โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

นักข่าวพลเมือง: นักสังคมสงเคราะห์โคราชชี้ปัญหาเด็กหญิงแม่เด็กชายพ่อกำลังเป็นระเบิดเวลาที่ร้ายแรง

Posted: 31 Jul 2010 07:47 AM PDT

<!--break-->

วานนี้ (30 กค.53) จากการเสวนาเรื่อง “สถานการณ์เด็กในพื้นที่ภาคอีสาน” ในโครงการอบรมเชิงปฎิบัติการ “พิราบน้อยยูนิเซฟภาคอีสาน รุ่นที่ 6” จัดโดย สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ร่วมกับ เครือข่ายบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาคอีสาน โปรแกรมวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา และคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล โดยการสนับสนุนของ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย โดยมีนักศึกษานิเทศศาตร์จากทั่วภาคอีสานเข้าร่วม 34 คน มีนางสาวทิพวรรณ ตันสุริยวงษ์ นักสังคมสงเคราะห์ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.นครราชสีมา และ นายพีซ งามจิตร ผู้ประสานงานกลุ่ม ตะขบป่า องค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านเด็ก เป็นวิทยากรร่วมในการเสวนา

นางสาวทิพวรรณ ตันสุริยวงษ์ นักสังคมสงเคราะห์ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.นครราชสีมา กล่าวว่า สถานการณ์ปัญหาเด็กในพื้นที่ภาคอีสานมีหลายปัญหาแต่ตนคิดว่าเรื่องเด็กออก จากโรงเรียนกลางครันเพราะท้อง หรือไปทำแท้ง มีมากขึ้นเรื่อย ๆ กำลังเป็นเรื่องใหญ่ เหมือนระเบิดเวลาของสังคม เด็กที่มาฝากท้องอายุน้อยลง มีจำนวนมากขึ้น และก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมามากมาย ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ผู้ชายจะไม่รับผิดชอบปล่อยให้ฝ่ายหญิงเผชิญปัญหาตามลำพัง ต้องเลิกเรียน เลี้ยงลูก ต่อมาทิ้งลูกไปทำงานปล่อยให้ตายายเลี้ยง เด็กก็เติบโตอย่างขาดความอบอุ่น ก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีก เด็กบางรายถูกทั้งพ่อแม่ทิ้ง ต้องมีพ่อแม่บุญธรรม เหมือนบาปซ้ำกรรมซัดไปเจอพ่อแม่บุญธรรมแยกทางภายหลัง ต้องไปอยู่กับแม่ แม่ก็เครียดหลายอย่างทุบตีจนต้องเป็นคดีความ

นายพีซ งามจิตร ผู้ประสานงานกลุ่มตะขบป่า เผยตนคิดว่าการที่เด็กไม่มีความรู้เท่าทันเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด เมื่อไม่รู้เท่าทันก็ก่อให้เกิดท้องก่อนวัย ทำแท้ง ติดเอดส์ ยาเสพย์ติด ค้ามนุษย์ ตามมา การป้องกันไม่ให้เกิดก็คิดต้องฝึกให้เขารู้จักคิด รู้จักแยกแยะ สื่อมวลชนก็ต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ในการเสนอข่าว คือต้องเห็น “เด็กไม่ใช่ตัวปัญหา” แต่คือ ”ผู้เผชิญกับปัญหา” จึงจะไม่ซ้ำเติมและร่วมกันแก้ปัญหาเด็กได้

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

บิ๊กจิ๋วเปิดศูนย์พรรคเพื่อไทยภาคใต้ ต้อนเสื้อแดงสงขลา 5 พันสมัครเป็นสมาชิก

Posted: 31 Jul 2010 07:41 AM PDT

<!--break-->

เมื่อเช้าวันที่ 31 กรกฎาคม 2553 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางมายังจังหวัดสงขลาบ้านเลขที่ 47 หมู่ 6 ตำบลควนลัง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อเป็นประธานเปิดศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทย ฝั่งอ่าวไทย (จังหวัดสงขลา) โดยมีนายไสว ณ พัทลุง ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทยจังหวดสงขลา นายสมพงษ์ สระกวี อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สงขลา และบรรดากลุ่มคนเสื้อแดงที่เดินทางมาจากจังหวัดต่าง เช่น ตรัง สตูลและสงขลามาต้อนรับกว่า 300 คน

โดยพล.อ.ชวลิต เดินทางมาพร้อมสมาชิกพรรคเพื่อไทย เช่น นายพิเชษฐ สถิรชวาล รองประธานพรรคเพื่อไทย(ภาคใต้) พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารบก นายเด่น โต๊ะมีนา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) จังหวัดปัตตานี พล.ต.ท ฉลอง สมใจ เลขาธิการพรรค และดร.สุรชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้เปิดศูนย์ประสานงานพรรคแห่งแรกในภาคใต้ที่จังหวัดภูเก็ต ศูนย์ที่สองที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และศูนย์ที่สามที่จังหวัดสงขลา ซึ่งจะดูแล 5 จังหวัดภาคใต้

“เราไม่ได้คำนึงว่าพื้นที่นี้เป็นของใคร ไม่ว่าสงขลาหรือที่ไหนก็เป็นพื้นที่ของพี่น้องประชาชนคนไทย เมื่อพวกเขามีความทุกข์ เราต้องเข้ามาช่วยเหลือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้นการเข้ามาของพรรคเพื่อไทยในภาคใต้ ไม่ได้มุ่งหวังมาสร้างความขัดแย้งหรือต่อสู้กับใคร เรามุ่งหวังต่อความสุขและการแก้ปัญหาของประชาชนเท่านั้น” พล.อ.ชวลิต กล่าว

“เราไม่ได้มุ่งหวังจำนวนส.ส.ในภาคใต้หรือสงขลาในขณะนี้ เพราะยังไม่เป็นจุดมุ่งหมาย จุดมุ่งหมายของพรรคเพื่อไทยขณะนี้ คือการสับน้ำตาแก้ไขปัญหาปลดเปลื้องความทุกข์ให้พี่น้องประชาชน นั่นคือหัวใจของพรรค”

“พี่น้องประชาชนจะบอกเราเองว่า ต้องการอะไร อยากให้เราทำอะไร ถ้าเขาอยากให้เราเป็นตัวแทนของเขาในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขาก็จะบอกกับเราเองว่า พรรคเพื่อไทยต้องเอาคนนี้นะ ไม่ใช่เราเสนอว่า คุณต้องเอาคนนี้ มันต้องเป็นหน้าที่ของพี่น้องประชาชน” พล.อ.ชวลิต กล่าว

พล.อ.ชวลิต กล่าวถึงการนโยบายการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของพรรคเพื่อไทยด้วยว่า นูซันตาร่า เป็นความยิ่งใหญ่ที่มีมาในอดีตกาลในพื้นที่ภาคใต้ที่เรียกว่า ระเบียงเม๊กกะ เป็นศูนย์แห่งความรู้ การศึกษา ความเจริญก้าวหน้าและการค้าขาย

“มันเป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจ แต่ปัจจุบันมันหายไปไหน ดังนั้นเพื่อให้นูซันตาร่ากลับมา เพื่อสร้างสันติภาพสร้างความสุขให้พื้นที่เหมือนอดีตกาลให้จงได้ จะมีคอนเซ็ปต์(คำนิยาม)อยู่หลายอย่าง คือ

1.การเอาความยิ่งใหญ่กลับคืนมาภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร

2.ต้องอยูในคำนิยามสังคมดอกไม้หลากสี หรือสังคมภูมิบุตร ประกอบด้วย ไทยพุทธ มุสลิม อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

3.เป็นสังคมที่พี่น้องมีอำนาจในการปกครองและดูแลในระดับหนึ่งที่อยู่ภายใต้กฎหมาย” พล.อ.ชวลิต กล่าว

ต่อข้อถามที่ว่า ส.ส. กลุ่มดาวะห์ที่สังกัดพรรคไทยรักไทยเดิมและมีฐานเสียงอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แตกออกไปอยู่พรรคต่างๆ จะจัดการอย่างไร พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า “เรื่องของส.ส. ไม่ใช่เป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องของพี่น้องประชาชนจะดูเองว่า ใครจะเหมาะสมที่จะเข้ามาทำงานให้ ไม่ใช่เข้ามาแล้วละทิ้งประชาชน”

“เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครที่ต้องการสมัครมาเป็น ส.ส. เรารับหมด จากนั้นส่งให้ประชาชนคัดเลือกว่าจะให้พรรคส่งใคร ไม่ใช่เราไม่แคร์ ส.ส.กลุ่มวาดะห์ เราแคร์ทุกคนเราจึงบอกว่า ให้ท่านเข้ามาเถอะเรามีขั้นตอนในการคัดเลือกโดยถามจากประชาชนในพื้นที่” พล.อ.ชวลิต กล่าว

นายไสว ณ พัทลุง ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทยจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นแกนนำคนเสื้องแดงในจังหวัดสงขลา กล่าวว่า เมื่อพล.อ.ชวลิตตั้งใจเปิดศูนย์ประสานงานพรรคขึ้นที่จังหวัดสงขลา ตนก็ยินดีต้อนรับและจะดึงสมาชิกกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งหมดมาเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย

“ขณะนี้ถ้านับสมาชิกพรรคเพื่อไทยในจังหวัดสงขลามีไม่ถึง 100 คน แต่ถ้าเป็นคนเสื้อแดงที่มีความรักต่อประชาธิปไตย ขณะนี้ที่ผมมีรายชื่ออยู่ประมาณ 5,000 กว่าคน”

นายไสว กล่าวต่อว่า ความคาดหวังของจำนวนส.ส.นั้นยังไม่พูดถึง ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนที่หนึ่งคือการตั้งศูนย์ประสานงานพรรคก่อน หลังจากนี้จะระดมคน สมอง ความคิด ให้เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคให้มากและจะขยายไปยังอำเภอ ตำบลและหมู่บ้านต่างๆโดยเข้าไปปราศรัยนโยบายให้ประชาชนฟังว่า พรรคจะทำอะไร พรรคจะให้เกียรติคนสงขลาในการแสดงความคิดเห็นนั่นคือขั้นที่สอง ส่วนขั้นที่สาม คือ จะให้สมาชิกทั้งหมดในจังหวัดสงขลา มาคัดเลือกกันเองว่า ใครจะเป็นตัวแทนลงสมัครในเขต 1 2 3 โดยจะไม่เอาคนที่มาจากที่อื่น สิ่งที่สำคัญคือจะไม่เลือกคนด้วยเงิน

นายไสว ถึงกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาร่วมงานด้วยว่า ไม่ได้มาเพื่อแสดงพลังก่อกวน แต่มาด้วยสายเลือดรักประชาธิปไตย ดังนั้นคนเสื้อแดงถ้ารู้ก็จะมาเข้าร่วมกับพรรคเอง ซึ่งมีจำนวนมาก ถ้าจะเอารถไปขนมาคงไมไหว

“ผมทำทุกอย่างเพื่อพรรคเพื่อไทย เพราะผมรักและนับถือพล.อ.ชวลิต ผมเคยเป็นสมาชิกพรรคความหวังใหม่ของพล.อ.ชวลิตมาก่อน ในเมื่อเจ้านายมาอยู่พรรคเพื่อไทยผมก็ต้องมา”

“ในฐานะที่ผมสนับสนุนคนเสื้อแดงให้ตกระกำลำบาก ไปเจ็บที่กรุงเทพมานาน เป็นการสนับสนุนและการช่วยเหลือของผมทั้งหมด ทางรัฐบาลก็ประกาศว่า ผมเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังสนับสนุนเสื้อแดง ผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะที่ผมช่วยไม่ใช่ให้ไปเผาบ้านเผาเมือง แต่ช่วยเพื่อให้ไปรักษาประชาธิปไตย”

ก่อนหน้านี้เมื่อวันนี้ 30 กรกฎาคม 2553 พล.อ.ชวลิต เดินทางไปเปิดที่ทำการศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทย ฝั่งอ่าวไทย (นครศรีธรรมราช) ที่อาคารพาณิชย์หน้าโรงแรมทวินโลตัส ตำบลปากนคร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีนายพิเชษฐ พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง ที่ปรึกษาประธานภาคใต้ พรรคเพื่อไทย นายวิโรจน์ วรินทรเวช ประธานศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทยนครศรีธรรมราชและบรรดาแกนนำในพื้นที่ภาคใต้ราว 200 คน รวมทั้ง นายสุรชัย แซ่ด่าน แกนนำกลุ่มแดงสยามต้อนรับ
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เครือข่ายอนุรักษ์อ่าวไทยจับมือประสานรอบเกาะสมุย ค้านโครงการเจาะน้ำมันอ่าวไทย

Posted: 31 Jul 2010 07:18 AM PDT

<!--break-->

 

ที่มาภาพ: ครอบครัวข่าว

31 ก.ค.53 - เวลาประมาณ 10.30 น.ที่หน้าที่ว่าการอำเภอเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี นายมนตรี เพ็ชรขุ้ม นายกองค์การบริหารสวนจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นแกนนำกล่าวปราศรัยโจมตีรัฐบาล ที่อนุมัติโครงการสำรวจขุดเจาะน้ำมันให้กับบริษัท นิวคัสตอล ประเทศไทยจำกัด

ขณะที่ได้มีกลุ่มเครือข่ายอนุรักษ์อ่าวไทย ได้นำกลุ่มเพื่อน ๆ นำน้ำมันราดตัวให้เป็นคราบน้ำมันที่มาจากทะเล เพื่อเป็นการล้อเลียน มาร่วมกันประท้วง และมีนักศึกษาจากราชภัฎสุราษฎร์ธานี และประชาชนแนวร่วมเครือข่ายจาก อ.ท่าศาลา อ.สิชล อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช รวมทั้งเครือข่ายอนุรักษ์อ่าวไทยจาก อ.เกาะพะงัน เกาะเต่า

ขณะที่เครือข่ายแนวร่วมที่เป็นแกนนำหลักเช่น นายรามเนตร ใจกว้าง นายกเทศมนตรีเมืองเกาะสมุย ในนามประธานเครือข่ายอนุรักษ์อ่าวไทย นำนักเรียนเยาวชน และพนักงานโรงแรม ในเกาะสมุย เพื่อแสดงพลัง ของประชาชนชาวเกาะที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายที่รัฐบาลอนุญาตให้สัมปทานบริษัทเอกชนเข้ามาขุดเจาะเพื่อสำรวจปิโตรเลียมในบริเวณเกาะสมุย เกาะเต่า และเกาะพงัน ที่ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ

โดยมีประชาชนทยอยเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ที่ยืนจับมือกันอยู่ริมถนน พร้อมชูป้ายข้อความการต่อต้าน ขณะที่นายรามเนตร ใจกว้าง ประธานเครือข่ายอนุรักษ์อ่าวไทย ให้สัมภาษณ์กับผื่อข่าวว่า วันนี้เป็นรัมพลังของชาวเกาะสมุย เป็นครั้งประวัติศาสตร์ และเป็นที่น่าพอใจ ในส่วนที่จะนำจดหมายปิดผนึกที่สงไปให้นายกรัฐมนตรี
คาดว่าจะรู้ผลภายในวันที่ 5 ที่จะถึงนี้ หากยังไม่ได้รับการตอบรับหรือไร ในกลุ่มอนุรักษ์เครือข่ายอ่าวไทยก็ต้อง มีการเรียกร้องต่อไปเพื่อต้องการให้รัฐบาลคิดทบทวน

ที่มาข่าว:

พลังมวลชนเครือข่ายอนุรักษ์อ่าวไทยพร้อมใจจับมือรอบเกาะสมุย (ครอบครัวข่าว, 31-7-2553)
http://www.krobkruakao.com/kkn/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/22256/%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%A2.html

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สธ. เตรียมแจง "มาร์ค" ยันชดเชยชาวบ้านหนองปลาไหล 5 ล้านไม่ได้

Posted: 31 Jul 2010 06:30 AM PDT

สธ. เตรียมแจง "มาร์ค" ยันชดเชยชาวบ้านหนองปลาไหลกรณีพิษจากบ่อขยะ 5 ล้านบาทไม่ได้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานชี้ชัดได้ว่าเกิดการเจ็บป่วยของชาวบ้านตามที่ร้องเรียน  และการเบิกจ่ายเงินเพื่อนำไปชำระหนี้ส่วนตัวถือว่าผิดระเบียบ
<!--break-->

สธ.เตรียมหอบเอกสารชี้แจงนายกฯ ยันไม่สามารถจ่ายชดเชย 5 ล้านบาท ให้ห้องแล็ปเอกชนที่ตรวจสุขภาพชาวบ้านใกล้บ่อขยะสระบุรีได้ หลังพบว่าไม่ปรากฏข้อมูลชี้ชัดว่าชาวบ้านป่วยจริง อีกทั้งผลสรุปของกรมควบคุมมลพิษ ยืนยันว่าบ่อขยะไม่ได้ปล่อยมลพิษในพื้นที่

ความคืบหน้ากรณีชาวบ้าน ต.หนองปลาไหล  อ.เมือง จ.สระบุรี  เข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้เร่งแก้ไขปัญหามลภาวะที่เกิดขึ้นจากการฝังกลบกากขยะอุตสาหกรรมของบริษัทเบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน)  ล่าสุด  มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขเตรียมเอกสาร หลักฐาน เข้าชี้แจงต่อนายกรัฐมนตรี  โดยเฉพาะกลุ่มผู้ร้องได้ขอให้มีการอนุมัติเงินกับ  2  บริษัทเอกชน  ที่เข้ามาดำเนินการตรวจสุขภาพของชาวบ้านในพื้นที่เป็นเงินกว่า 3 ล้านบาท  และการชดใช้หนี้สินให้แก่บุคคลภายนอกที่กู้ยืมมา 2.45   ล้านบาท  รวมเป็นเงินกว่า 5 ล้านบาท  แต่ได้รับการปฏิเสธจากกระทรวงสาธารณสุข  เนื่องจากการเบิกจ่ายไม่เป็นไปตามระเบียบสำนักและระเบียบกระทรวงการคลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนเงินที่กู้ยืมจากบุคคลภายนอก ที่ไม่มีหลักฐานใดๆ ในการใช้เงิน แม้ว่าจะอ้างว่าเป็นการนำไปใช้ในการรักษาสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ก็ตาม  

แหล่งข่าวจากคณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริงในการแก้ไขปัญหาสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข  เปิดเผยว่า   คณะกรรมการฯ ได้ทำรายงานความเห็นต่อเลขาธิการนายกฯ ว่า  ไม่สามารถอนุมัติจ่ายเงินได้  เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่สามารถชี้ชัดได้ว่าเกิดการเจ็บป่วยของชาวบ้านตามที่มีการร้องเรียน  อีกทั้งการขอเบิกจ่ายเงินเพื่อนำไปชำระหนี้ส่วนตัวนั้น ถือว่าผิดหลักและระเบียบ  โดยยืนยันว่า  การพิจารณาของคณะกรรมการฯ เป็นไปอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบ  ซึ่งสอดคล้องกับผลสรุปจากการประชุมของกรมอนามัย  ซึ่งที่ประชุมไม่แน่ใจในผลตรวจสุขภาพของประชาชนว่าเกิดจากบ่อขยะ  เพราะจากการตรวจสอบพบว่า  ข้อมูลมีความคลุมเครือ  โดยกลุ่มประชากรตัวอย่างไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจนว่าเป็นบุคคลใด อาศัยอยู่ในพื้นที่จริงหรือไม่  หรือแม้กระทั่งผลการตรวจวัดสาร  VOCs ในบริเวณพื้นที่ใกล้บ่อขยะ ที่กรมควบคุมมลพิษยืนยันว่า ไม่เกินค่าเฝ้าระวังในบรรยากาศทั่วไป

ด้านนายธีรพล  สังสกฤษ ทนายความบริษัท BWG เปิดเผยว่า  กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ร้องเรียนไปยังหน่วยงานราชการต่างๆ มากมาย  เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ  อาทิ  กองทุนสิ่งแวดล้อม  งบประมาณไทยเข้มแข็ง  โดยที่ผ่านมา 3 กระทรวงหลัก ประกอบด้วย กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงสาธารณสุข  ต่างยืนยันว่าไม่พบว่ามีการปล่อยมลพิษตามที่ร้องเรียนแต่อย่างใด  อีกทั้งศาลปกครองและศาลอาญา ก็มีคำพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากพิเคราะห์แล้วว่าบริษัทได้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

ที่มาข่าว:

สธ.เตรียมแจงมาร์คชดเชยชาวบ้านบ่อขยะสระบุรีไม่ได้‏ (คมชัดลึก, 29-7-2553)
http://www.komchadluek.net/detail/20100729/68181/%E0%B8%AA%E0%B8%98.%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%8A%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E2%80%8F.html

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ในหลวงรับสั่งให้แก้ปัญหานํ้าแบบบูรณาการ รัฐบาลผุดโครงการ 1 จังหวัด 1 แหล่งนํ้า

Posted: 31 Jul 2010 06:12 AM PDT

<!--break-->

 

เมื่อเวลา 18.10 น. วันที่ 30 ก.ค.  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินออก ณ  ห้องประชุม ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายสุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร นำคณะผู้บริหารสถาบันสารสนเทศน้ำและการเกษตร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวม 12 คน เฝ้าฯกราบบังคมทูลรายงานสรุปสถานการณ์น้ำประเทศไทยปี พ.ศ. 2552 และเดือน ม.ค.-มิ.ย. ปี พ.ศ. 2553 การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การคาดการณ์สภาพอากาศประเทศไทย ปีพ.ศ. 2553 การปรับปรุงสถานีโทรมาตร ตรวจวัดสภาพอากาศอัตโนมัติและระบบโทรมาตร เพื่อสนับสนุนการจัดการปัญหาภัยแล้ง และผลการประกวดการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ ครั้งที่ 3 กับรับพระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับการดำเนินงานของสถาบันฯ
   
ในการนี้ รายงานสรุปสถานการณ์น้ำในประเทศไทยนั้น รวมรวบข้อมูลโดยการสนับสนุนจากหน่วยงานราชการและหน่วย งานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ผ่านระบบเครือข่ายเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ำแห่งประเทศไทย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำริให้ดำเนินการตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2541 และระบบดังกล่าวสามารถ  ใช้งานได้จริงในปี พ.ศ. 2545 ปัจจุบันได้ขยายผลการดำเนินงานเพิ่มเติม โดยการ  พัฒนาระบบคลังข้อมูล สภาพอากาศประเทศไทย เพื่อให้ได้ข้อมูลสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่ของประเทศ เนื่องจากเป็นข้อมูลที่    จำเป็นในการนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจในการบริหารจัดการ ในปีที่ผ่านมานั้นพบว่า มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั้งปี 1,403 มิลลิเมตร ซึ่ง  ขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 2 ในช่วงเดือน   ม.ค.-ส.ค. พ.ศ. 2552 มีปริมาณน้ำฝนมาก และต่ำลงในช่วงปลายปี เนื่องจากอิทธิพลของเอลนินโญ่ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรม    ชาติอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดภัยแล้ง น้ำท่วม และรูปแบบของฝน และอุณหภูมิที่มีการผันแปรในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก อีกทั้ง  ฝนที่ตกหนักจากพายุเพียงหนึ่งครั้ง ถูกพายุไต้ฝุ่นกฤษณา เป็นเหตุให้มีน้ำไหลเข้าเขื่อนภูมิพลสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ 311 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ส่วนในปีนี้ นับตั้งแต่เดือน ม.ค. ถึงเดือน มิ.ย. พ.ศ. 2553   พบว่ามีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 381 มิลลิเมตร  ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถึงร้อยละ 22 เนื่องจาก อิทธิพลของเอลนินโญ่ต่อเนื่องจากปลายปีที่ผ่านมา
   
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงพสกนิกรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง เนื่องจากปริมาณน้ำในเขื่อนเหลือน้อย ซึ่งได้พระราชทานฝนหลวงพิเศษ เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว โดยการติดตั้งสถานีโทรมาตร ตรวจวัดสภาพอากาศ  ปริมาณน้ำฝน และวัดระดับน้ำเสริมระบบโทรมาตรเดิมบริเวณเขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก และเขื่อน ป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี รวมทั้งพัฒนาระบบรายงานสนับสนุนการปฏิบัติการฝนหลวงพระราชทานใน 4 เขื่อนดังกล่าว และต่อเชื่อมข้อมูลในระบบโทรมาตรเดิม ในพื้นที่เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น
   
โดยแสดงผลผ่านระบบอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถืออีกทางหนึ่งด้วย ด้วยสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่พบว่าเกิดปรากฏการณ์เอลนินโญ่และลานิน ญ่าซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิน้ำในมหา สมุทรแปซิฟิกผิดปกติไปจากค่าเฉลี่ย คือ หากอุณหภูมิในมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณ    ใกล้ประเทศฟิลิปปินส์สูงกว่าปกติก็จะเป็นปรากฏการณ์ลานินญ่า ประเทศไทยก็จะมีฝนตกหนัก ในทางตรงกันข้าม หากอุณหภูมิบริเวณนั้นต่ำกว่าปกติ ก็จะเป็นปรากฏการณ์เอลนินโญ่ ประเทศไทยก็จะมีฝนน้อย
   
สำหรับการปรับปรุงสถานีโทรมาตร ตรวจวัดสภาพอากาศอัตโนมัติได้ดำเนินการ  ปรับปรุงแล้ว 439 สถานีทั่วประเทศ ใน  จำนวนนี้มีสถานีโทรมาตรในพื้นที่ จ.นราธิวาส   จ.ปัตตานี และจ.ยะลา 31 สถานี แล้วยังติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดความเร็วลม 110 ชุด ในสถานีโทรมาตรดังกล่าว เพื่อนำข้อมูลไปประมวลผลจัดทำแผนที่ลมติดตามการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศต่อไป ส่วนผลการประกวดการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริครั้งที่ 3 ซึ่งมีชุมชนทั่วประเทศร่วมกันประกวดได้พบ 6 แบบอย่างความสำเร็จของชุมชนที่ได้น้อมนำแนวพระราชดำริไปประยุกต์ใช้จนเกิดผลสำเร็จ ได้แก่ การจัดผังน้ำ และระบบส่งน้ำชุมชน การจัดทำฝายชะลอน้ำรูปแบบต่าง ๆ การรักษาแหล่งน้ำด้วยการทำการเกษตรอินทรีย์ การจัดการน้ำของชุมชนบริเวณป่าต้นน้ำด้วยการปลูกหญ้าแฝก การรักษาป่าต้นน้ำด้วยภูมิปัญญาและประเพณีตามวิถีชุมชน รวมทั้งการจัดการป่าต้นน้ำเพื่อประโยชน์สูงสุด           

ทางด้านนายเฉลิมเกีรยติ แสนวิเศษ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสเรื่องการบริหารจัดการน้ำโดยทรงมีพระราชประสงค์ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องน้ำทั้งประเทศ ทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ เพื่อเตรียมวางแผนร่วมกันรับมือปัญหาน้ำที่จะขาดแคลนมากขึ้น โดยให้มุ่งเน้นการบริหารน้ำและบริหารแหล่งน้ำที่มีอยู่ให้มีการจัดการที่ร่วมมือกันแก้ไขอย่างจริงจัง โดยเฉพาะขณะนี้น้ำสำรองของประเทศมีอย่างจำกัด หากทุกหน่วยงานไม่มองภาพรวมว่าจะประหยัดน้ำกันอย่างไร ในอนาคตจะเกิดปัญหาหนักมากขึ้น ทั้งน้ำที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า และน้ำเพื่อการเกษตร ต้องมองหาจุดที่จะใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยไม่เน้นด้านใดด้านหนึ่งมากไป นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานเรื่องการสร้างประตูกันลำน้ำเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในพื้นที่ได้ทั้งหน้าแล้งและระบายออกแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ปล่อยน้ำทิ้งออกทะเลหรือลงสู่แม่น้ำโขงโดยสูญเปล่า รวมทั้งการสร้างแหล่งน้ำชุมชน ฝายชะลอน้ำให้เกิดความชุ่มชื้นและให้สภาพป่ามีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น
   
นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังประชุมผู้บริหารระดับสูงว่า กระทรวงเกษตรฯเตรียมทำโครงการหนึ่งแหล่งน้ำหนึ่งจังหวัด เพื่อให้การจัดหาแหล่งน้ำเป็นไปอย่างทั่วถึงและตรงตามความต้องการของชุมชนทั้งประเทศ โดยได้สั่งการให้   เกษตรและสหกรณ์จังหวัดไปทำงานบูรณาการ  กับหน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ ทั้งหมดในแต่ละจังหวัดเพื่อร่วมกันจัดหาพื้นที่สร้างแหล่งน้ำในแต่ละจังหวัด ภายใต้โครงการพัฒนาระบบการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรระดับจังหวัด โดยให้แต่ละจังหวัดทำแผนเบื้องต้นในการปฏิบัติการตามโครงการดังกล่าวกลับมาที่ประชุมผู้บริหารกระทรวงฯภายในวันที่ 20 ส.ค. โดยวางเป้าให้โครงการดังกล่าวสามารถเริ่มขับเคลื่อนได้ภายในงบประมาณปี 2554 นี้ หรืออย่างช้าต้นปี 2554 จะต้องมีการเริ่มโครงการได้ทันที โดยจะนำร่อง 2 เขต 9 จังหวัดที่มีความพร้อม ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว นครนายก สมุทรปราการ ระยอง ชลบุรี จันทบุรี และตราด ซึ่งการจัดหาแหล่งน้ำในจังหวัดเหล่านี้อาจจะไม่ใหญ่มาก แต่เน้นในเรื่องการขยายระบบการกระจายน้ำในพื้นที่ชลประทานอย่างมีประสิทธิภาพและใช้น้ำได้เต็มศักยภาพ 
   
รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า ขณะนี้ชาวนา สามารถเริ่มปลูกข้าวนาปีได้แล้ว เนื่องจากสถานการณ์น้ำเริ่มคลี่คลายในบางพื้นที่เพราะมีฝนตกลงอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลางมีฝนตกหนักมากกว่าในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา รวมทั้งปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทั่วประเทศเริ่มมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ มีน้ำเข้า  มาจากพายุโกนเซิน อีก 400 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อดูจากการพยากรณ์สภาพภูมิอากาศนานาชาติเชื่อว่าปรากฏการณ์ลานินญ่า จะส่งผลให้ประเทศไทยมีฝนตกชุกหนาแน่น ในหลายพื้นที่ตั้งแต่เดือนสิงหาคม-ตุลาคม และฝนตกมากกว่าค่าปกติ ทำให้มั่นใจว่าจะมีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนมากและสามารถส่งน้ำสนับสนุนการทำนาได้ในทุกพื้นที่

ที่มาข่าว:

รับสั่งให้แก้ปัญหานํ้าแบบบูรณาการ รัฐบาลผุดโครงการ 1 จังหวัด 1 แหล่งนํ้า (เดลินิวส์, 30-7-2553)
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=562&contentID=82003

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักข่าวพลเมือง: เครือข่ายชุมชนชายฝั่งภูเก็ตยื่นหนังสือถึงนายกแก้ปัญหาบุกรุกป่าชายเลน

Posted: 31 Jul 2010 05:52 AM PDT

ตัวแทนชาวบ้านกู้กู ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต และเครือข่ายองค์กรชุมชนชายฝั่ง จ.ภูเก็ต ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้แก้ไขปัญหาการบุกรุกป่าชายเลนบ้านกู้กู

<!--break-->

 

 
 
31ก.ค.53 - เวลา. 09.30 น. ตัวแทนชาวบ้านกู้กู ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต และเครือข่ายองค์กรชุมชนชายฝั่ง จ.ภูเก็ต ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่หน้าห้องรับรองพิเศษท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต
 
โดยทางชาวบ้านมีข้อเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาการบุกรุกป่าชายเลนบ้านกู้กู ซึ่งเป็นของอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ทางนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า กรณีนี้ได้มอบหมายให้นายสาทิต วงศ์หนองเตยได้แก้ไขไปแล้ว ซึ่งชาวบ้านได้เรียนกับทางนายกฯว่าเรื่องนี้ชุดของนายสาทิต ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ทั้งที่หน่วยงานต่างๆออกมายืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าชายเลนจริงไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ใดๆได้ แต่ถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์แต่อย่างใด
 
นอกจากนี้ ตัวแทนชาวบ้านยังได้เรียนไปว่า ปัญหาการบุกรุกป่าไม้ ที่จังหวัดพังงาได้มีการใช้อำนาจอิทธิพลของเจ้าหน้าที่รัฐไปในทางที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น กรณีผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเกาะยาว ที่เป็นญาติกับกลุ่มทุนที่ฟ้องร้องดำเนินคดีชาวบ้านที่ออกมาปกป้องทรัพยากร นอกจากนี้ยังมีอัยการคดีพิเศษคนจังหวัดพังงาที่คอยวิ่งเต้นเพื่อล้มคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษฟ้องร้องนายทุนที่ครอบครองพื้นที่ป่าโดยมิชอบ
 
ด้านเครือข่ายองค์กรชุมชนชายฝั่งจ.ภูเก็ต ได้ยื่นหนังสือให้รัฐบาลมีมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการในการควบคุมและป้องกันการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ กรณีปัญหาการมีสิ่งปลูกสร้างที่พักอาศัยบนภูเขา และเอาโทษทางวินัยต่อข้าราชการที่เกี่ยวข้องที่ปล่อยปละละเลยการปฏิบัติหน้าที่และไม่บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์และเป็นธรรม
 
ส่วนชุมชนมอแกนบ้านแหลมหลา – บ้านเหนือ (หินลูกเดียว) – ท่าฉัตรไชย ได้ยื่นหนังสือให้รัฐบาลสั่งการให้กรมธนารักษ์เพิกถอนที่ดินราชพัสดุทับพื้นที่สุสาน (ที่ฝังศพ) ชาวมอแกน หมู่ 5 ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต จำนวน 29-3-54 ไร่ และให้ขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ป่าช้าตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ซึ่งตรงกับความเห็นของผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต
 
กรณีปัญหาทั้งหมด ทางนายกรัฐมนตรี ได้รับเรื่องไว้และจะสั่งการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป
 
 

 
ที่01/2553                                                                          เครือข่ายองค์กรชุมชนชายฝั่งจังหวัดภูเก็ต
                                                                                        42 หมู่ 2 ตำบลป่าคลอก อำเภอถลาง
    จังหวัดภูเก็ต 83110
 
วันที่ 30 กรกฎาคม 2553
 
เรื่อง      ขอให้กำกับและแก้ไขปัญหาการมีสิ่งปลูกสร้างที่พักอาศัยบนภูเขา
 
เรียน      ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ( ผ่านนายเรวัติ อารีรอบ )
 
            ด้วยพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเป็นพื้นที่ที่มีการส่งเสริมจากภาครัฐตามนโยบายการท่องเที่ยวระดับโลก โดยใช้ต้นทุนทางธรรมชาติทั้งบนภูเขาและในทะเล เป็นจุดขายสำหรับดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก แต่ปัจจุบัน การดำเนินการตามนโยบายการส่งเสริมของภาครัฐนั้น ได้ก่อให้เกิดปัญหาความเสื่อมโทรมทางสภาพระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติ
            การดำเนินการตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐที่ผ่านมา ขาดมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมและป้องกันการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดการบังคับใช้กฎหมาย เช่น ประกาศเขตคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกาศผังเมือง กฎหมายป่าไม้ – ที่ดิน สาธารณะที่เกี่ยวข้อง   การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ การเลือกปฏิบัติทำให้เกิดสองมาตรฐานของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่หน่วยงานราชการส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ทำให้เกิดการทำลายพื้นที่ป่าไม้ เกิดการชะล้างของหน้าดิน การพังทลายของหน้าดิน จนเป็นเหตุทำให้เกิดการสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน เกิดการขาดแคลนแหล่งน้ำดิบเพื่อใช้ในการอุปโภคและบริโภค เป็นต้น หากรัฐบาลไม่รีบเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนจะทำให้สภาพปัญหายิ่งทวีความรุนแรงยากที่จะแก้ไขได้
            ดังนั้น   เครือข่ายองค์กรชุมชนชายฝั่งจังหวัดภูเก็ต จึงขอให้รัฐบาลมีมาตรการเร่งด่วนในการกำกับดูแลและแก้ไขปัญหาการมีสิ่งปลูกสร้างที่พักอาศัยบนภูเขา และเอาโทษทางวินัยต่อข้าราชการที่เกี่ยวข้องที่ปล่อยปละละเลยการปฏิบัติหน้าที่และไม่บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์และเป็นธรรม 
 
            จึงเรียนมาเพื่อเร่งแก้ไขปัญหา
 
ขอแสดงความนับถือ
 
 
 
 
ตัวแทนเครือข่ายองค์กรชุมชนชายฝั่งจังหวัดภูเก็ต
 
 

 
 
 
 

 
ที่02/2553                                                                                  ศูนย์ประชาคมแหลมหลา
31/13 หมู่ที่ 5 ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง 
จังหวัดภูเก็ต 83110
 
วันที่ 30 กรกฎาคม 2553
 
เรื่อง      ขอให้สั่งการให้กรมธนารักษ์เพิกถอนที่ดินราชพัสดุทับพื้นที่สุสาน ( ที่ฝังศพ ) มอแกน
หมู่ 5 ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต
 
เรียน      ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ( ผ่านนายเรวัติ อารีรอบ )
 
สิ่งที่ส่งมาด้วย      1. สำเนาหนังสือจังหวัดภูเก็ต ที่ กค 0307.65/4615 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2553 
                            จำนวน 1 ฉบับ
                        2. สำเนาระเบียบวาระการประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไม้ขาว สมัยสามัญ
    สมัยที่ 2/2553 วันที่ 12 พฤษภาคม 2553 จำนวน 1 ฉบับ
                        3. แผนที่แสดงที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ภก.153 ( บางส่วน ) ตำบลไม้ขาว
    อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต จำนวน 1 ฉบับ
 
ด้วยชุมชนมอแกนบ้านแหลมหลา – บ้านเหนือ ( หินลูกเดียว ) – ท่าฉัตรไชย หมู่ที่ 5 ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม ( มอแกน ) อาศัยในบริเวณแถบนี้มาเป็นเวลานานกว่า 200 ปี มีวิถีชีวิตที่กลมกลืนกับธรรมชาติ หาอยู่หากินตามพื้นที่ชายฝั่งทะเลบริเวณดังกล่าว มีสุสาน ( ที่ฝังศพ ) อยู่บริเวณใกล้ชุมชน ที่อาศัยอดีตเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าไม่มีเจ้าของ ต่อมารัฐประกาศเป็นที่ราชพัสดุดูแลรับผิดชอบโดยกรมธนารักษ์ และอนุญาตการใช้ที่ดินราชพัสดุ เนื้อที่ 185-2-13 ไร่ เพื่อใช้ประโยชน์ในราชการเป็นที่ตั้งที่ทำการกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ( แห่งใหม่ ) เมื่อกองบัญชาการตำรวจภาค 8 เข้าไปดำเนินการในพื้นที่จัดทำรั้วซีเมนต์ทับที่เขตสุสาน ( ที่ฝังศพ ) ที่ประกอบพิธีบรรพบุรุษของชาวมอแกน ส่งผลกระทบต่อชุมชนมอแกนในเรื่องเขตสุสาน ( ที่ฝังศพ ) ในอดีต ซึ่งเคยตกลงกับทางกรมธนารักษ์ อำเภอถลาง ไว้เรียบร้อยแล้ว ( ที่ราชพัสดุแปลงภก. 153 สุสานชาวไทยใหม่ ) 
ดังนั้นชาวมอแกนบ้านแหลมหลา – บ้านเหนือ ( หินลูกเดียว ) – ท่าฉัตรไชย จึงขอให้รัฐบาลสั่งการให้กรมธนารักษ์เพิกถอนที่ดินราชพัสดุทับพื้นที่สุสาน ( ที่ฝังศพ ) ชาวมอแกน หมู่ 5 ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต จำนวน 29-3-54 ไร่ และให้ขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ป่าช้าตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยตามหนังสือที่เสนอโดย ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เลขที่ กค 0307.65/4615 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2553
 
            จึงเรียนมาเพื่อสั่งการโดยเร่งด่วน
ขอแสดงความนับถือ
 
 
ตัวแทนชุมชนมอแกนบ้านแหลมหลา – บ้านเหนือ ( หินลูกเดียว ) – ท่าฉัตรไชย 
 
 

 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แม่ทัพ 4 ตั้งกรรมการอิสระสอบสุไลมานตายในค่ายทหาร

Posted: 31 Jul 2010 05:29 AM PDT

แม่ทัพ 4 ตั้งกรรมการอิสระสอบสุไลมาน แนซา ตายในค่ายอิงคยุทธบริหาร ประชุม 3 ครั้ง ยังสรุปไม่ได้ผู้คอตายหรือถูกทำให้ตาย ตั้งประเด็นสอบภาวะกดดันก่อนตาย พบพิรุธสวมหมวกปิดรอยช้ำตอนญาติมาเยี่ยม
<!--break-->

 


แวดือราแม มะมิงจิ ประธาณคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี

นายแวดือราแม มะมิงจิ ประธาณคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบการเสียชีวิตของนายสุไลมาน แนซา ผู้ถูกควบคมตัวที่เสียชีวิตในค่ายอิงคยุทธบริหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) ภาค 4 เปิดเผยว่า คณะกรรมการจะนัดประชุมครั้งที่ 4 ในเวลา 13.00 น. วันที่ 1 สิงหาคม 2553 ที่โรงแรมเซาท์เทิร์นวิว อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี

นายแวดือราแม เปิดเผยต่อว่า จากการประชุมไป 3 ครั้งที่ผ่านมา ยังไม่สามารถสรุปได้ว่านายสุไลมานผูกคอตายเองในห้องควบคุมตัวที่พบศพหรือถูกทำให้ตายโดยผู้อื่น เนื่องจากยังต้องรอแพทย์นิติเวชมาให้ข้อมูลยืนยันอีกครั้งในการประชุมครั้งที่ 4 ที่จะมีขึ้นนี้

นายแวดือราแม เปิดเผยอีกว่า อย่างไรก็ตามจากการประชุมที่ผ่านมา คณะกรรมการได้ตั้งประเด็นของการตายของนายสุไลมานไว้ 3 - 4 ประเด็น ได้แก่ ความกดดันของนายสุไลมานก่อนเสียชีวิต ซึ่งจากการสัมภาษณ์ญาติของนายสุไลมานที่ได้เข้าไปเยี่ยมนายสุไลมานก่อนตาย 2 วัน พบว่านายสุไลมานมีอาการอ่อนเพลีย ทั้งนี้ก่อนพบศพนายสุไลมานเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2553 นายสุไลมานถูกควบคุมตัวมาตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2553

นายแวดือราแม เปิดเผยต่อว่า ประเด็นต่อมา คือสภาพการตาย เนื่องจากพบว่านายสุไลมานคอหักและมีรอยช้ำตามตัวหลายจุดว่า เกิดจากอะไร ได้แก่ บริเวณคอ ต้นขา บริเวณลูกอัณฑะและทวารหนักมีเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด เป็นต้น ซึ่งต้องรอผลการวินิจฉัยของแพทย์นิติเวช แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและตำรวจยืนยันว่าสภาพศพปกติ และเป็นการฆ่าตัวตาย

นายแวดือราแม เปิดเผยด้วยว่า ที่ผ่านมา คณะกรรมการได้เชิญหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลแล้ว รวมทั้งได้ตั้งคณะอนุกรรมการ 2 ชุด ในการตรวจสอบในเรื่องนี้ โดยชุดแรกทำหน้าที่ลงไปเก็บข้อมูลในพื้นที่ โดยการสัมภาษณ์พ่อแม่และผู้ที่เกี่ยวข้อง ชุดที่สองทำหน้าที่เก็บข้อมูลในศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์(ศสฉ.) ภายในค่ายอิงคยุทธบริหาร ซึ่งคณะอนุกรรมการทั้ง 2 ชุด ได้รายงานผลการเก็บข้อมูลมาแล้ว

นายแวดือราแม เปิดเผยเสริมว่า สำหรับคณะกรรมการชุดนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากการยื่นคำร้องของกลุ่มนักศึกษาไปยังแม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 โดยเชิญตนมาเป็นประธาน จากนั้นได้เชิญตัวแทนหน่วยงานต่างๆมาเป็นกรรมการทั้งจากภาครัฐและภาคประชาชน โดยมีกรอบเวลาในการทำงาน 1 เดือน แต่อาจต้องขยายเวลาเพิ่ม

นายแวดือราแม กล่าวว่า ตนเองก็ไม่เชื่อว่านายสุไลมานจะผูกคอตายเองเช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป เนื่องจากศาสนาอิสลามสอนว่าการฆ่าตัวตายนั้นเป็นบาป และตนเองก็อยากรู้เช่นกันว่า เหตุใดนายสุไลมายถึงไปตายในค่ายทหาร ซึ่งกรณีนี้ทางพล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ได้ให้อิสระเต็มที่ในการตรวจสอบของคณะกรรมการชุดนี้

ส่วนในรายงานการประชุมครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2553 ที่โรงแรมซีเอส อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ระบุถึงการให้ข้อมูลของนายรุสดี ตาเยะ ประธานชมรมอิหม่ามจังหวัดปัตตานีว่า ก่อนนายสุไลมานเสียชีวิต 2 วัน ครอบครัวของนายสุไลมานไปเยี่ยมที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร พบว่า นายสุไลมานได้สวมหมวกออกมาพบ ซึ่งผิดวิสัยเนื่องจากทุกครั้งที่มาเยี่ยมนายสุไลมานไม่เคยสวมหมวก

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สิทธิในการฟ้องร้องบุคลากรทางการแพทย์

Posted: 31 Jul 2010 04:47 AM PDT

<!--break-->

ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมามีประเด็นข่าวเกี่ยวกับการออกมาเรียกร้องให้มี การออกกฎหมายที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้เสียหายจากการให้บริการทางการแพทย์ และมีการออกมาประท้วงต่อต้านจากกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์มีการแต่งดำเผา ดอกไม้จันทน์ ฯลฯ

ถามว่าร่างกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้เสียหายจากการให้บริการทางการ แพทย์ทั้ง 6 ฉบับ จะส่งผลเสียหรือส่งผลดีต่อประชาชน ประเด็นนี้ก็คงไปถกเถียงกันได้ต่อไป แต่ประเด็นที่ถูกหยิบยกหรือนำมาเป็น “ข้ออ้าง” หนึ่งในการต่อต้านของกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์คือ ประเด็นในเรื่องของสิทธิในการฟ้องคดีทั้งในส่วนของคดีอาญา และคดีแพ่ง(ทั้งนี้ไม่รวมแนวความคิดเห็นแบบสุดโต่งของคุณหมอบางกลุ่มบางคน ที่ออกมาเขียนบทความต่อต้านร่างกฎหมายดังกล่าว ถึงขนาดที่ผู้เขียนในฐานะประชาชนคนหนึ่งได้อ่านแล้วมีความผิดหวังอย่างมาก ไม่นึกว่าความคิดแบบเด็กๆ ยืนยันกระต่ายขาเดียว และประชดประชันแบบสุดโต่งจะเป็นความคิดของคนที่ร่ำเรียนมาห้าหกปี)

ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนในเรื่องของสิทธิในการฟ้องคดีของผู้เสียหายที่เกิด จากการให้บริการทางการแพทย์และไม่เกิดความสับสน จึงจำเป็นที่จะต้องขอเรียนต่อเพื่อนประชาชนให้ทราบถึงสิทธิตามกฎหมาย ปัจจุบันที่ใช้บังคับอยู่ตามลำดับดังนี้

1. หากท่านเห็นว่าท่านได้รับความเสียหายจากการให้บริการทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดจากแพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ จักษุแพทย์ โรงพยาบาล ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดจากการให้บริการทางการแพทย์ที่ภาครัฐหรือภาค เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ

ท่านในฐานะผู้เสียหาย มีสิทธิที่จะดำเนินการฟ้องร้องให้มีการรับ ผิดได้ตามฐานของกฎหมายที่มีอยู่ทั้งในส่วนของ คดีแพ่งในส่วนของเรื่องละเมิดตามมาตรา 420 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และคดีอาญาตามประมวลกฎหมายกฎหมายอาญา(ซึ่งมีบทกำหนดฐานความผิดไว้หลายมาตรา โดยเฉพาะในลักษณะ 10 ของประมวลกฎหมายอาญา ที่กำหนดฐานความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายเอาไว้ในมาตรา 288 – 309)

ดังนั้น หากท่านได้รับความเสียหายจากการให้บริการทางการแพทย์ ท่านสามารถดำเนินการฟ้องร้องได้ตามสิทธิของท่านไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการเรียก ร้องในกฎหมายแพ่ง และกฎหมายอาญาได้ ทั้งนี้สิทธิในการฟ้องร้องดังกล่าวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบรรดาร่างกฎหมาย เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้เสียหายฯ ที่เป็นประเด็นในหน้าหนังสือพิมพ์แต่ประการใด

ทั้งนี้ หากความเสียหายเกิดขึ้นจากบริการทางการแพทย์หรือโรงพยาบาลของรัฐ ในการฟ้องคดีแพ่งเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนนั้น จะมีความพิเศษตรงที่ท่านจะฟ้องหมอ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ โดยตรงไม่ได้ ท่านจะต้องฟ้องนิติบุคคลหรือหน่วยงานที่บุคคลนั้นๆ สังกัดอยู่ ทั้งนี้ตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ปี 2539 (ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้สิทธิในการฟ้องคดีทางแพ่งของท่านเปลี่ยนแลงไปแต่ประการใด นั่นคือยังฟ้องได้อยู่แต่ต้องฟ้องให้ถูกคนเท่านั้นเอง)

ดังนั้นสรุปได้ว่า ถ้าท่านได้รับความเสียหายจากการให้บริการทางการแพทย์ ท่านสามารถดำเนินคดีฟ้องร้องเอาผิดต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่เป็นคนกระทำความ ผิดนั้นได้ทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญา การที่จะมีกฎหมายคุ้มครองผู้เสียหายฯ หรือไม่นั้น ไม่ได้ทำให้สิทธิในการฟ้องคดีแพ่งและคดีอาญาของท่านเปลี่ยนแปลงไปแต่ประการ ใด

2. ในส่วนของประเด็นความโต้แย้งไม่พึงใจของพวกคุณหมอ ทั้งหลายที่ออกมาคัดค้านต่อต้าน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลว่า

2.1 กฎหมายที่จะออกมาจะทำให้คนฟ้องบุคลากรทางการแพทย์มากขึ้น
ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่จริงประการใด เพราะไม่ว่าจะมีกฎหมายนี้หรือไม่ ประชาชนผู้รับบริการก็สามารถฟ้องได้อยู่แล้วตามกฎหมายปัจจุบันที่มีอยู่ตาม ที่กล่าวไว้ใน ข้อ 1. ซึ่งหากจะพิจารณาดูแล้วก็จะเห็นว่าการฟ้องบุคคลากรทางการแพทย์จะเพิ่มขึ้น หรือลดลงไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านตัวบทกฎหมายแต่ประการใด หากขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจในเรื่องของสิทธิในการฟ้องคดีของผู้ได้รับ ความเสียหายมากกว่า

2.2 กฎหมายที่จะออกมากำหนดภาระให้บุคลากรทางการแพทย์มากขึ้น
ซึ่งในส่วนนี้ก็จะมีการอ้างถึงความสัมพันธ์อันดีของคนไข้กับ บุคลากรทางการแพทย์ ฯลฯ แต่เหตุผลสำคัญอันหนี่งที่ไม่ค่อยหยิบยกมาอ้างเท่าไหร่นัก ทั้งๆที่เป็นเหตุผลสำคัญอันหนึ่งในการคัดค้านคือการกำหนดให้มีการส่งเงิน เข้ากองทุน พูดง่ายๆ ตามประสาชาวบ้านคือ “หมอไม่อยากจ่ายเงินเข้ากองทุน” นั่นเอง และหมอบางคนก็อาจคิดต่อไปว่า ถ้าจ่ายเงินเข้ากองทุนแล้ว ทำไมหมอจะต้องโดนฟ้องในดคีแพ่งคดีอาญาอีกล่ะ ก็จ่ายเงินไปแล้วจะเอาอะไรอีก แม้ว่าบางคนจะออกมาพูดว่าเรื่องเงินไม่เกี่ยวหรอกเพราะถ้าทำงานให้รัฐก็ไม่ ได้เสียเองอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าส่วนใหญ่บุคลากรทางการแพทย์ทั้งหลายก็จะมีไปเปิดคลี นิก ร้านขายยา ฯลฯ ส่วนตัวอยู่แล้ว ซึ่งในส่วนนี้จะต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนต่างหากเพราะถือเป็นสถานพยาบาลที่มี หน้าที่ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนนั่นเอง

การต่อต้านของหมอจะไม่มีเกิดขึ้นเลยถ้ามีกฎหมายที่เขียนว่า “หากผู้เสียหายได้รับเงินตามกฎหมายคุ้มครองผู้เสียหายฯ แล้ว ผู้เสียหายไม่สามารถไปดำเนินการฟ้องร้องเอาผิดต่อหมอได้อีกทั้งในคดีแพ่งและ คดีอาญา” ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยเพราะสิทธิในการฟ้องร้องเป็นสิทธิ ที่ถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญไม่มีกฎหมายไหนที่จะมาตัดสิทธิดังกล่าวได้

ทั้งๆ ที่หากพิจารณาถึงเนื้อหาของร่างกฎหมายต่างๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การฟ้องคดีอาญานั้นโดยเฉพาะในร่างฯ ที่เสนอโดยผู้เสียหายนั้น บุคลากรทางการแพทย์จะได้รับประโยชน์ในการที่จะมีกฎหมายดังกล่าว เพราะ ร่างพ.ร.บ.ฯ ได้กำหนดระบุถึงการพิจารณาการกำหนดโทษโดยศาล โดยในมาตรา 45 กำหนดให้ศาลในคดีอาญาฐานกระทำการโดยประมาทที่เกี่ยวเนื่องกับการให้บริการ สาธารณสุข หากศาลเห็นว่าจำเลยกระทำผิด ให้ศาลนำข้อเท็จจริงต่างๆของจำเลยเกี่ยวกับประวัติ พฤติการณ์แห่งคดี มาตรฐานวิชาชีพ การบรรเทาผลร้ายแห่งคดี การรู้สำนึกในความผิด การที่ได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามมาตรา ๓๓ หรือมาตรา ๓๔ การชดใช้เยียวยาความเสียหาย และการที่ผู้เสียหายไม่ติดใจให้จำเลยได้ รับโทษ ตลอดจนเหตุผลอื่นอันสมควร มาพิจารณา ประกอบด้วยในการนี้ ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใด หรือจะไม่ลงโทษเลยก็ได้ นอกจากนั้นในมาตรา 46 ได้กำหนดโทษของการฝ่าฝืนคำสั่งของคณะกรรมการ คณะกรรมการอุทธรณ์ หรือคณะอนุกรรมการ ตามมาตรา 18 ซึ่งการฝ่าฝืนดังกล่าวมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ประเด็นสำคัญที่คุณหมอจะต้องทำความเข้าใจคือหากผู้เสียหายเห็นว่าคุณหมอ ทำผิดกฎหมายอาญา ผู้เสียหายก็ย่อมใช้สิทธิในการฟ้องให้รับผิดทางอาญาได้อยู่แล้วตามประมวล กฎหมายอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และหากพิจารณาเนื้อหาของร่างพ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวแล้วจะเห็นได้ว่าไม่มีบทมาตราไหนเลยที่กล่าวถึงสิทธิในการฟ้องศาล อาญาโดยอาศัยบทบัญญัติตามร่างพ.ร.บ.ฯ นี้ จะมีก็เพียงแต่บทบัญญัติมาตรา 45 ที่กำหนดบังคับให้ศาลกรณีที่ผู้ให้บริการสาธารณสุขถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดี อาญาฐานกระทำโดยประมาทที่เกี่ยวเนื่องกับการให้บริการสาธารณสุข(ซึ่งเป็น สิทธิของผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีได้ตามประมวลกฎหมายอาญาได้อยู่แล้วตามที่ได้ ชี้แจงไว้ใน ข้อ 1.) และหากศาลเห็นว่าจำเลย(คุณหมอทั้งหลาย/บุคลากรทางการแพทย์ทั้งหลายที่โดน ฟ้องคดีอาญา)กระทำผิด และในการกำหนดโทษในส่วนของการกำหนดโทษ ร่างพ.ร.บ.ฯ นี้ได้กำหนดให้ศาลคำนึงถึงข้อเท็จจริงต่างๆ ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 45 เพื่อที่จะนำมาเป็นเหตุลดโทษเพื่อที่จะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมาย(ประมวลกฎหมาย อาญา)กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น หรือจะไม่ลงโทษเลยก็ได้

หากอ่านมาตรานี้แล้วเห็นว่ามาตราดังกล่าวเป็นโทษต่อจำเลย(คุณหมอทั้ง หลาย)แล้วนั้นก็ไม่อาจหาคำอธิบายใดๆ มาเพิ่มเติมได้แต่ประการใด เพราะมาตราดังกล่าวเป็นคุณอย่างยิ่งต่อคุณหมอทั้งหลาย เช่น คุณหมอ ก. ถูกฟ้องคดีอาญาฐานกระทำโดยประมาทอันเป็นเหตุทำให้ผุ้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท(มาตรา 291 ประมวลกฎหมายอาญา) ด้วยผลของมาตรา 45 ของร่างพ.ร.บ.ฯ นี้แล้วนั้น ศาลมีทางเลือกสองทางคือลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด(ในกรณีของมาตรา 291 ประมวลกฎหมายอาญานี้โดยตัวของมาตราดังกล่าวกำหนดแต่โทษขั้นสูงเอาไว้เท่า นั้น นั่นหมายความว่าศาลสามารถใช้ดุลพินิจลงโทษได้ไม่เกินจำนวนโทษสูงสุดที่กำหนด ไว้ได้อยู่แล้ว) และอีกทางเลือกหนึ่งคือศาลจะไม่ลงโทษเลยก็ได้นั่นคือศาลสามารถตัดสินแต่ไม่ กำหนดโทษไม่ว่าจะเป็นโทษจำคุกหรือโทษปรับแต่อย่างใดนั่นเอง

บทบัญญัติในร่างพ.ร.บ.ฯ ที่กล่าวถึงโทษทางอาญาเอาไว้อีกมาตราหนึ่งคือในมาตรา 46 ซึ่งเป็นกรณีของการฝ่าฝืนคำสั่งของคณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการในเรื่องของการ ให้แสดงเอกสารพยานหลักฐานหรือการให้ถ้อยคำตามมาตรา 18 นั่นเอง ซึ่งก็มีความเห็นบางความเห็นที่เห็นว่าคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการมีอำนาจ ถึงขนาดสั่งให้คนที่ฝ่าฝืนคำสั่งเข้าคุกได้เอง ซึ่งกรณีนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เพราะหากมีการฝ่าฝืนคำสั่งตามมาตราดังกล่าวจริง คณะกรรมการจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อดำเนินคดีต่อผู้ที่ฝ่าฝืนต่อไป คณะกรรมการไม่ใช่ศาลที่จะสั่งขังได้ทันทีแต่ประการใด

ดังนั้น เพื่อนประชาชนทั้งหลาย อย่าได้สับสนและตระหนกถึงท่าทีของบุคลากรทางการแพทย์ที่ออกมาแต่งดำประท้วง ขัดค้านกฎหมายดังกล่าว ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในสังคมประชาธิปไตย

อย่างไรก็ตามหากท่านในฐานะผู้ได้รับความเสียหายจากการให้บริการ ทางการแพทย์ ท่านสามารถใช้สิทธิในการฟ้องร้องได้ทั้งในส่วนของคดีแพ่งและคดีอาญา ตามกฎหมายปัจจุบันที่ใช้บังคับอยู่ การที่จะมีกฎหมายคุ้มครองผู้เสียหายฯ ออกมาหรือไม่นั้นไม่ได้มีผลกระทบต่อ “สิทธิ” ในการฟ้องร้องดังกล่าวของท่านแต่ประการใด

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ธงชัย วินิจจะกูล: 'สนทนาท่ามกลางภาวะฝุ่นตลบ’

Posted: 30 Jul 2010 04:31 PM PDT

<!--break-->

เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2553 ที่ห้องประชุม ศ.ดร.มล.ตุ้ย ชุมสาย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดเสวนาหัวข้อ ‘สนทนากลางฝุ่นตลบหลังเดือนพฤษภา: ประเด็นและคำถามจากเหตุการณ์พฤษภาอำมหิต’ มี ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมดิสัน สหรัฐอเมริกา เป็นวิทยากร ‘ประชาไท’ นำเสนอรายละเอียดของการอภิปราย ซึ่งมีดังต่อไปนี้

 

ธงชัย วินิจจะกูล เมื่อ 28 ก.ค.
ระหว่างงานเสวนา ที่คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 

  บรรยากาศวงเสวนา ‘สนทนากลางฝุ่นตลบหลังเดือนพฤษภา: ประเด็นและคำถามจากเหตุการณ์พฤษภาอำมหิต’ ซึ่งมีธงชัย เป็นผู้อภิปราย เมื่อ 28 ก.ค. ที่คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

0 0 0

 

เรื่องที่ผมจะพูด เริ่มมาจาก บก.หนังสือ “อ่าน” หลายคนคงรู้จักใช่ไหมครับ จะให้ผมช่วยเขียน แล้วจนหมดเวลาแล้ว คือสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมสารภาพว่าเขียนไม่ออก คิดว่าเป็นอารมณ์ความรู้สึกเหมือนหลายๆ คนที่เขียนไม่ออก ไม่ใช่เพราะไม่มีอะไรจะพูด แต่เพราะมีเยอะเกินไป มันมีเยอะเกินไปแล้วไม่สามารถประมวลสิ่งที่มีอยู่ เรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดและตัวหนังสือไม่ออก มันสับสนปนเป ฉะนั้นตอนที่ผมรับทาง มช. ว่าจะคุย ผมก็คิดในใจว่ามาคุยในเรื่องที่เขียนไม่ออกนี่แหละ โดยที่ไม่ต้องคาดหวังด้วยซ้ำว่าจะฟังรู้เรื่องมากน้อยแค่ไหน คือเป็นทั้งการลองความคิดของตัวเอง ลองนึกถึงหนังสือ “อ่าน” ก็แล้วกันนะฮะ นั่นคือประเภทงานที่ผมจะพูดต่อ

เพราะฉะนั้น มันมีเรื่องหลายเรื่องในหัวที่ควรจะคุยกัน แต่ขอไม่คุย ถ้าหากว่าจะคุยกันตอนมีเวลาหลังจากนี้ค่อยว่ากัน เช่น เหตุที่มาของปัญหา มีคนเขียน มีคนพูดถึงเยอะแยะแล้ว พูดกันอีกก็ได้ แต่ผมไม่ได้เตรียมเรื่องนี้ เหตุที่มาของปัญหามองในเชิงโครงสร้าง เช่น การเปลี่ยนแปลงชนบทไทย ความเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่ช่องทางทางการเมือง (แบบที่ชนชั้นนำของสังคมไทยไม่คิดว่าประชาชนชั้นล่างจะมีความสามารถทำได้) แล้วเมื่อเขามีส่วนร่วมทางการเมืองด้วยการเลือกตั้ง ทำอีท่าจึงไหนจึงเกิดความขัดแย้งกับชนชั้นนำของไทยได้ เราจะได้ยินประเด็นนี้บ่อยใช่ไหมครับ นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งคุยก็ได้ แต่ไม่ใช่ประเด็นที่ผมเตรียมไว้

ประเด็นต่อไปที่คิดว่าคุยได้ แต่ผมไม่ได้เตรียม กีมีเช่น ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาวหลังจากนี้มีประเด็นอะไรบ้างที่น่าคิด นี่อีกเหมือนกันแต่ละเรื่องเราคุยได้เป็นชั่วโมง แต่อย่างที่บอก ผมเชื่อว่าหลายท่านในทีนี้ ทั้งรู้มากกว่า และคุยได้ดีกว่า เพราะฉะนั้นถ้าหลังจากนี้แล้วจะเสนอออกมาจะคุยก็ได้  แต่หนึ่ง ผมไม่ได้เตรียม สองผมไม่คิดว่าผมรู้เรื่องพวกนี้ดี จะเป็นการคุยในเรื่องที่ผมไม่ได้เตรียมมา เอาแค่สองประเด็นนี้คุณก็เห็นแล้วว่าเรื่องมันเยอะขนาดไหน ที่จะต้องคิดและเรียบเรียงออกมา

แต่เรื่องที่ผมเตรียมมาและอยากคุยคือเรื่องที่เป็นทั้งประสบการณ์ และความสนใจที่ผมทำมาหลายปี หลายคนอาจจะพอรู้ ก็คือประเด็นที่ว่า เราจะอยู่อย่างไรและจะจัดการอย่างไรกับประวัติศาสตร์ที่โหดร้าย นี่คือเรื่องที่ผมเตรียมมา

หลายคนคงพอนึกออกนะครับ ทั้งในแง่ประสบการณ์ ในแง่ที่ว่าคิดกับมันมาสามสิบกว่าปีของชีวิต และเขียนมาบ้างก็คือ เราจะ Deal (จัดการ) อย่างไรกับประวัติศาสตร์ 6 ตุลา วันนี้ผมไม่ได้มาพูดเรื่อง 6 ตุลา แต่ว่าอยู่ในประเด็นนะ ผมเรียกว่ามันเป็น “ประวัติศาสตร์ที่โหดร้าย” ทั้งในความหมายที่ว่ามันเป็น Tragedy (โศกนาฏกรรม) ที่เกิดขึ้นจริง ทั้งในแง่ที่เป็นความทรงจำ หรือเป็นความร้าวลึกทางประวัติศาสตร์ที่มีปัญหากับสังคมไทย และสังคมไทยพยายามจัดการกับมันทั้งสำเร็จ และไม่สำเร็จไปในแง่ต่างๆ กัน ผมพยายามเอาบทเรียน ประสบการณ์ที่เคยคิดกับเรื่องนี้ มาคิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาที่ผ่านมา ซึ่งยังสดๆอยู่ ต่างกับที่ผมคิดกับเรื่อง 6 ตุลา ซึ่งผมเริ่มลงมือคิด ลงมือเขียนหลังจากมันผ่านมาแล้วประมาณ 20 ปี และคิดกับมันต่อมาตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นผมจะพูดเรื่องนี้


“ภาวะฝุ่นตลบ” ก็คือ ภาวะหลังเหตุการณ์ซึ่งมันซับซ้อน
และที่สำคัญมากมันเป็น “โศกนาฏกรรม” คือ Tragedy
เมื่อมันเสร็จสิ้นลงไป เป็นปกติเลยไม่ว่าสังคมไหนหรือที่ไหน
จะเต็มไปด้วยเรื่องราว คำอธิบาย
จะเต็มไปด้วย Fact หรือข้อเท็จจริงจำนวนมากที่ไม่ลงตัว
 

นิยาม ‘ภาวะฝุ่นตลบ’

เวลาเราตั้งหัวข้อ ผมจึงตั้งว่า สนทนาท่ามกลางภาวะฝุ่นตลบ” ผมจะเริ่มเลยว่า ฝุ่นตลบ” แปลว่าอะไร จากนั้นผมมีอยู่ด้วย 4-5 ประเด็นใหญ่ๆ ว่า เราจะอยู่และเราจะ deal อย่างไร คือจะจัดการอย่างไรกับสภาวะฝุ่นตลบและคงอีกไม่นานจะเริ่มลงตัว และจะลงตัวแบบที่หลายคนคงไม่อยากจะให้มันลง อย่างนั้น เราจะสู้กับมันอย่างไร

พูดกันอย่างเปิดเผยไม่ต้องปิดบังกันหรอกว่า (ถ้าหาก)ใครในที่นี้เกลียดเสื้อแดงหนักหนา คุณก็จะเจอว่า “ภาวะฝุ่นตลบ” ที่มันลงตัวในอีกไม่นานนักนี้จะเป็นภาวะที่คนเกลียดเสื้อแดงอาจจะพอใจ แต่สำหรับคนอย่างผม สำหรับคนอีกหลายๆ คนในที่นี้ อาจไม่ได้เชียร์เสื้อแดงหนักหนา แต่มีความเห็นอกเห็นใจอยู่ ก็จะรู้ว่าเป็นภาวะที่เริ่มลงตัวแบบที่ไม่น่าพอใจ และบทเรียนจากกรณี 6 ตุลาคือเรื่องแบบนี้เราสู้กันมาเป็นสิบๆ ปี และไม่รับประกันนะว่าจะชนะ อย่างน้อยที่สุดก็คือคนรุ่นผม เอาเป็นว่าผมและเพื่อนหลายๆ คน เราอยู่กับมันมา 30 ปีแล้ว มันไม่ง่าย และเผลอๆ เราก็อยู่กับมันตลอดจนเกษียณ จนตาย และที่แน่ๆ คือเราตายไปแล้ว สังคมไทยก็ยังอยู่กับมันแบบนั้น

4-5 ประเด็นที่จะพูดถึงก็คือว่า “สังคมไทยจัดการกับเรื่องโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น (อย่างไร)แบบไหน” สังคมไทยมีวิธี มีค่านิยม มีรากฐานทางภูมิปัญญาที่จัดการกับเรื่องโศกนาฏกรรมอย่างที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง และเราก็ดูกันว่า อะไรที่น่าพิสมัยหรือไม่น่าพิสมัย อะไรที่เราพอจะสู้ อะไรที่พอจัดการกับมันได้ให้ดีที่สุดเท่าที่คนที่ตกเป็นเหยื่อ คนที่เป็นฝ่ายถูกกระทำในเหตุการณ์ที่ผ่านมา พอจะอยู่กับมันได้ อย่าเรียกว่าพึงพอใจเลย และจะสู้กับมันอย่างไร นี่คือประเด็นที่ผมจะคุย หวังว่าจะใช้เวลาไม่มากจนเกินไป และหลังจากนั้นจะคุยกันต่อเรื่องนี้หรือจะเปลี่ยนประเด็นเป็นเรื่องอื่นก็ตามใจ

ภาวะฝุ่นตลบ” ก็คือ ภาวะหลังเหตุการณ์ซึ่งมันซับซ้อนและที่สำคัญมากมันเป็น “โศกนาฏกรรม” คือ Tragedy เมื่อมันเสร็จสิ้นลงไป เป็นปกติเลยไม่ว่าสังคมไหนหรือที่ไหน จะเต็มไปด้วยเรื่องราว คำอธิบาย จะเต็มไปด้วย Fact หรือข้อเท็จจริงจำนวนมากที่ไม่ลงตัว ฝุ่นตลบของผมหมายความว่าแบบนี้

ยกตัวอย่างในกรณีปัจจุบัน ในกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ เราได้ยินเรื่องตั้งเยอะ ซึ่งตอบไม่ได้ หรือไม่มีทางกระจ่างได้ง่ายๆ และคนส่วนใหญ่โดยปกติในสังคมจะคาดหวังว่าจะทำความกระจ่างได้สักวันน่ะ แต่บทเรียนจากเหตุการณ์จำนวนมากในโลกรวมถึงในเมืองไทยเองนี้ ให้อีก 50 ปีหลายเรื่องก็ไม่กระจ่าง คนที่เรียนประวัติศาสตร์จะรู้ว่า ผ่านไปอีกหลายสิบปี เป็นร้อยปี ความรู้ประวัติศาสตร์ไม่ใช่ความรู้ที่เป็นนักสืบและจัดการ Fact อย่างลงตัว ไม่มีหรอกครับ ความรู้หลายอย่างจะไม่ลงตัวไปอีกนาน ภาวะไม่ลงตัวเหล่านั้นสำหรับคนบางคนเขาพอใจที่ไม่ให้ลงตัวอย่างนั้น สำหรับหลายคนจะอึดอัด แล้วแต่ว่าคุณเป็นผู้กระทำ หรือผู้ถูกกระทำในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ในกรณีปัจจุบันยกตัวอย่างเช่น ผมเชื่อว่ามีความพยายามอธิบายเรื่องคนเสื้อดำ และความสัมพันธ์ระหว่างคนเสื้อดำกับแกนนำ กับทหาร กับกองทัพ ผมเชื่อว่าเถียงไปอีกนานก็เผลอๆ สรุปไม่ได้

สรุปไม่ได้” นี่ผมไม่ได้หมายถึงคณะกรรมการของรัฐบาลสรุปไม่ได้นะครับ เขาสรุปได้อยู่แล้วล่ะ แต่เขาสรุปอย่างที่เขาสรุป ไม่ได้แปลว่าสังคมจะต้องสรุปอย่างเดียวกัน ผมพูดในแง่นี้

เรื่องการใช้อาวุธ กระทั่งยกตัวอย่างย้อนกลับไป 6 ตุลา แม้เรื่องการแสดงละคร ปัจจุบันคนจำนวนมากก็ยังเชื่ออยู่ใช่ไหมครับว่ารูปภาพการแสดงละครตอน 6 ตุลา แต่ง แต่งรูป เรียนด้วยความซื่อสัตย์ ในฐานะที่ทำวิจัย รูปนั้นเผลอๆ ไม่ได้แต่งครับ ผมคิดว่าไม่ได้แต่ง เป็นความบังเอิญซึ่งไม่รู้จะเรียกว่าอย่างไรดี แต่พอพูดแบบนี้หลายคนอาจไม่เชื่อ ถ้าอย่างนั้น ถ้าผมบอกว่าแต่งก็ได้ ก็จะมีคนจำนวนหนึ่งไม่น้อยในสังคม ไม่เชื่อ

ปัญหาว่าเกิดอะไรขึ้นในการยิงกันตรงใต้สะพานตรงพหลโยธิน (หมายเหตุ - กรณีที่มีการถกเถียงกันว่าทหารถูกยิงหรือยิงกันเอง เมื่อ 28 เม.ย. 2553 ที่ถนนพหลโยธิน ใต้ทางด่วนดอนเมืองโทรลเวย์ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ ดอนเมือง) ยิงกันเอง จบ หลายคนคงเชื่ออย่างนั้น ผมก็เชื่ออย่างนั้น ผมว่ารัฐบาล (คงจะ)ทำให้เรื่องออกมาไม่เป็นแบบนั้น

ตกลงยิงคนตรงวัดปทุมวนารามแนวราบหรือแนวบน ยิงจากที่สูงหรือที่ราบ ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องพวกนี้จะสรุปได้ สำหรับคนในภาวะที่แตกเป็นขั้ว ต้องบอกว่าต่างฝ่ายต่างสรุปได้ทั้งนั้น นี่พยายามพูดอย่างไม่ใช่เพื่อความเป็นกลางนะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมคือ “ภาวะฝุ่นตลบ” คือภาวะที่มีเรื่องราวจำนวนมากที่สังคมตกลงไม่ได้หรอก

และความคิดที่ว่าเออน่า นักประวัติศาสตร์เอย กรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเอย สืบสวนไปแล้วจะเจอ fact จำนวนหนึ่งซึ่งสามารถ Conclusive (เป็นข้อสรุป) ผมว่าไม่ได้

แต่ในภาวะที่ฝุ่นตลบ เต็มไปด้วยเรื่องราวทั้งหลาย หรืออีกเรื่องก็ได้ที่กำลังฮิตกันอยู่ ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ... ตกลงคุณจะด่าแกนนำดีไหม เขาตัดสินใจถูกและผิด เพราะอะไรบ้าง เงื่อนไขอะไรบ้าง ความพลาดอยู่ตรงไหน บางคนก็รู้ดีว่าแหมมันต้องเป็นอย่างนี้แต่ต้น บ้างก็ว่าไม่รู้ว่ามันจะมีการพลิกผันอย่างนู้นอย่างนี้ก็ว่าไป ผมคิดว่าเรื่องพวกนี้เผลอๆ สรุปไม่ได้ ผมพูดอีกครั้งนะฮะสรุปไม่ได้นี่ไม่ได้หมายถึงความเชื่อของแต่ละคน แต่ละคนอาจสรุปได้ก็ได้ แต่ผมหมายถึงว่า โดยรวมๆ ของสังคมสรุปได้ไหม ผมว่ายาก ต่อให้คณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาสรุป คนจำนวนไม่น้อยก็จะยังไม่เชื่อ ผมก็ไม่เชื่อ

แล้วจะอยู่อย่างไรกับเหตุการณ์ที่เป็นโศกนาฏกรรมที่สรุปไม่ได้ หมายความว่า สังคมนั้นจะไม่ยอมสรุป ไม่สร้าง Value (การประเมินคุณค่า) ไม่สร้างบทเรียน ไม่สร้างอะไรเลยหรือ ตรงข้ามฮะ ทุกสังคม ทั้งๆ ที่ Fact เหล่านั้นสรุปไม่ได้เนี่ย (ต่างพากัน)สรุปบทเรียนกันเป็นประจำ

เราชอบบอกว่าเราไม่สรุปบทเรียนในอดีต ไม่จริงนะครับ เราสรุปกันมากเหลือเกิน คือต่างคนต่างสรุป เราสรุปเข้าข้างตนเอง สรุปเข้าข้างคนมีอำนาจ สรุปเข้าข้างปัจจัยจำนวนหนึ่งที่ทำให้ดูเหมือนสรุปได้ เพราะว่ามนุษย์เราทนไม่ได้หรอกครับที่เรื่องที่ร้ายแรงขนาดนั้นจะไม่ลงตัว

มนุษย์เรามีสภาวะอย่างหนึ่งก็คือ ต้องการพยายามเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างเป็นเหตุเป็นผล ทั้งที่ความเป็นจริงหลายเรื่องไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลเท่าไหร่

ทั้งๆ ที่ Fact จำนวนมหาศาลไม่ลงตัว คนเราอึดอัด พวกเราแต่ละคนลองนึกถึงเหตุการณ์ที่ถือว่าร้าย หรือถือว่าเศร้าสำหรับชีวิตเรา เราทนได้ไหมที่จะอยู่กับมันโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ ตกลงไม่รู้ใครถูกใครผิด เราทนไม่ไหวหรอก สุดท้ายต่างคนต่างสรุปไปตามที่ตัวเองต้องการ ผมไม่ได้บอกว่าทุกคนผิดหมดด้วยนะ แต่นี่ผมกำลังอธิบายปรากฏการณ์ (ของมนุษย์กับ) สังคม

เอาใหม่นะครับ แทนที่จะบอกว่า Fact ต่างๆ ที่ไม่ลงตัว สังคมสรุปไม่ได้ใช่ไหม ไม่จริง สังคมสรุปอยู่เป็นประจำ แต่กลับไม่ได้แปลว่าเพราะข้อเท็จจริงต่างๆ ลงตัว แต่สรุปด้วยอำนาจ สรุปด้วยอำนาจของคณะกรรมการ สรุปด้วยอำนาจของรัฐบาล สรุปด้วยอำนาจของประวัติศาสตร์ สรุปด้วยอำนาจของนักเขียนหนังสือ สรุปด้วยสื่อมวลชน สรุปด้วยอำนาจสารพัดชนิดเพื่อจะได้ลงตัวตามที่มุมมองของคนเหล่านั้นมีอยู่ ทั้งที่ข้อเท็จจริงจากเรื่องนี้อาจไม่ได้เป็นไปตามนั้น แต่สังคมจะต้องพยายามทำให้มันลงตัว

ตกลงใครเผาเซ็นทรัลเวิลด์ ผมว่าสุดท้ายหาไม่เจอ (หรือเจอตามที่อำนาจต้องการให้เจอ) ตกลงใครเผาบิ๊กซี ตั้งกี่ชั่วโมงหลังจากสลายการชุมนุมไปแล้ว คนสลายไปเรียบร้อยทำไมบิ๊กซีเพิ่งโดนเผา ภาวะฝุ่นตลบคือภาวะนี้ และภาวะฝุ่นที่จะหายตลบคือภาวะที่ผมเพิ่งบอกไป คือสุดท้ายจะมีการสรุป ไม่ใช่เพราะได้ข้อเท็จจริงที่ลงตัว แต่เพราะคนเราทนไม่ได้ที่จะอยู่อย่างอึดอัดโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็ต้องสรุปสักอย่าง จึงใช้ปัจจัยที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงของตัวเหตุการณ์มาช่วยสรุป ส่วนใหญ่คือการใช้อำนาจสื่อ ใช้อำนาจรัฐ ใช้อำนาจนักวิชาการ ใช้อำนาจอะไรก็แล้วแต่ที่ช่วยทำให้มันลงตัว ทั้งที่พอเราใช้ปัจจัยเหล่านั้นมาเท่ากับว่าคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปเหล่านั้นก็อยู่อย่างอึดๆ อัดๆ ไปอีกนานในชีวิต

เพื่อนฝูงผมหลายคนจากรุ่น 6 ตุลา ถามว่ามีข้อสรุปอะไร สุดท้ายก็ยังอึดอัด ตอน 20 ปี 6 ตุลา เราจัดนิทรรศการว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนตี 5 ของวัน(จะเปิดนิทรรศการ) นั้นเราตัดสินใจงถอดรูปหนึ่งออก เพราะขืนไม่ถอดเดี๋ยวยุ่งอีก เดี๋ยวโดนมาตรา 112 เท่ากับว่าคนที่ไปดูนิทรรศการ ไม่เห็นทุกอย่างที่เราต้องการจะพูด เท่ากับการจัดนิทรรศการ 20 ปี 6 ตุลาเราพูดไม่หมด เพราะขืนพูดหมดก็ (หยุดพูด) เอาเป็นว่าพูดไม่หมดก็ต้องอยู่ไป ต้องพูดไม่ออก

ภาวะที่ฝุ่นตลบแล้วไม่ลงตัว” จะเกิดเรื่องต่างๆ ที่ขัดแย้งกัน หลายประเด็นที่ผมจะพูดในวันนี้ ผมบอกคุณก่อนเลยว่า ... ถ้านักศึกษาหรือเพื่อนอาจารย์ที่อยู่ในทีนี้ อยากจะลองคิดนะ ผมเจอว่า การใช้เหตุใช้ผลล้วนๆ หลายอย่างใช้ได้แค่ขั้นหนึ่ง หมายถึงการพยายามเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ใช้เหตุ ใช้ผล เถียงด้วยเหตุด้วยผลทั้งหลาย เถียงกันได้แค่ขั้นหนึ่ง สุดท้ายผมใช้วรรณคดี ใช้วรรณกรรม อ่านหนังสือ อ่านเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้วพยายามนึก ใช้จินตนาการว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะว่างานเขียน หรืองานที่ช่วยให้เราคิดในเชิงที่เข้าใจโศกนาฏกรรมที่ดี ไม่ใช่งานทางสังคมศาสตร์ ไม่ใช่รัฐศาสตร์ บางครั้งเท่านั้นที่เป็นประวัติศาสตร์ งานที่ช่วยให้เราจัดการกับโศกนาฏกรรมได้ดี หมายถึงช่วยให้เรารู้จักคิด คือพวกหนัง วรรณกรรม วรรณคดี

โศกนาฏกรรม” ที่ผมใช้หลายครั้งหมายถึงอะไร ผมใช้คำ “โศกนาฏกรรม” ในความหมายของพวกวรรณคดี ไม่ใช่แต่เพียงเรื่องของการที่มีคนตายกี่คน มีความทุกข์ยากขนาดไหน นั่นเป็น “โศกนาฏกรรม” ในความเข้าใจทั่วไป ซึ่งไม่ผิด ผมก็ใช้ในความหมายนั้นด้วย แต่ “โศกนาฏกรรม” ในความหมายของวรรณคดีกว้างกว่านั้น คือวรรณคดีประเภทหนึ่งคือ “โศกนาฏกรรม” หรือ “Tragedy” ในความหมายว่า ภาวะที่มนุษย์นี้ ไม่ว่าคุณทำอะไรก็มีความสูญเสีย ไม่ว่าคุณตัดสินใจอย่างไรก็มีคนเจ็บตัว ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นมันมีด้านเสียซึ่ง Costly ราคาแพง ไม่ว่าแพ้หรือชนะก็หัวเราะไม่ออก ภาวะโศกนาฏกรรมทางวรรณคดีหรือภาวะที่มนุษย์เจอ Dilemma เจอภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก(อย่างรุนแรงต่ออารมณ์ความรู้สึก) ต้องตัดสิน ต้องทำอะไรบางอย่าง แต่ไม่ว่าทำอะไรลงไป มันไม่มีแต่ด้านดี นี่ผมถึงบอกว่าผมใช้วรรณคดีเพื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ เพราะ...ช่วยให้เราคิดเรื่องพวกนี้อาจจะดีกว่าตำราสังคมศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น

 

พูดในภาษาผมตั้งแต่ต้นคือว่า
ฝ่ายที่มีอำนาจจะเป็นผู้กำหนดให้ฝุ่นหายตลบแบบใด
อาจไม่ง่ายแบบ 6 ตุลาก็ได้
แน่นอนมันขึ้นอยู่กับเราด้วย ...
 

ฝุ่นหายตลบโดยรัฐ

ฝุ่นจะหายตลบได้อย่างไรบ้าง หนึ่ง เรามักกล่าวกันว่า “ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์” มันไม่ง่ายแค่นั้นหรอกครับ ไม่จริง จริงเป็นเพียงบางส่วน นั่นเป็นความเข้าใจง่ายๆ

คนชนะเขียนประวัติศาสตร์ บ่อยครั้งเป็นแบบนั้น บ่อยครั้งไม่ใช่ หมายความว่าคนแพ้เขียนประวัติศาสตร์ด้วยหรือ คนแพ้ก็ไม่ค่อยได้เขียนหรอกครับ (แต่)สังคมที่คลี่คลายไปเขียนประวัติศาสตร์ ผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์ระยะสั้น เช่น รัฐบาล เขียนอยู่ตอนนี้ ศอฉ. เขียนอยู่ตอนนี้ เวลาผ่านล่วงเลยไป ความทรงจำที่จะมีต่อเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจะค่อยๆ เปลี่ยนไป ตามเกณฑ์คุณค่า ตามบรรทัดฐานของสังคมที่เปลี่ยนไป

ยกตัวอย่างกลับไปที่ 6 ตุลา เพราะเกิดนานแล้ว หลัง 6 ตุลาใหม่ๆ การประชุมอย่างนี้จัดไม่ได้ รายละเอียดมันมีเยอะ เพราะว่าความขัดแย้งตอนนั้นเป็นความขัดแย้งในเมือง เป็นความขัดแย้งที่เกิดในหมู่ปัญญาชน ในมหาวิทยาลัยจึงเป็นเป้าหมาย จัดไม่ได้ จะคุยกันต้องลงใต้ดิน ตอนนี้ไม่ใช่เพราะว่าการปราบปรามครั้งที่ผ่านมาเบากว่า 6 ตุลา แต่เพราะว่าแนวหน้าของการปะทะไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นตอนนี้คนที่คุยไม่ได้หมายถึงคนที่อยู่ตามรอบๆ เชียงใหม่ ไม่ใช่มหาวิทยาลัย

เอาใหม่นะ ผมไม่ได้บอกว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ หรือความรุนแรงที่เกิดขึ้นครั้งนี้เบากว่า 6 ตุลา เพียงแต่มันเกิดคนละที่ แนวหน้าของความขัดแย้งไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัย เราจึงยังคุยในมหาวิทยาลัยได้ แต่คนที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ และเสี่ยงต่อการถูกจับอยู่รอบๆ เชียงใหม่ อยู่ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี หรืออีกหลายๆ แห่ง คนเหล่านั้นยังหลบๆ ซ่อนๆ เพราะถูกตามล่าตามจับ อย่างพวกเราอาจจะโดนก็ได้นะ เดี๋ยวอาจจะโผล่มา แต่เราพอรู้ว่าเราจัดคุยแบบนี้ได้

กลับไปที่เหตุการณ์ 6 ตุลา หลังจากนั้น 2-3 เดือน บรรดาคนที่เห็นอกเห็นใจฝ่ายนักศึกษาที่ถูกปราบปรามคุยอย่างนี้ไม่ได้นะ ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ต้องเข้าป่า ประมาณ 3 เดือน คนที่มีส่วนในการฆ่ายังร่าเริง ยังแสดงความดีอกดีใจจากการที่รักษาประเทศชาติไว้ได้สำเร็จด้วยการฆ่าคอมมิวนิสต์ ถึงประมาณธันวาคมหรืออาจจะเลย(ไปอีก)นิดหน่อย เช็คในหนังสือพิมพ์ได้เลย มีปัจจัยหลายอย่างที่จะไม่กล่าวในที่นี้ว่าความร่าเริงจากการปราบปรามได้สำเร็จถึงได้ปรับไป เอาเป็นว่ารวมๆ ก็คือทุกอย่างปรับตัว มันเปลี่ยนตลอดเวลา รวมทั้งอารมณ์ของคนหลัง 6 ตุลาก็เริ่มเปลี่ยน รวมทั้งความล้มเหลวของรัฐบาลธานินทร์ (กรัยวิเชียร) คนเริ่มวิจารณ์รัฐบาลธานินทร์มากขึ้น การพูดเรื่อง 6 ตุลาก็เป็นไปได้มากขึ้น รวมทั้งข่าวสารรูปภาพจากต่างประเทศเริ่มไหลกลับเข้ามา ตอนนั้นไม่มีรูปเยอะอย่างยุคนี้นะ ยุคนี้รูปเยอะมาก ตอนนั้นไม่มีอะไรเลย กว่ารูปจะกลับเข้ามาได้ใช้เวลา 3 เดือน รูปแรกที่ออกสู่สาธารณะในไทย เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาแล้ว 6 เดือน ออกปุ๊บหนังสือเล่มนั้นถูกปิดทันที แต่ทุกอย่างเปลี่ยน

ในประเด็นนี้ ไม่ต้องการจะบอกว่า ผู้ชนะไม่ใช่คนเขียนประวัติศาสตร์เสมอไป ผู้ชนะเป็นเพียงแค่คนมีอำนาจ และมีอิทธิพล ที่พยายามเขียนประวัติศาสตร์แบบที่เขาต้องการ แต่เขาไม่ได้กุมอำนาจไปตลอดหรอก

.... ไม่มีทางที่เขาจะกุมการเขียนประวัติศาสตร์ได้ตลอดไป ทุกอย่างเปลี่ยน ทำไมเมื่อ 20 ปี หลัง 6 ตุลา สามารถจัดงานรำลึกได้ เพราะกระแสเรื่องสิทธิมนุษยชน เพราะอีกหลายเรื่องมันเปลี่ยนไปแล้ว เราจึงสามารถพูดได้ว่าอย่ามาทำร้ายคนเพราะเพียงแค่คิดต่างนะ ลองไปพูดแบบนี้เมื่อเดือนตุลาคม ถึง ธันวาคมปี 2519 สิ พูดไม่ได้

ใครที่ชอบหาว่า (ผม) หมกมุ่นกับ 6 ตุลา (ถูก 6 ตุลาหลอกหลอน) ถ้าผมหมกมุ่น ผมไปนั่งคุยกับกระทิงแดงไม่ได้หรอกครับ (ผมทำ)งานวิจัยก็ต้องคุยกับพวกเขา (ผมรู้สึกสงบ)ทำใจได้แล้วจึงกลับไปคุย(กับพวกเขาได้เพือผลทางปัญญา) เราจะรู้ว่าพวกเขาก็เปลี่ยนความคิด ไม่ได้เปลี่ยนกลับกลายเป็นเห็นใจนักศึกษานะ ไม่มีทาง เขายังเชื่อว่าเขาทำถูก แต่คำอธิบายของเขาเปลี่ยนไป เจอคนที่ทำงานกับ พล.ต.จำลอง (ศรีเมือง) ทำงานกับสายข่าว ทบ. ความคิดเปลี่ยนไปมหาศาล เขาไปเรียนหนังสือเพิ่ม เขาอยู่กับมหาวิทยาลัย เขาเรียนปริญญาโท เขาอธิบายใหม่ เขาไม่ยอมรับว่าเขาผิด แต่เขาอธิบายความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครั้ง 6 ตุลา เปลี่ยนไปจากเดิม

เหตุการณ์เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้ชนะจะไม่ใช่คนเขียนประวัติศาสตร์ตลอดไป เขาอาจจะเขียนอีกสักไม่กี่เดือน และในภาวะปัจจุบัน ... อาจจะสั้นกว่าสามเดือนก็ได้ อาจจะยาวกว่าสามเดือนก็ได้ หรือระยะเวลาอาจจะไม่ใช่ปัจจัยไม่สำคัญ แต่...เขาจะกำหนดการเขียนประวัติศาสตร์หรือการเล่าเรื่อง (ไม่ตลอดไป)

หรือพูดง่ายๆ หรือพูดในภาษาผมตั้งแต่ต้นคือว่า ฝ่ายที่มีอำนาจจะเป็นผู้กำหนดให้ฝุ่นหายตลบแบบใด อาจไม่ง่ายแบบ 6 ตุลาก็ได้ แน่นอนมันขึ้นอยู่กับเราด้วย ... คือขึ้นอยู่กับคนอื่นด้วยว่าจะมีปากมีเสียงทำให้ฝุ่นตลบนานขึ้นอีก เพราะไม่ยอมให้อำนาจของรัฐกำหนดเรื่อง หรือกลับพอจะมีอำนาจจนทำให้การใช้อำนาจรัฐกำหนดเรื่องได้ง่ายๆ มันเป็นไปไม่ได้

ขอ Footnote (เชิงอรรถ) นิดหนึ่งว่า ทำไมผมถึงมาคุยเรื่อง Memory (ความทรงจำ) หลายคนอาจบอกว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะกำลังจะรบจะรากันอยู่แล้ว อันนี้ก็ขออภัยนะครับ เผอิญสำหรับผมเรื่องนี้สำคัญ และสำคัญยาวด้วย ถ้าพูดกันในแง่เพียงแค่ว่าคนตายจะเขาได้รับการแก้แค้นไหม สำหรับผมการแก้แค้นยาวนะครับ มันไม่สั้นๆ ตายแล้วเรียกคืนไม่ได้ แต่ในเวลาอนาคต เขาตายแบบไหน แล้วสังคมจะจดจำเขาแบบไหนอันนั้นต่างหากสำคัญ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วการจดจำ และ Story ที่เกี่ยวกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นมันไปคู่กับการเปลี่ยนแปลงสังคม ไปคู่กันแปลว่า มันมีผลต่อการเปลี่ยนสังคม และการเปลี่ยนสังคมมีผลต่อ Story ที่จดจำ มันไปด้วยกัน

หรือพูดอีกอย่างก็ได้ ฟังดูแล้วอาจจะเว่อไปหน่อยนะ แล้วอาจจะไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร คุณก็ค่อยๆ คิด มันเป็นแนวรบหนึ่ง ผมถึงบอกว่า ถ้าวันนี้คุยเรื่องสถานการณ์ก็ได้แต่ขอหลังจากนั้น วันนี้ผมขอคุยถึงแนวรบที่ปกติคนไม่คิดกัน ก็คือแนวรบอันนี้

นั่นคือข้อที่หนึ่งว่า สังคมไทยใช้อำนาจแน่ แต่อำนาจในการกำหนดเรื่องให้ฝุ่นหายตลบไม่ได้อยู่กับคนที่ มีอำนาจฝ่ายเดียวอยู่ตลอดไป เพราะอำนาจไม่อยู่ในมือใครเป็นเวลานาน และสังคมเปลี่ยน

ผมอยากจะเชื่อว่า พูดภาษาวิทยาศาสตร์สักนิดหนึ่ง Rate (อัตรา) ในการเปลี่ยน ที่จะมีผลต่อการทรงจำเหตุการณ์เดือนพฤษภาที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าจะใช้เวลาสั้นกว่า 6 ตุลาเยอะ แต่มันขึ้นอยู่กับคนที่ไม่เห็นด้วยกับฝุ่นหายตลบแบบรัฐบาล ขึ้นอยู่กับเรื่องนั้นด้วย

 

1984 คือสังคมที่อยู่ด้วยความกลัว
ไอ้คนที่ยังไม่โดนก็ต้องระวัง
เพราะอยู่ด้วยความกลัว
ไอ้คนที่โดนแล้ว
สักวันหนึ่งก็จะถูก break down
ในแง่ Spirit ไม่ใช่ในแง่ physical ไม่ใช่กายภาพ
แต่เป็นข้างใน ที่ทำให้ต้องยอมสยบ

ฝุ่นหายตลบแบบ ‘1984’

อันที่สอง อำนาจในการทำให้ฝุ่นหายตลบคืออะไร อันนี้ผมเรียนรู้จากหนังสือฝรั่ง 1984 ของจอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) สิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองไทยตอนนี้ ผมนึกไม่ถึงนะครับ แต่ว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ

1984 เป็นเรื่องที่ว่าด้วยสังคมเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ เวลาเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จใน 1984 เนี่ย มันไม่ใช่เพียงแค่การเอาปืนหรือการใช้ตำรวจไปจับ อันนั้นมันเถื่อนไปหน่อย ในความเป็นจริงสังคมต่างๆ เกิดขึ้นแบบนั้นหลายแห่ง และมันไม่ใช่เป็นเผด็จการแบบใน 1984 เป๊ะๆ หรอก เพราะนั่นคือในนิยาย

แต่สิ่งที่ 1984 ต้องการจะเน้น เน้นจนอาจจะเว่อ คือไม่มีในความเป็นจริง แต่เพื่อให้เราคิด ก็คือการใช้อำนาจกำราบปราบปราม(ความคิด) ไม่ใช่เพียงแค่จับคนขังเข้าคุก...ซึ่งคือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แต่ 1984 ข้ามตรงนั้นไป แล้วกลับสนใจการใช้อำนาจบังคับบงการความจำและความรู้ของคน

ผมไม่รู้ว่าควรจะดีใจไหมว่าสังคมไทย มันไม่ได้เป็นขนาด 1984 ของจอร์จ ออร์เวลล์ เพราะว่ามันยากที่สังคมไหนจะเป็นขนาดนั้น แต่ผมกลับคิดว่ามันน่าเสียใจ น่าห่วง ผมไม่เคยนึกว่าสังคมไทยจะมีส่วนหลายๆ อย่างที่ทำให้ผมคิดถึง 1984 แล้วผมคิดว่าทุกวันนี้มันเป็นแล้ว สำหรับคนที่เป็นนักข่าว ใส่ไปเลยก็ได้ว่า ธงชัยบอกว่าสังคมไทยทำอย่างกับตัวเองเป็น 1984 … ใช่!

ถ้าเราไม่คิดว่ามันจะเหมือนกันเป๊ะ เพราะไม่มีทางเหมือนกันเป๊ะ เพราะนั่นคือนิยาย ไม่เหมือนกันตั้งหลายอย่าง รวมทั้งการจับคนเข้าคุก และใช้อาวุธยังมีอยู่ ซึ่งใน 1984 เขาไม่ใช้วิธีเถื่อนๆ แบบนั้นแล้ว ความเป็นจริงเถื่อนกว่า

ประเด็นใหญ่ที่หนังสือเล่มนี้พยายามจะบอกคือการควบคุมบงการความคิด เรื่องง่ายๆ ที่เราเห็นอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เนี่ยมันก็น่าเกลียดพอแล้ว ในความเป็นจริงมันลึกซึ้งกว่านั้น เช่นการไล่ล่าแม่มดอย่างที่มติชนเขา(เรียก) การลงโทษเด็กนักเรียนที่เชียงราย หรือการลงโทษคนที่เล่นในรายการอะไรนะ (นิ่งนึก)  “มาร์คเด็ก” น่ะครับ (หมายเหตุ - หมายถึง วิทวัส ท้าวคำลือ หรือ มาร์ค V11 หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันในรายการประกวดร้องเพลง True Academy Fantasia Season 7) พวกนั้นคือวิธีจัดการกับ “Thought crime” นี่เป็นศัพท์ของ 1984 “อาชญากรรมทางความคิด”

...มันเหลือเชื่อ... ปีสองปีก่อน บางคนอาจจะเคยได้ยินข่าว คือผมพยายาม Campaign(รณรงค์) เรื่อง...กฎหมายหมิ่น เพราะกฎหมายหมิ่นเป็นเรื่องที่แย่ที่สุดเรื่องหนึ่งของ Thought crime ตอนนี้มันยิ่งกว่านั้นแล้วล่ะ มันไม่ใช่แค่กฎหมายหมิ่นแล้วนะ 

นี่คือประเด็นที่สองที่อยากจะพูด การจัดการกับความรู้ความทรงจำที่ตัวเองไม่เห็นด้วยในฐานะที่มันเป็น Thought crime สังคมในโลกนี้เนี่ย ประเทศที่มันศิวิไลซ์ มีระดับความเจริญ อย่างเมืองไทย ไม่มีที่ไหนเขา deal กับ Thought crime อย่างนี้หรอก ถ้าคุณยังคิดถึงเกาหลีเหนือ ถึงอะไรก็ว่าไป แต่ในประเทศขนาดเมืองไทย เขาไม่จัดการกับ Thoughtcrime แบบนี้ แต่เมืองไทยทำ

มีหลายอย่างใน 1984 ที่ทำให้เราเรียนรู้การจัดการกับ Thought crime แบบที่เรานึกไม่ถึง ...ยกตัวอย่างเช่น มีศัพท์คำหนึ่งของออร์เวลล์ในเล่มนี้ คือเขาเรียก “Doublespeak” ผมไม่ทราบว่าฉบับแปลของคุณรัศมี (เผ่าเหลืองทอง) แปลว่าอะไร

Doublespeak ถ้า แปลเป็นไทยที่ใกล้ ก็ต้องบอกว่าเป็น "ลิ้นสองแฉก" ก็ยังไม่เชิงนะ แต่ทำนองนั้น "ปากว่าตาขยิบ" ทำนองนั้น พูดอย่างใจอย่าง ทำนองนั้น แต่ Doublespeak ความหมายที่มันโหดร้ายกว่านั้นก็คือว่า ในการพูดซึ่งดูเหมือนจะตีความได้อย่างเดียว มันหมายความได้ตรงข้ามกัน แล้วไอ้คนพูดไม่ใช่แกล้งนะ พูดง่ายๆ ว่าไม่ใช่อภิสิทธิ์พูดว่าต้องปรองดอง แล้วข้างหลังทำอย่างนี้ (เอานิ้วไขว้กันอยู่ข้างหลัง ซึ่งในวัฒนธรรมตะวันตกหมายความว่าตั้งใจและรู้ต้วว่ากำลังพูดปด) คือตัวเองไม่ซื่อสัตย์ ไม่จริงใจ แอบทำอย่างนี้ไว้ แต่กลายเป็นว่า ผมคิดว่าเขาไม่ได้ทำอย่างนี้เลย เขาเชื่อสิ่งที่เขาพูด เขาเชื่ออย่างนั้นจริงๆ แต่สิ่งที่อยู่ในหัวเขา มันแปลตรงข้ามกับที่มันควรจะเป็น

Doublespeak เป็นอย่างนั้น ในสื่อนั้นมีหลายอย่างที่เป็น Doublespeak คือว่าพูดออกมาแล้ว เราอ่านดูด้วยภาษาธรรมดา มันควรแปลว่าอย่างนี้ แต่ในสื่อสามารถอธิบายให้กลายเป็นอีกอย่างได้ สังคมไทยเต็มไปด้วย Doublespeak (คำว่า) “ปรองดอง” เป็น Doublespeak ไม่กี่วันก่อนผมดูทีวี อภิสิทธิ์พูดถึงเรื่องปฏิรูปการศึกษา ต้องการให้เด็กนักเรียนเรียนแล้วรู้จักวิพากษ์วิจารณ์ มีความคิดเป็นตัวของตัวเอง คิดว่าเขาทำอย่างนี้ไว้ข้างหลังไหม (เอานิ้วไขว้กันอยู่ข้างหลัง) ไม่จริงใจ ผมว่าไม่นะ เขาไม่ได้ทำ แต่เพราะสำหรับเขา คำว่ารู้จักวิพากษ์วิจารณ์กับเป็นตัวของตัวเองเนี่ย มันแปลคนละอย่างกับที่เราคิดกัน

เอาเข้าจริง กลุ่มที่ทำ Doublespeak แบบที่ทำมานานแล้ว และทำกันอย่างเหลือเชื่อว่า Doublespeak ได้นาน ความหมายที่ควรจะง่ายๆ ชัดๆ ตรงๆ กลับกลายเป็นความหมายที่ตรงกันข้ามอย่างเหลือเชื่อ คือกลุ่มพันธมิตรฯ พันธมิตรฯนี่สร้าง Doublespeak มาหลายปีแล้ว คุณคิดว่าอภิสิทธิ์ต่างจากพันธมิตรฯมากอย่างที่คิดหรือ ไม่ใช่เรื่องการเมืองนะ ผมว่าเรื่องนี้ (ชี้ที่หัว) ผมว่าความคิดเขาไม่ต่างกัน นี่ไม่ได้พูดอย่างดูถูก หรือไม่ได้พูดเรื่องการเมืองนะ ...(แต่หมายถึงเรื่องความคิด)... อภิสิทธิ์เขาเรียน Oxford มา แปลว่าเขาต้องคิดไม่เหมือน(พันธมิตรหรือ?) คุณสังเกตดูนะครับ ผมคิดว่าอภิสิทธิ์คิดลงล็อกกับพันธมิตรฯ เกือบทุกเรื่อง การเมืองต่างหากล่ะที่อาจจะทำให้เขาต่าง ก็คือผลประโยชน์เขาอยู่ข้างประชาธิปัตย์ ขณะที่พันธมิตรฯ...ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ แต่ในแง่การคิดการเข้าใจสังคม ว่าอะไรเป็นยังไง ควรจะเล่นงานเรื่องเขาพระวิหารไหม ปรองดองยังไง ผมคิดว่าเขาคิดเผลอๆ ต่างจากพันธมิตรฯน้อยมาก ...เพียงแต่เขาไม่ใช่พันธมิตรฯเท่านั้นเอง ตรงข้ามกับที่คิดว่าเขาคิดต่างกัน แต่การเมืองใกล้กัน ผมกลับคิดว่าเขาคิดคล้ายกัน แต่การเมืองของเขา ผลประโยชน์หลักอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ จึงมีข้อต่างอยู่

1984 สอนให้รู้ถึงว่าสังคม และรัฐ คือสังคมด้วยนะไม่ใช่รัฐอย่างเดียว...จัดการกับ Thought crime อย่างไร ... การจัดการอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมาก ก็คือ ... คุณอ่านคำสัมภาษณ์ของคุณสุวิชา ท่าค้อ หลังจากออกจากคุกไหมครับ ได้อ่านคำสัมภาษณ์ของคุณบุญยืน ประเสริฐยิ่งไหมครับ ทั้งสองอันลงในประชาไท หลังจากที่เขาสองคนโดนข้อหาหมิ่น ติดคุกอยู่คนละปีโดยประมาณ แล้วก็ออกมาใช่ไหมครับ ออกมาให้สัมภาษณ์ ผมขอเล่าความรู้สึกที่ผมมีแล้วกัน เป็นความรู้สึกที่ผมมีต่อคำสัมภาษณ์ทั้งสองนะครับ ในภาษาวิชาการก็คือเป็นการตีความโดยผม ผมไม่รับประกันว่าคุณสุวิชา กับคุณบุญยืนคิดอย่างนี้จริงไหม แล้ว...ผมก็ไม่แคร์ด้วยว่าจริงๆ เขาคิดอะไร เอาเป็นว่าเมื่อผมอ่านแล้วผมคิดอะไรอยู่ เกิดอะไรขึ้นในความคิดผม

ผมคิดถึงประมาณ 10 หน้าสุดท้ายของ 1984  ในเรื่อง 1984 คือรัฐควบคุม Thought crime อย่างที่บอก สุดท้ายมันเกิดกบฏขึ้นสองคน ผู้ชายชื่อวินสตัน ผู้หญิงชื่อจูเลีย สิ่งที่เขากบฏ เขาไม่ใช่มารวมตัวเป็นขบวนการเสื้อแดง ชุมนุม เดินขบวน ไม่ๆๆ 1984 กบฏอย่างที่ผมเห็นว่าเบากว่านั้นแต่กลับหนักที่สุด ...คือเบากว่าขบวนการเสื้อแดง และหนักยิ่งกว่า ก็คือเป็นการกบฏลงไปถึง individual คือในตัวเขา จูเลียกับวินสตันเนี่ย รับไม่ได้ อึดอัดทนไม่ไหว และการแสดงออกของเขา according ตามหนังสือนะ ก็คือว่าเขาละเมิดกฎเกณฑ์ของสังคมโอเชียเนีย (Oceania) ที่มี Big Brother ที่มีพี่เบิ้มคอยคุมอยู่ สองคนนี้ละเมิดด้วยการแอบมีเซ็กซ์กัน แอบมีเซ็กซ์กันแบบที่สังคมนั้นยอมไม่ได้ เซ็กซ์มีได้เฉพาะที่อนุญาต สองคนนี้แอบมีเซ็กซ์กัน

Big Brother นอกจากจะใช้ไม้ นอกจากจะใช้ก้อนอิฐ ที่คอยควบคุมแล้วเนี่ย ก็ใช้ดอกไม้ด้วย คือใช้ด้านที่ soft ลง คือมาในฐานะมนุษย์คนหนึ่งชื่อนายโอไบรอัน มาเลียบๆ เคียงๆ มาตีสนิท มาทำตัวเป็นเข้าอกเข้าใจจูเลียกับวินสตัน สุดท้ายเนี่ยคนนั้นแหละคือ Big Brother เอง คือพูดง่ายๆ เป็นตัวสุดยอดของความเป็นจอมเผด็จการโหดร้าย จูเลียกับวินสตันก็ติดกับ ถูกจับไปทรมาน ถูกจับไปไหนก็แล้วแต่ แต่ 10 หน้าสุดท้ายจูเลียกับวินสตัน Break down ... คือทนไม่ไหว ยอมแพ้

การยอมแพ้ของจูเลียกับวินสตันคืออย่างไร คุณลองไปอ่านดูนะ เขาเขียนไว้นิดเดียว ประโยคเดียว แต่อ่านแล้ว ... ผมอ่านแล้วผมวูบเลย คือวินสตันขายจูเลีย จูเลียขายวินสตัน ต่างคนต่างโทษอีกคนหนึ่ง แล้วทันทีที่คุณขายอีกข้างหนึ่งปุ๊บ Big Brother ปล่อยทันที นึกภาพออกไหมครับ การทรมาน ทรมานให้ตายยังไง ไม่เท่ากับการที่ Spirit (จิตวิญญาณ) ของคุณหมด Spirit หมดในหนังสือเล่มนี้ก็คือคุณขายเพื่อน พอคุณขายเพื่อนปุ๊บ คุณหมดความเคารพตัวเองทันที คุณไม่เหลืออะไรเลย คุณกลับเป็นประชากรของโอเชียเนีย ของรัฐนั้นอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ย้ำอีกครั้งนะครับ ทันทีที่ขาย ทั้งคู่ถูกปล่อยตัว

ผมไม่ได้บอกคุณสุวิชา คุณบุญยืนเป็นอย่างนี้นะ ไม่เลย ไม่ มีเซ้นส์นี้เลย แต่เซ้นส์ที่ผมได้ คือเวลาเราอ่าน เราเกลียดจูเลียที่ขายวินสตัน เกลียดวินสตันที่ขายจูเลียไหม เราเกลียดไม่ลง ผมไม่ได้บอกคุณสุวิชาหรือคุณบุญยืนคิดอย่างไร ผมไม่รู้จริงๆ แต่อ่านแล้วผมนึกถึง 10 หน้า สุดท้ายของหนังสือ ก็คือว่าจะให้คนมันทนอยู่ยังไงนะ ไม่ว่าเขาตัดสินใจ เขาทำอะไรก็แล้วแต่ เช่น คุณบุญยืนใส่เสื้อสีชมพูออกมาสัมภาษณ์เนี่ย ผมโกรธไม่ลง แต่ฉากนี้มันโหดร้ายซะยิ่งกว่าเอาเขาเข้าคุกนะ หรืออาจจะไม่ยิ่งกว่า แต่มันโหดร้ายไม่น้อยแหละ ทันทีที่คุณขายเพื่อน ก็คือขายวิญญาณตัวเองด้วย หมดความเคารพตัวเอง รัฐนั้นรู้ว่าไม่ต้องห่วงหมอนี่อีกต่อไปแล้ว This is 1984.

ผมคิดว่ารัฐกำลังชำระสะสางฝุ่นที่ตลบอยู่ให้ลงตัว ด้วยการทำให้ไอ้พวกคิดแบบหัวหมอ กระเหี้ยนกระหือรือ หรือคิดต่างทั้งหลายเนี่ย ถึงจุดหนึ่งต้องระวัง ต้องเกรง อยู่ด้วยความกลัว 1984 คือสังคมที่อยู่ด้วยความกลัว ไอ้คนที่ยังไม่โดนก็ต้องระวัง เพราะอยู่ด้วยความกลัว ไอ้คนที่โดนแล้ว สักวันหนึ่งก็จะถูก break down ในแง่ Spirit ไม่ใช่ในแง่ physical ไม่ใช่กายภาพ แต่เป็นข้างใน ที่ทำให้ต้องยอมสยบ แล้วสำหรับ 1984 การทำลาย Spirit สำคัญกว่าการทรมานทาง Physical

รัฐไทยอาจจะไม่ทำถึงขนาดนั้น แต่ที่เล่าให้ฟังก็คือว่า ลองนึกสิครับ เขาไล่จับ ไล่ขู่ อาจารย์สุธาชัย (ยิ้มประเสริฐ) ก็ปล่อย คนนั้นก็ปล่อย ผมเชื่อว่าอีกหลายคนก็ปล่อย ไม่ใช่เพราะเขากรุณา แต่เขาต้องการ(ทำให้กลัว ทำให้ท้อ ทำให้หมดแรงต่อต้่าน) แค่ไหนที่ Break down (ก็ยิ่งดี) ถึงจุดที่ว่าคนเป็นอันตรายน้อยลง ถึงจุดที่คนนี้ต้องระวัง ต้องกลัว

... เพื่อนอีกคนหนึ่งของเราในที่นี้เนี่ย ถูกจับหาว่าหมิ่นฯ แต่ปล่อยออกมา ทุกวันนี้ต้องพยายามไม่ทำอะไร(ทั้งนั้น) ความคิดเขาไม่เปลี่ยน ไม่เหมือน 1984 ยังไม่แย่ขนาดนั้น แต่สุดท้ายเขาต้องอยู่อีกแบบ แทนที่จะอยู่ได้อย่างเป็นมนุษย์ปกติ ซึ่งมีความเคารพ มีศักดิ์ศรีในตัวเอง อยู่ไม่ได้ ... individuality คือปัจเจกภาพของเขาต้องลดทอน ต้อง Compromise ไม่งั้นอยู่ในสังคมนี้ไม่ได้ สังคมกำลังทำอย่างนั้นกับคนจำนวนมาก

ตอนสุดท้ายของสุดท้ายเลยใน 1984 จูเลียกับวินสตันเดินมาจ๊ะเอ๋กัน พยายามจะไม่เจอกัน ไม่อะไรกันแล้วนะ เพราะกลัว แต่ยังมาจ๊ะเอ๋กัน ตรงนั้นจะเป็นที่ยืนยันเปิดเผยกันว่าต่างคนต่างขายกันและกัน แต่มันมีแว๊บหนึ่ง หนังสือมันก็ทะลึ่งนะครับ แว๊บหนึ่งที่ลึกๆ แล้ววินสตันยังหวนอาวรณ์ ยังหวนหาการมีเซ็กซ์กับจูเลียอยู่ ก็คือวินสตันไม่ได้เปลี่ยนนะ หรือเปลี่ยนแต่อาจจะไม่ได้มากถึงขนาดที่ Big Brother จะต้อง Clean หมด แต่แค่นั้นพอ แค่นั้นพอแล้วที่เขาจะได้ปล่อยตัว เพราะหมดพิษสงแล้ว

 

ถ้าโลกวันข้างหน้าเปลี่ยนความคิด
หนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนเองนั่นแหละจะเป็นพวกแรกๆ เลย
ที่จะออกมาบอกว่าเห็นใจ ...
แล้วไอ้เมื่อ 3 เดือนหลังการปราบนั่นพวกคุณทำอะไร
 

ฝุ่นหายตลบโดย ‘สื่อมวลชน’

การจัดการความทรงจำอย่างที่สาม ผู้แสดงนำคือสื่อมวลชน อันนี้ยกตัวอย่างนิยายไทย ไม่ต้องไปฝรั่ง

มีใครอ่าน คำพิพากษา”?... คนที่ไม่ได้อ่านลองไปอ่านของชาติ กอบจิตตินะครับ การจัดการความทรงจำแบบที่สามนี้คือการจัดการแบบคำพิพากษา ...

นายฟัก เขาตั้งชื่อดีมาก ...ผมรู้ว่ากำลังเล่นกับภาษาอยู่... ถูกกล่าวหาว่าเป็นชู้กับแม่เลี้ยงตัวเอง ทั้งเรื่องคนเขียนทำให้เราต้องเลือกข้างว่าจะเชื่อฟักว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่ก็ชักไม่แน่ใจ แต่ตามเรื่องอันนี้เป็น scandal เป็น crime เป็นสิ่งที่น่าเกลียดที่สุดอันหนึ่ง แล้วสังคมตัดสินทันที จนฟักอยู่อย่างทุกข์ทรมาน ไม่ว่า fact จะคืออะไร แต่กระบวนการทางสังคมที่มีอำนาจทำให้สังคมตัดสินอย่างนั้นแล้ว สำหรับสื่อมวลชน fact คืออะไรเรื่องหนึ่ง แต่เขาพิพากษาได้ แล้วถ้าโลกวันข้างหน้าเปลี่ยนความคิด หนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนเองนั่นแหละจะเป็นพวกแรกๆ เลยที่จะออกมาบอกว่าเห็นใจ (ดูอย่างกรณี 6 ตุลาที่สื่อมวลชนออกมาบอกว่าเห็นใจคนที่เดือนร้อนจาก 6 ตุลา) แล้วไอ้เมื่อ 3 เดือนหลังการปราบนั่นพวกคุณทำอะไร ช่วงที่สถาปนาว่านักศึกษาที่ธรรมศาสตร์เลวระยำโหดเหี้ยมเป็นปีศาจอย่างไร ก็คือ สื่อมวลชน(อีกน่ะแหละ) ไอ้พวกเราก็เป็นปัจเจกชนที่อำนาจไม่พอ อยากจะให้คนคิดกับ 6 ตุลาใหม่ เราก็ต้องเขียนไปลงหนังสือพิมพ์อยู่ดี ก็ต้องพึ่งสื่อมวลชนอยู่ดี สื่อมวลชนลงให้เราก็ดีใจ นักข่าวมาทำข่าวเราก็ชอบ แต่สุดท้ายพวกนี้นี่แหละที่บอกว่าสังคมไทยโหดเหี้ยมมากนะที่ทำกับนักศึกษาแบบนั้น แล้วใครล่ะ(ที่พิพากษานักศึกษาแบบนั้น)มาก่อน

วิธีจัดการกับความรู้และโศกนาฏกรรมอย่างที่สามนี่สั้นๆ แค่นี้ สื่อมวลชนทำตัวเหมือนอย่างครูใหญ่ หรือสังคมในหมู่บ้านของหนังสือเรื่อง คำพิพากษา”

 

การพยายาม encourage กันทางศีลธรรมไม่ใช่เรื่องผิด
ทุกๆ คนต้องมี จะพุทธหรือศาสนาอะไรก็แล้วแต่
หรือไม่เชื่อศาสนาอะไรเลยก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีศีลธรรม
คนเราต้องมีเรื่องนี้อยู่ แต่เมื่อไหร่ก็แล้วแต่
ที่คุณทำให้การจัดการเรื่องนี้เป็นเรื่องทางศีลธรรม
ที่ไม่เกี่ยวกับ Social-relation ที่ไม่เกี่ยวกับกลไกทางสังคมเลย
มันจะเกิดภาวะที่ สังคมไทยบอกว่า
จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ โดยไม่มี Public Policy ที่เกี่ยวข้อง

ฝุ่นหายตลบด้วย ‘ศีลธรรม’

อันที่สี่ ไม่ใช่วรรณคดีแต่ผ่านหนังสือเหมือนกัน ใครเคยเห็น หนังสือ ฅ.คน ฉบับพิเศษ” บ้างไหม ... พาดหัวที่หน้าปก ก้าวข้ามความเกลียดชัง” หนังสือเล่มนั้นค่อนเล่มจะเป็นรูปภาพ เนื้อหาสาระที่เป็นตัวหนังสือมีแค่ 2 อย่างเท่านั้น คือสัมภาษณ์อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล และสัมภาษณ์พระไพศาล วิศาโล พาดหัวก็ “ก้าวข้ามความโกรธเกลียด” ทำนองนี้ แต่มี “ชิงชัง” ไหม ไม่แน่ใจ

ผมฝากให้คุณไปทำการบ้าน ...ลองไปหาดูแล้วไปดูคำสัมภาษณ์ของคนสองคนนี้ แล้วนับดูว่ามีคำว่า “ความยุติธรรม” กี่ที่

ประเด็นคืออะไร “โศกนาฏกรรม” ที่เกิดขึ้นหลายครั้งในสังคมไทยหลายครั้งทำโดยชนชั้นปกครองและคนมีอำนาจ แล้วคนมีอำนาจเองนั่นแหละที่มาพูดเรื่องปรองดอง ในสมัย 6 ตุลา หลังจากนั้นหลายปีก็เหมือนกัน เขาใช้คำว่า“สมานฉันท์” เขานิรโทษกรรมพวกผมหลายปีหลังจากนั้น เหตุที่นิรโทษกรรมก็เพื่อ “ความสมานฉันท์” พอมหาวิทยาลัยหลายแห่งจะจัดงานต้อนรับคนที่ออกจากคุก เขาก็มีคำสั่งออกมาว่าอย่าต้อนรับเพราะมันจะยิ่งจุดความขัดแย้งกัน สมานฉันท์ดีกว่า หลายที่ก็ต้องเลิก ตอนที่ชักชวนเอาผู้พัฒนาชาติไทยกลับมาส่วนใหญ่ก็พูดเรื่องนี้ ใช้คำประมาณนี้ เพื่อกลับมาคืนดีกัน สมานฉันท์กัน หยุดการชุมนุม หยุดการต้อนรับ หยุดการพูด แล้ว 6 ตุลาถูกเบรกเป็นเวลานานหลายปีโดยมหาวิทยาลัยต่างๆด้วยข้ออ้างนี้ ที่เราจะได้ยินบ่อยคือ “อย่าไปฟื้นฝอยหาตะเข็บ”

ประเด็นคือ สิ่งที่เรียกว่า ความสมานฉันท์ ปรองดอง อะไรทำนองนี้ทั้งหมดในสังคมไทยไม่ผูกติดกับความยุติธรรม ผมอยากจะออกจาก ฅ.คน ไปหาหนังเรื่อง “Invictus” ขอยกตัวอย่างฉากเดียวที่บอกถึงธีมในหนังเรื่องนี้ ...สังคมแอฟริกาใต้เต็มไปด้วยการเหยียดผิว หลังจากยกเลิกการเหยียดผิวได้โดยผู้นำของฝ่ายคนผิวดำเป็นคนติดคุก เนลสัน แมนเดลล่า (Nelson Mandela) ต่อมาเขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี

Invictus เป็นเรื่องตอนที่แมนเดลล่าเป็นประธานาธิบดีและต้องการใช้ทีมรักบี้ซึ่งมีรากผูกติดกับคนผิวขาว (คิอเป็นตัวแทนของระบอบเหยียดผิว) ให้เป็นพาหะในการสร้างความสมานฉันท์ของคนต่างสี ฉากตอนช่วงต้นๆ ผ่านไปสัก 10 กว่านาที คนผิวดำประชุมกันมีมติว่าจะแอนตี้ทีม Springboks ของพวกผิวขาว แมนเดลล่าค้าน(มติดังกล่าว) และ(เสนอว่า)ต้องต้อนรับทีมนี้ในฐานะที่จะเป็นจุดเชื่อมคนหลากสีผิวเข้าด้วยกัน เหตุผลของแมนเดลล่าคือ ต้องก้าวข้ามความโกรธเกลียดชิงชัง

คุณนึกให้ดีนะ เวลามีคนมาบอกว่าให้ก้าวข้ามความโกรธ เกลียด ชิงชัง โดยอย่าเพิ่งนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม แต่นึกถึงมันอย่างเป็นคอนเซ็ปท์โดดๆ การก้าวข้ามความโกรธเกลียดชิงชัง มันดีใช่ไหม

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน Invictus แมนเดลล่าซึ่งต้องถือว่าเป็นผู้นำของผู้ที่เป็นเหยื่อ ผู้นำคนผิวดำ เป็นฝ่ายออกมาต่อสู้กับพลพรรคของตัวเองว่า อย่าจมอยู่ในความโกรธ เกลียด ชิงชัง เราต้องก้าวข้ามตรงนั้นไปให้ได้ สังคมมันจึงจะกลับสู่สภาวะที่อยู่กันได้และเป็นปกติ แมนเดลล่าพูดกับคนผิวดำ พลพรรคของเขาเอง แน่นอนว่าคนของเขาไม่เห็นด้วยเยอะแยะ แต่อย่างน้อยมันก็พอฟังขึ้น มันทำให้เราเกิดโจทย์ว่าจะแอนตี้ Springboks แอนตี้คนผิวขาวต่อไปดี หรือจะก้าวข้ามไป นี่เป็น Agenda (วาระ) ที่ต้องคิดต้องเถียงกัน

ผมสมมติว่า ลองนึกภาพคนที่พูดแทนที่จะเป็นแมนเดลาพูดกับคนผิวดำด้วยกัน นึกภาพเป็น เฟเดอริค ดับเบิลยู เดอเคิล์ก (Frederik Willem de Klerk) คือ ผู้นำคนขาวคนสุดท้ายที่ก่อไม่รู้กี่รายการเรื่องการเหยียดผิว แล้วมาพูดกับคนผิวดำว่าเราต้องก้าวข้ามความโกรธเกลียดชิงชัง มันต่างกันใช่ไหม ต่างกันลิบลับทันที แม้จะเป็นพูดคำเดียวกันนี้ นัยยะทั้งหมดมันคนละเรื่อง ตรงกันข้ามกันเลย อันหนึ่งจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็แล้วแต่ มันคือความสง่างาม อีกอันหนึ่งคือความน่าขยะแขยง

ทีนี้มาลองนึกถึงสังคมไทยใครพูดเรื่องปรองดอง เดอเคิล์ก ... เดอะมาร์ค แล้วที่น่าเศร้าคือคนตั้งเยอะตั้งแยะในสังคมไทยรับความน่าขยะแขยงนี้ได้ว่าคนที่ลงมือ (เป็นคนพูดเอง)... ให้คนอื่นเขามาพูดเรื่องปรองดอง คุณอย่าพูด ทันทีที่คนลงมือสั่งเองเป็นคนพูด ... สำหรับผมมันน่าขยะแขยง คุณไม่มีสิทธิ์พูด คุณเอาคนกลางๆ ซึ่งไม่รู้ว่ามีเหลืออยู่ไหม เอามาพูดก็ว่าไป แต่คุณไม่มีสิทธิ์พูด

ประเด็นที่สี่ที่จะพูดคือ คำว่าปรองดองในสังคมไทย มันทำงานแบบไทยๆ หนึ่ง คือ ไม่ผูกติดกับเรื่องความยุติธรรม สอง ใครๆ ก็พูดได้ ทั้งที่การปรองดอง... “Forgiveness” ...คำสำคัญของแมนเดลล่าที่เขาใช้ คือ “Forgiveness” ...ถ้าฝั่งตรงข้ามมาบอก forgive มันฟังไม่ได้ แต่ถ้าแมนเดลล่า ซึ่งเขาติดคุกมา 20 กว่าปี บอกว่า forgive เราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เราก็ต้องฟัง

...เรื่องนี้เป็นลักษณะของสังคมไทย เป็นมานาแล้ว แล้วนิตยสาร ฅ.คน ในคำสัมภาษณ์ของเสกสรรค์ ซึ่งในช่วงหลังมีความสามารถเรื่องพุทธศาสนามากขึ้นเยอะ ...ไม่ได้ประชด พูดแบบแฟร์ๆ...กับของพระไพศาลก็เป็นพระอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องการบอกคือ อะไรคือ Forgiveness ในสายตาของสองคนนี้ ไม่ใช่ Forgiveness ในความหมายเดียวกับอีกหลายๆแห่งในสังคมอื่น ผมจะไม่วิจารณ์ว่าดีหรือไม่ดีแต่จะบอกว่ามันต่างกัน forgiveness ในสายตาของสองท่านนี้ มันเป็น Forgiveness ในระดับ Individual แต่ไม่ใช่ Forgiveness ในเชิง Social-relation เป็นระดับจิตใจแต่ละคน แต่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคมที่ให้อภัยกันและกัน

ยกตัวอย่างเทียบไปนอกเรื่องนิดหนึ่ง สังคมไทยมีคนจนเยอะแยะ พูดกันมานานแล้ว คุณคิดว่าต่างกันไหม ที่คนระดับผู้บริหารเห็นคนจนแล้วบอกว่า “จงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่” (ผู้ฟังหัวเราะ) กับบอกว่า “จงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ แต่เราจะมี Public policy เหล่านี้ออกมา” ต่างกันใช่ไหมครับ และสังคมไทยมักจะเป็นแบบแรก

พูดง่ายๆ ว่า การพยายาม encourage (ส่งเสริม) กันทางศีลธรรมไม่ใช่เรื่องผิด ทุกๆ คนต้องมี จะพุทธหรือศาสนาอะไรก็แล้วแต่ หรือไม่เชื่อศาสนาอะไรเลยก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีศีลธรรม คนเราต้องมีเรื่องนี้อยู่ แต่เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่คุณทำให้การจัดการเรื่องนี้เป็นเรื่องทางศีลธรรม ที่ไม่เกี่ยวกับ Social-relation ที่ไม่เกี่ยวกับกลไกทางสังคมเลย มันจะเกิดภาวะที่ สังคมไทยบอกว่าจงพอใจในสิ่งที่มีอยู่โดยไม่มี Public Policy ที่เกี่ยวข้อง จบ “ก้าวข้ามความโกรธเกลียดชิงชัง” (เฉยๆ) กับ “ก้าวข้ามความโกรธเกลียดชิงชัง แล้วมีกระบวนการที่ให้เกิด Social-Justice” มันต่างกันนะ

ผมเอง ผมไม่ได้บอกนะว่าการ “ก้ามข้ามความโกรธเกลียดชิงชัง” เป็นเรื่องเลว ... เป็นเรื่องดี แต่เมื่อไหร่พูดโดยไม่มีกลไกที่จะทำให้เกิดความยุติธรรมในความสัมพันธ์ระหว่างคน มันฟังแล้วเหมือนกับบอกว่าจงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ก็จบแค่นั้น ใช่ไหมฮะ ผมไม่ได้เรียกร้องว่าห้ามพูดเรื่อง(๋ศีลธรรม)พวกนี้ แต่คิดดูนิดหนึ่งว่าการพูดเรื่องพวกนี้โดยที่ไม่มีมิติกลไกทางสังคมจัดการปัญหานี้ มันไม่เข้าท่า

แล้วสิ่งที่ควรต้องทำก็ง่ายนิดเดียว จัดการให้มีกลไกจัดการเรื่องความยุติธรรมซะ เวลาผมอ่านคำสัมภาษณ์ของทั้ง 2 ท่าน ผมถึงรู้สึกอย่างนี้ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ผมทำเรื่อง 6 ตุลา ... ท่านไม่ผิดเลยที่ท่านพูดเรื่องศัตรูสำคัญของ 6 ตุลาคือ Evil (ปีศาจ) ในตัวคน แต่ถ้าท่านผู้แค่นี้ว่า Evil ในตัวคนแล้ว Full stop ก็เกิดภาวะอย่างที่เห็น มันไม่มีการจัดการเรื่องความยุติธรรม

ถ้าสักแต่ว่าก้าวข้ามความโกรธเกลียดชิงชังแล้ว Forgive ซะ โดยคนพูดเป็นคนผิวดำ โดยคนพูดเป็น Victim เป็นคนที่ได้รับผลกระทบ มันเป็นอย่างหนึ่ง แต่ถ้าพูดโดยคนที่มีอำนาจแล้วใช้กำลังก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมโดยตัวผู้พูดเองก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง คำว่า Forgiveness ปรองดอง ก้าวข้ามความโกรธเกลียดชิงชัง ในสังคมไทยเป็นแบบที่ไม่ผูกกับ Social mechanism เรื่อง Justice หรือเรื่องอะไรทั้งนั้น และเป็นมานานแล้วด้วย

ผมไม่กล้าสรุปนะว่านี่เป็นพุทธศาสนา ผมไม่กล้า ผมความรู้ไม่พอ ผมบอกได้ว่านี่เป็นแบบไทยๆ ที่เป็นมา ส่วนจะเป็นพุทธศาสนาทุกที่ไหม ผมไม่กล้า... หวังว่าคนในที่นี้คงไม่มาหาว่าผมลบหลู่พุทธศาสนานะ ผมกำลังพูดถึงภูมิปัญญา พูดถึงความรับรู้ในสังคม เรื่องนี้เป็นเรื่องต้องคิด เราไม่พูดถึงปรองดอง โกรธเกลียด Forgiveness ทั้งหลายโดยผูกพันกับกลไกเพื่อจะแก้ปัญหาในสังคม มันก็มีค่าเท่ากับ “ความยากจนก็ทนๆ ไปเถิด” โดยไม่ผูกกับกลไกทางนโยบายสาธารณะที่จะแก้ปัญหาความยากจน ทำนองเดียวกัน

สี่อันนี้... ผมไล่ไปเรื่อยๆ ว่า ฝุ่นจะหายตลบด้วยวิธีการเหล่านี้ ผมไม่บอกว่าทางออกคืออะไร เพราะผมก็คิดไม่ออกเหมือนกัน แต่อย่างน้อยคือบอกทางพวกเรา หรือชวนชี้ให้พวกเราคิดว่า เราจะสู้กับการใช้อำนาจสถาปนาให้ความรับรู้กับเหตุการณ์ที่ผ่านไปหรือทำให้ฝุ่นหายตลบ แบบใช้อำนาจ แบบ 1984 เราต้องสู้กับเรื่องแบบนี้ หรืออย่างน้อยๆ เช่น Determined ทำใจให้ดีนะ อย่ายอมให้เขา Breakdown ง่ายๆ แต่ถ้าเขา Breakdown ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องประณามกัน เป็นน่าเห็นใจ คิดให้ดีเรื่องการก้าวข้ามความโกรธเกลียดชิงชัง เวลาเจอเรื่องพวกนี้บางคนปฏิเสธง่ายเกินไป ผมคิดว่าไม่ใช่ว่าจะบอกทันทีว่าที่พูดแบบนั้นผิดหมด บ่อยครั้งมันไม่ได้ผิด แต่เวลาเราบอกว่ามันไม่ได้ผิด แล้วมันผิดตรงไหน ผมพยายามจะลองเสนอว่านี่ไงผิดตรงที่มันไม่ผูกกับกลไกทางสังคมเพื่อจัดการเรื่องความยุติธรรม ดังนั้นเท่ากับบอกทางออกด้วยว่า ถ้าหากคุณคิดจะปรองดองจริง กรุณาทำนะ แล้วถ้าจะทำสิ่งนั้น คนที่มีส่วนในการทำ ในการลงมือ ทำไม่ได้ คุณต้องให้ Victim เป็นคนทำ

การปรองดองและการสถาปนา Justice อย่างที่ดีที่สุด ต้องให้ Victim เป็นคนทำ แล้ว Victim กรุณา Sophisticated กรุณามีความ Fair และเถียงกันเองว่าไม่ได้มาด้วยการแก้แค้นนะ การแก้ปัญหาไม่ใช่ว่า กูมีอำนาจแล้วกูแก้แค้นมึงพรุ่งนี้ ไม่จบนะ ถึงตรงนี้ Victim ด้วยกันจะพูดเรื่อง ก้าวข้ามความโกรธเกลียดชิงชัง พูดเรื่อง Forgiveness อะไรพวกนี้ แต่ไม่ใช่คนที่ลงมือฆ่ามาพูด

6 ตุลานี่กล้าไหม ปล่อยให้ Victim ตั้งกรรมการ พฤษภาที่ผ่านมากล้าไหมให้ Victim ตั้งกรรมการ แล้วปล่อยให้คนที่เห็นอกเห็นใจเหยื่อหรือผู้ถูกกระทำทั้งหลาย ทะเลาะกันว่าควรจะเล่นงานแก้แค้นแค่ไหน ผมมั่นใจว่า คนอย่างพวกเราไม่ใช่คนที่จะสักแต่ว่าแก้แค้นเพื่อให้ความรุนแรง feed ความรุนแรงไปไม่รู้จบ

 

ในแนวรบอันหนึ่งคือเรื่องความทรงจำ
ในแนวรบเรื่องนี้ เราจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง
มันเริ่มแล้ว ไม่ใช่ต้องรอให้ผ่านไป 10 – 20 ปี
อย่ารอนานอย่าง 6 ตุลา มันเริ่มแล้ว
แล้วเราทุกคนมีส่วนได้ มีส่วนร่วม

ฝุ่นหายตลบโดย ‘นักวิชาการ’

ประเด็นที่ห้า ฝุ่นหายตลบแบบสุดท้ายคือแบบนักวิชาการ มาหมดแล้วนะรัฐบาล สื่อมวลชน สุดท้ายคือนักวิชาการ คุณเห็นการถกเถียงว่าการด่าแกนนำว่าผิดไม่ผิดแค่ไหนไหมครับ ผมจะไม่ Join นะว่าตกลงผมคิดว่าไง ผมไม่ร่วม แต่ผมให้ข้อสังเกตอย่างหนึ่ง มันเป็นเหตุเป็นผลเป็นบ้าเลย หมายความว่าไง การอภิปรายว่าใครถูกและผิด สรรหาเหตุผลต่างๆ มาหมด ผมถามหน่อยนะครับว่าการสู้กับความอยุติธรรมถึงขนาดเอาชีวิตเข้าแลกนี้ มันเป็นเหตุเป็นผลไหม

เอาใหม่นะครับ คราวนี้ผมไม่รู้ว่าผมใช้คำถูกไหม พอดีผมอาจจะคิดเป็นภาษาอังกฤษเกินไปหน่อย ก็คือว่าการที่ยอมตายในการสู้กับความอยุติธรรม การที่ยอมตายเพื่อความยุติธรรม มัน Rational ไหม สมเหตุสมผล ในที่นี้คือ มนุษย์ปกติเขาไม่ทำกันหรอก ไม่สมเหตุสมผลไม่ได้แปลว่าเป็นบ้า หรือไม่ได้แปลว่าปัญญาอ่อน หรือไม่ได้แปลว่าโง่เง่าอย่างที่ชอบด่ากัน แต่มันดูไม่สมเหตุผลในความหมายว่า อย่างเช่น เพื่อนผมบอกว่า รังแกกูมาก กูไม่ว่านะ รังแกลูกกูเมื่อไหร่กูสู้ สมเหตุไหม ผมว่าสมเหตุสมผลนะ แต่สมเหตุสมผลนี้ไม่เห็นจะเป็นเหตุเป็นผลตรงไหน คือ (ถ้าแกล้งกู กูทนได้) ถ้าแกล้งลูกกู กูสู้

การทำร้ายกัน การทำให้เกิดความอยุติธรรมอย่างหนักจนคนทนไม่ไหวแล้วจะสู้ ถึงขั้นยอมตายได้ มันไม่ปกตินะ เพราะปกติเรารักชีวิต แต่ผมถามว่ามนุษย์เป็นอย่างนี้มากี่ร้อยกี่ล้านคนแล้วในประวัติศาสตร์ เยอะมาก มนุษย์เป็นล้านที่ไม่สมเหตุสมผลเลย ผมคิดว่านักวิชาการหาความสมเหตุสมผลจนสุดโต่ง มนุษย์ปกติเนี่ย สมเหตุสมผลถึงขีดหนึ่งแค่นั้นแหละครับ เลยไปจากนั้นไม่ใช่เรื่องความสมเหตุสมผล เลยไปกว่านั้นเป็นเรื่องใจ สัญชาติญาณ Reaction หลายอย่างไม่สมเหตุสมผลเลย

และความไม่สมเหตุสมผล ขอย้ำว่าไม่ได้แปลว่าไร้เหตุผลนะ ไม่ได้แปลว่าเลวเสมอไป ไม่ได้แปลว่าเลว ด้วยซ้ำไป ไม่ได้แปลว่าผิดด้วย แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่ามันถูก และผมไม่กล้าบอกว่ามันควรจะทำ แต่มนุษย์เป็นอย่างนี้ การถกเถียงของนักวิชาการมักจะหาเหตุผล ทั้งที่มนุษย์ปกตินะถึงจุดหนึ่งมันไม่เป็นเหตุเป็นผลหรอก และความไม่เป็นเหตุเป็นผลนี้ไม่ใช่เรื่องความเลวร้ายที่ต้องประณามกัน อาจไม่ใช่ทุกครั้งนะ แต่บ่อยครั้งไม่ใช่เป็นเรื่องความเลวร้ายที่ต้องประณามกัน บ่อยครั้งเป็นเรื่องเห็นอกเห็นใจกันได้ บ่อยครั้งเป็นเรื่องที่แสนจะเป็นมนุษย์ ก็คือถ้าไม่เป็นอย่างนั้น อาจมีเหตุมีผลไปหมดนะแต่ไม่ใช่เป็นคนเท่าไหร่ เพราะคนปกติถึงจุดหนึ่งจะมีการตัดสินใจด้วยสัญชาตญาณ ด้วย...ความเสี่ยง

เคยได้ยินคำกล่าวไหมว่า คนที่หิว อดอยากเจียนตายยังไง ยากนะที่เขาจะยอมไปเสี่ยงชีวิตด้วย มี...คนที่ต่อสู้กับความหิว(ด้วยชีวิต)น่ะ แต่ไม่ง่ายนะ เขาจะหาวิธีอื่น คนไม่เอาชีวิตเข้าแลกง่ายๆ หรอก แต่กลายเป็นว่า ความยุติธรรมนี้ คนเอาชีวิตเข้าแลกมาไม่รู้เท่าไหร่ ถามว่าความยุติธรรมคืออะไร กินได้ไหม จับต้องได้ไหม ทำให้ร่างกายเราอุ่นขึ้นไหม ทำให้เรามีที่พักอาศัย ทำให้เรารักษาโรคได้ไหม ในตัวมันเองไม่ได้สักอย่างเดียว แต่มนุษย์มีความตระหนักรู้ว่า ความยุติธรรมหมายถึง social-relation ที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ปกติ และถ้าเกิดความอยุติธรรมที่ดีกรีที่มันแรงจนชีวิตเราอยู่ปกติไม่ได้ มนุษย์จึงรู้ว่าเขาจึงยินดีที่จะตายเพื่อความยุติธรรม เพื่อสู้กับความอยุติธรรม ความสมเหตุสมผลในความหมายที่ว่าต้องเป็นเหตุเป็นผลไปหมด ถึงตรงนั้นมันไม่ apply แล้ว

ผมไม่กล้าบอกว่าแกนนำถูกหมด ผมไม่รู้พอ ผมบอกได้เลยว่า คนตั้งเยอะที่บอกว่ากูจะสู้จนตายเนี่ย มันเป็นความไม่สมเหตุสมผลที่แสนจะสมเหตุสมผล และผมอธิบายไม่ได้ด้วยเหตุผลทางวิชาการด้วย บอกได้เลยว่าก็คนตัดสินใจอย่างนั้นน่ะ แล้วเรื่องพวกนี้ผมคิดว่าทุกคนเคยอ่านมา ทุกคนเคยดูหนังมา เคยฟังเพลงมา มีเรื่องตั้งเยอะที่เราอธิบายเรื่องที่ว่าคนตั้งเท่าไหร่ตายด้วยความรัก มัน Idiot จะตายไป คนเรายินดีเสี่ยง คนเรายินดีเอาตัวเข้าแลก คนเรายินดีทำหลายๆ อย่างที่ดูเหมือนไม่คุ้มเลย เพราะสิ่งที่เขาทำไม่ใช่เรื่องคุ้มหรือไม่คุ้ม และถึงบอกว่าคุ้มหรือไม่คุ้มก็ไม่รู้จะวัดตรงไหนด้วย และการวัดของคนเรื่องคุ้มหรือไม่คุ้มก็ไม่เหมือนกัน

ผมไม่กล้าบอกด้วยซ้ำว่าการตัดสินใจเหล่านั้นแปลว่าถูก ผมไม่กล้าพูด ผมว่ามันตัดสินลำบากมากที่จะบอกว่าพวกเขาทำอย่างนั้นมันไม่เป็นเหตุเป็นผล ทำไมไม่คิดขนาดนั้นขนาดนี้ ถ้าคนเราเป็นขนาดนั้นได้ก็คงดี ...แต่ถ้าคนเราเป็น Rational ไปหมด ไม่เกิดการปฏิวัติที่ไหนเลยสักแห่งเดียว ปฏิวัติฝรั่งเศสก็ไม่เกิด คุณว่าผู้นำปฏิวัติฝรั่งเศสพาคนไปตายไหม อื้อเลย ตายอื้อเลย ผู้นำปฏิวัติรัสเซีย จีนพาคนไปตายเยอะแยะเลย ปฏิวัติฝรั่งเศสทำให้เกิดเสรีภาพแล้วยกย่องทำไม ประเทศฝรั่งเศสยกย่องวันที่ 14 กรกฎา ยกย่องทำไม พาคนไปตายเยอะแยะ ผมคิดว่าในภาวะหนึ่งการตัดสินใจบางอย่างมันแสนจะไม่สมเหตุสมผล และมันก่อผล ก่อผลหมายถึงลบก็ได้ บวกก็ได้นะ และผลนั้นมันมหาศาล

ผมไม่กล้าบอกว่า การตัดสินใจที่จะเอาชีวิตเข้าแลกนี้(ถูกต้อง ต้องสนับสนุน) เพร่ะผมคิดว่าบ่อยครั้งผิดแต่ผมไม่กล้าบอกว่าการตัดสินใจเอาชีวิตเข้าแลกเป็นเรื่องผิดอีกเหมือนกัน จะบอกว่าผม Sit on the fence (แทงกั๊ก) ก็ได้ เพราะถึงที่สุดนั่นคือการตัดสินใจของแต่ละคนที่ผมดูถูกเขาไม่ลง บอกได้(แต่เพียงว่า) ถ้าผมไม่กล้าตัดสินใจเอาตัวเข้าแลก ผมก็กรุณาหุบปากซะ

ประเด็นนี้ก็คือ นักวิชาการพยายามทำให้ฝุ่นหายตลบด้วยเหตุด้วยผล ทั้งที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อพฤษภาที่ผ่านมาหลายเรื่องมันไม่ใช่เรื่องของเหตุของผล ไม่ใช่เรื่องความหมายลบนะ มันเป็นเรื่องที่ Beyond (นอกเหนือจาก) เรื่องเหตุและผลที่จะต้องมานั่งอธิบายกัน มันเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่านั่นคือการตัดสินใจของมนุษย์ นั่นคือโศกนาฏกรรม พฤษภาที่ผ่านมา 6 ตุลา และอีกหลายกรณีมันคือโศกนาฏกรรมในความหมายนี้ จะเห็นว่าไม่ว่าตัดสินใจอย่างไร มันก็มีผลเสีย แม้ว่าตัดสินใจแล้วออกมาชนะ ออกมามีผลดีมหาศาล ก็มีผลเสียพ่วงมาด้วยเยอะแยะ

มนุษย์อยู่ในจุดที่เป็นโศกนาฏกรรมจึงเป็น “Dilemma” ที่ต้องตัดสินใจ ถ้าตัดสินใจเลิกสลายก่อนแล้วทำต่อไปยาวๆ ผมเห็นด้วยกับ(อย่างนี้)นะครับ โดยส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยว่าเขาจะชุมนุมต่อ แต่พอเขาชุมนุมต่อแล้วมีเหตุการณ์เกิดขึ้น ผมสารภาพว่าผมด่าเขาไม่ลง ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องโศกนาฏกรรมที่ได้ตัดสินใจ แล้วการตัดสินใจครั้งนี้มันแพ้ มันเสียหายหนัก

เพียงแต่ ผมอยากจะถามว่า คุณคิดว่าการปฏิวัติฝรั่งเศสนี้ … “เข้าใจสถานการณ์ที่ดี ประเมินสถานการณ์ถูกต้อง จะนำไปสู่ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่ถูกต้องและได้รับชัยชนะ” โอ้โฮ มนุษย์ถ้ามันง่ายอย่างนั้นก็ชนะมาไม่รู้ต่อกี่ครั้ง ใช่ไหมฮะ มันไม่มีน่ะ Pre-condition 3 ชั้น

เข้าใจสถานการณ์ ประเมินถูกต้อง จึงนำไปสู่การปฏิวัติที่ถูกต้อง และจะนำไปสู่ชัยชนะ” คุณต้องการ 3 ชั้นที่ลงล็อกกันพอดี ชีวิตมนุษย์จริงๆ มันไม่ง่ายขนาดนั้น พวกเราในห้องนี้ตัดสินใจเรื่องใหญ่เรื่องเล็กผิดกันมาไม่รู้กี่ครั้ง ใช่ไหมฮะ เราตัดสินใจผิดมากี่ครั้งแล้วในชีวิตเราเอง เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่นัก ผมตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตผิดมาแล้วในเรื่องที่ใหญ่ หลายคนในที่นี้อาจยังไม่เคย

...ในเรื่องเล็กๆ ที่เราตัดสินใจผิดอยู่ที่วัน เราจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาเพื่อมา มช. ดีเนี่ย เลี้ยว...ไปผิดที่เจอรถติดงานโอท็อป ...นี่เป็นการยกตัวอย่างเรื่องเล็กๆ และเป็นเรื่องตลก แต่ถ้าคุณคิดถึงเรื่องที่ไม่เล็ก และไม่ตลกนั้น มันเป็นโศกนาฏกรรม บ่อยครั้งฐานข้อมูลในการประเมินมันคือชุดเดียวกัน บ่อยครั้งคนๆ เดียวกันประเมินข้อมูลเหมือนกัน คนๆ เดียวกัน ยังไม่สามารถบอกได้เลยว่าต้องตัดสินใจอย่างนี้แน่ ไม่ตัดสินใจแบบนั้นแน่ มีกี่ครั้งที่ประมวลข้อมูลแล้ว ประเมินแล้ว ก็ยังลังเลว่าเอายังไงดีวะ มีอยู่แทบทุกวัน เพราะเมื่อประมวลข้อมูล ประมวลสถานการณ์แล้ว มันยังไม่ได้นำไปสู่คำตอบว่าเราควรตัดสินใจอย่างไร เรายังลังเลอยู่ดีว่าจะเอาไงดี แล้วในชีวิตมีกี่ครั้งที่บอกว่า “เอางี้ละวะเป็นไงเป็นกัน” บ่อยจะตายไป หรืออาจไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งและไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ แต่ในโศกนาฏกรรม(เป็นแบบนี้)แทบทุกครั้ง มันจะอยู่ในภาวะที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะ “รู้แล้วประเมินอย่างถูกต้อง จึงนำกำหนดยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่ถูกต้อง แล้วได้ชัยชนะ” ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่เป็นโศกนาฏกรรม ถ้าเป็นแบบนี้เขาเรียก เล่นขายของ

นักวิชาการจะทำให้ฝุ่นหายตลบ ด้วยการทำให้ทุกอย่างหรือหลายอย่างมันเป็นเหตุเป็นผลจนเกินไป ตรงนี้ผมพูดเหมือนกับแย้ง ผมขอบอกเพียงแต่ว่าเมื่อเหตุการณ์พฤษภาที่ผ่านมา ถึงจุดหนึ่ง ผมต้องหยุดคิดในความหมายของการหยุดคิดเชิงเหตุผล แล้วพยายามที่จะ(ทำอย่างที่)คุยในวันนี้ โดยอ่านนิยาย นึกถึงนิยายเรื่องที่เคยอ่าน นึกถึง Tragedy ที่เคยอ่าน พยายามทำความเข้าใจว่าคนเราอยู่ในภาวะอย่างไร นึกถึงตัวเองเมื่อ 6 ตุลา ว่าเราอยู่ในภาวะอย่างไร แล้วจะรู้ว่ามันจะยากลำบากเพียงไหนที่จะต้องตัดสินใจแล้วออกหัวหรือออกก้อย

ผมไม่ได้ปฏิเสธ หรือต้องการให้พวกเราปฏิเสธการใช้เหตุใช้ผล ผมบอกแต่เพียงว่า... การมีความรู้ การมีเหตุผล เป็นเรื่องจำเป็นมาก แต่มี Limit ...เกินไปจากนั้นมันไม่ใช่เรื่องของเหตุผล ถ้าเราตัดสินใจแล้วได้ดีก็ดีไป เมื่อเราตัดสินใจไม่ได้ หรือเมื่อเราตัดสินใจต่างจากคนอื่น ไม่ว่าจะลงบางซื่อหรือลงหัวลำโพงมันมีโศกนาฏกรรมทั้งนั้น เราน่าจะเห็นอกเห็นใจคนที่ตัดสินใจต่างจากเราได้

ทั้งหมดที่พูดมานี้เพื่อจะบอกว่าในแนวรบอันหนึ่งคือเรื่องความทรงจำ ในแนวรบเรื่องนี้ เราจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง มันเริ่มแล้ว ไม่ใช่ต้องรอให้ผ่านไป 10 – 20 ปี อย่ารอนานอย่าง 6 ตุลา มันเริ่มแล้ว แล้วเราทุกคนมีส่วนได้ มีส่วนร่วม ไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษเลย ...หลายๆ คนทำอยู่มันมีผล มันมี Effect ต่อเรื่องความทรงจำ ว่าเราจะรับรู้เหตุการณ์พฤษภาคมที่ผ่านมาอย่างไรด้วย มันมีผลทั้งนั้น

และการรับรู้เหตุการณ์พฤษภาที่ผ่านมาเป็นอย่างไร มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคตด้วย มีผล เชื่อผมสิ ถ้าเมื่อไหร่ถูก Breakdown อย่างวินสตัน จูเลีย ในเรื่อง 1984 สยบต่อคำพิพากษาอย่างนายฟักในคำพิพากษา หรือถูกทำลายและทำร้ายด้วยอำนาจรัฐอย่างที่เขากำลังทำอยู่ทุกวันนี้ และไม่สามารถคิดอย่างซับซ้อน ติดกับอยู่กับความเป็นเหตุเป็นผลโดยไม่ตระหนักว่ามันมี Limit ....ความเข้าใจเหตุการณ์พฤษภาที่ผ่านมาจะเป็นแบบหนึ่ง เช่น อันนี้ยกตัวอย่างนะ เพราะผมไม่รู้จริงๆ ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร เช่น ทำให้พลังการเถียงคณะกรรมการอะไรก็แล้วแต่ที่เขาตั้งขึ้นมา มันไม่คม มันไม่ดีพอ หรือทำให้เขา Dominated เกินไป ในขณะที่เราอาจมีวิธีอื่น เราอาจมีความรู้แบบอื่น เราอาจจะสามารถเถียงแบบอื่นได้

ความรับรู้กับเหตุการณ์พฤษภาที่ผ่านมามีผลมาก อาจจะไม่โดยตรง แต่มีผลมากต่อการที่รัฐบาลจะมีอำนาจทำอะไรตามใจชอบหรือไม่ในอีกปีสองปีข้างหน้า เขาจะเลือกตั้งแล้วจะชนะไหม เขาเลือกตั้งแล้วจะชนะแค่ไหน ชนะแบบไหน หรือเลยไปจากการเลือกตั้ง ถ้าเหตุการณ์สำคัญของสังคมไทยที่ทุกคนเล็งอยู่...ได้เกิดขึ้น ความรับรู้ในเหตุการณ์พฤษภาที่ผ่านมามีผลอย่างมาก

อย่ายึดถือประเมินตัวเองสูงว่า ทำอะไรก็ได้ตามใจ ...ในขณะเดียวกันอย่าดูถูกตัวเอง แม้กระทั่งจูเลีย-วินสตัน การที่นายวินสตันยังเก็บเรื่องมีเซ็กส์กับจูเลียไว้ในใจ enjoy กับการที่มีเซ็กส์กับจูเลียเนี่ย มันกบฏมากนะ ลึกๆ จิตใจเขาไม่รับ Big Brother เขาไม่รับ เขาอาจยอมสยบ แต่ไม่รับ รอวันที่จะโผล่ ถ้าพูดอย่าง 1984 นะ

เพราะฉะนั้นเรื่องเหล่านี้อาจดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่พยายามคิดพยายามพูดคือไม่ใช่แค่มีจิตใจอย่างชาวพุทธอย่างอาจารย์เสกสรรค์ หรือพระไพศาลพูด เพราะการคิดเรื่องพวกนี้มันนำไปสู่ Social action นำไปสู่โครงการทางสังคมได้

....

แค่นี้ แล้วจะคุยเรื่องอื่นต่อ หรือเรื่องนี้ต่อก็ได้

 

หมายเหตุ : สัญลักษณ์การเน้นทั้งหมด เป็นการพิจารณาโดยกองบรรณาธิการ
(โปรดติดตาม บทตามและการสนทนา หลังการอภิปราย เร็วๆ นี้)

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper