โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

สุจิตต์ วงษ์เทศ: ปีเก่า-ปีใหม่ ไม่เคย มีในสำนึกดั้งเดิม

Posted: 31 Dec 2012 09:11 AM PST

"ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่" เป็นวลีผูกขึ้นใหม่เมื่อหลังรับคติขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม ตามปฏิทินสากลราว 70 กว่าปีมานี้ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี

ก่อนหน้านี้ไม่มีสำนึกปีเก่า-ปีใหม่แบบสากล

มีแต่รับรู้เรื่องเปลี่ยนปีนักษัตรจากรูปสัตว์หนึ่ง ไปอีกรูปสัตว์หนึ่ง ตอนขึ้นเดือนอ้าย (หมายถึงเดือนที่ 1) หลังลอยกระทงเดือน 12 (ตรงกับปฏิทินสากลราวเดือนพฤศจิกายน)

เช่น เปลี่ยนจาก มะโรง งูใหญ่ เป็น มะเส็ง งูเล็ก (ไม่ใช่เปลี่ยนตอนสงกรานต์ เมษายน ซึ่งเป็นประเพณีอินเดีย เพราะในอินเดียไม่มีปีนักษัตร มีแต่สิ่งที่โหราจารย์บอกว่าเรียกราศีตามสุริยคติ นับถือดวงอาทิตย์)

แล้วรับรู้ว่าฤดูกาลเปลี่ยนไปจากฝนเป็นหนาว ในช่วงเดือนอ้าย ปลายฝน ต้นหนาว

ฤดูกาลที่เปลี่ยนไปก็ไม่เหมือนกัน เพราะทางเหนือรับลมมรสุมก่อน มีฝนก่อน ทำนาปลูกข้าวก่อน ข้าวสุกก่อน เกี่ยวข้าวก่อน จึงนับเดือนเร็วกว่าภาคกลางซึ่งอยู่ใต้ลงมาราว 2 เดือน เช่น

รัฐล้านนา เข้าเดือนอ้าย หรือเดือน 1 ไปแล้ว แต่รัฐสุพรรณภูมิยังเป็นเดือน 11 ครั้นรัฐสุพรรณภูมิลอยกระทงเดือน 12 แต่รัฐล้านนาเป็นเดือนยี่ (คือ เดือน 2)

ส่วนรัฐนครศรีธรรมราชเป็นเดือนอะไร? ตรงกับที่ไหน? ไม่พบหลักฐาน

ดินแดนที่เป็นประเทศไทยทุกวันนี้ สมัยโบราณมีหลายรัฐ แต่ละภาคก็มีรัฐเอกราชต่างๆกันไป ไม่ได้รวมเป็นอาณาจักรเดียวกัน บางทีในภาคเดียวกันมีหลายรัฐก็ได้ เช่น

ภาคกลางตอนบนมีรัฐสุโขทัย แต่ตอนล่างมีรัฐสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี), และรัฐอโยธยา-ละโว้ (อยุธยา-ลพบุรี)

ภาคใต้ตอนบนมีรัฐนครศรีธรรมราช แต่ตอนล่างมีรัฐปัตตานี

อยุธยาเป็นราชอาณาจักรสยามแห่งแรก เพราะรวมรัฐนครศรีธรรมราช ทางใต้ กับรัฐสุโขทัย ทางเหนือ ไว้ในอำนาจได้ก่อนที่อื่นๆในไทย แต่ยังไม่มีอำนาจเหนือรัฐปัตตานีกับรัฐล้านนา

(ที่ว่าสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย จึงไม่จริง และที่ว่าสุโขทัยล่มแล้วจึงมีรัฐอยุธยาก็ไม่ใช่)

ขณะส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ตามปฏิทินสากลนี้ ถ้าย้อนยุคกลับไปจะพบว่า

ภาคเหนือ รัฐล้านนา เป็นเดือน 3 ปลายหนาว

ภาคกลาง รัฐอยุธยา เป็นเดือน 1 ปลายฝน ต้นหนาว

ภาคใต้ รัฐนครศรีธรรมราชและรัฐปัตตานี เป็นเดือนอะไรไม่รู้ แต่เพิ่งเข้าฤดูฝน ที่เลื่อนลงจากภาคกลาง

ในอนาคตอิทธิพลโลกร้อนมีรุนแรงขึ้น ฤดูกาลแปรปรวนมากขึ้นอีก จึงไม่มีใครรู้ว่าฤดูกาลจะเปลี่ยนแปลงรุนแรงอย่างไร? ขนาดไหน?

 

 

 ที่มา: เว็บไซต์ สุจิตต์ วงษ์เทศ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดคลังเอกสาร VOC ที่กรุงเฮก: หลักฐานใหม่ว่าด้วยประวัติศาสตร์ปาตานี

Posted: 31 Dec 2012 08:56 AM PST

ปาตานี ฟอรั่ม เห็นว่าข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจในประเด็นของประวัติ ศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างปาตานีและฮอลันดา จึงขอนำมาเสนอ ณ ที่นี้<--break- />

คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดยภาควิชาประวัติศาสตร์ ได้จัดการเสวนาทางวิชาการเรื่อง "เปิดคลังเอกสาร VOC ที่กรุงเฮก:หลักฐานใหม่ว่าด้วยประวัติศาสตร์ปาตานี" นำเสวนาโดย ดร. ปิยดา ชลวร นักวิจัยจาก Center for Southeast Asian Studies, มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น

******************************

VOC หรือบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (ภาษาอังกฤษ The Dutch East India Company ภาษาดัตช์ Vereenigde Oost-Indische Compagnie, VOC, "United East India Company") ก่อตั้งขึ้นในปี 1602 ด้วยเหตุผลจากความไม่พอใจในการผูกขาดสินค้าชนิดเครื่องเทศ ซึ่งถือเป็นความต้องการระดับต้นๆ ของชาวยุโรปที่เดินทางเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย โดย VOC เกิดจากลงทุนร่วมกันของพ่อค้าและธนาคารของดัตช์

การเสวนาในครั้งนี้ เริ่มต้นจากการศึกษาเอกสารทางประวัติศาสตร์พบว่าในปี 1602 ได้มีนายพล Jacob Van Neck ซึ่งเป็นพ่อค้าชาวฮอลันดาของบริษัท Zeeland Company เดินทางเพื่อซื้อสินค้าจากจีนที่มาเก๊า แต่เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้น ทำให้ไม่สามารถทำการค้าได้ จึงได้เดินทางมายังปาตานีเพราะรู้มาว่าที่ปาตานีมีสินค้าจีนจำนวนมากที่สามารถหาซื้อได้

เหตุการณ์สำคัญในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 คือเหตุการณ์โจมตีเรือ Santa Catharina ของโปรตุเกส ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างฮอลันดา ยะโฮร์ และปาตานี เหตุการณ์ในครั้งนั้นเริ่มต้นเมื่อ Heemskerck ได้เดินทางไปพำนักอยู่ที่ปาตานีได้พบกับรายาบงสู น้องของสุลต่านยะโฮร์ ซึ่งเดินทางมาในปาตานีในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งขณะนั้นอาณาจักรยะโฮร์มีความไม่พอใจต่อโปรตุเกส ซึ่งได้ยึดมะละกามาก่อนหน้านั้น การพบกันของทั้งสองในครั้งนั้น นำไปสู่ความร่วมมือในการโจมตีโปรตุเกส โดยในการโจมตีโปรตุเกสครั้งนี้ได้รับการช่วยเหลือในส่วนของข้อมูลจากกลุ่มขุนนางในปาตานี และไม่ได้มีการคัดค้านจากรายาฮีเยา ผู้ปกครองปาตานี เพื่อทำการโจมตีโปรตุเกส

ต่อมา ดร.ปิยดาได้กล่าวถึงในเรื่องของสินค้าที่ชาวฮอลันดาที่นำมาค้าขายในปาตานี หนึ่งในสินค้าที่ได้รับความนิยมจากชาวพื้นเมืองคือ รูปภาพ มีลักษณะเป็นภาพพิมพ์ที่วาดลงบนไม้และทองแดง จากการปรากฏในรายการสินค้าของปี 1602 มีภาพเหล่านี้อยู่ประมาณ 5-6 พันชิ้น ที่นำมาขายในปาตานี

ความรู้สึกของชาวดัตช์ต่อผู้คนในปาตานี จากบันทึกของ Van Neck ได้ระบุถึงความประทับใจต่อชาวปาตานีว่า เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ รวมไปถึงการค้าขายที่ปาตานีในส่วนของพริกไทยว่า ถึงแม้คุณภาพจะไม่ดี แต่ราคาก็ถูกกว่าที่อื่นๆ บ้านเมืองได้มีการอธิบายอย่างละเอียดเช่น สภาพบ้านเมืองก็มีการนำเสนอถึงความหลากหลายในส่วนของผู้คนที่อาศัยอยู่ในปาตานีว่า มีทั้งคนมลายู ลูกครึ่งไทย ลูกครึ่งจีน ศาสนาก็มีความหลากหลายเช่น พุทธ คริสต์ อิสลาม และความเชื่อพื้นเมือง

นอกจากนั้น Van Neck ได้บันทึกเกี่ยวกับรายาฮีเยาว่าเป็นกษัตริย์ที่เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่เพียงแต่ในวัง ซึ่งเต็มไปด้วยข้าราชบริพารที่เป็นผู้หญิงเยอะมาก และ Van Neck ได้บันทึกเหตุการณ์ที่ได้เข้าเฝ้ารายาฮีเยาซึ่งครั้งนั้นถือเป็นการเข้าเฝ้าเพื่อเป็นการทูลลา รายาฮีเยามอบกริชให้และได้พูดคุยกับ Van Neck ไว้ว่า หากไปแล้วช่วยทิ้งคนที่ดีไว้ และหากว่าออกทะเลไปแล้วเจอเรือจากปาตานีแล้วให้ช่วยเหลือด้วย

แต่ชาวดัตช์อาศัยอยู่ในปาตานีเป็นระยะเวลาที่ไม่นาน อันเนื่องมาจากการค้าในปาตานีไม่สามารถที่จะสร้างผลกำไรให้แก่ดัตช์และบริษัท VOC ได้และหลังจากนั้นเมื่อดัตช์สามารถไปยึดเกาะฟอร์โมซา(เกาะไต้หวัน) ได้ จึงทำให้ปาตานีนั้นสูญเสียความสำคัญไป และในที่สุดก็ต้องปิดสถานีของดัตช์ในปี 1620

ข้อมูลในเอกสารของ VOC ที่กล่าวถึงภูมิภาคเอเชียโดยรวม ซึ่งจะมีการรวบรวมไว้ในกล่อง กล่องนั้นหากมีการมาจัดเรียงกันแล้วมีความยาวถึง 2 กิโลเมตร โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับประเทศอินเดีย แต่ในส่วนของปาตานีแล้วมีค่อนข้างน้อย มีทั้งหมด 11 กล่อง ซึ่งจะเขียนในภาษาดัตช์ แต่มีบางเอกสารที่บันทึกเป็นภาษาจีนและอารบิก (ซึ่งเป็นภาษามลายูยาวี)

ในเอกสารของดัตช์ที่เกี่ยวกับปาตานี เราจะได้เห็นถึงการต่อสู้ระหว่างสยามกับปาตานี รวมไปถึงอัตลักษณ์ของชาวปาตานีในเชิงการเมือง เอกสารของดัตช์ทำให้ได้เห็นถึงอีกมุมหนึ่งของปาตานี ซึ่งจะเห็นปาตานีในส่วนหนึ่งของบริบทโลกมลายู เพราะว่าในช่วงเวลาดังกล่าวปาตานีนั้นไม่สามารถที่จะอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว จะเห็นได้ว่ามีการติดต่อกับยะโฮร์ บอร์เนียว เกาะชวา มาโดยตลอดผ่านพ่อค้าหลายๆ ชาติ เอกสารของดัตช์โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีเรื่องราวของรายละเอียดของการค้าขาย แต่ยังคงปรากฏเรื่องราวของประวัติศาสตร์และเรื่องราวเกี่ยวกับรายาผู้ปกครองปาตานีค่อนข้างน้อย

นอกเหนือจากนั้นอาจารย์ครองชัย หัตถา ได้นำเสนอเพิ่มเติมในเรื่องของหลักฐานท้องถิ่นเช่น เครื่องถ้วยฮอลแลนด์ ซึ่งมีเยอะมากในบ้านของผู้คนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีปืนที่ระลึกที่ตอกเครื่องหมายของ VOC มีความยาวประมาณ 1 เมตร นอกจากนั้นยังคงมีสถานที่เรียกกันว่า กาแล บือลันดา ซึ่งเป็นคลองขุดเพื่อถ่ายสินค้าที่เทียบท่าในอ่าวปัตตานี

การเสวนาในครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีการรับรู้ อย่างไรก็ตามหากท่านใดสนใจสามารถดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ www.4shared.com/office/GNz_1GHD/_online.html

หมายเหตุ: 1 เอกสารเผยแพร่และรูปภาพบางส่วนนำมาจากเฟซบุคของ อาจารย์ Chokchai Wongtanee
                   2 เผยแพร่ครั้งแรกที่ PATANI FORUM

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นิธิ เอียวศรีวงศ์: ของขวัญปีใหม่

Posted: 31 Dec 2012 08:24 AM PST

ในท่ามกลางความขัดแย้งถึงขั้นใช้อาวุธต่อกันอย่างรุนแรงในภาคใต้ตอนล่าง และระหว่างสีในประเทศไทยโดยรวม ของขวัญปีใหม่ที่คนไทยอยากได้ที่สุดน่าจะเป็นความสงบสันติ แต่ดูจะเป็นของขวัญที่ไกลสุดเอื้อม ผมไม่มีสติปัญญาพอจะมอบของขวัญอันมีค่าขนาดนี้ได้ แต่อยากมอบของขวัญชิ้นเล็กๆ กว่านั้นแยะ แต่ผมคิดว่าสำคัญ

นั่นคือการมองปัญหาความขัดแย้งให้ซับซ้อนกว่าที่เคยมองมา และด้วยเหตุดังนั้นจึงมองทางออกซับซ้อนกว่าที่เคยมองมาด้วย กล่าวคือไม่ใช่ความขัดแย้งของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเท่านั้น และด้วยเหตุดังนั้น การแก้ปัญหาจึงไม่ใช่แค่การจับเข่าคุยกัน ไม่ว่าจะที่ดูไบ หรือที่มาเลเซีย รวมทั้งอาจไม่ต้องเดินไปหนทาง "ความจริง-ความยุติธรรม-การให้อภัย-ความปรองดอง" ด้วย ไม่ใช่เพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง แต่เพราะเป็นเส้นทางที่น้อยสังคมจะเลือกเดินได้ แม้แต่ในสังคมที่เลือกเดินไปแล้ว ก็ไม่ใช่เพราะ "เลือก" แท้ๆ แต่มีปัจจัยอื่นผลักดันอยู่ด้วย

มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย มีโครงการวิจัยใหญ่อันหนึ่งชื่อ "เปรียบเทียบการสร้างสันติภาพ" ซึ่งเกิดขึ้นหลายแห่งในโลก งานวิจัยที่ตีพิมพ์ออกมาชิ้นแรกคือกรณีศึกษาอินโดนีเซีย (John Braithwaite, et.al., Anomie and Violence, Non-Truth and Reconciliation in Indonesian Peacebuilding)

ทำไมถึงต้องเป็นอินโดนีเซีย คำตอบก็เพราะความขัดแย้งในอินโดนีเซียนั้นซับซ้อนหลากหลายมาก มีทั้งที่เป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์, หรือเกิดจาก "คำสาปของทรัพยากร" คือเพราะมีทรัพยากรมากจึงทำให้เกิดความขัดแย้ง และสนับสนุนให้ความขัดแย้งสามารถดำรงอยู่หรือรุนแรงขึ้นได้ทุกฝ่าย, หรือความขัดแย้งระหว่างศาสนาและอัตลักษณ์, หรือการแยกดินแดน, หรือความขัดแย้งระหว่างชนชั้น, หรือการแย่งอำนาจระหว่างกลุ่มการเมือง ฯลฯ และเอาเข้าจริง ในทุกๆ ความขัดแย้งก็มีปัจจัยมากกว่าหนึ่งเสมอ จึงทำให้ซับซ้อนมาก

หลังการลาออกและการพังทลายของระบอบเผด็จการซูฮาร์โต อินโดนีเซียก็ย่างเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า Anomie หมายถึงสภาวะที่ปราศจากความเชื่อฟังต่อ "ประชาวิถี" ซึ่งรวมถึงกฎหมาย, ประเพณี, และอาชญาสิทธิ์ทั้งปวง ความตายอันเนื่องมาจากการก่อการร้ายเพิ่มขึ้นจาก 9 รายใน พ.ศ.2541 (เมื่อซูฮาร์โตประกาศลาออก) เป็น 233 รายใน พ.ศ.2545 แต่พอถึง พ.ศ.2551 การตายจากเหตุก่อการร้ายเหลือสูญราย ไม่เฉพาะแต่การก่อการร้าย แต่รวมถึงสถิติอาชญากรรมอื่นๆ ด้วย ในปัจจุบันสถิติฆาตกรรมในอินโดนีเซียลดลงเหลือเพียง 1 ต่อ 100,000 ราย ซึ่งต่ำกว่าทุกประเทศในยุโรป มีสถิติการติดคุกต่ำสุดในโลกคือ 28 ต่อ 100,000 ฯลฯ 

จากประเทศที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและการก่อการร้าย กลายเป็นประเทศที่สงบเกือบที่สุดในโลกภายในระยะเวลาเพียงทศวรรษเดียว

แต่ในขณะเดียวกัน การเมืองอินโดนีเซียในทศวรรษนี้ คือการก้าวเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยจากเบื้องล่างที่รวดเร็วมาก รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง อาจไม่สามารถคุมกองทัพได้สมบูรณ์ แต่ก็คุมได้มากขึ้น เช่นถอนคนของกองทัพออกไปจากผู้ว่าฯ, นายอำเภอ, และกำนัน ได้หมด ทุกตำแหน่งมาจากการเลือกตั้งท้องถิ่น และดังนั้นข้อสรุปอันแรกที่เห็นได้ชัดก็คือ การล่มสลายของระบอบเผด็จการ และการเป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งใบ ย่อมนำมาซึ่งสภาวะที่ปราศจาก "ประชาวิถี"

บทเรียนนี้มีความสำคัญแก่ไทยอย่างมาก เพราะชนชั้นนำไทยรู้ว่า เราไม่อาจหวนกลับไปสู่ระบอบเผด็จการอย่างสฤษดิ์-ถนอม-ประภาสได้แล้ว แต่หากปล่อยให้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ บ้านเมืองก็จะปั่นป่วนวุ่นวาย (anomie) จึงควรเป็นประชาธิปไตยแค่ครึ่งใบ

บทเรียนจากอินโดนีเซียชี้ว่าเป็นความเข้าใจผิด ประชาธิปไตยครึ่งใบนั่นแหละที่เป็นตัวนำความปั่นป่วนวุ่นวายมาให้มากเท่ากับการพังทลายของระบอบเผด็จการ แต่ประชาธิปไตยเต็มใบต่างหาก ที่อาจนำมาซึ่งการไม่ใช้ความรุนแรงจัดการกับความขัดแย้งได้

เมื่อความเชื่อฟังประชาวิถีพังทลายลง ย่อมเกิด "โอกาส" ใหม่ๆ ขึ้นแก่คนหลายกลุ่ม "โอกาส" เหล่านี้อาจได้มาจากระบบใหม่ที่เกิดขึ้นหลังการพังทลายของประชาวิถีเก่า (ทำได้โดยถูกกฎหมาย) หรืออาจได้มาโดยการฉวยเอาด้วยการลงทุนน้อยที่สุด และส่วนใหญ่ของ "โอกาส" ที่เกิดใหม่เหล่านี้ย่อมฉวยได้โดยไม่ต้องเคารพประชาวิถีใดๆ ไม่ว่าเก่าหรือใหม่ (ทำได้โดยผิดกฎหมาย)

ฉะนั้น หากปล่อยให้สภาวะไร้ประชาวิถีเกิดขึ้นเป็นเวลานานๆ เช่นในภาคใต้ตอนล่าง "โอกาส" ย่อมเพิ่มทบทวีคูณ และการฉวยเอาโดยผิดกฎหมายย่อมเป็นไปได้ง่ายขึ้น และมากขึ้น 

ไม่ว่าจะเป็นการค้าน้ำมัน, ค้าของเถื่อน, ค้ามนุษย์, ค้ายาเสพติด, ฉ้อฉลงบประมาณ, ตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อขายการคุ้มครอง, ฯลฯ และอาจทำได้จากทุกฝ่าย ทหาร, เจ้าหน้าที่บ้านเมืองฝ่ายพลเรือน, ผู้นำท้องถิ่น, ผู้ก่อการ, ครูทั้งอุสตาซในโรงเรียน และโต๊ะครูในปอเนาะ, คนธรรมดา ทั้งมุสลิมและพุทธ ฯลฯ 

ทั้งหมดเหล่านี้หล่อเลี้ยงความรุนแรงให้ดำรงอยู่ หรือเข้มข้นขึ้น บทเรียนจากความขัดแย้งถึงขั้นใช้อาวุธในหลายทำเลของอินโดนีเซีย สอนให้รู้ว่าความซับซ้อนของความขัดแย้งนั้น มีปัจจัยท้องถิ่นช่วยผลักดันมากกว่าความขัดแย้งที่เป็นประเด็นกว้างๆ เช่นระหว่างคริสต์กับอิสลาม, ระหว่างผู้อพยพชาวมาดูรากับชาวพื้นเมืองมลายู, หรือระหว่างรัฐอินโดนีเซียกับชาวพื้นเมืองปาปัวต่างชาติพันธุ์ ฯลฯ

ความเข้าใจเกี่ยวกับความขัดแย้งของเรา ไม่ว่าจะเป็นภาคใต้ตอนล่างหรืออีสาน-เหนือ-ใต้-กลาง ไม่เคยลงลึกไปถึงปัจจัยระดับท้องถิ่นสักกรณีเดียว จึงได้แต่แตะอยู่ระดับอุดมการณ์ ซึ่งทำให้มองไม่เห็นทางออกอื่นใดนอกจาก ดึงเอาอุดมการณ์อื่นที่คิดว่าอาจทำให้คนสามัคคีกันได้ (เช่นชาติ, ศาสน์, กษัตริย์) มาถ่วงดุล ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงอุดมการณ์ เช่น ชาติ, ศาสน์, กษัตริย์นั้นเอง อาจมีความหมายในท้องถิ่นเป็นเงื่อนไขแห่งความขัดแย้งเสียเองก็ได้

ผู้ศึกษากรณีความขัดแย้งถึงขั้นใช้อาวุธในอินโดนีเซีย สรุปเงื่อนไขสำคัญๆ ของการสร้างสันติภาพในโครงสร้างระดับใหญ่เหนือท้องถิ่นว่ามีอยู่ 4 ประการดังนี้

1.บ้านเมืองต้องพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยได้มาก ซึ่งบังเอิญอินโดนีเซียหลังซูฮาร์โตสามารถพัฒนาไปในแนวทางนี้ได้อย่างดี ในกรณีไทยอาจต้องรวมถึงการลดอำนาจและบทบาทของกองทัพลงด้วย (demilitarization) ในความขัดแย้งทางศาสนาของมณฑลมาลูกูของอินโดนีเซีย กองทัพเองนั่นแหละเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยกระพือความไม่ไว้วางใจกันระหว่างชาวมุสลิมและชาวคริสต์ แม้กระทั่งเข้าร่วมในการสังหารหมู่ชาวคริสต์ด้วย

ในประเทศไทย กองทัพถูกมองว่าเป็นคู่ความขัดแย้ง (ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร) ทั้งในภาคใต้ตอนล่าง และในความขัดแย้งระหว่างสี แต่รัฐบาลทุกรัฐบาลกลับให้อำนาจและบทบาทของกองทัพในความขัดแย้งทั้งสองนี้สูง

2.ต้องมีสื่อที่เสรีและยุติธรรม โชคดีที่สื่ออินโดนีเซียตอบรับประชาธิปไตยซึ่งเบ่งบานขึ้นหลังซูฮาร์โตได้ดีกว่าไทยอย่างเทียบกันไม่ได้ 

ในขณะที่สื่อในประเทศไทยกลายเป็นตัวเร่งความขัดแย้ง โดยเฉพาะในสงครามเสื้อสี อย่างอัปลักษณ์กว่าสมัยใดๆ ในประวัติศาสตร์สื่อไทย เราจะออกจากวังวนนี้ได้อย่างไร ผมก็คิดไม่ออกเพียงแต่อยากเตือนว่า เมื่อประชาวิถีของสื่อถูกล้มล้างไปตั้งแต่คำประกาศว่า สื่อจะเป็นกลางระหว่างฝ่าย "ผิดและถูก" ไม่ได้ "โอกาส" มีให้นักทำสื่อฉวยเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไม่ว่าจะถูกต้องทำนองคลองธรรมหรือไม่ 

แม้แต่องค์กรของสื่อเองก็ไม่สามารถฟื้นฟูประชาวิถีของสื่อกลับมาได้ใหม่ หรือร้ายกว่านั้นช่วยทำลายหลักเสรีและยุติธรรมของสื่อลงด้วยซ้ำ

3.ต้องมีผู้นำของการสร้างสันติภาพที่มีประสิทธิภาพจริง เขาอาจเป็นผู้บริหารระดับสูง (ซึ่งมักไม่ใช่) หรืออาจเป็นผู้นำท้องถิ่นซึ่งเคยทำให้เกิดความขัดแย้งเอง หรืออาจเป็นคนใหม่ที่แปรบทบาทเก่าของตนออกไปในทางสร้างสันติภาพอย่างได้ผล

ในกรณีไทย นอกจากเราไม่ได้ผู้นำฝ่ายบริหาร, นิติบัญญัติ หรือตุลาการ ที่มีความสามารถพอจะเป็นผู้สร้างเงื่อนไขของสันติภาพได้แล้ว เรายังพยายามเข้าไปควบคุมกระบวนการสร้างสันติภาพที่เกิดจากคนเล็กๆ ในท้องถิ่น ด้วยความระแวงสงสัยตลอดมา หน่ออ่อนๆ ของการสร้างสันติภาพจึงงอกไม่ค่อยได้

องค์กรในท้องถิ่นนั้นมีความสำคัญมากในการสร้างสันติภาพ ผมขอยกตัวอย่างกรณีมาลูกูอีกครั้งหนึ่ง ในระหว่างสงครามศาสนาที่ทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกันอย่างเมามันนั้น มีกลุ่มผู้หญิงคริสเตียนและกลุ่มผู้หญิงมุสลิม ซึ่งรวมตัวกันเรียกร้องให้ยุติการใช้ความรุนแรงต่อกัน จนเป็นผลให้ผู้ว่าการรัฐต้องคล้อยตาม แม้ว่าในระยะแรกๆ กลุ่มผู้หญิงทั้งสองกลุ่มนี้ไม่สามารถดำเนินกิจกรรมร่วมกันได้ แต่ผู้นำของทั้งสองกลุ่มแอบติดต่อกันตลอดมา ความสงบสันติที่ได้มาหลังความบ้าเลือดของทั้งสองฝ่ายนั้น คงมาจากปัจจัยที่หลากหลายซับซ้อน แต่การดำเนินงานของกลุ่มผู้หญิงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญอย่างปฏิเสธไม่ได้

ในอีเรียน (ปาปัว) ประเพณีสงครามระหว่างเผ่าซึ่งทำกันมานมนานกาเลก็คือ ต้องฆ่ากันให้ได้จำนวนศพเท่ากันเสียก่อนจึงจะเจรจาปรองดองกันได้ (มีพิธีกรรมการปรองดองที่สลับซับซ้อนและใช้เวลาอาจถึง 2 ปี) แต่ในความเป็นจริงจะให้ศพมีจำนวนเท่ากันนั้นเกิดขึ้นได้ยาก จึงมีประเพณีการชดเชยแก่เผ่าที่เสียศพไปมากกว่า อาจชดเชยเป็นหมู หรือส่งคนจากเผ่าที่ฆ่าได้มากกว่าให้อีกเผ่าหนึ่งฆ่าเสีย (มักส่งคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นชายชู้หรือคนที่เผ่ารังเกียจมาให้ฆ่า) มีประเพณีกินเลี้ยงร่วมกันและสาบานกันว่าจะเลิกแล้วต่อกัน หากใครก่อเรื่องขึ้น เผ่าของตัวเองนั้นแหละที่จะฆ่าคนนั้นทิ้งเสีย

ประเพณีทำนองเดียวกันนี้ พบได้ในชาวแอฟริกาของแอฟริกาใต้เหมือนกัน การชดเชยทำให้ไม่ "ขาดทุน" ที่ต้องเสียสมาชิกของเผ่าไป และการชดเชยและสงบสันติเป็นประโยชน์แก่อนาคตของเผ่า ว่ากันว่าที่ชาวผิวดำในแอฟริกาใต้ให้อภัยแก่ชาวผิวขาว ก็เพราะได้เห็น (จากประเพณีเก่าของตน) แล้วว่า การสร้างคุกเพื่อขังคนขาวนั้นไม่ได้ประโยชน์เท่ากับเอาเงินนั้นมาสร้างโรงเรียนให้แก่เด็กผิวดำ

ผมคิดว่ามีการศึกษากระบวนการปรองดองตามประเพณีในท้องถิ่นต่างๆ ในเมืองไทยน้อยเกินไป อาจเป็นเพราะเราไปเชื่อเสียแล้วว่าชุมชนไทยโบราณนั้นสมัครสมานปรองดองกันแนบแน่น ผลก็คือเราไม่มีความรู้กลไกทางวัฒนธรรมเหล่านี้ รวมทั้งมองไม่เห็นบทบาทของคนเล็กคนน้อยอีกมาก ซึ่งอาจมีส่วนในการสร้างสันติภาพขึ้นได้

4.ผู้นำทางศาสนา อาจพบได้ว่าผู้นำทางศาสนามีบทบาทสำคัญในการสร้างสันติภาพขึ้นในอินโดนีเซียหลายกรณี เพราะผู้นำทางศาสนาได้หูที่พร้อมจะฟังจากประชาชนอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่ในเมืองไทย ความขัดแย้งในสามจังหวัดภาคใต้เกิดขึ้นในช่วงที่อำนาจของผู้นำทางศาสนากำลังถูกท้าทาย เราไม่อาจนิยามได้ชัดเจนว่าใครกันแน่คือ "ผู้นำทางศาสนา" เหมือนเมื่อสัก 30 ปีที่แล้วมา (ทั้งอิสลามและพุทธ) ความพยายามที่น่ายกย่องของผู้นำศาสนาเพื่อสร้างสันติภาพจึงบังเกิดผลไม่สู้มากนัก ส่วนในกรณีความขัดแย้งเรื่องสี แทบจะไม่เห็นบทบาทของผู้นำศาสนาเอาเลย เว้นแต่ทำให้ความขัดแย้งยิ่งรุนแรงมากขึ้น ทั้งนี้ ยังไม่พูดถึงบทบาทของผู้นำทางวัฒนธรรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชน, ผู้ตรวจการรัฐสภา, สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, สกว., สสส. ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่ช่วยเสริมให้ความขัดแย้งบานปลายมากขึ้น ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ

นี่เป็นของขวัญชิ้นเล็กๆ ที่ผมพอให้ได้ในเทศกาลปีใหม่ แต่ของขวัญนี้จะเป็นเพียงอากาศธาตุ หากไม่ช่วยทำให้การทำความเข้าใจเพื่อสร้างความรู้เกี่ยวกับความขัดแย้งที่เราเผชิญอยู่เวลานี้ ได้หันไปจากการนับศพและอุดมการณ์ สู่การศึกษารายละเอียดของเงื่อนไขต่างๆ ในท้องถิ่น เพื่อเข้าใจปัจจัยที่อำนวยให้ความขัดแย้งดำรงอยู่หรือทวีความรุนแรงขึ้น 

เพราะความรู้ที่ถูกทางเท่านั้น ที่จะทำให้เราไปพ้นจากสภาพไร้ประชาวิถีที่นำเราสู่ความขัดแย้งอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้

 

 

ที่มา: มติชนออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: ฉายาสื่อฮ่าฮ่า ‘พิราบกระเด้าลม’

Posted: 31 Dec 2012 05:24 AM PST

ประเพณีตั้งฉายารัฐบาลของผู้สื่อข่าวทำเนียบดูเหมือนจะเปลี่ยนไปในระยะหลัง คือจาก Mocking ล้อกันเล่นแสบๆ คันๆ กลายเป็นฉวยโอกาสประณามรัฐบาลส่งท้ายปี โดยที่อารมณ์ขันลดลง อารมณ์ดุดันขึ้นสูง

และอาจเป็นเพราะสื่อมีฝักฝ่าย จึงทำให้ฉายาออกมาไม่ get ไม่โดนใจคน เช่นที่โพลล์ไม่เห็นด้วย "ปูกรรเชียง"

วาทะแห่งปี ซึ่งควรจะเลือกคำพูดที่เป็นข่าวฮือฮา กลับไปเลือกคำพูดนายกฯ ในสภา ซึ่งไม่ค่อยเป็นประเด็น

นี่ไม่ใช่พูดเพราะผมเชียร์รัฐบาล แต่จะบอกว่าเลือก White Lie หรือ "ขี้ข้าทักษิณ" เสียยังโดนกว่า เหมือนนักข่าวอาชญากรรมเลือก "มีวันนี้เพราะพี่ให้" ใครๆ ก็ไม่เถียง

ฉายารัฐบาล "พี่คนแรก" มีส่วนถูก ที่ว่ามีเงาพี่ชาย พี่สาว ปัญหาของพี่ พาดผ่านอยู่ตลอด แต่อย่าลืมว่าความขัดแย้งสำคัญในปี 2555 อยู่ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ คำอธิบายที่ไม่ชัดเจนทำให้เหมารวมการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าไปด้วย ว่าแก้เพื่อทักษิณ ทั้งที่นักข่าวทำเนียบควรตระหนักว่า รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่เป็นประชาธิปไตย มีผู้คนมากมายต้องการให้แก้ ถ้าอธิบายให้ดีต้องบอกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียกระบวนไปเพราะร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่ดันเข้ามาเพื่อ "พี่คนแรก" ต่างหาก

ฉายาที่ผู้สื่อข่าวรัฐสภาตั้งยังนับว่า "โดน" กว่าและดู "เป็นกลาง" กว่า เช่นที่ยกให้ 3 ส.ส.ทั้งเพื่อไทย ปชป.เป็นดาวดับ

อย่ากระนั้นเลย ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอตั้งฉายาให้สื่อบ้าง โดยเฉพาะสื่อกระแสหลัก ซึ่งเคยแต่ตั้งฉายาให้ชาวบ้าน

อันที่จริงไม่อยากใช้คำว่า "พิราบ" เดี๋ยวความหมายจะแปดเปื้อน เพราะ "พิราบ" หมายถึงผู้รักเสรีภาพ ไม่ใช่ผู้สนับสนุนรัฐประหาร แต่ในเมื่อสื่อยกตนเป็นพิราบ เป็นความหมายที่เข้าใจกันทั่วไป ก็ให้ยืมใช้ชั่วคราว ถ้าจะเปื้อน ก็เปื้อนเพราะคนยกตน

"พิราบกระเด้าลม" ฟังแล้วอาจหยาบไปหน่อย แต่ก็เหมาะกับพฤติกรรมสื่อกระแสหลักในรอบปี 55 ที่ทั้งปลุกความเกลียดชัง ล่วงล้ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ล่วงล้ำก้ำเกินทางเพศ ตั้งแต่ผู้จัดการแต่งภาพ อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ เป็น "วรเจี๊ยก" โดยองค์กรสถาบันสื่อเมินเฉย ไม่ตำหนิติติง หรือการใส่สีตีข่าวแบบสองแง่สองง่ามตามฝ่ายค้าน กรณี ว.5 โฟร์ซีซันส์ ซึ่งสนุกปากกันเกือบทุกฉบับ โดยองค์กรผู้หญิงไม่ยักปกป้องศักดิ์ศรีสตรี

มาจนกระทั่งการ์ตูนนิสต์ฝรั่งเขียนการ์ตูนเหยียดเพศยิ่งลักษณ์ ว่าให้ท่าโอบามา ลง The Nation ซึ่งเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์มาก สำหรับค่ายบางนา ที่พยายามสร้างภาพ "มาตรฐานฝรั่ง" เพราะถ้าเป็นหนังสือพิมพ์ฝรั่งที่มีมาตรฐานจริง เขาไม่ทำกันอย่างนี้ ต่อให้ไม่ชอบหรือเกลียดชังอย่างไรเขาก็ไม่ล้ำเส้น

ไม่รู้เหมือนกันว่า The Nation จะปล่อยให้ฝรั่งสลิ่มเหยียดเพศต่อไปไหม ในเมื่อเพิ่งเปลี่ยน บก.ใหม่ ได้ บก.ผู้หญิง

พฤติกรรมเช่นที่ยกตัวอย่างนี้มีมาต่อเนื่องทั้งปี จึงไม่อาจเรียกอย่างอื่นได้ นอกจาก "กระเด้า"

แต่ "กระเด้าลม" หมายถึงสื่อมีความวิริยะอุตสาหะอย่างยิ่งยวด ในอันที่จะล้มรัฐบาล ตั้งแต่ศุกร์ 13 ภาคศาลรัฐธรรมนูญ มาจนม็อบสนามม้า "แช่แข็งประเทศไทย" หนังสือพิมพ์บางฉบับเชียร์ตั้งแต่หน้าข่าวการเมือง ข่าวสังคม ข่าวต่างประเทศ ไปถึงหน้าพระเครื่อง ซึ่งขนหมอดูมาทำนายว่ารัฐบาลจะอยู่ได้ไม่เกินวันที่เท่านั้นเท่านี้

ที่ไหนได้ กระเด้าลม ม็อบทำงานไม่ถึง 8 ชั่วโมงก็ละลาย หมอดูหน้าแหกพอๆ กับคำทำนายวันโลกแตก สื่อยัง "วีน" พยายามเล่นงานตำรวจทำรุนแรง แต่ไม่เป็นผล ทีวีเสรีซึ่งเผลอหลุดปาก "ผู้ชุมนุมของเรา" อุตส่าห์ขุดหนัง Battle in Seattle มาฉาย แต่ปลุกไม่ขึ้น

ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลกลับมีเสถียรภาพมั่นคง เพราะการปลุกกระแสสุดขั้วสุดโต่ง จ้องล้มรัฐบาล ทำให้กระแสสังคมวงกว้างปฏิเสธ ไม่เอาด้วย สังคมไทยเบื่อหน่ายการโค่นล้มกันด้วยวิถีทางนอกระบอบ เข็ดแล้ว อยากอยู่สงบๆ จะได้ทำมาหากิน ไม่เอาอีกแล้ว รัฐประหาร ตุลาการยุบพรรค ชอบไม่ชอบรัฐบาล ก็ให้บริหารประเทศไปตามวิถี

"พิราบกระเด้าลม" ยังเอวเคล็ดเปล่า ในอีกหลายสมรภูมิ อาทิเช่น การรณรงค์บอยคอตต์ "เรื่องเล่าเช้านี้" สรยุทธ สุทัศนะจินดา ของสมาคมนักข่าวและสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ซึ่งทำให้ราคาหุ้นช่อง 3 ปั่นป่วน เพราะนักลงทุนไม่รู้จะเอาไงแน่ จนกระทั่งช่อง 3 ต้องประกาศยืนยันว่าไม่ถอดรายการสรยุทธ ราคาหุ้นจึงพุ่งพรวดกลับไปสูงกว่าเดิม (ฮา)

นี่อาจรวมถึงการร่วมมือกับ TDRI และยะใส กตะศิลา พยายามล้มประมูล 3G แต่ผลที่ออกมากลายเป็นพวก "ลูกอีช่างฟ้อง" ซึ่งสังคมเหม็นเบื่อ เห็นเป็นพวกถ่วงความเจริญไปเสียฉิบ

อ้อ ยังไปจับผิดงบโฆษณา กสทช.ค่ายมติชนอีกต่างหาก ปรากฏว่าจับผิดจริงๆ เพราะไปจับตัวเลขที่เขาพิมพ์ผิด

 

อ่านบทความทั้งหมดที่ Media Inside Out

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หลักนิติธรรมในการดำเนินคดี 112: กรณีสมยศ พฤกษาเกษมสุข

Posted: 31 Dec 2012 01:42 AM PST

"พิจารณาแล้วเห็นว่า จากคำให้การของพยานบุคคลจำนวนหลายคนซึ่งมีหลากหลายอาชีพแสดงความเห็นว่า เมื่ออ่านบทความดังกล่าวปรากฏในวารสารที่ผู้ต้องหาเสนอขาย พยานทั้งหลายก็ไม่ได้ยืนยันไปในทางเดียวกันทั้งหมดว่า บทความดังกล่าวมีเนื้อหาเป็นการดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีพยานหลายรายเห็นว่า บทความดังกล่าวเป็นเนื้อเชิงวิชาการ คดีจึงยังฟังไม่ได้ว่าบทความดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ประกอบกับไม่มีพยานยืนยันว่า ผู้ต้องหาเป็นผู้เขียนบทความดังกล่าว โดยเป็นเพียงผู้เสนอขายวารสารที่ปรากฏบทความดังกล่าวเท่านั้น จึงยังรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ต้องหามีเจตนาทำผิดตามข้อกล่าวหา ... ทั้งยังมีพยานยืนยันว่า ผู้ต้องหามีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จากพยานหลักฐานดังกล่าว ยังรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ต้องหามีเจตนากระทำผิดตามข้อกล่าวหา คดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงมีคำสั่งไม่ฟ้อง"

นี่คือคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการในคดีที่นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ถูกดำเนินคดีในความผิดตามมารา 112 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2547 นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ รับเชิญไปอภิปราย เรื่อง สังคมไทยกับทางรอดที่ควรเลือก เหลียวหลังแลหน้าจากราชดำเนินถึงตากใบ ที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ระหว่างการอภิปราย นายสุลักษณ์ได้ประชาสัมพันธ์หนังสือวารสาร  SEED OF PEACE ซึ่งวางจำหน่ายให้กับบุคคลทั่วไปที่มาร่วมฟังการเสวนาอยู่หน้าห้องอภิปราย วารสารดังกล่าวมีบทความเรื่อง SIAM of the Forgotten Monarch The True Life Sequel of the King and the Land of Smile ที่เขียนโดยผู้ใช้นามแฝงว่า B.P.(บี.พี.) ซึ่งแสดงความเห็นในลักษณะที่เป็นการกล่าวพาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

การที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ในกรณีนี้ นับเป็นการใช้หลักนิติธรรมในการดำเนินคดีที่น่าจะมีการนำไปใช้สำหรับคดีความผิดตามมาตรา 112 ทุกคดี กล่าวคือ หลักนิติธรรมประการหนึ่งในการดำเนินคดีอาญา สำหรับบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม คือ การรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหลายซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยมีความผิดหรือความบริสุทธิ์ [1] หมายความว่า ในการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหานั้น ต้องหาพยานหลักฐานต่างๆ ทั้งที่เป็นพยานที่เป็นคุณแก่ผู้ต้องหาและพยานที่เป็นโทษต่อผู้ต้องหาด้วย จึงจะถูกต้องตามหลักนิติธรรม ซึ่งหลักนิติธรรมในกระบวนการยุติธรรมมิได้มีเพียงเท่านี้ แต่มีมากมายหลายประการ ดังต่อไปนี้

1. ห้ามการทรมาน การลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 32 วรรค 2 ICCPR ข้อ 7)
2. ห้ามจับกุมหรือควบคุมตัวโดยไม่มีเหตุผลตามกระบวนการที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 32 วรรค 2ICCPR ข้อ 9)
3. สิทธิได้รับแจ้งถึงเหตุผลในการจับกุม และจะต้องได้รับแจ้งถึงข้อหาที่ถูกจับกุมในขณะจับกุม  (ICCPR ข้อ 9)
4. ผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องได้รับการสันนิษฐานว่าไม่มีความผิด (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 39 วรรค 2 ICCPR ข้อ 14 อนุ 2)
5. สิทธิพื้นฐานในการได้รับการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผย (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 40(2) ICCPR ข้อ 14 อนุ 1)
6. สิทธิผู้ถูกจับในการนำตัวไปศาลโดยพลัน (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 40(3) ICCPR ข้อ 9)
7. สิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีโดยรวดเร็วตามสมควร (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 40(3) ICCPR ข้อ 9)
8. สิทธิได้รับการประกันตัว (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 40 (7) ICCPR ข้อ 9)
9. สิทธิขอให้ศาลสั่งปล่อยหากถูกควบคุมตัวโดยมิชอบ (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 28และมาตรา 32 วรรค 5 ICCPR ข้อ 9)
10. สิทธิได้รับค่าทดแทนหากคุมขังหรือหากถูกคุมขังหรือถูกควบคุมตัวโดยมิชอบ (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 40 (5) ICCPR ข้อ 9)
11. ผู้ต้องหาต้องไม่ถูกคุมขังร่วมกับผู้ต้องขังตามคำพิพากษา(รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 40 (6) ICCPR ข้อ 10)
12. ผู้ต้องหาที่เป็นเด็กต้องแยกควบคุมมิให้ปะปนกับผู้ต้องขังที่เป็นผู้ใหญ่ (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 40 (6) ICCPR ข้อ 10)
13. ระบบราชทัณฑ์ต้องมีความมุ่งหมายให้ผู้ต้องขังกลับตัวเป็นคนดี (ICCPR ข้อ 10 อนุ 3)
14. สิทธิได้รับการแจ้งข้อหาในภาษาที่เข้าใจได้ (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 40 (4) ICCPR ข้อ 14)
15. สิทธิมีเวลาในการเตรียมต่อสู้คดี และติดต่อทนายความที่ตนเลือก (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 40 (7) ICCPR ข้อ 14)
16. สิทธิในการพิจารณาคดีต่อหน้าจำเลยหรือต่อสู้คดีด้วยตนเองหรือผ่านทนายความที่ตนเลือก (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 40 (2) ICCPR ข้อ 14)
17.สิทธิได้รับแจ้งว่ามีสิทธิพบทนายความ (ICCPR ข้อ 14 อนุ 3)
18. สิทธิขอให้รัฐจัดหาทนายความให้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 40 (7) ICCPR ข้อ 14 อนุ 3)
19. สิทธิที่จะซักถามพยานซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อตน (ICCPR ข้อ 14 อนุ 3)
20. สิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือจากล่าม โดยไม่คิดมูลค่า (ICCPR ข้อ 14 อนุ 3)
21. สิทธิไม่ถูกบังคับให้เบิกความเป็นปรปักษ์ต่อตนเองหรือให้รับสารภาพผิด (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 40 (4) ICCPR ข้อ 14 อนุ 3)
22. สิทธิในการอุทธรณ์ ฎีกา (ICCPR ข้อ 14 อนุ 5)
23. สิทธิได้รับค่าชดเชยจากการถูกลงโทษตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดแต่ภายหลังมีการกลับคำพิพากษาหรือมีข้อเท็จจริงใหม่ที่แสดงว่าได้มีการดำเนินกระบวนการยุติธรรมที่มิชอบ(รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 40 (5) ICCPR ข้อ 14 อนุ 6)
24. สิทธิไม่ถูกดำเนินคดีซ้ำในความผิดที่ได้รับโทษแล้วหรือได้รับการปล่อยตัวแล้วตามกฎหมาย (ICCPR ข้อ 14 อนุ 7)

หลักนิติธรรมของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่กล่าวข้างต้น มีหลักการสำคัญลำดับต้นๆ ก็คือ

สิทธิได้รับการสอบสวนโดยไม่ถูกบังคับให้เบิกความเป็นปรปักษ์ต่อตนเองหรือให้รับสารภาพผิด หรือการพิจารณาคดี ที่ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม มีโอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ และ สิทธิได้รับการประกันตัว (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 40 (7) ICCPR ข้อ 9)

จะเห็นได้ว่าสิทธิในการมีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเพียงพอและการได้รับการประกันตัว เป็นสิ่งสำคัญมากของผู้ต้องหาในคดีอาญา ในคดีของนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์นั้น นายสุลักษณ์ได้รับการประกันตัวตั้งแต่ชั้นจับกุมและสอบสวน จึงมีโอกาสในการเตรียมพยานหลักฐานต่างๆ ในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ทั้งการเลือกทนายความเอง ทั้งการหาหลักฐานทั้งพยานวัตถุ พยานบุคคล พยานเอกสารมายืนยัน ความบริสุทธิ์ของตน โดยมีพยานมายืนยันว่า ตนเองเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ก็กระทำเพื่อให้เกิดการพัฒนาสถาบัน และกระทำด้วยเจตนาดี จึงได้ทำหนังสือถึงพนักงานอัยการว่า การดำเนินคดีตนจะไม่เป็นดีต่อสถาบัน และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยรวม ที่สำคัญการที่กฎหมายอาญามาตรา 112 บัญญัติให้ผู้ใดก็ตามสามารถนำเรื่องไปแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้วิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ได้ ย่อมไม่เกิดความเป็นธรรมและมีโอกาสที่จะมีการกลั่นแกล้งกันในทางการเมืองได้

ความต่างกันของกรณีนายสุลักษณ์และนายสมยศ ก็คือ นายสมยศไม่มีโอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม เช่นนายสุลักษณ์ นายสมยศไม่ได้รับการประกันตัว ไม่มีโอกาสในการดำเนินการทำหนังสือถึงอัยการ ไม่สามารถออกไปหาพยานหลักฐาน พยานวัตถุ พยานบุคคลมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนอง เช่นที่นายสุลักษณ์ได้รับ อันเป็นผลเนื่องมาจากได้รับการปฏิเสธสิทธิในการประกันตัว นั่นเอง

แต่สิ่งที่มีความคล้ายคลึงกันของกรณีนายสุลักษณ์และนายสมยศ ก็คือ

ประการแรก ต่างได้รับการแจ้งข้อกล่าวหา อันเนื่องมาจากสาเหตุทางการเมือง หรือเป็นเพราะกฎหมายกำหนดให้ใครก็ได้ไปดำเนินการแจ้งความดำเนินดคี โดยอ้างเหตุแห่งความจงรักภักดี ซึ่งมิใช่เหตุผลหรือมูลที่จะอ้างตามกฎหมายได้

ประการที่สอง นายสมยศและนายสุลักษณ์ได้รับการแจ้งข้อหาในการกระทำที่ไม่เข้าข้อกฎหมายตามมาตรา 112 กล่าวคือ นายสุลักษณ์ได้รับการแจ้งข้อหา "หมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์"  ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ มีการกระทำที่ครบทั้งองค์ประกอบภายนอกและองค์ประกอบภายใน องค์ประกอบภายนอกก็คือ ต้องหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ส่วนองค์ประกอบภายในคือ ต้องมีเจตนา  แต่เมื่อพิจารณารายละเอียดข้อเท็จจริงในเนื้อความทั้งหมด  จะเห็นได้ว่าบทความอันเป็นเหตุแห่งการตั้งข้อกล่าวหาของนายสุลักษณ์นั้นเป็นภาษาอังกฤษ  การแปลความหมายอาจมีการคลาดเคลื่อน ทั้งเมื่อพิจารณาบทความดังกล่าว จะเห็นได้โดยชัดเจนว่ามิใช่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริง  แต่เป็นบทความทางวิชาการในเชิงวิเคราะห์วิจารณ์แพร่ปรากฏทั่วไป นอกจากนี้นายสุลักษณ์ก็มิได้เป็นผู้เขียนบทความตามที่ถูกกล่าวหาขึ้นเอง นายสุลักษณ์เป็นผู้พิมพ์โฆษณาหนังสือวารสาร  SEED OF PEACE ซึ่งวางจำหน่ายให้กับบุคคลทั่วไปที่มาร่วมฟังการเสวนาอยู่หน้าห้องอภิปราย

ส่วนนายสมยศ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้จัดพิมพ์ จำหน่ายและเผยแพร่นิตยสาร VOICE OF TAKSIN : เสียงทักษิณ ที่มีบทความ คมความคิด ของผู้ใช้นามปากกาว่า จิตร พลจันทร์ เรื่องแผนนองเลือดกับยิงข้ามรุ่น เนื้อหาบทความกล่าวถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ทางการเมืองสองครั้งของไทย คือ เหตุการณ์เดือนตุลาคม 2516 และเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองหลังวันพิพากษาคดียึดทรัพย์ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร   และในฉบับที่ 16 บทความของผู้เขียนคนเดิม เรื่อง 6 ตุลา แห่ง พ.ศ.2553 บทความกล่าวถึงตัวละครหนึ่งที่ชื่อว่า หลวงนฤบาล ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษอ่านแล้วตีความได้ว่า เป็นการพาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยประการที่น่าจะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ และทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ประเด็นคือ การเป็นผู้เผยแพร่ จำหน่าย หนังสือที่มีข้อความอันเป็นความผิดตามมาตรา 112 นั้น จะถือว่าเป็นความผิดตามมาตรา 112 ด้วยหรือไม่ ซึ่งเมื่อพิจารณาตามข้อกฎหมายแล้วจะเห็นว่า มีการฟ้องคดีต่อนายสมยศ โดยมิได้มีการพิจารณาองค์ประกอบความผิดว่านายสมยศมีการกระทำครบองค์ประกอบภายนอก และองค์ประกอบภายใน ของความผิดตามหลักทั่วไปของกฎหมายอาญาหรือไม่

สิทธิในการมีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรมนั้นสอดคล้องกับสิทธิได้รับการประกันตัวเพื่อให้ผู้ต้อง
หาหรือจำเลยมีโอกาสต่อสู้คดี ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา สอดคล้องกับหลักการสากลในกติการะหว่างประเทศ ICCPR ข้อ 14 [2] การไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว เป็นเหตุกระทบถึงสิทธิในการมีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรมด้วย เนื่องจากไม่สามารถออกไปหาพยานหลักฐานมาใช้ในการต่อสู้คดีได้

จนถึงวันนี้นายสมยศก็ยังไม่ได้รับการประกันตัวและกำลังจะมีการฟังคำพิพากษาในวันที่ 23 มกราคม 2556 ที่จะถึงนี้ คำพิพากษาในคดีของนายสมยศจะเป็นบทพิสูจน์กระบวนการยุติธรรมของไทยอีกคำรบหนึ่ง ว่าจะมีการตัดสินลงโทษหรือปล่อยจำเลยให้เป็นอิสระ เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นอิสระของศาลและธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรมในการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาต่อไป

 

เชิงอรรถ
[1]
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา  131 ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานทุกชนิด เท่าที่สามารถจะทำได้ เพื่อประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่างๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา เพื่อจะรู้ตัวผู้กระทำผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา และมาตรา 226 พยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือพยานบุคคลซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ แต่ต้องเป็นพยานชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่น และให้สืบตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการสืบพยาน

[2] กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองข้อ 14
1. บุคคลทั้งปวงย่อมเสมอภาคในการพิจารณาของศาลและคณะตุลาการ ในการพิจารณาคดีอาญาซึ่งตนต้องหาว่ากระทำผิด หรือการพิจารณาคดีเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของตน บุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิได้รับการพิจารณาอย่างเปิดเผยและเป็นธรรมโดยคณะตุลาการซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย มีอำนาจ มีความเป็นอิสระ และเป็นกลาง สื่อมวลชนและสาธารณชนอาจถูกห้ามเข้าฟังการพิจารณาคีทั้งหมดหรือบางส่วนก็ด้วยเหตุผลทางศีลธรรม ความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือความมั่นคงของชาติในสังคมประชาธิปไตย หรือเพื่อความจำเป็นเกี่ยวกับส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องชีวิตส่วนตัวของคู่กรณี หรือในสภาพการณ์พิเศษซึ่งศาลเห็นว่าจำเป็นอย่างยิ่ง เมื่อการพิจารณาโดยเปิดเผยนั้นอาจเป็นการเสื่อมเสียต่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม แต่คำพิพากษาในคดีอาญา หรือคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีอื่นที่เปิดเผย เว้นแต่จำเป็นเพื่อประโยชน์ของเด็กและเยาวชน หรือเป็นกระบวนพิจารณาเกี่ยวด้วยข้อพิพาทของคู่สมรสในเรื่องการเป็นผู้ปกครองเด็ก
2. บุคคลทุกคนซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดอาญา ต้องมีสิทธิได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะพิสูจน์ตามกฎหมายได้ว่ามีความผิด
3. ในการพิจารณาคดีอาญา บุคคลทุกคนซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดย่อมมีสิทธิที่จะได้รับหลักประกันขั้นต่ำดังต่อไปนี้โดยเสมอภาค
(ก) สิทธิที่จะได้รับแจ้งโดยพลันซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพและเหตุแห่งความผิดที่กล่าวหา ในภาษาซึ่งบุคคลนั้นเข้าใจได้
(ข) สิทธิที่จะมีเวลา และได้รับความสะดวกเพียงพอแก่การเตรียมการเพื่อสู้คดีและติดต่อกับทนายความที่ตนเลือกได้
(ค) สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาโดยไม่ชักช้าเกินความจำเป็น
(ง) สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาต่อหน้าบุคคลนั้น และสิทธิที่จะต่อสู้คดีด้วยตนเอง หรือโดยผ่านผู้ช่วยเหลือทางกฎหมายที่ตนเลือก สิทธิที่บุคคลจะได้รับการแจ้งให้ทราบถึงสิทธิในการมีผู้ช่วยเหลือทางกฎหมาย หากบุคคลนั้นไม่มีผู้ช่วยเหลือทางกฎหมาย ในกรณีใดๆ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม บุคคลนั้นมีสิทธิที่จะมีผู้ช่วยเหลือทางกฎหมาย ซึ่งมีการแต่งตั้งขึ้นโดยปราศจากค่าตอบแทน ในกรณีบุคคลนั้นไม่สามารถรับภาระในการจ่ายค่าตอบแทน
(จ) สิทธิที่จะซักถามพยานซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อตน และขอให้เรียกพยานฝ่ายตนมาซักถามภายใต้เงื่อนไขเดียวกับพยานซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อตน
(ฉ) สิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือจากล่ามโดยคิดมูลค่า หากไม่สามารถเข้าใจหรือพูดภาษาที่ใช้ในศาลได้
(ช) สิทธิที่จะไม่ถูกบังคับให้เบิกความเป็นปรปักษ์ต่อตนเอง หรือให้รับสารภาพผิด
4. ในกรณีของบุคคลที่เป็นเด็กหรือเยาวชน วิธีพิจารณาความให้เป็นไปโดยคำนึงถึงอายุและความปรารถนาที่จะส่งเสริมการแก้ไขฟื้นฟูความประพฤติของบุคคลนั้น
5. บุคคลทุกคนที่ต้องคำพิพากษาลงโทษในความผิดอาญา ย่อมมีสิทธิที่จะให้คณะตุลาการระดับเหนือขึ้นไปพิจารณาทบทวนการลงโทษและคำพิพากษาโดยเป็นไปตามกฎหมาย
6. เมื่อบุคคลใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษในความผิดอาญา และภายหลังจากนั้น มีการกลับคำพิพากษาที่ให้ลงโทษบุคคลนั้น หรือบุคคลนั้นได้รับอภัยโทษ โดยเหตุที่มีข้อเท็จจริงใหม่หรือมีข้อเท็จจริงที่ได้ค้นพบใหม่อันแสดงให้เห็นว่าได้มีการดำเนินกระบวนการยุติธรรมที่มิชอบ บุคคลที่ได้รับความทุกข์อันเนื่องมาจากการลงโทษตามผลของการพิพากษาลงโทษเช่นว่า ต้องได้รับการชดเชยตามกฎหมาย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า การไม่เปิดเผยข้อเท็จจริงที่ยังไม่รู้ให้ทันเวลาเป็นผลจากบุคคลนั้นทั้งหมดหรือบางส่วน
7. บุคคลย่อมไม่ถูกพิจารณา หรือลงโทษซ้ำในความผิดซึ่งบุคคลนั้นต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ หรือให้ปล่อยตัวแล้วตามกฎหมายและวิธีพิจารณาความอาญาของแต่ละประเทศ

 

ชื่อบทความเดิม: หลักนิติธรรมในการดำเนินคดีความผิดตามมาตรา 112 : ศึกษากรณีสมยศ พฤกษาเกษมสุข

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประวิตร โรจนพฤกษ์: เคาน์ดาวน์ ปีใหม่ เวลาอันจำกัดและความหมาย

Posted: 31 Dec 2012 01:07 AM PST

ช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านระหว่างการจบสิ้นปีเก่าเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ เป็นโอกาสดีที่จะช่วยให้เราคิดพิจารณาถึงเวลาแห่งชีวิตที่พวกเราทุกคนต่างก็มีกันอยู่อย่างจำกัด

เวลาอันจำกัดของเราทุกคน ช่วยให้เราต้องพยายามจัดลำดับความสำคัญต่างๆ ในชีวิต ว่าสิ่งใดหรืออะไรมีความหมายมีค่าสำหรับชีวิตเรา และสิ่งที่ไร้ค่าไร้ความหมายในทรรศนะของเราแต่ละคน

ทุกคนต้องตาย และกาลเวลาเดินทางของมันต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง บางคนอาจบ่นเสียดายว่าชีวิตมนุษย์นั้นสั้นนัก แต่เวลาอันจำกัดของเราทุกคนในโลกนี้ต่างหาก ที่ช่วยมนุษย์ให้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและความหมาย มากไปกว่าการคิดเรื่องประโยชน์ของตัวกูของกู และสามารถมองข้ามตนเองไปได้ไกลมากกว่าเรื่องประโยชน์ของตนและครอบครัวพวกพ้อง

เวลามีค่าเพราะมันมีจำกัด ชีวิตมีค่าเพราะชีวิตคนนั้นสั้น และความจำกัดช่วยให้เราเข้าใจชะตากรรมชีวิตผู้อื่นได้ดีขึ้น เพราะไม่ว่าเขาจะรวยจนต่างจากเรา มีความเห็นทางการเมืองหรือเรื่องอื่นๆ เหมือนหรือไม่ พูดเขียนภาษาเดียวกับเราหรือไม่ก็ตาม พวกเขาต่างก็เป็นมนุษย์ที่มีเวลาในชีวิตอันจำกัดเช่นเดียวกับเรา

พอเราตระหนักว่าเวลาในโลกนี้ เป็นเพียงสิ่งที่เหมือนไปยืมเขามา วันหนึ่งก็ต้องคืนร่างกายและชีวิตแก่ธรรมชาติไป มันก็ช่วยให้เราลดความโลภ โกรธ หลง และความรักในตัวตนเป็นหลักเหนือสิ่งอื่นใดอย่างแคบๆ ได้

เพราะเรารู้ว่าเราอยู่บนโลกนี้ได้ไม่นาน เราจึงรักตนเองและเห็นแก่ตนเองให้น้อยลงได้

Count Down ปีใหม่จึงไม่น่าจะเป็นเวลาที่จะดื่มจนเมามายจนไร้สติ หากเป็นเวลาที่จะคิดพิจารณาถึงชีวิตที่กำลังหมดลงไปที่ละเล็กทีละน้อย ทุกวินาทีของเราทุกคน ไม่ว่าจะแก่หรือไม่ก็ตาม เราหมดเวลาของชีวิตไปอีกหนึ่งปี

ผู้เขียนตระหนักว่า การที่เวลาในชีวิตนั้นจำกัด ก็อาจเป็นเหตุผลให้คนจำนวนหนึ่งใช้ชีวิตอย่างเสพสุขเอาแต่ประโยชน์และความเห็นแก่ตัวของตนเป็นที่ตั้ง เพราะเขาอาจมองว่า สุดท้ายก็ไม่มีอะไรจีรังเที่ยงแท้ - หรือไม่ก็ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายปลายทาง

แต่ผู้เขียนก็อดเกรงมิได้ว่า พวกเขาอาจเสียใจตอนใกล้สาย ว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรทิ้งไว้ให้ผู้อื่นมีความสุขยิ้มได้ หรือให้กับสังคมและโลกเลยในขณะที่ยังมีชีวิตมีโอกาส

แต่ไม่ว่าจะคิดเช่นไร ชีวิตก็เหมือนฝัน ฝันที่ต้องตื่น เพียงแต่การตื่นจากความฝันที่เป็นชีวิตคือความตาย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 23 - 31 ธ.ค. 2555

Posted: 31 Dec 2012 12:35 AM PST

สมาคมรับสร้างบ้าน ยอมรับ"วิกฤตแรงงานขาดแคลน"กระทบหนัก เร่งปรับตัว

นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน กล่าวว่า ในปี 2556 แนวโน้มมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านจะขยายตัวและเติบโตออกไปยังภูมิภาคชัดเจนมากขึ้น เพราะจากการสำรวจผู้ประกอบทั้งรายเดิมและรายใหม่ที่เข้าสู่ธุรกิจนี้ในช่วง 1- 2 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีการเปิดดำเนินธุรกิจในพื้นที่ต่างจังหวัดเป็นส่วนใหญ่ หรือมีจำนวนมากกว่า 40 ราย ตรงข้ามกับพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล กลับมีผู้ประกอบการรายใหม่เปิดดำเนินธุรกิจน้อยมาก และจากการสำรวจของสมาคมฯ พบว่าบริษัทรับสร้างบ้านทั่วประเทศในปี 2555 มีจำนวนประมาณ 144 ราย (ที่มีรูปแบบชัดเจนและทำตลาดอย่างต่อเนื่อง) โดยแบ่งเป็นผู้ประกอบการที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลจำนวนประมาณ 69 ราย และผู้ประกอบการที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในต่างจังหวัดจำนวนประมาณ 75 ราย โดยเป็นผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิก 2 สมาคมเพียงแค่ 71 รายเท่านั้น ส่วนที่เหลือไม่ได้สังกัดสมาคมใดๆ

ปัญหาแรงงานขาดแคลน คาดว่ายังคงมีการแข่งขันแย่งชิงกันรุนแรงเช่นเดิม ทั้งนี้ สมาคมฯ แนะว่ากลุ่มผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจนี้ ควรจะต้องมีแผนรับมือกับปัญหาขาดแคลนแรงงานทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะการนำเอาเทคโนโลยีก่อสร้าง หรือระบบก่อสร้างสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูป รวมถึงเครื่องมือก่อสร้างที่จะทดแทนการใช้แรงงานคนและทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น

นอกจากนี้ ข้อมูลปี 2555 ที่น่าสนใจพบว่า กลุ่มลูกค้าทีใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกสมาคมฯ ทั่วประเทศนั้น มีการขอใช้สินเชื่อปลูกสร้างบ้านกับสถาบันการเงินในสัดส่วนเงินสด : เงินกู้ หรือ 67 : 33 โดยมีธนาคารที่ผู้บริโภคนิยมขอสินเชื่อเพื่อปลูกสร้างบ้าน ได้แก่ ธ.ไทยพาณิชย์ ธอส. ธ.กรุงศรีอยุธยา ธ.กสิกรไทย ฯลฯ ตามลำดับ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคในต่างจังหวัด หันมานิยมใช้สินเชื่อปลูกสร้างบ้านเพิ่มขึ้น ดังนั้น สถาบันการเงินและบริษัทรับสร้างบ้านจึงควรร่วมมือกัน เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นกำลังซื้อกลุ่มนี้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการที่จะทำให้ตลาดรับสร้างบ้านต่างจังหวัดขยายตัว

อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านที่มี "จุดขาย" แตกต่างกับคู่แข่งขันในตลาด เช่น บ้านประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระบบก่อสร้างที่สามารถสร้างได้รวดเร็วและมีคุณภาพ ฯลฯ จะสามารถช่วยให้มีโอกาสเติบโตได้ดีกว่าปีก่อน สำหรับตลาด "บ้านสร้างเอง" ทั่วประเทศปี 2555 มีมูลค่าประมาณ 120,000 ล้านบาท ในขณะที่ตลาด "รับสร้างบ้าน" ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดปี 2555 มีมูลค่ารวมประมาณ 9,000 ล้านบาท

สำหรับปี 2556 สมาคมฯ ประเมินว่า ตลาดรับสร้างบ้านน่าจะเติบโตและมีมูลค่ารวมประมาณ 9,500-10,000 ล้านบาท หรือเติบโตได้ประมาณร้อยละ 5-10 โดยปัจจัยหลักๆ เป็นเพราะการขยายตลาดออกไปทั่วประเทศมากขึ้น ทั้งนี้ในส่วนของสมาคมฯ เองตั้งเป้าไว้จะผลักดันให้มูลค่าตลาดรับสร้างบ้านในอีก 3 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2558 มีมูลค่าเพิ่มเป็น 15,000 ล้านบาท

(มติชนออนไลน์, 23-12-2555)

 

ทีดีอาร์ไอชี้อนาคตแรงงานสายอาชีพปี 56 สดใส

24 ธ.ค. 55 - ทีดีอาร์ไอชี้อนาคตแรงงานสายอาชีพปี 56 สดใส หลังภาคธุรกิจฟื้นตัวจากน้ำท่วมร้อยละ 70 – 80 ห่วงผู้จบ ป.ตรีจะหางานยากจากนโยบายเงินเดือน 15,000 บาท

นายยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงสถานการณ์แรงงานไทยปี 2556 ว่า มีการปรับตัวครั้งใหญ่ของโครงสร้างตลาดแรงงานไทยเห็นได้จากแนวโน้มการจ้างงานที่สูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา หลังจากผลกระทบจากน้ำท่วมปี 2554 ที่ภาคธุรกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัวและเดินสายการผลิตได้ร้อยละ 70 - 80 เนื่องจากมียอดคำสั่งซื้อมาเร่งผลิตในต้นปี 55 และทำให้เกิดความต้องการแรงงานมากผิดปกติโดยเฉพาะสายวิชาชีพ อีกส่วนหนึ่งคือมีความจำเป็นต้องใช้แรงงานสายช่างเพื่อไปดูแลอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ปรับเปลี่ยนมาใช้ ทำให้มีความต้องการแรงงานสายวิชาชีพเพิ่มขึ้นสายยานยนต์ประมาณหมื่นคน จึงเป็นโอกาสที่แรงงานจะปรับตัว

ขณะที่นโยบายปรับเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ที่บังคับใช้ในภาคราชการ แต่มีผลกระทบภาคเอกชนที่ผู้ประกอบการขนาดกลางลงมา ไม่สามารถจ้างแรงงานระดับ ป.ตรีขึ้นไปได้มากนัก แต่เน้นการใช้คนเดิมมากกว่าการจ้างคนใหม่ ขณะที่ในภาคราชการจะมีผู้จบการศึกษาปริญญาบัตรทั้งคนเก่าและผู้จบใหม่จะแข่งขันกันเข้าเป็นข้าราชการ ซึ่งรับได้จำนวนไม่มาก ดังนั้น โอกาสการมีงานทำของแรงงานปริญญาบัตรจึงไม่สดใส เห็นได้จากอัตราการว่างงานของผู้มีการศึกษาสูงมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น

ทั้งนี้ เสนอให้รัฐบาลปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพกับเอสเอ็มอีในปี 2557- 2558 เพื่อให้ปรับตัวอยู่รอดหลังปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท สำหรับคนที่ไม่ไหวก็ควรให้ความรู้เพื่อตั้งตัวเปลี่ยนธุรกิจใหม่ ส่วนกลุ่มแรงงานนอกระบบ จะต้องให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงทางรายได้และสิทธิความคุ้มครองต่าง ๆ รวมถึงดูแลติดตามการใช้แรงงานเด็กที่ต้องทำให้ไม่มีการใช้แรงงานเด็กในสภาพเลวร้าย

(สำนักข่าวไทย, 24-12-2555)

 

สปส.ศึกษาเพิ่มสิทธิประโยชน์-ขยายอายุ

นายอนุสรณ์ ไกรวัฒนุสสรณ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวในการเป็นประธานเปิด "โครงการอบรมพัฒนาสมรรถนะแกนนำเครือข่ายประกันสังคมและเจ้าหน้าที่ประกันสังคม เพื่อขยายประกันสังคมมาตรา 40 ในเขตกรุงเทพฯ"ว่า ในปี 2556 กระทรวงแรงงานโดยสำนักงานประกันสังคม(สปส.)มีเป้าหมายจะเพิ่มผู้ประกันตนมาตรา 40 ซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบ เช่น แม่ค้า มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ให้ได้อีกอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 2 แสนคน จากปัจจุบันที่มีอยู่จำนวนกว่า 1.2 ล้านคน รวมเป็นกว่า 1.4 ล้านคน โดยได้ให้แกนนำเครือข่ายประกันสังคมและเจ้าหน้าที่ของ สปส. ร่วมกันประชาสัมพันธ์เพื่อเชิญชวนให้แรงงานนอกระบบเข้าเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ให้ได้มากที่สุด

นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ขณะนี้สปส.ได้รับอนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อนำมาจ่ายเป็นเงินสมทบในส่วนของรัฐบาลให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา 40 กว่า 400 ล้านบาทโดยรัฐบาลทยอยจ่ายให้แก่สปส. ซึ่งปัจจุบันได้รับงบมาแล้วประมาณ 100 ล้านบาท ทั้งนี้ ในปี 2556 สปส.ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีผู้ประกันตนมาตรา 40 ทั้งหมดประมาณกว่า 1.4 ล้านคน ขณะนี้สปส.อยู่ระหว่างการศึกษาการเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีการเสียชีวิต ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 20,000 บาทโดยผู้ประกันตนจะต้องส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือน

นอกจากนี้ กำลังศึกษาการขยายอายุแรงงานนอกระบบที่จะเข้าสู่ประกันสังคมมาตรา 40 ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ไม่เกิน 60 ปี หากขยายอายุเกินกว่า 60 ปี จะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของกองทุนประกันสังคมระยะยาว เนื่องจากผู้สูงอายุมีโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง จะทำให้กองทุนประกันสังคมต้องจ่ายเงินสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิตออกไปจำนวนมาก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องศึกษาให้รอบคอบ โดยจะใช้เวลาศึกษา 6 เดือน และคาดว่าจะได้ข้อสรุปช่วงกลางปีหน้า

(เนชั่นทันข่าว, 24-12-2555)

 

ครม.​ไฟ​เขียว​โยก 3 รองอธิบดี​แรงงาน นั่ง​เก้าอี้​ผู้ตรวจฯ

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม นาย​เผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.​แรงงาน ​เปิด​เผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ มีมติ​เห็นชอบตามที่กระทรวง​แรงงาน​เสนอ​ใน​การ​แต่งตั้งข้าราช​การระดับ 10 ​ในตำ​แหน่ง​ผู้ตรวจราช​การกระทรวง​แรงงาน ​ได้​แก่ ม.ล.ปุณฑริก สมิติ รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือ​แรงงาน(กพร.) นายสุ​เมธ ม​โหสถ รองอธิบดีกรม​การจัดหางาน (กกจ.) ​และนางพรรณี ศรียุทธศักดิ์ รองอธิบดีกรมสวัสดิ​การ​และคุ้มครอง​แรงงาน(กสร.) ​โดย​ให้มีผลนับตั้ง​แต่วันที่​ได้รับ​โปรด​เกล้าฯ​แต่งตั้ง

นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. ยัง​ได้​เสนอ​แนะ​ให้กระทรวง​แรงงาน​เร่งพัฒนาฝีมือ​แรงงานควบคู่กับ​การพัฒนาทักษะภาษาต่างประ​เทศ​ให้รอบด้านมากขึ้น ​โดยร่วมกับกระทรวงศึกษาธิ​การ(ศธ.) ​ใน​การฝึกภาษาอังกฤษ รวม​ไป​ถึงภาษาอา​เซียนด้วย​เช่น ภาษามลายู ภาษาพม่า ภาษา​เวียดนาม ภาษาจีนกลาง ภาษาญี่ปุ่น ​และภาษา​เกาหลี ​ทั้งนี้ ตนจะสั่ง​การ​ให้กพร.​เร่งพัฒนาหลักสูตร​ใน​เรื่อง​การพัฒนาทักษะฝีมือ​และทักษะภาษาต่างประ​เทศ​และภาษาอา​เซียน​เพื่อรองรับ​การ​เปิดประชาคม​เศรษฐกิจอา​เซียน(​เออีซี)

(แนวหน้า, 25-12-2555)

 

'เผดิมชัย' ชี้ขึ้นค่าจ้าง 300 เอสเอ็มอีไม่กระทบ

นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงผลสำรวจของศูนย์วิจัยธุรกิจบัณฑิตย์(มธบ.)เกี่ยวกับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นวันละ 300 บาท ใน 70 จังหวัด โดยคาดการณ์ว่ามีธุรกิจเอสเอ็มอีมีผลกระทบประมาณ 1 ล้านรายและแรงงานตกงานประมาณ 6.4 แสนคน รวมทั้งเสนอให้รัฐบาลตั้งกองทุนชดเชยส่วนต่างค่าจ้างแบบขั้นบันไดให้แก่ผู้ประกอบการในวงเงิน 1.4 แสนล้านบาทในช่วง 3 ปีว่า ตนเชื่อว่าภาคธุรกิจจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเนื่องจากการปรับขึ้นค่าจ้าง เพราะผู้ประกอบการมีเวลาปรับตัวกว่า 1 ปี ตั้งแต่รัฐบาลได้ประกาศนโยบายดังกล่าว

นอกจากนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลและกระทรวงแรงงานได้มีการหารือกับภาคธุรกิจ เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) เพื่อร่วมกันกำหนดมาตรการลดผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้าง กระทั่งได้ข้อสรุปออกมา 11 มาตรการ เช่น การลดภาษีนิติบุคคล จากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 20 ภายใน 2 ปี การปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอี การเร่งพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน และรัฐบาลได้ขยายการใช้ 11 มาตรการดังกล่าวออกไปอีก 1 ปีในปี 2556

นายเผดิมชัย กล่าวอีกว่า ล่าสุดภาคธุรกิจได้เสนอมาตรการเพิ่มเติมอีกเกือบ 10 มาตรการ ยังเหลือเพียงมาตรการตั้งกองทุนชดเชยส่วนต่างค่าจ้างที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างที่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานคณะกรรมการฯว่าจะเห็นชอบออกมาตรการนี้หรือไม่

"จากการประเมินสถานการณ์ยังไม่มีสัญญาณว่า จะมีการเลิกจ้างอย่างรุนแรง เพราะตัวเลขอัตราการว่างงานอยู่ที่เพียงร้อยละ 0.4 ซึ่งถือว่ามีผู้ว่างงานน้อยมาก แต่ผมก็ไม่ประมาทได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานช่วยกันเฝ้าระวังเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด คาดว่าจะเห็นตัวเลขการเลิกจ้าง เนื่องจากผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างที่ชัดเจนในช่วงกลางเดือนมกราคม 2556 อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าปัญหาขาดแคลนแรงงานน่าเป็นห่วงมากกว่าปัญหาเลิกจ้าง เพราะปัจจุบันภาคธุรกิจต่างๆมีปัญหาขาดแคลนอย่างมาก ดังนั้น จะต้องส่งเสริมให้เด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งเรียนจบตั้งแต่ระดับม.ต้นจนถึงปริญญาตรีเข้าสู่ตลาดแรงงาน รวมทั้งมีการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศผ่านระบบความร่วมมือ(เอ็มโอยู)ระหว่างประเทศ เช่น บังกลาเทศ เวียดนาม เพื่อมาทำงานด้านประมง" รมว.แรงงาน กล่าว

(กรุงเทพธุรกิจ, 25-12-2555)

 

สปส.เพิ่มยอดผู้ประกันตน ปี′56 ดึง 2 แสนคนเข้า ม.40

สปส.เร่งเพิ่มยอดผู้ประกันตน ปี 2556 ตั้งเป้าดึง "แรงงานนอกระบบ" เข้า ม.40 ให้ได้ 2 แสนคน "เผดิมชัย" เผยตั้งที่ปรึกษาคุมการทำงานให้ได้ประโยชน์สูงสุด

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ในปี 2556 สำนักงานประกันสังคม (สปส.) จะแก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2535 เพื่อขยายประกันสังคม มาตรา 40 ไปสู่แรงงานนอกระบบมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกันตนทั้งในส่วนของมาตรา 33, 39 และ 40 ซึ่งเป็นนโยบายเดิมที่ต้องการสานต่อ เช่น การให้ทุนผลิตแพทย์ พยาบาล การตั้งศูนย์ฟอกไตในโรงพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม การสร้างบ้านพักผู้สูงอายุให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ฯลฯ

ขณะนี้ได้ตั้งทีมที่ปรึกษาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ เพื่อร่วมกำหนดทิศทางการดำเนินงาน รวมทั้งตรวจสอบลักษณะการดำเนินการโครงการต่างๆ ของ สปส.ว่ามีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ประกันตนมากน้อยเพียงใด

วันเดียวกัน ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ นายอนุสรณ์ ไกรวัตนุสสรณ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวหลังการเป็นประธานเปิดโครงการอบรมพัฒนาสมรรถนะแกนนำเครือข่ายประกันสังคมและเจ้าหน้าที่ประกันสังคม เพื่อขยายประกันสังคมมาตรา 40 ในเขตกรุงเทพมหานคร ว่า ในปี 2556 สปส.มีเป้าหมายจะเพิ่มผู้ประกันตนมาตรา 40 ซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบ เช่น มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ผู้ค้า ฯลฯ ให้ได้อีกอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 2 แสนคน จากปัจจุบันที่มีอยู่จำนวนกว่า 1.2 ล้านคน รวมเป็นกว่า 1.4 ล้านคน โดยได้ให้แกนนำเครือข่ายประกันสังคมและเจ้าหน้าที่ของ สปส.ร่วมกันประชาสัมพันธ์เพื่อเชิญชวนให้แรงงานนอกระบบเข้าเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ให้ได้มากที่สุด

ด้านนายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ เลขาธิการ สปส. กล่าวว่า ขณะนี้ สปส.ได้รับอนุมัติงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อนำมาจ่ายเป็นเงินสมทบในส่วนของรัฐบาลให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา 40 กว่า 400 ล้านบาท โดยรัฐบาลทยอยจ่ายให้แก่ สปส. ซึ่งปัจจุบันได้รับงบมาแล้วประมาณ 100 ล้านบาท ทั้งนี้ ในปี 2556 สปส.ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีผู้ประกันตนมาตรา 40 ทั้งหมดประมาณกว่า 1.4 ล้านคน โดยขณะนี้ สปส.อยู่ระหว่างการศึกษาการเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีการเสียชีวิตของผู้ประกันตนมาตรา 40 ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 20,000 บาท โดยผู้ประกันตนจะต้องส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือน

"นอกจากนี้ สปส.กำลังศึกษาการขยายอายุแรงงานนอกระบบที่จะเข้าสู่ประกันสังคมมาตรา 40 ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ไม่เกิน 60 ปี แต่หากขยายอายุเกินกว่า 60 ปี จะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของกองทุนประกันสังคมระยะยาว เนื่องจากผู้สูงอายุมีโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง จะทำให้กองทุนประกันสังคมต้องจ่ายเงินสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิตออกไปจำนวนมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องศึกษาให้รอบคอบ โดยจะใช้เวลาศึกษา 6 เดือน และคาดว่าจะได้ข้อสรุปช่วงกลางปีหน้า" นายจีรศักดิ์กล่าว

(ประชาชาติธุรกิจ, 25-12-2555)

 

จี้รัฐตั้งกองทุนชดเชยค่าจ้าง

นายเกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดเผยว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 1,314 ราย จาก 21 จังหวัด ระหว่างวันที่ 28 พ.ย.-20 ธ.ค. 2555 พบว่ามีผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) อยู่ในกลุ่มเสี่ยงได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน ประมาณ 800,000-1 ล้านราย แรงงานถูกเลิกจ้างไม่น้อยกว่า 640,000 คน

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการกว่า 62.3% มองว่ามาตรการที่เหมาะสมคือ จัดตั้งกองทุนจ่ายเงินชดเชยส่วนต่าง ค่าจ้างวงเงิน 140,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี โดยรัฐบาลต้องชดเชยส่วนต่างให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ 75 บาทต่อวันต่อคน ซึ่งจะทำให้แรงงานได้รับประโยชน์จากการจ้างงานเพิ่มขึ้น 5.3 ล้านคน

น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศในเดือน ม.ค. 2556 ไม่มีผลให้ผู้ประกอบการขอปรับขึ้นราคาสินค้า เพราะจากการศึกษาโครงสร้างต้นทุนแรงงานพบว่าต้นทุนการผลิตสินค้าของ SMEs เพิ่มขึ้น 2.24-6.74% ส่วนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น น้ำมันปาล์ม สบู่ ผงซักฟอก ไม่ได้รับผลกระทบ โดย SMEs ที่ได้รับผลกระทบอยู่ในกลุ่มสิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องหนัง ส่วนกลุ่มสินค้าที่ให้โปรตีน เช่น เนื้อหมู ไข่ไก่ ต้นทุนเพิ่มขึ้นเพียง 0.94-1.38% โดยผู้ประกอบการที่ขอขึ้นราคาสินค้าส่วนใหญ่เป็นปัญหาจากยอดขายที่ต้องบริหารจัดการเอง ไม่สามารถอ้างต้นทุนค่าแรงมาขอปรับราคาสินค้าได้

(โลกวันนี้, 25-12-2555)

 

พนักงานไปรษณีย์บุกกองปราบฯร้องสหภาพฯปฏิบัติหน้าที่มิชอบ-ฉ้อโกง

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 24 ธันวาคม ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายสรานนท์ กองโภค พนักงานไปรษณีย์ไทย 7 ไปรษณีย์หลักสี่ พร้อมทนายความ เดินทางเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. เพื่อให้ดำเนินคดีกับคณะกรรมการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (สรร.ปณท.) 24 คน ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน กรณีสหภาพฯได้ให้สมาชิกทำประกันชีวิตกับบริษัทประกันชีวิตโดยการฝากเงินเบี้ยประกันผ่านสหภาพฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 ถึง 30 กันยายน 2555 แต่มาทราบภายหลังว่า ไม่ได้มีการทำประกันชีวิตกับบริษัทประกันแต่อย่างใด ทำให้สมาชิกสหภาพฯจำนวนประมาณ 1,500 คน ได้รับความเสียหายเป็นเงินประมาณกว่า 8 แสนบาท

(มติชนออนไลน์, 25-12-2555)

 

ผู้ใช้แรงงานยื่นหมื่นชื่อชงร่าง พ.ร.บ.คุ้มครอง เน้นแก้ 14 ประเด็น

วันนี้ (26 ธ.ค.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 11.30 น. นายมนัส โกศล ประธานองค์การแรงงานแห่งประเทศไทย สภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย ได้นำรายชื่อประชาชน และผู้ใช้แรงงานจำนวน 10,300 รายชื่อ ที่เข้าชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่…) พ.ศ… (ฉบับผู้ใช้แรงงาน) ยื่นต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายวัฒนา เซ่งไพเราะ โฆษกประธานสภาฯ เป็นผู้รับแทน โดยนายมนัสกล่าวว่า ตนเป็นตัวแทนของผู้ใช้แรงงานกว่า 200 คนที่เดินทางมายังด้านหน้าอาคารรัฐสภา เพื่อเรียกร้องขอให้สภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ซึ่งถือเป็นร่างกฎหมายฉบับผู้ใช้แรงงาน โดยร่างดังกล่าวมีสาระสำคัญ คือ การแก้ไขใน 14 ประเด็น ซึ่งจะเป็นการคุ้มครองผู้ใช้แรงงานให้ครอบคลุมจากกฎหมายที่มีอยู่เดิม อาทิ ให้กฎหมายคุ้มครองไปยังลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ซึ่งขณะนี้มีลูกจ้างส่วนราชการ กว่า 4 แสนคนที่ไม่ได้รับการคุ้มครอง

นายมนัสกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำแรกเข้าเพียงปีเดียว จากนั้นต้องมีการปรับขึ้นตามทักษะฝีมือ เพิ่มสิทธิให้ลูกจ้างหญิงในการลาเพื่อตรวจรักษาสุขภาพก่อนและหลังคลอด ทั้งต้องมีการเพิ่มค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างจาก 10 เดือน เป็น 20 เดือน รวมทั้งให้ลูกจ้างมีสิทธิเปลี่ยนโอนนายจ้าง และให้เพิ่มบทลงโทษนายจ้างที่ฝ่าฝืน เป็นทั้งจำคุกและปรับ

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 26-12-2555)

 

สปส.ชงรัฐบาลของบกลาง 600 ล้านบาท ดึงแรงงานนอกระบบ 2 แสนคนเข้ามาตรา 40 ปีหน้า

นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยว่า สปส.เตรียมเสนอของบกลางจากรัฐบาลกว่า 600 ล้านบาท เพื่อนำมาจ่ายเป็นเงินสมทบในส่วนของรัฐบาลให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา 40 ซึ่งในปี 2556 ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีผู้ประกันตนมาตรา 40 ทั้งหมดประมาณกว่า 1.4 ล้านคน ขณะนี้ สปส.อยู่ระหว่างการศึกษาการเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีการเสียชีวิต ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 20,000 บาท

โดยผู้ประกันตนจะต้องส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือน รวมทั้งกำลังศึกษาการขยายอายุแรงงานนอกระบบที่จะเข้าสู่ประกันสังคมมาตรา 40 ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ไม่เกิน 60 ปี หากขยายอายุเกินกว่า 60 ปี จะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของกองทุนประกันสังคมระยะยาว เนื่องจากผู้สูงอายุมีโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง จะทำให้กองทุนประกันสังคมต้องจ่ายเงินสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิตออกไปจำนวนมาก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องศึกษาให้รอบคอบ โดยจะใช้เวลาศึกษา 6 เดือน และคาดว่าจะได้ข้อสรุปกลางปีหน้า

ทั้งนี้ ในปี 2556 กระทรวงแรงงานโดยสำนักงานประกันสังคม(สปส.)มีเป้าหมายจะเพิ่มผู้ประกันตนมาตรา 40 ซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบ เช่น แม่ค้า มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ให้ได้อีกอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 2 แสนคน จากปัจจุบันที่มีอยู่จำนวนกว่า 1.2 ล้านคน รวมเป็นกว่า 1.4 ล้านคน โดยได้ให้แกนนำเครือข่ายประกันสังคมและเจ้าหน้าที่ของ สปส. ร่วมกันประชาสัมพันธ์เพื่อเชิญชวนให้แรงงานนอกระบบเข้าเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ให้ได้มากที่สุด

(กรุงเทพธุรกิจ, 26-12-2555)

 

กกจ.ชี้เหตุตรวจเข้มสุขภาพแรงงาน

กระทรวงแรงงาน - นายวินัย ลู่วิโรจน์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กล่าวถึงกรณีแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศถูกส่งตัวกลับ เนื่องจากผลการตรวจสุขภาพไม่ผ่านว่า จากข้อมูลของกกจ.พบว่าในปี 2553 มีจำนวน 54 คน ปี 2554 จำนวน 53 คน และปีนี้ตั้งแต่เดือนม.ค.-พ.ย.ที่ผ่านมา จำนวน 33 ราย ส่วนใหญ่พบว่าป่วยเป็นโรคปอด วัณโรค และไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งถูกประเทศไต้หวันและประเทศแถบตะวันออกกลางส่งกลับ

"ปัญหาคือ แรงงานมักจะขอความเห็นใจจากแพทย์ผู้ตรวจว่าเสียเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานต่างประเทศแล้วจำนวนมาก จึงไม่อยากเสียโอกาสในการเดินทาง ซึ่งแพทย์ก็ใจอ่อน จึงรายงานผลการตรวจว่าไม่พบโรคใดๆ" นายวินัยกล่าว

เบื้องต้นกกจ.ได้แก้ปัญหาโดยทำหนังสือไปถึงโรงพยาบาลรัฐและเอกชน 89 แห่งที่ได้รับความเห็นชอบให้ตรวจสุขภาพแรงงานให้รายงานผลตามความเป็นจริง ไม่เช่นนั้นจะมีผลเสียต่อทั้งตัวแรงงานไทยและประเทศไทย โดยแรงงานจะถูกส่งตัวกลับ และไม่ได้รับเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานต่างประเทศคืน และประเทศไทยยังถูกตั้งคำถามในเรื่องของมาตรฐานทางการแพทย์ด้วย

(ข่าวสด, 26-12-2555)

 

บ.ฟาร์อิสยอมเลิกย้าย 99 แรงงานประท้วง

หลังจากที่พนักงานของบริษัท ฟาร์อีสท์ปั่นทออุตสาหกรรม จำกัด การ์เมนท์ 6 ตั้งอยู่เลขที่ 391 หมู่ที่ 1 ต.พุทไธสง อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือ กรณีที่ทางบริษัทได้ออกหนังสือประกาศให้พนักงานจำนวน 99 คน ย้ายไปช่วยงานชั่วคราวที่บริษัท ฟาร์อิสฯ การ์เมนท์ 5 หรือสาขาอำเภอเมือง ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม เป็นต้นไป โดยพนักงานให้เหตุว่า หากมีการย้ายจากอ.พุทไธสง ไปทำงานที่สาขาอ.เมือง ซึ่งมีระยะทางกว่า 70 กิโลเมตร จะสร้างความเดือดร้อนให้กับแรงงาน เพราะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น

โดยล่าสุดหลังมีการเจรจาทางบริษัทหรือนายจ้าง ได้ยอมยกเลิกประกาศดังกล่าวแล้ว และให้พนักงานทั้ง 99 คน ได้ทำงานที่สาขาอ.พุทไธสง ตามปกติเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามหลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ ออกประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทพร้อมกันทั่วประเทศ ที่จะเริ่มดีเดย์ในวันที่ 1 ม.ค.56 ที่จะถึงนี้ ทำให้โรงงานบางแห่งในเขตพื้นที่จังหวัด ได้ยุบสาขาให้พนักงานไปทำงานที่สาขาเดียวกัน เพื่อลดต้นทุนการผลิตในการเช่าสถานที่ประกอบกิจการ ทางด้านนายพันธ์ศักดิ์ ศรีนุชศาสตร์ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ออกมายอมรับว่า การประกาศปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท จะส่งผลกระทบกับสถานประกอบการอย่างแน่นอน

โดยเฉพาะสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ที่มีอยู่กว่า 60 แห่ง จำนวนลูกจ้างกว่า 10,000 คน เพราะต้องแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นอีก เนื่องจากปัจจุบันจ.บุรีรัมย์ มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 232 บาท แต่หากปรับขึ้นเป็น 300 บาท ผู้ประกอบการต้องมีต้นทุนเพิ่มขึ้นอีก 68 บาท ซึ่งกรณีดังกล่าวทางสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ก็ได้เข้าไปชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการและแรงงาน เพื่อให้ปรับตัวกับสถานการณ์ดังกล่าว ให้นายจ้างและลูกจ้างสามารถอยู่ร่วมกันได้

(เนชั่นทันข่าว, 26-12-2555)

 

ครสท.วอนรัฐคุมราคาสินค้า

นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.) เปิดเผยว่า ในปีหน้าคสรท.และเครือข่ายแรงงานทั่วประเทศ อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับผู้ใช้แรงงานมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะช่วงหลังจากที่มีการปรับขึ้นค่าจ้างเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศ จะทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับสูงขึ้น จึงอยากให้ควบคุมราคาสินค้าเพื่อลดภาระค่าครองชีพให้แก่แรงงานไม่เช่นนั้นจะทำให้แรงงานไม่ได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นค่าจ้างในครั้งนี้ อีกทั้งขอให้กระทรวงแรงงานเฝ้าระวังติดตามผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้าง เช่น การถูกเลิกจ้าง นายจ้างไม่ยอมปรับขึ้นค่าจ้าง และมีมาตรการคุ้มคุ้มครองและช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน และขอให้รัฐบาลผลักดันนโยบายเงินเดือนปริญญาตรีเดือนละ 15,000 บาทไปสู่ภาคเอกชนด้วย


ประธานคสรท. กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันอยากให้รัฐบาลดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานให้มากยิ่งขึ้นทั้งในเรื่องของความปลอดภัยในการทำงาน เนื่องจากช่วงนี้เกิดอุบัติเหตุขึ้นในสถานประกอบการบ่อยครั้ง รวมทั้งดำเนินการพัฒนาระบบประกันสังคมและปรับปรุงสิทธิประโยชน์ต่างๆของประกันสังคมโดยเฉพาะการเข้าถึงสิทธิในกรณีต่างๆเช่น เจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ และเร่งแก้ไขพ.ร.บ.ประกันสังคมพ.ศ.2533 ให้มีความทันสมัยสอดรับกับสภาพสังคมในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ขอให้รัฐบาลเร่งให้การรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ไอแอลโอ))ฉบับที่ 87และ98 เพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง เพื่อให้นายจ้างลูกและลูกจ้างอยู่ร่วมกันได้อย่างเสมอภาค และดำเนินการแก้ไขพ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518 ให้สอดคล้องกับอนุสัญญาไอแอลโอทั้งสองฉบับด้วย

(เนชั่นทันข่าว, 28-12-2555)

 

พนักงานโรงงานจี เจ สตีล ประท้วงค่าแรง และสวัสดิการ

พนักงานโรงงานจี เจ สตีล ในนิคมเหมราช รวมตัวประท้วงค่าแรงและสวัสดิการ แต่บริษัทไม่ต่อรอง พร้อมไม่ให้พนักงานที่ประท้วงเข้าทำงาน นัดชุมนุมใหญ่อีกครั้ง 7 ม.ค. วันนี้ (28 ธ.ค.) ที่โรงงานของบริษัท จีเจ สตีล จำกัด (มหาชน) หมู่ 7 ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเหมราช จ.ชลบุรี พนักงานเกือบ 100 คนจาก 678 คน นำโดยนายสน ศักดิ์ศรี ชุมนุมเรียกร้องค่าแรงและสวัสดิการเพื่อให้ความเป็นอยู่ของพนักงานที่ดีขึ้น เพราะไม่เคยเรียกร้องอะไรจากบริษัทมาหลายปีแล้ว ซึ่งที่ผ่านมา มีการเจรจากันมาแล้ว 7 ครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยทางโรงงานไม่รับข้อเสนอ และข้อเรียกร้องของพนักงานทั้งสิ้น นายสนกล่าวว่า ข้อเรียกรองของพนักงาน เช่น ขอโบนัส 1.5 เท่าของเงินเดือน เงินพิเศษ 15,000 บาท ค่าเช่าบ้าน 2,500 บาท ค่ารักษาพยาบาลจากเดิม 800 บาท เป็น 1,000 บาท เป็นต้น แต่ทางโรงงานกลับไม่รับข้อเสนอ และตั้งเงื่อนไขบีบบังคับพนักงานให้ลงนามรับข้อเสนอของบริษัท เช่น 1.ลดจำนวนพนักงานลง โดยบริษัทยินดีจ่ายค่าชดเชยให้ 30 วัน 90 วัน หรือ 180 วันตามอายุงาน 2.ขอให้มีอายุข้อตกลงฉบับนี้เป็นเวลา 3 ปี 3.การจ่ายเงินโบนัสบริษัทขอสงวนสิทธิ โดยขึ้นอยู่กับผลประกอบการ และดุลพินิจของบริษัท และ 4.การปรับค่าจ้างประจำปี บริษัทสงวนสิทธิให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของบริษัท ซึ่งทั้ง 4 ข้อเป็นประโยชน์ต่อทางบริษัท แต่สำหรับพนักงานนั้นอยู่ลำบากมาก เพราะไม่สามารถเคลื่อนไหว หรือทำอะไรได้เลย "ขณะนี้ทางโรงงานกดดันพนักงานที่ออกมาชุมนุมเรียกร้อง

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 28-12-2555)

 

พนักงาน รง.อุตฯ ประท้วงนายจ้างไม่จ่ายโบนัสปล่อยน้ำเสียลงป่าสักปลาเลี้ยงตายเป็นแพ

สระบุรี - พนักงานโรงงานอุตสาหกรรมประท้วงนายจ้างไม่จ่ายโบนัส ลักลอบปล่อยน้ำเสียลงป่าสักปลาธรรมชาติ และปลาเลี้ยงในกระชังตายเป็นแพ เมื่อเวลา 11.30 น. วันนี้ (28 ธ.ค.) เกิดเหตุปลาในแม่น้ำป่าสักบริเวณใกล้สะพานอำนวยสงคราม เขตเทศบาลเมืองสระบุรี กระเสือกกระสนลอยคอเพราะขาดออกซิเจนหายใจ ปลาเล็กตายลอยเป็นแพ มีชาวบ้านทราบข่าวต่างพากันใช้สวิง และใช้แหหว่านตักและจับปลาตะเพียน ตะโกก ปลากดสีทองตัวขนาดใหญ่หนัก 3-4 กิโลกรัมได้เป็นจำนวนมาก ต่อมา นายภาณุพงศ์ ทิพยเศวต นายกเทศมนตรีเมืองสระบุรีทราบข่าวได้นำเจ้าหน้าที่จากกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเทศบาลเมืองฯ มาดูที่เกิดเหตุโดยให้เก็บตัวอย่างน้ำ นำส่งสาธารณสุขจังหวัดสระบุรีเพื่อตรวจสอบ ก่อนแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ในขณะเดียวกัน มีผู้เลี้ยงปลาในกระชังในลำน้ำป่าสักในเขต ม.4 ต.ตะกุด (บ้านม่วง) เขตเทศบาลตำบลตะกุด อ.เมือง จ.สระบุรี แจ้งขอความช่วยเหลือไปยังเทศบาลตำบลตะกุด นายสมศักดิ์ พวงกุหลาบ นายกเทศมนตรีตำบลตะกุด พร้อมเจ้าหน้าที่รีบรุดไปตรวจสอบพบนายชำนาญ ปานทอง อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 20/1 ม.4 ต.ตะกุด อ.เมือง จ.สระบุรี เจ้าของกระชังเลี้ยงปลาผู้เสียหายกำลังคุมลูกน้องตักปลาที่ตายใต้น้ำส่งให้พ่อค้าแม่ค้าที่มารับซื้อไปทำปลาร้า และส่วนหนึ่งที่ตายลอยอยู่เหนือน้ำ รอรถมาบรรทุกไปส่งให้โรงปูนทีพีไอ อ.แก่งคอย เพื่อทำปุ๋ย นายชำนาญ ปานทอง ผู้เสียหายเปิดเผยว่า ตนเลี้ยงปลาทับทิมทั้งหมด 90 กระชังๆ ละ 1,800 ตัว มีหลายรุ่นปะปนกัน เหตุที่ปลาตายในครั้งนี้ทราบเมื่อกลางดึกคืนวานนี้ (27 ธ.ค.) สาเหตุที่ทำให้ปลาตายเนื่องมาจากปลาถูกสารเคมี

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 28-12-2555)

 

มาเลย์ปล่อยตัว 33 แรงงานไทยลอบเข้าเมือง

ทางการมาเลเซีย ปล่อยตัวแรงงานไทยจำนวน 33 คน ที่ถูกจับกุมเนื่องจากลักลอบเข้าไปทำงานโดยผิดกฎหมายกลับประเทศทางด่านพรมแดน สะเดา จ.สงขลา โดยแรงงานที่ถูกปล่อยตัวส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เดินทางเข้าไปทำงานที่ร้านอาหารไทยตามรัฐต่างๆ ในมาเลเซีย แต่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน และไม่มีหนังสือเดินทาง มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 เดือน ถึง 6 เดือน แต่ทางการมาเลเซียได้ละเว้นโทษและปล่อยตัวกลับประเทศในโอกาสพิเศษเทศกาลปีใหม่ เพื่อให้เดินทางกลับมาร่วมเฉลิมฉลองกับครอบครัวที่บ้านเกิด ซึ่งแรงงานทั้งหมดต่างดีใจที่ได้รับการปล่อยตัวโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พร้อมกับเรียกร้องให้ทางการไทยช่วยเหลือในเรื่องขอใบอนุญาตทำงานในมาเลเซีย เนื่องจากยังมีแรงงานอีกจำนวนมากที่เข้าไปทำงานในมาเลเซีย โดยผิดกฎหมาย และถูกทางการมาเลเซียจับกุมอย่างต่อเนื่อง

(ไทยโพสต์, 30-12-2555)

 

องค์กรแรงงานพม่านำข้าวสาร-เงินบริจาค ให้ 500 แรงงานพม่า

นายโมโจว ประธานแรงงานพม่าจังหวัดตาก พร้อมด้วยผู้ประกอบการไทย และองค์กรพัฒนาเอกชนพม่า ร่วมกันนำสิ่งของ เป็นข้าวสาร และเครื่องนุ่งห่ม รวมทั้งเงินสดจำนวนหนึ่งบริจาคให้กับแรงงานพม่า ณ โรงงานเย็บผ้า หรือ การ์เม้นท์ ของ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอส.พี.ที.การ์เม้นท์ บ้านค้างภิบาล ตำบลพระธาตุผาแดง อ.แม่สอด

ทั้งนี้เนื่องจากชาวพม่าทั้งได้รับความเดือดร้อนจากไฟไหม้บ้านพักแรงงานพม่า ด้านหน้าโรงงานดงักล่าว เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 55 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้แรงงานพม่าทั้งชาย และหญิงกว่า 500 คน ไร้ที่อยู่อาศัย และยังขาดเครื่องนุ่ม ซึ่งล่าสุดทางผู้ประกอบการได้ให้แรงงานพม่าทั้งหมดไปอาศัยอยู่ภายในโรงงาน โดยให้ทำสถานที่พักนอบๆตัวอาคารเป็นการชั่วคราวไปก่อน การมอบสิ่งของดังกล่าว ได้มีตัวแทนแรงงานชาวพม่าออกมารับสิ่งของด้วยตนเอง

(เนชั่นทันข่าว, 31-12-2555)

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

“อร่อยจนลืมกลับวัด” ผิด 2 เด้ง

Posted: 30 Dec 2012 05:18 PM PST

กรณีที่พระมหาวุฒิชัยเมธี วชิรเมธี เขียนคำว่า "อร่อยจนลืมกลับวัด" พร้อมลายมือชื่อของตนเองแปะไว้ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นของลูกศิษย์คนหนึ่งนั้น  ถือเป็นความผิด (พลาด) ประการหนึ่งที่ไม่ร้ายแรง  แต่การออกมาบอกว่าไม่ผิดธรรมวินัย โดยไม่ยอมรับว่าเป็นการเขียนที่ไม่สมควร อาจถือเป็นความผิดพลาดที่น่าคิด  สังคมพึงพิจารณาเป็นอุทธาหรณ์

เรื่องนี้ในเบื้องต้นพระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ให้ความเห็นว่า "เป็นความผิดพลาด  ถ้าเขียนว่า 'รสชาติใช้ได้' ก็ไม่ผิด เพราะไม่ได้แสดงถึงการติดรสในความอร่อย . . ." {1}  ส่วน รศ.วิทยากร เชียงกูล คณบดีกิตติคุณวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นว่า "เป็นข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น . . . ผมคิดว่ามันเป็นการเรียนรู้ของท่านเองด้วย ท่านก็ยังหนุ่มอยู่ ถ้าเป็นดาราพูดกับแฟนคลับมันคงไม่มีอะไร" {2}

สำหรับความอร่อยลิ้น  ในทางพุทธศาสนา พระที่มุ่งกำจัดกิเลส ใช้วิธี "ธุดงค์" ซึ่งไม่ใช่การเดินจาริกของพระเช่นที่เข้าใจผิดกันในปัจจุบัน แต่คือ "วัตรปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ แต่ไม่มีการบังคับ แล้วแต่ผู้ใดจะสมัครใจปฏิบัติ เป็นอุบายวิธีกำจัดขัดเกลากิเลส  . . . (และหนึ่งในนั้นคือ) ปัตตปิณฑิกังคะ ละเว้นฉันภาชนะที่ 2 ใส่อาหารรวมในภาชนะเดียวกันทั้งหมด สมาทาน ฉันเฉพาะในบาตร" {3}

ยิ่งกว่านั้น พระไม่พึงรู้สึกอร่อย หรือมีความพึงพอใจในรูป รส กลิ่น แต่ควรปล่อยวางโดยพิจารณาเรื่อง "อาหาเรปฏิกูลสัญญา" โดยนายไพศาล พืชมงคล ได้อธิบายไว้ว่า "เป็นแบบวิธีฝึกฝนอบรมจิตวิธีหนึ่งในจำนวน 36 แบบวิธีที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนชาวพุทธ เพื่อให้เข้าใจความเป็นจริงของชีวิตและสรรพสิ่งว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวตนหรือพึงยึดถือเป็นตัวกู ของกู โดยใช้ความเป็นจริงของอาหารเป็นเครื่องพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงว่าแม้รูปภายนอกจะมีรูป รส กลิ่น สี ที่น่าชื่นชม น่าสัมผัส น่ากินสักปานใด แต่แท้จริงล้วนเป็นสิ่งปฏิกูล เมื่อเห็นความจริงเช่นนั้นแล้วก็จะปล่อยปละละวางละถอนความยึดมั่นถือมั่น . . ." {4}

ดังนั้นการที่พระมหาวุฒิชัย ฉันอาหารโดยใช้ภาชนะมากกว่าหนึ่งตามการประเคนเช่นนี้  จึงถือว่าไม่เคร่งครัด  วัตรปฏิบัติไม่ได้มุ่งที่การบำเพ็ญเพียรเท่าที่ควร  เป็นเหมือนพระบ้านทั่ว ๆ ไป  ต่างจากพระที่เคร่งครัดในธรรมวินัย  โดยเฉพาะพระป่าในสายหลวงปู่ชื่อดังในอดีตหลายแห่ง ที่ยังมีวิธีการเพิ่มเติม เช่น ต้องคนอาหารรวมกันทั้งคาวหวานด้วย เป็นต้น

อย่างไรก็ตามพระมหาวุฒิชัย ได้ชี้แจงว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ถือเป็นการผิดวินัยสงฆ์ โดยการเขียนข้อความดังกล่าว เพื่อให้ขวัญกำลังใจกับลูกศิษย์ เป็นข้อความที่เขียนกันทีเล่นทีจริง ตามประสาครูอาจารย์ ลูกศิษย์ อย่าตีความกันเลยเถิดไป" {5}  นอกจากนั้นเจ้าของร้านยังได้ออกมาชี้แจงว่า "ขอให้ท่านได้เมตตาเขียนให้กำลังใจตามภาพ ผมนำภาพท่านมาประดับในร้านร่วมกับภาพของครูบาอาจารย์อื่นอีกหลายท่านที่เคยมาเยี่ยมเยือน เพื่อเป็นกำลังใจให้ตนเอง . . . มิได้ประสงค์ประโยชน์ทางการค้า" {6}

ในกรณีนี้มีข้อน่าสังเกตดังนี้:

1. พระมหาวุฒิชัยมีความรู้เรื่องพุทธศาสนาเป็นอย่างดีทั้งเรื่อง "ปัตตปิณฑิกังคะ" และ "อาหาเรปฏิกูลสัญญา" ข้างต้น  จึงน่าจะรู้ว่าการเขียนเช่นนี้ไม่เหมาะสม  เมื่อมีผู้ทักท้วง ก็ควรยอมรับถึงความไม่เหมาะสมนี้อย่างสง่างามซึ่งจะทำให้ได้รับความศรัทธายิ่งขึ้น  แทนที่จะเพียงบอกว่า ไม่ได้ผิดวินัยสงฆ์

2. เจ้าของร้านชี้แจงว่าเอาภาพมาแปะเพื่อเป็นกำลังใจเช่นเดียวกับพระรูปอื่นที่เคยนิมนต์มา แต่เชื่อว่าพระรูปอื่นคงไม่เขียนข้อความแบบนี้  และถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า ก็ควรเก็บภาพเหล่านี้ไว้ในห้องพระแทนที่จะนำมาแสดงให้ลูกค้าได้พบเห็นจนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย

โดยสรุปแล้ว แม้สังคมจะเห็นชัดว่าการที่พระมหาวุฒิชัย เขียนข้อความเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่ได้ผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงอย่างไรขนาดว่าต้องสึกเช่นบางคนกล่าวถึง  พระก็เป็นเช่นปุถุชนทั่วไป  และการที่พระมหาวุฒิชัย มีสถานะเป็นพระ ย่อมสามารถแสดงธรรมให้ประชาชนได้น่าเชื่อถือกว่าการถอดเครื่องแบบพระอย่างแน่นอน

ข้อนี้จึงถือเป็นอุทธาหรณ์สำหรับพระหนุ่มดังที่ รศ.วิทยากร ได้ตั้งข้อสังเกตไว้

 

อ้างอิง

{1}     พระพยอม ชี้ ข้อความ ว.วชิรเมธี อร่อยจนลืมกลับวัด ผิดพลาด http://news.mthai.com/general-news/209943.html

{2}     ความจริงหรือเรื่องโกหก ? กรณีท่าน ว. "อร่อยจนลืมกลับวัด" http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000157549

{3}     โปรดอ่าน พระวิสุทธิมรรค http://www.buddhistelibrary.org/th/displayimage.php?pid=1995 หน้า 201 เรื่อง ปัตตปิณฑิกังคธุดงค์ รวมทั้งเรื่อง "ธุดงค์" จาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C และพึงดูเพิ่มเติมที่ พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=342

{4}     อาหาเรปฏิกูลสัญญา กรรมฐานที่ง่ายเเต่ได้ผลมาก http://www.paisalvision.com/index.php/2008-11-06-06-22-48

5} ว.วชิรเมธี แจง เขียนข้อความ อร่อยจนลืมกลับวัด ไม่ผิดวินัยสงฆ์ http://hilight.kapook.com/view/80046 หรือฟังได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=dcwPjzG2UCo

{6}     เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่นรับผิด ขออภัยทำ "ว.วชิรเมธี" เดือดร้อน http://www.manager.co.th/Local/viewnews.aspx?NewsID=9550000157661

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เยือนเพื่อนบ้าน : จาการ์ตา อินโดนีเซีย

Posted: 30 Dec 2012 04:40 PM PST

รายการพิเศษส่งท้ายปี 2555 จากประชาไทขอนำเสนอภาพบรรยากาศส่วนเสี้ยวหนึ่งของประเทศเพื่อนบ้านที่บรรดากระจอกข่าวได้ไปพบเจอจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะชวา มีอาณาบริเวณกว่า 661 ตร.กม. เมืองหลวงที่กว้างใหญ่นี้มีประชากรอาศัยอยู่ราว 28 ล้านคน

ประชาไทเยือนเพื่อนบ้าน ขอนำเสนอภาพบรรยากาศของ Jakarta Pusat ซึ่งเป็นพื้นที่โซนที่อยู่ตรงกลางของจาการ์ตา ชมสถานที่สำคัญอย่าง Monas หรือ National Monument ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางจัตุรัสเมอร์เดก้า เป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อเอกราชของอินโดนีเซียและชมภาพวิถีชีวิตของชาวเมืองหลวงบนเกาะชวา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

10 ข่าวเด่นประชาไทในรอบปี 2555

Posted: 30 Dec 2012 10:29 AM PST

สรุปข่าวเด่นรอบปีสารพัดเรื่องตั้งแต่ชีวิตในเรือนจำ, สำนักงานทรัพย์สินฯ, โทรหา "อาจารย์วีระ" ประกาศฟันคอนิติราษฎร์, สัมภาษณ์จักรภพ เพ็ญแข, อัยการไม่ฟ้องกรณีไม่ยืนในโรงหนัง, เปิดคำสั่ง ศอฉ. ใช้ "พลแม่นปืน", Innocence of Muslim, คุยกับ "ตะละแม่ป๊อปคัลเจอร์", กัมพูชาโวยนักข่าวไทยเหยียบรูปสมเด็จสีหนุ และอภิสิทธิ์สัมภาษณ์บีบีซียอมรับใช้กระสุนจริง

ทีมงานประชาไทสรุป 10 ข่าวเด่นรอบปี 2555 โดยนับจากจำนวนผู้เข้าชมและการแชร์ โดยมีข่าวที่ติด 10 อันดับแรก เรียกจากจำนวนผู้อ่านมากที่สุดและจำนวนผู้อ่านรองลงมาตามลำดับ มีดังนี้

 

10 ข่าวเด่นประชาไทในรอบปี 2555

1. ความจริงเท่าที่ทราบ' ต่อกรณีภาพยนตร์ฉาว Innocence of Muslim, 2012-09-13 , http://prachatai.com/journal/2012/09/42619

2. จำนรรจา นารีหลุดกาล: คุยกับแอดมิน "ตะละแม่ป๊อปคัลเจอร์", 2012-09-14, http://prachatai.com/journal/2012/09/42635

3. คำต่อคำสัมภาษณ์ 'อภิสิทธิ์' ใน 'บีบีซี': พ้อ-ไม่แฟร์ที่หาว่า "สั่งใช้กระสุนจริง" เท่ากับ "ฆ่าคน", 2012-12-11, http://prachatai.com/journal/2012/12/44161

4. คำสั่งรักษาด่านศอฉ.ใช้ "พลแม่นปืน" หากผู้ก่อเหตุปะปนผู้ชุมนุม - หากยิงไม่ได้ให้ใช้ "สไนเปอร์", 2012-08-18, http://prachatai.com/journal/2012/08/42125

5. "อ.วีระ" แนะคนโทรเข้ารายการ-ให้ค้นคว้าข้อมูลก่อนด่า "นิติราษฎร์", 2012-02-02, http://prachatai.com/journal/2012/02/39063

6. ฟอร์บส์วิเคราะห์ สนง.ทรัพย์สินฯ แย้งตัวเลขในหนังสือ 'A Life's Work', 2012-01-26, http://prachatai.com/journal/2012/01/38952

7. เปิดจดหมาย เรื่องเล่าชีวิตในเรือนจำ (ฉบับละเอียดที่สุดในประเทศไทย), 2012-01-25, http://prachatai.com/journal/2012/01/38931

8. สัมภาษณ์พิเศษ 'จักรภพ เพ็ญแข': คงต้องปล่อยให้ลิ้มรสของการปรองดองกันเสียก่อน, 2012-04-03, http://prachatai.com/journal/2012/04/39944

9. อัยการสั่งเด็ดขาด ไม่ฟ้องโชติศักดิ์ คดีไม่ยืนในโรงหนัง, 2012-07-18, http://prachatai.com/journal/2012/07/41608

10. ชาวกัมพูชาโวยนักข่าวไทยเหยียบกระดาษที่มีรูปสมเด็จพระนโรดม สีหนุ, 2012-10-17, http://prachatai.com/journal/2012/10/43202

โดยประชาไทรีวิวทั้ง 10 ข่าวเรียงตามลำดับเวลาดังต่อไปนี้

 

มกราคม 2555

[1] เปิดจดหมาย เรื่องเล่าชีวิตในเรือนจำ (ฉบับละเอียดที่สุดในประเทศไทย), 

25 มกราคม 2555 [ http://prachatai.com/journal/2012/01/38931]
จำนวนแชร์ 69 ครั้ง จำนวนรีทวีต 62 ครั้ง

'เล่าซัน' เป็นนามแฝงของนักโทษคดีการเมืองผู้มีประสบการณ์ตรงในเรือนจำแห่งหนึ่งของประเทศไทย ในเดือนมกราคมเขาได้ส่งจดหมายมายังประชาไท หลังจากที่เขารวบรวมและส่งต่อข้อมูลสภาพความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังในเรือนจำ ด้วยความหวังของทั้งเขาและเราว่า การรับรู้ของสังคมจะทำให้เกิดการปรับปรุง "ระบบ" ยุติธรรมไทย โดยเฉพาะพื้นที่คุมขังประชาชนชายขอบที่สุดกลุ่มหนึ่งของสังคม

โดยในรายงานจาก 'เล่าซัน' ได้บันทึกเกี่ยวกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังในเรือนจำอย่างละเอียดแทบทุกมิติ ตั้งแต่ภาระกิจส่วนตัวนับตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงกลับเข้าเรือนนอน ทั้งเรื่องสภาพความเป็นอยู่ การรับประทานอาหาร การอนามัย การซื้อสินค้าในเรือนจำ ไปจนถึงเรื่องการขับถ่าย สิ่งแทน 'เงิน' ที่ใช้ในเรือนจำ รวมไปถึงเรื่องการทำงานหนักในเรือนจำ ที่งานบางประเภทหากทำไม่ได้ตามเป้าจะถูกผู้คุมเรือนจำลงโทษ พร้อมตั้งคำถามว่าผลประโยชน์จริงๆ ของเรื่องนี้ไปตกอยู่ในกระเป๋าของใคร

จดหมายของ 'เล่าซัน' มีการทยอยนำเสนอเป็น 2 ตอน สำหรับตอนที่สอง สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ [http://prachatai.com/journal/2012/01/38960]

 

[2] ฟอร์บส์วิเคราะห์ สนง.ทรัพย์สินฯ แย้งตัวเลขในหนังสือ 'A Life's Work', 

26 มกราคม 2555 [http://prachatai.com/journal/2012/01/38952]
จำนวนแชร์ 1,086 ครั้ง จำนวนรีทวีต 6 ครั้ง

บทรายงานที่ถูกแชร์เกิน 1 พันครั้งนี้แปลมาจากบทรายงานของนิตยสารฟอร์บ นิตยสารด้านการเงินและธุรกิจของสหรัฐอเมริกา ซึ่งตีพิมพ์บทความว่าด้วยรายได้และการลงทุนของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์โดยวิเคราะห์จากข้อมูลในหนังสือพระราชประวัติกึ่งทางการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเล่มล่าสุด 'King Bhumibol Adulyadej: A Life's Work' โดยชี้ว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ประเมินทรัพย์สินที่เป็นที่ดิน คิดเป็นมูลค่าเพียงหนึ่งในสามของที่ฟอร์บส์เคยวิเคราะห์ไว้

ในบทรายงานยังระบุว่าในหนังสือ 'King Bhumibol Adulyadej: A Life's Work' ซึ่งมีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นที่ปรึกษาบรรณาธิการ ละเลยการพูดถึงการถือหุ้นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในกลุ่มโรงแรมเยอรมัน 'เคมพินสกี้ เอจี กรุ๊ป' และบริษัทประกันเทเวศประกันภัย ซึ่งรวมกันมีมูลค่าราว 600 ล้านดอลลาร์ จากมูลค่าประเมินในปี 2551 ด้วยการลงทุนทั้งหมดนี้ ทำให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กลายเป็นกลุ่มบรรษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

ในตอนท้ายของรายงาน ฟอร์บส์สรุปโดยเปรียบเทียบกับสถาบันกษัตริย์ของประเทศในยุโรป เช่นในกรณีของสเปนซึ่งปกครองในระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ รัฐบาลใช้งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ราว 12 ล้านดอลลาร์ ส่วนสถาบันกษัตริย์ของประเทศอังกฤษ ใช้ราว 50 ล้านดอลลาร์ แต่ยกรายได้ส่วนใหญ่ที่เข้ามาทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้กับกรมคลังของประเทศ และประชาชนเองก็สามารถตรวจสอบข้อมูลด้านการเงินดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม ในกรณีของประเทศไทยฟอร์บระบุว่า ความโปร่งใสในสถาบันดังกล่าว เห็นจะเป็นหนทางที่ยังต้องใช้เวลาอีกนาน

 

กุมภาพันธ์ 2555

[3] ".วีระ" แนะคนโทรเข้ารายการ-ให้ค้นคว้าข้อมูลก่อนด่า "นิติราษฎร์"

2 กุมภาพันธ์ 2555 [http://prachatai.com/journal/2012/02/39063]
จำนวนแชร์ 214 ครั้ง จำนวนรีทวีต 18 ครั้ง

ในช่วงที่คณะนิติราษฎร์ มีข้อเสนอทางวิชาการให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งนอกจากเสียงสนับสนุนแล้ว ยังมีมีเสียงคัดค้านจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม แบ่งออกเป็นฝ่ายที่คัดค้านโดยการแสดงเหตุผล และฝ่ายที่คัดค้านโดยประกาศจะทำร้ายคณะนิติราษฎร์

โดยเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางรายการ "คุยได้คุยดี Talk News & Music" ทางคลื่น 96.5 MHz อสมท. ดำเนินรายการโดยนายวีระ ธีระภัทรานนท์ หรือ "อาจารย์วีระ" ช่วงหนึ่งได้มีผู้โทรศัพท์เข้ามาแสดงความเห็นในเชิงตำหนิและระบุว่าต้องการจะตัดคอกลุ่มนิติราษฎร์ (ฟังคลิปเสียง) ซึ่งทำให้นายวีระรีบตัดบท และถามผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาว่ารู้จักกลุ่มนิติราษฎร์หรือไม่ว่าสมาชิกประกอบด้วยใคร และถามด้วยว่ารู้ข้อความในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ และยังแนะนำให้กลับไปค้นคว้าข้อมูลจะได้มีพื้นฐานในการแสดงความรู้สึก ก่อนวางสาย โดยท้ายรายการนายวีระระบุด้วยว่าการเคลื่อนไหวแก้ไขมาตรา 112 อยู่ในประมวลกฎหมายอาญาไม่ใช่รัฐธรรมนูญ และประมวลกฎหมายอาญามาตราดังกล่าวเคยมีการแก้ไขมาแล้วในปี 2519

อย่างไรก็ตามในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ก็เกิดเหตุชาย 2 คนเข้ามาดักทำร้าย รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในสมาชิกคณะนิติราษฎร์ โดยภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ ด้านนักวิชาการคณะนิติราษฎร์ก็แถลงยืนยันว่าแม้จะเกิดเหตุทำร้ายขึ้น แต่จะไม่ยุติบทบาททางวิชาการ

 

เมษายน 2555

[4] สัมภาษณ์พิเศษ 'จักรภพ เพ็ญแข': คงต้องปล่อยให้ลิ้มรสของการปรองดองกันเสียก่อน

3 เมษายน 2555 http://prachatai.com/journal/2012/04/39944
จำนวนแชร์ 1,123 ครั้ง จำนวนรีทวีต 31 ครั้ง

หลังลี้ภัยทางการเมืองมานานกว่า3 ปี หลังการสลายการชุมนุม เดือนเมษายนปี 2552ในปลายเดือนมีนาคมปี 2555 ที่กรุงพนมเปญ ผู้สื่อข่าวประชาไทมีโอกาสสัมภาษณ์จักรภพ เพ็ญแข ในฐานะ "คนไกลบ้านที่ลี้ภัยการเมืองมานานกว่า 3 ปี" และ "นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญการต่างประเทศที่อยู่ในขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยซึ่งไม่เป็นเนื้อเดียวกับแกนนำในขบวนการต่อสู้ด้วยกันนัก และถูกกล่าวหาด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112" ว่า 3 ปีที่ไม่ได้อยู่เมืองไทย เขามองเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างไร และกำลังคิด-ทำอะไรอยู่"

จักรภพตั้งประเด็นที่น่าสนใจ 3 ประการ ประการแรกคือ เขามองเห็นว่าเมืองไทยภายใต้กระแสปรองดองนั้นเป็นวาระพักรบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ทางเลือกที่สามของการเรียกร้องประชาธิปไตยเกิดขึ้น แม้จะยังไม่เห็นรูปร่างหน้าตาที่ชัดเจนของทางสายนี้ แต่เขาเห็นว่า นี่เป็นโอกาสที่จะตั้งคำถามให้คนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยได้เลือกว่า จะสู้เพื่อเปลี่ยนสังคมหรือสู้เพียงเพื่อรวบสังคมมาเป็นของตัวเอง สอง เมื่อถามเรื่องบทบาทของทักษิณ ชินวัตรในขบวนต่อสู้ จักรภพยังคงแสดงความหวังว่าทักษิณมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำในขบวนการเปลี่ยนแปลงสังคมแต่นั่นเป็นสิ่งที่ทักษิณต้องเลือกเองว่าจะเลือกทางสบายหรือลำบาก และสุดท้าย เงื่อนไขในการกลับประเทศ แม้ว่าจะข้อกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้นอัยการจะสั่งไม่ฟ้องไปแล้วในวันเดียวกับที่เขาให้สัมภาษณ์ประชาไท แต่นั่นไม่ใช่แรงจูงใจที่จะทำให้เขาเดินทางกลับเข้าประเทศ

 

กรกฎาคม 2555

[5] อัยการสั่งเด็ดขาด ไม่ฟ้องโชติศักดิ์ คดีไม่ยืนในโรงหนัง

18 กรกฎาคม 2555 http://prachatai.com/journal/2012/07/41608
จำนวนแชร์ 5,215 ครั้ง จำนวนรีทวีต 149 ครั้ง

กรณีโชติศักดิ์ อ่อนสูง และการถูกฟ้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุาภาพเพราะไม่ยืนในโรงหนัง เริ่มต้นเมื่อวันที่ 20 กันายน 2550 โดยนายนวมินทร์ วิทยกุล ได้ขว้างปาข้าวโพดคั่วและกระดาษใส่นายโชติศักดิ์ และเพื่อน เนื่องจากทั้งสองไม่ยืนขึ้นเมื่อมีการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง

นายโชติศักดิ์และเพื่อน จึงฟ้องนายนวมินทร์ ในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ ทำร้ายร่างกายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ หมิ่นประมาทและดูหมิ่นซึ่งหน้า ทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดฯ, และทะเลาะกันอื้ออึงในที่สาธารณสถาน

จากนั้นนายนวมินทร์ได้ฟ้องกลับนายโชติศักดิ์และเพื่อนกลับด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยความคืบหน้าคดีในวันที่ 19 กันายน 2551 พนักงานอัยการได้มีคำสั่งไม่ฟ้องนายนวมินทร์ และวันที่ 20 ตุลาคม 2551 ตำรวจได้ส่งสำนวนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา กรุงเทพใต้

เวลาผ่านมากว่า 4 ปี กระทั่งต่อมาในเดือนเมษายน 2555 อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพฯ ใต้ 4 มีหนังสือแจ้งไปยังสถานีตำรวจนครบาลปทุมวันเมื่อวันที่ 15 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยคำวินิจฉัยของอัยการระบุว่า พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ผู้ต้องหาไม่ลุกขึ้นเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี และมีการพูดว่า "ทำไมต้องยืนด้วยไม่มีกฎหมายบังคับ" นั้น เห็นว่าการกระทำดังกล่าวมิได้แสดงออกซึ่งวาจาหรือกิริยาอันจะเข้าลักษณะเป็นการดูถูก เหยียดหยาม ทำให้อับอาย เสียหาย สบประมาท ด่าว่า และการกล่าวหรือโต้เถียงเกิดขึ้นหลังจากเพลงจบแล้ว แม้จะเป็นกิริยาที่ไม่เหมาะสมและไม่อยู่ในบรรทัดฐานที่ประชาชนทั่วไปต้องปฏิบัติก็ตาม แต่การกระทำของผู้ต้องหาทั้งยังไม่อาจชี้ชัดได้ว่ามีเจตนาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ อีกทั้งผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดมา พยานหลักฐานจึงไม่พอฟ้อง

 

สิงหาคม 2555

[6] คำสั่งรักษาด่านศอฉ.ใช้ "พลแม่นปืน" หากผู้ก่อเหตุปะปนผู้ชุมนุม - หากยิงไม่ได้ให้ใช้ "สไนเปอร์"

18 สิงหาคม 2555 http://prachatai.com/journal/2012/08/42125
จำนวนแชร์ 708 ครั้ง จำนวนรีทวีต 135 ครั้ง

ในเดือนสิงหาคม 2555 ผู้สื่อข่าวประชาไทได้รับเอกสารสั่งการของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) "ส่วนราชการ สยก.ศอฉ. ที่ กห.0407.45 (สยก.)/130" ลงวันที่ 17 เม.ย. 53 เรื่อง "ขออนุมัติแนวทางการปฏิบัติในการใช้อาวุธเพื่อ รปภ. ที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญ รวมทั้งการปฏิบัติ ณ จุดตรวจ/ด่านตรวจและสายตรวจเคลื่อนที่" ลงนามโดย พล.ท.อักษรา เกิดผล หน.สยก.ศอฉ. เสนอ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. ในเวลานั้น

โดยเอกสารมีทั้งหมด 5 หน้า ใจความสำคัญคือการระบุแนวทางปฏิบัติ หากมี "ผู้ก่อการร้ายแฝงตัวมากับกลุ่มผู้ชุมนุม และใช้อาวุธ/วัตถุระเบิดต่อเจ้าหน้าที่ และประชาชนผู้บริสุทธิ์"

ในข้อ 2.5 ระบุว่า "ในกรณีพบความผิดซึ่งหน้าในลักษณะผู้ก่อเหตุใช้อาวุธยิงใส่เจ้าหน้าที่ หรือใช้อาวุธ/วัตถุระเบิดต่อที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญที่ ศอฉ. กำหนด ได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้อาวุธยิงผู้ก่อเหตุ เพื่อหยุดยั้งการปฏิบัติได้ แต่หากผู้ก่อเหตุอยู่ปะปนกับผู้ชุมนุมจนอาจทำให้การใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ เป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ให้งดเว้นการปฏิบัติ ยกเว้นในกรณีที่หน่วยได้จัดเตรียมพลแม่นปืน (Marksmanship) ที่มีขีดความสามารถเพียงพอให้ทำการยิงเพื่อหยุดยั้งการก่อเหตุได้ นอกจากนี้หากหน่วยพบเป้าหมายแต่ไม่สามารถทำการยิงได้ เช่น เป้าหมายอยู่ในที่กำบัง ฯลฯ หน่วยสามารถร้องขอการสนับสนุนพลซุ่มยิง (Sniper) จาก ศอฉ. ได้"

โดยการเผยแพร่เอกสารคำสั่งของ ศอฉ. ครั้งนี้ นับเป็นการหักล้างการแถลงข่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อ 16 ส.ค. 55 ที่ปฏิเสธว่าไม่มีการใช้สไนเปอร์ เป็นเพียงปืนติดลำกล้องเพื่อใช้ระวังป้องกัน ซึ่งในตลาดนัดก็มีขายสำหรับใช้ยิงนก ขณะที่เมื่อ 16 พ.ค. 53 พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ขณะนั้นปฏิบัติหน้าที่โฆษก ศอฉ. ด้วยก็ปฏิเสธว่าไม่มีการใช้สไนเปอร์ มีเพียง "พลแม่นปืนระวังป้องกัน" ทำหน้าที่คุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ต่ำหรือตามถนนหนทางโดยทั่วไป เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะมีหน้าที่ในการตรวจสอบว่ามีบุคคลผู้ใดถืออาวุธหรือจะเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ และจะใช้การยิงคุ้มครอง (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ต่อมาภายหลังการเผยแพร่เอกสาร พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก (ทบ.) ออกมายอมรับว่าเป็นเอกสารฉบับจริง แต่อ้างว่าผู้ที่นำเอกสารฉบับนี้มาปล่อยเข้าใจว่ามีนัยยะเรื่องอื่น เพราะเอกสารมีอยู่ 5 แผ่น แต่เลือกนำแผ่นสุดท้ายมาปล่อย และยืนยันว่าการปฏิบัติงานของ ศอฉ. ยึดหลักสากลจากเบาไปหาหนัก "หากการปฏิบัติจากเบาไปหาหนักนั้นไม่สามารถจะระงับยับยั้งการปฏิบัติที่ผิดกฎหมายก่อให้เกิดอันตรายต่อพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่ได้ เราก็จำเป็นที่ต้องใช้พลแม่นปืนระวังป้องกัน" อย่างไรก็ตามประชาไทเผยแพร่เอกสารทุกหน้า ไม่ใช่หน้าเดียวอย่างที่ พ.อ.สรรเสริญกล่าวหา (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)

ก่อนหน้านี้เมื่อ 18 มี.ค 54 พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ได้นำรายงานบัญชีสรุปรายการเบิกจ่ายกระสุนจากหน่วยคลังแสงสรรพาวุธทหารบก เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ตั้งแต่ 11 มี.ค. 53 จนถึงเสร็จสิ้นการโดยมีการเบิกกระสุนจากคลังแสงทหารบกกว่า 597,500 นัด ส่งคืน 479,577 นัด ใช้ไป 117,923 นัด เผยมีการเบิกกระสุนปืนซุ่มยิง 3,000 นัด คืนเพียง 880 นัด ขณะที่เบิกกระสุนซ้อมเพียง 10,000 นัด ส่งคืน 3,380 นัด (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)

 

กันยายน 2555

[7] ความจริงเท่าที่ทราบ' ต่อกรณีภาพยนตร์ฉาว Innocence of Muslim

13 กันยายน 2555 http://prachatai.com/journal/2012/09/42619
จำนวนแชร์ 716 ครั้ง จำนวนรีทวีต 7 ครั้ง

จากกรณีกลุ่มติดอาวุธชาวลิเบียบุกเข้าโจมตีสถานทูตสหรัฐอเมริกา ในลิเบียเมื่อวันที่ 11 กันยายน จนเป็นเหตุให้เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เสียชีวิต เนื่องจากไม่พอใจภาพยนตร์อเมริกันเรื่อง "Innocence of Muslim" ที่ดูหมิ่นศาสดาของศาสนาอิสลาม ต่อมาประชาไทได้แปลบทรายงานของสำนักข่าวอัลจาซีร่านำเสนอเกร็ดที่มาของภาพยนตร์ล้อเลียน ที่กลายเป็นเหตุให้เกิดการต่อต้านจากในลิเบีย และการประท้วงในอียิปต์

โดยนักแสดงที่ร่วมแสดงในภาพยนตร์ดังกล่าว ที่ผู้กำกับเป็นชาวอิสราเอล-อเมริกันใช้ชื่อว่า "แซม บาไซล์" บอกว่า เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศาสดามูฮัมหมัดหรืออิสลาม ในตอนแรกพวกเขาถูกเรียกมาคัดเลือกนักแสดงในภาพยนตร์ที่ชื่อ "นักรบแห่งทะเลทราย" โดย ผู้กำกับที่ชื่อ "อลัน โรเบิร์ท" และการกล่าวอ้างอิงถึงศาสนาในภาพยนตร์เพิ่งมีการนำมาอัดเสียงพากษ์ใส่ทีหลัง สำหรับข่าวนี้ถือเป็นข่าวที่มีจำนวนผู้อ่านที่สูงที่สุดในปี 2555

 

[8] จำนรรจา นารีหลุดกาล: คุยกับแอดมิน "ตะละแม่ป๊อปคัลเจอร์"

14 กันยายน 2555 http://prachatai.com/journal/2012/09/42635
จำนวนแชร์ 9,992 ครั้ง จำนวนรีทวีต 179 ครั้ง

"ถิ่นนี้มีอันตรายร้ายแรงยิ่งนัก หากมิใช่คนตัวกลั่นแท้แล้วไซร้ เห็นทีจักเอาชีวิตรอดมิได้เป็นแม่นมั่น" (แปล - แถวนี้แม่งเถื่อน บอกตรงๆนะถ้าไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้) "พลันมีเสียงกัมปนาทแปลบเปรี้ยง บัดเดี๋ยวกลายเป็นข้าวพองกรอบ" (แปล - บู้ม!!! กลายเป็นโกโก้ครั้นช์) หรือ "อยู่บุรีมีจริต ชีพจักต้องวิลิศมาหรา" (แปล - อยู่เมืองดัดจริต ชีวิตต้องป๊อป)

และอีกหลายประโยคที่หลายคนในเฟซบุ๊กที่มาจากเพจ "ตะละแม่ป๊อปคัลเจอร์" ให้ชาวเน็ตได้ทายว่าความหมายคืออะไร โดยในเดือนกันยายน ประชาไทได้มีโอกาสสัมภาษณ์ 3 แอดมิน ถึงที่มาและแนวคิดในการตั้งเพจดังกล่าว ที่ปัจจุบัน (ธันวาคม 2555) มีผู้คนกดไลค์เพจกว่า 6.5 หมื่นคน

"จริงๆ เพจนี้ก็ไม่ใช่เพจล้อเลียนอย่างเดียว เส้นกั้นระหว่าง parody กับ homage มันบางมาก เพจนี้แม้จะดูเป็นเพจล้อเลียน แต่ก็ทำขึ้นมาด้วยความชื่นชอบ เราชอบภาษาแบบโบราณ เห็นว่ามันเก๋ดี แต่ในขณะเดียวกันเราก็โตมากับวัฒนธรรมป๊อป ดูหนังฮอลลีวู้ด ใส่กางเกงยีนส์ เราเลยอยากนำสองค่ายมาผสมผสานกัน เป็นเหมือนโรบินฮูดที่ขโมยภาษาศักดิ์สิทธิ์ของชนชั้นสูงมาให้ความสนุกสนาน แก่ชนชั้นกลางธรรมดาสามัญทั่วไปค่ะ

ส่วนเป้าหมายรองของเพจเรา ก็คือต้องการล้อเลียนแนวคิดชาตินิยมที่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน โดยการแสดงให้เห็นว่าไม่มีวัฒนธรรมที่เป็น "ไทยแท้" แม้แต่ภาษาที่ดูโบราณและดูเป็นไทยจ๋าๆ ก็ยังยืมมาจากภาษาอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ชื่อว่า ตะละแม่ ซึ่งไม่ใช่คำเรียกเจ้าหญิงของไทย แต่ก็เป็นคำที่ปรากฏในวรรณกรรมขึ้นหิ้งของไทย ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นความไม่เป็นเหตุเป็นผลของวาทกรรมชาตินิยมค่ะ"

หลังการสัมภาษณ์แอดมินเพจได้ตั้งชื่อให้กับประชาไทด้วยว่าคือ "อิสรมานพ" หรือประชาไทในภาษาของตะละแม่ฯ ด้วย

 

ตุลาคม 2555

[9] ชาวกัมพูชาโวยนักข่าวไทยเหยียบกระดาษที่มีรูปสมเด็จพระนโรดม สีหนุ

17 ตุลาคม 2555 http://prachatai.com/journal/2012/10/43202
จำนวนแชร์ 665 ครั้ง จำนวนรีทวีต 48 ครั้ง

ในช่วงที่มีการไว้อาลัยการสวรรคตของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ เกิด กระแสความไม่พอใจชาวกัมพูชาซึ่งมีการแชร์ภาพ น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวช่องสาม โดยกล่าวหาว่าเป็นการยืนทับกระดาษที่มีรูปสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์ที่เพิ่งสวรรคตขณะรายงานข่าวจากกรุงพนมเปญ

โดยต่อมา มีการชี้แจงของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ระบุว่าได้สอบถามจาก น.ส.ฐปณีย์ แล้วโดยยืนยันว่า น.ส.ฐปณีย์ "ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่ หรือแสดงความไม่เคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่เคารพรักของประชาชนชาวกัมพูชา" เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ระหว่างการรายงานข่าวประชาชนกัมพูชาไว้อาลัยสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ที่บริเวณหน้าพระราชวังจตุรมุขมงคล "ด้วยลักษณะที่ต้องยืนรายงาน ทำให้ต้องวางสิ่งของส่วนตัว ประกอบด้วย โทรศัพท์มือถือ สมุดจดบันทึก หนังสือพิมพ์ ซึ่งลงภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ แห่งกัมพูชา ตีพิมพ์หลักจากที่เสด็จสวรรคต และได้วางไว้ที่พื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งได้วางห่างจากตัวพอสมควร แต่เนื่องจากภาพที่ปรากฏในเฟซบุ๊ค ถ่ายจากด้านข้างค่อนไปทางด้านหลัง จึงทำให้เห็นว่าสิ่งของทั้งหมดวางอยู่ใกล้ตัว" (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ลุกลามบานปลาย โดยหลังการชี้แจงของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 คณะของ น.ส.ฐปณีย์ได้เดินทางไปที่สถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยเพื่อทำพิธีขอขมา

ต้องบันทึกไว้ด้วยว่า ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ร้องขอไม่ให้สื่อมวลชนเผยแพร่รูปในกรณีของ น.ส.ฐปณีย์ โดยอ้างว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดยในเวลาต่อมากองบรรณาธิการประชาไทได้ตัดสินใจไม่นำเสนอภาพดังกล่าวในข่าว แต่ยังคงลิ้งที่ไปยังภาพดังกล่าว โดยเคารพในการใช้วิจารณญาณเองของผู้อ่าน

 

ธันวาคม 2555

[10] คำต่อคำสัมภาษณ์ 'อภิสิทธิ์' ใน 'บีบีซี': พ้อ-ไม่แฟร์ที่หาว่า "สั่งใช้กระสุนจริง" เท่ากับ "ฆ่าคน"

11 ธันวาคม 2555 http://prachatai.com/journal/2012/12/44161
จำนวนแชร์ 1,543 ครั้ง จำนวนทวีต 111 ครั้ง

ในเดือนธันวาคม ประชาไทแปลบทคำสัมภาษณ์ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ BBC World News ทางสถานีโทรทัศน์บีบีซีของอังกฤษ ต่อเรื่องการสั่งฟ้องและการมีส่วนรับผิดชอบในคดีการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมที่มีสาเหตุจากเจ้าหน้าที่รัฐในระหว่างการสลายการชุมนุมเดือนพฤษภาคม 2555 โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวยอมรับเป็นครั้งแรกว่ามีการใช้กำลังทหารและการใช้กระสุนจริงในระหว่างการสลายการชุมนุม และว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น เนื่องจากมีกลุ่มติดอาวุธอยู่ในพื้นที่ชุมนุม หรือชายชุดดำ ซึ่งยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และผู้ชุมนุม และยังกล่าวว่า มีผู้เสียชีวิตราว 20 คน ที่สรุปได้แล้วว่า เสียชีวิตจากกลุ่มติดอาวุธภายในผู้ชุมนุม ขณะที่ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไทยไม่กี่วันก่อนหน้านี้ว่า เหตุใดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ผอ.ศอฉ. รวมถึงตัวเขาซึ่งไม่มีตำแหน่งใน ศอฉ. และไม่ได้ลงนามคำสั่ง กลับถูกตั้งข้อกล่าวหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล โดยผู้ฟ้องคือนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน

ในรายงานข่าวผู้ดำเนินรายการ น.ส.มิชาล ฮุสเซน ถามแย้งนายอภิสิทธิ์ว่า ในรายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ที่ทำการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว ชี้ว่าผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เสียชีวิตมาจากทหาร และถามว่า ยอมรับหรือไม่ว่าผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ทหาร นายอภิสิทธิ์ตอบว่า จาก 20 คดีที่ได้ทำการสอบสวนไป มีเพียงสองคดีเท่านั้นที่เสียชีวิตจากกระสุนปืนของทหาร นอกจากนี้ยังกล่าวว่า ต้องไม่ลืมว่า ผู้ชุมนุมได้ปล้นปืนของทหารไปด้วย

ต่อคำถามของผู้ดำเนินรายการว่า นายอภิสิทธิ์ยอมรับหรือไม่ว่าตนมีส่วนรับผิดชอบในการเสียชีวิตบางส่วน เขาตอบว่า ไม่ เพราะการตั้งข้อกล่าวหาต่อตนเองในตอนนี้ มาจากคดีการเสียชีวิตของคนที่ไม่ใช่ผู้ชุมนุมด้วยซ้ำ (หมายถึง - คดีนายพัน คำกอง คนขับรถแท็กซี่เสียชีวิต) แต่เป็นเพียงผู้เห็นเหตุการณ์ที่บังเอิญออกมาดูและโชคร้ายที่เขาโดนลูกหลงเข้า

เขากล่าวยอมรับว่า ตนเป็นผู้สั่งใช้กระสุนปืนจริง แต่มิได้รู้สึกเสียใจต่อการออกคำสั่งดังกล่าว เพราะเป็นวิธีที่จะสามารถจัดการกับกลุ่มผู้ที่ติดอาวุธได้ และกล่าวว่า เหตุการณ์เมื่อปี 53 เป็นเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงจริง แต่หากไม่มีกลุ่มชายชุดดำที่มีอาวุธและยิงตำรวจ ทหารและประชาชน ความรุนแรงและความเสียหายดังกล่าวก็คงจะไม่เกิดขึ้น

อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารัฐบาลชุดของเขาเป็นรัฐบาลแรกที่อนุญาตให้ตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ อัยการ และศาลเข้าสืบสวนสอบสวน ตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว เขากล่าวว่า ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ตนก็จะยอมรับโทษนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นโทษประหารชีวิต และขอเรียกร้องแบบเดียวกันต่ออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และสมาชิกในรัฐบาลนี้ ให้ทำแบบเดียวกันด้วย

 

(แถม)

ผลโหวต 10 แฟนเพจเฟซบุ๊ก ปี 2012

26 ธันวาคม 2555 http://prachatai.com/journal/2012/12/44407
จำนวนแชร์ 11,600 ครั้ง จำนวนรีทวีต 310 ครั้ง

นอกจาก 10 ข่าวที่มีการจัดอันดับไปแล้วนั้น อีกข่าวที่ไม่ได้จัดอันดับด้วย แต่มีผู้อ่านจำนวนมากและยอดแชร์สูงเป็นประวัติการถึง 11,600 ครั้งก็คือข่าว "ผลโหวต 10 แฟนเพจเฟซบุ๊ก" ปี 2012 กิจกรรมส่งท้ายปีสำหรับผู้อ่านประชาไท โดยเฟซบุ๊กแฟนเพจ Prachatai ได้ตั้งกระทู้ "ร่วมเสนอและ Vote 10 เพจแห่งปี 2012" เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.55 เปิดให้ผู้ร่วมโหวตเสนอและโหวตเพจที่ตัวเองคิดว่าสมควรได้รับเลือกและได้เป็นเพจแห่งปี และปิดโหวตในเมื่อเวลา 23.59 น. วันที่ 25 ธ.ค.55 ท่ามกลางการมีส่วนร่วมสนุกจากเพจที่ถูกเสนอชื่อ และการเสพ "ดราม่า" เป็นระยะ โดยที่สุดมีการโหวตทั้งสิ้น 371,272 โหวต มีการแสดงความเห็นท้ายกระทู้โหวต 6,792 ความเห็น โดย10 เพจแห่งปี 2012 ประกอบด้วย เพจ VRZO, 9Gag in Thai/9GAG in Thai, Drama-addict, สมรัก พรรคเพื่อเก้ง, โหดสัส V2, เฮ้ย! นี่มันตัดต่อชัด ชัด, Dora GAG, ออกพญาหงส์ทอง, วิรศากดิ์ นิลกาด และช้างเป็นสัตว์กินเลือด

ทั้งนี้ในปัจจุบัน เฟซบุ๊กโดยเฉพาะในรูปแบบแฟนเพจในไทยมีการเติบโตอย่างมากทั้งในเชิงการค้า การเมืองและสังคม มีการหยิบเครือข่ายสังคมออนไลน์นี้มาใช้ ล่าสุดข้อมูลจาก Zocialrank.com ระบุว่าประเทศไทยมีแฟนเพจเฟซบุ๊กประมาณ 3 แสนเพจ เป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่อันดับสองคือฟิลิปปินส์มีเพียง 2 หมื่นกว่าเพจเท่านั้น และในระดับโลกกรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองที่มีบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กมากที่สุดในโลกอีกด้วยคือ 12,797,500 บัญชี

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสวนา: 1 ปี กสทช.: ความสมหวังและไม่สมหวังของสังคมไทย

Posted: 30 Dec 2012 08:09 AM PST

นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ชี้ กสทช.ลดทอน 'ความน่าเชื่อถือ' จากฝีมือตัวเอง ด้านกฎหมายแนะเปลี่ยน กสทช.จากเสือกระดาษ ต้องปรับเพิ่ม 'โทษทางปกครอง' ขณะ 'ผู้บริโภค' มอง 'กสทช.' เน้นตั้งรับ-แก้ปัญหาช้า ห่วงยังไม่เตรียมรับมือประมูลคลื่นรอบใหม่

 

คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จัด NBTC Public Forum ครั้งที่ 11 หัวข้อ "1 ปี กสทช.กับความสมหวัง หรือ ไม่สมหวังของสังคมไทย" ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค โดยมี นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภคใน กิจการโทรคมนาคม (กทค.) และสุภิญญา กลางณรงค์ กสทช.ด้านกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ (กสท.) ร่วมรับฟังการแสดงความคิดเห็น เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.55

สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. กล่าวว่า งานที่ผ่านมานั้นพยายามผลักดันหลายส่วน และยังมีจำนวนมากไม่คืบหน้า ซึ่งต้องพยายามต่อไป แต่อย่างน้อยก็เห็นได้ชัดว่าเริ่มเกิดวัฒนธรรมการรับฟังใน กสทช.แม้จะเป็นเสียงข้างน้อยก็ตาม อย่างไรก็ดี ในปีหน้านี้จะมีความคืบหน้าในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น การออกประกาศการลดหย่อนค่าธรรมเนียมสำหรับวิทยุเพื่อสังคม ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างรับฟังความคิดเห็น ส่วนคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้จัดทำหลักสูตรคู่มือรู้ทันสื่อ ซึ่งปีหน้ากำหนดจะเดินสายคุยกับทีวีหลัก 6 ช่องเพื่อหาแนวทางร่วมกันแล้วจะนำเสนอรัฐบาลว่าสนใจจะใส่ในหลักสูตรของนักเรียนนักศึกษาหรือไม่

สุภิญญา กล่าวด้วยว่า ในต้นปีหน้าจะมีการทบทวนอนุกรรมการที่มีอยู่กว่า 20 ชุดให้กระชับขึ้น ซึ่งบางส่วนมีความซ้ำซ้อนกันอยู่ ต้องจับตาดูว่าจะยุบคณะอนุฯ ใดบ้าง และจะมีการออกใบอนุญาตเคเบิลทีวีและวิทยุชุมชนอีก 8,000-9,000 สถานี ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นในการกำกับดูแล ซึ่งจะได้เห็นศักยภาพว่า กสทช.ติดตามกำกับได้แค่ไหน

ในส่วนรายการโทรทัศน์ ช่อง 7 จะมีภาษามือในรายการข่าว ขณะที่ ช่อง 5 true vision จะมีคำบรรยายประกอบข่าวสำหรับผู้มีปัญหาทางการได้ยิน และทีวีดิจิตอลรุ่นใหม่จะต้องมีปุ่มสำหรับผู้พิการทางสายตา นอกจากนี้ โทรทัศน์ทุกช่องยังต้องส่งแผนยามภัยพิบัติมาให้ กสทช.ตามประกาศ

"เรื่อง broadcast ยังไม่ได้สรุปโมเดลว่าจะคุมเข้มข้นโดยรัฐ หรือดูแลกันเอง หรือกึ่งๆทั้งสองอย่าง จุดตรงกลางระหว่างเสรีภาพกับความรับผิดชอบ กสทช.จะอยู่ตรงไหน ปีหน้าคงจะได้เห็นกัน" สุภิญญากล่าว


"การห้าม" อย่างเดียวไม่พอ ควรมีแนวทาง "ส่งเสริม" ด้วย
ผศ.ดร.พิรงรอง รามสูตร จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในฐานะเป็นกรรมการในอนุกรรมการของ กสทช.หลายชุด ขอสะท้อนการทำงานของ กสทช.ว่า ในภาพรวมนั้นเห็นว่าขาดกรอบกลางในการกำกับดูแลทางนโยบาย ระยะเวลา 10 กว่าปีของสุญญากาศทำให้ปัญหาหมักหมมโดยเฉพาะเรื่องโทรทัศน์และวิทยุที่ต้องมีการระบุปัญหาที่ชัดเจน ก่อนจะวางกรอบการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เช่น ทีวีดาวเทียมการเมืองทั้งหลายที่ยังด่ากันได้นั้น กสทช.จะจัดการอย่างไร ส่วนที่ผิดกฎหมายชัดเจนนั้นจัดการได้เลย

ในกรณีที่มีเนื้อหาบางประเภทที่อันตราย สร้างความเกลียดชังน่าจะมีแนวทางจัดการชัดๆ แต่ก็ไม่ควรจะเป็นแนวทาง "การห้าม" อย่างเดียว ควรมีแนวทาง "ส่งเสริม" เนื้อหาที่เหมาะสมด้วย จากนั้นจึงค่อยดูเรื่องระบบการดูแล ว่าจะใช้แต่กฎระเบียบรัฐ หรือระบบกำกับดูแลกันเอง แต่ที่สำคัญคือ การสร้างความเท่าทันสื่อให้กับประชาชน

พิรงรองกล่าวด้วยว่า การออกกฎเกณฑ์กำกับดูแลที่ผ่านมามีลักษณะเป็นไปตามบุคลิกของกรรมการค่อนข้างมาก การทำวิจัยข้อมูลเพื่อออกแบบนโยบายส่วนใหญ่จ้างสถาบันการศึกษาซึ่งไม่ได้อยู่ในปัญหาและไม่ได้อยู่ใน กสทช. ทั้งที่ศักยภาพในการทำวิจัยโดย กสทช.เองมีค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการออกแบบการกรอกใบสมัครที่ดี เพียงแค่ข้อมูลของผู้ประกอบการใบสมัครก็ทำวิจัยได้หลายเรื่องแล้ว และสามารถนำไปประมวลเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ได้


หวั่นการประมูลครั้งใหม่ซ้ำรอย '3G' ชี้ 'ออกแบบการประมูล' ปมหลักต้องเร่งแก้
รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวถึงการประเมินการทำงานของ กสทช.ที่ผ่านมาว่า ให้เกรด I (เกรดยังไม่ออก) ยังไม่ให้ติด F หรือให้ผ่าน เพราะยังทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจ จากการที่ กสทช.ไม่สามารถแก้ปัญหาให้ผู้บริโภคได้ในกรณีที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเรียกเก็บค่าบริการล่วงหน้า (พรีเพด) มีการกำหนดอายุของเงินที่เติมผ่านระบบ และเรื่องเงื่อนไขการลดราคาค่าบริการ 3G ลง 15% ที่ทำให้เกิดคำถามถึงรายละเอียดและเงื่อนไขซึ่งควรเขียนให้ชัดเจน

ส่วนประเด็นการประมูลไลเซ่นส์ 3G หากติดตามจะพบว่าเงื่อนไขเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด ซึ่งเขาเองมองว่าสังคมไทยหลงประเด็นไปจับจ้องว่าบริษัทเอกชนมีการฮั้วประมูล แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นเท่ากับการออกแบบการประมูล ทั้งที่สามารถได้เงื่อนไขที่ดีที่สุดทั้งในส่วนราคาและดาต้าแต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น โดย กสทช.มีข้ออ้างเช่น เกรงว่าบริษัทเดียวจะได้ไป เกรงว่าจะไม่มีคนมาประมูลในคลื่นความถี่อื่น อีกทั้งยังมีความคลางแคลงใจว่าทำไม กสทช.ไม่ให้คนนอกที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมแสดงความเห็น ดังนั้น ผลที่ออกมาจึงกลายเป็นว่าประโยชน์ที่ได้นั้นน้อยที่สุดด้วยเงื่อนไขที่เกิดขึ้น ซึ่งหากไม่มีการทักท้วงอาจเกิดการออกแบบการประมูลเช่นนี้เรื่อยๆ กับกิจการอื่นๆ ได้ 

รศ.ดร.วรากรณ์ ยังกล่าวชื่นชมการทำงานของ น.ส.สุภิญญา และ นพ.ประวิทย์ เพราะเป็นเสียงส่วนน้อยที่มีความกล้าหาญ ส่วนประเด็นเร่งด่วน ที่ กสทช.ต้องทำ คือ 1.การใช้สมาร์ทโฟนที่จะมีมากขึ้น ต้องมีการเตรียมความรู้ให้เท่าทันในเรื่องข้อมูลและเทคนิค 2.แนวโน้มดิจิตอลทีวี และ 4G ที่จะตามมาในปี 2556 ต้องมีการเตรียมการออกแบบการประมูลที่แตกต่างจากเดิมและมีความโปร่งใส 3.ความไว้วางใจของประชาชนต่อ กสทช.จะเกิดขึ้นได้จากพฤติกรรมที่เห็นปรากฏจริง กสทช.ต้องบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย สร้างความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่เป็นแค่เสือกระดาษ 4.เปลี่ยนแปลงให้เกิดความรู้สึกที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นระหว่าง กสทช.กับประชาชน

นอกจากนั้น ความคิดเห็นที่แตกต่างกันใน กสทช.เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ควรมีคำชี้แจงที่อธิบายได้ มีหลักฐานน่าเชื่อถือจริง


ชี้ กสทช.ลดทอนความน่าเชื่อถือจากฝีมือตัวเอง
ด้าน ผศ.ดร.ภูรี สิรสุนทร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า เมื่อครั้งเริ่มตั้ง กสทช.ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับองค์กรนี้ เพราะถือว่ามีหน้าที่ต้องกำกับดูแลตามกฎหมายอยูแล้ว แต่ต้องดูว่าทำหน้าที่ได้บรรลุเป็นที่พอใจหรือไม่ โดยที่ผ่านมา การกำหนดเงื่อนไขให้ลดราคาค่าบริการ 3G ลง 15 เปอร์เซ็นต์ ของ กสทช.นั้นลดทอนความน่าเชื่อถือของตัวเอง เพราะไม่ได้กำหนดไว้ตั้งแต่แรก และทำให้เกิดคำถามว่าลดบนพื้นฐานของอะไร ดาต้า วอยซ์ หรือ เอสเอ็มเอส แล้วคุณภาพจะดีขึ้นจริงหรือเปล่า

อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. กล่าวตั้งคำถามต่อมาว่า ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา กสทช.ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ทำให้เกิดการประมูลที่ดีแล้วหรือยัง และการรับฟังความคิดเห็นในเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคที่ผ่านมาทำแล้วมีกลไกลการนำไปใช้อย่างไร อีกทั้งเมื่อมองโดยภาพรวม กสทช.มีอิสระอย่างมากทั้งทางการเมืองและการเงิน ทำให้มีคำถามต่อเนื่องว่าหากมีการทำความผิด กระบวนการรับผิดต่อสังคมควรเป็นอย่างไร เพราะที่ผ่านมามีการผูกขาดอำนาจในการกำกับดูแลมาแทนที่ ทั้งยังมีกลไกเพื่อไม่ให้รับผิด และการออกสื่อชี้แจง โดยเงินที่ใช้ในการบริหารจัดการคือเงินของประชาชนนั่นเอง

"คำว่าความเป็นอิสระของ กสทช.คำนี้ใหญ่มาก แต่คำถามมีอยู่ว่าอิสระแค่ไหน อย่างน้อยต้องมีกลไกของศาลที่ต้องดำเนินการเมื่อทำความผิด" ภูรีกล่าว

อีกทั้งการมีอิสระทางการเมือง โดย กสทช.กับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) พูดกันไปคนละทาง เช่นในเรื่องคืนคลื่นความถี่ที่จะต้องนำมาจัดสรรใหม่ ตรงนี้มีผลต่อการรับรู้ของผู้บริโภค และนักลงทุน ซึ่งไม่ใช่สัญญาณที่ดีหากต้องลงทุนต่อ

ส่วนเรื่องเร่งด่วนที่ กสทช.ต้องทำนั้น อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มธ.ให้ความเห็นว่า กสทช.ควรสร้างความน่าเชื่อถือให้กลับคืนมาด้วยการปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่โน้มเอียง และเสนอให้ถอยออกจากงานบริหารจัดการในคณะอนุกรรมการต่างๆ เพื่อมาควบคุมดูแลทิศทางในภาพใหญ่ นอกจากนั้นยังแสดงความเห็นว่า แม้จะชื่นชมการแสดงออกทางความคิดของ สุภิญญา และ นพ.ประวิทย์ ในฐานะ กสทช.เสียงข้างน้อย แต่ในภาพรวมของ กสทช.ควรต้องสะท้อนความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวขององค์กร ซึ่งภาพลักษณ์นี้จะส่งไปถึงต่างประเทศ พร้อมเสนอเรื่องการจัดการโรมมิ่งโดยใช้เรตเดียวกันทั้งภูมิภาคอาเซียน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน เตรียมรับการเข้าสู่ AEC


แนะเปลี่ยน กสทช.จากเสือกระดาษ ต้องปรับ 'โทษทางปกครอง'
ดร.เอื้ออารีย์ อิ้งจะนิล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวให้ความเห็นในด้านกฎหมายว่า ประกาศและกฎหมายของ กสทช.นั้นส่วนตัวเห็นว่ามีบางมุมที่อาจเพิ่มความเข้มในการกำหนดโทษไปด้วย เช่นโทษปรับในทางปกครอง ซึ่งองค์กรอิสระมุ่งหลักความได้สัดส่วน แต่ในการทำหน้าที่ของ กสทช.เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์หลายล้านบาทกลับมีค่าปรับที่ต่ำมาก เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดอัตราตายตัว คือ ค่าปรับไม่เกิน 5 ล้านบาท ยกตัวอย่างกรณีทรูจอดำ ปรับวันละ 20,000 บาท มองคล้ายค่าเช่าในการกระทำผิด

ตัวอย่าง กสทช.ของฝรั่งเศส ระบุให้คิดค่าปรับเป็น 3 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมดต่อปีในกิจการของผู้ประกอบการนั้นๆ หากทำผิดซ้ำจะมีการบวกอีก 5 เปอร์เซ็นต์ ในกรณี 3G ของฝรั่งเศสมีข้อตกลงต้องทำให้ได้ 99 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งหมด ทำได้จริง 83 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อ กสทช.ของฝรั่งเศสออกประกาศจะปรับ 800 ล้านยูโร ก็ส่งผลให้ค่ายมือถือเร่งปฏิบัติตามข้อตกลงได้ ดังนั้นตรงนี้จึงอยากเสนอให้ปรับอัตราค่าปรับให้เป็นไปตามผลประโยชน์ที่จะได้ เพื่อสร้างบทบาทของ กสทช.ไม่ให้เป็นเสือกระดาษดังเช่นปัจจุบัน

อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ยังกล่าวถึงประเด็นที่ตั้งข้อสงสัยส่วนตัวด้วยว่า กรณีกรรมการ กสทช.มีองค์ประกอบเกือบครึ่งหนึ่งที่มาจากทหาร-ตำรวจ โดยมองว่าเราไม่ได้อยู่ในยุคความมั่นคงที่จะต้องมีกลาโหมมากำกับดูแล และความมั่นคงในปัจจุบันก็ไม่ใช่เรื่องกลาโหมแต่คือเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่วมกำกับดูแล ซึ่งในอนาคตการสรรหา กสทช.ควรให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากกว่านี้

ในส่วนคุณสมบัติของ กสทช.ที่มีการระบุให้ไม่เป็นหรือเคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการ ผู้บริหาร ที่ปรึกษา ผู้ถือหุ้น หรือหุ้นส่วนที่ประกอบธุรกิจด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคม ในระยะเวลา 1 ปีก่อนหน้านั้น แต่ภายหลัง 6 ปี เมื่อพ้นวาระแล้วได้กำหนดหรือไม่ว่าจะทำอะไรได้หรือไม่ได้ เพราะการเข้ามาเป็น กสทช.เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาล ต้องมีความโปร่งใส ซึ่งจากตัวอย่างในฝรั่งเศส กำหนดให้ 3 ปีหลังจากพ้นตำแหน่ง กสทช.ไม่สามารถเกี่ยวข้องกับกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคม แม้แต่เป็นที่ปรึกษา หากฝ่าฝืนมีโทษทางอาญาทั้งจำและปรับ

ดร.เอื้ออารีย์ กล่าวถึงบทบาทต่อไปของ กสทช.ด้วยว่า 1.ควรมีการปรับเปลี่ยนโทษในทางปกครอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับผู้ประกอบการ 2.ควรมีมาตรการทางสังคม ที่นอกเหนือจากการขอความช่วยเหลือจากผู้ประกอบการอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เช่น หากศาลมีคำสั่งปรับ หรือลงโทษผู้ประกอบการที่กระทำผิด กสทช.ควรนำประเด็นเหล่านี้มาเผยแพร่ สร้างกระแสให้ผู้บริโภคเห็นการเอาเปรียบของผู้ประกอบการ ซึ่งตรงนี้จะกระทบถึงภาพลักษณ์ของผู้ประกอบการอันเป็นต้นทุนหนึ่งของการทำธุรกิจ และทำให้ผู้บริโภครับรูปและเท่าทันต่อการเอาเปรียบของผู้ประกอบการทั้งหลาย

ด้าน รศ.สุธรรม อยู่ในธรรม คณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า การมีความเห็นค้านกันใน กสทช.เป็นสิ่งที่ดีกับการกำกับดูแลอย่างรอบครอบ และความคิดเห็นขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ เพราะการเห็นแย้งจะต้องทำข้อมูลที่ชัดเจนในการอธิบายเหตุผล ซึ่งตรงนี้หากมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยจะถือเป็นเอกสารหลักฐานที่มีประโยชน์ในการทำงานต่อไปได้ และในอนาคตน่าจะให้มีการจัดทำความเห็นส่วนบุคคลของ กสทช.ทุกคนด้วย


ย้ำอำนาจ กสทช.ที่มี ไม่ใช่เพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน
จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท กล่าวว่า การเกิดขึ้นของ กสทช.ถือเป็นความสำเร็จหนึ่งในเรื่องสิทธิเสรีภาพ เมื่อมองจากอุดมการณ์การก่อตั้งที่ต้องการเปลี่ยนอำนาจในการสื่อสารจากที่ผูกขาดอยู่กับอำนาจรัฐและทุนที่แผงอยู่ มาสู่แนวคิดอำนาจของสาธารณะและทุน ซึ่งตรงนี้คือโจทย์ใหญ่ของ กสทช.และเวลา 1 ปีที่ผ่านมาถือเป็นระยะตั้งไข่ ส่วนการทำงานของ กสทช.ชุดแรกในมิติสิทธิเสรีภาพนั้น จีรนุชมองแยกเป็นคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ (กสท.)

โดยในส่วน กทค.ตามอุดมการณ์ที่ว่าส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ แต่กลับมีเรื่องนี้ในบทบาทหน้าที่และยุทธศาสตร์กลับระบุไว้น้อยมาก และตรงนี้ไม่ใช่เพียงแค่ USO (Universal Service Obligation) หรือการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม แต่ต้องมองการสื่อสารเป็นเรื่องที่เข้าถึงทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกเพศและทุกวัย เช่น การสื่อสารออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งปัจจุบันการบริการขั้นพื้นฐานต่างๆ เข้ามาอยู่ในโลกออนไลน์มากขึ้น ควรมีการส่งเสริมเพื่อให้ทุกคนได้รับสิทธิ์ในการสื่อสารและเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานอื่นๆ ที่ให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ต

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของความเป็นกลางของอินเทอร์เน็ต (Net Neutrality) การได้รับสิทธิโดยไม่ถูกกีดกัน ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ และมีระบบที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในทางสากล แต่เรื่องเหล่านี้ยังไม่สะท้อนในงานของ กทค.และในสังคมไทยก็ยังพูดถึงน้อย ขณะที่ปัจจุบันสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) มีการแก้ไขข้อบังคับโดยขยายขอบเขตครอบคลุมมาถึงเรื่องอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะส่งผลให้อินเทอร์เน็ตไม่ได้อยู่ในค่าความเป็นกลางอีกต่อไปเนื่องจากมีเรื่องความสามารถในการจ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม จีรนุช ได้แสดงความชื่นชมการทำงานของ กทค.ซึ่งทำหน้าที่กำกับช่องทางให้เกิดขึ้น อย่างมีเสรีภาพ อิสระและเป็นธรรม โดยไม่เข้ามากำกับดูแลเรื่องเนื้อหา จึงไม่เกิดการเซ็นเซอร์ซ้ำกับ ICT ทำให้การสื่อสารไม่สะดุดจากการเซ็นเซอร์ อย่างไรก็ตามควรมีการพูดคุยหาขอบเขตของเรื่องนี้ให้ชัดเจน

จีรนุช กล่าวต่อมาในส่วน กสท.ว่า เกิดมาเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้กระจายสื่อ ทำให้มีผู้เล่นที่หลากหลาย และมักถูกแรงเรียกร้องจากสาธารณะให้ทำการปิดกั้น และดูแลความถูกต้องเหมาะสม เนื่องจากวิทยุ-โทรทัศน์ มีการจัดผังรายการ และเราเป็นผู้ถูกยัดเยียดให้ต้องรับ ซึ่งจะต่างจากในกิจการโทรคมนาคมที่ผู้ใช้สื่อเป็นผู้เลือกเอง อย่างไรก็ตาม กสท.ไม่ควรต้องเป็นอีกหนึ่งกองเซ็นเซอร์ แต่ควรกำกับในสิ่งที่เป็นอันตราย เป็นโทษมากๆ โดยมีกรอบดูแลที่ชัดเจน การทำงานของ กสท.ตรงนี้ถือเป็นการวางหลัก ซึ่งจะยากกว่า กทค.ที่มีแนวทางมาแล้ว และหวังว่าจะมีการใช้ขอบเขตอำนาจการจัดสรรในการให้คุณให้โทษ ไม่ไปตามกระแสสังคม

"คนที่กำกับดูแลสื่อที่สำคัญที่สุดคือประชาชน สิ่งที่ กสทช.ควรทำคือการส่งเสริมและเปิดช่องทางให้ประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านคัดค้าน เปล่งเสียง เมื่อเกิดการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง โดยอยู่ในสังคมที่เชื่อว่าประชาชนฉลาด และจะฉลาดขึ้นได้" จีรนุช กล่าว

ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไทกล่าวฝากถึง กสทช.ด้วยว่า การเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ควรพยายามสื่อสารให้เข้าใจง่าย น่าสนใจ และเข้าถึงได้ง่าย แต่ตัวอย่างของเว็บไซต์ กสทช.ค่อนข้างมีปัญหาตรงนี้ ซึ่งอาจส่งผลเป็นการปิดกั้นโอกาสที่ประชาชนจะเข้าใจและใช้สิทธิเสรีภาพของพวกเขาได้ นอกจากนั้นประกาศของ กสทช.ที่เกิดขึ้นนั้นมีความหมาย บังคับใช้ได้ ไม่ใช่เสือกระดาษ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เสือตัวใหญ่ที่มีอำนาจเหนือประชาชน

ขณะที่ จอห์น วิญญู จาก SpokeDark.TV แสดงความเห็นเกี่ยวกับ ITU ว่า ที่ผ่านมาไม่มีตัวแทนผู้รับผิดชอบอย่างเป็นทางการของประเทศเข้าร่วมในการลงนามตอบรับในเรื่องการควบคุมอินเทอร์เน็ต และในการประชุมครั้งล่าสุดที่ประเทศดูไบ (การประชุม World Conference on International Telecommunications 2012 (WCIT-12) เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.55) ไทยระบุให้เสรีภาพอย่างเต็มที่ผ่านโลกออนไลน์ แต่กลับมีการลงนามให้ความรับรู้ในการควบคุมดูแลอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะมีการส่งให้สภาเห็นชอบทางกฎหมายต่อไป ตรงนี้น่าเป็นห่วงในเรื่องสิทธิการเข้าถึงข้อมูล เพราะจะเป็นการมอบอำนาจให้รัฐอย่างเต็มที่ซึ่งจะทำให้เสรีภาพหมดไป

จอห์น กล่าวว่าเรื่องนี้ต้องเชิญ ICT มาพูดคุยทำความเข้าใจถึงการเลือกปิดกั้นโดยการบล็อคและแบนสื่อออนไลน์ว่ามีหลักเกณฑ์อย่างไร แต่สิ่งที่เขาห่วงมากในอนาคตคือเราอาจไม่มีโอกาสรู้เลยว่ามีเว็บบางเว็บอยู่ เพราะจะถูกรัฐปิดกันตั้งแต่ต้นขั้ว


จาก 'กสทช.' หลุดลอยจาก ปชช.-มุ่งจัดการกับสื่อใหม่ แต่สื่อใหญ่กลับไร้น้ำยา
ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวแสดงความเห็นว่า กสทช.มีภาพลักษณ์ที่พยายามจะเป็น CEO (Chief Executive Officer) แต่รูปการกลับเป็นข้าราชการมากๆ ทั้งรายงานการประชุมที่ทุกหน้ามีตราครุฑ รายงานประจำปีเริ่มต้นด้วยพระบรมราโชวาท ตรงนี้ถือเป็นการเริ่มต้นโดยการทำให้ตัวเองลอยออกมาจากประชาชน ขณะที่ทุกคนมีความหวังว่า กสทช.จะเป็นองค์กรอิสระที่เป็นกลาง ออกจากรัฐและทุน มีทิศทางที่รัดกุม แต่กลับมีข้อสงสัยว่าการเป็นองค์กรอิสระนี้อาจเป็นพื้นที่แทรกเข้ามาของอำนาจนอกระบบบางอย่าง

ดร.ยุกติ กล่าวถึงประเด็นสำคัญในการทำหน้าที่จัดสรรช่องทางการของ กสทช. คือความสมดุลของความมั่นคงของรัฐกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งทำให้เกิดความเป็นห่วงทั้งเรื่องที่มาของประธาน กสทช.และสัดส่วนของกรรมการ กสทช.ที่มีทหาร-ตำรวจจำนวนมาก ซึ่งส่งผลให้การจัดองค์กรเป็นที่น่าสงสัย อาทิ ตำแหน่งที่ผูกติดกับสี และการสะท้อนภาพสังคมชายเป็นใหญ่ โดยหากจะแก้ต้องทำให้เกิดความหลากหลาย

ในส่วนบทบาทของ กสทช.ต่อชุมชน ดร.ยุกติให้ความเห็นว่า กสทช.ให้ความสำคัญกับผู้บริโภคและผู้ให้บริการในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งมากเกินไป อย่างเช่นกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองหรือคนชั้นกลางระดับบน ขณะที่คนที่อยู่ไกลถูกละเลย เช่น กรณีที่คนต่างจังหวัดจ่ายแพงกว่าเพื่อซื้อจานดาวเทียม หรือต้องโทรทางไกลในราคาแพง และไม่ใช่การพูดถึงแต่แค่สื่อใหม่ๆ อย่าง 3G เพราะในขณะเดียวกันการใช้โทรศัพท์ใช้สายก็ยังคงเป็นช่องทางการสื่อสารสำหรับคนบางกลุ่มอยู่นั้น แต่คำถามคือปัจจุบันกระจายไปถึงไหน อย่างไร โอกาสที่คนเข้าถึงมันจริงๆ เป็นอย่างไร

นอกจากนั้น การประกาศหลักเกณฑ์ของ กสทช.เรื่องการอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง พ.ศ.2555 มีข้อกำหนดที่ให้ผู้เข้ารับการอบรมประกอบกิจการวิทยุชุมชนจะต้องจบปริญญาตรี ทำไมถึงต้องกำหนดเช่นนั้น ในเมื่อผู้ประกอบกิจการอยู่ในขณะนี้จำนวนหนึ่งก็ไม่ได้จบปริญญาตรี เรื่องเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า กสทช.มุ่งจัดการกับสื่อใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ ทำให้สื่อชุมชน สื่อของคนเล็กคนน้อยถูกจับจ้องเยอะ ขณะที่สื่อใหญ่ สื่อที่ผูกขาดกลับดำเนินการอะไรได้ไม่มากนัก เช่นกรณีทรูจอดำ

ดร.ยุกติ กล่าวถึงกรณีการปรากฏตัวของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในทีวีช่อง 11 ซึ่งถูกหยิบยกมาเป็นข้อร้องเรียนต่อ กสทช.ว่า แม้ว่า กสทช.จะระบุว่าการกระทำดังกล่าวไม่ได้ขัดต่อกฎหมาย แต่มีการกล่าวให้สื่อสารมวลชนโดยเฉพาะช่อง 11 ในภาพกว้าง เวลาทำรายการใดๆ ต้องระมัดระวังว่ารายการนั้นจะไม่ก่อให้เกิดข้อคิด หรือข้อขัดแย้งทางความคิดของคนในสังคม โดยส่วนตัวถือเป็นการเซ็นเซอร์ตนเอง ซึ่ง กสทช.ในฐานะผู้มีอำนาจควรระวังการแสดงออกในลักษณะเช่นนี้

"หวังว่า กสทช.จะยืนอยู่ข้างสิทธิเสรีภาพในการสื่อสารของประชาชนอย่างแท้จริง ในฐานะองค์กรอิสระ สร้างบารมีทานการคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยรัฐและทุน เช่นในกรณีการปิดวิทยุชุมชนด้วยข้ออ้างเป็นภัยความมั่นคง นี่เป็นบทบาทที่น่าจะทำ" ดร.ยุกติกล่าว และตั้งคำถามว่า กสทช.จะมีปฏิญญาอะไรได้บ้างหรือไม่ในฐานะที่มาจากรัฐธรรมนูญ 50 หากมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดขึ้น


'ผู้บริโภค' เผย 'กสทช.' เน้นตั้งรับ-แก้ปัญหาช้า ห่วงยังไม่เตรียมรับมือประมูลคลื่นรอบใหม่
ด้านสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวถึงประเมินการทำงานของ กสทช.ในด้านคุ้มครองผู้บริโภค โดยอยู่ในฐานะที่เป็นประธานและคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคมด้วยว่า ทำงานมองในเชิงการตั้งรับ ขณะที่เรื่องร้องเรียนกว่า 2,105 เรื่องในเวลากว่า 11 เดือนที่ผ่านมา กลับแก้ปัญหาได้น้อยและไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ใน 30 วันตามที่กำหนดไว้ นอกจากนั้น ในการทำงานแม้ว่าอนุกรรมการฯ จะเห็นไปในทางเดียวกัน แต่สำนักงานไม่ทำตามเพราะเห็นว่าอนุกรรมการฯ ไม่สามารถให้คุณให้โทษได้ ตรงนี้คืออีกปัญหาหนึ่งซึ่งต่อไปคงต้องคิดว่าจะทำงานตรงนี้อย่างไร ทั้งการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นแล้ว แต่กลับไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขด้วย

สารี ให้ข้อมูลด้วยว่า เรื่องที่มีการร้องเรียนเป็นอันดับ 1 คือ มือถือแบบเติมเงิน (พรีเพด) ที่มีการกำหนดอายุของเงินที่เติม ซึ่งตัวเลขมือถือระบบนี้ประมาณ 70 ล้านเลขหมาย หากเติมเงิน 300 บาท ประมาณ 140 บาทจะสูญเสียระหว่างทางเนื่องจากวันหมดแล้วถูกตัดเงินไป หรือคิดเป็นประมาณ 9,800 ล้านบาทต่อเดือน แต่ตัวเลขที่ปรับไม่เพียงพอกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แม้จะเป็นการปรับเต็มตามกฎหมายที่ให้ไว้สูงสุด 5 ล้านบาท และในปัจจุบันเองก็ยังไม่มีการปรับในจำนวนดังกล่าว สารีมองว่าตรงนี้ทำให้เอกชนยอมเสียค่าปรับมากกว่าที่จะแก้ปัญหา และเมื่อมีการสั่งปรับ 1 แสนบาทต่อเดือนบริษัทเอกชนก็มีการอุทธรณ์

นอกจากนั้น สารียังแสดงความเป็นห่วงในกรณีสัญญาสัมปทานคลื่น 1800 MHz ที่กำลังจะหมดอายุ (เดือน ก.ย.56) ซึ่งมีการพูดมาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเพื่อให้เตรียมการ แต่กลับไม่มีการดำเนินการอะไร ขณะที่การย้ายค่ายมือถือกำหนดเพียง 3,000-4,000 เลขหมายต่อวัน ซึ่งจะใช้เวลาโอนย้ายนานนับปี ทั้งที่ศักยภาพจริงในปัจจุบันมีถึง 40,000 เลขหมาย

"กสทช.โปรธุรกิจมากเกิน ธุรกิจจึงเห็นความสำคัญของผู้บริโภคน้อยลง" สารีให้ความเห็น 

สำหรับความคาดหวัง สารีกล่าวว่า ปัญหาเดิมๆ ต้องจัดการให้ได้ ทั้งกรณีเอสเอ็มเอส บัตรเติมเงิน และซิมการ์ดแจกฟรี ฯลฯ กสทช.ต้องแสดงให้เห็นว่าจะจัดการเรื่องเหล่านี้อย่างไร ส่วนสัญญาสัมปทานที่กำลังจะหมดอายุลงเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคกว่า 20 ล้านเลขหมายต้องเร่งดำเนินการ และต้องจัดการเรื่องเลขหมายให้ดีขึ้น ทำให้เกิดความเท่าเทียมกัน และกระจายข้อมูลความรู้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สคส. สตึคือสะดต (รี่) 2556

Posted: 30 Dec 2012 01:05 AM PST

วรดุลย์ ตุลารักษ์

Posted: 29 Dec 2012 11:07 PM PST

"การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำคือการประกันไว้ว่าอันนี้ต่ำสุดแล้วที่สังคมจะรับได้ ทุกวันนี้เราเถียงกันเรื่องค่าแรงขั้นต่ำราวกับว่าเป็นค่าแรงขั้นสูง จริงๆมันเป็นการประกันว่ามนุษย์คนหนึ่งจะอาศัยอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ แต่ถึงจะมีค่าจ้าง 300 บาท ก็ไม่ได้หมายความว่าคนงานจะอยู่ในสังคมเราได้อย่างมีคุณภาพได้ เพราะ 300 บาท ทำงาน 20 วัน ได้เงินเดือนๆละ 6,000 บาทเอง หากมีลูกก็ไม่สามารถอยู่ได้"

30 ธ.ค.55, นักวิจัยด้านเศรษฐกิจและแรงงาน กล่าวในสัมภาษณ์ ก่อนค่าแรง 300 ทั้งแผ่นดิน(1 ม.ค.นี้)