วย

ขณะที่ นายคมสัน ทองศิริ เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) และรองประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เปิดเผยว่า จากมติ สรส. ที่ให้สมาชิกใช้สิทธิ์ลาหยุดงานนั้น ถือเป็นการยกระดับอีกขึ้นหนึ่ง และหากเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีการใช้ความรุนแรงกับผู้เข้าร่วมชุมนุม ทางพนักงานรัฐวิสาหกิจจะดำเนินการยกระดับทันที พร้อมยืนยันว่าการลาหยุดงานของรัฐวิสาหกิจในวันนี้ จะไม่ส่งผลกระทบกับการให้บริการประชาชน นอกจากนี้ สรส. อยู่ระหว่างการพิจารณาตัดน้ำตัดไฟหน่วยงานราชการค้างจ่าย เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกับประชาชน

(ไอเอ็นเอ็น, 28-11-2556)

กสร.เตรียมเยียวยาแรงงานภาคใต้ถูกน้ำท่วม

(29 พ.ย.) นายพานิช จิตร์แจ้ง อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ในหลายจังหวัด ขณะนี้ได้ส่งผลให้ประชาชน นายจ้าง และลูกจ้างได้รับความเดือดร้อน ตนจึงได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดทั้งส่วนกลางและต่างจังหวัดเฝ้าระวัง สถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่าน้ำท่วมในสถานประกอบการ แต่มีน้ำท่วมบ้าน หรือที่พักของลูกจ้างทำให้ไม่สามารถเดินทางมาทำงานได้ และยังไม่มีการร้องเรียนเรื่องการจ่ายค่าจ้างเเต่อย่างใด ซึ่ง กสร.ไม่ได้นิ่งนอนใจกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นสองระยะ คือ ระหว่างน้ำท่วม รณรงค์ให้นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการดูแลลูกจ้างในระหว่างประสบอุทกภัยให้คำแนะนำนาย จ้าง ลูกจ้าง และได้ทำหนังสือเพื่อขอความร่วมมือจากนายจ้าง สถานประกอบกิจการให้ลูกจ้างกรณีที่อยู่อาศัยถูกน้ำท่วมเป็นเหตุให้เดินทางไป ทำงานไม่ได้ หยุดงานหรือมาทำงานสายได้โดยไม่ถือเป็นวันลา ส่วนมาตรการฟื้นฟูเยียวยาหลังน้ำลด โดยการให้คำปรึกษา ทุกปัญหาด้านคุ้มครองแรงงาน และช่วยเหลือให้ลูกจ้างได้รับเงินค่าชดเชยการทำงานจากนายจ้าง ครบตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
      
นอกจากนี้ยังให้บริการเงินกู้ กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเพื่อปรับปรุงสภาพการทำงานให้เกิดความปลอดภัย สำหรับ สถานประกอบการอีกด้วย

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 29-11-2556)

PIAAC ชี้แรงงานไทยคุณภาพต่ำ อ่อนภาษา

นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาวิชาการสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) กล่าวถึงการสำรวจทักษะความสามารถของผู้ใหญ่ ว่า องค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือโออีซีดี วัดทักษะการทำงานของผู้ที่ประกอบอาชีพ หรือ Programme for the International Assessment of Competencies (PIAAC) เพื่อเป็นเครื่องมือสะท้อนมาตรฐานคุณภาพวัยแรงงาน สำรวจในช่วงอายุ 16-65 ปี หลังจากจบการศึกษาและทำงานแล้วแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ม.6 และ ป.ตรี จำนวน 166,000 คน จาก 724 ล้านคน ในกลุ่ม 24 ประเทศสมาชิก จาก 34 ประเทศ เพื่อวัดทักษะ 3 ด้าน คือ 1.อ่านออกเขียนได้ 2.คิดคำนวณ และ 3.การแก้ปัญหาจากการใช้เทคโนโลยี
      
ทั้งนี้ ผลสำรวจปี 2556 พบว่า ประเทศที่มีค่าเฉลี่ยการสอบสูงสุดคือ ญี่ปุ่น และฟินแลนด์ โดยทักษะการอ่านออกเขียนได้ หมายถึงคนญี่ปุ่นมีคุณภาพการทำงานมากที่สุดในโลก โดยพบว่า ชาวญี่ปุ่นทุกๆ 5 คน มีคะแนนการอ่านตีความ และสังเคราะห์ข้อมูลมากกว่าบุคคลทั่วไป และทักษะคิดคำนวณญี่ปุ่นก็ทำคะแนนได้สูงที่สุด รองลงมาคือ ฟินแลนด์ เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ สวีเดน และนอร์เวย์ ขณะที่การแก้ปัญหาที่เกิดจากเทคโนโลยีพบว่า สวีเดนเก่งการใช้คอมพิวเตอร์ ตามด้วย ฟินแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ส่วนประเทศอื่นๆ พบว่าร้อยละ 10 ของคนทุกประเทศขาดทักษะคอมพิวเตอร์
      
"แม้ไทยไม่ได้เข้าร่วม แต่วันนี้เรามีแรงงาน 35-40 ล้านคน ซึ่งร้อยละ 70 จบชั้นประถมหรือต่ำกว่า เมื่อเทียบแรงงานไทยกับอาเซียนพบว่า แรงงานไทยอายุ 25-46 ปี มีการศึกษาเฉลี่ยต่ำกว่า มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย โดยแบ่งตามระดับการศึกษาสูงสุดที่สำเร็จการศึกษา ปี 2548 ของยูไอเอส พบว่า วัยแรงงานไทย เรียนต่ำกว่าประถม สูงถึง 45 เปอร์เซ็นต์ จบประถมฯ 22 เปอร์เซ็นต์ ม.ต้น 10 เปอร์เซ็นต์ ม.ปลาย 10 เปอร์เซ็นต์ และอุดมศึกษา 14 เปอร์เซ็นต์ การใช้ภาษาอังกฤษพบว่า ไทยได้คะแนนต่ำสุด เราจึงไม่สามารถแข่งกับกัมพูชา หรือลาวที่มีค่าแรงต่ำกว่าได้" ที่ปรึกษา สสค. กล่าว

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 2-12-2556)

กระทรวงแรงงานเปิดให้บริการปกติ

เวลา 07.30 น. ที่กระทรวงแรงงาน ข้าราชการกระทรวงแรงงานได้ทยอยเดินทางมาทำงานตามปกติและไม่พบว่าไม่มีกลุ่ม ผู้ชุมนุมอยู่แล้ว โดยกระทรวงแรงงานเปิดให้เข้าบริเวณด้านข้างเฉพาะประตู 3 เพียงด้านเดียวและได้จัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยยืนตรวจบัตรประจำตัว ข้าราชการ ส่วนรถยนต์ของข้าราชการให้จอดอยู่ด้านนอกกระทรวงแรงงาน

เวลา 08.30 น. มีการเปิดประตูด้านหน้าและด้านข้างทุกด้านออกทั้งหมด และปล่อยให้จอดเข้ามาจอดภายในกระทรวงได้ตามปกติ หลังจากนั้น 09.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สั่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของกระทรวงปิดประตู ทุกด้านและให้ข้าราชการเข้า-ออกเพียงบริเวณด้านข้างเฉพาะประตู 3 เพียงด้านเดียว เนื่องจากมีกระแสข่าวว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะเคลื่อนไหวไปปิดล้อมสถานราชการ ต่างๆอีกครั้ง

นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ ปลัดกระทรวงแรงงาน(รง.) กล่าวภายหลังหารือร่วมกับผู้บริหารระดับ สูงของกระทรวงแรงงานและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลพื้นที่เพื่อประเมิน สถานการณ์การชุมนุมว่า การดูแลกระทรวงแรงงานแบ่งเป็น 2 ส่วน คือในส่วนของความมั่นคงมีกำลังตำรวจดูแล 2 กองร้อยหรือประมาณ 300 นายและในส่วนของกระทรวงแรงงานได้มอบหมายให้นายพานิช จิตต์แจ้ง อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน(กสร.) เป็นผู้เจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อรับข้อเสนอมาพิจารณาร่วมกันด้วยความอะลุ่มอะลวย โดยยึดหลักความปลอดภัยของข้าราชการและประชาชนที่มาติดต่อราชการ รวมทั้งสถานที่ในกระทรวงแรงงานไม่ให้เสียหาย

"ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงานเป็นห่วงได้กำชับให้ข้าราชการกระทรวงแรงงานทำงานตามปกติเพื่อไม่ ให้ประชาชนเดือดร้อนและดูแลไม่ให้ผู้ชุมนุมบุกเข้ามาในกระทรวงแรงงานเพื่อ ไม่ให้งานของกระทรวงสะดุด ผมก็เชื่อว่าผู้ชุมนุมคงเข้าใจภารกิจของกระทรวงแรงงานที่จะต้องให้บริการ ประชาชน" ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าว

(เนชั่นทันข่าว, 2-12-2556)

สศช.เปิดผลสำรวจ แรงงานนอกระบบ เพิ่มกว่า 25.1 ล้านคน

รายงานข่าวจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เปิดเผยผลสำรวจจำนวนแรงงานนอกระบบ ในปี 2556 จากจำนวนผู้ที่มีงานทำทั้งหมด 39.1 ล้านคน พบว่า มีผู้ทำงานที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง และไม่มีหลักประกันทางสังคมจากการทำงาน หรือเป็นแรงงานนอกระบบมากถึง 25.1 ล้านคน คิดเป็น 64% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีสัดส่วน 62% ที่เหลือเป็นแรงงานในระบบที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ซึ่งแรงงานนอกระบบดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ทำงานอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด รองลงมาเป็นภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ และกรุงเทพมหานคร

โดยจากการสำรวจพบว่าส่วนแรงงานนอกระบบส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐช่วยเหลือ เรื่องค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผลมากที่สุด รองลงมาเป็นปัญหาของการทำงานหนัก และงานที่ทำไม่ได้รับการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง ที่เหลือเป็นปัญหาเกี่ยวกับการไม่มีสวัสดิการจากภาครัฐเข้ามารองรับที่ ชัดเจน ไม่มีวันหยุดงาน ชั่วโมงการทำงานมากเกินไปและลาพักผ่อนไม่ได้ จึงอยากให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือ ขณะที่ปัญหาของสภาพแวดล้อมในการทำงานที่พบมากที่สุด คือ ไม่ค่อยได้เปลี่ยนท่าทางในการทำงาน สถานที่ทำงานมีฝุ่น ควัน กลิ่น และแสงสว่างไม่เพียงพอ ได้รับสารเคมีเป็นพิษมากที่สุด รองลงมาเป็นเรื่องของความปลอดภัยจากเครื่องจักร

สำหรับประเภทการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ พบว่า แรงงานนอกระบบมากกว่าครึ่งทำงานอยู่ในภาคการเกษตร รองลงมาทำงานอยู่ในภาคการค้าและบริการ รวมถึงภาคการผลิต ส่วนที่เหลือไม่ทราบว่าประกอบกิจกรรมใด และยังพบว่าแรงงานเหล่านี้ได้รับอุบัติเหตุจากการทำงานมากถึง 4 ล้านคน ส่วนใหญ่เกิดจากของมีคมบาด

(มติชนออนไลน์, 2-12-2556)

ประกันสังคมโลกห่วงผู้สูงอายุเพิ่มเตือนแต่ละประเทศพัฒนาระบบรองรับ

(2 ธ.ค.) นายอารักษ์ พรหมณี รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตนได้เป็นตัวแทน สปส.ไปเข้าร่วมประชุมประกันสังคมระหว่างประเทศครั้งที่ 31 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 10-15 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ โดยมีผู้แทนกว่า 150 ประเทศ เข้าร่วมประชุมกว่า 1,000 คน โดยที่ประชุมมีข้อสรุปว่า ระบบประกันสังคมของแต่ละประเทศจะต้องปรับตัวเพื่อพร้อมรับมือกับผลกระทบทาง เศรษฐกิจและการเงินในระยะยาว เนื่องจากช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินขึ้นในหลายประเทศ และปัจจุบันโครงสร้างประชากรโลกเปลี่ยนแปลงไป มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นแต่เด็กเกิดใหม่ลดลง ทำให้มีแรงงานรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงานน้อยลง และมีแรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานในประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้น เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน

รองเลขาธิการ สปส.กล่าวอีกว่า ที่ประชุมเห็นว่า ระบบประกันสังคมของประเทศต่างๆ จะต้องขยายความคุ้มครองไปสู่ประชาชนทุกคน รวมทั้งแรงงานข้ามชาติได้เข้าสู่ระบบประกันสังคมเพื่อให้มีความมั่นคงในการ ทำงานและดำเนินชีวิต และจะต้องบริหารจัดการระบบประกันสังคมให้มีความเข้มแข็งให้ผู้ประกันตนได้ รับสิทธิประโยชน์ที่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิต เช่น สิทธิประโยชน์เงินบำนาญชราภาพ จึงต้องปรับระบบการบริหารจัดการประกันสังคมให้มีความหลากหลาย โดยให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนเพื่อให้ระบบ ประกันสังคมมีความเข้มแข็งและครอบคลุมสู่ประชาชนทุกกลุ่ม
      
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ให้จัดตั้งศูนย์ให้คำแนะนำการพัฒนาการบริหารระบบประกันสังคม โดยให้ตั้งอยู่ที่สมาคมประกันสังคมระหว่างประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ในองค์การแรงงานระหว่างประเทศที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์และจัดทำคู่มือแนะนำเผยแพร่ให้แก่ประเทศต่างๆ เช่น การให้คำแนะนำการจัดทำระบบประกันสังคมเพื่อให้ความคุ้มครองแรงงานต่างด้าว ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคมปี พ.ศ. 2557

รองเลขาธิการ สปส.กล่าวต่อไปว่า ผลประชุมดังกล่าวสอดรับกับแนวทางการดำเนินการการพัฒนาระบบประกันสังคมของ สปส.ซึ่ง สปส.เตรียมเสนอให้รัฐบาลและคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติแก้ไขระเบียบ กระทรวงมหาดไทยเพื่อให้ผู้ประกันตนที่ได้รับเงินบำนาญชราภาพซึ่งมีอายุ 60 ปี ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 600 บาท เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป จะช่วยให้ผู้ประกันตนที่สูงอายุมีเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากขึ้น

"สปส.กำลังศึกษาแนวทางปรับปรุงสิทธิประโยชน์ของแรงงานข้ามชาติที่ทำงาน ในไทยโดยถูกต้องตามกฎหมายให้สอดคล้องกับสภาพการทำงานและการอาศัยอยู่ใน ประเทศไทยโดยเบื้องต้นเห็นว่า กรณีชราภาพ หรือกรณีว่างงานควรจัดเก็บเงินสมทบเช่นเดิม แต่เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการจ่ายเงินสิทธิประโยชน์โดยเมื่อครบกำหนดสัญญาจ้าง 4 ปี แรงงานข้ามชาติต้องกลับประเทศ สปส.ก็จะจ่ายเป็นเงินก้อนในลักษณะเป็นเงินบำเหน็จ และเงินสะสมกรณีว่างงาน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปคาดว่าปีหน้าจะสรุปแนวทางได้และเสนอต่อคณะกรรมการ ประกันสังคม (บอร์ด สปส.) ต่อไป" นายอารักษ์ กล่าว

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 2-12-2556)

คาดช่วงปลายปีข้อพิพาทระหว่างนายจ้าง-แรงงานมากกว่าปีที่แล้ว

นายสุวิทย์ สุมาลา รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน(กสร.) กระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีแรงงานออกมาประท้วงนายจ้าง เนื่องจากได้รับเงินโบนัสไม่เท่ากับจำนวนที่ยื่นข้อเรียกร้องประจำปีว่า กสร.คาดว่าปลายปีนี้จะมีปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เนื่องจากการยื่นข้อเรียกร้องขอปรับขึ้นเงินเดือนประจำปีและโบนัสมากกว่าปี ที่ผ่านมาโดยเฉพาะในกลุ่มสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งไม่เคยมีปัญหามาก่อนโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ ยางรถยนต์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เพราะกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้ให้เงินเดือนและจ่ายโบนัสในอัตราที่สูง เนื่องจากที่ผ่านมาสถานประกอบการต่างๆ ล้วนได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม วิกฤตเศรษฐกิจโลกและการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศ ทำให้สถานประกอบการมีกำลังจ่ายเงินโบนัสได้เท่าเดิมหรืออาจต้องลดจำนวนลง ทำให้ลูกจ้างไม่พอใจนายจ้างก่อให้เกิดข้อขัดแย้ง บางสถานประกอบการลูกจ้างอาจจะหยุดงานประท้วง
      
รองอธิบดี กสร.กล่าวอีกว่า ขณะนี้ กสร.ได้สั่งการให้สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในจังหวัดต่างๆ ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปพูดคุยกับนายจ้างและลูกจ้างในอุตสาหกรรมที่มี กลุ่มเสี่ยงจะเกิดข้อขัดแย้ง เนื่องจากการเรียกร้องเงินโบนัสและหากเกิดข้อขัดแย้งขึ้นระหว่างนายจ้างและ ลูกจ้างก็ให้เร่งเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเพื่อให้ได้ข้อยุติซึ่งให้ เป็นที่พอใจต่อทุกฝ่าย ซึ่งล่าสุดเกิดกรณีกลุ่มสหพันธ์ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และโลหะแห่งประเทศไทย ภายในนิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการได้รวมตัวประท้วงบริษัทในเครืออุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากเคยได้โบนัสปีละ 8 เดือน และยื่นข้อเรียกร้องขอเพิ่มเป็น 10 เดือน แต่บริษัทกลับจ่ายเพียง 1 เดือนเท่านั้น ก็ได้ให้สำนักงานสวัสดิการฯจังหวัดสมุทรปราการเข้าไปช่วยเจรจาไกล่เกลี่ย เพื่อยุติข้อพิพาท
      
"ขอฝากไปถึงนายจ้างเมื่อมีปัญหาภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ไม่มีกำลังจ่ายเงินโบนัสเช่นปีที่ผ่านมา เพราะการปรับค่าจ้างที่สูงขึ้นได้ทำให้อัตราเงินโบนัสสูงขึ้นตามไปด้วย เช่น แต่ละปีเคยจ่ายอยู 1 ล้านบาท ก็เพิ่มเป็น 1.3 ล้านบาท ส่งผลให้ไม่สามารถจ่ายเงินโบนัสได้มากขึ้นหรือต้องลดลงจากเดิม ก็ควรพูดคุยชี้แจงทำความเข้าใจกับลูกจ้างอย่างเปิดเผยและสุจริตใจ ขณะเดียวกันหากลูกจ้างไม่พอใจและจะใช้สิทธิหยุดงานควรให้เป็นไปตามกฎหมาย ถ้าหยุดงานโดยผิดกฎหมายจะกลายเป็นเงื่อนไขให้นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างได้ อย่างไรก็ตาม กสร.จะแก้ปัญหาโดยส่งเจ้าหน้าที่ลงไปช่วยเจรจามีปัญหา เพื่อให้เกิดข้อพิพาทน้อยที่สุดหรือให้ได้ข้อยุติซึ่งเป็นที่พอใจของทั้ง ฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง" นายสุวิทย์ กล่าว

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 2-12-2556)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปลอบขวัญชาวรามคำแหง

Posted: 02 Dec 2013 05:57 AM PST

ธนาพล อิ๋วสกุล รวมภาพเก่าสมัยเดือนส.ค. 2519 ที่นศ.จากองค์การนศ.ม.ธรรมศาสตร์ เดินทางไป "ปลอบขวัญ" เพื่อนม. รามคำแหงที่ถูกทำร้ายจากกลุ่มฝ่ายขวา แล้วย้อนดูเหตุการณ์การปะทะกันที่ม.รามฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา 
 
10 กว่าปีที่แล้ว (ประมาณปี 2540-2541) ผมกับเพื่อนอีก 2 คน รับจ้างหอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ เก็บภาพเก่าของมหาวิทยาลัย ภาพชุดหนึ่งที่ได้รับจากชุมนุมถ่ายภาพ ธรรมศาสตร์ คือเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการชุมนุมต่อต้านการกลับมาของจอมพลประภาส จารุเสถียร ในเดือนสิงหาคม 2519 และมีการชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ เพื่อ "ต่อต้านเผด็จการทหาร"
 
ในวันที่ 21 สิงหาคม 2519 ระหว่างมีการชุมนุมประท้วงนั้น ขบวนอันธพาลกระทิงแดง ภายใต้การจัดตั้งของอำนาจรัฐ (ซึ่งมีพ.อ.จำลอง ศรีเมือง ร่วมอยู่ด้วย) ได้ปาระเบิดใส่ขบวนนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงที่เดินทางมาชุมนุม ยังผลให้มีนักศึกษารามคำแหงเสียชีวิต 1 คน 
 
หลังจากนั้น องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้นำนักศึกษาธรรมศาสตร์ได้เดินทางไป "ปลอบขวัญ" เพื่อน ๆ ชาวรามคำแหง ในงานมีการปราศรัย แสดงดนตรี ตามแบบฉบับของงานศึกษาสมัยนั้น
 
เหตุที่นึกถึงภาพชุดนี้ขึ้นมาเนื่องจากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน ต่อเนื่องถึง 1 ธันวาคม 2556 ที่มีผลให้มีผู้เสียชีวตแล้ว 5 คน
 
แต่เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมานั้นกลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง ความขัดแย้งในวันนี้ไม่มีอำนาจเผด็จการทหารออกมาให้เห็น พลังนักศึกษารามคำแหงที่ปรากฎในวันนี้มิได้ต่อต้านอำนาจเผด็จการทหารทหาร แต่ต่อต้านความชั่วร้ายของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในนาม "ระบอบทักษิณ"
 
 
 
 
 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แถลงการณ์สถานีฟรีทีวี 6 ช่อง ต่อการนำเสนอข่าวสารในสถานการณ์ปัจจุบัน

Posted: 02 Dec 2013 04:36 AM PST

ผู้บริการช่อง 3,5,7,9,11, TPBS แถลงแนวปฏิบัติร่วมกัน เตรียมจัดผังสำหรับรายการในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วอนผู้ชุมนุมตระหนักความปลอดภัยผู้ปฏิบัติงานสื่อมวลชน 

ในนามสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวี 6 ช่อง อันประกอบด้วยช่อง 3 , 5 ,7 , 9 ,11 และ ไทยพีบีเอส ได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการนำเสนอข่าว และรายการในวโรกาสวันเฉลิมพระชนม์พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวาคม 2556 ซึ่งเป็นภารกิจที่ปฏิบัติต่อเนื่องมาทุกปี และได้มีความเห็นพ้องกันว่า เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติและถวายความจงรักภักดี ในวโรกาสอันสำคัญยิ่งนี้ จึงเห็นสมควรที่แต่ละสถานี จะได้จัดผังรายการ และข่าวสารให้สอดคล้องกับห้วงเวลาดังกล่าว ระหว่างวันที่ 3-7 ธันวาคม 2556 
 
นอกจากนี้ สถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีทุกช่อง ยังได้มีมติร่วมกันถึงการนำเสนอข่าว และรายการสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้เป็นแนวปฏิบัติร่วมกันดังต่อไปนี้
 
1.การรายงานสดข่าว และการจัดรายการพิเศษให้เป็นดุลยพินิจ และความเหมาะสมของแต่ละสถานี ซึ่งต้องคำนึงถึงกรอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะการถ่ายทอดสด แถลงการณ์ต่างๆ ที่อาจจะหมิ่นเหม่ต่อ พรบ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งอาจทำให้สถานีโทรทัศน์ในฐานะผู้เผยแพร่ ตกเป็นผู้รับผิดชอบในความผิด ที่อาจเกิดขึ้น
 
2.สถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีทั้ง 6 ช่อง ยังใคร่ขอวิงวอนให้กลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองใดๆ ได้ให้ความตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพนักงาน เจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชน ทั้งในและนอกสถานที่ ในการรายงานข่าวสารอย่างครบถ้วนรอบด้าน เพื่อประโยชน์สาธารณะตามหลักวิชาชีพ
 
3.สถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีทั้ง 6 ช่อง มีภารกิจร่วมกันในการถ่ายทอดสด พระราชพิธีออกมหาสมาคม เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา 5 ธันวาคม 2556 และกิจกรรมเทิดพระเกียรติต่างๆ รวมทั้งความร่วมมือในการถ่ายทอดสกกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 27 ที่กรุงเนปิดอว์ สหภาพเมียนมาร์ โดยเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 4-22 ธันวาคม 2556
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วิกฤต โอกาส และอริยวิถีการเมืองไทย : ข้อเสนอต่อประชาชนและขบวนการสหภาพแรงงาน

Posted: 02 Dec 2013 04:24 AM PST

นับเป็นเหตุการณ์และบทเรียนอันสำคัญยิ่งของพลเมืองไทยในขณะนี้ เมื่อในประเทศของเรากำลังเกิดเหตุการณ์ที่ประชาชนจำนวนมหาศาลภายใต้การนำและการเข้าร่วมของพรรคประชาธิปัตย์ในทางวิถีทางและพฤตินัย ทำการชุมนุม เดินขบวน และ ยึดที่ทำการของรัฐเพื่อขับไล่รัฐบาล มุ่งล้มล้างระบอบทักษิณ และเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงการเมืองด้วยวิถีทางที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติตามแบบอนาธิปไตยที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคยทำมาแล้ว เราอาจพิจารณาการกระทำดังกล่าวเป็นสองแง่ คือ ในแง่บวกและแง่ลบได้ดังนี้

แง่บวก คือ การรวมตัวของประชาชนขับไล่รัฐบาลเป็นเครื่องยืนยันว่ามีคนไทยจำนวนมาก (แม้ว่าจะเป็นประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นสมาชิกและนิยมชมชอบพรรคประชาธิปัตย์ มวลชนภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเดิม และเครือข่ายข้างเคียง) แสดงออกถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงเพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยอย่างเร่งรีบราวปฏิวัติ หากมีเพียงการพยายามในรัฐสภาของนักการเมืองที่เข้าใจว่าตนเองได้อำนาจเด็ดขาด การเปลี่ยนแปลงนั้นก็อาจไม่เป็นไปตามความต้องการที่สอดคล้องกับหลักคุณธรรมและประชาธิปไตยเชิงคุณภาพตามการเสนอของแกนนำและประชาชนที่เข้าร่วม

แง่ลบ คือ การเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงการเมืองนอกสภาหรือโดยภาคประชาชนที่ต้องการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ (ที่พรรคการเมืองรัฐบาลประสบความสำเร็จเชิงปริมาณหรือยังทำได้แค่นั้น มากกว่าเชิงคุณภาพ) มิได้เกื้อหนุนแต่กำลังเป็นปฏิปักษ์กับการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐสภาเป็นใจกลางตามหลักสากล และตามรัฐธรรมนูญไทย 2550 (ที่มีจุดอ่อนในทางประชาธิปไตยภายใต้ผลพวงของการรัฐประหารให้ต้องแก้ไขใหม่) หากดำเนินต่อไปก็จะเกิดหายนะกับประเทศมากกว่าสร้างสรรค์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ได้สำเร็จ

วิกฤตย่อมมาพร้อมกับโอกาสเสมอ การสร้างนวัตกรรมการเมืองไทยจึงต้องใช้โอกาสนี้ การเปลี่ยนแปลงต่อการเมืองไทยสมควรคิดถึงอนาคตระยะยาวเพื่อนำพาประเทศไปสู่ "อริยรัฐ" ก้าวให้ไกลไปกว่าประเด็นที่คู่ขัดแย้งกำลังรบเร้ากันอยู่ ไม่เช่นนั้นก็อาจตกเป็นเครื่องมือของผู้หลงผิดหรือการกระทำที่รับใช้ทฤษฎีที่ผิด รวมทั้งการประยุกต์ทฤษฎีอย่างผิดๆ แบบแผนการกระทำต่างๆที่เป็นปัญหาของทั้งสองฝ่ายหรือหลายฝ่าย และที่จะปรับเปลี่ยนอย่างใหม่จึงต้องผ่านการวิพากษ์อย่างสมเหตุสมผลและอย่างเป็นอริยวิถีด้วย การออกจากวิกฤตการเมืองไทยในคราวนี้ จึงขอเสนอเป็นเบื้องต้นคือ

1.จำเป็นต้องยึดหลักการประชาธิปไตยสากล โดยการเลือกตั้งเป็นหัวกระบวนหลัก รองรับด้วยหลักการรับรองเสียงข้างมากและการคำนึงถึงเสียงข้างน้อย และนำการทำประชามติมาให้ประกอบอย่างเหมาะสมแก่เรื่องและจังหวะ

2.ยืนยันที่จะสู้กันด้วยสันติวิธี การเลือกตั้งและการทำประชามติก็คือการจัดการความขัดแย้งอย่างสันติที่ใช้กันในประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก แต่ที่เราต้องพัฒนาให้มากขึ้นคือสันติวิธีแบบอริยะหรือ อริยสันติวิธีนั่นเอง ซึ่งหลักการพื้นฐานนอกจากจะไม่รุนแรงและยอมรับโทษตามกฎหมายแล้ว ยังต้องเป็นความสมัครใจทำกันอย่างแท้จริง มิใช่การบังคับหรือทำตามกันแบบเกรงกลัวหรือเกรงใจเพื่อน หากไม่ทำก็กลัวว่าเพื่อนๆจะไม่รับเราเป็นพวกอีกต่อไปทำนองนั้น (ฉะนั้น การบุกยึดที่ทำการรัฐเพื่อครอบครองพื้นที่ทางกายภาพและทำให้รัฐบาลบริหารงานไม่ได้ ไม่ใช่สันติวิธีอย่างแน่นอน แต่คือการยึดอำนาจแบบหนึ่ง และการยึดอำนาจด้วยการทำให้หน่วยงานรัฐบางส่วนหรือหลายๆส่วนเป็นอัมพาตแบบนี้เป็นเทคนิคการทำรัฐประหารที่ใช้ได้ดี ตามที่พรรคบอลเชวิคของเลนินและนักปฏิวัติมาร์กซิสต์ในบางประเทศในยุโรป รวมทั้งคณะราษฎรไทยเคยใช้ แต่ปัจจุบันล้าสมัยไปแล้ว เพราะอาจเป็นที่พอใจของฝ่ายอนุรักษ์นิยมแต่ไม่ชนะใจประชาชนฝ่ายก้าวหน้า)

3.การจัดตั้งกลไกกลางเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยที่มาจากตัวแทนของทุกฝ่าย โดยมีกฎหมายรองรับ ทั้งนี้รัฐบาลได้ริเริ่มสภาปฏิรูปการเมืองแล้วในระดับหนึ่ง ก็สมควรออกแบบสภานี้ให้สมบูรณ์โดยรับฟังความเห็นและการเข้าร่วมของฝ่ายผู้ชุมนุมทั้งหลายและกลุ่มผลประโยชน์อื่นๆในสังคม หากสำเร็จการขับเคลื่อนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยจะไม่ร้อนรนและยัดเยียด แต่จะเชื่องช้าลง เป็นไปอย่างมีสติ รู้ตัวทั่วพร้อมมากขึ้น และได้คุณภาพสูง

4.การปฏิรูปประเทศส่วนรวมต้องกระทำอย่างจริงจังพร้อมกับการปฏิรูปตนเองของสถาบันและองค์การต่างๆในสังคมให้สอดรับกัน การเรียกร้องเฉพาะการปฏิรูปประเทศโดยรวมเท่านั้นไม่เพียงพอ

5."สภาประชาชน" ในประเทศไทยในปัจจุบันมีอยู่แล้ว คือ สภาพัฒนาการเมือง ซึ่งเน้นการเมืองภาคพลเมือง ตามกฎหมายสภาพัฒนาการเมือง พ.ศ. 2551 แต่ยังมีจุดอ่อนในทางโครงสร้าง วัตถุประสงค์ อำนาจหน้าที่ และภารกิจหลายประการ จึงควรปรับปรุงให้สอดรับกับ "สภาประชาชน" ที่แกนนำผู้ชุมนุมขับไล่รัฐบาลเสนอให้มี แต่จะต้องมีขึ้นหรือมีไว้ต่อไปเพื่อพึ่งพากันและกันและเสริมสร้างองค์รวมของระบอบประชาธิปไตยไทยที่ประชาชนเป็นเจ้าของให้มั่นคง ไม่ใช่เพื่อแข่งขันกับรัฐสภาของประชาชนตามรัฐธรรมนูญหรือเป็นสิ่งแปลกปลอมในทางประชาธิปไตย

6.ออกกฎหมายใหม่เพื่อเสริมสร้างความมั่นคง มาตรฐาน และหลักประกันคุณภาพประชาธิปไตยที่ให้รายละเอียดขยายความจากรัฐธรรมนูญ อันจะส่งเสริมประชาธิปไตยภายในและภายนอกรัฐสภา และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนหรือประชาธิปไตยทางตรงที่ไม่เป็นปฏิปักษ์กับระบอบรัฐสภา พร้อมกับทำให้องค์การด้านการเมืองและอิสระตามรัฐธรรมนูญต่างๆ มีค่านิยมใหม่เพื่อร่วมกันมีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อการพิทักษ์ประชาธิปไตยและผนึกการทำงานเข้าหากัน ไม่ใช่แตกแยก ถ่วงรั้งมากกว่าถ่วงดุล และจ้องจะล้มล้างกันแบบทุกวันนี้

7.การกวาดล้างหรือขจัดการทุจริตครั้งใหญ่เพื่อประเทศชาติอย่างสูงส่งแท้จริงต้องครอบคลุมทั้ง (1) การทุจริตหรือการกระทำชั่วร้ายในทางศีลธรรม อุดมการณ์ หลักการ แนวทางประชาธิปไตย และการใช้อำนาจรัฐ และ (2) การคอร์รัปชั่นที่เป็นเงินทองหรือวัตถุ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การกวาดล้างการทุจริตของนักการเมืองจะต้องไม่เพียงเพ่งโทษไปที่ประเด็นการทุจริตเงินทองหรือทรัพย์สินเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงในแง่มุมอื่นๆที่ทุจริตหรือฉ้อฉลด้วย ซึ่งระบาดอยู่ทั้งในพรรครัฐบาลและฝ่ายค้าน นักการเมือง ข้าราชการ กรรมการและเจ้าหน้าทีรัฐในองค์การอิสระต่างๆ ฉะนั้นจึงต้องมีการสังคายนาครั้งใหญ่ระบบกฎหมาย ปปช. และ ปปท. และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกลไกย่อยและในทางปฏิบัติจริงด้วย

8.ปฏิรูปการศึกษาประชาชนในเรื่องประชาธิปไตย โดยการจัดตั้งหรือปฏิรูปองค์กรกลางของรัฐสภาในการให้ความรู้การเมืองในระบอบประชาธิปไตยแก่ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำหลักสูตรหรือระบบการสื่อสารที่เหมาะสมแก่ผู้บริหารและคณาจารย์ระดับมหาวิทยาลัยที่จะไปสอนนักศึกษาและประชาชนต่อไป

9.เปิดพื้นที่สื่อทุกช่องทางให้ประชาชนที่มีความเห็นต่างมีโอกาสแลกเปลี่ยนกันอย่างเข้มข้น แต่สันติวิธี

10.กระตุ้นให้มวลชนที่ถูกสะกดจิตได้เปลี่ยนจิตสำนึก หันมาตรวจสอบและวิพากษ์แนวคิดและวิธีการของแกนนำอย่างเข้มข้น เพื่อปรับไปสู่อริยสันติวิธีให้ได้

สำหรับขบวนการสหภาพแรงงานแล้ว อย่างหลงทาง อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล อย่ายอมให้อุดมการณ์ประชาธิปไตยแปลกปลอมเข้าครองงำอุดมการณ์สังคมประชาธิปไตย และจำเป็นต้องเร่งปฏิรูปตนเองให้ก้าวหน้าและเป็นขบวนการนำในสังคม มิใช่ผู้ตาม คือ ช่วยกันทำให้สหภาพแรงงานไทยมิใช่เพียงเป็นสหภาพแรงงานเพื่อสังคมเท่านั้น แต่ต้องเป็นสหภาพแรงงานของสังคม และโดยสังคมประชาธิปไตยด้วย ตามหลักที่ว่าสังคมไทยที่เป็นประชาธิปไตยตามหลักสากลนั้น สังคมประชาธิปไตยย่อมเป็นเจ้าของขบวนการแรงงานไทยอันเป็นหนึ่งเดียวกับขบวนการแรงงานสากล และสหภาพแรงงานจะตั้งอยู่ได้อย่างเป็นสถาบันที่มีคุณค่าของสังคมก็โดยการยอมรับและมีอยู่ของสังคมประชาธิปไตย

ฉะนั้นในสถานการณ์ปัจจุบันสหภาพแรงงานไทยจำเป็นต้องเข้าร่วมสร้างสรรค์และค้ำจุนประชาธิปไตยของประเทศให้เติบโตก้าวหน้าเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม (อันจะให้โอกาสและส่งผลกลับมาให้สหภาพแรงงานเติบโตและเจริญรุ่งเรืองด้วย) ยอมรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามครรลองประชาธิปไตย (แม้ว่าการเลือกตั้งในแต่ละครั้งอาจมีจุดอ่อนในเชิงความบริสุทธิ์ยุติธรรมอยู่บ้างและยังไม่ได้ผลตามที่ต้องการ ซึ่งก็ต้องปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นได้) ต่อสู้กับการทุจริตแบบไม่เลือกปฏิบัติ ปฏิเสธการรัฐประหารหรือการเปลี่ยนแปลงนอกระบบ และเข้าร่วมหย่าศึกความขัดแย้งและร่วมปฏิรูปการเมืองเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมใหม่จากพลังสร้างสรรค์ของขบวนการสหภาพแรงงานอิสระที่แท้จริง

หากทำได้ขบวนการสหภาพแรงงานไทยจะเป็นขวัญใจของคนไทยหลายสิบล้านคน และในทุกเสื้อสี ไม่ว่าเหลือง แดง หรือ สีใดๆ และมิใช่เฉพาะจากมวลชนที่ต่อต้านรัฐบาลในขณะนี้เท่านั้น (ตัวอย่างการแสดงบทบาทที่ควร: สหภาพแรงงานเป็นองค์การประชาธิปไตยของสมาชิกที่ยึดหลักเสียข้างมากและคำนึงถึงเสียงข้างน้อยในการปกครองตนเองและในการต่อรองกับนายทุนผู้ประกอบการตามหลักสากล สหภาพแรงงานทั่วประเทศของเรามีอำนาจต่อรองในทางการเมืองตลอดมา คือ มีสมาชิกทั้งภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ และราชการบางส่วน ประมาณ 5 แสนคน และเครือญาติและกัลยาณมิตรรวมรายละ 10 คน เป็นประมาณ 5 ล้านคน ที่จะนำมาใช้ในห้วงเวลาปัจจุบันเพื่อต่อรองกับพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านสำหรับการเลือกตั้งในครั้งหน้า คะแนน 5 ล้านเสียง จึงต้องใช้เพื่อลงให้กับฝ่ายที่ถูกต้องกว่าหรืออาจไม่ให้ฝ่ายใดเลยหากไม่หันหน้ามาเจรากันอย่างสันติหรือไม่มีฝ่ายใดปรับปรุงตนเองในจุดที่บกพร่อง)

หมายเหตุปิดท้าย: ระบอบทักษิณที่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลต้องการล้มล้าง หากเขียนให้เต็มน่าจะ คือระบอบประชานิยมตามอิทธิพลของทักษิณ ชินวัตร แต่แท้จริงแล้วมันคืออะไร นิยามออกมาได้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง และหากพิจารณาระบอบนี้ว่ามีอยู่จริง ระบอบเฉพาะส่วนที่เป็นกำลังคน ไม่รวมเรื่องอุดมการณ์  เป้าหมาย และวิธีการ และทรัพยากรอื่นๆ (นอกเรื่องคน) นั้น ปัจจุบันก็คงประกอบด้วยอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ครอบครัวชินวัตร นักการเมือง และครอบครัวนักการเมืองตระกูลอื่นๆ กรรมการบริหารและสมาชิกพรรคเพื่อไทย คนที่ลงคะแนนเลือกพรรคนี้ 15 ล้านคน และคนไทยที่ชื่นชอบอุดมการณ์ประชานิยมหรือได้ประโยชน์จากระบอบนี้อีกหลายล้านคน ฉะนั้น หากขจัดระบอบนี้ให้สิ้นซากเฉพาะตรงกำลังคนแล้ว จึงไม่สามารถขจัดอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร และ ตระกูลชินวัตร เท่านั้น แต่คงต้องฆ่าทิ้งคนอื่นๆเหล่านี้ให้หมดหรือไล่ไปให้พ้นประเทศไทยอย่างไร้มนุษยธรรม

แต่หากจะสันติวิธีในทางเลือกหนึ่ง ก็คือการเปลี่ยนประเทศไทยที่ผ่านการทำประชามติให้เป็นสหพันธรัฐสยาม (ยังเป็นประเทศเดียวกันแต่มีรัฐย่อยๆ โดยรายละเอียดในการปกครองและการบริหารต้องใช้เวลาออกแบบ) คือ รัฐประชานิยมแบบของพรรคเพื่อไทยที่ให้คนที่ชอบระบอบนี้สักครึ่งประเทศหรือคงจะใช้พื้นที่มากที่สุดไปอยู่ได้ รองลงมาก็เป็นพื้นที่ของรัฐประชาภิวัตน์แบบของพรรคประชาธิปัตย์และผู้คนส่วนหนึ่งที่กำลังร่วมต่อต้านรัฐบาล และ ขอมีพื้นที่สักส่วนหนึ่งอันเป็นส่วนน้อยให้ผู้เขียนกับคนไทยจำนวนหนึ่งที่อยู่ทั้งสองรัฐนั้นไม่ได้หรือไม่อยากอยู่ ไปตั้งรัฐสวัสดิการสังคมประชาธิปไตย (อาทิ ตามแบบที่พรรคสังคมธิปไตยเคยเสนอ) เป็นรัฐที่สามด้วย!

แต่หากแบ่งตามเสนอนี้ไม่ได้ก็ต้องยอมรับการอยู่ร่วมกันต่อไปภายใต้อุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างกัน แต่ปรับปรุงกติกาการเมืองกันใหม่ให้เป็นประชาธิปไตยที่ดียิ่งขึ้นตามความเห็นชอบของประชาชน ซึ่งก็หนีไม่พ้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กฎหมายเลือกตั้ง การออกกฎหมายใหม่และปฏิรูปกฎหมายที่มีอยู่เพื่อเสริมสร้างความมั่นคง มาตรฐาน และหลักประกันคุณภาพประชาธิปไตย และการทำประชามติเสริม ส่วนการขจัดระบอบประชานิยมตามอิทธิพลของทักษิณ ชินวัตร ในทางอุดมการณ์  เป้าหมาย  วิธีการ และทรัพยากรอื่นๆ นั้นก็ไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ เพราะหลายอย่างก็เป็นของดีหรือของเดิมที่อยู่คู่กับคนไทยมาแต่โบราณกาลแล้ว

นอกจากนี้ หากจะทำให้เกิดความยุติธรรมมากขึ้น และยกระดับสติปัญญาคนไทยร่วมกันยิ่งขึ้น เรา (มวลชนทั้งหลาย) น่าจะวิพากษ์วิจารณ์ด้วยว่าระบอบอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ของพรรคประชาธิปัตย์ มีอยู่หรือไม่ หากมีมันคืออะไร มีอยู่อย่างไร และจะขจัดสิ่งไม่ดีหรือปรับปรุงระบอบนี้กันอย่างไรให้เหลือสิ่งดีๆในบ้านเมือง หรือหากทำในทางตรงกันข้ามคือ มีการเสนอให้ล้มล้างระบอบอภิสิทธิ์ โดยให้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และตระกูล (หรือเครือข่าย) ออกไปจากประเทศไทยหรือระบอบการเมืองไทยไปด้วย ควรหรือไม่ควรอย่างไร

สุดท้าย สังคมเป็นอนิจจัง มีวิวัฒนาการไปสู่สังคมที่เจริญก้าวหน้ากว่าโดยทั่วไป (แต่ที่ล้มเหลวก็มีบ้าง) สิ่งไม่เหมาะสมในสังคมหรือในองค์การต่างๆย่อมค่อยๆหมดไปจากการปฏิสัมพันธ์กันในสังคม เราไม่สามารถหยุดกลไกที่เป็นอนัตตาไม่เข้าใครออกใครนั้นได้ ส่วนใดอยู่รอดก็แสดงว่าปรับตัวได้ ส่วนใดไปไม่รอดก็แสดงว่าปรับตัวไม่ได้ หากไม่ยึดมั่นกับตัวกูของกูว่าทุกอย่างต้องสำเร็จเดี่ยวนี้ (ก่อนที่ผู้กระทำจะถูกพันธนาการหรือไม่มีโอกาสทำด้วยตัวเอง หรือตัดโอกาสฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ได้รับสถานภาพแห่งความชอบธรรมอันพึงมีพึงได้ที่จะเวียนมาถึง) ก็ให้คนรุ่นใหม่ๆรับผิดชอบจัดการแทนพวกเราต่อไปก็ได้ ความหมายของชีวิตเราในมิติอื่นๆยังมีที่ต้องเติมเต็มเพื่อส่วนรวมและเพื่อคนที่เรารักกันอีกหลายเรื่อง – โปรดเร่งเรียกเอาความเป็นพุทธะคือ ความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และ ผู้เบิกบานในธรรมาธิปไตย" ของเราแต่ละคนมาสร้างสรรค์สังคมแทนอวิชชากันดีกว่า

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ลูกจ้าง-นายจ้าง บ.จอร์จี้ บรรลุข้อตกลงสภาพการจ้างแล้ว

Posted: 02 Dec 2013 04:05 AM PST

2 ธ.ค. 2556 - สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอและตัดเย็บเสื้อผ้าสัมพันธ์ระบุว่าวานนี้ (1 ธ.ค.) พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จ.เชียงใหม่ ได้เจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานระหว่างผู้แทนนายจ้างบริษัท จอร์จี้ แอนด์ ลู จำกัด กับผู้แทนลูกจ้าง เป็นครั้งที่ 5

โดยผลการเจรจาในข้อที่เหลือ บริษัทฯ ตกลงจ่ายโบนัสประจำปี 2556 โดยจะมีการประเมินผลงานก่อนสิ้นปีล่วงหน้าสองสัปดาห์ โดยจ่ายให้ตั้งแต่ 0 ถึง 3 เท่าของรายได้ และจะแจ้งรายละเอียดการประเมินผลงานรวมถึงเหตุผลการจ่ายโบนัสไว้ในแบบประเมินผลการปฏิบัติงานและรับว่าจะแจ้งให้พนักงานทุกคนได้รับทราบพร้อมถ่ายสำเนาแบบประเมินดังกล่าวให้ทุกคน

โดยทั้งสองฝ่ายได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างทั้งหมดดังนี้
 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวนราธิวาสร่วมละหมาดฮายัติให้กำลังใจรัฐบาล ขอ 'สุเทพ' เคารพกม.

Posted: 02 Dec 2013 04:00 AM PST

ผู้นำศาสนา ร่วมกันละหมาดที่มัสยิดกลางนราธิวาส ให้กำลังใจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และมุ่งทำงานเพื่อปชช. โดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนใต้ ในขณะที่อธิการบดีม.อิสลามยะลาร้องทุกฝ่ายเร่งแก้ไขความขัดแย้ง
 
 
2 ธ.ค. 2556 เว็บไซต์มติชนรายงานว่า เมื่อเวลา 12.30 น.  ที่มัสยิดกลางประจำจังหวัดนราธิวาส องค์กรผู้นำศาสนา องค์กรผู้นำการศึกษา องค์กรผู้นำท้องที่ และองค์กรภาคประชาสังคม  ร่วมกันละหมาดฮายัติและสวดดูอาร์ขอพรให้กำลังใจกับการทำงานของคณะรัฐบาล  ซึ่งถือว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยขอให้มุ่งมั่นในการทำงานเพื่อประชาชนต่อไปโดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมกันนี้หลังจากเสร็จสิ้นการละหมาดแล้วตัวแทนได้ยื่นหนังสือผ่านนายณัฐพงศ์  ศิริชนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ส่งกำลังใจต่อไปยังนางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และพ.ต.อ.ทวี  สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วย
 
ด้านนายอับดุลเราะห์หมาน อับดุลสมัด  ประธานสมาพันธ์กรรมการอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า การร่วมละหมาดขององค์กรต่างๆในครั้งนี้เป็นการแสดงน้ำใจของประชาชนในพื้นที่ที่อยากให้กำลังใจกับรัฐบาลในการทำงาน โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งทุกฝ่ายจะต้องสามัคคีกันเท่านั้นปัญหาทุกอย่างถึงจะจบ
 
ด้านนายอดุลย์  อารีหะหมัด ประธานกรรมการมัสยิดปาทานนราธิวาส  กล่าวฝากไปยังนายสุเทพ เทือกสุบรรณ  ให้เคารพกฎหมายบ้านเมืองพร้อมวอนอย่าดึงประเทศให้ต่ำลง ซึ่งขณะนี้ทุกประเทศกำลังพัฒนาเพื่อที่จะเข้าร่วมอาเซียน อย่าต้องทำให้ประเทศต้องล้าหลัง  อีกทั้งชาวมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกลุ่มนายสุเทพขณะนี้ 
 
อธิการบดีมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ออกแถลงการณ์ร้องทุกฝ่ายร่วมหาทางออก
 
อธิการบดีมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา (ม.ฟาฏอนี) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อิสมาอีลลุตฟีย์ จะปะกียา ได้ออกแถลงการณ์กรณีวิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทย โดยมีข้อความขอให้ทั้งสองฝ่ายใช้ความอดทน หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและใช้ความรุนแรง โดยแถลงการณ์ดังกล่าวส่งไปยังผู้เกี่ยวข้องรวมถึงสื่อมวลชนทุกแขนงเพื่อประชาสัมพันธิ์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
 
จากสถานการณ์วิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทย ซึ่งมีการชุมนุมของประชาชนเป็นจำนวนมาก ทั้งฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล ครอบคลุมพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการเผชิญหน้าและปะทะกันของผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่าย  อันจะก่อให้เกิดความเสียหายและส่งผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชนทั่วประเทศอย่างใหญ่หลวงและกว้างขวาง ทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา การเมืองและความมั่นคงของชาติ
 
ข้าพเจ้าในนามของอธิการบดีมหาวิทยาลัยฟาฏอนี (มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา) คณะผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากรและนักศึกษา ใคร่ขอแถลงและเสนอแนวทางแก้ปัญหาวิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองในครั้งนี้ ดังนี้
 
(1) สถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ในทัศนะของศาสนาอิสลาม ถือว่า เป็นฟิตนะฮฺ (ความโกลาหลและวุ่นวาย) ซึ่งเป็นหน้าที่ของพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าและศาสนิกชนทุกศาสนา โดยเฉพาะพี่น้องมุสลิมทั้งหลาย  ต้องร่วมกันยุติปัญหาความขัดแย้ง ร่วมกันหาทางออก ถ้าทุกฝ่ายเพิกเฉยไม่รีบหาทางยุติปัญหา  ความขัดแย้งเกิดที่เกิดขึ้นจะขยายตัว ลุกลามและบานปลาย  สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างใหญ่หลวง
 
(2) ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ  ผู้บริหารสถาบันการศึกษานักการเมืองทุกระดับ ข้าราชการฝ่ายพลเรือน ทหารและตำรวจ ผู้นำและผู้รู้ทางศาสนา ผู้นำองค์กรเอกชน นักธุรกิจ ผู้นำสตรี นิสิต นักศึกษา มาช่วยกันให้สติ  แนะนำ ตักเตือน ระดมความคิด สานเสวนา เพื่อระงับยับยั้งฝ่ายต่างๆที่กำลังขัดแย้งกัน ให้ใช้ความอดทน อดกลั้น หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง การเผชิญหน้าและปะทะกัน การละเมิดกฎหมาย ตลอดจนร่วมกันผลักดันให้ทุกฝ่ายหันมาใช้กระบวนการสันติวิธีและการสานเสวนา พูดคุยเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกัน
 
(3 ) ตามหลักการอิสลาม ความขัดแย้งและแตกแยกกันของประชาชน ถือเป็นสิ่งมุนกัร (สิ่งที่มิชอบ) สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติเป็นอย่างมาก จึงเป็นหน้าที่ของประชาชน ทั้งที่เป็นมุสลิมและศาสนิกอื่นจะต้องช่วยกันหาทางยุติความขัดแย้งและนำความสันติสุขสมานฉันท์ของประชาชนให้กลับคืนมา ทั้งด้วยอำนาจ (มือ)  คำพูดและใจของเขา
 
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทย  ทั้งที่เป็นมุสลิมและศาสนิกอื่นทั้งหลาย  ช่วยกันเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ย เสนอแนะทางออก เพื่อให้เกิดความปรองดอง ความรักสามัคคีและความสันติสุขสมานฉันท์ของคนในประเทศ หลีกเลี่ยงการยั่วยุและเติมเชื้อไฟแห่งความขัดแย้งให้เกิดความแตกแยก การปะทะและเผชิญหน้ากันของประชาชน
 
นอกจากนั้น ในการเข้าไปมีบทบาทในการนาซีฮัต (ตักเตือน) และระงับยับยั้งในสิ่งมุนกัร (สิ่งที่มิชอบ) นั้น ขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายใช้วิธีการที่ดี มีมารยาท สุภาพอ่อนโยน ละมุนละม่อม อดทน อดกลั้น บนพื้นฐานของหลักการศาสนาและกฎหมาย
 
 ศาสนาอิสลามห้ามมิให้ใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง เช่น การด่าทอ นินทาว่าร้าย พูดจากหยาบคาย ไม่สุภาพ พูดเท็จ ลามกอนาจาร การละเมิด โจมตีใส่ร้าย ตลอดจนการละเมิดกฎหมาย เป็นต้น
 
 (4) ขอเรียกร้องให้บรรดาสื่อมวลชนทุกแขนง ใช้สื่อในสังกัดนำเสนอทางออก ยุติความแตกแยก และความขัดแย้งของประชาชน โปรดหลีกเลี่ยงการนำเสนอข่าวในลักษณะที่เป็นการยั่วยุและเติมเชื้อไฟความขัดแย้งให้ลุกลาม บานปลาย  เพราะ ผู้ที่บอบช้ำและเสียหายมากที่สุดจากวิกฤติครั้งนี้ คือ ประเทศชาติและประชาชน
 
สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์ทรงโปรดคุ้มครองให้ปลอดภัยจากไฟแห่งฟิตนะห์ (ความวุ่นวายและแตกแยกกันของประชาชน) ซึ่งมันไม่ใช่เพียงแค่การสร้างความเสียหายและส่งผลกระทบเฉพาะคู่ขัดแย้งเท่านั้น แต่มันจะส่งผลและสร้างความเสียหายต่อพี่น้องประชาชนส่วนอื่นๆที่บริสุทธิ์และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน
 
ขอเชิญชวนชนชาวไทยทุกภาคส่วน ผนึกกำลังกัน ร่วมฝ่าวิกฤติ ยุติความขัดแย้ง นำสันติสุขและความรู้รักสามัคคีของประชาชนกลับคืนมาโดยเร็วที่สุด
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลอนุมัติหมายจับ ‘สุเทพ’ ข้อหากบฏแล้ว

Posted: 02 Dec 2013 03:46 AM PST

ศาลอาญาอนุมัติหมายจับ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.แล้ว พร้อมทั้ง 4 แกนนำ คปก. ข้อหามั่วสุม ร่วมกันบุกรุกและร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ 

2 ธ.ค.2556 ศาลอาญาอนุมัติหมายจับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ในข้อหา "ร่วมกันเป็นกบฏ, กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริตเพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดืองในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฏหมายแผ่นดิน, มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญ ว่าจะใช้กำลังปะทุษร้าย หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยมีอาวุธ โดยเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ และเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกไปแต่เลิก" แล้ว

นอกจากนี้ศาลได้ออกหมายจับ นายนิติธร ล้ำเหลือ นายอุทัย ยอดมณี นายรัชต์ชยุตม์ ศิรโยธินภักดี และนายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.)  ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการโดยใช้กำลังประทุษร้ายในเวลากลางคืน และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมาย มาตรา 215 , 358และ 365 กรณีที่นายนิติธร กับพวกพามวลชนคปท.บุกเข้าไปในกระทรวงการต่างประเทศวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา  

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักวิชาการ "กลุ่มพลเมืองเพื่อสันติ" เสนอทุกฝ่ายเจรจา และเลี่ยงความรุนแรง

Posted: 02 Dec 2013 03:30 AM PST

กลุ่มพลเมืองเพื่อสันตินำโดยสุริชัย - วีรพัฒน์ - โคทม เสนอให้ทุกฝ่ายโดยเฉพาะแกนนำผู้ชุมนุม และ จนท. ผู้ควบคุมการชุมนุม ดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อเลี่ยงความสูญเสีย และให้มีการเจรจาทั้งแบบทางการและไม่เป็นทางการ และเสนอให้รัฐบาลเปิดพื้นที่ให้ทุกๆ ฝ่ายร่วมกันเสนอทางแก้วิกฤต

2 ธ.ค. 56 - ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเวลา 16.30 น. "กลุ่มพลเมืองเพื่อสันติ" นำโดยสุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ โคทม อารียา ฯลฯ ได้ออกแถลงการณ์ในนาม "กลุ่มพลเมืองเพื่อสันติ" ประกอบด้วย นักวิชาการหลายมหาวิทยาลัย พลเมืองที่ทำงานด้านอาสาสมัคร และผู้ติดตามสถานการณ์ ขอเสนอต่อผู้รับผิดชอบทุกฝ่ายดังนี้

หนึ่ง ขอให้ทุกฝ่ายดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อป้องกันการสูญเสีย พร้อมเยียวยาหากเกิดความสูญเสีย ผู้นำทุกฝ่ายทั้งรัฐบาลและผู้นำการชุมนุม ต้องกำชับไม่ให้พกพาอาวุธ และทุกฝ่ายให้หยุดการใช้ภาษาที่เกลียดชัง

กลุ่มพลเมืองเพื่อสันติ เรียกร้องให้มีการหลีกเลี่ยงการปะทะด้วยกำลัง และหน่วยแพทย์ฉุกเฉินต้องดูแลทุกฝ่ายตามหลักมนุษยธรรม

สอง เสนอให้มีกรอบเจรจาตามหลักนิติรัฐ และเจรจาไม่เป็นทางการหลายๆ ช่องทาง และการเจรจาที่เป็นทางการ ให้คนกลางทำหน้าที่อำนวยความสะดวก มากกว่าที่จะมีอิทธิพลหรืออำนาจในการพูดคุย ภาคีขัดแย้ง

นอกจากนี้ยังเสนอให้สื่อมวลชนมีบทบาทในการจัด "การเจรจาจำลอง" เพื่อให้ฝ่ายเห็นต่างทุกฝ่าย มาร่วมเจรจาจำลอง เพื่อให้เกิดเรียนรู้ร่วมกันในสังคม

สาม เสนอให้เปิดพื้นที่ความคิดฝ่าวิกฤตอย่างสร้างสรรค์ เสนอให้รัฐบาลที่ทำหน้าที่ตัวแทนประชาชน สนับสนุนการจัดพื้นที่ โดยให้ฝ่ายวิชาการ ฝ่ายประชาสังคม ฝ่ายธุรกิจเข้ามามีบทบาท และเสนอให้สื่อมวลชนได้ให้ความสำคัญกับพื้นที่ความคิดนี้ เพื่อให้สังคมฝ่าวิกฤตสร้างสรรค์สู่ภาวะปกติโดยเร็ว โดยให้ช่วยกันฝ่าฝันวิกฤตเฉพาะหน้า มีเวทีที่ถกเถียงเรื่องเนื้อหาสาระ เพื่อให้นำไปสู่ปฏิบัติการต่อไป

นอกจากนี้มีข้อเสนอต่อผู้นำหน้าที่ผู้บริหารสถาบันวิชาการ ต้องเอื้ออำนวยการเข้าร่วมแสดงออกของนักวิชาการ แบบไม่สนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยตรง และขอให้ทุกคนช่วยกันดำเนินการเพื่อความสงบสุขของสังคมต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น