ประชาไท | Prachatai3.info |
- แบบจำลองการลำดับความสำคัญ: ความพยายามอธิบายความขัดแย้งรอบใหม่
- สุเทพนัด 9 ธ.ค. 09.39 น. ลุกฮือทั่วประเทศ-ทวงอำนาจคืนจากระบอบทักษิณ
- จดหมายน้อยจากพ่อ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 2556
- วาด รวี: ศีลธรรมของผม และศีลธรรมของเธอ
- สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชนแก้ปัญหาด้วยการปรับโครงสร้างอำนาจ
- ตำรวจพบผู้เสียชีวิตบนรถบัสหน้าราม ถูกเพื่อนชวนมาก่อเหตุแล้วถูกไฟคลอก
- ทีดีอาร์ไอชี้ไทยต้องพัฒนาประเทศโดยการสร้างนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยี
- ประชาธิปัตย์ - เพื่อไทย ไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อมทั้ง 8 เขต
- เลขา สปสช.เยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บเหตุชุมนุม เผยดูแลค่ารักษาให้ทุกราย
- นายทุนแห่ขอสัมปทานเหมืองแร่โปแตชอีสาน
- [คลิป] นักวิชาการ มธ.บรรยายสาธารณะ ไม่เห็นด้วยอธิการบดีสั่งหยุดสอน
- พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: สงครามกลางเมืองที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
- “สุรพงษ์”แทน”ประชา” : การตัดสินใจผิดอีกครั้งของทักษิณ
- อย่าบิดเบือนเรื่องคนนอกสามารถเป็น ”นายกฯ พระราชทาน”
- รัฐบาลแอฟริกาใต้ประกาศ 'เนลสัน แมนเดลา' เสียชีวิตแล้ว
แบบจำลองการลำดับความสำคัญ: ความพยายามอธิบายความขัดแย้งรอบใหม่ Posted: 06 Dec 2013 08:42 AM PST จากการสังเกตความเป็นไปทางการเมืองของสังคมไทย ถ้านับตั้งแต่การชุมนุมของพวกเสื้อเหลืองในปี 48 เป็นต้นมา ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านวิกฤติและเหตุการณ์สำคัญ ๆ หลายครั้งหลายครา และจากวาทะกรรมทางการเมืองและข้ออ้างข้อเสนอข้อโจมตีจากฝ่ายต่าง ๆ ในฐานะคนไทยคนหนึ่งจึงอยากจะเสนอแบบจำลองการลำดับความสำคัญของคนไทยในความคิดเห็นทางการเมือง โดยเสนอว่านับตั้งแต่ปี 48 เป็นต้นมา คนไทยสับสนในการลำดับความสำคัญในสามประเด็นเป็นหลัก คือ 1. พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ อันนี้ไม่อยากขยายความแต่เกี่ยวโยงแน่นอนกับการเมืองไทยในช่วงที่ผ่านมา เพราะมีการโหนเพื่ออ้างความชอบธรรมทางการเมือง กติกาประชาธิปไตย อันนี้หมายถึงการยอมรับความเสมอภาคของคนในชาติ อย่างน้อยก็ในการเลือกตั้ง โดยถือว่าทุกคนมี 1 เสียงเท่ากัน ผลออกมาอย่างไร ทุกฝ่ายควรยอมรับเพราะนั่นเป็นเสียงของประชาชน การทุจริตคอรัปชั่น อันนี้หมายถึงในการเลือกตั้งเป็นหลักที่เอามาโจมตีลดความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้าม แต่บางคนอาจเลยเถิดไปถึงการทุจริตคอรัปชั่นในวงราชการ ธุรกิจ และทุกอณูของสังคมไทย สิ่งที่คนไทยทะเลาะกันอยู่ทุกวันนี้คือแต่ละคนพยายามบอกว่าการลำดับความสำคัญของตนถูกต้องที่สุด หากให้สิ่งที่ขึ้นก่อนหรืออยู่ซ้ายมือสำคัญกว่าสิ่งที่อยู่ถัดมาหรืออยู่ขวามือ เราอาจจัดลำดับความสำคัญได้เป็น 6 แบบ คือ 1. พระมหากษัตริย์ กติกาประชาธิปไตย การทุจริตคอรัปชั่น หากนำเอาแบบจำลองนี้มาอธิบายเหตุการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ก็พอจะสรุปได้ว่า พวกเสื้อเหลืองที่ออกมาประท้วงในปี 48 และในยุครัฐบาลสมัครและสมชายเป็นพวกที่ลำดับความสำคัญตามข้อ 2 และ 3 เป็นส่วนใหญ่ คือไม่ พระมหากษัตริย์ การทุจริตคอรัปชั่น กติกาประชาธิปไตย ก็จะเป็น การทุจริตคอรัปชั่น พระมหากษัตริย์ กติกาประชาธิปไตย ส่วนทหารนั้นโดยวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่แล้ว จึงมีกรอบแนวคิดการลำดับความสำคัญไม่แบบข้อ 2 ก็แบบข้อ 1 เท่านั้น โดยเฉพาะทหารรักษาพระองค์แล้ว ได้ปฏิญาณว่าจักยอมตาย เพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า... ดังนั้นจะเป็นอื่นไปไม่ได้ ส่วนทหารที่ออกมาปฏิวัติในปี 49 และที่สนับสนุนการตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ และที่เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่ออกสื่อ คือทหารที่อ้างการลำดับความสำคัญตามข้อ 3 เพื่อไม่ให้น่าเกลียดและดูจะมีความชอบธรรมหน่อย ส่วนในสถานการณ์ความขัดแย้งรอบใหม่ล่าสุดนี้ ทหารเพียงแต่มองว่าสถานการณ์ยังไม่สุกงอมพอที่จะเปลืองตัว ส่วนพวกเสื้อแดง นปช. และกลุ่มแนวคิดประชาธิปไตยทั้งหลาย คงหนีไม่พ้นจัดลำดับความสำคัญตามข้อ 5 หรือ 6 เป็นหลัก ถ้าจะนำแบบจำลองนี้มาอธิบายความขัดแย้งล่าสุดก็พอจะกล่าวได้ว่า การออกมาแสดงพลังของคนจำนวนมากจนถึงวันที่ 24 พ.ย. นั้น คือ มีคนที่ลำดับความสำคัญทั้ง 6 แบบ ปะปนกันไป โดยอาจจะเป็นกลุ่มประชาชนที่ลำดับความสำคัญตามข้อ 3 และ 4 มากที่สุด แต่หลังวันที่ 24 พ.ย. ไปแล้ว ไม่เหลือกลุ่มข้อ 5 และ 6 อยู่เลย ส่วนกลุ่มข้อ 4 ลดลงไปเรื่อย ๆ จนเหลือน้อยมาก ถ้าวิเคราะห์จากเนื้อหาที่แกนนำขึ้นปราศรัย จะพบว่าคนกลุ่มข้อ 1 คงจะเหลือน้อยเต็มทน ที่เหลืออยู่คือคนกลุ่มข้อ 2 และข้อ 3 แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มเสียเปรียบ รัฐบาลยอมถอยไม่ใช้ความรุนแรง ชาติมหาอำนาจเริ่มออกมารับรองรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง สิ่งที่ม็อบ "มวลมหาประชาชน" เหลือให้ทำก็คงเป็นสูตรเดิม คือลำดับความสำคัญตามข้อ 2 ปลุกคนกลุ่มข้อ 2 ให้ออกมามากขึ้น และหวังว่าจะมีตัวช่วยหรืออำนาจ "มืด" ขี้มาสีดำมาช่วยในที่สุด สุดท้าย อยากจะบอกว่าความจริงไม่น่านำพระมหากษัตริย์มาอยู่ในการจัดลำดับความสำคัญนี้ เพราะถ้าเป็นไปตามรัฐธรรมนูญทุกตัวอักษร พระองค์เป็นเพียงประชาชนคนที่หนึ่งที่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญเท่านั้น หากไม่นำพระมหากษัตริย์มาอยู่ในการจัดลำดับความสำคัญก็จะเหลือแต่ กติกาประชาธิปไตย และการทุจริตคอรัปชั่น ว่าอะไรจะสำคัญกว่ากัน ผมอยากจะบอกว่าทุกรัฐบาลไทยมีการทุจริตคอรัปชั่น รวมถึงในทุกประเทศและทุกยุคทุกสมัยด้วยเช่นกัน ไม่อยากจะบอกเลยว่าคอมมอนเซ้นซ์ของการลำดับความสำคัญคือ กติกาประชาธิปไตย การทุจริตคอรัปชั่น รักษา 1 สิทธิ์ 1 เสียง ไว้ก่อน ส่วนจะทุจริตเลือกตั้งหรือทุจริตอื่น ๆ ก็ใช้กฎหมาย กฎกติกาอื่น ๆ หรือกระแสสังคมกดดัน หรือยกระดับพัฒนาการศึกษาของคนในชาติก็ว่าไป เพราะมันเป็นของที่ต้องใช้เวลา จะคิดว่าพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วมันจะหมดไปจากสังคมไทย ถ้าไม่บ้าก็เป็นจิตวิทยาหมู่ที่คนไทยบางส่วนถนัดทำดีนัก
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สุเทพนัด 9 ธ.ค. 09.39 น. ลุกฮือทั่วประเทศ-ทวงอำนาจคืนจากระบอบทักษิณ Posted: 06 Dec 2013 08:19 AM PST สุเทพ เทือกสุบรรณ นัด 9 ธ.ค. เคลื่อนขบวนทุกจุดมุ่งสู่ทำเนียบรัฐบาล 'เป่านกหวีดครั้งสุดท้าย' ขอวัดใจประชาชนไทยและกองทัพ ใครไม่ต้องการร่วมต่อสู้ขอให้นอนอยู่บ้าน จะเดินขบวนบนถนนทุกสาย และถ้าจะต้องปิดไปทั้งเมืองก็ช่วยไม่ได้ หากแพ้ 9 แกนนำจะยอมรับโทษ
6 ธ.ค. 56 - ตามที่ในช่วงบ่ายวันนี้ (6 ธ.ค.) สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ได้โพสต์ในเฟซบุ๊คแฟนเพจของเขานัดหมายผู้ชุมนุมว่า "เย็นนี้ผมจะนัดหมาย กำหนดการ ปฎิบัติการทวงคืนประเทศไทย ครั้งนี้เราจะทำกันอย่างเข้มแข็ง เต็มกำลัง แต่ยังคงยึดหลักสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธครับ ขอให้ค่อยรับฟังกันครับ" นั้น ล่าสุดเมื่อเวลา 20.30 น. ที่เวทีชุมนุมศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ สุเทพได้ขึ้นปราศรัยตอนหนึ่งสุเทพ ได้ประกาศแนวทางการต่อสู้ว่า "ได้ตัดสินใจแล้วครับ เราเดินทางมาอย่างนี้ สู้มาอย่างนี้ เราตั้งใจของเราแน่วแน่ ทำในสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง วิธีการของเราบริสุทธิ์ ยึดแนวอหิงสา สันติ ไม่มีอาวุธ ไม่รุนแรง แต่เราก็ไม่สามารถทนเห็นญาติพี่น้องของเราบาดเจ็บ ถูกยิง ถูกขว้างระเบิด ถูกแก๊สน้ำตา การต่อสู้ที่ทำด้วยวิธีการสันติ ไม่รุนแรง ไม่มีอาวุธสำคัญข้อเดียวคือ จำนวนคนต้องมากมายมหาศาลถึงจะชนะเขาได้ ไม่อย่างนั้นชนะไม่ได้ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. พี่น้องประชาชนแสดงพลังกันเป็นล้านคน ท่านก็เห็นครับว่ามีพี่น้องประชาชนนับล้านคน ที่ต้องการทวงอำนาจคืน ไม่ต้องการให้พวกโจรเอาอำนาจไปใช้ในทางที่ผิด ไปฉ้อโกงคอร์รัปชั่นจนวิบัติ ออกมาแสดงตนด้วยความกล้าหาญนับล้านคน แต่พวกมันกอดอำนาจแน่น นี่คือความหน้าด้านของมัน" "วันที่พวกผมตัดสินใจลาออกจาก ส.ส. เพื่อมาร่วมกับพี่น้องทั้งหลาย เพราะพวกเราได้สัมผัสกับพี่น้อง ได้หยั่งรู้ถึงความคิดจิตใจของพี่น้องว่าพี่น้องทนเจ็บปวดขมขื่นกับระบอบทักษิณมาสิบกว่าปีแล้ว เห็นชาติวิบัติย่อยยับลงต่อหน้าต่อตา ทนไม่ได้แล้ว อยากขึ้นมาต่อสู้ เพียงแต่ยังไม่มีใครมาเป็นตัวตั้งตัวตีจัดการ พวกผมทั้ง 9 คนจึงตัดสินใจลาออกจากผู้แทนราษฎรมาร่วมต่อสู้กับพี่น้อง และทำให้องค์กรเครือข่ายประชาชนอื่นๆ ที่สู้อยู่ก่อนมีกำลังใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) กองทัพธรรม นักธุรกิจสีลม นักธุรกิจเพื่อสังคม เมื่อเห็นพวกเราสู้กันปึกแผ่น ทุกฝ่ายจึงมาร่วมกันเป็น กปปส. เป็นรูปร่าง เป็นขบวนการ ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย" สุเทพกล่าวว่า "ในชีวิตพวกเราทุกคนไม่เคยเห็นปรากฏการณ์นี้มาก่อน ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ที่จะมีคนไทยลุกขึ้นมาต่อสู้ปกป้องชาติ เหมือนกับที่พี่น้องมาต่อสู้ครั้งนี้ นี่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ หลายคนพูดว่า 'กำนันสุเทพ ถ้าทำไม่สำเร็จจะน่าเสียดายมาก เพราะว่าทำให้เสียของ คนอุตส่าห์มาเป็นล้านๆ แล้วไม่สามารถทำให้ชนะได้' พี่น้องครับ พวกผมไม่ใช่พวกเพ้อเจ้อ เป็นพวกที่เคารพความเป็นจริง ผมกราบเรียนพี่น้องว่า ชีวิตพวกเราทุกคน วางเป็นเดิมพัน ทุุ่มเทหมดหน้าตัดในการต่อสู้ครั้งนี้ พี่น้องประจักษ์ชัดว่าพวกผมทุ่มจริงๆ และเคียงข้างพี่น้องตลอด ไม่คิดเป็นห่วงอนาคตตัวเอง ประกาศชัดว่าสู้ครั้งเดียว แพ้ชนะต้องยอมรับ แต่จะสู้สุดกำลัง ทำเต็มที่ ทุ่มเททุกอย่างความพยายามเป็นเรื่องของมนุษย์ ความสำเร็จเป็นเรื่องของฟ้าดิน แต่จะไม่ละความพยายามเด็ดขาด" "แต่ผมกราบเรียนตามความเป็นจริง ถ้าพี่น้องประชาชนมีจำนวนเพียงแค่นี้ แม้จะมีหัวใจห้าวหาญอย่างไร กอดคอเหนียวแน่นอย่างไร สู้ต่อไปด้วยความมั่นคงอย่างไร จะต้องมีคนเจ็บ คนตาย เพราะไอ้พวกผู้ร้าย โจรห้าร้อยไม่เคยปราณีประชาชน มันถึงทำกับนักศึกษารามคำแหง คอกวัว กระทรวงการคลัง และจะทำต่อในวันข้างหน้า" "ผมรู้ว่าพี่น้องก้าวพ้นความกลัวแล้ว ไม่กลัวมัน ผมก็ไม่กลัวมัน ผมยินดีที่จะสู้จนตาย แต่ชัยชนะของเรามันไม่ได้วัดที่จำนวนคนเจ็บ ที่คนตาย มันวัดที่จำนวนคนที่ลุกขึ้นมากอดคอต่อสู้ ผมถึงบอกว่าการต่อสู้เรื่องนี้ต้องกำหนดวันจบได้แล้ว และผมกำหนดแล้ว" "วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม เรื่องนี้ต้องจบครับพี่น้อง" สุเทพกล่าว โดยผู้ชุมนุมได้โห่ร้องอย่างฮึกเหิม สุเทพกล่าวต่อว่า "ไม่มีประโยชน์ที่เราจะต่อสู้ยืดเยื้อถึงปี 2557, 2558 เราต้องกลับไปทำมาหากิน รัฐบาลเขาก็รู้ เขาถึงใช้เล่ห์เหลี่ยม ต่อรองกับเรา ตั้งใจซื้อเวลาให้เราหมดแรง ให้เราเบื่อไปเอง กูก็รู้เท่ามึง ในขณะเดียวกัน มีพี่้้น้องประชาชนจำนวนมาก ไม่อยากเห็นความรุนแรง อยากเห็นบ้านเมืองสงบ จะเป็นขี้ข้าทั้งชาติได้ไม่เป็นไร มีพี่น้องไม่อยากตากแดด ถูกฝน นอนเชียร์ในหน้าจอที่บ้าน แล้วจะให้แนวหน้าตรากตรำทั้งปีทั้งชาติ ก็เป็นหวัดหมดแล้ว โดนแก๊สหมดแล้ว ผมถึงบอกว่า ไม่ต้องยืดเยื้อ ไม่ต้องให้ยาวนานกว่านี้ เอาให้จบเลยดีกว่า ประกาศไปเลยคราวหน้า จะเป็นจะตาย จะแพ้จะชนะ ให้รู้กันวันจันทร์ที่ 9 ธันวาคมนี้" "คณะกรรมการ กปปส. ทุกคน แกนนำทุกคน ทุกเครือข่าย ปรึกษากันเรียบร้อยมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ประกาศกับพี่น้องว่า วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคมต้องทำให้การต่อสู้คราวนี้จบลงให้ได้ ต่อสู้จนมันต้องยอมแพ้จริงๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้น ทุกคนในประเทศไทยต้องตัดสินใจเลือกข้าง เกิดมาจนป่านนี้ ต้องตัดสินใจให้เลือกข้าง ถ้าตัดสินใจเป็นเสรีชน ปกปักรักษาบ้านเมือง รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ต้องออกมา" หลังจากนั้น ผู้ชุมนุมตะโกนว่า "ออกมา ออกมา ออกมา" อย่างกึกก้อง สุเทพปราศรัยว่า "แต่ถ้าทำใจได้ว่าชาตินี้ ชาตินี้จะยอมตัวเป็นขี้ข้าระบอบทักษิณก็นอนเสพสุขที่บ้าน ไม่ต้องมา ไม่เสียใจกัน ไม่โกรธเคืองกัน ไม่ต้องฆ่ากัน ถ้าพวกคุณยอมออกมา เพราะคุณเลือกข้างถูก เลือกข้างประเทศไทย เลือกข้างประชาชนส่วนใหญ่ เลือกลูกหลาน เราชนะโดยไม่มีคนเจ็บ คนตาย เราชนะตลอดไป" เลขาธิการ กปปส. ยังเชิญชวนให้ข้าราชการว่า "ถ้าเห็นแก่อนาคตของประเทศไทย เห็นแก่อนาคตลูกหลานเรา หยุดทำงานไม่ต้องไปทำงาน ให้มาร่วมกับประชาชน" สุเทพระบุว่าได้ข่าวว่ารัฐบาลจะเกณฑ์ข้าราชการแต่งชุดสีกากี เกณฑ์เด็กนักเรียน มาเดินอ้อนวอนให้เลิกชุมนุม เพื่อให้บ้านเมืองสงบ และถ้าไม่เลิกชุมนุม ทักษิณสั่งไว้ให้ปราบปรามรุนแรงแบบไม่ให้เหลือผู้ชุมนุมและแกนนำ "ผมจึงประกาศเลย เอาเลย วันที่ 9 ให้เห็นดำเห็นแดงกันเลย" สุเทพลั่นวาจา และกล่าวว่า "พี่น้องข้าราชการถ้าจะแต่งเครื่องแบบก็แต่งได้ แต่มาแล้วต้องอยู่ข้างเดียวกับประชาชน เอาอย่างนี้ครับ นัดหมายเลย คืนนี้เลย จะได้เตรียมตัวล่วงหน้า นอนให้เต็มอิ่ม พักผ่อนให้เต็มตา วันจันทร์ 09.39 น. ลุกฮือทั้งประเทศ ทวงอำนาจอธิปไตยคืน ลุกขึ้นให้พร้อมกันทั่วประเทศ คนอยู่ต่างจังหวัดเดินขบวนในอำเภอ มุ่งหน้าไปศาลากลาง ไม่ต้องบุกรุกเข้าไป ปิดทางเข้าไม่ให้มันเข้าไปทำงาน วันที่ 9 ธ.ค. นี้แหละ นิสิต นักศึกษา นักเรียนทุกแห่ง ลุกขึ้นพร้อมกัน 9.39 น. ปฏิเสธไม่รับรัฐบาลนี้ ไม่รับระบอบทักษิณ เอาอำนาจเราคืนมา สุเทพนัดหมายผู้ชุมนุมใน กทม. ว่า ในช่วงหยุดยาวนี้ "ให้พาครอบครัวไปเที่ยว วันอาทิตย์ที่ 8 รีบกลับบ้าน นอนแต่หัวค่ำ วันที่ 9 ลงถนนทุกคน ใครนอนบ้านถือว่าทรยศต่อประเทศไทย ทานข้าวเช้าเรียบร้อยตั้งแต่วันที่ 9 เอาน้ำขวด เอาข้าวห่อใส่เป้ ใส่ถุง และเดินขบวนไปบนถนนทุกสายในกรุงเทพฯ เดินขบวนครั้งใหญ่ให้โลกจารึก ให้คนกรุงเทพฯ ทุกคน เดินขบวนพร้อมกัน 09.39 น. ฤกษ์ดีของประชาชน ออกมาทุกคน เดินขบวนบนถนนทุกสาย ไม่ใช่ล้านเดียว เอาทุกล้าน ออกมาหมด ทุกคนทุกคน" "ถ้าพี่น้องออกมาทุกคน โลกทั้งโลกจะเห็น ไม่มีใครปฏิเสธมวลมหาประชาชนหลายล้านคนได้แล้ว มากันกลางวันแสกๆ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. เรามากลางคืน แต่วันที่ 9 ธ.ค. เรามากลางวัน ให้รู้ว่าเราทวงอำนาจเราคืน" "พี่น้องทั้งหลายได้ต่อสู้กันมาเดือนกว่าแล้ว หลายคนตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ยังไม่ได้กลับบ้านเลย หลายคนมีภรรยา สามีมีพี่น้องมาเปลี่ยน แต่พรุ่งนี้ มะรืนนี้ คนที่อยู่ต่างจังหวัดที่ได้กลับบ้าน ให้กลับมาราชดำเนินได้แล้ว มาศูนย์ราชการได้แล้ว มาใหม่ ยกสุดท้ายแล้ว พี่น้องชาวกรุงเทพฯ ก็เตรียมตัว รวมพลังกันครั้งสุดท้าย ชนะเขาได้ ก็เป็นไท แพ้เขาก็ก้มหน้าก้มตาเป็นขี้ข้าเขาชาตินี้ ไม่ต้องร้องไห้" สุเทพระบุว่ามติดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการพูดคุยกับแกนนำ กปปส. "ผมตัดสินใจแล้วพี่น้องครับ พูดกับพี่ๆ น้องๆ แกนนำ กปปส. จะไม่ให้พี่น้องทุกข์ยากทรมานกว่านี้ แพ้เป็นแพ้ ชนะเป็นชนะ ถ้าพี่น้องมาหลายล้าน เราจะประกาศว่าอำนาจอธิปไตยได้กลับมาถึงมือประชาชนแล้ว เราจะจัดการบริหารประเทศ จนประเทศไทยเดินหน้าได้แบบอารยะประเทศ มีกฎหมายรองรับทั้งรัฐธรรมนูญมาตรา 3 และมาตรา 7 ดังนั้นขออย่ามาบิดเบือน โดยเราจะเดินตามนี้ เราจะไม่ยึดอำนาจ เราใช้อำนาจของเราพิทักษ์รัฐธรรมนูญ" "ทั้งนี้ผู้ชุมนุมจะไม่มีอาวุธอื่น นอกจากหัวใจที่รักชาติ มากันให้พร้อม ถ้าพี่น้องไม่มา พี่น้องที่สู้ทั้งหมดนี้ก็พร้อมจะยอมรับความพ่ายแพ้ ชีวิตจะร้องไห้ครั้งนี้มากที่สุดจะยินดี จะไม่เสียใจอีก เพราะถือว่าชาตินี้ได้สู้อย่างเต็มที่แล้ว ผมขอประกาศว่านี่คือเป่านกหวีดครั้งสุดท้าย ถ้าพี่น้องประชาชนทั้งหลาย ข้าราชการทั้งหลาย ถ้าไม่เลือกข้าง พวกผมยอม ถ้าประชาชนไม่ออกมา ผมจะไปเข้าคุก ไม่สู้กับมันแล้ว จะได้ไม่ต้องทรมาน ถ้าชาตินี้จะชนะให้ได้ต้องวันที่ 9 ธ.ค. ถ้าไม่ชนะก็ไม่ต้องฝันเป็นอย่างอื่นแล้ว ยอมมันไปเลย ผมและพี่ๆ น้องๆ ปรึกษากันแล้ว ยอมติดคุกข้อหากบฎ จะเอาโทษถึงประหารชีวิตก็ได้ เพราะเป็นชีวิตพวกผม 9 คน ดีกว่าเอาชีวิตพี่น้องไปเสี่ยงกับผู้คนที่เป็นฆาตกรในรัฐบาล จึงกำหนดวันชีชะตาคือวันที่ 9 ธ.ค. นี้" "เรามาดูใจพี่น้องชาวไทย สายเลือดเดียวกับเราในวันที่ 9 ธ.ค. ว่าใจใครมันจะใหญ่กว่าใคร มาพิสูจน์กัน จะได้จบเสียที ประเทศชาติจะได้ไม่เสียหายไปมากกว่านี้ และจะได้ไม่มีเหตุที่เกิดการบาดเจ็บล้มตายของประะชาชน เอาอย่างนี้นะครับพี่น้อง ตกลงไหมครับ" โดยผู้ชุมนุมตะโกนว่า "ตกลง" หลังจากสุเทพระบุว่าผู้ชุมนุมที่ศูนย์ราชการจะยังคงปักหลักอยู่จนถึงคืนวันอาทิตย์ "และคืนวันอาทิตย์นอนแต่หัวค่ำเก็บข้าวทุบหม้อข้าวเลย ตื่นเช้าวันจันทร์ เดินทางไกลครั้งสุดท้าย ผมจะเดินนำหน้าพี่น้องไปทำเนียบรัฐบาล และจะไม่กลับมาที่นี่อีก ไปตัดสินผลแพ้ชนะที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ไม่เข้าไปในทำเนียบ เพราะจะให้เกียรติทหาร แต่จะดูใจทหารในเช้าวันที่ 9 ธ.ค. เหมือนกัน" "เพราะฉะนั้น พี่น้องที่สะดวกไปราชดำเนิน ไปสมทบกระทรวงการคลัง ใครมาจากต่างจังหวัดจะมาค้างคืนที่นี่ศูนย์ราชการ แล้วเดินไปด้วยกัน ขอกราบเรียนพี่น้องชาวกรุงเทพฯ ใครที่ไม่ต้องการมาต่อสู้ร่วมกับเรา นอนอยู่ที่บ้าน เพราะถ้าท่านออกมานอกบ้านรถจะติด เพราะเราเดินทุกถนน ถ้าท่านจะโกรธเราก็ยอม ถ้าจะต้องปิดไปทั้งเมืองก็ช่วยไม่ได้ เพราะชีวิตนี้เราจะยอมแล้ว" พี่น้องถ้าเห็นว่าสมุนทรราชย์ระบอบทักษิณใช้ความรุนแรง ท่านจะจอดรถกั้นตรงไหนตามใจชอบ ทุกคนมีเสรีภาพ ในการเดินขบวนทางไกลจากที่นี่ไปทำเนียบ 17-18 กม. คนหนุ่ม คนสาว มีเรี่ยว มีแรง เดินไป คนที่เดินแล้วเหนื่อย จะมีรถมารับขึ้น เชียร์เพื่อนไป ไม่เป็นไร เราไปด้วยกัน แล้วบอกพี่น้องจากแจ้งวัฒนะ วิภาวดี ขาเข้า ขาออก วันนั้นอย่าคิดใช้ถนน เราเดินหมดทุกเลน พี่น้องที่สุขุมวิทให้เดินทางบ้านตัวเอง เดินไปสุขุมวิท เป้าหมายคือทำเนียบรัฐบาล พี่น้องสีลม ประตูน้ำ บึงกุุ่ม ฝั่งธน เดินมาจากจุดนั้นเป็นเสรีชนเอาอำนาจคืนมา วันเดียว ขอวันเดียวถูกต้องนะครับ แล้วก็พิสูจน์อนาคตประเทศไทยกันเลย ว่าจะเป็นประเทศไทยที่เป็นฟ้าสีทองหรีอไม่ ผมไม่ต้องการเอาความทุกข์ยากพี่น้องไปลงทุนแล้ว ผมเห็นใจ ผมยอมมอบตัวข้อหากบฎให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ถ้าแพ้มันเป็นข้าทาสในสังคม หรือติดคุกก็เหมือนกัน ดังนั้นนัดเลยนะครับ 9.39 น. วันจันทร์ที่ 9 รู้กัน ตัดสินกันวันนั้นเลยครับ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
จดหมายน้อยจากพ่อ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 2556 Posted: 06 Dec 2013 07:52 AM PST 5 ธันวาคม 2556
ในวันนี้ที่ใครใครเขาเรียกกันว่าวันพ่อ พ่อเองซึ่งมีเอ็งเป็นลูกคนหนึ่งอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับลูกในวันพ่อวันนี้(ส่วนเรื่องที่จะพูดกับพ่อของพ่อ คือปู่ของเอ็งนั้นพ่อได้จุดธูปแล้วคุยเป็นการส่วนตัวกับปู่ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเอ็งไม่ควรจะรู้) 13. เราได้รัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน (คนดีและเป็นผู้ดีด้วย)
หมายเหตุ: ผู้เผยแพร่ไม่ใช่ผู้เขียนจดหมายฉบับนี้ ตัวผู้เขียนคือนายกฤษฎางค์ นุตจรัส นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ รหัส 18 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
วาด รวี: ศีลธรรมของผม และศีลธรรมของเธอ Posted: 06 Dec 2013 06:25 AM PST จนป่านนี้ผมยังจำเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ เกี่ยวกับการลุกให้นั่งบนรถเมล์ที่เกิดขึ้นตอนยังเด็กได้ เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นตอนอยู่ประถม จำเวลาแน่นอนไม่ได้ ผมขึ้นรถเมล์ไปกับน้าสาว บนรถเมล์คนแน่น และมีหญิงสาวคนหนึ่งในชุดนักศึกษาลุกให้ผมนั่ง ผมจำได้ว่าตัวเองรู้สึกอายมาก แต่ในที่สุดผมก็ยอมนั่งทั้งที่ไม่อยากนั่ง ก่อนลงจากรถผมยกมือไหว้นักศึกษาสาวคนนั้น อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นตอนผมเริ่มเข้าวัยรุ่นแล้ว น่าจะประมาณมัธยมต้นหรือปลาย ผมจำไม่ได้แน่ แต่ที่แน่ ๆ คือตอนนั้นร่างกายผมน่าจะโตแล้ว ไม่ใช่เด็กตัวเล็ก ๆ คราวนี้ผมเป็นฝ่ายลุกให้หญิงชราชาวต่างชาติคนหนึ่งนั่ง รถเมล์แน่นพอสมควร ผมนั่งอยู่ไม่ห่างจากประตู พอเห็นหญิงชราชาวตะวันตกคนหนึ่งเดินขึ้นมาผมก็ลุกและเสนอที่นั่งให้ทันที แต่ปรากฏว่าหญิงชาวตะวันตกคนนั้นมองผมด้วยสีหน้างุนงง ไม่เข้าใจ และพูดเสียงดังเป็นคำถาม วาย วาย วาย? ผมพยายามยิ้มและบอกให้เธอนั่งที่ของผม แต่เธอยังไม่ยอมนั่ง และมองผมด้วยน้ำเสียงและสีหน้าไม่เข้าใจ ทุกคนบนรถเมล์มองมาที่เราสองคน ในที่สุดหญิงชราก็ยอมนั่งทั้งที่ยังคงไม่พอใจ ส่วนผมพอรถเมล์จอดป้ายหน้าก็รีบลงไปด้วยความอับอาย นอกจากความอายแล้วผมจำไม่ได้ว่าได้อธิบายเหตุการณ์นี้กับตัวเองอย่างไร ผมคิดถึงเหตุการณ์ทั้งสองในช่วงเวลาต่างกันบ้างเมื่อมีอะไรมากระตุ้นความทรงจำ เมื่อโตขึ้น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ มีความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น ก็คงจะมีความเข้าใจ และคำอธิบายให้กับเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งผมก็จำไม่ได้อีกเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผมมาเข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งจริง ๆ ก็หลังจากเกิดวิกฤตการเมืองแล้วและผมเริ่มศึกษางานนักของนักคิดตะวันตกในศตวรรษที่ 18 อย่างจริงจังในท่ามกลางเหตุการณ์ที่ดำเนินไป สิ่งที่เกิดขึ้นบนรถเมล์ในวัยเด็กไม่ใช่เรื่องของยัยแก่หยิ่งยะโส หรือวัฒนธรรมที่ต่างกัน ดังคำอธิบายที่พบทั่วไป หรือคำอธิบายที่ผมอาจจะเคยใช้บอกตัวเอง แต่มันเป็นเรื่องของศีลธรรมในระดับสามัญสำนึกซึ่งอยู่ในระนาบที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง พฤติกรรมของหญิงชราอาจดูประหลาด และการกระทำของผมอาจดู "ปรกติ" ในสังคมที่ศีลธรรมคือ "ความเห็นอกเห็นใจ" แต่ทุกสิ่งทุกอย่างจะ "กลับกัน" ในทันที สำหรับสังคมที่ ศีลธรรมคือการเชื่อว่ามนุษย์มีเสรีภาพอย่างแท้จริง ผมทราบว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอธิบาย และผมคงไม่เข้าใจมันถ่องแท้จริง ๆ หากไม่ได้ศึกษามันท่ามกลางวิกฤตการเมือง สำหรับอิมมานูเอล คานท์ อิสรภาพที่จะเลือกมาก่อนสิ่งอื่นใด และศีลธรรมจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากมัน และโดยพื้นฐานความเชื่อเรื่องอิสรภาพนี้นี่เองที่คานต์ต่อต้านระบอบ "พ่อปกครองลูก" และเห็นว่ามันคือทรราชในรูปแบบหนึ่ง มนุษย์ต้องบรรลุถึงซึ่งวุฒิภาวะที่จะกำหนดตัวเองว่าควรทำอะไร ไม่ว่าจะเลวหรือดี โดยไม่พึ่งพิงการใช้อาญาสิทธ์ หรือการกำกับควบคุมของสิ่งใด หากมิเช่นนั้น เขาก็คือคนเถื่อน ไร้อารยธรรม ซึ่งเปรียบได้กับเด็กที่ยังไม่โต อารยธรรมคือการที่มนุษย์สามารถดูแลตัวเอง บรรลุภาวะในการกำหนดตัวเอง เป็นอิสระจากสิ่งอื่นที่เราควบคุมไม่ได้ คนที่ต้อง "พึ่งพิง" หรือ "ขึ้นอยู่กับ" คนอื่น นั้น ไม่ใช่คนที่บรรลุภาวะความเป็นมนุษย์สำหรับคานท์ หากว่าคุณค่าทางศีลธรรมของมนุษย์ไปผูกพันกับสิ่งอื่นนอกตัวเขาเสียแล้ว โดยที่เขากำหนดไม่ได้เสียแล้ว ย่อมเท่ากับว่า เหตุแห่งพฤติกรรมของเขา ไม่ได้มาจากภายในตัวตนของเขาเอง หากเป็นเช่นนี้ เขาจะ "ไม่สามารถรับผิดชอบ" ต่อการกระทำของตน และนั่นไม่ใช่ศีลธรรมสำหรับคานท์ ถ้าเลือกไม่ได้ หรือไม่มีอิสระที่จะเลือก ศีลธรรมก็จะเกิดไม่ได้ คนต้องมี "อิสระ" ที่จะเลือกทำหรือไม่ทำเสียก่อน จึงจะสามารถมองดูศีลธรรมของเขาได้ สิ่งนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสังคมที่เห็นว่า เพียงแสดงน้ำใจ เสียสละ มีความเห็นอกเห็นใจ หรือทำบุญทำทาน ก็สามารถนับว่ามีศีลธรรมได้แล้ว วิธีคิดของคานท์แบบนี้ไม่เพียงกลายเป็น "สามัญสำนึก" ของคนตะวันตก แต่มันยังกลายเป็นทั้ง "กระดูกสันหลัง" และ "เลือดเนื้อ" ของสังคมสมัยใหม่ และเพราะเหตุนี้เอง ผมจึงไม่เคยนับตัวเองเป็น "ฝ่ายเห็นอกเห็นใจคนเสื้อแดง" และไม่ยอมรับคนที่แสดงออกทางการเมืองด้วยการ "เห็นอกเห็นใจ" (sympathy) ไม่เพียงคนเสื้อแดง แต่รวมไปถึงทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเห็นใจ เด็ก สตรี หรือ "คนชรา" ผมไม่ได้ออกมาต่อต้านทหารและรัฐบาลอภิสิทธิ์ เพราะ "เห็นใจ" คนเสื้อแดงที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ผมออกมาก็เพราะเห็นว่า "มันไม่ถูก" และสิ่งที่พวกเขากระทำต่อคนเสื้อแดงนั้น เป็น "การละเมิดสิทธิ์" ของผมด้วย ผมไม่ได้ต่อต้านการรัฐประหารและไม่เห็นด้วยกับคดีทักษิณ เพราะผม "รัก" หรือ "นิยม" ทักษิณ แต่ต่อต้านเพราะว่ามัน "ไม่ถูกต้อง" และมันทำลายสิทธิ์ของผมด้วย ไม่ว่าผมจะเกลียดทักษิณเพียงใด ผมก็จะต่อสู้ให้กับสิทธิ์ที่จะได้รับการดำเนินคดีในกระบวนการที่ถูกต้องยุติธรรมของเขา ไม่ว่าผมจะรักในหลวงเพียงใด แต่ถ้าหากว่าในหลวงทำผิดรัฐธรรมนูญ ผมก็จะต่อต้านพระองค์ ที่กล่าวมานี้คือตัวอย่างของศีลธรรมทางการเมืองที่แท้จริง ซึ่งเป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตย ถ้าสังคมไม่มีสามัญสำนึกแบบนี้ ก็ไม่มีทางที่จะ "เติบโต" ไม่มีทางมีประชาธิปไตย มีอารยธรรม หรือความเจริญ และคงวนเวียนอยู่กับความเป็นเด็กไม่ที่ยอมโต ไม่ต้องเอ่ยถึงการคิดอะไรใหญ่โตเช่นการปฏิรูปปฏิวัติการเมือง ฝันถึงระบอบระบบที่สมบูรณ์แบบ เพราะแม้แต่ "เจตจำนง" ของตนก็ขาดไร้ซึ่งอิสรภาพ ฝากความดีงามไว้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ลำพังเพียง "ความรับผิดชอบ" ต่อศีลธรรมของตนเองก็ยังไม่มี
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชนแก้ปัญหาด้วยการปรับโครงสร้างอำนาจ Posted: 06 Dec 2013 06:19 AM PST สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) เสนอทางเลือกในการแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองตามวิถีทางประชาธิปไตย ด้วยการปรับโครงสร้างทางอำนาจที่รวมศูนย์รวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ตำรวจพบผู้เสียชีวิตบนรถบัสหน้าราม ถูกเพื่อนชวนมาก่อเหตุแล้วถูกไฟคลอก Posted: 06 Dec 2013 05:02 AM PST ผลพิสูจน์ดีเอ็นเอและพยานหลักฐาน ระบุผู้เสียชีวิตในรถบัสหน้ารามคำแหงเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ถูกเพื่อนชักชวนขึ้นไปก่อเหตุเผาเบาะรถบัส แต่ลงจากรถไม่ทันถูกไฟคลอก 6 ธ.ค. 2556 - จากเหตุความรุนแรงที่ย่านรามคำแหงในวันที่ 30 พ.ย. และ 1 ธ.ค. นั้น ล่าสุด สำนักงานข่าวไทย รายงานว่า พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี ที่ปรึกษา สบ. 10 ได้กล่าวยืนยันผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอผู้เสียชีวิตบนรถบัสหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงที่มีเหตุปะทะกัน คือนายสุรเดช คำแปงใจ อายุ 19 ปี ที่มารดาสงสัยว่าเสียชีวิตบนรถบัส ซึ่งผลดีเอ็นเอตรงกับมารดาอย่างชัดเจน ประกอบกับหลักฐานที่ได้ในจุดเกิดเหตุเป็นแหวน กุญแจบ้าน ไอโฟน หัวเข็มขัดซึ่งตรงกับที่มารดาเป็นคนให้ข้อมูล และจากการสอบปากคำพยานระบุว่า ผู้ตายพักอยู่ย่านเอกมัย ซ้อนท้ายจักรยานยนต์รับจ้างมาซื้อยาแก้ไอในย่านใกล้เคียง และไปดูเหตุการณ์ปะทะกัน ถูกชักชวนให้ร่วมก่อเหตุความวุ่นวาย โดยพยานให้การว่าผู้ตายขึ้นไปบนรถบัสเพื่อกรีดเบาะและทุบกระจกจนไฟเกิดลุกไหม้จากหน้ารถลามรวดเร็วจนผู้ตายลงมาไม่ทัน เนื่องจากประตูด้านล่างล็อกทำให้ผู้ตายถูกไฟคลอกเสียชีวิต และไม่ใช่กลุ่มคนเสื้อแดงหรือนักศึกษารามคำแหง นอกจากนี้ ผลการตรวจพิสูจน์หัวกระสุนปืนผู้เสียชีวิตรายอื่นก็ไม่พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากกระสุนปืนที่มาจากสไนเปอร์ตามที่มีกระแสข่าว ซึ่งผู้เสียชีวิตมีบาดแผลถูกยิงระดับอก อีกทั้งปลอกกระสุน 34 ปลอก หัวกระสุน 12 หัว กระสุน 2 นัด มาจากปืน 7 ชนิด ซึ่งกองพิสูจน์หลักฐานเก็บได้จากที่เกิดเหตุ ไม่พบปลอกกระสุนที่มาจากปืนสไนเปอร์ อีกทั้งคำให้การของพยานในที่เกิดเหตุก็สอดคล้องกับผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ด้วยเช่นกัน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ทีดีอาร์ไอชี้ไทยต้องพัฒนาประเทศโดยการสร้างนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยี Posted: 06 Dec 2013 02:47 AM PST 6 ธ.ค. 2556 - สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่าเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ ถือได้ว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างมาก โดยประเทศไทยสามารถดำเนินการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจากเดิมที่พึ่งพาภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก มาสู่การใช้ภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่เน้นการส่งออกเป็นพลังขับเคลื่อนแทน ความสำเร็จที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความสามารถของผู้ประกอบการในประเทศไทย ในการเข้าร่วมในเครือข่ายการผลิตระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังประสบความสำเร็จในการกระจายการส่งออกในหลายสินค้าไปหลายประเทศ แต่อุตสาหกรรมการผลิตของไทยยังคงไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในระดับสูงได้มากพอ หากอุตสาหกรรมการผลิตของไทยยังคงไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากพอในอนาคต ก็คงเป็นการยากที่ประเทศไทยจะสามารถหลุดพ้นจากกับดักของประเทศรายได้ปานกลาง (middle-income trap) ได้ และเราจะมีปัญหาในการรับมือกับสังคมสูงอายุ ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรมาก ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ประชาธิปัตย์ - เพื่อไทย ไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อมทั้ง 8 เขต Posted: 06 Dec 2013 02:43 AM PST 'ประชาธิปัตย์' ไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อมทั้ง 8 เขต เช่นเดียวกับ 'เพื่อไทย' ที่เห็นว่า ปชป. อยากจะทำอะไรก็ทำไปเลย ขณะที่สิ้นสุดการรับสมัครมีแต่พรรคเล็กลงสมัคร ขณะที่มี 3 เขตที่ไม่มีผู้สมัครเลย โดย กกต. เล็งขยายเวลารับสมัคร 6 ธ.ค. 2556 - วันนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการรับสมัครผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส. ทั้งหมด 8 เขตที่ว่างลง หลังจากสุเทพ เทือกสุบรรณ นำ ส.ส. ประชาธิปัตย์ลาออกมาเป็นแกนนำ กปปส. นั้น ล่าสุดวันนี้ มติชนออนไลน์ รายงานคำให้สัมภาษณ์ของ ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ทั้ง 8 เขตว่า คณะกรรมการบริหารพรรควิเคราะห์แล้วเห็นว่าสถานการณ์การเมืองตอนนี้ไม่เหมาะที่จะส่งผู้สมัคร เพราะการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบของประเทศ สิ่งที่รอดูคือนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะรับผิดชอบด้วยการยุบสภาหรือลาออกหรือไม่ ถ้าไม่ยุบสภา ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ดังนั้น พรรคก็มีมติไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้ ขณะที่ก่อนหน้านี้ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยได้หารือกันและมีมติไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ทั้ง 8 เขต "เราจะไม่ร่วมสังฆกรรมกับพวกที่ลาออกจากการเป็น ส.ส.มาทำตัวเป็นม็อบข้างถนน เพื่อล้มรัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งของประชาชน เราขอบอยคอตและจะไม่ให้ความร่วมมือกับการเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์อยากจะทำอะไร อยากจะเล่นอะไรก็ทำไปเลยฝ่ายเดียว เราไม่สนใจ" ทั้งนี้ในการเลือกตั้งซ่อมทั้ง 8 เขต ผู้สมัครส่วนใหญ่เป็นผู้สมัครจากพรรคเล็ก โดยมี 5 เขตที่มีผู้สมัครเลือกตั้งแล้ว และมีอีก 3 เขตเลือกตั้งที่ยังไม่มีผู้สมัครเลยได้แก่ หนึ่ง เขตเลือกตั้งที่ 2 จ.ตรัง สอง เขตเลือกตั้งที่ 2 จ.สุราษฎร์ธานี และสาม เขตเลือกตั้งที่ 1 จ.ชุมพร โดยนายประพันธ์ นัยโกวิท ให้สัมภาษณ์ในไทยรัฐออนไลน์ ระบุว่าอาจจะแก้ปัญหาด้วยการขยายเวลารับสมัครออกไป โดยขณะนี้ในสภาผู้แทนราษฎรยังมี ส.ส. มากพอที่จะทำงานได้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เลขา สปสช.เยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บเหตุชุมนุม เผยดูแลค่ารักษาให้ทุกราย Posted: 06 Dec 2013 02:33 AM PST เลขาธิการ สปสช.เยี่ยมให้กำลังใจผู้บาดเจ็บจากเหตุชุมนุมที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลรามาธิบดี และ ทุกรายอาการปลอดภัย ผู้บาดเจ็บไม่ต้องเสียค่ารักษา สปสช.รับผิดชอบตามนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินของรัฐบาล ไม่เลือกสีเลือกข้าง ดูแลประชาชนไทยทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
นายทุนแห่ขอสัมปทานเหมืองแร่โปแตชอีสาน Posted: 06 Dec 2013 02:04 AM PST ศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ (ศสส.) อีสาน เผยบริษัทต่างๆ ยื่นขอสัมปทานเหมืองแร่โปแตชเกินครึ่งภาคอีสานรวมกว่า 1.7 ล้านไร่ ล่าสุดขยายที่กาฬสินธุ์ 3 แสนไร่ บึงกาฬ 6 หมื่นไร่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
[คลิป] นักวิชาการ มธ.บรรยายสาธารณะ ไม่เห็นด้วยอธิการบดีสั่งหยุดสอน Posted: 06 Dec 2013 12:47 AM PST 3 ธ.ค. 2556 ที่โถงอาคารเรียนรวมสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ศูนย์รังสิต คณะอาจารย์ มธ. บางส่วน ประกอบด้วย วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ยุกติ มุกดาวิจิตร ประจักษ์ ก้องกีรติ ปิยบุตร แสงกนกกุล และอื่นๆ ได้จัดอภิปราย "ห้องเรียนประชาธิปไตย" แสดงความไม่เห็นด้วยต่อการสั่งปิดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยระหว่างวันที่ 2, 3 และ 4 ในทุกวิทยาเขต โดยชี้ว่า เป็นการออกคำสั่งโดยไม่ได้รับฟังความคิดเห็นของประชาคมธรรมศาสตร์ทั้งหมด และอาจแสดงให้เห็นว่า มธ. ได้เลือกข้างทางการเมือง จากการหยุดการเรียนการสอนสอดคล้องกับการนัดหยุดงานของแกนนำ กปปส. สุเทพ เทือกสุบรรณ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: สงครามกลางเมืองที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ Posted: 06 Dec 2013 12:39 AM PST ฝ่ายจารีตนิยมได้ก่อการรุกครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีมานี้ โดยระดมองคาพยพทั้งหมดของตนออกมาล้อมกรอบขับไล่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ฉวยโอกาสที่พรรคเพื่อไทยกระทำความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ที่ผลักดันนิรโทษกรรมเหมาเข่ง
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน "โลกวันนี้วันสุข" ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
“สุรพงษ์”แทน”ประชา” : การตัดสินใจผิดอีกครั้งของทักษิณ Posted: 06 Dec 2013 12:22 AM PST ในวันนี้ ทักษิณกำลังตัดสินใจเสี่ยงและผิดพลาดอีกครั้งหนึ่ง และการเสี่ยงครั้งนี้ยิ่งจะทำให้สถานการณ์ทั้งในส่วนของบ้านเมือง ,พรรคเพื่อไทย และ รัฐบาล เลวลง และจังหวะก้าวของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลก็จะเพลี่ยงพล้ำมากขึ้นไปอีก
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
อย่าบิดเบือนเรื่องคนนอกสามารถเป็น ”นายกฯ พระราชทาน” Posted: 05 Dec 2013 06:46 PM PST นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวปราศรัยเมื่อค่ำวันที่ 4 ธันวาคม 2556 ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หลังจากจอมพลถนอม กิตติขจร ลาออก รองประธานวุฒิสภาในยุคนั้นได้นำความบังคมทูลโปรดเกล้าแต่งตั้งนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้น นายกรัฐมนตรีพระราชทานทำได้ ทำมาแล้ว นัยหนึ่ง เป็นธรรมเนียมที่เคยมีมา ข้ออ้างของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ สอดรับกับความเห็นของนักวิชาการกฎหมายบางคนอย่างอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เสนอว่า สามารถใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 7 ที่มีความว่า "ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" การอ้างครั้งนี้ของนายสุเทพชัดเจนกว่าการอ้างของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตรงที่ให้ข้อมูลว่า นายกฯ พระราชทาน มีผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการ อนึ่ง ในการอ้างครั้งนี้ยังอ้างเพิ่มตรงมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 (อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล) อีกด้วย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
รัฐบาลแอฟริกาใต้ประกาศ 'เนลสัน แมนเดลา' เสียชีวิตแล้ว Posted: 05 Dec 2013 04:48 PM PST เนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 95 ปี โดยเป็นหนึ่งในผู้ต่อสู้เพื่อความเสมอภาคในแอฟริกาใต้ ต่อต้านนโยบายแบ่งแยกสีผิว ถูกจองจำนานถึง 27 ปี กระทั่งได้รับการปล่อยตัวและชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของแอฟริกาใต้
เนลสัน แมนเดลา ในวันที่ได้รับการปล่อยตัวเมื่อ 12 ก.พ. 2533 หลังถูกจองจำมานานกว่า 27 ปี (ที่มา: หนังสือพิมพ์ The Weekly Mail, February 12 1990)
เนลสัน แมนเดลา ในปี 2551 (ที่มา: วิกิพีเดีย)
6 ธ.ค. 2556 - เมื่อคืนวันที่ 5 ธ.ค. ตามเวลาท้องถิ่นของแอฟริกา ประธานาธิบดียาค็อป ซูมา แห่งแอฟริกาได้ ได้ประกาศว่าอดีตประธานาธิบดีแอฟริกาเนลสัน แมนเดลา เสียชีวิตแล้ว ที่บ้านพักของเขาในเมืองโจฮันเนสเบิร์ก สิริอายุ 95 ปี ทั้งนี้ อัลจาซีรารายงานว่า อดีตประธานาธิบดีแมนเดลาต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลมากกว่า 3 เดือน เพื่อรักษาอาการติดเชื้อในปอด
นักเรียนกฎหมายวัยหนุ่มและการต่อสู้เพื่อความเสมอภาคในแอฟริกาใต้ แมนเดลาเป็นบุคคลสำคัญในขบวนการการต่อต้านนโยบาย Apartheid หรือนโยบายแบ่งแยกสีผิว ทั้งนี้เขาเกิดเมื่อปี 2461 ที่เมืออุมตาตู ในครอบครัวของผู้ปกครองเผ่าเทมบู ในแคว้นทรานสไก แมนเดลาได้รับการศึกษาด้านกฎหมายจากที่มหาวิทยาลัยฟอร์ตแฮร์ (Fort Hare University) และมหาวิทยาลัยวิตวอเตอร์สรันด์ (University of Witwatersrand) ที่โจฮันเนสเบิร์ก และที่เมืองนี้เอง ทำให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองแนวต่อต้านอาณานิคมร่วมกับขบวนการสมัชชาแห่งชาติแอฟริกา หรือ ANC และเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสันนิบาตเยาวชนของ ANC อย่างไรก็ตามภายหลังที่พรรคชาตินิยมชนะการเลือกตั้งในปี 2491 และเริ่มนโยบายแบ่งแยกสีผิว แมนเดลาเป็นผู้นำสำคัญในแคมเปญของ ANC เพื่อต่อต้านนโยบายดังกล่าว และในปี 2495 ได้รับเลือกเป็นประธานสาขาของ ANC ที่ทรานสวาล (Transvaal) และเข้าร่วมสมัชชาประชาชนเมื่อปี 2498 ทั้งนี้ แมนเดลากับเพื่อนนักกฎหมายคือ โอลิเวอร์ แทมโบ ได้เปิดสำนักกฎหมาย "Mandela and Tambo" ขึ้น เพื่อให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่ชาวแอฟริกันผิวสีในราคาต่ำหรือไม่คิดมูลค่า อย่างไรก็ตามเขามักจะถูกจับในข้อหาปลุกปั่น ทั้งนี้แม้ว่า แมนเดลา จะบอกว่าเขานั้นได้รับอิทธิพลการต่อสู้ในเชิงสันติอหิงสาจากมหาตมะ คานธี และพยายามผูกมิตรกับเหล่านักการเมืองเชื้อชาติอื่นทั้งคนผิวขาวและคนผิวสี อย่างไรก็ตามภายหลังเหตุการณ์สังหารที่ชาร์ปเพวิลล์ (The Sharpeville massacre) ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 69 คนจากการประท้วงที่สถานีตำรวจของเมือง ในเดือนมีนาคมปี 2503 ทำให้ ANC ตัดสินใจต่อต้านนโยบาบแบ่งแยกสีผิวด้วยการใช้กำลังอาวุธ โดยในปี 2504 แมนเดลาก่อตั้งและขึ้นเป็นผู้นำกลุ่ม "Umkhonto we Sizwe" หรือ "หอกแห่งชาติ" ซึ่งเป็นฝ่ายติดอาวุธของกลุ่ม ANC เพื่อต่อต้านนโยบายแบ่งแยกสีผิวด้วยการใช้กำลังอาวุธ "คนของพวกเราเป็นนักสู้เพื่อเสรีภาพที่ถูกฝึกมาอย่างดี ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย" เนลสันกล่าวไว้ในแถลงการณ์เมื่อปี 2513 ว่า "พวกเรากำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย การปกครองโดยคนหมู่มาก เพื่อสิทธิของชาวแอฟริกันที่จะได้ปกครองแอฟริกา พวกเรากำลังต่อสู้เพื่อแอฟริกาใต้ อันจะนำมาซึ่งความสงบสุข ปรองดอง และให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน" ต่อมาในวันที่ 5 สิงหาคม 2505 เขาและแกนนำคนอื่นๆ ถูกจับกุม และถูกตั้งข้อหาก่อวินาศกรรมและโค่นล้มรัฐบาลด้วยการใช้กำลัง ทั้งนี้เขาถูกจำคุกเป็นเวลา 27 ปี อย่างไรก็ตามมีการรณรงค์ในต่างประเทศกดดันให้รัฐบาลแอฟริกาใต้ในขณะนั้นปล่อยตัวเนลสัน แมนเดลาและผู้ถูกจับกุม และมีรัฐบาลหลายประเทศที่คว่ำบาตรนโยบายเหยียดผิวของแอฟริกาใต้ โดยเหตุการณ์รณรงค์ที่สำคัญครั้งหนึ่งคือการจัดคอนเสิร์ตที่สนามเวมบลีย์ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อ 11 มิถุนายน 2531 ในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 70 ปีของแมนเดลาในวันที่ 18 กรกฎาคม และเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวแมนเดลาและเพื่อน โดยมีการถ่ายทอดสดไป 67 ประเทศทั่วโลก มีผู้ชม 600 ล้านคน อย่างไรก็ตามในสหรัฐอเมริกา สถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ได้เซ็นเซอร์บางช่วงของคอนเสิร์ตที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมือง
ได้รับการปล่อยตัว และการปรองดองแห่งชาติ กระทั่งในปี 2533 หลังแอฟริกาใต้มีการเปลี่ยนประธานาธิบดีคนเก่าซึ่งป่วยหนัก มาเป็น เฟรเดอริค วิลเลม เดอ เคลิร์ก นโยบายเหยียดผิวในแอฟริกาใต้เริ่มผ่อนปรน โดยเดอ เคลิร์ก ได้ประกาศปล่อยตัวแมนเดลาเป็นอิสระในเดือนกุมภาพันธ์ 2533 ทั้งนี้เดอ เคลิร์ก และแมนเดลา ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพร่วมกันในปี 2536 จากบทบาทสำคัญของทั้งสองในการยุติยุคแห่งการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ และภายหลังได้รับการปล่อยตัว แมนเดลากลับมามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตยสำหรับทุกเชื้อชาติในแอฟริกาใต้ และได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรก หลังการเลือกตั้งทั่วไป 27 เมษายน 2537 และเขาได้ตั้งรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ โดยมีเดอ เคลิร์ก และทาโบ อึบแบกีเป็นรองประธานาธิบดี ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเหยียดสีผิว และได้ริเริ่มโครงการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน หรือ (RDP) เพื่อสร้างความเสมอภาคทางเศรษฐกิจแก่ประชาชนหลังสิ้นสุดยุคแบ่งแยกสีผิว หลังจากนั้นอีก 5 ปีเขาได้ลงจากอำนาจ แต่ยังมีบทบาทสำคัญอื่นๆ อาทิเป็นผู้รณรงค์ต่อสู้ในประเด็นเรื่องโรคเอดส์ และสนับสนุนให้แอฟริกาได้สิทธิเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 2553 นอกจากนี้ยังคงมีบทบาทในการเจรจาสันติภาพในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และประเทศอื่นๆ ในแอฟริกา ทั้งนี้ แมนเดลาอำลาการเมืองในปี 2547 ด้วยวัย 85 ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและเพื่อน โดยไม่ค่อยออกงานสังคมมากนัก ยกเว้นการปรากฏตัวของเขาในพิธีปิดการแข่งขันฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้ในปี 2553 อนึ่งมีรายงานครึกโครมในสื่อมวลชนไทยด้วยว่าในปี 2553 ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยเดินทางไปเยี่ยมคารวะเนลสัน แมนเดลาด้วย และทางสำนักงานของแมนเดลา ระบุว่าเป็นการขอเข้าพบส่วนตัว
แปลและเรียบเรียงจาก Nelson Mandela dies in company of his family, Aljazeera, 05 Dec 2013 21:53 Nelson Mandela: A nation's father, Aljazeera, 05 Dec 2013 22:06 Nelson Mandela, Wikipedia, http://en.wikipedia.org/wiki/Nelson_Mandela Nelson Mandela 70th Birthday Tribute, Wikipedia http://en.wikipedia.org/wiki/Nelson_Mandela_70th_Birthday_Tribute ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น