โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

แอมเนสตี้ชี้ต่ออายุ พรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้การแก้ปัญหาสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ของไทยชะงักงัน

Posted: 23 Dec 2012 10:41 AM PST

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 55 ที่ผ่านมา แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ออกแถลงการณ์ "การต่ออายุกฎหมายในสถานการณ์ฉุกเฉินทำให้การแก้ปัญหาสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ของไทยชะงักงัน" โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

0 0 0



แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล

แถลงการณ์

21 ธันวาคม 2555

การต่ออายุกฎหมายในสถานการณ์ฉุกเฉินทำให้การแก้ปัญหาสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ของไทยชะงักงัน

ประเทศไทยต้องยุติการงดเว้นปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชน ในระหว่างการแก้ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าว ภายหลังการต่ออายุพรก.ฉุกเฉินฯ ที่มีข้อบกพร่องอย่างมาก

คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาต่ออายุพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ที่บังคับใช้ในสามจังหวัดชายแดนใต้ออกไปอีกเป็นเวลาสามเดือน เป็นมติเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 และมีผลบังคับใช้วันที่ 20 ธันวาคม 2555

บรรดาผู้ต้องสงสัยว่าก่อความไม่สงบยังคงเดินหน้าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศต่อไปอย่างไม่ไยดี มีการเลือกเป้าโจมตีพลเรือนและเป็นการโจมตีอย่างไม่เลือกหน้าในภาคใต้

พรก.ฉุกเฉินฯ ให้อำนาจอย่างกว้างขวางในการ "ควบคุมตัวเชิงป้องกัน" ในสถานที่ที่ไม่ได้กำหนดอย่างชัดเจนเป็นเวลาไม่เกิน 30 วัน ทั้งยังยกเว้นไม่ให้มีการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชน

ยังคงมีรายงานที่น่าเชื่อถือว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยังคงทรมานและปฏิบัติอย่างทารุณต่อผู้ถูกควบคุมตัวในภาคใต้

"ผลจากอำนาจพรก.ฉุกเฉิน ในช่วงการขัดแย้งกันด้วยอาวุธแปดปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของรัฐมักได้รับการยกเว้นความผิดกรณีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เราไม่อาจปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ได้ต่อไป รัฐบาลต้องนำตัวผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทุกคนมาลงโทษ และป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดเช่นนี้อีกโดยให้การคุ้มครองดีขึ้นต่อผู้ถูกควบคุมตัว" พอลลี ทรัสคอตต์ (Polly Truscott) รองผู้อำนวยการแผนกเอเชีย-แปซิฟิกแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าว

"ในทางปฏิบัติแล้ว พรก.ฉุกเฉิน งดเว้นโอกาสที่จะเอาผิดกับรัฐ ฐานละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้

"กฎหมายที่มีข้อบกพร่องเช่นนี้ได้เริ่มประกาศใช้เมื่อปี 2548 และไม่ประสบความสำเร็จในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างเพียงพอ ทั้งยังเป็นการเบี่ยงเบนจากพันธกรณีต่อกฎหมายระหว่างประเทศของไทย

"การต่อายุพรก.ฉุกเฉิน อีกครั้งเท่ากับรัฐบาลส่งสัญญาณว่าการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในท่ามกลางความขัดแย้ง ไม่ได้เป็นเรื่องเร่งด่วนสำคัญนัก"


ข้อมูลพื้นฐาน

พรก.ฉุกเฉิน ให้อำนาจหน่วยงานใดๆ ของรัฐ ในการควบคุมตัวบุคคลโดยไม่ตั้งข้อกล่าวหา ในสถานที่ที่ไม่มีการกำหนด ได้เป็นระยะเวลายาวนานถึง 30 วัน เป็นการควบคุมตัวตามคำสั่งของฝ่ายบริหารโดยไม่คำนึงว่าบุคคลดังกล่าวจะเป็นผู้ต้องสงสัยหรือไม่ การขอใช้อำนาจศาลเพื่อทบทวนการออกหมายจับและการขยายเวลาควบคุมตัวเพิ่มเติม เป็นสิ่งที่ไม่อาจกระทำได้ หรือไม่อาจบังคับใช้ได้ ส่วนการตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวโดยหน่วยงานอิสระก็ไม่มีความสม่ำเสมอ

พรก.ฉุกเฉิน ยังจำกัดโอกาสที่จะฟ้องคดีทางอาญา ทางวินัยหรือทางแพ่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งละเมิดอำนาจตามพรก.ฉุกเฉิน และละเมิดสิทธิมนุษยชน มีผู้มองว่ากฎหมายฉบับนี้ช่วยยกเว้นความผิดให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และป้องกันไม่ให้ผู้เสียหายเรียกร้องค่าชดเชยจากการละเมิดโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ

ในฐานะเป็นรัฐภาคีของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องงดเว้นการควบคุมตัวโดยพลการ รวมทั้งการควบคุมตัวบุคคลในสถานที่ที่ไม่ได้ประกาศไว้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันและยุติการซ้อมทรมานและการปฏิบัติที่ทารุณอื่น ๆ ในทุกบริบท ทั้งนี้เพื่อนำตัวผู้กระทำการละเมิดมารับโทษ และเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เสียหาย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: ประชามติหรือคือทางออก

Posted: 23 Dec 2012 10:23 AM PST

แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.๒๕๕๐ ที่เป็นที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้นั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีปัญหา และมีผู้ที่ต่อต้านไม่ยอมรับจำนวนมาก โดยเฉพาะในข้อโจมตีว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่า เมื่อใดก็ตาม ที่ฝ่ายพลังประชาธิปไตยจะพยายามผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็กลายเป็นเรื่องยากทุกครั้ง

ความไม่เป็นประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่ถูกโจมตีมีหลายประเด็น ตั้งแต่เรื่อง การขยายอำนาจตุลาการมากเกินไป จนครอบงำองค์กรอิสระทั้งหมด การให้สิทธิตุลาการในการยุบพรรคการเมืองและลงโทษกรรมการพรรคการเมืองที่ไม่ได้ทำความผิด การกำหนดให้มีวุฒิสมาชิกลากตั้งครึ่งสภา ที่มีอำนาจเท่าเทียมวุฒิสมาชิกเลือกตั้ง การมีบทเฉพาะกาลต่ออายุตุลาการ และการมีมาตรา ๓๐๙ รับรองความชอบธรรมของคณะรัฐประหารตลอดกาล แต่กลุ่มพลังที่สนับสนุนรัฐธรรมนูญ กลับเห็นว่า มาตราเหล่านี้เป็นความถูกต้อง จึงคัดค้านการแก้ไขเสมอ

แม้กระทั่งครั้งล่าสุด ที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ เพื่อให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.)เพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และรัฐสภาได้พิจารณาผ่านวาระที่สองมาแล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ที่ผ่านมา เหลือเพียงการผ่านวาระที่สาม แต่ในที่สุด การลงมติต้องค้างเติ่ง เพราะในวันที่ ๑ มิถุนายน ศาลรัฐธรรมนูญก็ใช้อำนาจสั่งระงับการลงมติวาระที่ ๓ โดยอ้างว่า ศาลได้รับคำร้องที่ว่า การขอแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภา อาจเป็น"การกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ" ตามมาตรา ๖๘ แม้ว่า ต่อมา ศาลจะมีวินิจฉัยว่า การพิจารณาของรัฐสภา ไม่เป็นไปตามข้อหานั้น แต่ศาลก็แนะนำให้มีการลงประชามติเสียก่อน พรรคร่วมรัฐบาลจึงถอยและยังไม่ได้มีการผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญในวาระที่ ๓

ในกรณีนี้ แม้ว่านักวิชาการด้านกฏหมายหลายคน ก็ได้ชี้แจงกันว่า ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจเกินเลย และแทรกแซงอำนาจนิติบัญญัติ พรรคร่วมรัฐบาลควรที่จะเดินหน้าผ่านวาระที่ ๓ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรก็ชะลอเวลา โดยการตั้งคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ ที่มี โภคิน พลกุล เป็นประธาน และในที่สุด พอถึงเดือนธันวาคมนี้ ก็เป็นที่ชัดเจนว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะแก้ปัญหาด้วยการชะลอเวลาต่อไป โดยการเสนอให้มีการทำประชามติ ตามมาตรา ๑๖๕ ที่ระบุว่า "กรณีใดที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่า กิจการในเรื่องใด อาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสียของประเทศชาติ หรือประชาชน นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี อาจปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้มีการออกเสียงประชามติได้" เหตุผลที่พรรคเพื่อไทยอ้างในการเสนอทำประชามติก็คือ เพื่อให้เป็นการดำเนินตามแนวทางที่ศาลรัฐธรรมนูญนำเสนอ และเพื่อไม่ให้ปัญหานี้นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงในสังคมไทยอีกต่อไป

จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการจัดประเด็นว่า คณะรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์ จะผลักดันให้มีการลงประชามติในประเด็นลักษณะใด ซึ่งคงจะต้องมีการจัดทำรายละเอียดต่อมา

แต่ไม่ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์และพรรคร่วมรัฐบาล จะเสนอให้ลงประชามติในลักษณะใด กลุ่มฝ่ายต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญก็ยังคัดค้านด้วยข้อหาเดิมเสมอ คือ การกล่าวหาว่าการแก้รัฐธรรมนูญทั้งหมดเป็นไปเพื่อฟอกผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ทำจดหมายเปิดผนึกระบุว่าการเร่งแก้ไขธรรมนูญของรัฐบาลเป็นการทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงเสนอให้ประชาชนล้มประชามติ ส่วนนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญคงขึ้นอยู่กับรัฐบาล แต่ต้องไม่แก้ในส่วนของสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือต้องไม่แก้ในส่วนที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีพ้นผิด มิฉะนั้น ฝ่ายพันธมิตรก็จะทำการเคลื่อนไหว

ได้มีการกล่าวหาล่วงหน้าว่า คณะร่างรัฐธรรมนูญที่ยังไม่ได้มีการตั้งขึ้นมาต้องมีธงว่า จะต้องแก้มาตรา ๓๐๙ เพื่อยกเลิกผลพวงที่เกิดจากการดำเนินการของ คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) ซึ่งจะส่งผลให้คดีความที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หมดสิ้นไป มีการหยิบเอาเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวมาทำการรณรงค์ โดยไม่พูดถึงปัญหาของรัฐธรรมนูญในข้ออื่นเลย ซึ่งก็เป็นที่น่าแปลกใจว่า กลุ่มที่ต่อต้านทักษิณ กลับไม่สนับสนุนของเสนอของนิติราษฎร์ ที่จะให้มีการล้มล้างผลพวงรัฐประหาร โดยนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาพิจารณาในกฎหมายปกติ

ข้อคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญของกลุ่มพันธมิตรฝ่ายขวา และพรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกยิ่งนัก ยิ่งกว่านั้น ถ้าพิจารณาในด้านของอำนาจตุลาการ ต้องถือว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ให้ผลประโยชน์และอำนาจล้นฟ้ากับฝ่ายตุลาการ การต่อต้านการแก้รัฐธรรมนูญจึงเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนโดยตรง เพราะค่อนข้างเป็นที่ชัดเจนว่า ถ้ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อำนาจตุลาการจะไม่ได้อำนาจพิเศษเช่นนี้อีก

ดังนั้น ฝ่ายประชาชนก็คงจะต้องยืนยันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ และผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นจริง และจะต้องเป็นการแก้ไขทั้งฉบับ ที่มุ่งไปสู่การยกเลิกอำนาจทางการเมืองของตุลาการ เลิกวุฒิสมาชิกลากตั้ง และควรที่จะไปถึงขั้นการแก้หมวดพระมหากษัตริย์ เพื่อยกเลิกองคมนตรี นี่เป็นเพียงขั้นต่ำ ที่จะนำสังคมไทยไปสู่การสถาปนาประชาธิปไตยอันแท้จริง

ส่วนเรื่องการปรองดองสมานฉันท์ จะต้องเป็นการปรองดองภายใต้หลักการประชาธิปไตยอันถูกต้อง ไม่ใช่เป็นการปรองดองแบบกราบกรานอำมาตย์ และจำนนต่ออภิสิทธิ์ชนเสียงข้างน้อย ต้องให้ประชาชนส่วนใหญ่มีหลักประกัน และสิทธิของประชาชนต้องได้รับความเคารพ

มิฉะนั้นแล้ว การปรองดองก็ปราศจากความหมาย


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยูเอ็นเรียกร้องทุกประเทศจัดหลักประกันสุขภาพให้ประชาชน ยกไทยต้นแบบความสำเร็จ

Posted: 23 Dec 2012 09:55 AM PST

สมัชชาสหประชาชาติมีมติเอกฉันท์รับรองวาระหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เรียกร้องทุกประเทศจัดหลักประกันสุขภาพ ป้องกันไม่ให้ประชาชนต้องล้มละลายและยากจนจากการจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง ยกตัวอย่างไทยประเทศกำลังพัฒนาที่ทำสำเร็จ เป็นต้นแบบ ให้จีน อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ สร้างหลักประกันสุขภาพ



23 ธ.ค. 55 - นพ.จรัล ตฤณวุฒิพงษ์ ประธานคณะอนุกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า  เมื่อเร็วๆนี้ นสพ.The Guardian ของประเทศอังกฤษ รายงานข่าวว่า ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2555 ได้มีมติเป็นเอกฉันท์รับรองวาระหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ Affordable Universal Healthcare ซึ่งเป็นมติที่เรียกร้องให้ประเทศต่างๆจัดระบบบริการสุขภาพสำหรับประชาชนในประเทศ โดยไม่ต้องจ่ายค่าบริการโดยตรง แต่จ่ายทางอ้อมผ่านระบบภาษี และมีกลไกที่รวมความเสี่ยง เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนล้มละลายหรือยากจนจากการจ่ายค่ารักษาพยาบาล มตินี้ได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากประเทศต่างๆทั่วโลก ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แอฟริกาใต้ และไทย

กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวต่อว่า จากการวิจัยที่มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ให้ทุนสนับสนุนพบว่า ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสามารถทำได้ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดหรือเศรษฐกิจแบบใด ผลการศึกษาพบว่าแต่ละปี ประชากรโลก 150 ล้านคน ต้องจ่ายค่าบริการสุขภาพแพงมาก เป็นผลให้ 25 ล้านครัวเรือน มีฐานะยากจนลง และมีประชาชนมากกว่า 3,000 ล้านคนต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยเงินของตนเอง ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้หญิงและเด็กจำนวนมากต้องออกจากการเรียนเพื่อนำเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล การรับรองมติดังกล่าวนั้น หมายความว่าต่อไปนี้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะเป็นวาระสำคัญของสหประชาชาติ และเป็นเป้าหมายหนึ่งของการพัฒนาหลังปี 2015 (the post-2015 development goals)

นพ.จรัล กล่าวว่า ทั้งนี้ ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติได้ยกตัวอย่างความสำเร็จของไทยในฐานะเป็นผู้บุกเบิกการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งครอบคลุมประชาชนทุกคนตั้งแต่ปี 2545 ประชาชนไทยประมาณ 99% ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านบริการสุขภาพที่ครอบคลุม ตั้งแต่การป้องกันโรค /ส่งเสริมสุขภาพ  บริการปฐมภูมิ การรักษาพยาบาลทุกระดับ รวมถึงการบริการที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น รังสีรักษา ยาต้านไวรัสสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี และมีความก้าวหน้าในการสร้างความเสมอภาคด้านการรักษาพยาบาล ซึ่งความสำเร็จดังกล่าว เป็นต้นแบบให้ประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และจีน มีแผนที่ชัดเจนที่จะสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้ครอบคลุมประชากรของตน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เวทีรับฟังความเห็นเหมืองทองทุ่งคำ เกณฑ์ตำรวจ-ทหาร 2,000 กีดกันชาวบ้านไม่ให้เข้าร่วม

Posted: 23 Dec 2012 09:40 AM PST

ชาวบ้านกลุ่ม "ฅนรักษ์บ้านเกิด" ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย และนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นและมหาวิทยาลัยมหาสารคามกว่า 700 คน ถูกกันไม่ให้เข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็นเพื่อกำหนดขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกว่า 2,000 นาย











ดูภาพอื่นๆ เพิ่มเติม: https://www.facebook.com/media/set/?set=a.10151206727001699.447467.108882546698



23 ธ.ค. 55 - เวลา 6.00 น. ชาวบ้านในนาม "กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด" ตำบลเขาหลวง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย และนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นและมหาวิทยาลัยมหาสารคามกว่า 700 คน เคลื่อนขบวนไปยังศาลาประชาคม ในบริเวณศาลากลางจังหวัดเลย ซึ่งมีการจัด "เวทีรับฟังความคิดเห็นเพื่อกำหนดขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ" หรือ Public Scoping ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นกระบวนการ EHIA ของโครงการขยายเหมืองทองของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ตามคำขอประทานบัตรที่ 104/2538 อย่างไรก็ตาม การเดินทางมาเพื่อคัดค้านการขยายเหมืองทองของชาวบ้านกลับถูกกีดกันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกว่า 2,000 นายซึ่งได้เตรียมการตั้งแต่เมื่อช่วงสายวานนี้ ภายใต้แผนปฏิบัติการควบคุมฝูงชน "กรกฎ 52" ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีการกั้นถนนรอบศาลากลาง/ศาลาประชาคม ซึ่งเป็นที่จัดเวทีดังกล่าวด้วยรถบรรทุกของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด ซึ่งลอกสติกเกอร์ชื่อบริษัทแต่ยังสามารถเห็นเป็นรอยชัดเจนอยู่ พร้อมทั้งแผงเหล็ก และแถวเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารอีกสามชั้น พร้อมด้วยรั้วลวดหนามรอบบริเวณศาลาประชาคม ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมเวที Public Scoping จะต้องผ่านทางเข้าซึ่งกำหนดไว้เพียงจุดเดียวบริเวณที่ว่าการอำเภอเมือง โดยเข้าได้ทีละคนและต้องผ่านการตรวจค้นอย่างละเอียด

"กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด" ซึ่งทะยอยมาถึงตั้งแต่เวลาเช้ามืดจำนวนมากเพื่อแสดงเจตจำนงค์ไม่เห็นด้วยกับการจัดเวทีดังกล่าวและการขยายเหมืองทอง ได้สื่อสารกับเจ้าหน้าที่ถึงวัตถุประสงค์ในการเข้าร่วมประชุมอย่างสงบ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้ายังคงไม่อนุญาตให้ชาาวบ้านทั้งหมดเข้าไปร่วมในเวทีดังกล่าว ชาวบ้านจึงหันมาใช้เครื่องขยายเสียงปราศัยข้อมูลรณรงค์เกี่ยวกับผลกระทบทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ชุมชนได้รับจากเหมืองทองที่ดำเนินการอยู่ของบริษัททุ่งคำ

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในห้อมประชุมเวที Public Scoping มีผู้เข้าร่วมประมาณ 500 คน ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่เหมืองทั้งที่ใส่เสื้อบริษัททุ่งคำและไม่ได้ใส่ประมาณครึ่งห้อง มีชาวบ้านจากตำลหนองงิ้วซึ่งไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่การทำเหมืองแร่ทองคำอีกประมาณ 200 คน นอกจากนั้นเป็นข้าราชการและประชาชนทั่วไป โดยมีสารวัตรทหารและตำรวจพร้อมอาวุธและโล่ห์ควบคุมอยู่ทั้งด้านนอกและด้านในห้องประชุม ในระหว่างการประชุม มีประชาชนทั่วไปผู้หนึ่งตั้งคำถามว่าเหตุใดมีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจำนวนมากมาคัดค้านอยู่ด้านนอกแต่ถูกกันไม่ให้เข้ามาในห้องประชุม แต่การพูดคุยในห้องประชุมครั้งนี้กลับมีบรรยากาศเหมือนว่าโครงการจะผ่านแล้วแน่นอน อย่างไรก็ตาม คำถามดังกล่าวไม่ได้รับคำตอบจากผู้จัดประชุมแต่อย่างใด

นายสุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์ ตัวแทนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด กล่าวว่า ชาวบ้านมาในครั้งนี้เพื่อต้องการบอกเหมืองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าไม่เห็นด้วยกับการขยายเหมืองและการทำเวที Public Scoping เนื่องจากชาวบ้านโดยเฉพาะ 6 หมู่บ้านที่อยู่ใกล้เหมือง ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองทองดังกล่าวมายาวนานตั้งแต่เริ่มดำเนินการในปี 2549 ทั้งการปนเปื้อนของโลหะหนักและไซยาไนด์ในดินและแหล่งน้ำ ทั้งลำห้วยและน้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคบริโภค และการตรวจพบโลหะหนักและไซยาไนด์ในเลือดของชาวบ้านใน 6 หมู่บ้านเกินมาตรฐานหลายรายมาตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งขณะนี้ชาวบ้านบางส่วนเริ่มมีอาการเจ็บป่วยจากกล้ามเนื้ออ่อนแรงและแขนขาลีบ นอกจากนี้ ยังมีเหตุคันบ่อเก็บกากไซยาไนด์พังทลายตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมและเสี่ยงต่อการปนเปื้อนแหล่งน้ำใต้ดิน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ได้มาตรฐานของเหมืองดังกล่าว

ทั้งที่ปัญหาเหล่านี้ยังไม่ได้รับการดูแลแก้ไข แต่บริษัททุ่งคำยื่นเรื่องขอขยายพื้นที่การทำเหมืองไปยังป่าโคกภูเหล็ก (คำขอประทานบัตรเลขที่ 104/2538) ซึ่งอยู่ทิศใต้ของบริเวณเหมืองปัจจุบัน นอกจากนี้ ชาวบ้านยังพบว่า ขั้นตอนการขอประทานบัตรเพื่อขยายการทำเหมืองในครั้งนี้มีความไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากรายงานการไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตร ได้ระบุว่า พื้นที่ป่าโคกภูเหล็กเป็นป่าเบญจพรรณที่มีความสมบูรณ์น้อย รวมทั้งไม่มีทางหลวงและทางน้ำสาธารณะตัดผ่าน ทั้งที่ความเป็นจริง ป่าโคกภูเหล็กแห่งนี้ได้จัดเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1A ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของป่ามาก มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีร่องน้ำและโครงข่ายน้ำซับน้ำซึมแทรกประสานอยู่ใต้ดิน และเป็นแหล่งต้นน้ำของชาวบ้าน รายงานการไต่สวนที่เป็นเท็จเช่นนี้ ประกอบกับผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้ชาวบ้านไม่ยอมรับและต้องลุกขึ้นมาคัดค้านการขอประทานบัตรขยายเหมืองของบริษัททุ่งคำ

ตัวแทนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดยังกล่าวอีกว่า "การจัดเวที Public Scoping ของ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ในครั้งนี้ถือว่าไม่ชอบธรรมและไม่ใช่การมีส่วนร่วมของระชาชนอย่างแท้จริง เนื่องจากเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่ามีการพยายามกีดกันผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริงไม่ให้เข้าร่วมเวทีดังกล่าว และเกณฑ์คนของเหมืองและชาวบ้านนอกพื้นที่เข้ามานั่งในห้องประชุมให้เต็มเพื่อที่จะจัดประชุมให้ได้ครบเวลาตามกำหนดโดยไม่สนใจฟังเสียงประชาชน และเราต้องตั้งคำถามถึงธรรมาภิบาลของหน่วยงานพื้นที่ ทั้งตำรวจ ทหาร และผู้ว่าราชการจังหวัด ในการเกณฑ์กำลังเจ้าหน้าที่จำนวนมากถึง 2,000 คน ซึ่งกินเงินเดือนที่มาจากภาษีประชาชน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการดำเนินการของบริษัทเอกชนแห่งเดียว โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดจึงถือว่าการจัดเวที Public Scoping ในครั้งนี้เป็นโมฆะ และจะดำเนินการร้องเรียนถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของบริษัทและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนกว่าจะถึงที่สุด"

อนึ่ง สืบเน่ืองจากการร้องเรียนกรณีชาวบ้าน 6 หมู่บ้าน ตำบลวังสะพุงได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำ ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554 ว่า "ให้กระทรวงอุตสาหกรรมชะลอการขยายพื้นที่ใหม่หรือการขอประทานบัตร ของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด แปลงที่ 104/2538 และแปลงอื่น ๆ ไว้ก่อนจนกว่าจะได้ข้อสรุปของสาเหตุการเกิดสารปนเปื้อน ผลการประเมินความคุ้มค่าของฐานทรัพยากรธรรมชาติและค่าภาคหลวงแร่กับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และผลการประเมินผลด้านสุขภาพ หรือ HIA"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'จาตุรนต์' แนะไม่ควรจัดลงประชามติแก้ รธน. ตาม ม.165 ชี้สำเร็จยาก

Posted: 23 Dec 2012 09:16 AM PST

23 ธ.ค. 55 - นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยได้แสดงความเห็นกรณีประชามติและการแก้รัฐธรรมนูญ ลงในโปรแกรมทวิตเตอร์ของตนเอง https://twitter.com/chaturon โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

กรณีประชามติและการแก้รัฐธรรมนูญ

เห็นพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะคุณอภิสิทธิ์ย้ำแล้วย้ำอีกเรื่องคัดค้านการแก้มาตรา 309 เข้าใจว่าจะแกล้งทำเป็นไขสือไม่รู้ว่ารัฐสภากำลังแก้เฉพาะมาตรา 291  รัฐสภาหรือนายกรัฐมนตรี จึงไม่อยู่ในวิสัยที่จะมารับรองว่าจะไม่แก้มาตรา 309 เพราะต้องให้เป็นอำนาจการตัดสินใจของสสร. ซึ่งสุดท้ายจะตัดสินโดยประชาชน ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าจะยอมรับกระบวนการที่ยกอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินกันหรือไม่

ส่วนเรื่องว่าควรยกเลิกหรือรักษามาตรา 309 ไว้หรือไม่นั้น มีการถกเถียงกันมามากแล้ว จุดสำคัญอยู่ที่จะรับรองการรัฐประหารว่าถูกต้องหรือไม่ อย่างไรจึงจะสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม ไม่ควรเอาเรื่องตัวบุคคลมาเป็นเกณฑ์อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังเสนออยู่ ซึ่งกลายเป็นไม่มีหลัก  การแก้รัฐธรรมนูญอย่างไรจึงจะดี ต้องดูผลที่จะเกิดกับประเทศชาติเป็นส่วนรวม  ไม่ใช่ดูที่ว่าจะเป็นผลอย่างไรกับพ.ต.ท.ทักษิณ

ส่วนประเด็นที่กำลังเป็นที่สนใจและสำคัญมากก็คือเรื่องการจะทำประชามติก่อนการลงมติวาระสามหรือไม่ เรื่องนี้จะมีผลอย่างมากต่อวิกฤตประเทศ รัฐธรรมนูญปัจจุบันไม่ได้บัญญัติว่าจะต้องมีการลงประชามติก่อนที่จะมีการลงมติในวาระที่ 3ฉะนั้นจะลงมติเสียเลยก็ย่อมทำได้  แต่เข้าใจว่ามีความเป็นห่วงว่าถ้าลงมติไปแล้วก็อาจไปสะดุดข้างหน้าอีกเพราะศาลรัฐธรรมนูญแนะนำไว้ว่าถ้าจะแก้ทั้งฉบับควรลงประชามติเสียก่อน  แต่พอจะให้มีการลงประชามติก็มีปัญหาต้องตีความกันมากพอสมควรว่าจะทำอย่างไรและจะมีผลอย่างไรกันแน่  เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติให้ต้องมีประชามติ

ข้อดีอีกอย่างของการลงประชามติคือ การแก้ปัญหาการเมือง เนื่องจากรัฐธรรมนูญนี้ผ่านการลงประชามติมาก่อนจะนำมาใช้ ถ้าจะแก้กันใหม่มากๆ การมีประชามติก็ดี  ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ค้างสภาอยู่ก็กำหนดให้ต้องมีการทำประชามติอยู่แล้ว เพียงแต่ให้ทำในขั้นตอนสุดท้ายซึ่งเป็นเหตุเป็นผลมากกว่าทำก่อนยกร่าง  แต่ถ้าจะลงประชามติกันถึง 2 รอบ คือ ทั้งก่อนและหลังการยกร่างโดยสสร.แล้วสังคมไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสิ้นเปลืองก็สามารถทำได้เหมือนกัน

แต่ปัญหาสำหรับการลงประชามติเวลานี้คือ จะลงประชามติกันด้วยกติกาอย่างไร ถ้าลงประชามติอย่างที่พูดกันอยู่คือ การทำตามรัฐธรรมนูญมาตรา 165 จะมีปัญหาอย่างมาก เพราะมีการกำหนดให้ใช้เสียงเกินกว่าครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์กติกาตามมาตรา 165 นี้มีไว้สำหรับขอคำปรึกษาหรือหาข้อยุติในเรื่องต่างๆที่ไม่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ต้องมีการลงประชามติ

การลงประชามติตามมาตรา 165 เป็นการกำหนดเงื่อนไขให้สูงกว่า ยากกว่าการลงประชามติรับหรือไม้รับร่างรัฐธรรมนูญปัจจุบันที่มีขึ้นในปี 2550 อย่างมากการกำหนดให้ต้องมีเสียงเกินกว่าครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง  เท่ากับบอกว่าผู้ไม่ออกเสียงก็ถือเป็นเสียงค้านด้วย  ผู้ที่ค้านก็ไม่ต้องทำอะไร  นอกจากอยู่กับบ้านหรือรณรงค์ให้คนอยู่กับบ้าน ภาระก็ตกอยู่กับฝ่ายสนับสนุนที่ต้องหาคนมาให้ได้เกินครึ่งของผู้มีสิทธิ์

ปรกติการจะให้ประชาชนตัดสินเรื่องอะไรควรจะวัดกันที่เสียงข้างมาก ผู้ที่ไม่มาออกเสียงย่อมต้องถือว่ายอมรับผลของการออกเสียง การลงประชามติตามมาตรา 165 จึงเป็นการเดินไปสู่ทางตัน คือ ไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เพราะปัญหาทางเทคนิคเกี่ยวกับกติกาว่าด้วยการลงประชามติ  แล้วฝ่ายคัดค้านก็จะไปทึกทักเอาว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต่อไปไม่ว่าจะแก้ทั้งฉบับหรือรายมาตราก็จะเป็นเรื่องยากมาก

ผมจึงเห็นว่าไม่ควรจัดให้มีการลงประชามติตามมาตรา 165  เพราะจะเป็นการเดินตามเกมที่ฝ่ายปกป้องรัฐธรรมนูญได้วางหมากไว้ให้เดิน สำเร็จยากมาก  หากจะมีการลงประชามติควรต้องใช้กติกาเดียวกันกับการลงประชามติรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเมื่อปี 50 คือกำหนดให้ใช้เสียงข้างมากเท่านั้นพอจึงจะถูก

สำหรับปัญหาที่ต้องตัดสินใจกันในขณะนี้ ผมจึงขอเสนอทางออกเป็น 2 ทางคือ 1. ลงมติวาระ 3 ไปเลยหรือ  2.ลงประชามติตามกติกาเดียวกันกับการลงประชามติในปี 2550
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รายงานสถานการณ์ละเมิดสิทธิผู้บริโภคปี 2555

Posted: 23 Dec 2012 08:34 AM PST

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคร่วมกับเครือข่ายผู้บริโภคแถลงข่าว "รายงานสถานการณ์ความทุกข์ของผู้บริโภคประจำปี 2555"  พร้อมทั้งขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดและจริงจัง ประกาศย้ำหากมีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคทุกข์ของประชาชนจะลดลงอย่างแน่นอน

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 55 ที่ผ่านมา ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค 6 ภูมิภาค ร่วมแถลงข่าว "รายงานสถานการณ์ความทุกข์ของผู้บริโภคประจำปี 2555" พร้อมยื่นข้อเสนอกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ความเป็นธรรมและเร่งคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคไทย โดยนางสาวสารี กล่าวว่า จากการรับเรื่องร้องเรียนของมูลนิธิฯและเครือข่ายผู้บริโภคที่ผ่านมา พบว่าปัญหาที่ได้รับร้องเรียนมากที่สุดของศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค อันดับที่หนึ่ง คือด้านบริการสุขภาพและสาธารณสุข โดยปัญหาที่ผู้บริโภคร้องเรียนสูงสุดในหมวดนี้คือ ศูนย์ออกกำลังกายที่ปิดบริการโดยไม่แจ้งให้ทราบ หรือยังมีการรับสมัครสมาชิกตลอดชีพทั้งที่ไม่สามารถเปิดให้บริการได้แล้ว เมื่อสถานออกกำลังกายนี้ผิดสัญญาไม่สามารถให้บริการกับสมาชิกได้ก็ยังไม่คืนเงินค่าสมาชิกให้กับลูกค้าอีกด้วย ปัญหาข้อสัญญาไม่เป็นธรรม ทำแล้วต้องใช้บริการให้ครบ 1 ปีจึงจะสามารถบอกเลิกสัญญาได้ ทั้งนี้ศูนย์บริการส่วนใหญ่จะหักเงินบัตรเครดิตผู้บริโภคทันทีในคราวแรก  หรือบางรายต้องจ่ายค่าใช้บริการอื่นเพิ่มจากการชักชวนของพนักงานขายเช่น ครูฝึกส่วนตัว โปรแกรมเสริมที่หลากหลาย ซึ่งมีผู้บริโภคมาร้องเรียนถึง 680ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท  

รองลงมาคือ มาตรฐานการรักษา, ระบบการส่งต่อ, การใช้สิทธิในกองทุนฉุกเฉิน ที่ยังคงเป็นปัญหาจากความเข้าใจและการตีความที่ไม่ตรงกันระหว่างผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการว่าอาการป่วยลักษณะไหนที่เข้าข่ายใช้สิทธิฉุกเฉินได้ ปัญหาคุณภาพการให้บริการของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล  

รองลงมาคือด้านการเงินการธนาคาร กรณีปัญหาที่น่าสนใจคือ ปิดบังการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมการโอนผ่านตู้กดเงิน โดยในใบสลิปจะไม่แสดงค่าธรรมเนียมแต่เมื่อนำสมุดบัญชีไปปรับจะพบค่าธรรมเนียมปรากฏอยู่ซึ่งเป็นการจงใจเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างยิ่ง ปัญหาการถูกธนาคารฟ้องร้องให้ชำระหนี้ทั้งที่ไม่ได้ใช้บริการ ซึ่งเป็นความผิดพลาดของระบบธนาคารเองทำให้ผู้บริโภคต้องแบกรับภาระในการต่อสู้คดีเองทั้งที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องกระทำด้วยความสุจริตโดยคำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ธุรกิจที่เป็นธรรม  ปัญหาเรื่องการชำระหนี้กับทางผู้ให้บริการบัตรเครดิตในปีนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการบริหารจัดการระบบการเงินส่วนบุคคลที่ผิดพลาด ทำให้ก่อหนี้แล้วไม่สามารถชำระได้ตรงตามเวลา ถูกฟ้องร้องเป็นคดีมากขึ้นสูงกว่าปีที่ผ่านมา

รองลงมาคือปัญหาจากบริษัทประกันภัย ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยรถยนต์ ประกันชีวิต และประกันวินาศภัยที่มักอ้างกับผู้บริโภคว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เข้าเงื่อนไขของการรับประกัน เป็นเหตุที่ต้องยกเว้นทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากต้องใช้วิธีการฟ้องร้องผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยเหล่านี้ จึงได้รับการชดเชยเยียวยา

อันดับสามคือด้านอสังหาริมทรัพย์ ประเด็นที่ส่งผลกับผู้บริโภคส่วนใหญ่คือ การผิดสัญญาซื้อขายของบ้านเอื้ออาทร ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย หาเช้ากินค่ำ เมื่อจ่ายค่างวดช้าก็ถูกธนาคารร่วมกับการเคหะแห่งชาติดำเนินการเปลี่ยนแปลงสัญญาโดยอ้างว่าทางการเคหะได้ซื้อคืนบ้านคืนแล้ว หากผู้บริโภคยังต้องการอาศัยอยู่ต้องจ่ายค่าเช่าคืนละ 100 บาท และท้ายสุดทางการเคหะก็จะดำเนินการฟ้องคดีเพื่อขับไล่ให้ผู้บริโภคออกจากบ้านหลังนั้น สำหรับปัญหาร้องเรียนเกี่ยวกับอาคารชุด เป็นเรื่องการก่อสร้างล่าช้าของโครงการ และการยึดเงินจองจากผู้บริโภคและปัญหาการใช้บริการห้องเช่า ลักษณะการร้องเรียน เป็นเรื่องการเก็บค่าน้ำค่าไฟฟ้าแพงเกิน และไม่คืนเงินประกัน อ้างเรื่องความเสียหายของห้องเช่า ซึ่งเกิดก่อนที่ผู้เช่าจะเข้าอาศัย
 
อันดับที่สี่คือด้านบริการสาธารณะ  มีเรื่องร้องเรียนมากที่สุดคือ ปัญหาการให้บริการของระบบขนส่งสาธารณะ หากเป็นรถโดยสารขนาดใหญ่ จะพบปัญหาเรื่องอุบัติเหตุ ซึ่งทำให้ผู้โดยสารได้รับความเสียหายสูญเสียชีวิต และทรัพย์สิน ทรัพย์สินสูญหายระหว่างเดินทางและไม่ได้รับการชดใช้เต็มจำนวน เพราะผู้ให้บริการอ้างว่าจะชดเชยได้ไม่เกิน 500 บาทเท่านั้น

รถจักรยานยนต์รับจ้าง ลักษณะปัญหาที่พบคือ  การเก็บค่าโดยสารแพงเกินจริง ปฏิเสธรับผู้โดยสารที่มีรูปร่างอ้วน, ขับรถหวาดเสียวทำให้เกิดความไม่ปลอดภัย, พูดจาไม่สุภาพตวาดผู้โดยสาร, ทิ้งผู้โดยสารระหว่างทาง  

รถตู้โดยสาร มีปัญหาด้านการบรรทุกเกินจำนวน ใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด สูงสุดที่ความเร็ว 146 กิโลเมตรต่อชั่วโมง  ขับรถหวาดเสียว และเก็บค่าบริการแพง  มีการนำรถตู้ 18 ที่นั่งมาให้บริการโดยไม่ผ่านการตรวจสอบในด้านความปลอดภัยของตัวรถ มีการใช้ช่องว่างทางกฎหมายคือรถทัวร์ 1 คันเป็นรถตู้ 3 คัน ทำให้รถตู้เพิ่มมากขึ้นเกินควบคุม

ปัญหาด้านสาธารณูปโภค ไฟฟ้า   ประปา ลักษณะปัญหาคือการเก็บบริการที่สูงเกินจริง ในช่วงเวลาที่เกิดเป็นช่วงน้ำท่วมและผู้ร้องไม่ได้อยู่บ้าน

ปัญหาสายการบิน พบปัญหา สายการบินโลคอสท์ ยกเลิกเที่ยวบิน ไม่แจ้งหรือแจ้งกระชั้น , กระเป๋าสัมภาระหาย, ซื้อตั๋วผ่านอินเทอร์เน็ตถูกหักเงินจากบัตรเครดิตซ้ำ 2 ครั้ง   

อันดับที่ห้าคือด้านสื่อและโทรคมนาคม พบว่ามีลักษณะของการได้รับซิมฟรีแล้วถูกเรียกเก็บเงินภายหลัง ทั้งที่ไม่ได้เปิดใช้บริการคือปัญหาสูงสุดในขณะนี้ รองลงมาคือปัญหาวันหมด แต่เงินไม่หมด แต่ไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์ได้ซึ่งถือว่าเป็นความหละหลวมในการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

และอันดับที่หกคือ ปัญหาด้านอาหาร ยา เครื่องสำอาง ทั้งปัญหาอาหารหมดอายุแล้วยังนำมาจำหน่ายในห้างร้าน วันที่ผลิต วันหมดอายุ ไม่ชัดเจน ฉลากกำกับไม่เป็นภาษาไทย ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่โฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเสมือนยารักษาโรคที่มีอย่างดาษดื่นในระบบโซเชียลมีเดีย โดยที่ไม่มีการควบคุม หรือกำกับดูแล อย่างทั่วถึง เช่น ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก เร่งผิวขาว หน้าเด้ง หน้าใส หรือแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์ที่เสริมสมรรถภาพทางเพศ ก่อให้เกิดอันตรายกับผู้บริโภค
ข้อเสนอด้านนโยบายที่ได้นำเสนอไปแล้วแต่ยังไม่มีการดำเนินการ

1. ผลักดันกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค มาตรา 61 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
2. บริการสุขภาพมาตรฐานเดียว โดยผู้ประกันตนต้องไม่ร่วมจ่ายเรื่องบริการสุขภาพและนำไปใช้ในสิทธิประโยชน์อื่น
3. บัตรเติมเงินจะต้องไม่กำหนดวันหมดอายุ ผู้ประกอบการต้องทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
4. ออกประกาศให้รถโดยสารสาธารณะต้องทำประกันภัยชั้น 1 (ประกันภัยภาคสมัครใจ)
5. ปรับโครงสร้างและการคิดราคาก๊าซให้เป็นธรรมในทุกประเภทการใช้งาน เช่น ภาคปิโตรเคมี ภาคครัวเรือน (หุงต้ม) และภาคขนส่ง(ยานยนต์)
6. เร่งรัดให้หน่วยงานที่รับเรื่องร้องเรียนกรณีแคลิฟอร์เนียว้าว ดำเนินการเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับการแก้ไขเยียวยาอย่างรวดเร็ว ทั้งในส่วนคดีแพ่ง และคดีอาญา

ทุกข์ของผู้บริโภคที่มีอย่างต่อเนื่องสารพัดรูปแบบ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องอาจไม่สามารถคุ้มครองผู้บริโภคได้ทั้งหมด ดังนั้นประการแรกคือผู้บริโภคจะต้องมีข้อมูลให้เท่าทันกับสถานการณ์ เพื่อใช้รับมือ รวมทั้งเป็นเกราะป้องกันตัวจากการถูกเอารัดเอาเปรียบ ประการที่สองการปรับปรุงพัฒนากฎหมายที่มีอยู่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหาผู้บริโภคในปัจจุบัน ประการที่สาม ต้องบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างจริงจัง และให้เกิดประสิทธิภาพ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พฤกษ์ เถาถวิล: การเปลี่ยน (ไม่) ผ่านของการจัดการแรงงานข้ามชาติ (1)

Posted: 22 Dec 2012 09:12 PM PST

ในเดือนธันวาคมนี้ มีเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับเรื่องแรงงานข้ามชาติอย่างน้อย 2 เรื่อง เรื่องหนึ่งคือในเดือนนี้มีวันครบรอบวันแรงงานข้ามชาติสากล  และอีกเรื่องหนึ่งคือในวันที่ 14 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา เป็นวันครบกำหนดเส้นตายการพิสูจน์สัญชาติ แรงงานจากพม่า ลาว และกัมพูชา ที่หลบหนีเข้าเมืองและได้ขึ้นทะเบียนผ่อนผันแล้ว หากไม่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติจะต้องถูกจับกุมส่งกลับประเทศของตน

ข้อเท็จจริงปรากฏแล้วว่า จากแรงงานที่จะต้องเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติ 8 แสนกว่าคน ได้ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้ว 5 แสนกว่าคน คงเหลืออีก 3 แสนกว่าคน ที่ไม่ผ่านกระบวนการ ยังคิดไม่ออกว่าการจับกุมและผลักดันแรงงานจำนวนมากมายจะทำอย่างไร แต่ผู้เขียนเชื่อดังที่ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงานย้ายถิ่นท่านหนึ่งแสดงความเห็นว่า การจับกุมส่งกลับ อาจทำให้เกิดการจับกุมแรงงานข้ามชาติแบบไม่เลือกหน้า และอาจถูกเรียกสินบน เพื่อแลกกับการปล่อยตัว ในกรณีที่ถูกส่งกลับไปแล้วพวกเขาก็จะลักลอบกลับเข้ามาอีกอยู่ดี สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือแรงงานอาจเสียเงินค่านายหน้าและเป็นหนี้เป็นสินมากขึ้นเพื่อกลับเข้ามา ในที่สุดก็ไม่แก้ไขปัญหาอะไร[1]

เรื่องนี้ดูจะเป็นปัญหาพายเรือในอ่างรอบใหม่ แต่ผู้เขียนเห็นว่ายังมีแนวโน้มความเปลี่ยนแปลง และบทเรียนน่าสนใจบางประการ               

หากเราจับภาพความเปลี่ยนแปลงนโยบายแรงงานข้ามชาติ ตั้งแต่ยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทย เข้าบริหารประเทศครั้งแรก ต้องยอมรับว่ามีความเปลี่ยนแปลงวิธีคิดการจัดการอย่างมีนัยสำคัญ รัฐบาลยอมรับอย่างเป็นทางการว่าแรงงานข้ามชาติจำเป็นต่อเศรษฐกิจไทย มีความพยายามสร้างกลไกการจัดการอย่างเป็นระบบ และยอมรับสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงานมากขึ้น ในขณะที่การยึดมั่นในหลักความมั่นคงแห่งชาติอย่างสุดโต่งถูกลดความสำคัญลง[2]

รูปธรรมจะเห็นได้จาก การเปิดจดทะเบียนแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมายและทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตอย่างกว้างขวางทุกพื้นที่ทุกกิจการ เพื่อทราบข้อมูลที่แท้จริงสำหรับจัดระบบแรงงานกลุ่มนี้ การให้สิทธิรักษาพยาบาลในระบบประกันสุขภาพ การจดทะเบียนผู้ติดตามแรงงานข้ามชาติและให้สิทธิการรักษาพยาบาล การจัดตั้งคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง (กบร.)  เพื่อบูรณาการการกำหนดนโยบาย ตัดสินใจแก้ไขปัญหา ติดตามและอำนวยการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การกำหนดยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติทั้งระบบ และการทำข้อตกลงความร่วมมือด้านการจ้างแรงงาน ในรูปแบบบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับประเทศเพื่อนบ้าน คือ ลาว พม่า และกัมพูชา

หากมองปฏิบัติการทั้งหมดให้ปะติดปะต่อกัน โดยมียุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติเป็นแกน จะเห็นภาพการจัดการอย่างเป็นระบบ โดยกำหนดให้มีการขออนุญาตนำเข้า และนำเข้าตามที่จำเป็น MOU จะเป็นกลไกการนำเข้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เมื่อทำงานเสร็จมีกระบวนการส่งแรงงานกลับบ้าน มีการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมาย ในขณะเดียวกันก็มีการสกัดกั้นการลักลอบเข้ามาทำงานตามแนวชายแดน การปราบปรามจับกุมแรงงานผิดกฎหมาย และนายจ้างที่จ้างแรงงานผิดกฎหมาย รวมทั้งกระบวนการผลักดันกลับแรงงานผิดกฎหมายที่ถูกจับกุม ส่วนการพิสูจน์สัญชาติ จะเป็นเครื่องมือจัดการกับแรงงานหลบหนีเข้าเมืองที่ลักลอบทำงานอยู่แล้ว ซึ่งคาดว่ามีอยู่หลายแสนคน ผู้ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ และขอใบอนุญาตทำงานแล้ว จะถือว่ามีสถานภาพแรงงานถูกกฎหมาย มีสถานะและได้รับการคุ้มครอบแบบเดียวกับแรงงานตาม MOU 

หากทำทั้งหมดนี้ได้ ก็เชื่อว่าการจัดการแรงงานข้ามชาติของไทยจะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การจัดการอย่างเป็นระบบ ตามหลักกฎหมาย และมีเหตุมีผล  โดยส่วนตัวผู้เขียนเห็นด้วยกับยุทธศาสตร์การจัดการนี้ และเชื่อว่าผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องแรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ก็คงจะเห็นด้วย

แต่ปัญหาก็คือ ในทางปฏิบัติยุทธศาสตร์นี้จะสำเร็จได้อย่างไร ไม่เพียงแต่แรงงานตกค้างการพิสูจน์สัญชาติกว่า 3 แสนคนในเวลานี้ แต่ยังมีปัญหาใหญ่กว่านั้นที่ไม่อนุญาตให้ยุทธศาสตร์ไปถึงเป้าหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐต้องตระหนัก และต้องมีคำตอบว่าจะทำอย่างไร ขอกล่าวถึงปัญหาสำคัญๆเป็นประเด็นดังนี้

ประการแรก  MOU ไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้านการจ้างแรงงาน ที่หวังให้เป็นกลไกนำเข้าแรงงานอย่างถูกกฎหมาย มีปัญหาทางปฏิบัติอย่างมาก  เป็นที่ทราบกันดีว่าค่าใช้จ่ายของนายจ้างในการนำเข้าแรงงานอยู่ที่ 17,000 – 25,000 บาท/คน ใช้เวลาประมาณ 2-6 เดือน ตัวเลขนี้ไม่จูงใจนายจ้าง ซึ่งมีธรรมชาติที่ต้องการลดต้นทุนและภาระการจัดการ ผู้เขียนพบว่าการนำเข้าแรงงานตาม MOU เป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการบางกลุ่ม คือกิจการขนาดกลางถึงขนาดใหญ่  มีการบริหารจัดการกิจการอย่างเป็นระบบ และการผลิตที่คงเส้นคงวา หรือขยายตัว ต้องการแรงงานที่ทำงานต่อเนื่อง ผู้ประกอบการกลุ่มนี้พร้อมจะลงทุนนำเข้าแรงงานตาม MOU  ในขณะที่ผู้ประกอบการรายย่อยทั้งหลาย ที่ประกอบการในลักษณะธุรกิจครัวเรือนหรือไม่เป็นทางการ มียอดการผลิตสินค้าไม่แน่นอน หรือตามฤดูกาล เช่นในกิจการเกษตร ประมง ต่อเนื่องประมงทะเล ก่อสร้าง หรืองานรับใช้ในที่ต่างๆ พวกเขาไม่พร้อมจะจ้างงานตาม MOU  กลุ่มหลังนี้รวมๆกันแล้วน่าจะมีขนาดใหญ่กว่ากลุ่มแรก

ผู้ประกอบการกลุ่มหลังที่ประสงค์จะจ้างแรงงานข้ามชาติ แต่ไม่ต้องการจ้างงานตาม MOU มีทางออกคือ การใช้บริการของนายหน้าจัดหาแรงงานผิดกฎหมาย เสียค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000 -5,000 บาท/คน และเมื่อแรงงานมาทำงานก็ให้หลบซ่อนตัว และจ่ายส่วยแก่เจ้าหน้าที่ 300-500 บาท/คน/เดือน โดยเงินส่วนหนึ่งหักมาจากค่าแรงของแรงงาน   

ในปี 2549 ผู้ประกอบการกลุ่มนี้เหมือนถูกหวย เมื่อรัฐบาลเริ่มการพิสูจน์สัญชาติอย่างจริงจัง โดยแรงงานที่ขึ้นบัญชีผ่อนผันที่ทำงานกับพวกเขา จะได้รับการพิสูจน์สัญชาติ กลายเป็นแรงงานถูกกฎหมายในสถานะเดียวกับแรงงานนำเข้าตาม MOU  จึงหมายความว่าพวกเขาลงทุนน้อย แต่ได้แรงงานสถานภาพเดียวกับ MOU มาเป็นลูกจ้างของตน และเมื่อการพิสูจน์สัญชาติล่าช้า รัฐบาลก็จะยืดเวลาการพิสูจน์สัญชาติ ให้กับกลุ่มที่ขึ้นทะเบียนไว้แล้วแต่ยังไม่ได้พิสูจน์สัญชาติไปเรื่อยๆ ดังที่เป็นมาหลายปี จนถึงปัจจุบัน จึงเท่ากับว่าด้วยข้ออ้างการพิสูจน์สัญชาติล่าช้า พวกเขาก็ได้ประโยชน์จากการจ้างงานแรงงานผ่อนผันมาได้เรื่อยๆ     

สำหรับนายจ้างที่จ้างแรงงานกลุ่มที่หลบซ่อนทำงานอยู่ โดยไม่ได้ไปขึ้นทะเบียนผ่อนผัน  นายจ้างเหล่านี้ก็ไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไร เพราะในบางพื้นที่ระบบส่วยที่ทำกันมานาน มีความมั่นคง พอจะปกป้องการจ้างงานผิดกฎหมายของพวกเขาได้ ในขณะที่ในความเป็นจริงก็ยังมีแรงงานลักลอบเข้าเมืองเข้ามาเรื่อยๆ ด้วยการทำงานที่แข็งขันของธุรกิจนายหน้า และประสบการณ์ก็บอกพวกเขาว่า เมื่อมีแรงงานผิดกฎหมายอยู่จำนวนมากขึ้นๆ รัฐก็จะเปิดการจดทะเบียนผ่อนผันครั้งใหญ่ ทั้งกลุ่มที่ขึ้นทะเบียนผ่อนผันอยู่แล้วให้มาต่อทะเบียน และกลุ่มที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน ดังที่เกิดขึ้นในปี 2544 2547 2548 และครั้งล่าสุดปี 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาก็จะมีโอกาสเข้าสู่ระบบกฎหมายในที่สุด

สำหรับแรงงาน การจ้างงานตามแนวทาง MOU เป็นทางที่ไม่น่าเลือกนัก ด้วยค่าใช้จ่ายจำนวนมาก (ค่าใช้จ่ายในการจ้างงานนายจ้างจ่ายไปก่อน แต่จะหักคืนจากแรงงานภายหลัง)  และการใช้เวลารอคอยที่ยาวนาน เทียบกับการจ่ายเงินให้นายหน้าในราคาที่ต่ำกว่ามาก และไม่ต้องรอนาน  เมื่อมาทำงานแม้จะเสี่ยงถูกจับกุม ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ต้องจ่ายส่วย แต่ก็รู้สึกมีอิสระในบางเรื่อง เช่นการเปลี่ยนนายจ้าง กรณีแรงงานที่เข้ามาตาม MOU  เท่าที่ผ่านมาการเข้าถึงสิทธิในเรื่องสำคัญ เช่นสิทธิการประกันสังคม ยังมีปัญหาในทางปฏิบัติอย่างมาก ทั้งที่พวกเขาต้องถูกหักเงินสมทบทุกเดือน[3]  ยิ่งบั่นทอนแรงจูงใจการเข้ามาทำงานตามแนวทางนี้มากขึ้นอีก

การที่นายจ้างต้องการจ้างแรงงานผิดกฎหมาย ฝ่ายแรงงานก็ชอบจะมาทำงานโดยวิธีนี้ กลายเป็นเรื่องสมประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย  ที่ไม่ว่าจะรัฐจะมีมาตรการจูงใจ หรือบังคับให้โทษอย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้พวกเขาเข้าสู่การควบคุมตามกฎหมาย

ประการที่สอง แรงงานข้ามชาติเป็นเรื่องผลประโยชน์ ผู้เกี่ยวข้องเป็นกลุ่มอิทธิพลทั้งภายใต้กฎหมายและเหนือกฎหมาย กลุ่มผู้ประกอบการที่ได้ประโยชน์จากแรงงานข้ามชาติเป็นกลุ่มใหญ่ ดังได้กล่าวไปแล้วว่าผู้ประกอบการเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นกิจการขนาดกลางถึงขาดเล็ก มักเป็นกิจการแบบครัวเรือน หรือการผลิตตามฤดูกาล ผู้ประกอบการเหล่านี้กระจุกตัวในพื้นที่บางแห่งบางกิจการ ขณะเดียวกันก็กระจายตัวทั่วไปทุกพื้นที่ด้วย ในเชิงปริมาณพวกเขาจึงมีจำนวนมากพอจะเป็นกลุ่มกดดันทางนโยบาย ให้รัฐมีนโยบายเอื้อประโยชน์แก่พวกเขา สำหรับในกิจการบางประเภท หรือผู้ประกอบการในบางพื้นที่ มีการรวมตัวเป็นรูปสมาคม ทำให้พวกเขามีอำนาจต่อรองสูง ดังข่าวที่ปรากฏบ่อยครั้งว่าผู้ประกอบการเหล่านี้ยกกำลังเข้าเจรจากับรัฐ และรัฐก็มักจะตัดสินใจไปตามแรงกดดันของกลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้   

นายหน้า เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ ในพื้นที่การผลิตหลายแห่ง นายหน้าทำงานเป็นขบวนการ นายหน้าทำงานทั้งในเรื่องเล็กๆ ถึงเรื่องใหญ่ๆ ทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย จึงมีนายหน้าหลายประเภท เช่นนายหน้าหาที่พัก นายหน้าพาไปหาหมอ นายหน้าเคลียปัญหากับเจ้าหน้าที่ นายหน้าส่งเงินกลับบ้าน  นายหน้าพาไปทำเอกสาร นายหน้าจัดหางาน ฯลฯ  ขบวนการนายหน้ากลายเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ มีการศึกษาในพื้นที่อุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง พบว่าขบวนการนายหน้าเป็นวงการผลประโยชน์ขาดใหญ่ มีเงินทองที่หมุนเวียนในขบวนการนายหน้าในพื้นที่แห่งนี้ปีละไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท นายหน้ามีเครือข่ายข้ามพื้นที่จากประเทศต้นทาง มาจนถึงปลายทาง ขบวนการนายหน้าจึงประกอบด้วยคนหลายกลุ่ม ทั้งต่างชาติ คนไทย คนมีอิทธิพล ไม่มีอิทธิพล มีสี และไม่มีสี ฝ่ายการเมือง และไม่ใช่ฝ่ายการเมือง  ต่างสมคบร่วมมือกันอย่างซับซ้อน[4]

ประเด็นที่อยากจะเน้นก็คือ ในขบวนการเหล่านี้ มีเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ในหลายรูปแบบ หลายระดับ ในพื้นที่อุตสาหกรรมข้างต้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบรามคือตัวละครสำคัญในขบวนการนายหน้า กล่าวกันว่า สำหรับเจ้าหน้าที่บางคนการได้ย้ายไปอยู่ในพื้นที่ประเภทนี้คือโอกาสที่ดีของชีวิต และก็เป็นที่ทราบกันว่าทุกครั้งที่มีนโยบายเข้มงวดป้องกันและปราบปรามแรงงานข้ามชาติ ก็จะเป็นเวลาที่แรงงานข้ามชาติต้องอกสั่นขวัญแขวน ต้องเสียค่าส่วยสูงขึ้น ธุรกิจในวงการนายหน้าคึกคักขึ้น และเจ้าหน้าที่บางคนก็มีโอกาสมีเงินเป็นกอบเป็นกำหรือได้เบี้ยบ้ายรายทางมากขึ้น

ประการที่สาม คณะกรรมการบริหารแรงงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง (กบร.) ซึ่งตั้งใจให้ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ตัดสินใจแก้ไขปัญหา ติดตามและอำนวยการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีโครงสร้างประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน ประกอบด้วยตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายแรงงาน ฝ่ายเศรษฐกิจ ฝ่ายความมั่นคง และอื่นๆ ตัวแทนหน่วยงานเหล่านี้คือข้าราชการประจำในระดับผู้บังคับบัญชาหรือรองผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นๆ

ผู้เขียนเห็นด้วยกับการบูรณาการหน่วยงานรัฐในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหา ซึ่งถูกวิจารณ์มานานว่าไม่มีเอกภาพในการทำงาน  แต่ปัญหาที่ยังมีอยู่ก็คือ ในภาวะที่เรื่องแรงงานขามชาติเป็นเรื่องผลประโยชน์  และยังประกอบด้วยแนวคิดในการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันด้วย เราจะไว้วางใจการตัดสินใจของ กบร. ได้เพียงใด

การวิจัยทำให้ทราบว่า ใน กบร. เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้าราชการประจำ มีแนวโน้มที่จะยึดหลักการการจัดระบบอย่างเคร่งครัด พวกเขาเห็นว่าต้องบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างจริงจัง ไม่ควรผ่อนผันยืดหยุ่นอีกต่อไป เจ้าหน้าที่ฝ่ายนี้มักจะทัดทานมติผ่อนผันให้แรงงานหลบหนีเข้าเมืองทำงานได้ ที่รัฐบาลมักใช้เป็นทางออก  ต้องการให้ยึดมั่นการนำเข้าแรงงานตาม MOU และการพิสูจน์สัญชาติ เป็นเครื่องมือสำคัญ สำหรับฝ่ายการเมือง ในฐานะที่นั่งหัวโต๊ะ และมีอำนาจตัดสินใจในขั้นสุดท้าย กลับมีแนวโน้มที่จะใช้มาตรการผ่อนผันเป็นทางออก และก็เชื่อได้ว่าการตัดสินใจอาจจะไม่ได้มีเหตุผลทางวิชาการรองรับ แต่เป็นไปตามการลอบบี้หรือกดดันของกลุ่มนายจ้างผู้ได้ประโยชน์จากแรงงานข้ามชาติ

กล่าวเช่นนี้ผู้เขียนไม่ต้องการดิสเครดิต หรือเชียร์ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่ประเด็นก็คือ ในเมื่อแรงงานข้ามชาติเป็นเรื่องใหญ่ ซับซ้อน มีกลุ่มผลประโยชน์หลายฝ่ายเกี่ยวข้อง แต่สังคมได้มอบอำนาจการตัดสินใจให้กับรัฐแต่ฝ่ายเดียว ในขณะที่กลุ่มผลประโยชน์ที่มีอำนาจบางฝ่าย (บรรดาผู้ประกอบการ) สามารถเข้าถึงการตัดสินใจของรัฐได้มากกว่า แต่สำหรับภาคประชาสังคม และแรงงานข้ามชาติ กลับไม่สามารถเข้าถึงได้ คำถามก็คือ ถ้าเป็นเช่นนี้อะไรจะตรวจสอบ ทัดทาน การตัดสินใจในแต่ละครั้งของ กบร.  และปัญหาที่เห็นต่อหน้าก็คือ อะไรจะตรวจสอบ หรือเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบของฝ่ายความมั่นคง ที่เน้นการป้องกันและปรายปราม แต่กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเสียเอง 

ประการสุดท้าย  ในขณะที่รัฐได้แสดงเจตนาจะปกป้องคุ้มครองสิทธิแรงงาน แต่ในทางปฏิบัติเราได้เห็นว่ารัฐไม่ได้ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้เท่าที่ควร ดังกรณีการเข้าถึงสิทธิการประกันสังคมอย่างยากลำบากที่กล่าวมาข้างต้น อีกทั้งยังปล่อยให้มีการออกกฎระเบียบที่ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน โดยอ้างเหตุผลเรื่องความมั่นคง เช่น การห้ามเปลี่ยนนายจ้างโดยพลการ ห้ามออกจากสถานประกอบการหรือที่พักอาศัยยามวิกาล ห้ามเป็นเจ้าของโทรศัพท์มือถือ ห้ามเป็นเจ้าของรถยนต์  ห้ามข้ามเขตจังหวัด  การต้องขออนุญาตและมีใบรับรองจากนายจ้างในการเข้าร่วมกิจกรรม สมาคม หรือการชุมนุม และการมีดำริจะส่งตัวแรงงานหญิงที่ตั้งครรภ์กลับไปคลอดบุตรที่บ้าน เป็นต้น

ในอีกด้านหนึ่ง ดังเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า การจะทำให้แรงงานข้ามชาติเข้าถึงสิทธิได้มากขึ้น ก็ต้องส่งเสริมให้พวกเขามีความเข้มแข็งที่จะดูแลตัวเอง หรือสามารถต่อรองให้ได้รับการปฏิบัติตามกฎหมาย แต่การรวมกลุ่มของแรงงานในรูปแบบต่างๆยังมีอุปสรรคมาก การเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเป็นเรื่องยาก การก่อตั้งสหภาพแรงงานข้ามชาติยังไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และเรื่องพื้นฐานที่รัฐไทยกลับปล่อยให้ค้างคาสวนกระแสโลก ก็คือ การรับรองอนุสัญญาขององค์กรแรงงานข้ามชาติ ( ILO)  ที่ 87 และ 98 เพื่อส่งเสริมสิทธิการรวมตัว การจัดตั้งสหภาพ และการยื่นข้อเรียกร้องของแรงงาน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อความเข้มแข็งแรงงาน ทั้งแรงงานไทย และแรงงานข้ามชาติ   

จากเรื่องราวที่กล่าวมาทั้งหมด ขอเรียนย้ำในตอนท้ายนี้ว่า กรณีแรงงานตกค้างการการพิสูจน์สัญชาติ หากรัฐตัดสินใจใช้แนวทางเข้มงวดจับกุมผลักดันกลับ จะไม่แก้ปัญหาอะไร แรงงานข้ามชาติซึ่งเป็น "เหยื่อ" ของปัญหา จะตกในสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งขึ้นอีก ในขณะที่คนบางกลุ่มอาจได้ประโยชน์จากความทุกข์ร้อนนี้ แต่หากรัฐตัดสินใจขยายเวลาการพิสูจน์สัญชาติออกไป วงจรปัญหาเดิมๆก็จะยังคงยืดยาวออกไปอีก ผู้เขียนสนับสนุนแนวทางการจัดการแรงงานข้ามชาติอย่างเป็นระบบ แต่ประเด็นปัญหาทั้ง 4 ประการที่ยกมาคืออุปสรรคขัดขวาง หากไม่สามารถแก้ไขปัญหา หรือมีคำตอบที่ชัดเจนต่อเรื่องที่ยกมานี้ ยุทธศาสตร์การจัดการแรงงานข้ามชาติก็เปล่าประโยชน์ สถานการณ์ชี้ให้เห็นแล้วว่า รัฐยังมีการบ้านข้อใหญ่ หรือไม่ก็ต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการจัดการอีกครั้งหนึ่ง

ในตอนหน้าเราจะมาเข้าใจ ธรรมชาติและข้อจำกัด ที่ทำให้รัฐตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้    

 

หมายเหตุ:  บทความนี้เรียบเรียงจากการวิจัยที่ผู้เขียนทำรวมกับ คุณสุธีร์ สาตราคม เรื่อง "ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการตามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการจ้างแรงงาน : กรณีศึกษาความร่วมมือไทย-ลาว" ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่ง สกว. ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับบทความนี้

สำหรับผู้สนใจบทความเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติของผู้เขียนสามารถเข้าดูได้จาก https://sites.google.com/site/pruektt/home/bthkhwam-thang-wichakar-my-articles

 

 

ภาคผนวก


แผนภาพ วงจรปัญหาการจัดการแรงงานข้ามชาติ ด้วยกลไกนำเข้าแรงงานตาม MOU
ภายหลังจากมียุทธศาสตร์การจัดการแรงงานข้ามชาติทั้งระบบปี พ.ศ. 2546


        คำอธิบายแผนภาพ

  1. การนำเขาแรงงานตาม MOU มีอุปสรรค คือ ผู้นำเข้าแรงงานต้องติดต่อหน่วยราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายขั้นตอน แต่ละขั้นตอนต้องดำเนินการค่อนข้างยุ่งยาก ต้องเสียค่าใช้จ่ายดำเนินการ และเวลามาก หากจ้างบริษัทที่ปรึกษา หรือนายหน้าจัดหางาน ก็จะเสียค่าใช่จ่ายให้ได้มาซึ่งแรงงานประมาณ 17,000-25,000 บาท/คน ใช้เวลายาวนาน 2-6 เดือน
     
  2. ในภาวะเช่นนี้มีนายจ้างจำนวนหนึ่งที่ไม่พร้อม หรือไม่ต้องการนำเข้าแรงงานตาม MOU สำหรับกลุ่มที่ไม่พร้อมได้แก่ บรรดากิจการขนาดเล็กถึงขนาดกลาง บริหารงานแบบครอบครัว กิจการที่มีคำสั่งสินค้าไม่แน่นอน หรือกิจการในเศรษฐกิจนอกระบบ เช่นร้านค้ารายย่อย แผงลอย การเกษตรรายย่อย ผู้รับเหมาก่อสร้างรายย่อย ส่วนนายจ้างที่ไม่ต้องการนำเข้าแรงงานตาม MOU อาจจะเป็นกิจการที่อยู่ในเงื่อนไขที่จะจ้างงานตาม MOU ได้ แต่คิดว่าการนำเข้าตาม MOU มีต้นทุนสูงและยุ่งยาก จึงหันไปใช้แรงงานผิดกฎหมาย ถึงแม้มีความเสี่ยงแต่ก็ต้นทุนต่ำกว่ากันมาก หรือในบางกรณีต้นทุนโดยรวมอาจใกล้เคียงกัน แต่ไม่ต้องจ่ายเงินในคราวเดียวกัน และมีข้อดีที่ไม่ต้องรับผิดชอบแรงงานตามกฎหมายแรงงาน สามารถทำตามอำเภอใจได้
     
  3.  ในฝ่ายของแรงงาน มีทั้งส่วนที่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้าแรงงานตาม MOU และส่วนที่มีข้อมูลและรู้ผลดีของการมาทำงานตาม MOU กล่าวเฉพาะส่วนที่มีข้อมูลหรือรู้จักการนำเข้าแรงงานตาม MOU มีแรงงานจำนวนมากที่การตัดสินใจจะไม่มาทำงานมาตาม MOU เพราเห็นว่ายุ่งยาก ต้นทุนสูง หากเปรียบเทียบกับการมาเองโดยอาศัยเครือข่ายทางสังคมของตน บางคนอาจมีประสบการณ์ไม่ดีถูกเอาเปรียบจากบริษัทจัดหางาน เจ้าหน้าที่รัฐ หรือนายจ้างในสถานประกอบการ บางคนเห็นว่ากฎระเบียบตาม MOU ทำให้ขาดอิสระในการเลือกงานและดำรงชีวิต และถูกบังคับหักเงินเข้ากองทุนอย่างไม่สมัครใจ
     
  4. สำหรับนายจ้างที่ไม่ต้องการจ้างแรงงานตาม MOU แต่ต้องการแรงงานงานข้ามชาติมาเป็นแรงงาน ก็มีเทคนิคการได้มา  โดยมีต้นทุนต่ำ กว่าจ้างตาม MOU โดยการอาศัยขบวนการนายหน้าจัดหา จะมีต้นทุนประมาณ 3,000-5,000 บาท/คน จากนั้นก็จ่ายส่วยรายเดือนให้แก่เจ้าหน้าที่ 300-500 บาท/แรงงานหนึ่งคน นายจ้างจะแรงงานใต้ดินนี้จนกระทั่งมีการผ่อนผันจากรัฐบาลให้นำพาแรงงานไปจดทะเบียนให้ทำงานได้ชั่วคราว รออีกระยะหนึ่งจากนั้นก็พาไปพิสูจน์สัญชาติ  หรืออาจไม่พาไปพิสูจน์สัญชาติก็ได้ โดยอ้างความล่าช้าในการดำเนินการของทางราชการ  เทคนิคอีกแบบหนึ่งในการเลี่ยงการจ้างงานตาม MOU ก็คือการจ้างงานแบบเหมาช่วง จากนายหน้ารับเหมาช่วงที่จะจัดหาแรงงานมาทำงานให้ โดยนายจ้างไม่ต้องรับภาระ เพราะถือว่าแรงงานเป็นคนของนายหน้านับเหมาช่วง
     
  5.  ทางด้านแรงงาน ได้เกิดกระแสการชักจูงกันเข้ามาทำงานโดยผิดกฎหมาย เพราะเชื่อกันว่าประหยัดและสะดวกกว่า และมีตัวอย่างให้เห็น พวกเขาเชื่อว่าเข้ามาทำงานให้ได้ก่อนแล้วก็จะได้รับการผ่อนผัน หรือพิสูจน์สัญชาติภายหลัง หรือกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็ถูกจับและผลักดันกลับ แล้วก็สามารถลักลอบกลับเข้าไปใหม่ได้
     
  6. สำหรับนายจ้างที่จ้างแรงงานผิดกฎหมาย เมื่อครบกำหนดผ่อนผัน ก็จะเกิดขบวนการต่อรองให้รัฐเปิดให้มีการผ่อนผันรอบใหม่ต่อไป ขบวนการต่อรองโดยทั่วไปเป็นไปเองตามธรรมชาติ ในลักษณะที่ผู้ประกอบการในจังหวัดต่างๆ ที่มีการจ้างแรงงานข้ามชาติมาก (เช่นระนอง ตาก ภูเก็ต สมุทรสาคร ฯลฯ) ส่งเรื่องร้องเรียนไปยังจังหวัด บางกรณีเป็นการขอเข้าพบเจรจาของสภาอุตสากรรมจังหวัด หรือสมาคมนายจ้าง หรือบรรดานายจ้างอาจมีการส่งตัวแทนเข้าไปลอบบี้ผู้มีอำนาจตัดสินใจของรัฐให้ดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์แก่ตน และเราก็พบว่า ในแต่ละปีรัฐก็มักตัดสินใจให้มีการผ่อนผันให้ใช้แรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมายได้เป็นการชั่วคราว    
     
  7. เมื่อมีมติผ่อนผันในแต่ละปี พบว่าแรงงานที่ครบกำหนดผ่อนผัน จะหายไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาทั้งหมดกลับบ้าน แต่อาจหมายความว่าพวกเขาหลบซ่อนอยู่ใต้ดิน  ในขณะที่บางปีที่เปิดให้ผู้ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนผ่อนผันมาก่อนมาขึ้นทะเบียนได้ ก็จะมียอดขึ้นทะเบียนสูงขึ้น สำหรับปีที่รัฐมีนโยบายเช่นนี้ จะเกิดปรากฎการณ์ลักลอบเข้าเมืองขนานใหญ่ เพื่อที่จะเข้ามารับการผ่อนผัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า การผ่อนผันไม่มีประสิทธิภาพในการควบคุมแรงงานเข้าให้สู่ระบบ เพราะก็ยังมีแรงงานผิดกฎหมายใต้ดินอีกจำนวนมาก และยังมีผู้ลักลอบเข้ามาอีกจำนวนมาก ในด้านการพิสูจน์สัญชาติ ที่กำหนดให้แรงงานที่ผ่านการผ่อนผันไปพิสูจน์สัญชาติ ก็ปรากฏว่าการพิสูจน์สัญชาติทำได้ล่าช้า เนื่องจากข้อจำกัดในการตรวจสอบการเป็นพลเมืองของประเทศต้นทาง ความล่าช้าก็กลายเป็นข้ออ้างให้นายจ้าง จ้างแรงงานผ่อนผันไปเรื่อยๆ โดยไม่นำพาแรงงานไปพิสูจน์สัญชาติ
     
  8. ในการดำเนินการตามระเบียบของรัฐ ได้ก่อให้เกิดธุรกิจนายหน้าหลากหลายรูปแบบ ที่เป็นที่มาของผลประโยชน์มหาศาล เช่น นายหน้าจัดหาแรงงานตาม MOU นายหน้าจดทะเบียนผ่อนผันแรงงานหลบหนีเข้าเมือง นายหน้าพิสูจน์สัญชาติ รวมทั้งนายหน้ารับเหมาช่วงแรงงาน นอกจากนั้นยังมีธุรกิจต่อเนื่อง เช่น บริการรถขนส่งแรงงานไปพิสูจน์สัญชาติที่ชายแดน (กรณีพม่า)  บริการจัดเตรียมเอกสาร หรือล่าม  บางกรณีมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีผลประโยชน์ด้วย
     
  9. การสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมือง ปราบปรามแรงงานผิดกฎหมาย  และส่งกลับแรงงานผิดกฎหมายโดยหน่วยงานรัฐ แม้สามารถทำได้ส่วนหนึ่ง แต่มีอีกมากที่ไม่ได้ผล เจ้าหน้าที่รัฐที่ฉ้อฉลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผลประโยชน์จากแรงงานข้ามชาติ การฉ้อฉลส่วนใหญ่เป็นไปในลักษณะใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์  เช่น ในการตรวจจับขบวนการลักลอบเข้าเมือง การปราบรามการหลบซ่อนทำงานผิดกฎหมาย การส่งแรงงานกลับ ซึ่งกล่าวได้ว่าในทุกขั้นตอนที่เจ้าหน้าที่สามารถใช้กฎหมายเพื่อเอาผิดแรงงานต่างด้าว ก็เป็นที่มาของการใช้อำนาจหน้าที่นั้นเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีระบบตรวจสอบควบคุมเจ้าหน้าที่ที่ได้ผล มีแต่การใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบที่ฝังลึกในระบบราชการมากขึ้น.

 

 




[4] มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน. 2553. ร่างผลการศึกษาสถานการณ์การย้ายถิ่น และ

ผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิและการค้ามนุษย์ในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ. (เอกสารอัดสำเนา)

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

Posted: 22 Dec 2012 08:42 PM PST

ขอฝากถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ให้ไปบอกผู้ที่มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการดูแลพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ว่า เดี่ยวนี้ความแตกแยกชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องของความเชื่อที่แตกต่างกัน ความเห็นที่แตกต่างกันจะต้องมีในชาติบ้านเมือง แต่ไม่ใช่อุปสรรคที่จะทำให้การพัฒนาประเทศชาติ ดังนั้นขอให้ช่วยกันสร้างความรักสามัคคี ขอให้ทำความเข้าใจกับผู้ที่มีความคิดแตกต่างกัน 

กล่าวเนื่องในโอกาส เปิดบ้านให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจเข้าเยี่ยมคารวะและขอพรเนื่องในโอกาสเทศกาลปีใหม่ 2556

เครือข่ายปฏิบัติงานผู้หญิงไทใหญ่เดินสายหารือกับประชาชนทั่วรัฐฉาน

Posted: 22 Dec 2012 05:30 PM PST

ระบุชุมชนในรัฐฉานแสดงความโกรธเคืองต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนซึ่งเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการสันติภาพ หลายพื้นที่กองทัพมีการใช้ความรุนแรงทางเพศ มีการเวนคืนที่ดิน ชาวบ้านระบุข้อมูลที่ถูกเปิดเผยเป็นแค่ยอดภูเขาน้าแข็ง ยังมีอีกหลายกรณีที่ไม่ถูกบอกเล่า

เครือข่ายปฏิบัติงานผู้หญิงไทใหญ่ (SWAN) เผยแพร่รายงานเมื่อเร็วๆ นี้ ระบุว่า ชุมชนต่างๆ ที่เข้าร่วมการประชุมซึ่งจัดขึ้นทั่วรัฐฉานเมื่อเร็วๆ นี้ แสดงความโกรธเคืองต่อการละเมิดสิทธิที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา มีความพยายามส่งเสริมกระบวนการสันติภาพ

การประชุมเพื่อสร้างความไว้วางใจและสันติภาพ จัดขึ้นที่ย่างกุ้งระหว่างวันที่ 26-28 พ.ย.(ที่มาของภาพ: เครือข่ายปฏิบัติงานผู้หญิงไทใหญ่)

ทั้งนี้เครือข่ายปฏิบัติงานผู้หญิงไทใหญ่ ได้เป็นเจ้าภาพร่วมจัดงาน "การประชุมเพื่อสร้างความไว้วางใจและสันติภาพ" ที่กรุงย่างกุ้งระหว่างวันที่ 26-28 พฤศจิกายน โดยความริเริ่มของพรรคสันนิบัติเพื่อประชาธิปไตยไทใหญ่ (Shan Nationalities League for Democracy - SNLD) โดยมีกลุ่มประชาสังคมหลายกลุ่มจากรัฐฉานเป็นผู้ร่วมจัดงานสัมนา โดยหลังจากนั้นสมาชิกของเครือข่ายปฏิบัติงานผู้หญิงไทใหญ่ ได้เดินทางเพื่อพบปะชุมชนต่างๆ ในรัฐฉานเกือบสามสัปดาห์ ทั้งที่เมืองตองจี หนองเขียว จ็อกแม สี่ป้อ ล่าเสี้ยว เกซี แสนหวี, ก๊ดขาย น้ำคำ หมู่แจ้ และเชียงตุง แม้จะถูกหน่วยงานทหารจับตามองอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้โดยมีชาวบ้านหลายร้อยคนในแต่ละเมืองได้มาเข้าร่วมการประชุมซึ่งจัดขึ้นโดยสมาชิกพรรค พรรคสันนิบาตเพื่อประชาธิปไตยไทใหญ่ (พรรคหัวเสือ) (Shan Nationalities League for Democracy – SNLD) พรรคประชาธิปไตยเพื่อชาติพันธุ์ (พรรคเสือเผือก) (Shan Nationalities Democratic Party - SNDP) และสมาคมวรรณกรรมและวัฒนธรรมแห่งรัฐฉาน (Shan Literature and Culture Associations)

โดยจากการหารือชาวบ้านแสดงข้อกังวลเกี่ยวกับการเวนคืนที่ดินและความเสื่อมโทรมด้านสิ่งแวดล้อมอันเป็นผลมาจากการลงทุนในโครงการต่าง ๆ การสู้รบที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะมีข้อตกลงหยุดยิง และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่องโดยกองทัพพม่า รวมทั้งการใช้ความรุนแรงทางเพศ ผู้หญิงเหล่านี้ต่างกระตุ้นให้เครือข่ายปฏิบัติงานผู้หญิงไทใหญ่เผยแพร่ข้อมูลต่อไป เกี่ยวกับกรณีที่ทหารพม่าก่อความรุนแรงทางเพศแต่กลับไม่ต้องรับโทษ

"ข้อมูลการข่มขืนกระทำชำเราตามรายงานของเครือข่ายปฏิบัติงานผู้หญิงไทใหญ่ เป็นแค่ยอดของภูเขาน้าแข็ง ยังมีอีกหลายกรณีที่ไม่มีการบอกเล่า เราต้องการทำงานกับเครือข่ายปฏิบัติงานผู้หญิงไทใหญ่เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับประชาชนของเรา" สตรีผู้หนึ่งจากเมืองจ็อกมีกล่าว

นอกจากนี้ชาวบ้านหลายคนพูดถึงโครงการสร้างท่อส่งก๊าซและน้ำมันของจีนในเขตที่ดินของตนทางตอนเหนือของรัฐฉาน ผู้หญิงซึ่งกระเสือกระสนหาทางเลี้ยงดูครอบครัวบรรยายให้ฟังว่า พวกเธอต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ปลูกพืชผลในที่ดินซึ่งถูกทางการเวนคืนไปแล้ว

พิธีสวดมนต์ที่บ้านบ่อเกลือ เมืองสี่ป้อ เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. เพื่อประท้วงโครงการท่อส่งก๊าซที่ส่งผลกระทบด้านความปลอดภัยในบริเวณพื้นที่ทำนาเกลือของชาวบ้าน ทั้งนี้ชาวบ้านต้องซ่อมแซมพื้นบ้านที่ถูกเกลือกัดเซาะทุกปี และกลัวว่าท่อก๊าซเส้นนี้อาจได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะของเกลือ (ที่มาของภาพ: เครือข่ายปฏิบัติงานผู้หญิงไทใหญ่)

ที่เมืองบ่อเกลือ เมืองสี่ป้อ เครือข่ายปฏิบัติงานผู้หญิงไทใหญ่ยังได้เข้าร่วมพิธีสวดมนต์ร่วมกับชาวนาและเกษตรกรกว่า 300 คน พร้อมพระภิกษุและ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภาพม่า ซึ่งจัดขึ้นที่บ้านบ่อเกลือ เมืองสี่ป้อ เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. เพื่อประท้วงโครงการท่อส่งก๊าซที่ส่งผลกระทบด้านความปลอดภัยในบริเวณพื้นที่ทำนาเกลือของชาวบ้าน ชาวบ้านต้องซ่อมแซมพื้นบ้านที่ถูกเกลือกัดเซาะทุกปี และกลัวว่าท่อก๊าซเส้นนี้อาจแตกและระเบิดออกมาได้

"ประชาชนในรัฐฉานต่างตั้งคำถามต่อสันติภาพที่เกิดขึ้น เพราะมันกลับทำให้พวกเขาต้องสูญเสียที่ดินและหนทางทำมาหากินมากยิ่งขึ้น" หญิงหาญฟ้า โฆษกเครือข่ายปฏิบัติงานผู้หญิงไทใหญ่กล่าว เสียงของชาวบ้านเหล่านี้เน้นให้เห็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องยุติการตรึงกำลังของทหารพม่าในพื้นที่รัฐต่างๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ และเรียกร้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการสันติภาพอย่างเสรี หลายคนยังสะท้อนข้อเรียกร้องจาก "การประชุมเพื่อสร้างความไว้วางใจและสันติภาพ" เพื่อให้มีการจัดตั้งเป็นสหพันธรัฐเพื่อประกันความเท่าเทียมและความสงบสุขอย่างแท้จริงในพม่าด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"พล.อ.เปรม" เตือนภาคอีสานมีความแตกแยกชัดเจนมากขึ้น

Posted: 22 Dec 2012 04:43 PM PST

ฝากถึงแม่ทัพภาค 2 ให้ผู้เกี่ยวข้องในการดูแลพื้นที่ช่วยกันสร้างความรักความสามัคคี ขอให้ทำความเข้าใจกับผู้ที่คิดแตกต่างกันให้มีจุดหมายเดียวกันคือพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง อย่าให้ความขัดแย้งมาเป็นอุปสรรคในการทำงาน และขอให้ทำความเข้าใจกับผู้ที่ดูแลความสงบสุขของบ้านเมืองให้มีความซื่อสัตย์และเชิดชูสถาบัน

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ (แฟ้มภาพ/http://site2.generalprempark.com/)

เว็บไซต์รัฐสภาไทย รายงานเมื่อวานนี้ (22 ธ.ค.) ว่า ที่บ้านแม่ทัพ หรือบ้านไร้กังวล อ.เมือง จ.นครราชสีมา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เปิดบ้านให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจเข้าเยี่ยมคารวะและขอพรเนื่องในโอกาสเทศกาลปีใหม่ 2556 โดยมีผู้เข้าร่วมอวยพรประมาณ 100 คน นำโดย พล.ท.จีระศักดิ์ ชมประสพ แม่ทัพภาคที่ 2 นายวินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พล.ต.ท.เชิด ชูเวช ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา เป็นต้น

พล.อ.เปรม กล่าวว่า ในสภาวะปัจจุบันที่มีความขัดแย้งอย่างชัดเจน ขอฝากถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ให้ไปบอกผู้ที่มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการดูแลพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ว่า เดี่ยวนี้ความแตกแยกชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องของความเชื่อที่แตกต่างกัน ความเห็นที่แตกต่างกันจะต้องมีในชาติบ้านเมือง แต่ไม่ใช่อุปสรรคที่จะทำให้การพัฒนาประเทศชาติ ดังนั้นขอให้ช่วยกันสร้างความรักสามัคคี ขอให้ทำความเข้าใจกับผู้ที่มีความคิดแตกต่างกัน ให้มีจุดหมายเดียวกันคือ พัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง อย่าให้ความขัดแย้งมาเป็นอุปสรรคในการทำงาน ขอให้ทำความเข้าใจกับผู้ที่ดูแลความสงบสุขของชาติบ้านเมือง ให้มีความซื่อสัตย์สุจริต เชิดชูสถาบัน ให้มีความเข้าใจตรงกันว่า จะทำอย่างไรให้ประเทศชาติพัฒนาในสภาพของความแตกแยก และขอให้ทำความเข้าใจกับผู้ที่มีความเห็นแตกต่างจากเราให้มีความเข้าใจตรงกันว่า อย่าเอาความแตกต่างมาเป็นเครื่องทำลายความสามัคคีในชาติ อย่าให้คนที่มีความเห็นไม่ตรงกันมาเป็นอุปสรรคในการทำงาน เพื่อพัฒนาประเทศชาติ และขอให้ขยายความเข้าใจตรงนี้ให้เป็นที่เข้าใจอย่างกว้างขวาง ความคิดที่แตกต่างไม่ใช่ปัญหาที่ว่าจะต้องมาเป็นศัตรูกัน ซึ่งหากแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสามารถทำความเข้าใจตรงนี้ได้อย่างกว้างขวางก็จะสร้างความสงบสุขให้ประเทศชาติบ้านเมืองได้อย่างแน่นอน เมื่อกล่าวจบ พล.อ.เปรม ได้เดินทางกลับบ้านสี่เสาเทเวศน์ กทม. โดยมีกำหนดเปิดบ้านอีกครั้งวันที่ 27 ธ.ค.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น