โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ซีรีส์จำนำข้าว (3): เสียงจากชาวนา เหนือ-กลาง-ทุ่งกุลาร้องไห้

Posted: 14 Oct 2012 12:08 PM PDT

 

สำหรับชาวนา หลายคนอาจเห็นว่าไม่จำเป็นต้องสอบถามเรื่องนี้จากพวกเขา เนื่องจากเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้โดยตรง กระนั้น หากสอบถามกันให้ชัดเจนขึ้น เราจะเห็นแง่มุมบางอย่างของพวกเขา ซึ่งก็ไม่ได้เห็นเป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด และมีมุมมองนำเสนทางออกของปัญหาแตกต่างกันไป

สมาน ทัดเที่ยง แกนนำเกษตรกรจังหวัดเชียงใหม่ที่ปรากฏอยู่ในหน้าข่าวขบวนชาวนาคัดค้าน คณาจารย์นิด้า เพื่อสนับสนุนโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลนี้ เขานำเสนอว่าทำไมจึงสนับสนุนโครงการนี้ พร้อมชี้จุดอ่อนและทางออกบางอย่าง พร้อมเปิดกว้างว่าขอให้มีการพูดคุยเรื่องนี้จากทุกฝ่ายทุกคน โดยเฉพาะชาวนาในแต่ละภาคซึ่งมีบริบทที่ต่างกัน

สำรอง เนตรวง อายุ 60 ปี ชาวนาทุ่งกุลาร้องไห้ ต.สระคู อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด เป็นภาพตัวแทนของเกษตรกรในพื้นที่อีสาน ซึ่งให้คำตอบตรงไปตรงมาเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ได้รับ

กิมอัง พงษ์นารายณ์ ผู้ประสานงานสภาเครือข่ายองค์กรเกษตรกรแห่ง ประเทศไทย (สค.ปท.) เป็นชาวนาจาก จ.ชัยนาท และเป็นหนึ่งในชาวนาที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้ ด้วยเหตุผลหลายประการ รวมทั้งเห็นว่าโครงการประกันรายได้น่าจะเหมาะสมกว่า

 

00000000000

 

สมาน ทัดเที่ยง
เครือข่ายสมาพันธ์เกษตรกรจังหวัดเชียงใหม่

 

คิดอย่างไรกับโครงการรับจำนำข้าว

ในสายตาของเกษตรกรซึ่งได้รับความไม่เป็นธรรมมาโดยตลอด อย่างที่นักวิชาการว่าอยากให้เราได้รับความเป็นธรรมพยายามจะทำอะไรต่างๆ แต่ตลอดระยะเวลาที่เราเป็นชาวนามา ในยุคไหนสมัยใดของรัฐบาลที่ผ่านๆ มาก็ไม่เคยมีใครที่ให้กำไรแก่เกษตรกรเท่าไรจากต้นทุนการผลิต ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าต้นทุนการผลิตเท่าไร แต่เมื่อก่อนไม่มีโครงการรับจำนำ โครงการประกัน พ่อค้าก็เอาเปรียบเราตลอดเวลา ไม่เคยคิดว่าจะให้กำไรเรากี่เปอร์เซ็นต์จากผลผลิตการขายข้าว มีแต่กดชาวนาอย่างเดียว มันทำให้เราคิดว่า สิ่งที่รัฐบาลที่ผ่านมาหรือรัฐบาลชุดนี้กำลังทำ เป็นสิ่งที่จะสร้างฐานะ สร้างการมีรายได้ให้เกษตรกร เป็นขวัญและกำลังใจที่จะให้เราก้าวต่อไป แม้แต่ใครๆ ก็พูดกันว่า จะลดต้นทุนตรงไหน จะเพิ่มผลผลิตเท่าไหร่ มันเป็นประเด็นทั้งนั้น แต่จุดนี้มันจะได้มีกำลังใจที่จะไปไขว่คว้าหรือไปสรรหาว่าเราควรจะทำอะไร ตรงไหนบ้าง เราก็พยายามกันอยู่ตลอดเวลา

ในฐานะเกษตรกรผู้ได้รับผลโดยตรง โครงการประกันรายได้กับโครงการรับจำนำ มันมีความแตกต่างกันมากไหมสำหรับเกษตรกร และคิดว่าอันไหนที่ดีกว่า

โครงการประกันรายได้ของรัฐบาลชุดก่อน โอเค ก็พอใช้ได้ แต่มันมีข้อแตกต่างระหว่างพันธุ์ข้าวแต่ละพันธุ์มากเกินไป อย่างในภาคเหนือส่วนใหญ่จะปลูกข้าวเหนียว แต่ราคาประกันรายได้ในส่วนข้าวเหนียวมันต่ำ ซึ่งเราพยายามขอให้ได้สัก 10,000 บาท แต่มันได้แค่แป๊บเดียว แล้วกลับมาที่เก่าคือ 9,500 บาทต่อตันต่อเกวียน แต่พอเป็นข้าวเจ้าซึ่งต้นทุนการผลิตเหมือนกัน ไม่มีอะไรแตกต่างกลับได้ราคาสูงกว่า จริงๆ ข้าวเหนียวก็มีตลาดส่งออกที่ญี่ปุ่นเป็นตลาดใหญ่เลยและที่ส่งออกให้ญี่ปุ่น ก็ราคาสูงแต่ทำไมเราได้นิดเดียว

พูดกันตรงๆ ไม่ว่ารัฐบาลไหนที่ตั้งราคาไว้สูง เกษตรกรก็ไม่ได้รับในราคาสูงสุดหรอก เพราะข้าวของเรายังไม่พร้อม รัฐบาลก็ไม่ยอมมองจุดของเรา องค์กรเกษตรกรก็ไม่สามารถช่วยเหลือพวกเราได้ เพราะขบวนการผลิตมันไปจบที่การเก็บเกี่ยว เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมันก้าวไกล ชาวนาจะไม่ทำตรงนั้นก็ไม่ได้ ฝนฟ้าก็ไม่อำนวย ก็ต้องเก็บเกี่ยวสด ชาวนาตอนนี้ก็เข้าใจแล้วทั้งประเทศว่า ข้าวที่เขาไม่ได้ในราคาสูงสุด เพราะมีความชื้น ความชื้นนี่คือคุณภาพข้าว จะให้เกี่ยวสดไปแล้ว ถ้ามีการบริหาร รัฐบาลประกันราคาหรือจำนำแล้วไปบริหารจัดการโดยการเอาไปรีบอบให้ได้ความชื้น 15% หัวข้าวจะได้มากกว่าปลายข้าว

ยกตัวอย่าง ข้าวเหนียวเมล็ดยาว ของรัฐบาลชุดนี้อยู่ที่ 16,000 บาทต่อตันต่อเกวียน เมล็ดสั้นก็ 15,000 บาท คนที่จะได้ความชื้นแบบที่วางไว้ 15% จากร้อยคนมีสักสิบคนถึงไหม ไม่ถึงหรอก ดังนั้น ที่รัฐบาลซื้อสูง ชาวนาก็ไม่ได้ตามนั้น เพราะข้าวของเขามีความชื้น แต่รัฐบาลชุดนี้ก็กำหนดค่าความชื้นให้สูงกว่ารัฐบาลที่แล้ว รัฐบาลที่แล้วให้ที่ 30% รัฐบาลชุดนี้ขยายมาถึง 35.9% เพราะรัฐบาลชุดนี้ก็อยากให้ชาวนาที่เกี่ยวสดขายได้ราคา แล้วโรงสีในโครงการรับจำนำก็ต้องรีบเอาไปอบให้ได้ 15%

ขยายมาถึง 35.9% นี่ข้าวเหนียวที่ความชื้นเท่านี้ก็ยังได้กิโลละ 11 บาท 8 สตางค์ หรือตันละ 11,800 บาท ชาวนาก็พอใจ แต่ถ้าราคา 11 บาท 8 สตางค์นี่ ถ้าไม่มีโครงการช่วย เอาไปขายพ่อค้า ผมรับรองได้เลยว่าไม่เกินกิโลละ 6 บาท จำได้ไหม สมัยปี 51 ยังไม่มีโครงการประกันราคาด้วยซ้ำ พวกเราต้องปิดถนนให้รัฐบาลสมัคร (สุนทรเวช) มาซื้อโดยไม่หักความชื้นกิโลที่ 8 บาท แต่พอมาถึงตอนนี้รัฐบาลนี้ก็พยายามให้เกษตรกรมีรายได้เพื่อเป็นกำลังในการ ขยับไปเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนต่างๆ ข้าวต่ำสุดเราได้ 11 บาท 8 สตางค์

ผม ถึงว่าถ้าจะไม่มีการจำนำตามที่นักวิชาการบอก นักวิชาการสามารถมีกลไกอะไรที่จะไปควบคุมให้พ่อค้าโรงสีทั่วประเทศซื้อใน ราคาเป็นธรรมกับชาวนาได้ไหม แค่ 8-9 บาทขึ้นไปได้ไหม

แล้วพอใจกับโครงการประกันราคาหรือโครงการจำนำ มากกว่ากัน

พูดกันตรงๆ ไม่อ้อมค้อม รัฐบาลที่แล้วตั้งราคาประกันไว้ไม่สูง มันก็มีโอกาสที่ข้าวบางพันธุ์ก็จะขึ้น สมมติ 9,500 อาจขึ้นถึง 10,000 เราก็จะได้ค่าชดเชยจากราคาแท้จริงกับราคาประกันที่ตั้งไว้ ผ่าน ธกส.เขาเรียกเงินชดเชย แต่เดี๋ยวนี้ ราคาต่ำสุดได้ 11 บาท 8 สตางค์ ชาวนาเขาก็พอใจ ทำให้เขาได้ประโยชน์จากโครงการรับจำนำ แต่การรับจำนำรัฐบาลจะต้องจัดการให้ดี

ยกตัวอย่าง ข้าวหมอมะลิที่ให้ตันละ 20,000 บาท ผมกล้ายืนยันว่าแทบไม่มีใครได้ 20,000 บาท ถามว่าคนที่จะได้ราคานั้นความชื้น 15% จะมีถึง 5% ของจำนวนทั้งหมดไหม ไม่มีทางถึง เขาก็จะได้ต่ำลงมา อย่างดีก็ไม่เกินกิโลละ 12-13 บาท อันนี้เรียกไม่ได้ว่ารัฐบาลซื้อสูงมาก ถ้ารัฐบาลกำหนดว่าซื้อทั้งหมด ในราคาที่กำหนดไว้หมด นั่นผมถือว่า ซื้อราคาสูงมาก แต่ทุกวันนี้ซื้อตามความชื้น ตามคุณภาพข้าว ซึ่งถึงที่สุดชาวนาเขาก็พอใจอยู่ดี

แต่ประเด็นคือ ต้องเอาข้าวเหล่านี้ไปอบ แล้วอบยังไงให้ได้คุณภาพ ผมทำหนังสือถึงนายกฯ และรัฐมนตรีช่วยหมดแล้ว ว่า ข้าวที่ซื้อตามความชื้นนี้ ควรแบ่งความชื้นเป็น 3 กอง ข้าวที่ชื้น 15% นั้นไม่มีปัญหา สีให้รัฐบาลได้เลย แต่ข้าวที่มีความชื้น 16%-20% ควรจะกองไว้หนึ่งกอง 20-25% แยกไว้อีกกอง 25-35.9% อีกหนึ่งกอง ที่ผมให้แยกเพราะข้าวเหล่านี้ เพื่อให้รู้ว่าส่วนไหนพวกโรงสีต้องรีบขนไปอบ ไม่อย่างนั้นข้าวอาจจะเสีย แต่เมื่อเอา 16% กับ 35% มาปนกัน ข้าวที่มีความชื้นต้นๆ มันจะแห้งจะกรอบกว่าที่ข้าวมีความชื้น 25%-35% ข้าวที่ความชื้นต่ำกว่าจะกรอบเวลาเอาไปสี ไม่เป็นหัวข้าวแต่เป็นปลายข้าว นี่เป็นสิ่งที่ผมพยายามอธิบายว่าการบริหารจัดการแบบนี้จะเหมาะสมกว่า ตอนนี้มันไม่มีการจัดการแบบนั้น เอาไปกองรวมกันหมด แต่ถ้าแยกแบบนี้จะได้ข้าวหัวมากต่อตัน และไม่เปลืองแก๊ส ไม่เปลืองน้ำมันที่ใช้อบ

แม้โครงการนี้ชาวนาจะได้โดยตรง แต่มีข้อท้วงติงว่าเป็นการผลักให้รัฐแบกหนี้สาธารณะมากเกินไป และเป็นการผูกขาดตลาดมากขึ้น คิดอย่างไรกับประเด็นนี้

ผมก็เข้าใจที่นักวิชาการพูดว่าจุดประสงค์ไม่ต้องการให้สูญเสียอะไรมาก สำหรับรัฐบาล ดังนั้น ผมก็เขียนส่งไปแล้วว่า 1.เกษตรกรขอให้รัฐบาลจำนำในปีนี้ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ไม่นานข้าวก็ออกแล้ว ถ้าจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรตอนนี้ใครจะรับประกันอะไรได้ว่าถ้าไม่มีการจำนำ นักวิชาการจะทำให้โรงสีซื้อเราแบบคุ้มต้นทุนไหม ไม่มีหรอก ถ้าไม่มีจะให้เกษตรกรทำยังไง มันก็ตกเป็นเบี้ยล่าง ให้พ่อค้าโรงสีทั่วประเทศกดราคา ถ้าไม่มีใครเป็นกันชนให้เรา จึงเสนอว่าให้จำนำปีนี้ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน

2.หลังจากนั้น รัฐบาลต้องเชิญบรรดาคณาจารย์นิด้าหรือใครก็ตามที่มีข้อท้วงติง ข้อห่วงกังวล มีความหวังดีต่อรัฐบาลต่อประเทศชาติพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมานั่งคุยกัน เลยว่า โครงการรับจำนำในปีนี้มันมีปัญหาอะไรบ้าง ติดขัดอะไร ควรจะปรับตรงไหน ควรจะเปลี่ยนแปลงตรงไหน คุยกันโดยเหตุและผล และข้อมูล มาคุยกันว่าทำอย่างไรให้ชาวนาได้ โรงสีและผู้ส่งออกก็ไม่เสีย และรัฐบาลก็ได้งานด้วย

3. การประชุมนี้ต้องเชิญตัวแทนเกษตรกรทุกภาค ทุกวันนี้มีตัวแทนเกษตรกรคนเดียว ซึ่งเขาก็ไม่ได้รู้อะไรทั้งหมด และท่านคนเดียวจะไปสู้อะไรกับใครได้ ตัวแทนส่วนอื่นๆ เยอะแยะ แต่ตัวแทนเกษตรกรมีคนเดียว ต้องเชิญทุกภาค เราจะได้ไปคุยกันว่า แต่ละภาคมันมีปัญหาอะไรบ้างที่รัฐบาลต้องรู้ พ่อค้าต้องรู้

ในมุมเกษตรกรเอง มีข้อเสนอไหมในระยะยาวว่ารัฐบาลควรจะทำอย่างไร

ต้องส่งเสริมให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ซึ่งเป็นมันสมองของกระทรวงเกษตรจะต้องทำตัวเป็นกลางให้มาก ต้องดูว่าต้นทุนการผลิตข้าวแต่ละพันธุ์มันเท่าไร เมื่อรู้ต้นทุนการผลิตแล้ว จะมีมาตรการอะไรให้พ่อค้าโรงสีซื้อเกินจากต้นทุน และเกินไปเท่าไร เช่น สมมติต้นทุน 6,500 ต่อไร่ จะบวกไปอีกกี่เปอร์เซ็นต์ตามมาตรฐานสากลที่เขาบวกกำไรให้เกษตรกร พ่อค้าทำได้ไหม สภาหอการค้า สภาผู้ส่งออกยอมรับได้ไหม ต้องรวมตัวกันทำความเข้าใจกัน ให้เกษตรกรอยู่ได้ด้วยเหมือนกัน

แสดงว่าที่กำหนดอยู่ปัจจุบันไม่ได้สะท้อนต้นทุนแท้จริง

เป็นต้นทุนเหมือนกันแต่มันไม่ใช่ต้นทุนที่เป็นความจริง ทุกวันนี้เอาต้นทุนแต่ละภาคเอามาบวกกันแล้วหาร ยกตัวอย่าง กำหนดไว้ที่การได้ผลผลิต 400 กิโลกรัมต่อไร่ มันไม่ใช่ ผมบอกเลยว่า ดินของประเทศไทยเรานี้ถ้าไม่ใส่ปุ๋ย ปลูกแบบพื้นฐาน อาศัยปุ๋ยธรรมชาติ ไถกลบหญ้าให้หมักเน่า อะไรแบบนี้ อย่างน้อยๆ ไม่ต่ำกว่า 500 กิโลกรัมต่อไร่ แต่ถ้าเราใส่ปุ๋ยเข้าไป ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยพืชสด มันต้องเพิ่มไปอีก 30-40% และถ้าทำดีให้น้ำให้ปุ๋ยถูกวิธีมันอาจเพิ่มได้มากกว่านี้อีก ที่ได้ถึง 1,000-1,200 กิโลกรัมต่อไร่ก็มี ท่านต้องเชื่อเขาสิ เพราะเขาเป็นเกษตรกร แม้แต่เวลาจำนำเกษตรกรหลายคนก็ผลิตได้เกิน 400 ที่เรากำหนด เขากล้าเซ็นรับรองว่าเป็นข้าวเขา เขาให้ตรวจสอบได้หมดว่าไปซื้อไหนมาหรือไม่ ถ้าใช่ก็ยอมรับผิดหมด มันเป็นความสามารถของคนไทย ไม่ใช่กำหนด 400 กิโลกรัม 800 กิโลกรัม แล้วส่วนที่เขาผลิตได้มากกว่านั้นมันจะไปขายให้ใคร ก็ต้องขายให้พ่อค้าหลังโรงสี

สุดท้าย ผมเป็นคนเสนอรัฐบาลและจังหวัดเชียงใหม่ไปว่า เอาอย่างนี้ ใครที่ผลิตได้เกิน 400 เกิน 800 ที่ท่านกำหนด ขอให้รับจำนำเขา แต่ให้มีแบบฟอร์มให้เขาเซ็นว่าเป็นข้าวของเขา ถ้าเขาไปซื้อของใครมาเพิ่มมาเติมนั่นเขายอมรับผิด ที่รัฐบาลบอกว่าเวียดนาม เกาหลี ปลูกได้ 1,200-1,400 กิโลกรัม ประเทศไทยเราก็ปลูกได้แต่ทำไมไม่โชว์คนเหล่านี้ ให้สอนเกษตรกรอื่นว่าทำอย่างไร ไม่ใช่ไปยอมรับ ไม่เชื่อเขา

มีปัญหาไหมว่าต้นทุนเกษตรกรโดยส่วนใหญ่หมดไปกับเคมีภัณฑ์ต่างๆ ต้องการเรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาในจุดนี้ด้วยไหม

ตอนนี้คนที่ใช้ปุ๋ยเคมีอย่างเดียว เราพยายามให้เขาใช้ควบคุมไปกับปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยพืชสด ยกตัวอย่างปุ๋ยพืชสด ผมเองรณรงค์เรื่องการปุ๋ยพืชสดซึ่งเป็นโครงการพระราชดำริของในหลวง หว่านปั๊บแล้วไถกลบ ต้นปอเทือง ต้นโสนแอฟริกัน ต้นถั่วต่างๆ มันจะกลายเป็นอินทรียวัตถุ ระบบรากของมันดึงไนโตรเจนอยู่แล้ว เราไม่ไดต้องไปซื้อปุ๋ยยูเรียซึ่งแพงมากและเป็นปุ๋ยตัวสำคัญที่ข้าวต้องการ ใช้ ทำปุ๋ยพืชสดจากใบไม้ใบหญ้า เราก็ทำกันในตำบลผมนี่มีการทำปุ๋ยแลกไข่ไก่อะไรบ้าง เกษตรกรสนใจมาก โครงการเหล่านี้รัฐบาลต้องเร่งขยาย นี่ก็เหมือนกันรัฐบาลต่อรัฐบาลซื้อได้ไหม มันจะได้ต้นทุนถูกแก่เกษตรกร

อีกประเด็นที่อยากฝาก ผมเป็นประธานศูนย์บริการถ่ายทอดเทคนิคการเกษตรประจำตำบล เปรียบไปก็เหมือนเป็นกระทรวงเกษตรขนาดเล็กที่กระทรวงเกษตรตั้งขึ้นทุกตำบล ทั่วประเทศ อยู่ในท้องถิ่น อบต. เทศบาล มีคณะกรรมการบริหารจากคนทุกอาชีพในตำบลนั้น 15 คน การประชาคมข้าวอะไรต่างๆ ก็อยู่ที่ศูนย์ถ่ายทอดนี้ เขารู้หมดใครปลูกอะไร กี่ไร่ มีผลผลิตประมาณเท่าไร เพราะเราอยู่กับข้อเท็จจริง แต่รัฐบาลหรือกระทรวงเกษตรมองข้ามพวกเรา เลยอยากเสนอรัฐบาลว่า อย่ามองข้าม ให้เราเป็นตัวช่วยรัฐบาล เวลาเกษตรกรในตำบลไปจำนำข้าว เดือนหนึ่งคุณส่งรายชื่อมาให้ผม เขาไปจำนำเท่าไร ผมจะได้กลับมาเช็ค ถ้าคนไหนผิดจะได้ส่งรายชื่อให้จังหวัด อันนี้จะเป็นการควบคุม แต่ทุกคนไม่มองศูนย์ถ่ายทอดเลย ตั้งมาไว้เฉยๆ ทั้งที่เราอยากจะทำงาน

 

สำรอง เนตรวง
อายุ 60 ปี เกษตรกรทำนาทุ่งกุลาร้องไห้ ต.สระคู อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด

ทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นที่ราบขนาดใหญ่ มีพื้นที่ประมาณ 2 ล้านไร่ อยู่ในเขต จ.สุรินทร์ (อ.ชุมพลบุรี อ.ท่าตูม) , จ.มหาสารคาม (อ.พยัคฆภูมิพิสัย),จ.บุรีรัมย์ (อ.พุทไธสง) ,จ.ศรีสะเกษ ,จ.ยโสธร (อ.มหาชนะชัย) และ จ.ร้อยเอ็ด (อ.ปทุมรัตต์ อ.เกษตรวิสัย อ.สุวรรณภูมิ และ อ.โพนทราย) การที่ได้ชื่อว่าทุ่งกุลาร้องไห้ มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า ชนเผ่ากุลาซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยจากเมืองเมาะตะมะ ประเทศพม่า ได้เดินทางมาค้าขายผ่านทุ่งแห่งนี้ ต้องใช้เวลาเดินทางหลายวัน ไม่พบหมู่บ้านใดๆ เลย น้ำก็ไม่มีดื่ม ต้นไม้ก็ไม่มีที่จะให้ร่มเงา มีแต่ทุ่งหญ้าเต็มไปหมด พื้นดินก็เป็นทราย เดินทางยากลำบากเหมือนอยู่กลางทะเลทราย ทำให้คนพวกนี้ถึงกับร้องไห้ ดังนั้น จึงได้ชื่อว่า ทุ่งกุลาร้องไห้ ทั้งนี้ปัจจุบัน ทุ่งกุลาถือเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่มีชื่อเสียง มีโครงการส่งเสริมมาอย่างต่อเนื่อง จนไม่นานมานี้ได้รับความคุ้มครองจำเพาะเป็นข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ที่ สหภาพยุโรปแล้ว (http://www.senate.go.th/senate/report_detail.php?report_id=23)

 

มีการพูดกันมากว่าพื้นที่อีสาน ชาวนาเข้าโครงการจำนำข้าวไม่มาก เพราะผลผลิตที่ได้มีจำนวนน้อย ข้อเท็จจริงในพื้นที่ทุ่งกุลาฯ เป็นอย่างไรบ้าง กระบวนการที่ชาวนาจะเข้าโครงการของรัฐต้องทำอย่างไร

ไม่น้อยนะครับ เข้าทุกครัวเรือนที่ทำนา ก่อนจะทำ เขาจะให้ไปลงทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ต่อมาเขาก็จะเรียกไปประชาคมว่ามีการทำนาจริงหรือไม่ แล้วก็จะให้ทาง ธกส.มาประเมินว่าไร่หนึ่งคุณจะได้ประมาณกี่ตัน ปีที่แล้วมีการตกลงกันไว้ว่าจะได้ 300 กว่ากิโลกรัมต่อหนึ่งไร่ แล้วที่นี้ก็เอาข้าวไปขาย ปีที่แล้วผมได้ตันละ 19,200 บาท เป็นข้าวแห้ง ไม่มีความชื้น และมีการหักสิ่งเจือปนพวกเศษฟางเศษอะไรไปตันละ 80 บาท

ผลผลิตที่ได้คิดเป็นกิโลกรัมต่อไร่ สูงสุดไม่เกิน 500 กิโลกรัม เพราะบางครั้งมันก็แล้ง บางครั้งต้องหาแหล่งน้ำมาสูบน้ำใส่ ตรงนี้ในเขตทุ่งกุลาถ้ามีแหล่งน้ำผลผลิตก็จะมีถึง

ในเรื่องจำนำข้าวไม่มีปัญหา เพราะราคาข้าวเราได้อยู่แล้ว โครงการนี้เราชอบอยู่ เพราะชาวนาเราลืมตาอ้าปากได้ อย่างต่ำก็ได้กิโลกรัมละ 17 บาท ตันหนึ่งก็ได้ 17,000 บาทอยู่แล้ว ที่นี้ถ้าเราไม่เข้าโครงการจำนำข้าว เราไปขายพ่อค้าคนกลางที่เขารับซื้อทั่วไปจะได้ตันละ 15,000-16,000 บาท สำหรับข้าวหอมมะลินาปีที่ทุ่งกุลา แต่ถ้าเข้าโครงการจำนำข้าวคือเราขายช่วงต้นปี บางคนได้กิโลกรัมละ 17 บาท หรือ 18 บาทกว่า บางคนก็ได้ 19 บาทต่อกิโลกรัม คือเขาหักความชื้นหักสิ่งเจือปนไปบ้าง มันก็ไม่ได้ 20 บาทเต็มสักคนหรอก

มีการกำหนดไหมว่าชาวนาจะขายข้าวได้อย่างน้อยต้องขั้นต่ำเท่าไร ขั้นสูงเท่าไร

แรกๆ เขากำหนดเป็นจำนวนไร่ว่าคนหนึ่งไม่เกิน 45 ไร่ แต่ว่าพอผมไปประชาคม เขาบอกว่าปีนี้ไม่กำหนดจำนวนว่าคุณมีเท่าไร กี่ไร่ก็ขายได้ มีนา 50-60 ไร่ก็ขายได้เต็มที่ แต่ว่าให้ไร่ละไม่เกิน 350 กิโลกรัม ถ้าเหลือ ถ้าข้าวเรางาม ที่นี้เราได้ข้าวเยอะ มันเหลือเราก็เอาไปขายให้พ่อค้าทั่วไปได้

มีไหมกรณีที่ภาคอีสานบางพื้นที่ได้ผลผลิตน้อยไม่พอเข้าโครงการ

ผลผลิตได้น้อยคือมันแล้ง จังหวะมันแล้งก็มี อย่างปีนี้ยอมรับว่าแล้ง ก็อาจมีคนพูดแบบน้อยใจก็ได้เพราะมันแล้ง แต่แถวบ้านผมมันอยู่ติดลุ่มลำน้ำเสียวมันไม่แล้ง และปีนี้ผมคิดว่าจะได้ผลผลิตมากกว่าปีที่แล้วอีก บางทีมันแล้งจริงๆ ผมอยู่จังหวัดร้อยเอ็ด มีอยู่ 20 อำเภอ ประสบปัญหาภัยแล้งประมาณครึ่งต่อครึ่ง แต่กับพวกผมที่ได้ผลผลิตผมก็ว่ามันดีแหละครับ

แล้วโครงการจำนำข้าวกับโครงการประกันราคาของรัฐบาลชุดที่แล้ว ในความรู้สึกของชาวนามันแตกต่างกันอย่างไรไหม

ในความรู้สึกของผม มันก็ดีทั้ง 2 อย่าง คือว่าประกันราคามันก็ดี คือสมมติเราขายข้าวไปกิโลกรัมละ 12 บาท เราก็ได้เพิ่มอีกกิโลกรัมละ 3 บาท เพราะเขากำหรดให้เราได้กิโลกรัมละ 15 บาท ตันละ 15,300 บาทหรืออะไรประมาณนี้ถ้าผมจำไม่ผิด แต่ที่นี้มันมีแบบว่าบางกรณีเจ้าของนาไม่ทำนาแต่มีสิทธิ์ไปเข้าโครงการ ประกันราคา เขาก็ได้ข้าว เป็นค่าเช่านาไปแล้ว แล้วยังได้เงินประกันไปอีก ส่วนคนที่ทำก็ได้ขายแต่ข้าวไม่มีราคา

สมมติว่าผมไปเช่านาเขาทำ ผมก็ขายข้าวได้แค่กิโลกรัมละ 12 บาท แต่ส่วนผลต่างของการประกันราคาข้าวเจ้าของนาได้ไป โดยที่เขาก็ได้ค่าเช่าไปแล้ว ส่วนชาวนาจริงๆ ที่ทำนาจริงๆ เราลงทุนทั้งข้าวปลูก ทั้งยารักษาโรค ทั้งปุ๋ยเคมีและทุกอย่าง รวมทั้งค่าเกี่ยวข้าว เราได้แค่ 12 บาทต่อกิโลกรัม

แต่ถ้าเป็นโครงการจำนำข้าวชาวนาผู้ขายข้าวจะได้เต็มๆ เลยครับ คนมีข้าวไปขายถึงได้เงิน เจ้าของพื้นที่นาเขาก็จะได้แค่ค่าเช่าไปอย่างเดียว ซึ่งผมคิดว่ามันยุติธรรมแล้วที่โครงการจำนำข้าวจะเข้ามา

ที่มีการพูดว่าโครงการอย่างนี้เป็นโครงการเฉพาะหน้า ไม่ได้ช่วยเกษตรกรจริง คิดอย่างไร

มันก็ไม่รู้นะครับ แต่เกษตรกรก็ได้เงินมาในราคาข้าวที่มีราคาสูง ก็ทำให้เราดีขึ้น จากที่เราไม่มีอะไรเลย ส่งลูกเรียนจากที่ไปยืมพี่ยืมน้องมา เราก็มีเงินส่งลูกเรียนอะไรอย่างนี้ ผมว่าดีกว่าเก่า ส่วนจะเป็นอย่างไรผมก็ไม่รู้ แต่ผมคิดว่ายังไงจำนำข้าวมันก็ทำให้ชาวนาดีขึ้น มันได้ราคาเยอะ ใครบ้างไม่อยากได้ราคาดี พ่อค้าขายข้าวเขาก็อยากได้ เราปลูกอะไรเราก็อยากขายได้ราคา

เขาว่ากันว่าการอุ้มชาวนาตรงนี้ทำให้ระบบของการค้าข้าวมีปัญหา

รัฐบาลก็ต้องแก้ปัญหากัน แต่เราชอบแบบนี้ เพราะถ้าเกิดมีการประกันราคามา ได้ตันละแค่ 11,000-12,000 บาท ค่าปุ๋ยเคมีก็กระสอบละ 700-800 บาทเท่ากัน แต่จำนำราคาเราได้แค่ 17,000-18,000 บาท ถ้าเป็นคุณ คุณจะเอาอย่างไหนล่ะครับ

โครงการจำนำทำให้ราคาข้าวแพงขึ้น แล้ววัตถุดิบอย่างข้าวปลูก ปุ๋ย ยาฆ่าแมลงแพงขึ้นไหม

ไม่ใช่ ไม่จริงครับ ยังเท่าเดิมครับ วันนี้ราคาปุ๋ยยูเรียก็อยู่ที่ 780 บาท ปุ๋ยสูตร 15 ตรากระต่ายที่เราใช้กันก็กระสอบละ 825 บาทเท่ากันเหมือนเดิม แพงแต่ค่าน้ำมันอย่างเดียว ผมบอกตรงๆ ว่าแพงแต่ค่าน้ำมันอย่างเดียว ของอื่นไม่แพง ส่วนข้าวปลูกราคาก็เพิ่มขึ้นมานิดหน่อยเป็นธรรมดา เพราะว่าเราขายข้าวไปแพง ข้าวปลูกก็ต้องแพงไปตามกติกาธรรมดา แต่ปุ๋ยเท่าเดิม เพราะก่อนหน้านี้ข้าวกิโลละไม่กี่บาทแต่ปุ๋ยยูเรียกระสอบละ 13,000 บาทก็ยังเคยมี สมัย 4-5 ปี ผ่านมา

ตอนนี้ทำนาอยู่กี่ไร่ เป็นนาของตัวเองหรือเช่าที่นาทำนาอยู่

35 ไร่ ครับ เป็นที่นาของตัวเอง ที่เช่านาไม่มี แต่ที่พูดถึงคือในกรณีที่ว่ามีเจ้าของนาบางคนที่มีที่นามากแล้วก็แบ่งให้ เช่า คนทำนาก็ทำนาไปแล้ว ค่าเช่าก็จ่ายไปแล้ว แล้วเจ้าของนาจะมาเอาเงินผลต่างประกันราคาไปอีก เพราะรัฐบาลให้สิทธิเขาในส่วนการประกันราคาข้าว คุณเป็นเจ้าของนาก็มาขึ้นทะเบียนเอา แต่คนทำนาไม่มีสิทธิ คนทำก็รู้สึกเสียเปรียบ ไหนค่าเช่าก็จ่ายไปแล้ว น้ำท่วมก็ไม่ได้ น้ำแล้งก็ไม่ได้อีก ได้ขายข้าวอย่างเดียว ที่นี้ราคาข้าวขึ้นมาตันละ 20,000 ใครจะไม่เอา

คิดในแง่ความเป็นจริงสิครับว่าทุกคนต้องการเงินหมด เมื่อสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ดีเขาก็ต้องการสิ่งนั้น ตอนนี้ชาวนาลืมตาอ้าปากได้ก็เพราะข้าวราคาสูง ก็เหมือนกับยางพารา เขาขายได้กิโลกรัมละ 90 บาท ก็มีการไปทวงถามเพราะเขาอยากได้ราคาร้อยกว่าบาท ก็เหมือนกัน

สำหรับชาวนาทุ่งกุลา มีปัญหาอะไรที่ต้องการให้รัฐบาลแก้ไขเร่งด่วนหรือเปล่า

นาทุ่งกุลาส่วนใหญ่ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นที่ สปก.4-01 ซึ่งห้ามเช่า ห้ามซื้อขาย มีน้อยมากที่มีโฉนด แต่ถ้าเราไม่มีนาทำเราไปขอเช่าเขา เขาก็บอกเช่าได้ แต่ว่าไม่มีการเขียนใบสัญญาเช่า เหมือนว่าเราขโมยทำกันเอง อยากให้แก้ไขจุดนี้คือขอให้เปิดให้มีการเช่าที่นา สปก.ได้ ถึงแม้จะมีการห้ามซื้อขาย

สมัยก่อนที่จะมาเป็นไร่นา สปก.4-01 เกษตรกรเขามีนาเยอะ สมมติ 100 ไร่ เขาก็แบ่งให้ลูกเต้าเขาไป หรือบางคนก็เอาชื่อมาอ้างว่าให้ลูกหลานไปแต่ก็ยังเป็นของเจ้าของเดิม แล้วให้คนอื่นเช่า ปัญหาตรงนี้ถ้าแก้ไขได้ผมคิดว่าดี ดีกว่าจะมาแก้ไขเรื่องราคาเสียอีก

ส่วนราคาข้าวผมคิดว่าจำนำข้าวดีที่สุด ผมไม่ได้ว่าเป็นคนฝ่ายโน้นฝ่ายนี้แต่ผมพูดจากใจจริง

ปัญหาใหญ่ๆ เรื่องหนี้สิน เรื่องต้นทุนการผลิต คิดว่ารัฐบาลต้องเข้าไปแก้ไขไหม

เรื่องหนี้สิน อย่างผม ผมเป็นหนี้ ธกส.อยู่ 2 แสนกว่าบาท ธกส.เขาก็ให้ผ่อนชำระได้ โดยลดดอกเบี้ยให้ เหลือดอกร้อยละ 3 บาทต่อปี ในโครงการพักหนี้ แล้วจากเงิน 2 แสนกว่าบาท หากเราไม่มีเงินต้นไปให้เขา เขาก็ส่งเราไปอบรมการประกอบวิชาชีพเพื่อหาเงินไปส่งหนี้เขา ถ้าเราสามารถผ่อนได้เขาก็ยื่นชำระผ่อนให้

อย่างเป็นหนี้เขา 2 แสน เขาให้เราส่งเขาภายใน 10 ปี สมมติปีละ 20,000 บาท ผมทำนา 35 ไร่ ผมมีสัญญาส่งเขาปีละ 20,000 บาท ถ้าข้าวราคาสูงก็ทำได้ มันไม่มีปัญหาอยู่แล้วเรื่องนี้ ขออย่างเดียว ขอว่ารัฐบาลช่วยพักหนี้ให้ ลดดอกให้ แล้วก็ยืดระยะเวลาในการจ่ายต้นให้ ธกส.เพราะชาวนาแถวนี้ส่วนมากเป็นหนี้ ธกส.หมดครับ ถ้าเป็นหนี้อย่างอื่นเช่นหนี้นอกระบบ ธกส.เขาก็ช่วย

โครงการจำนำข้าวถูกมองว่าใช้เงินเยอะมาก ส่วนตัวชาวนามองว่าอย่างไร

ไม่ว่าจะพรรคไหนเป็นรัฐบาลก็ช่าง ผมอยากให้ราคาข้าวสูงไว้ก่อน เพราะทุกคนก็ต้องกินข้าวตั้งแต่เกิดมา แต่ชาวนามีอะไรบ้างถ้าไม่ทำ คิดดูแล้วกัน ข้าราชการมีเงินเดือนใช้ก็ต้องกินข้าว เอาแค่นี้แล้วกัน ผมไม่มีอะไรแนะนำ เพราะผมก็จบแค่ประถม ผมไม่มีอะไรที่แนะนำ แต่ผมบอกแล้วว่ายังไงก็ขอให้ราคาข้าวสูงไว้ก่อน

โครงการจำนำข้าวที่ทำมาแล้วเห็นปัญหาไหมว่ามีอะไรบ้าง

ข้อเสียคือมันช้า คือว่าเงินมันดีเพราะว่าราคาข้าวมันสูง แต่ว่ามันช้า แบบว่าขั้นตอนมันช้าไม่ใช่แบบบริษัท เป็นของรัฐบาล เงินหลวงมันก็อาจจะช้าไปหน่อย แต่ว่าไม่เกินเดือนก็ได้ ประมาณ 20 วันก็ได้แล้ว แล้วใครจะไม่รอเอา แต่ถ้าจะให้ดีอย่าให้เกินอาทิตย์หนึ่งหรือได้เงินเลยก็ยิ่งดี (หัวเราะ)

ผมมีพี่น้องอยู่จังหวัดพิจิตร ตอนนี้เขาปลูกข้าวนาปรัง ขายได้ราคาตันละ 12,000 บาท เป็นข้าวขาว จากเมื่อก่อนได้ตันละ 6,000-7,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 8,000 บาท พอเขาได้ราคา 12,000 บาท เขาก็ว่าดีเหมือนกัน แต่ตอนนี้เงินรอบสุดท้ายนี้จะได้เงินหรือยังก็ไม่รู้ เงินมันช้า

แล้วจำนำข้าวรอบใหม่นี้ แนวโน้มเป็นยังไง

นาปียังไม่ได้ขายครับ นาปีจะเริ่มขายข้าวประมาณวันที่ 10 พฤศจิกายน เกี่ยวครั้งแรกเลย แต่ที่นี้ผู้ใหญ่บ้านเขามีประชาคมแล้ว คือเริ่มโครงการ 10 ตุลาคม 55 – 30 กันยายน 56 ไปขึ้นทะเบียนไว้แล้ว และประชาคมผ่านเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ให้เจ้าหน้าที่ ธกส.เขามาพูดเรื่องราคาให้ฟังว่าคนหนึ่งได้ประมาณไร่ละกี่กิโลกรัม แต่ปีที่แล้วได้ไร่ละ 350 กิโลกรัม คือไร่ละ 35 ถัง

 

กิมอัง พงษ์นารายณ์
ผู้ประสานงานสภาเครือข่ายองค์กรเกษตรกรแห่งประเทศไทย (สค.ปท.) ประกอบอาชีพชาวนา จ.ชัยนาท

สภาเครือข่ายองค์กร เกษตรกรแห่งประเทศไทย (สค.ปท.) เกิดจากการรวมตัวขององค์กรเกษตรกรเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาหนี้สินและปัญหา ต่างๆ ของเกษตรกร หลายรายถูกฟ้องร้องยึดทรัพย์สินที่ดิน และอีกหลายรายที่ดินทำการเกษตรกำลังจะหลุดมือ

 

คุณเข้าโครงการรับจำนำข้าวหรือเปล่า

โครงการรับจำนำข้าวเข้า แต่โครงการพักชำระหนี้ไม่เข้า

คือย่างนี้ วันนี้ถามว่าเกิดประโยชน์จริงๆ หรือว่าแก้ปัญหาจริงๆ ไหม มันไม่ได้แก้ปัญหา เพราะว่าเมื่อวันก่อนนี้โทรเช็คกับชาวบ้านที่เป็นสมาชิกฯ ก็เห็นอยู่ว่า ของทุกอย่างในตลาดนัด ของขึ้นราคาหมดเลย แพงมาก น้ำมันก็ขึ้น แล้วเงินจำนำข้าว 4 เดือนถึงจะได้ วันนี้ชาวบ้านเริ่มไปกู้เงินนอกระบบมาคนละ 2,000-3,000 เพื่อเอามาใช้มากินในช่วงที่ยังไม่ได้เงินแล้ว แล้วแถมระยะเวลา 3-4 เดือนนี้ที่เป็นช่วงต้องลงทุนใหม่จะต้องไปกู้ร้านปุ๋ย ร้านยา ไปเชื่อปั๊มน้ำมันมาหมดเลย ดอกเบี้ยร้อยละ 3-5 มันเป็นปัญหา

แสดงตอนนี้มีปัญหาหลักเรื่องของการโอนเงินช้า

ใช่ การจ่ายเงินช้า แล้วก็วันนี้หลายคนอย่างที่สุพรรณเกี่ยวข้าวจมน้ำมาขายไม่ได้ ทีนี้พอข้าวจมน้ำปั๊บ เราไม่มีข้าวไปจำนำ ก็เลยไม่ได้เงินเลย เสร็จแล้ววันนี้ขายได้สำหรับคนที่ไม่ถึงกับจมเก็บเกี่ยวไปได้ ขายไปได้ที่ 11,000-13,000 เท่านั้น ไม่มีใครได้ 15,000 เลย

ราคาขายที่ไม่ถึง 15,000 บาท นั้นเพราะอะไร

เขาตัดความชื้น ตัดสิ่งเจือปน และตัดอื่นๆ ซึ่งอื่นๆ นี้ไม่รู้ว่าอะไร แต่บอกเลยว่าตัดอื่นๆ รวมแล้วคือ 3 ตัวนี้ ตัดเสร็จแล้วเราก็เหลืออยู่ประมาณเท่านี้ ที่สำคัญ วันนี้กลายเป็นว่าเราลงทุนปลูกใหม่ ข้าวปลูกแพงขึ้นไปอีกหลายบาทมาก แพงไปเยอะเลย วันนี้ 200 กว่าบาทไปแล้วต่อหนึ่งถัง จากเดิม 180 บาท

เกษตรกรวันนี้ถามเขา เขาก็ว่าดีใจ เขาอยากได้เงินเยอะไหม เขาอยากได้เงินเยอะ แต่วันนี้มันกลายเป็นว่าใส่ในมือให้เราเยอะๆ แล้วเราก็ต้องไปใช้หนี้ร้านปุ๋ย ร้านยา ดอกเบี้ยระยะเวลาที่เราเชื่อเขา มันก็เหมือนกันเราไม่ได้อะไรอยู่ดี

ความช้ามันเป็นเรื่องใหญ่ เพราะมันเป็นปัญหาการลงทุน ปัญหาที่จะกินใช้ทุกวัน ต้องบอกว่าชาวนาทำนาระยะหนึ่งเขาก็จะมีหนี้ค่าปุ๋ยค่ายา บางทีก็เป็นหนี้ปั๊มน้ำมัน บางทีก็เป็นหนี้ร้านขายของชำหน้าบ้าน แล้วเวลาเกี่ยวข้าวได้ เขาก็จะเอาเงินมาชำระหนี้ ปรากฏว่าวันนี้กลายเป็นว่าเขาไม่มีเงินมาชำระหนี้ตามเวลาที่กำหนด อีกอย่างหนึ่งค่าเช่านาส่วนที่เขาคิดเป็นเงิน ไม่ได้คิดเป็นข้าว บางทีเจ้าของนาเขาจะเอาเงินเลยหลังจากเกี่ยวเสร็จ ชาวนาก็ต้องไปหาเงินมาให้ค่าเช่านาอีก

สภาวะอย่างนี้กับโครงการประกันราคาของรัฐบาลชุดที่แล้ว มีปัญหาด้วยไหม

ประกันราคาเรื่องเงินช้าเขาก็ช้านะ แต่ว่าเราไปขายโรงสี สมมติโรงสีตีราคาให้เรา 8,000 บาท โรงสีจ่ายเงินเรามาทันที 8,000 บาทต่อเกวียน เสร็จแล้วมันจะมีเวลาอีก 2-3 เดือนเราถึงจะได้เงินประกันราคาที่เหลือ ก็หมายถึงว่าเราได้เงินสดก้อนหนึ่งมาใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้หนี้ และซื้อกินแล้ว พอก้อนส่วนต่างนั้นลงมาก็ใช้เงินก้อนนั้นลงไปเป็นทุนทำนาใหม่ได้ หรือแม้แต่น้ำท่วมข้าวหมดเลยเขาก็จะได้ในส่วนของเงินประกันราคา เขาตีไว้ว่าเราจะได้ไร่ละ 75 ถัง เขาก็ตีราคากลาง สมมติราคากลาง 9,000 บาท เขาให้ 11,000 บาท มันก็ได้อีก 2,000 บาท ใช่ไหม พอได้ตรงนี้เขาก็เอามาลงทุนทำนาใหม่ได้

นอกจากเงินล่าช้า หากมองในภาพรวมโครงการจำนำราคาข้าวมีปัญหาอื่นๆ อีกไหม

ตอนนี้ถ้าเรามองในส่วนการทุจริตต่างๆ เราไม่รู้หรอก เพราะเรามีหน้าที่ไปขายเท่านี้

กลุ่มสภาเครือข่ายองค์กรเกษตรกรแห่งประเทศไทยเองก็เคลื่อนไหวเพื่อให้รัฐแก้ปัญหาเชิงนโยบายด้วย มองว่าโครงการนี้ได้ส่งผลต่อชาวนาอย่างไรบ้าง

ที่จริง ถ้าส่งผลตอนนี้ที่เห็นแล้วก็คือเรื่องการขายข้าวมีปัญหา การที่จะส่งข้าวออกก็มีปัญหาแล้ว การเอาเงินมากๆ ลงมาตรงนี้ซึ่งจริงๆ มันถึงชาวนาได้ไม่เท่าไร ทั้งหมดนี้มันไม่ได้แก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

เหมือนวันนี้ปัญหาเฉพาะหน้าของพวกเราที่มีอยู่ ชาวบ้านโดนจับติดคุกเมื่อสองวันมานี้ เพราะว่าธนาคารเจ้าหนี้ขายแล้วซื้อไว้เอง แล้วขับไล่ให้ออกจากบ้าน เป็นปัญหาเรื่องหนี้สินเต็มไปหมดเลย ที่ดินกำลังจะหลุดมือแล้ว ถ้ารัฐบาลจะทำจริงๆ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือเรื่องหนี้สินก่อน แล้วเรื่องการจะจำนำข้าวหรือประกันราคาถ้าคุณไม่คุมต้นทุน ชาวนาได้เยอะเท่าไหร่ก็ไม่เหลืออยู่ดี

สมมติว่าคุณจะคุม สารเคมีหรือพวกปุ๋ย คุณขายให้มันถูก คุมราคาให้มันถูกกว่านี้ได้ไหม ถ้าจะบอกว่าเป็นกลไกตลาดหรือว่าค่าขนส่ง เราก็เชื่อว่ามันไม่ได้มากขนาดนั้น เพราะสังเกตจากเมื่อประมาณปี 51 ที่ข้าวมันราคาขึ้นสูงมาก ข้าวก่อนหน้านั้นเราขายเกวียนละ 6,000 บาท ราคาปุ๋ยอยู่ที่ลูกละ 500 กว่าบาท พอข้าวขึ้นมา 12,000 บาทปั๊บ ราคาปุ๋ยขึ้นมาทันที 1,200 บาท นั่นมันหมายถึงว่าไม่ใช่เพราะต้นทุนการผลิตสูงนะ มันเหมือนว่าคุณขึ้นตามอำเภอใจมาก ถ้ารัฐบาลควรควบคุมตรงนี้ อย่างชาวประมงเขาจะมีน้ำมันสีเขียวหรือสีม่วงที่ราคาถูกกว่าที่อื่น แต่ชาวนาใช้น้ำมันแพงมาก อย่างอ่างทองน้ำมันผสมลิตรละ 50 บาทนะ เพราะเราใช้ปั๊บหลอดบ้านนอก เรื่องอย่างนี้รัฐบาลไม่ได้ควบคุมเลย

การรักษาที่ทำกินนี่ควรเป็นการแก้ปัญหาเป็นเบื้องต้น แล้วก็หาทางทำเรื่องการลดต้นทุน โดยไม่ต้องขึ้นราคาขนาดนั้น แค่คุมต้นทุนได้ชาวนาก็พออยู่ได้แล้ว วันนี้ที่นาหลุดมือไป ก็ไปอยู่ในมือนายทุน แล้วเราก็เช่า มันก็แพงขึ้นอีกอยู่ดี นี่คือต้นทุน ซึ่งถ้าจะคิดแก้ปัญหาชาวนาจริงๆ รัฐบาลต้องคิดเรื่องนี้ด้วย

เรารู้สึกว่าตอนนี้คือรัฐบาลเอาเงินก้อนหนึ่งใหญ่ๆ ใส่มือเรา เพื่อให้เราถือเงินเอาไปใส่กระเป๋านายทุนที่ขายปุ๋ย ขายยา ขายน้ำมันตรงนั้นมากกว่า เพราะมันไม่เหลือในมือเรา

ตอนนี้มีนาอยู่กี่ไร่ และเมื่อเข้าโครงการจะได้เงินเท่าไร

ตอนนี้ทำอยู่ 10 ไร่กว่าๆ ประมาณนี้ ที่เข้าโครงการเอาไปขายอยู่ 4 ไร่แรกยังไม่ได้เงินเลยนี่ก็ 3-4 เดือนมาแล้ว ได้ราคาเพิ่มขึ้นมาหน่อยหนึ่ง มันได้อยู่ที่ประมาณ 12,000 บาท แต่ว่าก็ยังไม่ได้เงิน และแปลงหลังอีก 6 ไร่กว่าๆ นี้ไม่รู้จะเอายังไงเลย เพราะเอาไปเข้าโครงการแล้วรอเงินนานขนาดนี้ก็คงไม่ไหว

แต่ว่าของตัวเองมันดีอยู่อย่างเดียวที่ใช้ปุ๋ยขี้หมู น้ำส้มควันไม้ มันก็ทำให้ลดต้นทุน ไม่ได้ขาดทุนมากอย่างเขา เวลาน้ำท่วมหรือเวลามีโรคอะไรระบาดหนักหนาเราก็ยังขาดทุนน้อยกว่า

การจำนำข้าวกับประกันราคาอันไหนดีกว่ากัน

ถ้าพูดตรงๆ ประกันราคาดีกว่า เพราะว่าการประกันราคา เวลาเราทำนาบางทีเพลี้ยกระโดดกินหมด แต่เรายังมีส่วนเหลือที่เขาให้ต่อเราเป็นไร่ละ เราเอาเงินตรงนั้นมาลงทุนใหม่เป็นค่าน้ำมัน ค่าข้าวปลูก ค่าอะไรได้ใหม่ แต่วันนี้จำนำข้าว ถ้าเราไม่มีข้าวสักเม็ดเราก็ไม่ได้สักบาทหนึ่งเลย

เรามีความเสี่ยงต่อความเสียหายอยู่ตลอด ที่สุพรรณไปเกี่ยวข้าวงมน้ำอยู่ตอนนี้จะได้กี่ถังก็ไม่รู้ อย่างของพี่เองตอนนี้ที่ทุ่งงอก น้ำท่วมคอกระจายวิดน้ำช่วยอยู่ จะได้ผลผลิตสักครึ่งหนึ่งหรือเปล่า แล้วมันก็ไม่ใช่น้ำท่วมมาจากที่อื่นแต่เป็นน้ำฝนตกหนัก อย่างนี้เราห้ามไม่ได้เลย

มองว่ารัฐมองว่ารัฐบาลควรต้องมีนโยบายอะไรเพื่อมาแก้ไขปัญหาของชาวนา

เรื่องหนี้สินควรเป็นเรื่องเฉพาะหน้าเลย เพราะวันนี้ลองไปดูชาวนาที่บอกว่ายังส่งหนี้ได้อยู่ แต่หมายถึงว่าไปดูได้เลยว่าเขาไปกู้เงินมาวนส่ง และไม่ได้ส่งแล้วกู้น้อยลงนะ ส่งแล้วเขาก็จะกู้เท่าเดิมหรือมากขึ้น ไม่ได้หนี้ลดลง บางคนอายุ 80 แล้วก็ยังมีหนี้อยู่ คือเขาส่งมาตลอดชีวิตยังมีหนี้อยู่

นอกเหนือจากการแก้ปัญหาเรื่องหนี้สิน ก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการผลิต ลดการใช้ปุ๋ยใช้ยา แล้วก็พัฒนาพันธุ์ที่ไม่ใช้ปุ๋ยใช้ยาให้มันทำได้จริง ส่วนคนไหนที่ที่ดินหลุดมือไปแล้วก็อาจจัดเป็นโฉนดชุมชน หรือว่าอะไรก็ได้จัดให้เขา ให้เขามีที่อย่างน้อย 15 ไร่ วันนี้พอไม่มีที่ดินอยู่ในมือก็กลายเป็นนาเช่าเสียหมด พอนาเช่าปั๊บมันก็ต้นทุนสูง บางทีค่าเช่าไร่ละ 15 ถังต่อ 1 ครั้ง แล้วถ้าบ้านพี่ทำนา 3 ครั้ง มันหมายถึง 45 ถังต่อ 1 ไร่เลยนะใน 1 ปี

แล้วครั้งหนึ่งเราผลิตข้าวได้เท่าไร

ไร่หนึ่งบางทีแถวนี้เขาทำ ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นก็ประมาณ 80 ถัง บางคนได้ 70 ถัง เฉลี่ยประมาณ 80 ถัง เขาเอาไปแล้ว 15 ถัง ก็จะเหลือ 65 ถัง แต่ว่าก็มีที่คิดค่าเช่าที่มากกว่านี้คือ 20 ถังต่อไร ถ้าคนไหนอยู่ใกล้คลองหน่อยก็คิดราคาสูง

นายทุนบ้านพี่ที่ให้กู้นอกระบบมีอยู่ 2-3 ราย ให้เงินกู้ดอกเบี้ยร้อยละ 5 แล้วที่นาเขาก็มีเป็นหลายร้อยไร่ น่าจะเป็นพันไร่แล้ว เราพูดกันเล่นๆ ว่าเราวิ่งแล้วยิงหนังสติ๊กออกไปก็ไม่พอนาตาคนนี้ ยังไงก็ต้องเจอนาตาคนนี้ทั้งทุ่ง นั่นแหละ เขาเอาเงินมาปล่อยกู้ตรงนี้แล้วชาวนามันขาดทุนบ่อย กู้ไปส่งธนาคาร กู้ไปกู้กลับแล้วสุดท้ายนาเป็นของเขา ที่นี้ก็ต้องเช่านาตัวเอง บางทีดูไม่รู้หรอกคิดว่าป้าคนนี้เขาก็ทำนาตัวเองอยู่ แต่ว่าโอนชื่อเป็นของเจ้าหนี้ไปแล้ว

ที่จริงนโยบายรัฐควรจะเอาปัญหาเรื่องหนี้สินเป็นวาระแห่งชาติ เพราะตรงนี้หนักมาก วันนี้ไม่ใช่เฉพาะ ธกส.หรือ สหกรณ์ที่เราเป็นหนี้ แล้วก็ธนาคารเจ้าหนี้ที่เป็นธนาคารพาณิชย์นี่คือต่างชาติทั้งนั้นเลย

ชาวนาในเครือข่ายของ สค.ปท.มีแบบที่ไม่เข้าโครงการจำนำข้าวบ้างหรือเปล่า

ไม่มีใครที่ไม่เข้านะ ถึงยังไงของมันก็แพง ถ้าเราไม่เข้าเราก็ต้องซื้อของแพงไปกับเขาด้วยอยู่ดี พอได้ราคาข้าวที่สูงแล้วของแพงแม้มันจะไม่เหลือเงินมันก็ยังไม่ขาดมาก แต่ถ้าไม่เข้าเลยมันขาดมากเข้าไปจนเราไม่มีจะจ่าย

ครั้งที่แล้วสามีพี่ก็ไม่เข้าโครงการ ก็ขายข้าวราคา 8,000 กว่าบาท แต่ปรากฏว่าน้ำมันแพง ของแพง เงิน 8,000 กับของที่มันแพงขึ้นรอบๆ ตัวเรา ปีนี้เขาก็เลยฝากเพื่อนไปเข้าโครงการ พอเข้าโครงการปั๊บก็ไม่ได้เงินอีก ยิ่งหนักกว่าเก่า

ก่อนหน้านี้ทำไมถึงมีแนวคิดที่จะไม่เข้าโครงการ

ไม่รู้สิ เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ มันไม่ได้แพง ไม่ได้ขาดทุนกันตรงนั้น โครงการนี้มันไม่ได้แก้ปัญหา ก็พยายามต้าน แต่ถามว่าคุณต้านคนเดียวกับของที่มันถึงอย่างไรมันก็ขึ้นราคาทั่วประเทศอยู่ แล้ว จะไหวหรือ และของนี่คุณก็ต้องใช้กับเขาด้วย ปรากฏว่าเที่ยวหลังนี้ก็ยังไม่ได้ไปเข้าด้วยตนเองหรอก ฝากเพื่อนไป ตอนนี้ก็ร้องจ๊ากอยู่เนี่ยเพราะว่าไม่มีเงินเลย ไอ้ปุ๋ยขี้หมูนี่ก็ต้องไปหารับจ้างเขาซ่อมมอเตอร์ไซค์ปะยางเอาไปจ่าย แต่ดีที่มันถูก ปุ๋ยขี้หมูมันใช้ไม่มาก ลูกหนึ่งราคาร้อยกว่าบาท แต่ถ้าเป็นปุ๋ยเคมีลูกละเป็นพันเลย

แปลว่ามันมีสภาพบังคับโดยปริยาย ชาวนาบางส่วนแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ต้องเข้าโครงการ

ใช่ คือว่ามันเป็นโครงการของรัฐที่เขาจะได้มากขึ้น ไอ้ผลกระทบอื่นๆ มาเขาก็ต้องโดนด้วย แต่ถ้าเขาไม่เข้าแล้วเขาไม่ได้มากแถมยังต้องเสียมาก คราวที่แล้วกลับไปประชุมกลุ่มเมื่อวันที่ 6 ต.ค.55 ก็ถามสมาชิกดูว่าเป็นอย่างไร จำนำข้าวมันดีไหม ทุกคนก็ตะโกนมาเลยว่าไม่ดี สู้ประกันราคาก็ไม่ได้ เราก็ถามว่า อ้าว แล้วมันต่างกันยังไง ก็ลองถามเขาดู เขาบอกว่านี่ถ้าประกันราคาเขาได้เงินเลยและเขาก็เอามาใช้จ่ายได้เลย เสร็จแล้วเขาก็ยังจะได้เงินประกันที่รัฐจ่ายตามมาเอาไปลงทุนได้อีก คือไม่ต้องไปกู้ข้างนอกมาแล้วมาเสียดอกไง

และเงินที่ได้ก็ไม่มากมาน้อยกว่ากันเท่าไหร่ เพราะประกันราคา จะได้ 11,000 บาท ส่วนจำนำจะได้ 12,000-13,000 บาท แต่มันมีระยะเวลาที่เราไม่ได้เงินเลย ขณะที่ประกันราคานี่เราจะได้เงินมาหนึ่งก้อนที่เราขายกับโรงสีในราคาปกติของ เราอยู่ มันก็ยังดีที่เรามีกินไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปกู้เงินเขามาแล้วเสียดอกแพง

มีข้อเสนอต่อรัฐบาลอย่างไรบ้าง

สำหรับข้อเสนอ ที่เราเป็นหนี้มากเพราะต้นทุนมันขึ้นไม่หยุด แล้วก็นโยบายที่มันมาจากรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา จากนโยบายต่างๆ ของเขาตั้งแต่เริ่มให้เราเปลี่ยนพันธุ์ข้าว ใช้ปุ๋ยใช้ยา พอเริ่มเป็นหนี้แล้วคนลงทุนมากขึ้นก็เป็นหนี้มากขึ้นมาเรื่อยๆ จนดินมันหมดสภาพก็ต้องลงทุนมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น อันนี้มันคือปัญหา

วันนี้ถ้าเราไม่กลับไปลดต้นทุน เราไม่กลับไปสู่สภาพสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ที่มันอุดมสมบูรณ์ เราไม่รอดหรอก

ที่เรียนรู้มาก็คือธรรมชาติเขามีสิ่งที่ดูแลกันเองอยู่แล้ว แมลงต่างๆ ที่มันจะกินเพลี้ยกระโดด เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่กลับไปหาเรื่องพื้นที่ ภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างเก่าๆ ที่เขาทำกันมา เราก็จะขาดทุนหนักขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าชาวนาไม่เปลี่ยนวิธีคิด

ในส่วนนักวิชาการที่มีการออกมาแสดงท่าที่ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยต่อโครงการจำนำข้าว ชาวนาคิดเห็นอย่างไร

นักวิชาการก็มีหลายคนที่ออกมาคัดค้าน แต่ชาวนารู้สึกอย่างไร เฮ้ย…มันกลายเป็นความรู้สึกที่ว่าจะต่อสู้กันแล้ว นักวิชาการพูดถึงปัญหาภาพรวมของประเทศว่ามันมีหนี้มีสิน แล้วมันมีการทุจริตอะไรต่างๆ จับได้ไม่ได้ไม่รู้ แต่วันนี้กลายเป็นชาวนารู้สึก เฮ้ย...ทำไมพอจะมีโครงการที่ช่วยชาวนาบ้างทุกคนค้าน แต่คนที่ค้านก็ไม่ได้พูดทางออกไง เพราะตกลงคุณบอกไม่ให้จำนำ จำนำขาดทุน หรือวิธีนี้ใช้ไม่ได้ แล้วมีวิธีไหนที่แก้ปัญหาชาวนาได้ก็ไม่พูด

แล้วสังคม ชนชั้นกลางเขาก็จะรู้สึกว่าพอนักวิชาการพูดว่าประเทศเป็นหนี้ พวกเราเป็นหนี้ร่วมด้วย เพราะเอาเงินไปช่วยไอ้พวกชาวนา แต่ความจริงชาวนาก็ไม่ได้ 15,000 หรอก มันกลายเป็นสังคมทางโน้นก็ด่าเรามา ชาวนาก็รู้สึกว่าชาวนาลำบากเป็นหนี้เป็นสินทำนากันเกือบตายแล้วแต่พอจะได้ เงินบ้างก็มีคนค้าน มันก็เลยรู้สึกเป็นประเด็นขึ้นมาอย่างนี้

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บ้านเมืองไม่ใช่ของเรา: ดูการเมืองอเมริกันอย่างไรให้มันส์ ตอนที่ 1

Posted: 14 Oct 2012 10:59 AM PDT

รายการบ้านเมืองไม่ใช่ของเรา เทปนี้คุยกันเรื่องระบบการเมืองของสหรัฐอเมริกา และการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกันชนที่ใกล้เข้ามาทุกที รวมถึงสาระเกี่ยวกับธรรมเนียมการดีเบตของว่าที่ประธานาธิบดี และวิเคราะห์การดีเบตรอบแรกที่เพิ่งผ่านไประหว่าง Mitt Romney กับ Barack Obama พบกับพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ และแขกรับเชิญ ดร.สติธร ธนานิธิโชติ นักวิจัยจากสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ที่เพิ่งคว้าปริญญาเอกมาหมาดๆ จากมหาวิทยาลัยยูท่าห์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสวนา: ความรุนแรงในสังคมไทย กรณีศึกษาโทษประหารชีวิต

Posted: 14 Oct 2012 10:55 AM PDT

เนื่องในสัปดาห์ยุติโทษประหารชีวิตสากล "ศิโรตม์" ชี้โทษประหารเป็นบทลงโทษที่มีอคติทางการเมืองและชนชั้น ในขณะที่งานวิจัยระบุ ความชอบธรรมในการใช้โทษประหารถูกปลูกฝังในสังคมไทยย้อนไปตั้งแต่ "ไตรภูมิกถา"

เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 55 เวลา 13.30 น. ณ สมาคมฝรั่งเศส เนื่องในสัปดาห์เพื่อการยุติโทษประหารชีวิต แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้จัดเสวนาในหัวข้อ "ความรุนแรงในสังคมไทย: กรณีศึกษาโทษประหารชีวิต" โดยมีวิทยากรจากแวดวงสื่อ วิชาการ และสถาบันตำรวจ เข้าร่วมแลกเปลี่ยนต่อประเด็นดังกล่าว โดยศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ มองว่า โทษประหารชีวิต นอกจากจะขัดกับหลักการเสรีนิยมประชาธิปไตยแล้ว ยังเป็นการลงโทษที่มักมีคติทางการเมืองและชนชั้นแฝงอยู่ด้วยเสมอๆ ในขณะที่งานวิจัยของ พ.ต.ท. หญิงธัญญรัตน์ ทิวถนอม ชี้ให้เห็นว่า ความชอบธรรมของโทษประหารชีวิต ถูกสร้างขึ้นในสังคมไทยตั้งแต่สมัยโบราณ 

 
 

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

กล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่างความรุนแรงและโทษประหารชีวิต โดยเฉพาะในทางวิชาการและข้อถกเถียงว่า โทษดังกล่าวควรจะมีหรือไม่ โดยฝ่ายที่เห็นด้วย มองว่า มาตรการนี้เป็นวิธีการที่สร้างความปลอดภัยและสันติภาพในสังคม แต่ในฝั่งที่ไม่เห็นด้วย มองว่า โทษประหารชีวิตมีลักษณะที่โหดร้าย ซึ่งเป็นการมองเชิงศีลธรรม และขัดกับหลักการพื้นฐานของศาสนา นอกจากนี้ ยังมีการเสนอด้วยว่า โทษประหารชีวิตมีลักษณะที่แตกต่างไปจากโทษแบบอื่น เนื่องจากหากตัดสินไปแล้ว พบว่าผิด หรือเกินกว่าเหตุ ไม่สามารถย้อนคืนได้ ชีวิตของคนที่ถูกประหารไม่กลับมาแล้ว
 
จึงจะเห็นว่า โทษนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังมากๆ ข้อถกเถียงอีกอย่างหนึ่ง มีการเสนอจากนักกฎหมายอเมริกันว่า โทษประหารชีวิต เมื่อใช้ไปแล้ว มันทำลายระบบกฎหมายทั้งหมดเอง เพราะมันมีลักษณะของการเลือกปฏิบัติและแฝงไปด้วยอคติทางสังคม เหมือนเป็นการตีตราว่า ความผิดแบบไหนหรือคนแบบไหนควรจะถูกประหาร จึงจะเห็นว่าไม่สามารถมีความยุติธรรมได้ ถึงแม้ว่าจะตัดสินถูกคนแล้วก็ตาม 
 
ข้อถกเถียงอีกข้อหนึ่งคือการมองว่า โทษประหารชีวิตมีความรุนแรงเกินไป และไม่สามารถแก้ปัญหาอาชญากรรมได้ ในสังคมไทย มักจะเป็นการถกเถียงแบบนี้ ในทางกลับกัน ฝ่ายที่เห็นด้วย จะเห็นว่า โทษประหารเป็นวิธีที่แก้ปัญหาอาชญากรรมให้เด็ดขาด 
 
นอกจากนี้ โทษประหารชีวิต ยังมีลักษณะที่เลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน เพราะหากใช้เหตุผลว่า ต้องประหารชีวิตเพราะเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโทษแก่ผู้อื่นในภายภาคหน้า ถ้าเช่นนั้น ก็จำเป็นต้องประหารชีวิตผู้ที่ทำความผิดโทษอื่นๆ ด้วย ขับรถชนผู้อื่น หรือยาเสพติด เป็นต้น ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าลักษณะของโทษประหารชีวิตไม่มีความยุติธรรมอย่างแท้จริง 
 
ศิโรตม์ยังตั้งคำถามด้วยว่า หากโทษประหารชีวิต ถูกใช้กับอาชญากรที่ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตแล้ว ผู้นำประเทศที่บริหารประเทศและทำให้ประชาชนเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมของรัฐ ควรจะต้องถูกลงโทษด้วยหรือไม่ หากใช้ตรรกะเดียวกัน แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีการเอาผู้นำประเทศมาลงโทษ ฉะนั้นจึงจะเห็นว่า โทษประหารชีวิตมีลักษณะของการเลือกปฏิบัติอยู่มาก 
 
ศิโรตม์ยังมองว่า การประหารชีวิต ยังวางอยู่บนสาเหตุหลักอยู่อีกสองอย่าง คือ วางอยู่บนความกลัว และความต้องการล้างแค้น แต่การประชาทันฑ์ผู้อื่น และการล้างแค้น เป็นการบริการจัดการสังคมและความคิดที่ล้าหลัง และไม่ได้การันตีว่าชีวิตของคนในสังคมจะปลอดภัยขึ้น 
 
"เพราะฉะนั้นกฎหมายกับความรุนแรง มันเชื่อมโยงกันด้วยโทษประหารชีวิต คือการประหารชีวิตเป็นการใช้ความรุนแรงโดยชอบธรรม มีกฎหมายบอกว่าการกระทำนี้มันชอบธรรม ทั้งๆ ที่โดยในตัวมันเองแล้ว ก็ไม่ต่างกับการฆ่าแบบอื่น มันก็คือการฆ่าแบบหนึ่ง" ศิโรตม์กล่าว "การประหารชีวิตที่ถูกต้องด้วยกฎหมาย คือการฆ่าที่ถูกต้องโดยกฎหมาย" และตั้งคำถามว่า รัฐใช้เหตุผลอันใดในการฆ่า และเหตุใดประชาชนถึงให้การยอมรับกับการฆ่าดังกล่าว 
 
หากมองผ่านมุมมองของประชาธิปไตยเสรีนิยม สิทธิในการดำรงชีวิต ยังนับเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ในสังคมสมัยใหม่ ศิโรตม์ชี้ว่า หากเราเชื่อว่ารัฐมีสิทธิในการประหารชีวิตพลเมือง และพรากเอาชีวิตคนไป    เท่ากับว่า เรายืนยันว่า การดำรงชีวิตเป็นสิ่งที่รัฐเลือกที่จะให้ เป็นการเลือกปฏิบัติ และเชื่อว่า มนุษย์มีสิทธิไม่เท่าเทียมกัน ไม่มีสิทธิทางการเมือง ซึ่งเป็นชุดเหตุผลที่ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนที่เท่าเทียมกันตามสังคมประชาธิปไตย 
 
โทษประหารชีวิต ยังมักจะถูกใช้ในสถานการณ์ทางการเมือง ตัวอย่างเช่นสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ ช่วงพ.ศ.​2501 - 2507 มีการใช้มาตรา 17 ซึ่งให้อำนาจแก่นายกรัฐมนตรีในการออกคำสั่งประหารชีวิต และมีผลทำให้นักคิด นักเขียน นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยถูกสังหารเป็นจำนวนมาก ยังรวมถึงผู้ต้องหาสามคนในกรณีสวรรคตของร. 8 ก็ยังเป็นที่ตั้งคำถามกันจนถึงทุกวันนี้ว่า พวกเขามีความผิดจริงหรือไม่ 
 

พ.ต.ท. หญิงธัญญรัตน์ ทิวถนอม

 
อาจารย์ด้านการบริการในหน่วยงานตำรวจ และผู้เขียนงานวิจัยเรื่อง "กระแสโลกาภิวัฒน์และการลงโทษประหารชีวิตในรัฐไทย" มองย้อนไปยังทฤษฎีการมองรัฐทั้งในยุโรปและเอเชียที่เชื่อว่า รัฐมีอำนาจในการกำกับดูแลสังคม จึงมีสิทธิที่จะลงโทษในสิทธิและเสรีภาพของประชาชน อย่างไรก็ตาม การประหารชีวิตนั้นก็ไม่ถูกต้องยุติธรรม เพราะมันเป็นการพรากชีวิตและสิทธิเบื้องต้นของพลเมืองไป 
 
นอกจากนี้ ความเชื่อตั้งแต่สมัยโบราณที่ว่า หากทำไม่ดีแล้ว ธรรมชาติจะลงโทษ หรือความเชื่อเรื่องพระราชาลงโทษประชาชน ที่ผูกโยงกับ "ไตรภูมิพระร่วง" ซึ่งเป็นวรรณคดีพุทธศาสนาในสมัยโบราณ ยังสะท้อนให้เห็นในพระอัยการกบฎศึก ตัวบทกฎหมายในสมัยโบราณ ที่มีการกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงต่อประชาชน ทำให้เป็นสิ่งที่สร้างความชอบธรรมให้รัฐ และปลูกฝังทางความเชื่อของประชาชนด้วยว่า โทษประหารชีวิตเป็นสิ่งที่จำเป็น 
 
"แม้แต่เรื่องบาปบุญคุณโทษ เราถูกปลูกฝังมาว่า คนดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งกฎหมายความเชื่อโบราณที่กล่าวมา ก็บอกว่า ถ้าคนทำดีแล้วแล้วจะมีเรื่องได้ยังไง" 
 
งานวิจัยยังชี้ให้เห็นด้วยว่า โทษประหารชีวิตไม่ได้มีผลต่ออาชญากรรม ธัญญรัตน์กล่าวว่า โทษที่มีผลต่ออาชญากรรมมีสามตัวแปร คือ "ความรวดเร็ว ความรุนแรง และความชัดเจน" แต่จริงๆ แล้ว ปัจจัยที่มีผลต่อาชญากรรม คือ "ความรวดเร็วและความชัดเจน" ในการลงโทษมากกว่า แต่กระบวนการยุติธรรมในการไต่สวนโดยปรกติ มักใช้เวลายาวนานเช่น 4-5 ปี ทำให้เกิดความล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น และขาดปัจจัยเรื่องความรวดเร็วลงไป 
 
ธัญญรัตน์กล่าวด้วยว่า ผู้ที่มักถูกลงโทษประหารชีวิต มักจะเป็นคนจนและไม่มีเงินจ้างทนายมาสู้คดี เมื่อถูกจับ ก็ไม่มีและไม่ทราบแนวทางการพิทักษ์สิทธิตนเองที่ถูกต้องตามกระบวนการไต่สวน 
 
เธอยังกล่าวถึง "กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" ด้วยว่า แทนที่จะมองว่าอาชญากรรมเป็นเรื่องที่กระทำต่อรัฐ และรัฐมีหน้าที่ลงโทษผู้กระทำผิด ควรจะมองว่า ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น สังคม รัฐ ผู้กระทำผิด และเหยื่อของผู้กระทำผิด ควรมาร่วมกันคิดว่า เหตุใดสังคมจึงผลิตคนที่เป็นอาชญากรออกมา มีปัญหาทางโครงสร้างใดที่เอื้อให้เกิดปัญหาดังกล่าว และมีมาตรการเยียวยาและร่วมกันหาทางออกจากทุกฝ่าย เพื่อป้องกันปัญหาต่อไปในอนาคต 
 

ดร. วิทย์ สิทธิเวคิน

 
มองว่า สื่อในปัจจุบันมีอิทธิพลต่อสังคมค่อนข้างเยอะ เป็นผู้ที่สามารถฟอร์มความคิดของสังคมได้ ประชาชนจึงจำเป็นต้องรู้เท่าทันสื่อ โดยสื่อเองก็จำเป็นต้องรายงานโดยให้ความสำคัญกับข้อเท็จจริง และลดอคติหรือค่านิยมออกไป 
 
เขายังกล่าวถึงการควบคุมกำกับสื่อด้วยว่า สื่อจำเป็นต้องกำกับกันเองโดยเฉพาะในเรื่องของความรุนแรง และการนำเสนอข่าวในเชิงการประชาทันฑ์จากสังคม โดยเฉพาะก่อนที่กสทช. จะทำการเปิดประมูลทีวีดิจิตอลเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ เขาระบุว่า ประชาชนได้มีส่วนร่วมในสื่อและประเด็นสาธารณะมากยิ่งขึ้น ผ่านโซเชียลมีเดียทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นเรื่องดีในการดูแลกำกับสื่อและผลักดันประเด็นทางสังคม 
 

พ.ต.ท. เอนก อะนันทวรรณ

อาจารย์สอนวิชาสิทธิมนุษยชนในโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน กล่าวว่า ถึงแม้มักจะมีข่าวบ่อยๆ ว่าตำรวจมักเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องพื้นฐานและธรรมชาติ และถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงมีการเรียนการสอนวิชาดังกล่าวในสถาบันการศึกษาของตำรวจโดยทั่วไป อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ ก็มีข้อจำกัดบ้างว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถปฏิบัติได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ประชาชนก็จำเป็นต้องตระหนักถึงสิทธิและเสรีภาพของตนเองด้วย  
 
ต่อเรื่องการนำตัวผู้ต้องหาไปแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชน ถือว่าขัดกับกระบวนการตามกฎหมายหรือไม่ เขาระบุว่า ตามหลักปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องไม่สามารถทำได้เพราะเป็นการละเมิดสิทธิของผู้ต้องหา เพราะการจับกุมตามกฎหมาย ต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวนตามระเบียบ แต่สื่อมวลชนมักทำกันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ซึ่งเป็นการสร้างค่าธรรมเนียมผิดๆ ให้แก่สังคมและผู้ต้องหาเอง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสวนา: ความรุนแรงในสังคมไทย กรณีศึกษาโทษประหารชีวิต

Posted: 14 Oct 2012 10:54 AM PDT

เนื่องในสัปดาห์ยุติโทษประหารชีวิตสากล "ศิโรฒม์" ชี้โทษประหารเป็นบทลงโทษที่มีอคติทางการเมืองและชนชั้น ในขณะที่งานวิจัยระบุ ความชอบธรรมในการใช้โทษประหารถูกปลูกฝังในสังคมไทยย้อนไปตั้งแต่ "ไตรภูมิกถา"

 

เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 55 เวลา 13.30 น. ณ สมาคมฝรั่งเศส เนื่องในสัปดาห์เพื่อการยุติโทษประหารชีวิต แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้จัดเสวนาในหัวข้อ "ความรุนแรงในสังคมไทย: กรณีศึกษาโทษประหารชีวิต" โดยมีวิทยากรจากแวดวงสื่อ วิชาการ และสถาบันตำรวจ เข้าร่วมแลกเปลี่ยนต่อประเด็นดังกล่าว โดยศิโรฒม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ มองว่า โทษประหารชีวิต นอกจากจะขัดกับหลักการเสรีนิยมประชาธิปไตยแล้ว ยังเป็นการลงโทษที่มักมีคติทางการเมืองและชนชั้นแฝงอยู่ด้วยเสมอๆ ในขณะที่งานวิจัยของพ.ต.ท. หญิงธัญญรัตน์ ทิวถนอม ชี้ให้เห็นว่า ความชอบธรรมของโทษประหารชีวิต ถูกสร้างขึ้นในสังคมไทยตั้งแต่สมัยโบราณ 
 
 

ศิโรฒม์ คล้ามไพบูลย์

กล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่างความรุนแรงและโทษประหารชีวิต โดยเฉพาะในทางวิชาการและข้อถกเถียงว่า โทษดังกล่าวควรจะมีหรือไม่ โดยฝ่ายที่เห็นด้วย มองว่า มาตรการนี้เป็นวิธีการที่สร้างความปลอดภัยและสันติภาพในสังคม แต่ในฝั่งที่ไม่เห็นด้วย มองว่า โทษประหารชีวิตมีลักษณะที่โหดร้าย ซึ่งเป็นการมองเชิงศีลธรรม และขัดกับหลักการพื้นฐานของศาสนา นอกจากนี้ ยังมีการเสนอด้วยว่า โทษประหารชีวิตมีลักษณะที่แตกต่างไปจากโทษแบบอื่น เนื่องจากหากตัดสินไปแล้ว พบว่าผิด หรือเกินกว่าเหตุ ไม่สามารถย้อนคืนได้ ชีวิตของคนที่ถูกประหารไม่กลับมาแล้ว
 
จึงจะเห็นว่า โทษนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังมากๆ ข้อถกเถียงอีกอย่างหนึ่ง มีการเสนอจากนักกฎหมายอเมริกันว่า โทษประหารชีวิต เมื่อใช้ไปแล้ว มันทำลายระบบกฎหมายทั้งหมดเอง เพราะมันมีลักษณะของการเลือกปฏิบัติและแฝงไปด้วยอคติทางสังคม เหมือนเป็นการตีตราว่า ความผิดแบบไหนหรือคนแบบไหนควรจะถูกประหาร จึงจะเห็นว่าไม่สามารถมีความยุติธรรมได้ ถึงแม้ว่าจะตัดสินถูกคนแล้วก็ตาม 
 
ข้อถกเถียงอีกข้อหนึ่งคือการมองว่า โทษประหารชีวิตมีความรุนแรงเกินไป และไม่สามารถแก้ปัญหาอาชญากรรมได้ ในสังคมไทย มักจะเป็นการถกเถียงแบบนี้ ในทางกลับกัน ฝ่ายที่เห็นด้วย จะเห็นว่า โทษประหารเป็นวิธีที่แก้ปัญหาอาชญากรรมให้เด็ดขาด 
 
นอกจากนี้ โทษประหารชีวิต ยังมีลักษณะที่เลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน เพราะหากใช้เหตุผลว่า ต้องประหารชีวิตเพราะเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโทษแก่ผู้อื่นในภายภาคหน้า ถ้าเช่นนั้น ก็จำเป็นต้องประหารชีวิตผู้ที่ทำความผิดโทษอื่นๆ ด้วย ขับรถชนผู้อื่น หรือยาเสพติด เป็นต้น ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าลักษณะของโทษประหารชีวิตไม่มีความยุติธรรมอย่างแท้จริง 
 
ศิโรฒม์ยังตั้งคำถามด้วยว่า หากโทษประหารชีวิต ถูกใช้กับอาชญากรที่ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตแล้ว ผู้นำประเทศที่บริหารประเทศและทำให้ประชาชนเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมของรัฐ ควรจะต้องถูกลงโทษด้วยหรือไม่ หากใช้ตรรกะเดียวกัน แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีการเอาผู้นำประเทศมาลงโทษ ฉะนั้นจึงจะเห็นว่า โทษประหารชีวิตมีลักษณะของการเลือกปฏิบัติอยู่มาก 
 
ศิโรฒม์ยังมองว่า การประหารชีวิต ยังวางอยู่บนสาเหตุหลักอยู่อีกสองอย่าง คือ วางอยู่บนความกลัว และความต้องการล้างแค้น แต่การประชาทันฑ์ผู้อื่น และการล้างแค้น เป็นการบริการจัดการสังคมและความคิดที่ล้าหลัง และไม่ได้การันตีว่าชีวิตของคนในสังคมจะปลอดภัยขึ้น 
 
"เพราะฉะนั้นกฎหมายกับความรุนแรง มันเชื่อมโยงกันด้วยโทษประหารชีวิต คือการประหารชีวิตเป็นการใช้ความรุนแรงโดยชอบธรรม มีกฎหมายบอกว่าการกระทำนี้มันชอบธรรม ทั้งๆ ที่โดยในตัวมันเองแล้ว ก็ไม่ต่างกับการฆ่าแบบอื่น มันก็คือการฆ่าแบบหนึ่ง" ศิโรฒม์กล่าว "การประหารชีวิตที่ถูกต้องด้วยกฎหมาย คือการฆ่าที่ถูกต้องโดยกฎหมาย" และตั้งคำถามว่า รัฐใช้เหตุผลอันใดในการฆ่า และเหตุใดประชาชนถึงให้การยอมรับกับการฆ่าดังกล่าว 
 
หากมองผ่านมุมมองของประชาธิปไตยเสรีนิยม สิทธิในการดำรงชีวิต ยังนับเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ในสังคมสมัยใหม่ ศิโรฒม์ชี้ว่า หากเราเชื่อว่ารัฐมีสิทธิในการประหารชีวิตพลเมือง และพรากเอาชีวิตคนไป    เท่ากับว่า เรายืนยันว่า การดำรงชีวิตเป็นสิ่งที่รัฐเลือกที่จะให้ เป็นการเลือกปฏิบัติ และเชื่อว่า มนุษย์มีสิทธิไม่เท่าเทียมกัน ไม่มีสิทธิทางการเมือง ซึ่งเป็นชุดเหตุผลที่ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนที่เท่าเทียมกันตามสังคมประชาธิปไตย 
 
โทษประหารชีวิต ยังมักจะถูกใช้ในสถานการณ์ทางการเมือง ตัวอย่างเช่นสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ ช่วงพ.ศ.​2501 - 2507 มีการใช้มาตรา 17 ซึ่งให้อำนาจแก่นายกรัฐมนตรีในการออกคำสั่งประหารชีวิต และมีผลทำให้นักคิด นักเขียน นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยถูกสังหารเป็นจำนวนมาก ยังรวมถึงผู้ต้องหาสามคนในกรณีสวรรคตของร. 8 ก็ยังเป็นที่ตั้งคำถามกันจนถึงทุกวันนี้ว่า พวกเขามีความผิดจริงหรือไม่ 
 

พ.ต.ท. หญิงธัญญรัตน์ ทิวถนอม

 
อาจารย์ด้านการบริการในหน่วยงานตำรวจ และผู้เขียนงานวิจัยเรื่อง "กระแสโลกาภิวัฒน์และการลงโทษประหารชีวิตในรัฐไทย" มองย้อนไปยังทฤษฎีการมองรัฐทั้งในยุโรปและเอเชียที่เชื่อว่า รัฐมีอำนาจในการกำกับดูแลสังคม จึงมีสิทธิที่จะลงโทษในสิทธิและเสรีภาพของประชาชน อย่างไรก็ตาม การประหารชีวิตนั้นก็ไม่ถูกต้องยุติธรรม เพราะมันเป็นการพรากชีวิตและสิทธิเบื้องต้นของพลเมืองไป 
 
นอกจากนี้ ความเชื่อตั้งแต่สมัยโบราณที่ว่า หากทำไม่ดีแล้ว ธรรมชาติจะลงโทษ หรือความเชื่อเรื่องพระราชาลงโทษประชาชน ที่ผูกโยงกับ "ไตรภูมิพระร่วง" ซึ่งเป็นวรรณคดีพุทธศาสนาในสมัยโบราณ ยังสะท้อนให้เห็นในพระอัยการกบฎศึก ตัวบทกฎหมายในสมัยโบราณ ที่มีการกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงต่อประชาชน ทำให้เป็นสิ่งที่สร้างความชอบธรรมให้รัฐ และปลูกฝังทางความเชื่อของประชาชนด้วยว่า โทษประหารชีวิตเป็นสิ่งที่จำเป็น 
 
"แม้แต่เรื่องบาปบุญคุณโทษ เราถูกปลูกฝังมาว่า คนดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งกฎหมายความเชื่อโบราณที่กล่าวมา ก็บอกว่า ถ้าคนทำดีแล้วแล้วจะมีเรื่องได้ยังไง" 
 
งานวิจัยยังชี้ให้เห็นด้วยว่า โทษประหารชีวิตไม่ได้มีผลต่ออาชญากรรม ธัญญรัตน์กล่าวว่า โทษที่มีผลต่ออาชญากรรมมีสามตัวแปร คือ "ความรวดเร็ว ความรุนแรง และความชัดเจน" แต่จริงๆ แล้ว ปัจจัยที่มีผลต่อาชญากรรม คือ "ความรวดเร็วและความชัดเจน" ในการลงโทษมากกว่า แต่กระบวนการยุติธรรมในการไต่สวนโดยปรกติ มักใช้เวลายาวนานเช่น 4-5 ปี ทำให้เกิดความล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น และขาดปัจจัยเรื่องความรวดเร็วลงไป 
 
ธัญญรัตน์กล่าวด้วยว่า ผู้ที่มักถูกลงโทษประหารชีวิต มักจะเป็นคนจนและไม่มีเงินจ้างทนายมาสู้คดี เมื่อถูกจับ ก็ไม่มีและไม่ทราบแนวทางการพิทักษ์สิทธิตนเองที่ถูกต้องตามกระบวนการไต่สวน 
 
เธอยังกล่าวถึง "กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์" ด้วยว่า แทนที่จะมองว่าอาชญากรรมเป็นเรื่องที่กระทำต่อรัฐ และรัฐมีหน้าที่ลงโทษผู้กระทำผิด ควรจะมองว่า ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น สังคม รัฐ ผู้กระทำผิด และเหยื่อของผู้กระทำผิด ควรมาร่วมกันคิดว่า เหตุใดสังคมจึงผลิตคนที่เป็นอาชญากรออกมา มีปัญหาทางโครงสร้างใดที่เอื้อให้เกิดปัญหาดังกล่าว และมีมาตรการเยียวยาและร่วมกันหาทางออกจากทุกฝ่าย เพื่อป้องกันปัญหาต่อไปในอนาคต 
 

ดร. วิทย์ สิทธิเวคิน

 
มองว่า สื่อในปัจจุบันมีอิทธิพลต่อสังคมค่อนข้างเยอะ เป็นผู้ที่สามารถฟอร์มความคิดของสังคมได้ ประชาชนจึงจำเป็นต้องรู้เท่าทันสื่อ โดยสื่อเองก็จำเป็นต้องรายงานโดยให้ความสำคัญกับข้อเท็จจริง และลดอคติหรือค่านิยมออกไป 
 
เขายังกล่าวถึงการควบคุมกำกับสื่อด้วยว่า สื่อจำเป็นต้องกำกับกันเองโดยเฉพาะในเรื่องของความรุนแรง และการนำเสนอข่าวในเชิงการประชาทันฑ์จากสังคม โดยเฉพาะก่อนที่กสทช. จะทำการเปิดประมูลทีวีดิจิตอลเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ เขาระบุว่า ประชาชนได้มีส่วนร่วมในสื่อและประเด็นสาธารณะมากยิ่งขึ้น ผ่านโซเชียลมีเดียทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นเรื่องดีในการดูแลกำกับสื่อและผลักดันประเด็นทางสังคม 
 

พล.ต.ท. อเนก อนันทวัน

อาจารย์สอนวิชาสิทธิมนุษยชนในโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน กล่าวว่า ถึงแม้มักจะมีข่าวบ่อยๆ ว่าตำรวจมักเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องพื้นฐานและธรรมชาติ และถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงมีการเรียนการสอนวิชาดังกล่าวในสถาบันการศึกษาของตำรวจโดยทั่วไป อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ ก็มีข้อจำกัดบ้างว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถปฏิบัติได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ประชาชนก็จำเป็นต้องตระหนักถึงสิทธิและเสรีภาพของตนเองด้วย  
 
ต่อเรื่องการนำตัวผู้ต้องหาไปแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชน ถือว่าขัดกับกระบวนการตามกฎหมายหรือไม่ เขาระบุว่า ตามหลักปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องไม่สามารถทำได้เพราะเป็นการละเมิดสิทธิของผู้ต้องหา เพราะการจับกุมตามกฎหมาย ต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวนตามระเบียบ แต่สื่อมวลชนมักทำกันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ซึ่งเป็นการสร้างค่าธรรมเนียมผิดๆ ให้แก่สังคมและผู้ต้องหาเอง 
 

 

'จินตนา แก้วขาว' ปาฐกถา รำลึก 39 ปี 14 ตุลา "ประชาธิปไตยกับการปกป้องทรัพยากร"

Posted: 14 Oct 2012 10:22 AM PDT

ปาฐกถาสะท้อนปัญหา เสนอรัฐต้องเปลี่ยนมุมมองต่อการพัฒนาและกระบวนการยุติธรรม "นฤมล ทับจุมพล" ปัจฉิมกถา สนับสนุนปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ย้ำความขัดแย้งไม่ใช่แค่เทศนาให้คนปรองดองสมานฉันท์ 

14 ต.ค.55 เวลา 10.00 น. ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว มูลนิธิ 14 ตุลา ได้จัดพิธีรำลึก 39 ปี 14 ตุลาคม 2516 ในงานดังกล่าวมีการปาฐกถา 14 ตุลา หัวข้อ "ประชาธิปไตยกับการปกป้องทรัพยากร" โดย จินตนา แก้วขาว แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด จ.ประจวบคีรีขันธ์ และปัจฉิมกถา โดย ดร.นฤมล ทับจุมพล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จินตนา แก้วขาว ขณะปาฐกถา

ในการปาฐกถา จินตนา แก้วขาว ได้เล่าถึงประวัติการต่อสู้ของตนเองและกลุ่มในการปกป้องทรัพยากรในชุมชน ปัญหาของการพัฒนาที่ไม่คำนึงถึงสิทธิชุมชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน รวมทั้งปัญหาของกระบวนการยุติธรรมที่ทั้งคนในกลุ่มและตนเองประสบจากการถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 4 เดือน ไม่รอลงอาญา เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ในข้อหาบุกรุก จากกรณีการต่อสู้คัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่บ้านกรูดบ่อนอก หลังจากที่ต่อสู้คดีมานานถึง 9 ปี

แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูดยังได้กล่าวถึงสถานการณ์ขณะที่ตนเองถูกคุมขังว่า หากไม่มี ส.ว. หรือองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) รวมทั้งพี่น้องประชาชนที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และทั่วประเทศให้ความสนใจกับกรณีที่ตนเองประสบ อาจไม่สามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัยในเรือนจำ โดยก่อนหน้าที่จะเข้าเรือนจำได้มีการเจรจากับเจ้าหน้าที่ว่าตนเองจะไม่เรียกใครว่า "นาย" ในนั้น ไม่ทำงานในเรือนจำ ไม่เอาเงินปันผล ตนเองเพียงมาอาศัยอยู่ 4 เดือน เพราะตนเองไม่ผิด

จินตนา ยังได้ตั้งข้อสังเกตอีกว่า คุกขังได้แต่คนจน คนไม่มีเงินประกันตัว ไม่มีทนาย เพราะจากที่ตนเองเข้าไป พบคนที่ไม่ได้กระทำผิดแต่ต้องมาติดคุกจำนวนมาก โดยยกตัวอย่างกรณีหญิงชราคนหนึ่งที่ป่วยสะโพกหลุด ถูกจับมาแทนลูก แต่เมื่อลูกรับผิดและติดคุกแล้ว แม่กลับไม่ได้รับการปล่อยตัว

แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด กล่าวอีกว่า "ขณะนี้ แพะ เราไม่รู้ว่ามีอีกกี่คน และแพะจะเข้มแข็งได้แค่ไหนในขณะที่เขาไม่ได้ทำผิด" สิ่งที่ประสบในกระบวนการยุติธรรมยังมีกระบวนการเกลี้ยกล่อม แม้ไม่ผิดก็ให้ยอมรับ จินตนา ยังมองว่าเจ้าหน้าที่รัฐในกระบวนการยุติธรรมไม่มีความเป็นกลาง ตั้งแต่กระบวนการในชั้นตำรวจเป็นต้นมา

จินตนา เสนอให้มีการแยกคดีชาวบ้านออกจากคดีอาญา ถ้าการกระทำของชาวบ้านเหล่านั้นเป็นการกระทำเพื่อสาธารณะที่ไม่ได้เอาไว้เพื่อตนเอง

แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด เสนอว่า สำหรับการพัฒนา รัฐต้องยอมรับการมีส่วนร่วมและสิทธิในการจัดการพื้นที่ของประชาชน แต่ในความเป็นจริงกลับไม่มีสิทธิชุมชน สิทธิในการเข้าไปมีส่วนร่วม แม้มีประชาธิปไตยตั้งแต่ 2475 ก็ไม่ได้ใช้ คนที่ใช้กลายเป็นนักการเมืองและนายทุน ในขณะที่การต่อสู้ของพี่น้องที่ประจวบฯ ยึดสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญ แต่กลับถูกรัฐมองว่าเป็นพวกหัวแข็งและพยายามใช้ทุกวิถีทางในการจัดการ

จินตนา สะท้อนมุมมองด้านการพัฒนาที่แตกต่างกันในพื้นที่จังหวัดประจวบฯ ว่าในขณะที่รัฐมองว่าพื้นที่ตรงนั้นควรเป็นพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม แต่ชาวบ้านต้องการเป็นพื้นที่เกษตร พื้นที่ท่องเที่ยว รัฐมองว่าจังหวัดประจวบฯ ยาว จึงควรมีโรงไฟฟ้า ในขณะที่ชาวบ้านมองว่าพื้นที่ยาวมีชายฝั่งยาวยิ่งควรเป็นแหล่งท่องเที่ยว

สุดท้ายจินตนา กล่าวโดยหวังว่าการต่อสู้ของพี่น้องกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูดจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับสังคมไทยได้บ้าง โดยย้ำด้วยว่าต้องใช้เวลานานในการต่อสู้เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจกับคนทั่งประเทศ เพื่อที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง รวมทั้งคาราวะการต่อสู้ของคนรุ่นเก่า คนรุ่น 14 ตุลา ที่ได้ปูแนวทางบางอย่างไว้ให้กับพวกตนได้เดินตาม

นฤมล ทับจุมพล

หลังจากนั้น ดร.นฤมล ทับจุมพล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวปัจฉิมกถาต่อว่า มี 3 ประเด็นที่ได้จากการเรียนรู้คุณจินตนา แก้วขาว

1. สังคมไทยยังมีความรุนแรงมาโดยตลอด ทั้งเหตุการณ์ 14 ตุลา, 6 ตุลา หรือเหตุการณ์เดือนตุลาที่เกิดขึ้นมาไม่นานนี้ เหตุการณ์เมษา-พ.ค. ที่ผ่านมา สังคมไทยที่มักพูดถึงความเมตตากรุณา ยิ้มสยาม แต่กลับไม่ได้สะสางสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นความรุนแรงโดยรัฐและโครงสร้างต้องได้รับการสะสาง

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมหรือแผนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมต่างๆแสดงแสดงให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างมาโดยตลอด ตัวเลขช่องว่างระหว่างรายได้ ระหว่างกลุ่มคนจนสุดกับกลุ่มคนรวยสุดสูงถึง 30 เท่า การถือครองที่ดินห่างกันถึง 2 แสนเท่า ในขณะที่การตั้งคำถามกับความรุนแรงของรัฐของโครงสร้างกลับถูกใช้ความรุนแรงกลับมา ดังนั้นปัญหาความรุนแรงเชิงโครงสร้างจึงเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่กับการจัดการของรัฐที่ใช้ความรุนแรงต่อคนที่ตั้งคำถามเหล่านั้นด้วย

2. การต่อสู้ของชุมชนเป็นปฏิบัติการสันติวิธีในการปกป้องทรัพยากรชุมชนเพื่อนำไปสู่การสื่อสารกับสังคม ที่ไม่ได้ทำเพื่อตนเองแต่ทำเพื่อสาธารณะ และผู้ปฏิบัติการพร้อมที่จะรับผลจากการปฏิบัติการนั้น ที่จินตนา แก้วขาวทำเป็นปฏิบัติการที่ต้องใช้ความกล้าและการเผชิญหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะในสังคมไทยสอนให้ยอมจำนน ยอมรับอำนาจ ดังนั้นสิ่งที่จินตนา แก้วขาวและกลุ่มทำคือการไม่ยอมจำนนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เชิงอำนาจ แสดงให้เห็นถึงการที่สามารถไม่ยอมจำนนและไม่ใช้ความรุนแรงได้ จึงต้องอาศัยความกล้าหาญ นวัตกรรมและความอดทน

นฤมล ทับจุมพล ยังกล่าวด้วยว่าการต่อสู้ของชาวบ้านไม่ใช่แค่หน้าข่าวเท่านั้น แต่เขาต้องสู้เป็น 10 ปี กับการต่อสู้คดี ดังนั้นคนในเมืองไม่ควรไปดูแคลนเขา ดังนั้นการต่อสู้ของพวกเขาทำให้พบความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งในเชิงกายภาพ เช่น การข่มขู่ การฆาตกรรม อย่างกรณี เจริญ วัดอักษร อดีตประธานกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก หรือกรณีจินตนาเองที่ถูกขัง ความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่จะเห็นเมือมีการต่อรอง ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม จากการที่สังคมโดยรวมไม่ยอมรับว่ารัฐกระทำผิดต่อพลเมือง เพราะเรามีวัฒนธรรมให้ยอมๆกันไป

ในประเด็นที่ 3 ปัญหากระบวนการยุติธรรม สังคมไทย สังคมไทยเราต้องตั้งคำถามกับกระบวนการยุติธรรมว่าได้สร้างหลักนิติธรรมหรือยัง สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อชุมนุมพูดถึงสิทธิชุมชนต่างๆ แต่ปรากฏว่าในกระบวนการยุติธรรมใช้เพียงกฎหมายอาญา  เฉพาะวันนี้กลุ่มองค์กรที่ต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชนและความเป็นธรรม มี 3,000 คนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งยังไม่รวมคดีทางการเมืองอีกจำนวนมาก หากบุคลากรในกรบวนการยุติธรรมไม่ใช้กฎหมายตามหลักความยุติธรรมจะเป็นการผลักให้ประชาชนเหล่านั้นใช้วิธีอื่นในการต่อสู้

นฤมล ทับจุมพล กล่าวสรุปในตอนท้ายของปัจฉิมกถาว่า สังคมไทยต้องแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้าง ลดช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างเมืองกับชนบท ระหว่างคนรวยกับคนจน และในระหว่างที่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ต้องสร้างกลไกเพื่อคลีคลายในการจัดการความขัดแย้ง สร้างเวทีต่อรอง รวมทั้งปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพราะความขัดแย้งไม่ใช่แค่เทศนาให้คนปรองดองสมานฉันท์ แต่เราต้องดูบทเรียนการต่อสู้ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ในช่วงบ่าย ที่บริเวณลานโพ หน้าตึกคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ได้มีพิธีประกาศรับรองวันที่ 14 ตุลาคมของทุกปีเป็นวันสำคัญของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเปิดตัว ปฏิมากรรม "หมุด 14 ตุลา" โดยมี นายนรนิติ เศรษฐบุตร อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  และ นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน์ ประธานมูลนิธิ 14 ตุลา เป็นประธานเปิด

 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ใบตองแห้ง' ออนไลน์: อุดมการณ์จากป่าเขา: สหายเรายังคนเดิม

Posted: 14 Oct 2012 10:12 AM PDT

<--break->และแล้ว 6 ตุลาก็เป็นของเสื้อแดงอีกปี แม้จะมีเหลืองๆ ไปแจมพิธีไว้อาลัยตอนเช้า

ผมไม่เข้าใจทำไมพวกเสื้อเหลืองต้องโวยวาย ในเมื่อพวกเขาก็จัดงาน 7 ตุลาอยู่แล้ว ทำไมไม่จัด 6-7 ตุลาควบกันไป ไม่เห็นมีใครห้าม ให้พวกพันธมิตรจูงลูกจูงหลานมาดูนิทรรศการเก้าอี้ฟาด ให้ความรู้พี่น้องเอ๊ยว่ากาลครั้งหนึ่งมีการแต่งภาพละครแขวนคอ อ้างข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ปลุกอุดมการณ์กษัตริย์นิยมล้นเกิน นำกระทิงแดง ลูกเสือชาวบ้าน เข้าไปเข่นฆ่านิสิตนักศึกษาประชาชนผู้บริสุทธิ์

บุคลากรพันธมิตรก็มีครบ พร้อมเล่าบรรยากาศยุคนั้น ตั้งแต่สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ปลอมตัวเป็นนักข่าวดาวสยามเข้าไปถ่ายภาพไว้ ชัชวาลย์ ประทุมวิทย์ (ชาติสุทธิชัย) ก็ผู้ประสานงานแนวร่วมศิลปิน ที่มีเพื่อนหลายคนพลีชีพอย่างกล้าหาญหน้าหอใหญ่เพื่อปกป้องพวกเรา ประยูร อัครบวร ก็เป็น 1 ใน 18 ผู้นำนักศึกษาที่ถูกจับกุมคุมขังอยู่ถึง 2 ปี ประพันธ์ คูณมี อาจข้ามไปเล่าเรื่องในป่า พี่เปี๊ยก พิภพ ธงไชย ก็อาจเล่าเรื่องสมัยจัดตั้งส่งไปพบ อ.ป๋วยที่อังกฤษ พร้อมนิวัติ กองเพียร

ส่วนมหาจำลองก็อาจมาเปิดใจว่าทำไมจึงไป "สังเกตการณ์" ที่ลานพระรูป คริคริ

แล้วทำไมไม่จัด พวกซ้าย (เก่า) เสื้อเหลืองก็รู้ตัวดี ขนาดเขียนถึงยังไม่ค่อยเขียน กลับมาโวยวายที่ 6 ตุลากลายเป็นของเสื้อแดง

ทำไมไม่แข่งกันทำให้มวลชน "ก้าวหน้า" หรืออุดมการณ์ 7 ตุลามันตรงข้ามกับ 6 ตุลา จนต้องละทิ้งอุดมการณ์ที่เคยมี (แล้วจะมาทวงสีแดงคืนทำไม)

แต่เอาละ วันนี้ขอคุยเรื่องที่คุยได้ทั้งสองขั้วดีกว่า

ตอนที่พี่เนาว์ พี่หงา ออกมาทวงสีแดง ด่าเจ็ดซ้าย แล้วเกิดวิวาทะ มีการเปรียบเทียบเปรียบเปรยตัวละคร 2 สีทำนองว่าซ้ายเก่าที่มาอยู่สีแดงเป็นพวกที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เห็นแก่เงิน เข้าข้างทุน ขณะที่พวกแดงก็ด่าพวกเหลืองเห็นแก่ลาภยศสรรเสริญเหมือนกัน

ผมก็แย้งอยู่ว่าทำไมไม่เอาวัฒน์ วรรลยางกูร ไปเปรียบกับพี่หงาเล่า เปรียบผิดคู่นี่หว่า เพราะวัฒน์กับพี่หงาก็ยังเหมือนเดิม วัฒน์เป็นคนจริงใจ ใช้ชีวิตกับชาวบ้านมาตลอด เขียนเรื่องชีวิตคนธรรมดาสามัญผู้ถูกกระทำ เย็นย่ำก็หน้าแดงกรึ่ม พี่หงาแกก็เป็นศิลปินคนเดิม ใจถึงใจ ไม่เคยสนใจทรัพย์สินเงินทอง พรรคพวก สหาย เชิญไปแสดงที่ไหนก็ไป ขอแค่ออกค่ารถค่าเหล้าให้ เรื่องชีวทัศน์ส่วนตัวแกก็เป็นอย่างนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแม้แต่สมัยอยู่ป่า คริคริ

เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้คุยกับพี่คนหนึ่ง (แดง) ถึงเพื่อนอดีตนักกิจกรรมคนหนึ่ง (เหลือง) หลังจากทั้งคู่เกิดวิวาทะกัน คุยแบบ off record เขาก็เล่าพฤติกรรมตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน ว่าไอ้นี่มันชอบทำงานเอาหน้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ไม่เคยเอาจริง ถึงเวลาคับขันหายเฉย

เอ้า กลับมาอีกข้างมั่ง รุ่นพี่อีกราย (ไม่เหลืองไม่แดง) เล่าไปด่าไปเรื่องซ้ายเสื้อแดง จัดแต่งงานลูกเมียเก่าแล้วเอาเมียใหม่ไปนั่งรับซอง ถามว่าเขาเป็นคนแบบนี้มานานแล้วหรือ คำตอบคือนานแล้ว ไม่เกี่ยวกับเป็นเหลืองเป็นแดงหรอก

ผมมาคิดทบทวนดู ถึงอดีตสหายที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกัน ว่าความเป็นเหลืองเป็นแดงทำให้เขาเปลี่ยนไปไหม คำตอบคือไม่เปลี่ยน หรือถ้าเปลี่ยนก็ไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจ แม้เป็นอุปนิสัยที่ไม่แสดงออกเมื่อ 30 ปีก่อน แต่ย้อนคิดไปก็พอมองเห็น

สหายสนิทรายหนึ่งเป็นเหลือง ตอนอยู่ป่า ช่วงขัดแย้งกับจัดตั้ง เขา "เสียคิด" โดนสหายหญิงคนหนึ่งวิพากษ์ซึ่งหน้า จนสูญเสียความทรนงในตัวเอง นอนคุยกัน 2 คนเขาบอกว่าได้ยินเสียงหยดน้ำบิดตัวอย่างปวดร้าวอยู่ในซอกหิน ออกจากป่ามาก็ทำงานกับ NGO ทำเรื่องสิทธิมนุษยชน มาย้อนคิดดูผมก็ไม่ค่อยแปลกใจที่คนได้ยินเสียงหยดน้ำบิดตัวอย่างปวดร้าวอยู่ในซอกหินจะกลายเป็นเหลืองอย่างบริสุทธิ์ใจ (ฮา หยอกกันเล่นน่า)

สหายเก่าอีกราย สังสรรค์อยู่กับแกนนำเหลือง แต่ก้าวข้ามความเป็นเหลือง แม้จะไม่เห็นด้วยกับแดง และยังเห็นด้วยกับเหลืองบางเรื่อง เช่นเรื่องภาคประชาชน แต่ก็มีความคิดดีๆ เยอะ ผมได้ไอเดียดีๆ จากการคุยกันหลายครั้ง รายนี้สมัยอยู่ป่าเป็นนักรบแกล้วกล้า มือหยอดปืน ค. เคยไปรบด้วยกัน ศัตรูยิงปืนกลมา ยอดหญ้าตีนเนินด้านหน้ากระจุยเห็นๆ คาตา ผมขาสั่น พวกยังเฉย ออกจากป่ามาก็ประสบความสำเร็จทางธุรกิจพอตัว

เอ้า อีกรายเป็นสหายนักศึกษาระดับนำหน่อย เป็นเจ๊ใหญ่ที่นับถือผูกพัน ออกจากป่ามาไม่มีตังค์ยังเคยไปหยิบยืม เพื่อนฝูงขอความช่วยเหลืออะไรมีแต่ให้ ทำไมแกเป็นเหลือง ก็ไม่ค่อยได้คุยกันนัก แต่ถ้าถามว่าความเป็นเหลืองเป็นแดงจะทำให้ความนับถือผูกพันนี้เปลี่ยนไปไหม ก็ไม่ เจ๊ก็ยังเป็นเจ๊ที่ผมรักนับถือเหมือนเดิม

ต่างกับสหายอีกราย นี่ห่างหน่อย เมื่อก่อนก็ดูดี แต่หลังๆ เพิ่งรู้ว่าเขาใช้ความมีชื่อเสียงในขบวนการต่อต้านทักษิณสร้างสถานะให้ตัวเอง ไปอยู่ที่ไหนก็สร้างอาณาจักร มาย้อนคิดดู แปลกใจไหม ก็ไม่ค่อยแปลกใจ เขาเป็นคนที่ดูนิ่ม เนียน แต่มีอะไรแฝงลึก ไม่ใช่คนเปิดตัวคบหาเฮฮากันอยู่แล้ว

ผมว่าทุกคนไปคิดทบทวนดูก็จะรู้สึก สหายเราไม่ได้เปลี่ยน ไม่ว่าวันนี้เขาอยู่สีไหน คนที่เคยร่วมเป็นร่วมตาย เคยทุกข์ยากมาด้วยกัน ฝ่าห่ากระสุนมาด้วยกัน กินข้าวปนข้าวโพดมาด้วยกัน ใครที่จริงใจก็ยังเป็นคนจริงใจ ใครคบได้ก็ยังคบได้ คนที่กล้าออกหน้าในสนามรบ คนที่ยินดีเหนื่อยยากกว่าคนอื่น ก็ยังเป็นคนเดิม ส่วนพวกที่พยายามทำตัวเป็น "ลูกที่ดีของพรรค ลูกที่รักของประชาชน" ซึ่งออกจากป่าแล้วมักประสบความสำเร็จในการทำให้ตัวเองดูดี แม่-ก็ยังเหมือนเดิม

อาจมีบางคนที่คุณอยู่ห่างเขาหน่อย ไม่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน แล้วเคยมองเขาในแง่ดี ตอนนี้ก็คิดว่าเขาเปลี่ยนไป อันที่จริงไม่ใช่ ลองสอบประวัติดู ปัญหาคือชีวิตในขบวนการนักศึกษา ชีวิตในป่า เป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ เราคือเด็กหนุ่มสาวที่เฝ้าใฝ่ฝัน มองโลกใสสะอาดไปหมด ไม่เคยมองสหายในแง่ลบ ถ้าจำได้สมัยออกจากป่าใหม่ๆ เคยมีคำเตือนว่า ห้ามให้สหายยืมเงินหรือแลกเช็ค ใครฝ่าฝืนจะพบสัจธรรมว่า เสียเงินไม่พอ ยังเสียมิตรร่วมรบอีกต่างหาก (ฮาไม่ออก)

อันที่จริง สหายส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ถ้าเป็นคนที่ออกรบด้วยกัน ทุกข์ยากด้วยกัน คุณก็รู้ว่าใครที่มันจ้องควานชิ้นหมูในแกงหน่อไม้เป็นคนที่ให้ยืมตังค์ไม่ได้ ปัญหาคือคนที่เราอยู่ห่าง หรือพวกแกนนำต่างหาก ที่เรามองเขาแง่ดีด้านเดียว แล้ว 30 ปีก็ไม่เคยข้องแวะกันเลย จนมาเห็นพฤติกรรมในยุคแบ่งสีเลือกข้าง

ฉะนั้นคำเตือนวันนี้จึงเปลี่ยนไป ใครที่คุณมั่นใจว่าให้ยืมตังค์ได้ เขาก็ยังเป็นคนเดิมไม่ว่าจะเหลืองหรือแดง ซึ่งอันที่จริงผมก็ยังมั่นใจว่าสหายเก่าเกือบทั้งหมดคบได้ มีบางคนเท่านั้นที่เป็นนักฉวยโอกาส

ส่วนคุณสมบัติอื่นๆ เช่นจู้จี้จุกจิก ครอบงำความคิด ฯลฯ ผมว่าส่วนใหญ่ก็ยังเหมือนเดิมอีกแหละ หมอเหวงกับ อ.ธิดาแกก็ไม่น่าเปลี่ยนจากสมัยเป็น ส.เข้ม ส.ปูน เท่าไหร่หรอก (ฮา)

ทัศนะเป็นเรื่องที่แตกต่างกันได้ สำคัญว่าแต่ละคนเลือกข้างด้วยความจริงใจหรือฉวยโอกาส พวกที่เป็นเหลืองบางราย ที่มีชื่อเสียงก็ฉวยโอกาส เช่น พรรคพวกรายหนึ่งไม่เคยรับผิดชอบชีวิตตัวเองหรือลูกเมีย ไปอยู่กับไทยรักไทยกับอดีตสหายรุ่นพี่ต่อหน้าทำดี ลับหลังไปเลื่อยขาเก้าอี้ในวงเพื่อน หารู้ไม่ว่าสหายเก่าแอบเปิดมือถือใต้โต๊ะ ถ่ายทอดสดให้พี่เขาฟังหมด

แต่หลายรายก็จริงใจแบบของจริง เช่น อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ใครที่รู้จักมา 20-30 ปีต้องรู้ว่าแกไม่เคยเปลี่ยน แกไม่เคยสนใจลาภยศสรรเสริญทรัพย์สินส่วนตัว แต่มีแนวโน้มอนาธิปไตยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว (ฮา) ล่าสุดก็เพิ่งเรียกหาปฏิวัติประชาชน

เลิกเป็นชนชั้นกรรมาชีพเถอะ
อย่างที่เล่าว่าชีวิตในป่าเป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ มีแต่ความใฝ่ฝัน มองโลกใสสะอาด ทุกคนเข้มงวดตัวเอง วิจารณ์คนอื่น (ฮา)  ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เคร่งในศีลในธรรมน้องๆ พระ (เปรียบได้กับพวกเสื้อเหลือง)

ผมเคยเข้าประชุมหน่วย ย. เจอสหายวิจารณ์ตัวเอง ตำหนิตัวเองว่าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ต้องทำมาสเตอร์เบท เซ่อไปเลย ผิดด้วยหรือวะ จะหัวเราะก็ไม่กล้า

หลังออกจากป่า กลับสู่โลกทุนนิยม สู่ชีวิตมนุษย์ธรรมดาที่เวียนว่ายในกิเลสตัณหา คนส่วนหนึ่งก็ยังไม่ยอมรับความจริง ยังเอาหนังสือชีวทัศน์เยาวชนขว้างหัวคนอื่น ทั้งที่แก่จะเข้าโลงอยู่แล้ว

ยกตัวอย่างง่ายๆ ผัวเมียเลิกกัน ผัวมีเด็กใหม่เป็นเลขา เฮ้ยมันก็เรื่องของเขา ต่อให้เขาไม่เลิกกันแล้วมีกิ๊ก ก็เรื่องของเขา ไม่ต้องปากหอยปากปู ไม่ต้องเอามาตรฐานศีลธรรมที่ไหนไปจับ เว้นแต่ปล้ำเด็ก หรือไข่ไปเรื่อยไม่รับผิดชอบ

นี่พูดในมาตรฐานคนอ่านหนังสือโป๊ ชอบดูหนังโป๊ และเป็นสมาชิกเว็บโป๊ (ฮา) แต่ไม่เคยทำตัวหัวงู ไม่เคยนอกใจเมีย กระนั้นผมก็ถือว่าชีวิตทางศีลธรรมของแต่ละคนมีขอบเขตต่างกันได้ อยู่ที่หาความสมดุลระหว่างด้านสว่างกับด้านมืดของชีวิตได้อย่างไร ที่ไม่ไปทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน

เรื่องทำมาหากินก็เหมือนกัน ลึกๆ แล้วอดีตสหายจะรู้สึกว่าอาชีพที่น่ายกย่องสำหรับผู้เคยดัดแปลงตนเองเป็น "ชนชั้นกรรมาชีพ" ต้องเป็น NGO แบบ มด วนิดา (หรือรสนา โตสิตระกูล) หรือเป็นนักวิชาการแบบเสกสรรค์ ธีรยุทธ รองลงมาก็เป็นสื่อ ทั้งที่ความจริงไม่มีใครเลือกได้ แล้วแต่จังหวะ โอกาสของชีวิต บางคนก็ต้องไปขายประกัน บางคนก็ต้องทำธุรกิจ เป็น "นายทุน" เจ้าของกิจการ เล็กบ้างใหญ่บ้าง บางคนก็เป็นลูกจ้างเขาตลอดกาล บางคนประกอบอาชีพอิสระ บางคนก็ล้มเหลวตลอดชีวิต

ทัศนะแต่ละคนอาจเปลี่ยนไปตามวัยและประสบการณ์ แต่ถามว่าส่วนใหญ่ยังมี "อุดมการณ์" อยู่ไหม ผมเชื่อว่ามี ในแง่ของความคิดความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม สร้างสรรค์สิ่งดีงาม โห เจ้าของร้านเหล้าเพื่อชีวิตยังร่วมขบวนกู้ชาติ (ฮา) เพียงแต่บางคนมันต้องขายประกันเลี้ยงครอบครัว ขับรถส่งลูกไปโรงเรียน แม้อยากสะพายย่ามขึ้นล่องกับม็อบปากมูลแบบไอ้มด แต่ความเป็นจริงของชีวิตมันทำไม่ได้ คนที่จะเป็น Idol แบบนั้นได้มีน้อยกว่าน้อย

หลายปีก่อนอดีตสหายรุ่นพี่ที่ผู้คนรักนับถืออย่างกว้างขวางเสียชีวิต อย่างน่าเศร้าเพราะแกเพิ่งประสบความสำเร็จ เพิ่งสร้างบ้านราคาหลายสิบล้าน วันแรกที่ตั้งศพ สหายเก่าตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยด้วยกันมาพร้อมเพรียง ร้องเพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา" ดังก้องคฤหาสน์ที่วังเวง ผมน้ำตาซึมด้วยความตื้นตัน แม้แวบหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาด ว่าบรรยากาศมันไม่ให้เลย มันน่าจะอยู่ในป่าหรือในกระท่อม ไม่ใช่คฤหาสน์หลังงาม มีสระน้ำมีสนาม เนื้อที่เป็นไร่

แต่ถามว่าพี่ที่ผมรักยังมีอุดมการณ์อยู่ไหม ผมเชื่อว่ามีจนลมหายใจสุดท้าย ถึงแม้ในวิถีชีวิต จะต้องต่อสู้ดิ้นรน วิ่งเต้นทำธุรกิจ คบคนมากมาย คบพวกเขี้ยวลาก นักการเมืองเจ้าเล่ห์ แต่กับเพื่อน กับน้อง กับอดีตสหาย ไม่ว่าตอนรวยหรือจน แกให้ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยหัวใจดวงเดิม

ผมเชื่อว่าสหายส่วนใหญ่มีอุดมการณ์ เพียงแต่ไม่มีโอกาสแสดงออก นอกจากทำสิ่งที่ดีๆ ในชีวิตปกติ จนกระทั่งเกิดความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้ แทบทุกคนจึงกระโจนเข้ามา ไม่ว่าเลือกข้างไหน ก็ไม่มีใครมีสิทธิผูกขาดอุดมการณ์ โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในแวดวง NGO นักเคลื่อนไหว นักสิทธิมนุษยชน ก็ต้องยอมรับว่าสหายที่ขายประกันมันโดดเข้ามาเลือกข้าง "แดง" ด้วยอุดมการณ์ ไม่ใช่ด่ากราดกันว่าเข้าข้างทุน

แต่แน่นอน ผมต้องสงวนสิทธิที่จะทวงถามอุดมการณ์ 6 ตุลา จะต่อต้านทักษิณผมไม่ว่า แต่คุณยอมรับการปลุกกระแส "คลั่งเจ้า" มากำจัดศัตรูทางการเมือง กระทั่งเข่นฆ่าปราบปรามกันได้อย่างไร

ที่น่ารำคาญมากคือพวกซ้ายเสื้อเหลืองมักกล่าวหาคนตุลาที่ไปเป็นนักการเมือง ที่อยู่กับพรรคไทยรักไทย จนพรรคเพื่อไทย ว่ารับใช้ทุน กอบโกยหาผลประโยชน์ใส่ตัว ผมอยากถามว่าแล้วคนที่อยู่พรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคอื่นล่ะ (น่าจะเหมือนกัน) คนพวกนี้ขีดเส้นระหว่างอุดมการณ์กับ "การเมืองสกปรก" แบบว่าเกี่ยวข้องไม่ได้เลย เท่ากับละทิ้งอุดมการณ์ สมัคร ส.ส. สจ. นายกเทศมนตรี ฯลฯ เอาแล้ว สกปรกแล้ว

ถามว่าถ้าเขาจะเข้าสู่การเมืองเพื่อหวังเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นบ้าง ไม่ได้หรือครับ นักการเมืองคนตุลาในไทยรักไทยก็รับเอานโยบาย 30 บาทจากพวกคนตุลาในแพทย์ชนบท ไปช่วยเหลือประชาชนทั้งประเทศ ประชาธิปัตย์ก็ไม่ต่างกัน ชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ ก็เคยเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องกระจายอำนาจ

แต่ถามว่าถ้าเขาจะเข้าสู่ "การเมืองสกปรก" แล้วทำตัวอย่าง NGO มันเป็นไปได้หรือครับ ไอ้การเป็นนักการเมืองในอุดมคติ ใสซื่อ มือสะอาด มันเป็นจริงหรือในระบบการเมืองไทย เพื่อนเราถ้าเขาเลือกเดินเส้นทางนั้น เขาก็จำเป็นต้องยอมเปื้อนอะไรหลายอย่าง ฉะนั้นการวิจารณ์คนที่เป็นนักการเมือง ก็ต้องใช้อีกมาตรฐานหนึ่ง ดูว่าเขารักษาจุดยืนไว้ได้มากน้อยเพียงใด

ผมก็ไม่เคยใช้มาตรฐานเดียวกันที่วิจารณ์ซ้ายเสื้อเหลืองไปวิจารณ์ชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ , วิทยา แก้วภราดัย เพราะเขาเป็นนักการเมือง เขามีพันธะต่อพรรค ต่อประชาชนในเขตเลือกตั้ง บางครั้งก็ต้องแถเพื่อพรรคบ้าง เราก็เหน็บนิดแซวหน่อย เออ ถ้าวิทยาซึ่งเคยบาดเจ็บ 6 ตุลาออกมาเป็นตัวปลุก "ผังล้มเจ้า" ฆ่ามันๆ แบบนั้นต้องด่า แต่การปกป้องพรรคว่าไม่ผิด ก็ต้องเข้าใจว่าเขาเป็นนักการเมือง

อันที่จริงเรามักสับสนระหว่างนักการเมืองกับนักฉวยโอกาส ซึ่งบ่อยครั้งเป็นคนเดียวกัน แต่นักฉวยโอกาสที่ไม่ใช่นักการเมือง ก็มีเยอะไป พวกที่ทำมาหากินกับนักการเมืองแล้วไปยกก้นตัวเองว่ามีศีลธรรมจรรยา นำขบวนกู้ชาติ ก็เห็นอยู่ อย่าให้ชี้ตัว

ที่ต้องพูดอีกเพราะรำคาญกับการใช้คำพูดตื้นๆ ของคนที่เคยเป็น ส.อย่างพี่สมชาย หอมลออ ที่ว่า

"ผมกับเหวง ก็เคยอยู่พรรคคอมมิวนิสต์มาด้วยกัน แต่ผมไม่เคยเปลี่ยนไปอยู่พรรคนายทุน  ผมไม่เคยเป็นเครื่องมือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง" (ศูนย์ข่าวอิศรา)

คนอยู่พรรคคอมมิวนิสต์แล้วไปอยู่พรรคนายทุนผิด เพราะพี่สมชายใช้มายาคติของคนออกจากป่ามาตีว่ามันผิด  ทั้งที่การเล่นการเมืองในระบบนี้ พรรคการเมืองทุกพรรคก็เป็น "พรรคนายทุน" ตามความหมายลัทธิมาร์กซ์ทั้งสิ้น หมอเหวง ชำนิ วิทยา ก็อยู่ "พรรคนายทุน" กันทั้งสิ้นไม่ใช่หรือครับ

ประการต่อมาที่ตื้นมากสำหรับคนเคยเป็น ส.คือ "ผมไม่เคยเป็นเครื่องมือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง" (แน่ใจนะ) ทุกคนก็รู้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ขั้วอำนาจ ทุนใหม่ ทุนเก่า แน่ใจนะว่าคุณไม่เคยเป็นเครื่องมือกลุ่มทุนใดกลุ่มทุนหนึ่ง

ถ้าพี่สมชายจะโต้หมอเหวงที่ "แถ" ว่าไม่มีชายชุดดำ ก็โต้ไปสิครับ แต่อย่าบลั๊ฟกันด้วยคำว่า "พรรคนายทุน" แต่ละคนจำเป็นต้องเลือกในวิถีการต่อสู้ หมอเหวงแกก็ต่อต้านทักษิณมาก่อน จนพันธมิตรไปขอ ม.7 แกถึงพลิกข้าง แกอาจถลำเข้าไปผูกตัวเองกับ นปช.มากไป จนสุดท้ายก็ต้องเป็น ส.ส.เพื่อเอาเอกสิทธิคุ้มครอง ถูกผิดวิจารณ์กันได้ แต่อย่ามายกตนว่าคนออกจากป่ามาเป็นนักสิทธิมนุษยชนนี่แม่-ยอดเยี่ยมเลย แต่ถ้าเป็นนักการเมือง อยู่พรรคนายทุน เลวชัวร์

ถ้าจะวิจารณ์ว่าหมอเหวงเป็นนักฉวยโอกาส ไต่เต้าทางการเมือง ก็ว่ากันตรงๆ แต่ในทัศนะผม นักฉวยโอกาสไม่ได้มีเฉพาะนักการเมือง แวดวงนักวิชาการ หรือ NGO ระดับท็อป ก็ "เล่นการเมือง" กันเยอะไป นักวิชาการฉวยโอกาสสร้างชื่อจากการเคลื่อนไหวการเมือง เป็นคณบดี เป็นอธิการบดี หรือไปรับงานวิจัยตัวเลข 8 หลัก ก็เยอะไป NGO บางคนก็ต้อง "เล่นการเมือง" สร้างภาพตัวเองให้ดูดีในสายตาองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้รับทุน เพื่อให้ได้เป็นตัวแทน

เลิกใช้วาทกรรมอย่างนี้แล้วมาโต้กันแฟร์ๆ ดีกว่าครับ ผมก็ไม่เคยแถว่าไม่มีชายชุดดำ แค่ใช้จุดยืน 6 ตุลามองว่ามีหรือไม่มีมันก็ไม่ควรใช้กองทัพ อาวุธกระสุนจริง เข้าล้อมปราบอยู่ดี (มิพักต้องพูดถึง "ผังล้มเจ้า")

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สตรีไทใหญ่-คะฉิ่นในรัฐฉานตั้งกลุ่มปราบยาเสพติดกลางแหล่งระบาด

Posted: 14 Oct 2012 07:38 AM PDT

หญิงชาวไทใหญ่และคะฉิ่นที่เมืองป้อ ใกล้กับเมืองหมู่แจ้ รัฐฉาน ตั้งกลุ่มปราบยาเสพติด หลังพื้นที่เป็นเขตอิทธิพลพ่อค้ายา-จนท.เมินปราบปราม หากทางกลุ่มสตรีทราบว่าใครค้ายา จะนัดรวมตัวกันจู่โจมเข้าตรวจค้นทันที เมื่อพบยาเสพติดจะยึดมาเผาประจาน โดยในอนาคตทางกลุ่มวางแผนตั้งศูนย์บำบัดด้วย

สำนักข่าวฉาน รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวในพื้นที่รัฐฉาน ซึ่งเปิดเผยว่า กลุ่มผู้หญิงไทใหญ่และคะฉิ่นที่เมืองป้อ อ.เมืองหมู่แจ้ รัฐฉานตอนเหนือ รวมตัวกันก่อตั้งเป็นกลุ่มปราบปรามยาเสพติดนี้ มีนางส้อย, นางร่อยจ่า, นางแอสะเตอ, นางอ่อน เป็นแกนนำ ก่อตั้งเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันกลุ่มมีสมาชิกมากกว่า 200 คน งานหลักของกลุ่มคือหากทราบว่าใครที่อยู่ในพื้นที่ทำการค้าขายยาเสพติด ก็จะนัดรวมตัวกันทำการจู่โจมเข้าตรวจค้นที่พักทันที ซึ่งหากพบยาเสพติดก็จะยึดนำมาเผาประจานกลางหมู่บ้านหรือชุมชน พร้อมกับประกาศให้คนในชุมชนรู้ถึงพิษภัยยาเสพติด

ส่วนสาเหตุที่กลุ่มผู้หญิงได้รวมตัวกันก่อตั้งเป็นกลุ่มปราบปรามยาเสพติด ซึ่งท้าทายอำนาจกลุ่มผู้มีอิทธิพลอย่างไม่เกรงกลัวนี้ เนื่องจากว่าในพื้นที่ชุมชนของพวกเขามีการแพร่ระบาดของยาเสพติดอย่างแพร่หลาย และมีคนติดยาเป็นจำนวนมาก แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐกลับไม่ได้ใส่ใจปราบปราม ซึ่งนอกเหนือจากการตรวจยึดทำลายแล้วทางกลุ่มมีแผนตั้งศูนย์บำบัดให้แก่ผู้ติดยาเสพติดด้วย

ทั้งนี้ แหล่งข่าวเผยว่า ในพื้นที่เมืองป้อ เป็นเขตพื้นที่ครอบครองของกองกำลังอาสาสมัครภายใต้การนำของนายเก่งไหม ส.ส.ในพรรครัฐบาลพม่า ปัจจุบันเป็นสมาชิกสภารัฐฉาน ซึ่งนายเก่งไหม ชาวคะฉิ่น เป็นที่รู้กันของคนในพื้นที่ว่าเป็นเจ้าพ่อยาเสพติดรายใหญ่คนหนึ่งในรัฐฉานภาคเหนือ

 

 

ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/


"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) สำนักข่าวอิสระของไทยใหญ่ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า และตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 7-13 ต.ค. 2555

Posted: 14 Oct 2012 02:12 AM PDT

ทุ่ม 5 พันล้าน ปล่อยกู้ "ผู้ประกันตน" ไปทำงานตปท. เผยให้สิทธิรายละไม่เกิน 1 แสนบาท

นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) เปิดเผยความคืบหน้าการจัดทำโครงการสินเชื่อเพื่อไปทำงานต่างประเทศของ สปส.ว่า บอร์ด สปส.ได้หารือกันถึงการดำเนินโครงการดังกล่าวโดยเห็นว่า เบื้องต้นแรงงานที่จะเข้าร่วมโครงการควรเป็นแรงงานที่เป็นผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 และมาตรา 39 ซึ่งแรงงานที่เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 เมื่อออกจากงานแล้วไปทำงานต่างประเทศจะต้องเปลี่ยนไปเป็นผู้ประกันตนตาม มาตรา 39 ส่วนแรงงานที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 จะต้องเป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคมระยะหนึ่ง จึงจะเข้าร่วมโครงการได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องระยะเวลาการเป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคม บอร์ด สปส.จึงได้มอบให้หน่วยงานที่รับผิดชอบศึกษาถึงความเหมาะสมของการกำหนดระยะ เวลาการเป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคม

นพ.สมเกียรติกล่าวอีกว่า ส่วนเงินกองทุนประกันสังคมที่จะใช้ในโครงการนำมาจากเงินลงทุนด้านสังคม ซึ่ง สปส.จัดสรรวงเงินไว้ทั้งสิ้น 40,000 ล้านบาท และที่ผ่านมา ได้ใช้ดำเนินโครงการต่างๆ ทำให้ขณะนี้มีเงินเหลืออยู่ประมาณ 5,000 ล้านบาท ที่จะนำมาใช้ดำเนินโครงการ คาดว่าจะปล่อยกู้ให้แก่แรงงานที่จะไปทำงานต่างประเทศได้รายละไม่เกิน 100,000 บาท เนื่องจากปัจจุบันการทำงานไปต่างประเทศไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายสูงเหมือนในอดีต แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องอัตราดอกเบี้ยว่าควรเป็นร้อยละเท่าใด ส่วนข้อกังวลเมื่อโครงการปล่อยเงินกู้ไปแล้วจะเกิดปัญหาหนี้เสียตามมานั้น ได้วางระบบป้องกันปัญหานี้โดยใช้วิธีการหักเงินเดือนจากบัญชีเงินเดือนของ แรงงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศ เพื่อผ่อนชำระหนี้กับธนาคารที่ไปยื่นกู้ไว้

"ผมมองว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการควรสูงกว่าการปล่อยสินเชื่อภาย ในประเทศ แต่อัตราดอกเบี้ยไม่ควรเกินร้อยละ 10 ต่อปี เพราะธนาคารต้องวางระบบต่างๆ ในต่างประเทศเพื่อรองรับโครงการ เช่น การหักเงินเดือนจากบัญชีเงินเดือนเพื่อผ่อนชำระหนี้เงินกู้ การโอนเงินส่งกลับมาเมืองไทยของแรงงาน โดยธนาคารจะได้รับประโยชน์ในส่วนของเงินค่าธรรมเนียมการโอนเงิน" นพ.สมเกียรติกล่าว และว่า จากการที่คณะทำงานโครงการได้หารือกับตัวแทนธนาคารต่างๆ เบื้องต้นมีหลายธนาคารที่เสนออัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7-8 เช่น ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (...) ซึ่งอยู่ในอัตราที่ไม่สูงเกินไป จึงได้ขอให้ธนาคารต่างๆ เร่งส่งข้อมูลอัตราดอกเบี้ยให้คณะทำงานพิจารณาในเดือนตุลาคม และนำเสนอบอร์ด สปส.ต่อไป

(มติชน, 8-10-2555)

 

เตือนแรงงานไทย เปิดเน็ต-ไปนอก

มหาสารคาม - นางสาวทัศนีย์ จิตต์ทองกุล จัดหางานจังหวัดมหาสารคาม เปิดเผยว่าปัจจุบันขบวนการฉ้อโกงทางอินเตอร์เน็ตมีรูปแบบลักษณะหลอกลวงที่ หลากหลายและพัฒนาเทคนิคการหลอกให้แนบเนียนมากยิ่งขึ้น โดยเสนองานทางอินเตอร์เน็ตไปต่างประเทศก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้มีคนไทยตก เป็นเหยื่อ ล่าสุดหลอกไปประเทศมาเลเซีย ด้วยอัตราค่าจ้างที่สูงและสวัสดิการเพื่อจูงใจให้หลงเชื่อ โดยคนงานจะต้องบันทึกคำให้การอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรและรับรองเอกสารกับศาล ยุติธรรมมาเลเซีย ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่าย โดยการให้โอนเงินให้และหลังจากนั้นจะแจ้งให้โอนเงินให้อีก โดยอ้างว่าเป็นค่ารับรองเอกสารกับหน่วยงานทางราชการ

ขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการเสนองานทางอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะการเสนอ ตำแหน่งงานในต่างประเทศ ควรตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซต์ของบริษัทนายจ้างก่อนตัดสินใจ หรือติดต่อสถานทูตไทย หรือสำนักงานแรงงานไทยให้ช่วยตรวจสอบก่อนทุกครั้งและไม่ควรจ่ายเงินล่วงหน้า ใดๆ

(ข่าวสด, 9-10-2555)

 

ผู้ประกันตน"เอดส์-ไต"เซ็ง ย้ายสิทธิติดกม.ความลับฯ

หลังจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ประกาศเดินหน้าลดความเหลื่อมล้ำด้านบริการสาธารณสุขใน 3 กองทุนสุขภาพของรัฐ โดยขยายการรักษาที่เท่าเทียมไปยังกลุ่มผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายและ กลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) มีการประชุมชี้แจงการสร้างความเป็นเอกภาพ และบูรณาการสิทธิประโยชน์ให้แก่สถานพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ทั้งนี้ นพ.พีรพล สุทธิวิเศษศักดิ์ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ผู้ป่วยทั้ง 2 กลุ่มที่ต้องเปลี่ยนสิทธิการรักษาต้องดำเนินการแบ่งเป็น 6 กรณี คือ 1.จากสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตรทอง เป็นประกันสังคม ผู้ประกันตนจะได้สิทธิหลังจ่ายเงินสมทบครบ 90 วัน ผู้ป่วยเลือกโรงพยาบาลคู่สัญญา และโรงพยาบาลที่จะรักษาอาจเป็นคนละโรงพยาบาลก็ได้ 2.จากสิทธิประกันสังคมเป็นสิทธิบัตรทอง ผู้ประกันตนยังคงสิทธิหลังออกจากงาน 180 วัน ผู้ป่วยเลือกลงทะเบียนหน่วยบริการประจำ และเลือกโรงพยาบาลที่จะรักษาอาจเป็นคนละโรงพยาบาลก็ได้ 3.จากสิทธิบัตรทองเป็นสิทธิข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ ได้รับสิทธินับจากวันบรรจุ โดยจะไม่มีระบบลงทะเบียน ผู้ป่วยต้องติดต่อโรงพยาบาลของรัฐที่สะดวกเข้ารับการรักษา 4.จากสิทธิข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ เป็นสิทธิบัตรทอง ได้รับสิทธิบัตรทองทันทีหลังจากสิ้นสุดสิทธิข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ ผู้ป่วยเลือกลงทะเบียนหน่วยบริการประจำและเลือกโรงพยาบาลที่จะรักษาอาจเป็น คนละโรงพยาบาล 5.จากสิทธิข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจเป็นสิทธิประกันสังคม ผู้ประกันตนได้สิทธิหลังจ่ายเงินสมทบครบ 90 วัน และเลือกโรงพยาบาลคู่สัญญาและโรงพยาบาลรักษาที่อาจจะเป็นคนละแห่งก็ได้ และ 6.จากสิทธิประกันสังคมเป็นสิทธิข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ ผู้ประกันตนยังคงสิทธิหลังออกจากงาน 180 วัน ไม่มีระบบลงทะเบียนให้ผู้ป่วยติดต่อเลือกโรงพยาบาลของรัฐที่สะดวกเข้ารับการ รักษา

"ทั้ง 6 กรณี ผู้ป่วยสามารถเลือกโรงพยาบาลคู่สัญญาแตกต่างจากโรงพยาบาลที่เข้ารับการรักษา ได้เฉพาะที่เป็นโรงพยาบาลรัฐบาลเท่านั้น และในการย้ายโรงพยาบาล ผู้ป่วยต้องแสดงความจำนงแก่ผู้ประสานของโรงพยาบาลเดิม เพื่อขอข้อมูลทางการแพทย์ไปให้โรงพยาบาลใหม่ เนื่องจากไม่มีระบบออนไลน์ เพราะข้อมูลของผู้ป่วยจะต้องเป็นความลับตามที่กฎหมายกำหนด" นพ.พีรพลกล่าว

นางสุพัชรี มีครุฑ ผู้ตรวจราชการ สปส. กล่าวว่า ในส่วนของผู้ป่วยที่เป็นผู้ประกันตน ทั้งที่เป็นผู้ประกันตนเดิม และผู้ที่เปลี่ยนจากสิทธิอื่นไปเข้าประกันสังคม หากเลือกโรงพยาบาลคู่สัญญาเป็นโรงพยาบาลเอกชน จะไม่สามารถเลือกโรงพยาบาลรักษาเป็นโรงพยาบาลอื่นได้ ต้องรักษากับโรงพยาบาลที่เป็นคู่สัญญาที่ระบุในบัตรประกันสังคมเท่านั้น เนื่องจากระบบของ สปส.จะทำสัญญากับโรงพยาบาลคู่สัญญาเท่านั้น แต่หากเป็นผู้ประกันตนที่โรงพยาบาลตามบัตรเป็นโรงพยาบาลสังกัด สธ. จะได้รับการอนุโลมให้เข้ารักษาในโรงพยาบาลสังกัด สธ.อื่น ที่ไม่ใช่โรงพยาบาลตามบัตรได้ แต่ต้องอยู่ภายในโรงพยาบาลเดียวกัน

"สำหรับสิทธิประโยชน์ของผู้ป่วยทั้งสิทธิประกันสังคมและสิทธิบัตรทอง เห็นว่ามีความแตกต่างแค่ในส่วนของเงินที่จ่ายเท่านั้น เช่น กรณีการตรวจซีดีโฟร์ (CD4) ผู้ป่วยเอดส์ สปส.จ่าย 500 บาทต่อการตรวจรู้ผล ขณะที่ สปสช.จ่าย 400 บาท หรือการตรวจปริมาณไวรัสในร่างกายที่ สปส.จ่าย 2,500 บาทต่อการตรวจรู้ผล ส่วน สปสช.จ่ายชดเชยเป็นน้ำยา 1.1 เท่า พร้อมค่าบริหารจัดการ 250 บาท เป็นต้น ซึ่งในอนาคต สปส.จะพยายามให้ได้มาตรฐานเดียวกัน" นางสุพัชรีกล่าว

(ประชาชาติธุรกิจ, 9-10-2555)

ราชภัฏขอพนักงานเป็นขรก. ชี้ออกนอกระบบไม่ส่งผลต่อคุณภาพ

เมื่อวันที่ 9 .. จากการประชุมคณะกรรมการพัฒนายุทธศาสตร์บริหารงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ตามแนวทางการปฏิรูประบบราชการ ผศ.ดร.ณรงค์ พุทธิชีวิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี (มรส.) ประธานคณะกรรมการฯ เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 2 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ คณะกรรมการฯ ได้เสนอว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏต้องมีทางเลือก 3 ทาง ดังนี้ 1. เป็นมหาวิทยาลัยในระบบราชการ 2. เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และ 3. เป็นมหาวิทยาลัยทิศทางใหม่ โดยหน่วยงานบางส่วนอยู่นอกระบบราชการ แต่เป็นหน่วยงานในกำกับ

ผศ.ดร.ณรงค์ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมเห็นควรให้ดำเนินการพัฒนามหาวิทยาลัยราชภัฏตามแนวทางการปฏิรูปของ คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและกำลังคนภาครัฐ (คปร.) และจะเสนอให้ทบทวนมติ ครม.เพื่อขอเปลี่ยนพนักงานมหาวิทยาลัยเป็นข้าราชการ โดยมีหลักการดังนี้ 1. ขอคืนอัตราข้าราชการที่เกษียณแล้วให้กลับมาเป็นข้าราชการ 2. ขอให้เปลี่ยนอัตราพนักงานที่จะขอเพิ่มเติมให้เป็นข้าราชการ และ 3. ขอให้พนักงานมหาวิทยาลัยมีโอกาสเลือกในการปรับเป็นข้าราชการหรือคงสถานภาพ เดิม ทั้งนี้ จะได้ดำเนินการสำรวจความต้องการของพนักงานมหาวิทยาลัยที่สังกัดมหาวิทยาลัย ราชภัฏทั่วประเทศ โดยให้อธิการบดีดำเนินการตรวจสอบความต้องการของแต่ละมหาวิทยาลัย เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะได้ประชุมร่วมกับ คปร.ต่อไป

"อุดมศึกษา ไม่ควรมีทางเลือกเดียว หากอ้างว่าจำเป็นต้องออกนอกระบบเพื่อให้เกิดคุณภาพ ก็ต้องพิจารณาว่า ตลอดระยะเวลา 4–5 ปีที่ผ่านมา เวลามีการจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ มหาวิทยาลัยที่ติดอันดับอยู่ในระดับบนจะเป็นมหาวิทยาลัยในระบบราชการ หรืออย่างน้อยก็อาศัยระบบราชการเป็นกลไกหล่อเลี้ยง นั่นหมายความว่า การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับไม่ได้ส่งผลต่อคุณภาพของมหาวิทยาลัยอย่างมีนัย สำคัญ" ผศ.ดร.ณรงค์ กล่าว.

(
ไทยรัฐ, 9-10-2555)

 

ปราจีนบุรี-พนง.แพน ประท้วงจ่ายค่าชดเชยหลังถูกไล่ออก

(10 .) กลุ่มพนักงานบริษัทกบินทร์บุรี แพนเอเชียฟุตแวร์ จำกัด ตั้งอยู่บริเวณ หมู่ 5 ตำบลนนทรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี จำนวนกว่า 300 คน ได้มารวมตัวกันที่หน้าบริษัท เพื่อเรียกร้องค่าชดเชยหลังจากที่บริษัทหยุดกิจการ และ ปลดพนักงานเกือบทั้งหมดออก อีกทั้งไม่ยอมจ่ายค่าชดเชยให้ตามที่กรมแรงงานกำหนด โดยตั้งเวทีปราศรัยบนถนนสายสุวรรณศรสายเก่า กบินทร์แพน-เทศบาลตำบลกบินทร์ ปิดช่องทางการจราจร 1 ช่องทาง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กบินทร์บุรี คอยอำนวยความสะดวก

นางนวลจันทร์ อินทร์ธิรักษ์ พนักงานฝ่ายผลิต เปิดเผยว่า ถูกบริษัทประกาศเลิกจ้างตั้งวันที่ 8 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยให้ค่าตอบแทนแค่ 25%  แต่พนักงานทุกคนไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว เพราะบริษัทเป็นโรงงานกลุ่มแพนที่ผลิตรองเท้าที่มีชื่อเสียงระดับโลกเพื่อ ส่งออก แต่จู่ๆ มาบอกเลิกจ้างโดยอ้างโรงงานไม่มีออเดอร์จากต่างประเทศ จึงทำให้โรงงานขาดสภาพคล่อง และค่าใช้จ่ายมากขึ้น ประกอบกับต้นปีหน้าทางรัฐบาลได้ประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บริษัทเลิกจ้าง ส่วนพนักงานที่มีเงินเดือนประจำจะถูกโอนย้ายไปทำที่บริษัทในเครือ แต่จะไม่ต่อสัญญาให้ ส่วนพวกตนทำมานานกว่า 10-20 ปี จึงออกมาเรียกข้อเงินค่าสวัสดิการที่ควรได้ทั้งหมดเต็ม 100% ถ้าไม่ได้จะใช้มาตรการที่รุนแรง และอาจปิดถนนสายสุวรรณศรทั้งหมด

(ครอบครัวข่าว, 10-10-2555)

 

กองทุนประกันสังคม​เล็งลงทุน​เพิ่ม​ใน ตปท.200 ล้านดอลล์ ปลายปีนี้-ต้นปีหน้า

นายวิน พรหม​แพทย์ หัวหน้างานลงทุนต่างประ​เทศ​และอสังหาริมทรัพย์ สำนักงานประกันสังคม ​เปิด​เผยว่า กองทุนประกันสังคมมี​แผนจะ​เข้าลงทุน​เพิ่ม​ในตลาดต่างประ​เทศจำนวน​เงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ​ในช่วงประมาณปลายปีนี้​ถึงต้นปีหน้า ​ซึ่งจะ​ทำ​ให้สัดส่วน​การลงทุน​ในตลาดต่างประ​เทศ​เพิ่มขึ้น​เป็น 5% จากปัจจุบัน 3% ​โดยกองทุนจะ​เน้นลงทุน Emerging market ​ได้​แก่ ​โป​แลนด์ ​เกาหลี อิน​โดนี​เซีย มา​เล​เซีย ​เป็นต้น

ทั้งนี้ วง​เงิน 200 ล้านดอลลาร์จะ​แบ่งลงทุน 3 กล่ม ​ได้​แก่ 1) พันธบัตรประ​เทศที่มี​ความมั่นคงสูง ​และมีระดับหนี้ภาครัฐต่ำสัดส่วน 60% 2)หุ้นต่างประ​เทศที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ​เน้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าจำ​เป็น ​เช่น อุป​โภคบริ​โภค ค้าปลีก ​และ​เวชภัณฑ์ สัดส่วน 25%  ​และ 3) กองทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างประ​เทศที่มีราย​ได้จากค่า​เช่ามั่นคง สัดส่วน 15% ​โดยจะมอบหมาย​ให้ บลจ.ธนชาต ร่วมกับบริษัทจัด​การกองทุนต่างประ​เทศ จัดตั้งกองทุน private fund

นายวิน กล่าวว่า ช่วง 6 ​เดือน​แรกของปีนี้ กองทุนฯสามารถ​ทำกำ​ไร​ได้​แล้ว 2.1 หมื่นล้านบาท มาจากดอก​เบี้ยรับ 1.6 หมื่นล้าน ที่​เหลือ​เป็น​เงินปันผลจาก​การลงทุน​ในหุ้น ​และ​ทั้งปี 55 ตั้ง​เป้า​ทำกำ​ไร​หรือ​ได้รับผลตอบ​แทนจาก​การลงทุนที่ 4 หมื่นล้านบาท

ในระยะยาวกองทุนประกันสังคมจะมีอัตราผลตอบ​แทนที่ระดับ 5.5 - 6% ​เพราะต้องมีภาระจ่ายบำนาญ​เพิ่มขึ้น ที่​เริ่มจ่าย​ในปี 2556 ​และต้องจ่ายมากที่สุด​ในปี 2570 ​ซึ่งกองทุนฯ​เน้นลงทุนระยะยาวรวม​ทั้งผลตอบ​แทนที่สม่ำ​เสมอต่อ​เนื่อง ​จึงสน​ใจที่จะลงทุนกองทุน​โครงสร้างพื้นฐาน ที่​เห็นว่าประ​เทศ​ในอา​เซียนจะมี​ความต้อง​การมากขึ้น หลังจาก​เปิดประชาคม​เศรษฐกิจอา​เซียน(AEC) ​เช่น ประ​เทศ​ไทย อิน​โดนี​เซีย

สำหรับปีที่ผ่านมากองทุนมีอัตราผลตอบ​แทน 6.40% ​และ​เฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 7.17% รวม​ทั้งมีอัตราผลตอบ​แทน​เฉลี่ยนับตั้ง​แต่จัดตั้งกองทุน 7.55% ต่อปี

ทั้งนี้ สิ้นมิ..55 พอร์ตลงทุนมีจำนวน 9.2 ​แสนล้านบาท ​แบ่ง​เป็น​การลงทุน​ในพันธบัตรรัฐบาล,พันธบัตรธปท.​และตั๋ว​เงินคลัง  6 ​แสนล้านบาท ​หรือคิด​เป็นสัดส่วน 66.18% พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ (กระทรวงคลังค้ำประกัน) 8.2 หมื่นล้านบาท ​หรือมีสัดส่วน 8.9% หุ้นกู้​เอกชน(อยู่​ในอันดับ​ความน่า​เชื่อถือ) 4.1 หมื่นล้านบาท ​หรือมีสัดส่วน 4.46%

เงินฝากธนาคาร 2 หมื่นล้านบาท คิด​เป็นสัดส่วน 2.24% ตราสารหนี้รัฐวิสาหกิจที่กระทรวง​การคลัง​ไม่​ได้ค้ำประกัน มูลค่า 5 หมื่นล้านบาท ​หรือสัดส่วน 5.41% นอกจากนี้​การลงทุนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ​และกองทุนต่างประ​เทศ  3.7 หมื่นล้านบาท คิด​เป็นสัดส่วน 4.03% ​และลงทุนหุ้น​ไทย 8 หมื่นล้านบาท (ประมาณ 8.77%)

(
อิน​โฟ​เควสท์, 10-10-2555)

 

"ทีดีอาร์ไอ" ชี้ประชานิยม "จบใหม่" เงินเดือน 1.5 หมื่น ทำ ".ตรี" เตะฝุ่นปีหน้า 1.6-1.7 แสนคน

นายยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า จำนวนผู้ว่างงานที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีปี 2556 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% หรือ 1.6-1.7 แสนคน จากปัจจุบันที่มี 1.45 แสนคน นายยงยุทธกล่าวว่า อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นเป็นผลสืบเนื่องจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ บวกกับการขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท/เดือน ในปี 2557 เพราะปัจจัยทั้ง 2 ประการทำให้นายจ้างคงอัตราการจ้างงานไว้เท่าเดิม ไม่จ้างคนใหม่เพิ่ม "หากดูตัวเลขอัตราการว่างงานหลังจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในเดือน เม.. จะเห็นว่าเพิ่มขึ้นจาก 0.7% เป็น 0.8% หรือเพิ่มจากประมาณ 3 แสน เป็น 4 แสนคน แสดงให้เห็นว่านายจ้าง Freeze ตำแหน่งงานไว้ ซึ่งจะส่งผลกระทบหนักต่อผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีที่จะสำเร็จการศึกษาใน เดือน ก..ปีหน้า" นอกจากนี้แล้ว การเพิ่มเงินเดือนปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาทในปี 2557 แม้จะเพิ่มเฉพาะฝั่งข้าราชการ แต่จะมีผลกระทบในเชิงจิตวิทยาให้เอกชนปรับเงินเดือนเพิ่มตามไปด้วย และชะลอการจ้างงานใหม่ลง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์แม้จะมีความต้องการแรงงานเพิ่ม และคาดว่าจะดูดซับแรงงานได้ประมาณ 1 แสนคน แต่เชื่อว่าจะเน้นจ้างงานผู้จบการศึกษาระดับ

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 11-10-2555)

 

ลุ้นอัตราจ้าง สอศ.ขึ้นพนักงานราชการ 1 หมื่นอัตรา

เมื่อวันที่ 11 .. นายศักดา คงเพชร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยความคืบหน้าในการผลักดันกลุ่มครูและเจ้าหน้าที่ชั่วคราวในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 19,998 คน เปลี่ยนสถานะเป็นพนักงานราชการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและเพิ่มขวัญและกำลังใจในการทำงานว่า นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ ได้เสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามที่ สอศ.ได้เสนอแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนด เป็นวาระการประชุม ครม.

ทั้งนี้ สำหรับตนแล้วไม่มั่นใจว่า ครม.จะจัดสรรให้ทั้งหมด เพราะอาจจะติดขัดในเรื่องของงบประมาณที่จะนำมาใช้ดำเนินการ เนื่องจากกรอบอัตรากำลังจำนวนนี้ไม่ได้จัดขอไว้ในหมวดงบประมาณรายจ่ายประจำ ปี 2556 ซึ่งหาก ครม.จะอนุมัติให้ก็คงต้องใช้เม็ดเงินจากงบประมาณกลางของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเงินประมาณ 3,600 ล้านบาท แต่ถ้าอนุมัติให้ก่อนครึ่งหนึ่งหรือประมาณ 10,000 อัตรา ก็จะใช้เม็ดเงินประมาณ 1,800 ล้านบาท

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า หาก ครม.อนุมัติให้เปลี่ยนสถานะครูและเจ้าหน้าที่ของ สอศ.เป็นพนักงานราชการก่อนครึ่งหนึ่งหรือประมาณ 10,000 อัตรา ตนได้มอบเป็นนโยบายให้กับนายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) และผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัด สอศ.ไว้ล่วงหน้าว่า ร้อยละ 80 ของจำนวนที่ได้รับอนุมัติมาให้พิจารณาตามหลักความอาวุโส ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 20 ให้พิจารณาจากความรู้ความสามารถ ซึ่งหากนายกรัฐมนตรีและ ครม.เมตตาในเรื่องนี้ อย่างน้อยแต่ละวิทยาลัยก็จะยังพอเหลือเงินจากค่าใช้จ่ายรายหัวของนักเรียน นักศึกษา ซึ่งแต่ละปีต้องนำมาใช้จ้างครูและเจ้าหน้าที่อัตราจ้างชั่วคราว จะได้นำมาใช้ในการพัฒนาวิทยาลัยในส่วนที่จำเป็นเร่งด่วนต่อไป.

(
ไทยรัฐ, 11-10-2555)

 

พนง.ผลิตรองเท้าส่งออกบุกศาลากลางปราจีนฯ ทวงสิทธิเงินค่าถูกเลิกจ้าง

(11 ..) พนักงานบริษัท กบินทร์บุรีแพนเอเชียฟุตแวร์ จำกัด กว่า 300 คนได้รวมกลุ่มประท้วงหน้าศาลากลางจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อเรียกร้องสิทธิในการเลิกจ้าง โดยมีนายสมสกุล โมราวรรณ อายุ 40 ปี เป็นแกนนำ

ทั้งนี้ พนักงานดังกล่าวได้ถูกบอกเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 8 ..55 โดยอ้างว่าประสบภาวะขาดทุนทำให้ต้องเลิกจ้างพนักงาน และบริษัทจะจ่ายให้พนักงานเพียง 30% แต่พนักงานไม่ยอมจึงมีการชุมนุมเรียกร้องสิทธิดังกล่าว

นอกจากนั้น ได้ยื่นข้อเรียกร้องให้แก่นายอรุณ พุมเพรา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งข้อเรียกร้องประกอบด้วย ขอให้ทางบริษัทออกใบรับรองการทำงาน ใบผ่านงานจากบริษัท โดยระบุว่า บริษัทปิดกิจการเลิกจ้าง และไม่ให้พนักงานเขียนใบลาออก ขอให้บริษัทจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างตามกฎหมาย มาตรา 118 ขอให้หน่วยงานสวัสดิการคุ้มครองแรงงานให้การดูแลและบรรเทาความเดือดร้อนให้ แก่ลูกจ้าง โดยให้มีการเจรจากับบริษัทฯ ในสัปดาห์นี้ เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทไม่ยอมพูดคุยเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด

สำหรับบริษัท กบินทร์บุรีแพนเอเชียฟุตแวร์ จำกัด ได้ทำการผลิตรองเท้าส่งออกต่างประเทศยี่ห้อดัง เช่น โปโล, ฮัมเมล เป็นรองเท้าส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี และทวีปยุโรป ทางบริษัทรับทำยี่ห้ออื่นๆ อีกหลายยี่ห้อ

ด้านนายอรุณ พุมเพรา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ได้เรียกประชุมตัวแทนพนักงานที่ถูกเลิกจ้างจำนวน 15 คนที่ห้องประชุมชั้น 2 พร้อมกล่าวว่า จังหวัดปราจีนบุรีจะดูแลเรื่องนี้ และขอให้ทุกคนขึ้นทะเบียนคนว่างงานไว้ พร้อมจะประสานบริษัทฯ ให้คิดค่าตอบแทนต่อรองกับพนักงานที่ถูกเลิกจ้างต่อไป หากไม่ได้รับความเป็นธรรมจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 11-10-2555)

 

.แรงงาน ชู 3 มาตรการ เตรียมพร้อมรับขึ้นค่าจ้างเป็นวันละ 300 .

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อวันที่ 12 .. 55  นายสง่า ธนสงวนวงศ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นวันละ 300 บาทใน 70 จังหวัด ซึ่งเริ่มมีผลในวันที่ 1 .. 56 ว่า กระทรวงแรงงานได้วางมาตรการไว้ 3 มาตรการ ได้แก่ 1. การให้ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กรมการจัดหางาน (กกจ.) กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) และสำนักงานประกันสังคมทั้งในส่วนกลางและจังหวัด บูรณาการการทำงานร่วมกันโดยลงพื้นที่ไปรับพูดคุยกับสถานประกอบการภายใน จังหวัด โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็ม เพื่อขอความร่วมมือปรับขึ้นค่าจ้างตามกฎหมาย และรับฟังปัญหาและผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้าง รวมทั้งชี้แจงถึงมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาล เช่น มาตรการการลดภาษี นอกจากนี้ ให้ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานในจังหวัดต่างๆ ไปพูดคุยกับสถานประกอบการ เพื่อเร่งพัฒนาฝีมือแรงงานตามความต้องการของสถานประกอบการเพื่อเพิ่มผลผลิต

2. การสำรวจและเก็บข้อมูลผู้ว่างงานและตกงาน เนื่องจากผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างโดยให้ กกจ.จัดหาตำแหน่งงานรองรับ และ 3. การส่งเสริมการมีงานทำโดยการจัดฝึกอบรมวิชาชีพ เพื่อประกอบอาชีพอิสระโดยเฉพาะแรงงานและประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

"ถึงวันนี้ประเทศไทยจะต้องปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อยกระดับทักษะ ฝีมือและคุณภาพชีวิตของแรงงานไทยให้ดีขึ้น ทำให้แรงงานไทยมีศักยภาพแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนได้เพราะเหลือไม่ถึง 3 ปีข้างหน้า ไทยจะต้องก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ขณะนี้ทุกประเทศในอาเซียนปรับขึ้นค่าจ้างกันไปหมดแล้ว กระทั่งบางประเทศ เช่น มาเลเซียมีอัตราค่าจ้างสูงกว่าไทย อย่างไรก็ตาม คาดว่าการปรับขึ้นค่าจ้างครั้งนี้ไม่น่าจะมีผลกระทบทำให้แรงงานตกงานเป็น จำนวนมาก เนื่องจากเวลานี้ไทยประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างมาก แต่สิ่งที่กระทรวงแรงงาน หน่วยงานรัฐและเอกชนต่างๆ จะต้องเร่งดำเนินการคือ การพัฒนาทักษะฝีมือทักษะภาษาอังกฤษและภาษาอาเซียนให้แก่แรงงานไทยเพื่อรอง รับเออีซี"

(
คมชัดลึก, 12-10-2555)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"รสนา" ชี้โฆษณาการปรับขึ้นราคา LPG ของ ก.พลังงาน บิดเบือนข้อเท็จจริง

Posted: 14 Oct 2012 01:51 AM PDT

"รสนา โตสิตระกูล" สว.กทม. ชี้โฆษณาของกระทรวงพลังงาน ในการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มหรือก๊าซแอลพีจี ในภาคครัวเรือนและภาคยานยนต์ โดยมีการโฆษณาผ่านสื่อต่าง ๆ เป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนและบิดเบือนข้อเท็จจริงกับประชาชน



วันนี้ (14 ตุลาคม 2555) ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ในเวทีประชาเสวนา สานปัญญาสู้ปัญหาพลังงาน นางสาวรสนา โตสิตระกูล วุฒิสมาชิกกรุงเทพมหานคร ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงาน ในคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา และหม่อมหลวงกรกสิวัฒน์  เกษมศรี อนุกรรมาธิการฯ ได้เปิดแถลงข่าว กรณีที่กระทรวงพลังงานได้เผยแพร่โฆษณาชุด "รวมพลังปลดดินพอกหางหมู" ที่มีเนื้อหากล่าวหาว่ามีการใช้ก๊าซหุงต้มหรือก๊าซแอลพีจีผิดประเภทในกลุ่ม รถยนต์และอุตสาหกรรมทั่วไปว่า โฆษณาของกระทรวงพลังงานดังกล่าวเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนและบิดเบือน กับประชาชน

หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์  เกษมศรี อนุกรรมาธิการฯ กล่าวว่า จากสถานการณ์การใช้ก๊าซแอลพีจีในปัจจุบัน ประกอบด้วยผู้ใช้สองกลุ่มใหญ่ คือ ภาคประชาชน ประกอบด้วย ภาคครัวเรือนและภาคยานยนต์ และภาคอุตสาหกรรม ประกอบด้วย อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมทั่วไป ทั้งนี้ ในปี 2554 ปริมาณการใช้ของทั้งสองภาคมีปริมาณใกล้เคียงกันคือ ภาคประชาชน มีสัดส่วนร้อยละ 51.8 โดยใช้รวมกัน 3.57 ล้านตัน ครัวเรือนใช้ 2.65 ล้านตัน ยานยนต์ใช้ 0.92 ล้านตัน ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนการใช้ร้อยละ 48.2 หรือใช้รวม 3.32 ล้านตัน ปิโตรเคมีใช้ 2.6 ล้านตัน อุตสาหกรรมทั่วไปใช้ 0.72 ล้านตัน จึงเห็นได้ว่าปริมาณการใช้ก๊าซแอลพีจีครึ่งหนึ่งเกิดจากภาคอุตสาหกรรมโดย เฉพาะภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บมจ.ปตท ที่มีการขยายตัวอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้ต้องมีการนำเข้าก๊าซแอลพีจีจากต่างประเทศ ดังนั้น การให้ข้อมูลว่าปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นจากภาคครัวเรือนและยานยนต์ที่มีการใช้ อย่างสิ้นเปลือง จึงเป็นข้อมูลที่บิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง


นางสาวรสนา โตสิตระกูล สว.กทม. ในฐานะในฐานะประธานคณะอนุ กรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงาน ในคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ได้กล่าวถึงข้อเสนอที่รัฐบาลควรดำเนินการโดยเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาภาระของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการกำหนดราคาแอลพีจีที่ เป็นธรรมต่อประชาชน คือ
 
1. รัฐควรจัดลำดับความสำคัญในการใช้ก๊าซแอลพีจีที่ผลิตได้จากโรงแยกก๊าซ ธรรมชาติให้ภาคประชาชนใช้ก่อน เนื่องจากก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตแอลพีจีมาจากแผ่นดินไทย อันเป็นทรัพยากรของประชาชน ทั้งนี้ในปี 2554 โรงแยกก๊าซฯ มีกำลังการผลิตก๊าซแอลพีจีได้ 3.60 ล้านตัน (ภาคประชาชนใช้ 3.57 ล้านตัน) โดยในปี 2555 คาดว่าจะผลิตได้ 3.88 ล้านตัน ซึ่งเพียงพอต่อการใช้ของภาคประชาชนอยู่แล้ว ดังนั้นก๊าซแอลพีจีส่วนที่เหลือจากการใช้ของภาคประชาชนให้จำหน่ายกับภาค อุตสาหกรรมได้ หากไม่เพียงพอให้ภาคอุตสาหกรรมเป็นผู้รับภาระในการนำเข้าเอง
 
2. เนื่องจากการให้สัมปทานปิโตรเลียมของประเทศไทยเป็นระบบสัมปทานที่รัฐได้รับ ผลประโยชน์ตอบแทนต่ำที่สุดในอาเซียน ทำให้ผู้รับสัมปทานมีต้นทุนการผลิตก๊าซแอลพีจีที่ต่ำ เช่น แหล่งน้ำมันสิริกิติ์ อันเป็นแหล่งใหญ่มีพื้นทีครอบคลุมถึง 5 จังหวัดได้ กำแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก นครสวรรค์ และอุตรดิตถ์ มีต้นทุนการผลิตแอลพีจีบวกกำไรของผู้รับสัมปทาน อยู่ที่ประมาณ 9 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น ขณะที่ราคาค้าปลีกแอลพีจีที่จำหน่ายให้แก่ภาคครัวเรือน และภาคยานยนต์ ซึ่งรวมกำไรของผู้ค้าและภาษีแล้ว อยู่ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม และ 21.38 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ จึงเป็นราคาที่ผู้ค้าได้กำไรมากอยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่สมควรที่รัฐจะให้มีการปรับราคาแอลพีจีกับภาคครัวเรือนและภาคยานยนต์ เพิ่มขึ้นอีก (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากงบการเงินของ บมจ.ปตท.)

3. ให้เลิกนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปอุดหนุนการใช้แอลพีจีเป็นวัตถุดิบของ ธุรกิจปิโตรเคมี ในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดโลกประมาณร้อยละ 40 การนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปอุดหนุนให้ภาคปิโตรเคมีดังกล่าว เป็นการกระทำที่ผิดวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่แรกเริ่ม ที่มีขึ้นเพื่อรักษาระดับราคาพลังงาน มิใช่เพื่อไปอุดหนุนราคาวัตถุดิบในอุตสาหกรรมใดโดยเฉพาะ จึงเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่ออุตสาหกรรมอื่นที่ไม่ได้รับการอุดหนุน และยังเป็นการเอาเปรียบประชาชน ผู้เป็นเจ้าของกองทุนน้ำมันฯ อีกด้วย
 
4. จากข้อมูลปริมาณแอลพีจีที่ผลิตได้จากโรงแยกก๊าซฯ ในประเทศ ซึ่งพอเพียงต่อการใช้ของภาคประชาชน ดังที่กล่าวไว้แล้วในข้อ 1 ดังนั้น ปัญหาหลักที่ต้องมีการนำเข้าแอลพีจี และมีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากประชาชนเกิดจากนำเงินไปอุดหนุนธุรกิจปิโตรเคมีซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บมจ.ปตท ดังนั้นเพื่อความเป็นธรรม จึงควรให้ บมจ.ปตท. ส่งคืนเงินที่ได้รับชดเชยส่วนต่างราคาแอลพีจีนำเข้าไปแล้วประมาณหนึ่งแสน ล้านบาทให้แก่กองทุนน้ำมันฯ โดยเร็ว เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินของกองทุนน้ำมันฯ ที่นำไปชดเชยให้ภาคปิโตรเคมีนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
 
5. ให้ปลัดกระทรวงและข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพลังงานแสดงความรับผิดชอบต่อ การนำเสนอนโยบายที่เป็นการเอาเปรียบประชาชนผู้เป็นเจ้าของทรัพยากร ปิโตรเลียมในความพยายามสร้างผลกำไรให้ภาคธุรกิจพลังงานเกินสมควร ด้วยการลาออกจากการเป็นกรรมการของธุรกิจพลังงานทั้งหมด เนื่องจากการรับเงินเดือน โบนัส และเบี้ยประชุมจากบริษัทพลังงานของข้าราชการเป็นการกระทำที่มีผลประโยชน์ทับ ซ้อนในการปฏิบัติหน้าที่ จึงนำมาซึ่งปัญหาดังกล่าวข้างต้น และเป็นการกระทำที่ผิดหลักธรรมาภิบาลสากลอย่างร้ายแรง
 
คณะอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงาน ในคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ร่วมกับเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคและประชาชน ได้จัดเวทีประชาเสวนา สานปัญญาสู้ปัญหาพลังงาน มาตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน 2555 โดยจัดขึ้นทุกวันอาทิตย์เวลาบ่ายโมงที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีประชาชนให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่อง กิจกรรมล่าสุดคือการเชิญชวนประชาชนเข้าชื่อร่วมฟ้องคดีทวงคืนท่อก๊าซธรรมชา ติจากปตท. มีผู้สนใจมอบอำนาจให้ทนายความอาสายื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางรวมกว่า 1,000 ราย และได้มีการนัดหมายเข้ายื่นฟ้องต่อศาลปกครอง 5.แจ้งวัฒนะในวันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2555 เวลา 11.00 น.โดยประมาณ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภาคภูมิ แสงกนกกุล: เมดิคัลฮับและความไม่เท่าเทียม (ตอนจบ)

Posted: 14 Oct 2012 12:45 AM PDT

นโยบายเมดิคัลฮับเมื่อปี 2546 สร้างความตื่นตัวให้โรงพยาบาลเอกชน จากเดิมที่มีโรงพยาบาลเอกชนขนาดกลางและขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่งที่เป็นลักษณะโรงพยาบาลนานาชาติรับรักษาลูกค้าชาวต่างชาติและมีบุคลากรที่สามารถสื่อสารกับลูกค้าที่ส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษ ปัจจุบันโรงพยาบาลขนาดกลาง ขนาดใหญ่และโรงพยาบาลลูกของเครือข่ายขนาดใหญ่ต่างมีแผนกรับลูกค้าต่างชาติเกือบทุกโรงพยาบาล และลูกค้าต่างชาติก็มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ชาวจีน อาหรับ เป็นต้น อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนรัฐบาลและขาดความต่อเนื่องของนโยบายทำให้การพัฒนาเป็นเมดิคัลฮับมีความกระจัดกระจายและไม่สามารถพัฒนาเป็นศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านการบริการทางการแพทย์ในภูมิภาคได้ ในปัจจุบันโรงพยาบาลเอกชนมีสภาพให้การบริการการแพทย์เชิงท่องเที่ยว(medical tourism) มากกว่าการเป็นเมดิคัลฮับ (medical hub)ในความหมายของความเป็นเลิศด้านการแพทย์ทุกสาขา ได้มาตรฐานความปลอดภัยคุณภาพระดับสากล และเป็นศูนย์กลางการวิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์

การพัฒนาเป็นเมดิคัลฮับต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐ ในด้านการสร้างโครงสร้างคมนาคมขนส่งเชื่อมต่อตั้งแต่สนามบินไปสู่เมดิคัลฮับ ตัวเมือง สถานที่ท่องเที่ยว และงานบริการด้านอื่นๆ เช่น งานด้านเอกสาร พาสปอร์ต ส่วนภายในศูนย์เมดิคัลฮับเป็นศูนย์รวมของการบริการทางการแพทย์ทุกสาขา ห้องแลบ และศูนย์วิจัยด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ อยู่ภายในบริเวณใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ต้องมีการสร้างโรงแรมที่พักที่ได้มาตรฐานเพื่อรองรับผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย ภายในโรงแรมมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อตอบสนองความต้องการผู้ป่วยทั้งก่อนและหลังการรักษา ในด้านบุคลากรสาธารณสุข ภาครัฐต้องผลิตบุคลากร ทั้งพยาบาล แพทย์ เภสัชกร ทันตแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ นักกายภาพบำบัด นักเทคนิคการแพทย์ และบุคลากรสาธารณสุขสาขาอื่นๆ เพิ่มขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ บุคลากรสาธารณสุขทุกคนต้องพูดได้อย่างน้อยสองถึงสามภาษาอย่างชำนาญ ในปัจจุบันบริเวณที่มีศักยภาพพัฒนาเป็นเมดิคัลฮับได้ทันทีคือ บริเวณตั้งแต่สามย่านติดต่อทอดยาวไปถึงอนุสาวรีย์ชัย เพราะตั้งอยู่ในใจกลางเมืองความเจริญ และที่ท่องเที่ยว มีระบบคมนาคมที่เชื่อมต่อตั้งแต่สนามบิน มีโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ห้องแลป ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงต่างประเทศ โรงแรม ร้านอาหาร และบุคลากรที่มีความพร้อม

เนื่องจากนโยบายต้องอาศัยภาษีประชาชนในการสร้างเมดิคัลฮับเพื่อตอบสนองความต้องการการรักษาของคนรวยจากต่างประเทศ และคัดกรองเฉพาะบุคลากรสาธารณสุขที่มีความสามารถสูงเข้าสู่ระบบ นโยบายเมดิคัลฮับจึงมีข้อด้อยให้วิจารณ์ว่าจะสร้างความเหลื่อมล้ำในระบบสาธารณสุขไทย คนเก่งๆจะสมองไหลไปสู่เมดิคัลฮับที่ค่าตอบแทนสูงกว่า อัตราส่วนระหว่างแพทย์กับคนไข้ที่แตกต่างกันระหว่างโรงพยาบาลภาครัฐและภาคเอกชนที่เป็นปัญหาในปัจจุบันจะกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีก  นอกจากนี้อาจส่งผลกระทบให้ราคาค่ารักษาในตลาดพุ่งสูงขึ้น ระบบสาธารณสุขภาครัฐจะล้มละลายจากการต้องทุ่มเงินเพิ่มค่าตอบแทนให้หมอเพื่อลดภาวะสมองไหล นอกจากนี้การเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอีกสามปีข้างหน้า ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอจากการที่บุคลากรทางการแพทย์โยกย้ายไปทำงานในประเทศอื่นในอาเซียนที่มีรายได้มากกว่า และนักท่องเที่ยวต่างชาติชาวอาเซียนที่ย้ายเข้ามารักษาในประเทศไทย เกิดการแย่งทรัพยากรสาธารณสุขระหว่างคนไทยกับคนต่างชาติ และคุณภาพการรักษาของคนไทยด้อยลง [1]

จากข้างต้นสิ่งที่จำเป็นต้องนำมาคิดให้รอบคอบอีกครั้งหนึ่งคือ เรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและเรื่องการแย่งชิงทรัพยกรสาธารณสุขระหว่างคนไทยกับคนต่างชาติ ระหว่างภาครัฐและเอกชน และระหว่างภาคเอกชนด้วยกันเอง

เรื่องแรก ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและเมดิคัลฮับเป็นนโยบายคนละเรื่องกัน นโยบายแรกเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน ส่วนนโยบายที่สองเป็นนโยบายของรับบาลไทย การเกิดหรือไม่เกิดเมดิคัลฮับในไทยไม่สามารถหยุดยั้งการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีใน 7 ประเภทแรงงานฝีมือได้แก่ วิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการรักษาหรือการแพทย์ วิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับทันตกรรม วิชาชีพพยาบาล วิชาชีพด้านวิศวกรรม วิชาชีพด้านสถาปัตยกรรม วิชาชีพเกี่ยวกับการสำรวจและนักสำรวจ และวิชาชีพบัญชี เมื่อมีการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีแล้วบุคลากรสาธารณสุขส่วนหนึ่งย่อมสมองไหลไปสู่พื้นที่ๆเงินเดือนสูงกว่า ได้แก่ สิงคโปร์ และ บรูไน อย่างไรก็ตามการเคลื่อนย้ายแรงงานสาธารณสุขไม่น่ารุนแรงอย่างที่คิดเนื่องจากอุปสรรคความแตกต่างด้านภาษา วัฒนธรรมและศาสนา โดยเฉพาะศาสนาอิสลามซึ่งมีกฎระเบียบการรักษาที่แตกต่างจากศาสนาพุทธ ในทางตรงกันข้ามการสร้างเมดิคัลฮับในประเทศไทยอาจส่งผลลดภาวะสมองไหลไปสู่สิงคโปร์หรือบรูไน เมื่อประเทศไทยมีเมดิคัลฮับเป็นของตนเองและสามารถแข่งขันเมดิคัลฮับในสิงคโปร์และมาเลเซีย สามารถสร้างรายได้และมีเงินเดือนสูงที่ดึงดูดให้บุคลากรสาธารณสุขเก่งๆอยู่ทำงานในประเทศไทยต่อไป

เรื่องที่สองเรื่องการแย่งทรัพยากรสาธารณสุขระหว่างคนไทยกับคนต่างชาติ ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน และระหว่างภาคเอกชนด้วยกัน ประเด็นนี้ต้องกลับมาทบทวนใหม่ว่าทุกวันนี้ในระบบสาธารณสุขไทยไม่มีการแย่งชิงทรัพยการสาธารณสุขระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน หรือ ระหว่างภาคเอกชนเลยใช่หรือไม่? คำตอบคือไม่ ทุกวันนี้ถึงแม้ไม่มีเมดิคัลฮับ ภาคเอกชนก็พร้อมที่จ่ายเงินเดือนสูงๆเพื่อซื้อตัวคนเก่งๆจากภาครัฐมาอยู่แล้ว ภาคเอกชนพร้อมที่จะซื้ออุปกรณ์การแพทย์ ยารักษาโรคราคาแพง มาพื่อแข่งขันกับภาครัฐและภาคเอกชนด้วยกันเอง นักลงทุนพร้อมที่จะเปิดโรงพยาบาลใหม่ๆได้ทันทีถ้าโครงการดังกล่าวให้ผลตอบแทนมหาศาล สิ่งที่อาจส่งผลกระทบภายหลังการเกิดเมดิคัลฮับคือ การแย่งทรัพยากรระหว่างคนไทยกัยคนต่างชาติ เพราะถึงแม้ลูกค้าต่างชาติจะมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับคนไทยในประเทศแต่สามรถดึงบุคลากรสาธารณสุขได้มากกว่า [2]

การวางธงคำตอบว่านโยบายเมดิคัลฮับจะทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในระบบสาธารณสุขไทยจึงเปรียบเสมือนการปิดตาข้างเดียวและไม่ยอมรับว่าทุกวันนี้ระบบสาธารณสุขไทยมีความไม่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว และละเลยต้นตอของความไม่เท่าเทียมกันนั้นออกไป

จากตอนที่หนึ่งและสองได้สรุปสาเหตุปัญหาของความไม่เท่าเทียมกันในระบบสาธารณสุขไทยไว้ 5ประการคือ 1.ความไม่เท่าเทียมกันด้านชนชั้นสังคมและ 2.การกระจายความมั่งคั่ง 3.ความไม่เท่าเทียมกันด้านการพัฒนาระหว่างกรุงเทพฯและต่างจังหวัด 4.การขาดการลงทุนจากภาครัฐ และการปราศจากกฎหมายและการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ และ 5.ทำให้การแพทย์พาณิชย์เติบโตขึ้นในระบบสาธารณสุขไทย นโยบายเมดิคัลฮับจะส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันมากขึ้นหรือไม่จึงเป็นเรื่องยากที่จะตอบเพราะขึ้นอยู่กับการออกแบบนโยบายควบคุมไม่ให้ซ้ำเติมเหตุผลห้าประการข้างต้น

แทนที่จะหวาดกลัวว่าเมดิคัลฮับจะสร้างความไม่เท่าเทียม เราควรออกแบบนโยบายสร้างเมดิคัลฮับเพื่อนำความเจริญเข้าประเทศและสร้างความเท่าเทียมกันในสังคมควบคู่กันไป โดยเมดิคัลฮับสามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนบริการย่อยคือ บริการด้านการรักษาพยาบาล และภาคบริการควบคู่ได้แก่ ภาคโรงแรมการท่องเที่ยว ฯลฯ ซึ่งจุดประสงค์ของความเท่าเทียมในระบบสาธารณสุขคือลดความเหลื่อมล้ำในภาคการรักษากล่าวคือ ถ้าประชาชนไม่ว่ายากดีมีจนอย่างไรถ้าป่วยเหมือนกันและได้รับการรักษาที่มาตรฐานเดียวกันย่อมเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่ความแตกต่างด้านภาคบริการควบคู่เช่นเรื่องโรงแรม การท่องเที่ยวเป็นสินค้าที่นอกเหนือระบบสาธารณสุข ลูกค้าย่อมมีสิทธิจ่ายราคาแพงเพื่อซื้อบริการที่แตกต่างได้ เมดิคัลฮับสามารถสร้างความเท่าเทียมได้ขึ้นอยู่กับการออกแบบนโยบายเช่น

  •  ลดความเหลื่อมล้ำการกระจายความมั่งคั่ง เมดิคัลฮับสามารถสร้างงานให้ชนชั้นล่างได้จากการเติบโตภาคบริการ เช่น ภาคโรงแรม ร้านอาหาร การท่องเที่ยว การสร้างงานให้พวกเขายังช่วยเปลี่ยนสภาพแรงงานใต้ดินให้อยู่บนดินและรัฐสามารถเก็บภาษีเพื่อนำมาพัฒนาประเทศหรืออุดหนุนประกันสังคมหรือ สามสิบบาทรักษาทุกโรค มาเพิ่มค่าตอบแทนให้บุคลากรสาธารณสุขภาครัฐ หรือนำมาลงทุนสร้างบุคลากรสาธารณสุขเพิ่มเติมเพื่อลดความขาดแคลน

นอกจากนี้ควรตั้งอัตราภาษีก้าวหน้าเพื่อกระจายความมั่งคั่งจากบุคลากรสาธารณสุขในเมดิคัลฮับและผู้ประกอบการไปสู่สังคม การตั้งอัตราภาษีควรตั้งในอัตราที่พอเหมาะเพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนส่วนหนึ่งเข้ามาในระบบเมดิคัลฮับและสร้างความเป็นธรรมในการกระจายรายได้ และควรเก็บค่ารักษาราคาแพง หรือเก็บภาษีกับชาวต่างชาติที่เข้ามารักษาในเมดิคัลฮับโดยไม่ควรกังวลว่าจะไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับเมดิคัลฮับต่างประเทศได้ เพราะเมดิคัลฮับแข่งขันกันด้านคุณภาพบริการซึ่งบุคลากรสาธารณสุขไทยมีความสามารถสูง

  • ลดความเหลื่อมล้ำการพัฒนาระหว่างกรุงเทพฯและภูมิภาคอื่นๆ การสร้างเมดิคัลฮับต้องทำควบคู่กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เมื่อภูมิภาคใดมีเมดิคัลฮับแล้วความเจริญย่อมตามมา ดังนั้นการสร้างไม่ควรกระจุกตัวเฉพาะในกรุงเทพฯเท่านั้น แต่ควรสร้างเมดิคัลฮับไม่เกินห้าแห่งได้แก่ ภาคเหนือ อีสาน ตะวันออก ภาคภลาง และภาคใต้ กระจายบุคลากรสาธารณสุข อุปทานการแพทย์ไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ
  • ลดปริมาณผู้ประกอบการในตลาดบริการการรักษาในภาคเอกชน เมื่อเมดิคัลฮับเกิดขึ้นส่งผลให้ผู้ประกอบการ โรงพยาบาลเอกชนที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขัน ไม่มีคุณภาพการรักษาที่ดีพออกไปจากตลาด เมื่อปริมาณโรงพยาบาลเอกชนลดลงภาวะสมองไหลของบุคลากรสาธารณสุขจากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชนย่อมลดลงตาม การสั่งซื้อเครื่องมือแพทย์ราคาแพงที่ไม่จำเป็นก็ลดลง นอกจากนี้การที่เมดิคัลฮับสามารถสร้างรายได้ภาษีให้ภาครัฐมาลงทุนพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลรัฐแข่งขันแย่งคนไข้รายได้ปานกลางจากโรงพยาบาลเอกชน 

การที่สังคมให้ความสำคัญในประเด็นความไม่เท่าเทียมกันย่อมเป็นสัญญาณที่ดี แต่การมุ่งเฉพาะประเด็นเดียวโดยขาดการมองรอบด้านประเด็นอื่นอาจส่งผลเสียอย่างคาดไม่ถึง ความไม่เท่าเทียมกันสามารถฆ่าคนได้ แต่ความยากจนเองก็สามาถฆ่าคนตายได้เช่นกัน การลดความไม่เท่าเทียมกันในสาธารณสุขโดยมุ่งเน้นแต่การจัดหาการรักษาพยาบาลที่ดีและราคาถูกแก่ประชาชนย่อมสร้างระบบประกันสุขภาพภาครัฐที่ไม่ยั่งยืน แต่ต้องมีนโยบายยกระดับรายได้ความเป็นอยู่ จัดหาอาชีพให้คนจนด้วยเพื่อให้คนจนสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง มีรายได้เป็นของตนเองและสามารถจ่ายภาษีให้รัฐเพื่อให้รัฐนำเงินภาษีประชาชนมาใช้จ่ายในระบบสาธารณสุขภาครัฐซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี

นอกจากการสร้างเมดิคัลฮับควบคู่กับการลดความไม่เท่าเทียมแล้ว สิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กันคือการสร้างเมดิคัลฮับไม่ควรมุ่งเป็นการพาณิชย์มากไปจนกระทั่งละเลยประเด็นเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งระบบกฎหมายจริยธรรมการแพทย์และชีวจริยศาสตร์ไม่แข็งแรงพอ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้วในอนาคตเมดิคัลฮับประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการผ่าตัดแปลงเพศ การเปลี่ยนมดลูกผู้หญิงเป็นโรงงานอุตสาหกรรมผลิตเด็กทารก การลักลอบปลูกถ่ายอวัยวะ การทดลองทางการแพทย์ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความแตกแยกกับสังคมในอนาคต

 

เชิงอรรถ

[1] http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341307618&grpid=03&catid=&subcatid=

[2] http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341307618&grpid=03&catid=&subcatid=

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภาคภูมิ แสงกนกกุล: เมดิคัลฮับและความไม่เท่าเทียม (ตอนจบ)

Posted: 14 Oct 2012 12:43 AM PDT

นโยบายเมดิคัลฮับเมื่อปี 2546 สร้างความตื่นตัวให้โรงพยาบาลเอกชน จากเดิมที่มีโรงพยาบาลเอกชนขนาดกลางและขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่งที่เป็นลักษณะโรงพยาบาลนานาชาติรับรักษาลูกค้าชาวต่างชาติและมีบุคลากรที่สามารถสื่อสารกับลูกค้าที่ส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษ ปัจจุบันโรงพยาบาลขนาดกลาง ขนาดใหญ่และโรงพยาบาลลูกของเครือข่ายขนาดใหญ่ต่างมีแผนกรับลูกค้าต่างชาติเกือบทุกโรงพยาบาล และลูกค้าต่างชาติก็มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ชาวจีน อาหรับ เป็นต้น อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนรัฐบาลและขาดความต่อเนื่องของนโยบายทำให้การพัฒนาเป็นเมดิคัลฮับมีความกระจัดกระจายและไม่สามารถพัฒนาเป็นศูนย์กลางความเป็นเลิศด้านการบริการทางการแพทย์ในภูมิภาคได้ ในปัจจุบันโรงพยาบาลเอกชนมีสภาพให้การบริการการแพทย์เชิงท่องเที่ยว(medical tourism) มากกว่าการเป็นเมดิคัลฮับ (medical hub)ในความหมายของความเป็นเลิศด้านการแพทย์ทุกสาขา ได้มาตรฐานความปลอดภัยคุณภาพระดับสากล และเป็นศูนย์กลางการวิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์

การพัฒนาเป็นเมดิคัลฮับต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐ ในด้านการสร้างโครงสร้างคมนาคมขนส่งเชื่อมต่อตั้งแต่สนามบินไปสู่เมดิคัลฮับ ตัวเมือง สถานที่ท่องเที่ยว และงานบริการด้านอื่นๆ เช่น งานด้านเอกสาร พาสปอร์ต ส่วนภายในศูนย์เมดิคัลฮับเป็นศูนย์รวมของการบริการทางการแพทย์ทุกสาขา ห้องแลบ และศูนย์วิจัยด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ อยู่ภายในบริเวณใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ต้องมีการสร้างโรงแรมที่พักที่ได้มาตรฐานเพื่อรองรับผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย ภายในโรงแรมมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อตอบสนองความต้องการผู้ป่วยทั้งก่อนและหลังการรักษา ในด้านบุคลากรสาธารณสุข ภาครัฐต้องผลิตบุคลากร ทั้งพยาบาล แพทย์ เภสัชกร ทันตแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ นักกายภาพบำบัด นักเทคนิคการแพทย์ และบุคลากรสาธารณสุขสาขาอื่นๆ เพิ่มขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ บุคลากรสาธารณสุขทุกคนต้องพูดได้อย่างน้อยสองถึงสามภาษาอย่างชำนาญ ในปัจจุบันบริเวณที่มีศักยภาพพัฒนาเป็นเมดิคัลฮับได้ทันทีคือ บริเวณตั้งแต่สามย่านติดต่อทอดยาวไปถึงอนุสาวรีย์ชัย เพราะตั้งอยู่ในใจกลางเมืองความเจริญ และที่ท่องเที่ยว มีระบบคมนาคมที่เชื่อมต่อตั้งแต่สนามบิน มีโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ห้องแลป ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงต่างประเทศ โรงแรม ร้านอาหาร และบุคลากรที่มีความพร้อม

เนื่องจากนโยบายต้องอาศัยภาษีประชาชนในการสร้างเมดิคัลฮับเพื่อตอบสนองความต้องการการรักษาของคนรวยจากต่างประเทศ และคัดกรองเฉพาะบุคลากรสาธารณสุขที่มีความสามารถสูงเข้าสู่ระบบ นโยบายเมดิคัลฮับจึงมีข้อด้อยให้วิจารณ์ว่าจะสร้างความเหลื่อมล้ำในระบบสาธารณสุขไทย คนเก่งๆจะสมองไหลไปสู่เมดิคัลฮับที่ค่าตอบแทนสูงกว่า อัตราส่วนระหว่างแพทย์กับคนไข้ที่แตกต่างกันระหว่างโรงพยาบาลภาครัฐและภาคเอกชนที่เป็นปัญหาในปัจจุบันจะกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีก  นอกจากนี้อาจส่งผลกระทบให้ราคาค่ารักษาในตลาดพุ่งสูงขึ้น ระบบสาธารณสุขภาครัฐจะล้มละลายจากการต้องทุ่มเงินเพิ่มค่าตอบแทนให้หมอเพื่อลดภาวะสมองไหล นอกจากนี้การเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอีกสามปีข้างหน้า ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอจากการที่บุคลากรทางการแพทย์โยกย้ายไปทำงานในประเทศอื่นในอาเซียนที่มีรายได้มากกว่า และนักท่องเที่ยวต่างชาติชาวอาเซียนที่ย้ายเข้ามารักษาในประเทศไทย เกิดการแย่งทรัพยากรสาธารณสุขระหว่างคนไทยกับคนต่างชาติ และคุณภาพการรักษาของคนไทยด้อยลง [1]

จากข้างต้นสิ่งที่จำเป็นต้องนำมาคิดให้รอบคอบอีกครั้งหนึ่งคือ เรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและเรื่องการแย่งชิงทรัพยกรสาธารณสุขระหว่างคนไทยกับคนต่างชาติ ระหว่างภาครัฐและเอกชน และระหว่างภาคเอกชนด้วยกันเอง
เรื่องแรก ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและเมดิคัลฮับเป็นนโยบายคนละเรื่องกัน นโยบายแรกเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน ส่วนนโยบายที่สองเป็นนโยบายของรับบาลไทย การเกิดหรือไม่เกิดเมดิคัลฮับในไทยไม่สามารถหยุดยั้งการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีใน 7 ประเภทแรงงานฝีมือได้แก่ วิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการรักษาหรือการแพทย์ วิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับทันตกรรม วิชาชีพพยาบาล วิชาชีพด้านวิศวกรรม วิชาชีพด้านสถาปัตยกรรม วิชาชีพเกี่ยวกับการสำรวจและนักสำรวจ และวิชาชีพบัญชี เมื่อมีการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีแล้วบุคลากรสาธารณสุขส่วนหนึ่งย่อมสมองไหลไปสู่พื้นที่ๆเงินเดือนสูงกว่า ได้แก่ สิงคโปร์ และ บรูไน อย่างไรก็ตามการเคลื่อนย้ายแรงงานสาธารณสุขไม่น่ารุนแรงอย่างที่คิดเนื่องจากอุปสรรคความแตกต่างด้านภาษา วัฒนธรรมและศาสนา โดยเฉพาะศาสนาอิสลามซึ่งมีกฎระเบียบการรักษาที่แตกต่างจากศาสนาพุทธ ในทางตรงกันข้ามการสร้างเมดิคัลฮับในประเทศไทยอาจส่งผลลดภาวะสมองไหลไปสู่สิงคโปร์หรือบรูไน เมื่อประเทศไทยมีเมดิคัลฮับเป็นของตนเองและสามารถแข่งขันเมดิคัลฮับในสิงคโปร์และมาเลเซีย สามารถสร้างรายได้และมีเงินเดือนสูงที่ดึงดูดให้บุคลากรสาธารณสุขเก่งๆอยู่ทำงานในประเทศไทยต่อไป

เรื่องที่สองเรื่องการแย่งทรัพยากรสาธารณสุขระหว่างคนไทยกับคนต่างชาติ ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน และระหว่างภาคเอกชนด้วยกัน ประเด็นนี้ต้องกลับมาทบทวนใหม่ว่าทุกวันนี้ในระบบสาธารณสุขไทยไม่มีการแย่งชิงทรัพยการสาธารณสุขระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน หรือ ระหว่างภาคเอกชนเลยใช่หรือไม่? คำตอบคือไม่ ทุกวันนี้ถึงแม้ไม่มีเมดิคัลฮับ ภาคเอกชนก็พร้อมที่จ่ายเงินเดือนสูงๆเพื่อซื้อตัวคนเก่งๆจากภาครัฐมาอยู่แล้ว ภาคเอกชนพร้อมที่จะซื้ออุปกรณ์การแพทย์ ยารักษาโรคราคาแพง มาพื่อแข่งขันกับภาครัฐและภาคเอกชนด้วยกันเอง นักลงทุนพร้อมที่จะเปิดโรงพยาบาลใหม่ๆได้ทันทีถ้าโครงการดังกล่าวให้ผลตอบแทนมหาศาล สิ่งที่อาจส่งผลกระทบภายหลังการเกิดเมดิคัลฮับคือ การแย่งทรัพยากรระหว่างคนไทยกัยคนต่างชาติ เพราะถึงแม้ลูกค้าต่างชาติจะมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับคนไทยในประเทศแต่สามรถดึงบุคลากรสาธารณสุขได้มากกว่า [2]

การวางธงคำตอบว่านโยบายเมดิคัลฮับจะทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในระบบสาธารณสุขไทยจึงเปรียบเสมือนการปิดตาข้างเดียวและไม่ยอมรับว่าทุกวันนี้ระบบสาธารณสุขไทยมีความไม่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว และละเลยต้นตอของความไม่เท่าเทียมกันนั้นออกไป จากตอนที่หนึ่งและสองได้สรุปสาเหตุปัญหาของความไม่เท่าเทียมกันในระบบสาธารณสุขไทยไว้ 5ประการคือ 1ความไม่เท่าเทียมกันด้านชนชั้นสังคมและ 2การกระจายความมั่งคั่ง 3ความไม่เท่าเทียมกันด้านการพัฒนาระหว่างกรุงเทพฯและต่างจังหวัด 4การขาดการลงทุนจากภาครัฐ และการปราศจากกฎหมายและการควบคุมที่มีประสิทธิภาพและ5ทำให้การแพทย์พาณิชย์เติบโตขึ้นในระบบสาธารณสุขไทย นโยบายเมดิคัลฮับจะส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันมากขึ้นหรือไม่จึงเป็นเรื่องยากที่จะตอบเพราะขึ้นอยู่กับการออกแบบนโยบายควบคุมไม่ให้ซ้ำเติมเหตุผลห้าประการข้างต้น     
แทนที่จะหวาดกลัวว่าเมดิคัลฮับจะสร้างความไม่เท่าเทียม เราควรออกแบบนโยบายสร้างเมดิคัลฮับเพื่อนำความเจริญเข้าประเทศและสร้างความเท่าเทียมกันในสังคมควบคู่กันไป โดยเมดิคัลฮับสามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนบริการย่อยคือ บริการด้านการรักษาพยาบาล และภาคบริการควบคู่ได้แก่ ภาคโรงแรมการท่องเที่ยว ฯลฯ ซึ่งจุดประสงค์ของความเท่าเทียมในระบบสาธารณสุขคือลดความเหลื่อมล้ำในภาคการรักษากล่าวคือ ถ้าประชาชนไม่ว่ายากดีมีจนอย่างไรถ้าป่วยเหมือนกันและได้รับการรักษาที่มาตรฐานเดียวกันย่อมเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่ความแตกต่างด้านภาคบริการควบคู่เช่นเรื่องโรงแรม การท่องเที่ยวเป็นสินค้าที่นอกเหนือระบบสาธารณสุข ลูกค้าย่อมมีสิทธิจ่ายราคาแพงเพื่อซื้อบริการที่แตกต่างได้ เมดิคัลฮับสามารถสร้างความเท่าเทียมได้ขึ้นอยู่กับการออกแบบนโยบายเช่น

  •  ลดความเหลื่อมล้ำการกระจายความมั่งคั่ง เมดิคัลฮับสามารถสร้างงานให้ชนชั้นล่างได้จากการเติบโตภาคบริการ เช่น ภาคโรงแรม ร้านอาหาร การท่องเที่ยว การสร้างงานให้พวกเขายังช่วยเปลี่ยนสภาพแรงงานใต้ดินให้อยู่บนดินและรัฐสามารถเก็บภาษีเพื่อนำมาพัฒนาประเทศหรืออุดหนุนประกันสังคมหรือ สามสิบบาทรักษาทุกโรค มาเพิ่มค่าตอบแทนให้บุคลากรสาธารณสุขภาครัฐ หรือนำมาลงทุนสร้างบุคลากรสาธารณสุขเพิ่มเติมเพื่อลดความขาดแคลน

นอกจากนี้ควรตั้งอัตราภาษีก้าวหน้าเพื่อกระจายความมั่งคั่งจากบุคลากรสาธารณสุขในเมดิคัลฮับและผู้ประกอบการไปสู่สังคม การตั้งอัตราภาษีควรตั้งในอัตราที่พอเหมาะเพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนส่วนหนึ่งเข้ามาในระบบเมดิคัลฮับและสร้างความเป็นธรรมในการกระจายรายได้
และควรเก็บค่ารักษาราคาแพง หรือเก็บภาษีกับชาวต่างชาติที่เข้ามารักษาในเมดิคัลฮับโดยไม่ควรกังวลว่าจะไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับเมดิคัลฮับต่างประเทศได้ เพราะเมดิคัลฮับแข่งขันกันด้านคุณภาพบริการซึ่งบุคลากรสาธารณสุขไทยมีความสามารถสูง

  • ลดความเหลื่อมล้ำการพัฒนาระหว่างกรุงเทพฯและภูมิภาคอื่นๆ การสร้างเมดิคัลฮับต้องทำควบคู่กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เมื่อภูมิภาคใดมีเมดิคัลฮับแล้วความเจริญย่อมตามมา ดังนั้นการสร้างไม่ควรกระจุกตัวเฉพาะในกรุงเทพฯเท่านั้น แต่ควรสร้างเมดิคัลฮับไม่เกินห้าแห่งได้แก่ ภาคเหนือ อีสาน ตะวันออก ภาคภลาง และภาคใต้ กระจายบุคลากรสาธารณสุข อุปทานการแพทย์ไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ
  • ลดปริมาณผู้ประกอบการในตลาดบริการการรักษาในภาคเอกชน เมื่อเมดิคัลฮับเกิดขึ้นส่งผลให้ผู้ประกอบการ โรงพยาบาลเอกชนที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขัน ไม่มีคุณภาพการรักษาที่ดีพออกไปจากตลาด เมื่อปริมาณโรงพยาบาลเอกชนลดลงภาวะสมองไหลของบุคลากรสาธารณสุขจากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชนย่อมลดลงตาม การสั่งซื้อเครื่องมือแพทย์ราคาแพงที่ไม่จำเป็นก็ลดลง นอกจากนี้การที่เมดิคัลฮับสามารถสร้างรายได้ภาษีให้ภาครัฐมาลงทุนพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลรัฐแข่งขันแย่งคนไข้รายได้ปานกลางจากโรงพยาบาลเอกชน 

การที่สังคมให้ความสำคัญในประเด็นความไม่เท่าเทียมกันย่อมเป็นสัญญาณที่ดี แต่การมุ่งเฉพาะประเด็นเดียวโดยขาดการมองรอบด้านประเด็นอื่นอาจส่งผลเสียอย่างคาดไม่ถึง ความไม่เท่าเทียมกันสามารถฆ่าคนได้ แต่ความยากจนเองก็สามาถฆ่าคนตายได้เช่นกัน การลดความไม่เท่าเทียมกันในสาธารณสุขโดยมุ่งเน้นแต่การจัดหาการรักษาพยาบาลที่ดีและราคาถูกแก่ประชาชนย่อมสร้างระบบประกันสุขภาพภาครัฐที่ไม่ยั่งยืน แต่ต้องมีนโยบายยกระดับรายได้ความเป็นอยู่ จัดหาอาชีพให้คนจนด้วยเพื่อให้คนจนสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง มีรายได้เป็นของตนเองและสามารถจ่ายภาษีให้รัฐเพื่อให้รัฐนำเงินภาษีประชาชนมาใช้จ่ายในระบบสาธารณสุขภาครัฐซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี

นอกจากการสร้างเมดิคัลฮับควบคู่กับการลดความไม่เท่าเทียมแล้ว สิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กันคือการสร้างเมดิคัลฮับไม่ควรมุ่งเป็นการพาณิชย์มากไปจนกระทั่งละเลยประเด็นเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งระบบกฎหมายจริยธรรมการแพทย์และชีวจริยศาสตร์ไม่แข็งแรงพอ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้วในอนาคตเมดิคัลฮับประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการผ่าตัดแปลงเพศ การเปลี่ยนมดลูกผู้หญิงเป็นโรงงานอุตสาหกรรมผลิตเด็กทารก การลักลอบปลูกถ่ายอวัยวะ การทดลองทางการแพทย์ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความแตกแยกกับสังคมในอนาคต

 

เชิงอรรถ

[1] http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341307618&grpid=03&catid=&subcatid=

[2] http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341307618&grpid=03&catid=&subcatid=

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

Posted: 14 Oct 2012 12:34 AM PDT

"..ถ้าวันนั้นไม่มีชายชุดดำ ไม่ว่าตำรวจ ไม่ว่าทหาร ไม่ว่าประชาชน คนธรรมดา หรือคนเสื้อแดง จะไม่มีใครเสียชีวิตเลยครับ"

13 ต.ค.55 กล่าวในการปราศรัยเวทีประชาชน "เดินหน้า ผ่าความจริง ใครบงการ มัจจุราชชุดดำ รับจ้างฆ่าประเทศไทย" ที่อาคารลุมพินีสถาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น