โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

สปป.ลาวฉลองวันชาติ 2 ธันวาปีที่ 37

Posted: 02 Dec 2012 12:41 PM PST

ผู้นำ สปป.ลาว วางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์ทหารนิรนามรำลึกวันก่อตั้งประเทศ 2 ธันวา ขณะที่บทนำในหนังสือพิมพ์ของพรรคประชาชนปฏิวัติลาวเน้นเรื่องการเติบโตเศรษฐกิจและการพัฒนาชนบท ส่วนสถานทูตลาวในกรุงเทพฯ มีการจัดปาฐกถาเรื่องวันชาติ และผลสำเร็จของการประชุม ASEM ครั้งที่ 9 ที่ลาวเป็นเจ้าภาพ

ผู้นำ สปป.ลาว วางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์ทหารนิรนาม รำลึกวันก่อตั้งประเทศ 2 ธันวาคม โดยพิธีวางพวงมาลาจัดขึ้นเมื่อ 30 พ.ย. ที่ผ่านมา (ที่มาของภาพ: สำนักข่าวสารประเทศลาว - KPL)

รูปปั้นนักปฏิวัติ ที่หน้าพิพิธภัณฑ์ไกสอน พมวิหาน ในเวียงจันทน์ ถ่ายเมื่อเดือนมีนาคมปี 2553 ทั้งนี้วันที่ 2 ธ.ค. ถือเป็นวันครบรอบการสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือวันชาติลาว โดยปี 2555 นี้เป็นการครบรอบปีที่ 37 หลังพรรคประชาชนปฏิวัติลาวสามารถยึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาลราชอาณาจักรลาวที่ได้รับการสนับสนุนจากโลกตะวันตกได้เป็นผลสำเร็จเมื่อ 2 ธ.ค. 2518 (ที่มาของภาพ: แฟ้มภาพ/ประชาไท)

 

ผู้นำ สปป.ลาว วางพวงมาลาทหารนิรนามรำลึกวันก่อตั้งประเทศ

เมื่อวานนี้ (2 ธ.ค.) ถือเป็นวันครบรอบการสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) หรือวันชาติลาวปีที่ 37 (2 ธ.ค. 1975 – 2 ธ.ค. 2012) โดยสำนักข่าวสารประเทศลาว (KPL) ของทางการลาว รายงานว่ามีการวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์นักรบนิรนาม จัตุรัสธาตุหลวง ที่เวียงจันทน์ โดยบรรดาผู้นำพรรค-รัฐ สปป.ลาว นำโดยนายจูมมะลี ไซยะสอน เลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาว ประธานประเทศ สปป.ลาว นางปานี ยาท่อตู้ ประธานสภาแห่งชาติ นายทองสิง ทำมะวง นายกรัฐมนตรี และบรรดาคณะกรมการเมืองศูนย์กลางพรรค และคณะรัฐบาล คณะนำสภาแห่งชาติ คณะนำกระทรวงป้องกันประเทศ คณะนำกระทรวงป้องกันความสงบ คณะนำนครหลวงเวียงจัน เมื่อ 30 พ.ย. ที่ผ่านมา

โดยเป็นการวางพวงมาลาเพื่อ "แสดงความเคารพรัก ความกตัญญูรู้บุญคุณถึงคุณงามความดีและน้ำใจต่อสู้อย่างพิละอาจหาญ และไม่ยอมจำนนของบรรพบุรุษลาว และบรรดานักรบปฏิวัติทีเสียสละชีวิต เลือดเนื้อเพื่อประเทศชาติ และประชาชนอย่างองอาจ กล้าหาญ จนได้รับชัยชนะและประกาศเอกราช สถาปนามาเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในวันที่ 2 ธันวา 1975" ข่าวสารประเทศลาวระบุ

โดยนอกจากการวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์นักรบนิรนามแล้ว มีการไปวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์ประธานไกสอน พมวิหานที่หลัก 6 ด้วย

 

หนังสือพิมพ์พรรคออกบทนำเน้นเรื่องการเติบโตเศรษฐกิจและการพัฒนาชนบท

ขณะที่หนังสือพิมพ์ประชาชน (Paxaxon) หนังสือพิมพ์ของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว ฉบับวันที่ 30 พ.ย. ได้ตีพิมพ์บทนำ "เสริมขยายมูลเชื้อ 2 ธันวา" ตอนหนึ่งระบุว่า "ถึงแม้ว่าปี 2011 -2012 เป็นปีที่มีความยุ่งยาก สภาพแวดล้อมภายนอกมีวิกฤตการณ์ด้านเศรษฐกิจ-การเงิน ภายในประเทศเราก็ประสบภัยธรรมชาติ ซึ่งมันได้ส่งผลกระทบหลายด้านให้แก่พวกเรา แต่ประเทศเรายังมีเสถียรภาพทางด้านการเมืองหนักแน่น สังคมมีความปลอดภัย และมีความเป็นระเบียบเรียงร้อยโดยพื้นฐาน สามารถพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคม ด้วยจังหวะอันหมั้นเที่ยงต่อเนื่อง รวมยอดผลผลิตภัณฑ์ภายใน (GDP) บรรลุได้ 8.1% ปฏิบัติงบประมาณได้เกินแผนการ เงินตราแห่งชาติมีความมั่นตรง อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ เฉลี่ยต่อปีที่ 7.42% ซึ่งได้สร้างพื้นฐานและท่วงท่าอันดีสำหรับการสืบต่อสำเร็จคาดหมายที่กองประชุมใหญ่ครั้งที่ 9 ของพรรควางออก กล่าวได้ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคมของประเทศเราได้มีผลสำเร็จอันสำคัญ และมีบาทก้าวที่ต่อเนื่อง เศรษฐกิจมหภาคมีความมั่นตรงโดยพื้นฐาน การแก้ไขความทุกข์ยากของประชาชนติดพันกับการสร้างบ้าน และกลุ่มบ้านพัฒนาได้รับผลดีในหลายด้าน

บทนำของหนังสือพิมพ์ประชาชน ระบุว่า ครัวเรือนยากจนในลาวลดจำนวนลงจากร้อยละ 27.7 ในปี 2002-2003 มาเป็นร้อย 18.77 ในปี 2010-2011 ในบทนำยังเรียกร้องให้ "องค์การจัดตั้งพรรค รัฐ ประชาชนลาวบรรดาเผ่า องค์การตั้งมหาชน องค์การจัดตั้งทางสังคม และทุกหัวหน่วยภาคส่วนเศรษฐกิจ" "จงได้เอาใจใส่ตั้งหน้าศึกษาอบรมทางการเมือง นำพาแนวคิดพนักงาน สมาคมพรรค และประชาชนบรรดาเผ่าให้เชิดชูน้ำใจรักชาติเอกราชเป็นเจ้าตนเอง สร้างความเข้มแข็งด้วยตนเองเพื่อสร้างประเทศชาติให้มั่งคั่งเข้มแข็ง ประชาชนมีผาสุก สังคมมีความสามัคคีปรองดอง ยุติธรรม และศรีวิไล"

พร้อมกันนี้ในตอนท้ายของบทนำยังเน้นย้ำเรื่องการวางพื้นฐานการพัฒนาชนบท ผลักดันระบอบการ 3 สร้าง คือสร้างแขวงเป็นหัวหน่วยยุทธศาสตร์ สร้างเมืองเป็นหัวหน่วยเข้มแข็งรอบด้าน สร้างบ้านเป็นหัวหน่วยพัฒนาให้เป็นจริง ใส่ใจต่อการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคต่างๆ และยังเรียกร้องให้มีการจำกัดแก้ไข "ปรากฏการณ์ย่อท้อ" หรือการคอรัปชั่นด้วย "เพื่อสร้างบรรยากาศสดใส สง่าผ่าเผยของสังคมลาว คนลาว" พร้อมเรียกร้องให้ "ทำให้ประเทศชาติมีความสงบ และมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ยึดมั่นแนวทางการต่างประเทศสันติภาพ เอกราช มิตรภาพ และการร่วมมืออย่างเสมอต้นเสมอปลาย ส่งเสริมการพัวพันร่วมมือกับต่างประเทศแบบหลายทิศ และหลายฝ่าย หลายระดับ และหลายรูปแบบบนพื้นฐานหลักการเคารพซึ่งกันและกัน ต่างต่างมีผลประโยชน์" และทิ้งท้ายว่า "น้ำใจวันชาติที่ 2 ธันวา หมั้นยืน"

กิจกรรมเนื่องในวันก่อตั้ง สปป.ลาว เมื่อ 27 พ.ย. ที่สถานทูตลาวในกรุงเทพฯ มีนายหลี บุนค้ำ เอกอัครราชทูต สปป.ลาวเป็นองค์ปาฐก (ที่มาของภาพ: KPL)

สำหรับกิจกรรมที่สถานเอกอัครราชทูต สปป.ลาว ประจำกรุงเทพมหานครปีนี้ เมื่อ 27 พ.ย. ที่ผ่านมา มีการจัดกิจกรรมเนื่องในวันก่อตั้ง สปป.ลาว เช่นกันโดยนายหลี บุนค้ำ เอกอัครราชทูต สปป.ลาว เป็นองค์ปาฐกอภิปรายเกี่ยวกับวันชาติ วันคล้ายวันเกิดของประธานไกสอน พมวิหาน ครบรอบ 92 ปี (13 ธ.ค. 1920 – 13 ธ.ค. 2012) และอภิปรายเรื่องผลสำเร็จของกองประชุม ASEP ครั้งที่ 7 และกองประชุม ASEM ครั้งที่ 9 ที่ สปป.ลาวเป็นเจ้าภาพ มีเจ้าหน้าที่สถานทูต ผู้แทนนักศึกษาลาวที่ศึกษาอยู่ในประเทศไทยเข้าร่วมฟังปาฐกถา

ทั้งนี้ในวันที่ 2 ธ.ค. ปี 2518 พรรคประชาชนปฏิวัติลาวโดยการนำของเจ้าสุภานุวงศ์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตและพรรคลาวด๋องหรือพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามได้ล้มล้างรัฐบาลที่มีเจ้ามหาชีวิตสว่างวัฒนาเป็นประมุข ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา โดยนำเจ้ามหาชีวิตและมเหสีไปคุมขังในค่ายกักกันจนสิ้นพระชนม์ และสถาปนาประเทศลาวเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

 

ที่มาของข่าว: เรียบเรียงจาก

ผู้นำพรรค-รัฐ วางพวงมาลา ระลึกถึงผู้เสียสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ, สำนักข่าวสารประเทศลาว (KPL), 30 พ.ย. 55

สถานทูตลาวที่บางกอกปาฐกถามูลเชื้อของวันประวัติศาสตร์, สำนักข่าวสารประเทศลาว (KPL), 27 พ.ย. 55

เสริมขยายมูลเชื้อ 2 ธันวา (บทนำ), หนังสือพิมพ์ประชาชน (PAXAXON), 30 พ.ย. 55

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"ธาริต" เผยคำสั่งศาลคดี "พัน คำกอง" พยานหลักฐานพอแจ้งข้อหา "มาร์ค -สุเทพ"

Posted: 02 Dec 2012 10:20 AM PST

อธิบดีดีเอสไอ เผยสำนวนคดีพัน คำกอง ที่ศาลมีคำสั่งไต่ส่วนการเสียชีวิตว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ พยานเอกสาร หลักฐานและคำให้การพยาน เบื้องต้นเพียงพอต่อการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้สั่งการ ศอฉ. แล้ว ประชุมหารือ 6 ธันวานี้

2 พ.ย.55 มติชนออนไลน์ รายงานว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน จากเหตุการณ์ชุมนุม 2553 จำนวน 99 ศพ ว่ายอมรับว่าเรื่องดังกล่าวเป็นแนวทางที่จะเกิดขึ้นภายหลังจาก พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม เพราะจะทำให้พ้นจากหัวหน้าพนักงานสอบสวนตามกฎหมาย เพราะตำแหน่งผู้ตรวจราชการจะไม่มีอำนาจการสอบสวนคดีตามพ.ร.บ.สอบสวนคดีพิเศษ  ทั้งนี้คงไม่มีผลต่อรูปคดี เพราะดีเอสไอทำงานในรูปแบบของคณะพนักงานสอบสวน มีอัยการ ตำรวจ ดีเอสไอ ร่วมกันทำงาน อีกทั้งที่ผ่านมาตนได้รับรายงานความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องว่ามีการดำเนินการส่วนใดบ้าง หลังจากนี้คดีจะมีความรวดเร็วและลดขั้นตอนทางการสั่งคดีได้
 
นายธาริต กล่าวต่อว่า ได้เข้าไปตรวจสอบรายละเอียดสำนวนของนายพัน คำกอง ผู้เสียชีวิต รายแรกที่ศาลมีคำสั่งไต่ส่วนการเสียชีวิต ว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งพยานเอกสาร หลักฐานและคำให้การพยาน เบื้องต้นเชื่อได้ว่ามีหลักฐานเพียงพอต่อการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้สั่งการในการออกคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไข้สถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ซึ่งหมายถึงนายสุเทพ  เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผอ.ศอฉ. และนายอภิสิทธิ์ เวชชีวะ อดีตนายกรัฐมตรี
 
รายงานข่าวแจ้งว่าการประชุมหารือคณะพนักงานสอบสวนในวันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม นอกจากประเด็นการนำรายชื่อนายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ เสนอให้มีประชุมพิจารณาเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา ตามกฎหมาย มาตรา 83, 84 และ 288 ยังจะมีหารือในเรื่องแนวทางการแจ้งข้อกล่าวหา เป็นรายคดีตามที่ศาลมีคำสั่งไต่ส่วนการเสียชีวิต เพื่อความรวดเร็วในการแจ้งข้อกล่าวหา ทั้งนี้หากมีการแจ้งข้อกล่าวในคดีของนายพัน คำกอง จะส่งผลให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในพื้นบริเวณที่นายพัน คำกอง เสียชีวิต ที่เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเอาผิดในข้อหาพยายามฆ่า และทำร้ายร่างกาย สามารถดำเนินการได้ตั้งสำนวนการสอบสวนได้ทันที
 
ทั้งนี้นอกจากคดีนายพัน คำกอง ที่ศาลได้มีคำสั่งว่าการเสียชีวิตเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว เมื่อวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมาศาลก็ได้มีคำสั่งในคดีการตายของนายชาญณรงค์ พลศรีลา คนขับรถแท็กซี่เสื้อแดงที่ถูกยิงและเสียชีวิตบริเวณหน้าปั้มเชลล์ ถนนราชปรารภ ช่วงบ่ายวันที่ 15 พ.ค.53 ว่าเป็นการเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหาร เช่นเดียวกัน รวมทั้งยังมีอีก 2 คดีที่ศาลเตรียมมีคำสั่งอีก วันที่17 ธ.ค. นี้ คดีของนายชาติชาย ชาเหลา อายุ 25 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิตคืนวันที่ 13 พ.ค.53 ที่บริเวณหน้าบริษัท กฤษณา มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ถนนพระราม 4 ตรงข้ามสวนลุมพินี และ 16 ม.ค.นี้ คดีของนายบุญมี เริ่มสุข อายุ 71 ปี ซึ่งถูกยิงที่ย่านบ่อนไก่ บริเวณท้อง ด้านซ้ายกระสุนตัดลำไส้เล็กขาดตอน เมื่อวันที่ 14 พ.ค.53 และเสียชีวิตเมื่อ วันที่ 28 ก.ค.53  

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แถลงการณ์แนวร่วมนิสิตนักศึกษาคัดค้าน ม.นอกระบบ “ถึงเวลาล้างระบบอุดมศึกษาไทย”

Posted: 02 Dec 2012 09:17 AM PST

 

เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 55 แนวร่วมนิสิตนักศึกษาคัดค้าน ม.นอกระบบ ได้ออกแถลงการณ์ "ถึงเวลาล้างระบบอุดมศึกษาไทย" โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ...
 
แถลงการณ์แนวร่วมนิสิตนักศึกษาคัดค้าน ม.นอกระบบ "ถึงเวลาล้างระบบอุดมศึกษาไทย"
 
หน้าที่ของมหาวิทยาลัยคือ การมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของชาติ แต่ในขณะนี้ ดูเหมือนว่าเกือบทุกมหาวิทยาลัยของรัฐและในกำกับรัฐ ต่างแสวงหาผลประโยชน์จากธุรกิจการศึกษา หากินกับลูกหลานชาวบ้านที่กู้เงินมาเรียน พ่อแม่เขาก็หวังว่าลูกหลานจะจบไปมีงานดีๆ ทำพอลืมตาอ้าปากได้ แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ มหาวิทยาลัยเปิดรับนักศึกษาเอาปริมาณมากกว่าคุณภาพ ยิ่งคนเรียนมากก็ยิ่งนำรายได้มาสู่มหาวิทยาลัยอย่างเป็นกอบเป็นกำ เมื่อมีอำนาจในการออกระเบียบขึ้นค่าเทอม ค่าหน่วยกิตได้เองด้วยแล้วก็พากันขึ้นจนไม่เกรงอกเกรงใจผู้ปกครองว่าจะหาเงินที่ไหนมาส่งให้ลูกหลานเรียน ลูกคนรวยไม่เท่าไหร่แต่ลูกหลานคนจนนี่สิลำบาก เงินงบประมาณแต่ละปีเป็นพันเป็นหมื่นล้านไม่เคยตกมาถึงนักศึกษา ผันไปสร้างตึก สร้างโครงการอะไรใหญ่โต ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและทำให้เกิดการตั้งคำถามในประเด็นการแสวงหาผลประโยชน์ แต่ลูกชาวบ้านไส้แห้งท้องกิ่ว
 
มีหลายกรณีที่เป็นประเด็นปัญหาให้สังคมสงสัยในความชำรุดของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย หลายแห่งถูกฟ้องร้องว่า กู้เงินมาลงทุนสร้างหอพักและบังคับให้นักศึกษาเข้าพักในราคาแพงกว่าหอเอกชน เพื่อประกันว่าจะมีรายได้มาแบ่งกันและเหลือเอาไปใช้หนี้ บางที่บางแห่งต้องเอาเงินไปค้ำประกันกับธนาคารฝากแช่แข็งเอาไว้นับร้อยนับพันล้านบาทธนาคารเขาถึงยอมให้สินเชื่อ แทนที่จะเอามาพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน รู้อยู่ว่าผิดกฎหมายแต่ก็ทำ หลายๆ แห่งไม่สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปของรายได้ว่ามาจากไหนและใช้ทำอะไรบ้าง หลายแห่ง ครูบาอาจารย์แทบไม่ได้สอนเพราะมัวแต่ไปหาเงิน เนื่องจากเงินเดือนไม่พอยาไส้ ต้องรับงานพิเศษมาผ่อนบ้านผ่อนรถ จนลืมไปว่าหน้าที่หลักคืองานสอน แต่ก็น่าเห็นใจท่านอาจารย์เพราะเงินเดือนน้อยแถมยังไม่มีสวัสดิการอะไร โดยเฉพาะในส่วนที่ไม่ได้เป็นข้าราชการยิ่งลำบาก เงินเดือนน้อยกว่าครูประถมเสียอีก แต่ผิดกับผู้บริหารที่เดือนหนึ่งๆ รับเงินเป็นแสน 
 
นี่หรือคือมหาลัยไทย ในที่ประชุมผู้บริหารมหาลัยระดับประเทศก็เป็นเพียง ที่สุมหัวของหัวหน้าแก๊งค์ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดวิธีการต่างๆ นานาในการหาช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ "เอ็งทำอย่างนั้นอย่างนี้สิ ข้าทำมาแล้ว" หรือ "ที่นั่นทำได้ข้าก็ทำได้" 
 
ถ้ามหาวิทยาลัยยังอยู่ในวังวนเช่นนี้ การเลือก หัวหน้าแก๊งค์ หรือ ผู้บริหารคนใหม่ ของมหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งที่กำลังสรรหากันอยู่ในขณะนี้ ก็คงไม่ต่างจากการเลือก เจ้ามือวงไฮโล โดยมีนายทุนใหญ่คือสภามหาวิทยาลัยอยู่เบื้องหลัง ครูบาอาจารย์พนักงานลูกจ้างท่านจะเลือกใครก็คิดให้ดี จะเลือก เจ้ามือคนเก่า หรือ เจ้ามือคนใหม่ วงไฮโลก็ยังดำเนินต่อไป การแทงต่ำ แทงสูง ยักย้ายถ่ายเทสินทรัพย์ของส่วนร่วมเข้ากระเป๋าตัวเองและกระเป๋าชาวแก๊งค์ก็ยังดำเนินต่อไป ทิ้งขว้างลูกหลานตาดำๆ เด็กๆ นักศึกษานั่งมองตากันปริบๆ เพราะไม่ได้อะไรจากวงไฮโล ไม่มีเสียง ไม่มีสิทธิ ไม่เคยคิดที่จะใส่ใจดูแล อย่างมากก็แค่ใช้ไปซื้อโอเลี้ยงและแถมเงินทอนไปซื้อขนม ภาวการณ์เช่นนี้ เท่ากับว่าประชาคมในแต่ละมหาวิทยาลัยไม่สามารถกำหนดผู้บริหารของตนเองได้การหยั่งเสียงก็ทำไปเพื่อเป็นพิธีกรรมเท่านั้น เพราะสุดท้ายบรรดากรรมการสรรหาก็เป็นผู้ชี้ขาดอยู่ดี
 
ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนชาวไทยจะต้องช่วยให้อุดมศึกษาไทยก้าวไปข้างหน้านำพาประเทศชาติสู่หนทางที่ดีงาม ไม่ใช่จำทน จำยอม สยบต่ออำนาจของ แก๊งค์มาเฟียการศึกษา เราต้องบอกกับสังคมว่า "หยุดเล่นไฮโลกันได้แล้ว" จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ทั้งเจ้ามือและนายทุนบ่อนต้องได้รับบทเรียน หลายๆ แห่งตำรวจไล่จับจนเจ้ามือและนายบ่อนกระโดดน้ำหนีไปแล้ว "อนาคตอยู่ในมือของท่าน อยู่ที่ความกล้าหาญของท่าน การปฏิเสธวังวนแห่งความเลวร้าย ล้างระบบใหม่ ความถูกต้องและความเป็นธรรมจึงจะกลับมา" ขอฝากอนาคตมหาลัยไทยให้ท่านดูแลแทนพวกเราและลูกหลานด้วย...
 
แนวร่วมนิสิตนักศึกษาคัดค้าน ม.นอกระบบ
2 ธันวาคม 2555
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

AI ใช้สมาชิกทั่วโลกกดดันไทย จี้ดูแลครู-วอนขบวนการหยุดใช้ความรุนแรง

Posted: 02 Dec 2012 09:07 AM PST

 

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล  หรือ AI สำนักงานใหญ่ในลอนดอน เรียกร้องสมาชิกกว่า 2 ล้านคนทั่วโลก ส่งจดหมายกดดันรัฐบาลไทยให้ดูแลครูในชายแดนใต้ หลังเกิดเหตุฆ่าผู้อำนวยการโรงเรียนในปัตตานี ก่อน 9 มกราคมปีหน้า พร้อมทั้งขอให้ความยุติธรรมทั้งคนผิดและเหยื่อ และยังเรียกร้องให้กลุ่มก่อความไม่สงบหยุดใช้ความรุนแรง

 
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2555 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International : AI) องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระดับโลก ที่มีสำนักงานใหญ่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้เรียกร้องให้สมาชิกที่มีอยู่ทั่วโลกกว่า 2 ล้านคน เขียนจดหมายถึงรัฐบาลไทยให้จัดระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่าแก่ครูและนักเรียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย และเรียกร้องให้กลุ่มก่อความไม่สงบยุติการใช้ความรุนแรง 
 
ข้อเรียกร้องดังกล่าว ออกมาในรูปเอกสารเลขที่ UA: 340/12 Index: ASA 39/004/2012 Thailand ระบุให้สมาชิกเขียนจดหมาย ชื่อเรื่องว่า URGENT ACTION : ครูและนักเรียนตกเป็นเป้าหมายในประเทศไทย โดยเนื้อหาระบุว่า ชีวิตของครูและนักเรียนในโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ยังอยู่ในภาวะเสี่ยง
 
"ครูอย่างน้อย 4 คนถูกฆ่าสังหารและอีกสองคนได้รับบาดเจ็บจากการลอบสังหารโดยกลุ่มผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อความไม่สงบตั้งแต่เดือนตุลาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยรายล่าสุดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดปัตตานีเมื่อวัน 22 พฤศจิกายน 2555"
 
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ครูในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ประท้วงโดยการหยุดการเรียนการสอนตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้รัฐจัดระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่าและเรียกร้องให้กลุ่มก่อความไม่สงบยุติการใช้ความรุนแรง ที่ทำให้โรงเรียนกว่า 300 แห่งในจังหวัดปัตตานีปิดการเรียนการสอน
 
แอมเนสตี้ฯ ระบุว่า ตั้งแต่เกิดเหตุไม่สงบตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา โรงเรียนของรัฐและครูของรัฐตกเป็นเป้าหมายของการใช้ความรุนแรง จากการรายงานของสื่อพบว่า ครูและบุคคลากรทางการศึกษาเสียชีวิตกว่า 150 คน และบาดเจ็บกว่า 140 คน อีกทั้งมีการเผาโรงเรียนและโยนระเบิดใส่โรงเรียนหลายครั้ง
 
แอมเนสตี้ฯ ขอให้สมาชิกทั่วโลกเขียนจดหมายเป็นภาษาไทยและอังกฤษ หรือภาษาที่ตัวเองใช้ส่งถึงรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนวันที่ 9 มกราคม 2555 โดยเขียนข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ดังนี้
 
1.ให้รัฐจัดให้มีมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองความปลอดภัยครูในจังหวัดชายแดนใต้โดยทันที
 
2.รัฐต้องทำให้แน่ใจว่า ผู้กระทำความผิดจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายและเหยื่อรวมทั้งญาติจะได้รับความเป็นยุติธรรม รวมทั้งการเยียวยาที่เหมาะสม
 
3.แม้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะมีข้อท้าทายต่างๆ เนื่องจากมีการปะทะอยู่ตลอดเวลา แต่พวกเราก็มีหน้าที่ที่จะต้องคุ้มครองประชาชนจากการละเมิดสิทธิของกลุ่มก่อความไม่สงบ และขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการปราบปรามการก่อความไม่สงบโดยคำนึงถึงพันธกรณีตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
 
นางสาวปริญญา บุญฤทธิ์ฤทัยกุล ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ฯ ประเทศไทย เปิดเผยว่า Urgent Actionเป็นกิจกรรมรณรงค์ขององค์กรแอมเนสตี้ฯ ในการเรียกร้องเพื่อกดดันหรือเร่งรัดต่อรัฐบาลไทย ให้ดำเนินการปกป้องพลเรือน เพื่อไม่ให้พลเรือนตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงจากเหตุการณ์ไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทบ.แจงคลิปซ้อมทหารเกณฑ์เป็นภาพเก่า ย้ำเตือนทุกหน่วยให้ระวังแล้ว

Posted: 02 Dec 2012 08:36 AM PST

รองโฆษกกองทัพบก ชี้แจงคลิปวิดีโอครูฝึกทำร้ายร่างกายทหารเกณฑ์เป็นภาพเก่า ยั้นแจ้งเตือนไปยังผู้รับผิดชอบการฝึกทุกหน่วยให้ยึดมาตรฐานการฝึกที่กองทัพบกกำหนดเท่านั้น

2 ธ.ค.55 สำนักข่าวไทย รายงานว่า พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอทหารที่เป็นครูฝึกทำร้ายร่างกายทหารเกณฑ์ทางอินเทอร์เน็ต ว่า เป็นภาพเก่าเกิดขึ้นมาเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ในช่วงนั้นทางผู้บังคับบัญชาได้แจ้งเตือนไปยังผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการฝึกของทุกหน่วยให้ระมัดระวังและดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องในลักษณะนี้พร้อมยังได้กวดขันเพิ่มเติมในเรื่องการฝึกต้องเป็นไปตามมาตรฐานการฝึกที่กองทัพบกกำหนดเท่านั้น

"ในอดีตมีบางหน่วยตรวจพบว่ามีกำลังพลฝ่าฝืนแต่ได้ลงโทษไปแล้ว กองทัพบกยืนยันว่าจะไม่ปกป้องกำลังพลที่มีความประพฤติไม่เหมาะสมอย่างเด็ดขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้ ท่านผู้บัญชาการทหารบกต้องการให้กำลังพลทุกนายปฏิบัติตัวให้อยู่ในระเบียบวินัย ทำตัวให้เหมาะสมในการเป็นที่พึ่งของประชาชน ต้องไม่กระทำความผิดทั้งวินัยทหารและกฎหมายบ้านเมือง" รองโฆษกกองทัพบก กล่าว

สำหรับคลิปวิดีโอดังกล่าวถูกเผยแพร่ในโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างเฟซบุ๊กอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และได้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมในคลิปอย่างมาก โดยคลิปมีความยาว 1.31 นาที ปรากฏทหาร 3 นายโดยมี 2 นายถูกลงโทษ และถูกทำร้ายร่างกายโดยการเตะ-เหยียบไปที่ใบหน้า ลำตัวและกระทืบที่แผ่นหลัง

คลิปวิดีโอดังกล่าว :

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ก้าวข้ามการยึดติด ‘ความดี’ กับ ‘คนดี’ แบบลอยๆ

Posted: 02 Dec 2012 08:30 AM PST

 

 
'no reason to be a good man with a bad guy'
จาก profile ทวิตเตอร์ของ @13daytimes, 2 ธันวาคม 2555

 


อาจฟังดูแปลกๆ แต่การยึดติด 'ความดี' กับ 'คนดี' ของคนไทยจำนวนมาก เป็นอุปสรรคต่อการเข้าใจสังคมโดยแท้จริงและสร้างปัญหาตามมามากมาย
 
ทั้งนี้เพราะความคิดเรื่องความดีและคนดีมีปัญหาอย่างน้อย 3 ประการ: 1) นิยาม 'ความดี' และ 'คนดี' อันลื่นไหล 2) การให้ค่า 'ความดี' และ 'คนดี' เหนือสิ่งอื่นใด และ 3) การพยามยามเข้าใจและอธิบายสังคมโดยผ่านแว่นของ 'ความดี' และ 'คนดี'
 

1) นิยาม 'ความดี' และ 'คนดี' อันลื่นไหล
สังคมไทยมีการใช้คำว่า 'ความดี' กับ 'คนดี' กันอย่างฉาบฉวยกว้างขวางและลอยๆ ทั้งๆที่คำจำกัดความของแต่ละคน แต่ละอุดมการณ์ อาจต่างกันโดยสิ้นเชิง สร้างความสับสนมากมายให้กับสังคม

'คนดี' ในระบอบเผด็จการ หรือสังคมไพร่ทาส อาจหาใช่ 'คนดี' ในระบอบประชาธิปไตยที่ยึดหลักความเสมอภาคเท่าเทียมก็เป็นได้

'คนดี' ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชอาจไม่อาจยอมรับให้ใครบังอาจวิพากษ์เจ้าได้ แต่ 'คนดี' ในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ย่อมยอมรับว่าการตรวจสอบวิพากษ์เจ้า เป็นส่วนหนึ่งของความโปร่งใสและสิทธิในสังคมประชาธิปไตย
 
'คนดี' และ 'ความดี' ในสังคมทุนนิยม ก็ต่างจาก 'ความดี' และ 'คนดี' ในสังคมที่เป็นสังคมนิยมมิมากก็น้อย

กลุ่มเสื้อเหลืองและองค์การพิทักษ์สยามเชื่อว่าพวกเขาเป็น 'คนดี' ในขณะที่เสื้อแดง 'เลว' แต่เสื้อแดงก็คงมองตนเองว่าเป็น 'คนดี' เช่นกัน
 
'คนดี' และ 'ความดี' ของอัลกออีดะห์ ย่อมเป็น 'คนชั่ว' และ 'ความชั่ว' ของสหรัฐอเมริกา หรือ ผู้หญิง 'ที่ดี' ในสังคมที่ยอมรับความเท่าเทียมทางเพศ อาจมิใช่ผู้หญิงที่ 'ดี' ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่ก็เป็นได้
 
'คนดี' สำหรับผู้เขียน อาจเป็น 'คนเลว' สำหรับผู้อ่านก็ย่อมเป็นได้
 
สรุปคือ นิยาม 'ความดี' และ 'คนดี' แบบลอยๆ ไม่มี มันขึ้นอยู่กับคำจำกัดความจากมุมมองและอุดมการณ์อุดมคติอันหลากหลาย

การเป็น 'คนดี' และยึดถือ 'ความดี' ฟังแล้วดูดี และดูเหมือนเข้าใจง่าย ปฏิบัติง่าย ไม่มีปัญหาอันใด หากเอาเข้าจริงมันลื่นไหลซับซ้อนและพร่ามัวกว่าที่คิดมาก

ความคิดเรื่อง 'คนดี' และ 'ความดี' สามารถใช้เป็นกรอบบังคับให้ประชาชนหรือผู้อื่นปฏิบัติตามความคิดหรืออุดมการณ์ที่นิยามกำหนดว่าอะไรคือ 'ความดี' และ 'คนดี' หากหากใครไม่ปฏิบัติตาม ก็จะถูกถือว่าเป็น 'คนชั่ว' แล้วถูกจัดการหรือกำจัดด้วยวิธีที่อาจมิสู้ดีก็เป็นได้
 
มันคล้ายกับเวลาคนรักเจ้าอย่างไม่รู้จักพอเพียง หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าคนคลั่งเจ้า ถามผู้เขียนว่าเป็น 'คนไทย' หรือเปล่า เพียงเพราะผู้เขียนต่อต้านกฎหมาย ม.112 ซึ่งปิดหูปิดตาปิดปากประชาชน แท้จริงแล้วผู้ถามมิได้ต้องการคำตอบ หากต้องการจะบอกว่า ถ้าคุณคิดเห็นต่างจากเขา คุณก็ไม่ใช่ 'คนไทย' ในสายตาเขา และย่อมสามารถถูกไล่ให้ไปอยู่ประเทศอื่นอย่างเขมรหรือเมืองดูไบได้ โดยมิต้องมีสิทธิเหมือนคนไทยอื่นๆ – การพยายามกำหนดนิยามและวาทกรรมว่าอะไรเป็นไทยไม่เป็นไทย ก็ไม่ต่างจากการพยายามกำหนดว่าอะไรคือความดีและคนดีสักเท่าไหร่ ทั้งสองต่างเป็นเพียงความพยายามที่จะกำหนดให้คนเชื่อว่า มนุษย์ควรปฏิบัติตนอย่างไรภายใต้อุดมการณ์นั้นๆ การยัดเยียด 'ความดี' หรือ 'ความชั่ว' ให้คนๆ หนึ่ง จึงเป็นการยัดเยียดอุดมการณ์บางชนิด ในแง่นี้จึงไม่มีอะไรดีชั่วโดยปราศจากอุดมการณ์หรืออุดมคติรองรับ (ตัวอย่างเช่นสัตว์ล่าสัตว์ ที่ไม่ได้ดีชั่วในตัวของมันเอง) และในเมื่ออุดมการณ์มีหลากหลาย จะเกิดอะไรหากมีการยึดติด 'ความดี' และ 'คนดี' ในแบบของตนเองโดยไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น?


2) ปัญหาการให้ค่า 'ความดี' และ 'คนดี' เหนือสิ่งอื่นใด
ปัญหาการให้ค่า 'ความดี' และ 'คนดี' เหนือสิ่งอื่นใด ทั้งๆ ที่ผู้คนในสังคมมีอุดมคติ อุดมการณ์หลากหลายคือความสับสนทางความคิดและการถกเถียงอันไม่รู้จบ แถมมันนำไปสู่การสร้างปัญหาทั้งทางการเมืองและสังคมได้

ยกตัวอย่างเช่น รัฐประหาร 19 กันยา 2549 นั้นอ้างว่าทำเพื่อ 'ความดี' – กล่าวคือเป็นการกำจัดนักการเมือง 'ชั่ว' อย่างทักษิณ ชินวัตร โดยมิได้สนใจสิทธิทางการเมืองของผู้ที่เลือกพรรคไทยรักไทย เพราะคนที่สนับสนุนทักษิณถูกมองว่าถ้าไม่โง่ก็ชั่ว หรือทั้งสอง

เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ที่มหาโหดอำมหิตและป่าเถื่อน ก็เช่นกัน มันเกิดขึ้นในนามของการปกป้อง 'คนดี'

เร็วๆ นี้ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา พลเอกบุญเลิศ ผู้นำองค์กรพิทักษ์สยามก็อ้างว่าการยุติม็อบเป็นสัญญาณว่าแกแพ้นักการเมือง 'ชั่ว'

แทนที่สังคมจะพูดถึงเรื่องสิทธิ ความเท่าเทียมภายใต้กฎหมาย การกระจายรายได้ การจัดเก็บภาษีแบบก้าวหน้า การปกครองตนเองของท้องถิ่น การเลือกตั้งผู้ว่าฯทุกจังหวัด การจัดเก็บภาษีที่ดินของผู้ที่มีที่ดินจำนวนมาก รวมถึงภาษีมรดก คนไทยกลับมาติดกับอยู่กับความคิดเรื่อง 'ความดี' และการพึ่ง 'คนดี' ที่นิยามต่างกัน

ความโหดร้าย การมองชีวิตผู้อื่นอย่างไม่เป็นมนุษย์ที่เท่าเทียม เกิดขึ้นได้จากการยึดติดกับ 'ความดี' และ 'คนดี' อย่างแคบๆ จนคำว่า 'ดี' อาจไม่ดีเสียแล้ว  

 
3) การพยายามเข้าใจและอธิบายสังคมโดยผ่านแว่นของ 'ความดี' และ 'คนดี'
คงมิต้องขยายความให้มาก นอกจากจะบอกว่า การยึดติดกับ 'ความดี' และ 'คนดี' แบบ แคบๆ แบบของตนเพียงคนเดียว โดยมิยอมพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ต่างๆ ในสังคม รังแต่จะทำให้ผู้นั้นไม่เข้าใจพลวัตความหลากหลายของสังคมและอุดมการณ์ที่ต่อสู้กันและอยู่ร่วมกันอย่างทับซ้อน

คนไทยจำนวนมิน้อยยังยึดติดกับความคิดที่ว่า คำตอบที่ถูกต้องมีเพียงคำตอบเดียว ซึ่งหาได้สะท้อนความสลับซับซ้อนของสังคมและชีวิตอย่างแท้จริงไม่ แต่การยึดกับ 'ความดี' และ 'คนดี' อย่างแคบๆ โดยไม่สนใจอะไร และการมองทุกอย่างผ่านแว่นตาของความดีความชั่ว คนดีและคนชั่ว อาจช่วยให้พวกเขา 'เข้าใจ' สังคมได้ง่ายขึ้น แม้ว่ามันอาจเป็นความเข้าใจที่แคบและคลาดเคลื่อนอย่างมาก


ป.ล. จะเป็นการ 'ดี' หรือไม่ หากประชาชนจะตั้งคำถามกับ 'ความดี' และ 'คนดี' ทุกประเภท ทุกรูปแบบ ว่าดีของใคร ดีเพื่ออะไร ดีจริงหรือไม่อย่างไร และพิสูจน์ได้อย่างไร

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประธานอนุฯ วิกฤตพลังงานแนะ รมว. พลังงาน ควรให้ความสำคัญการใช้ถ่านหินสะอาด สร้างความมั่นคงด้านพลังงาน

Posted: 02 Dec 2012 04:25 AM PST

 
2 ธ.ค. 55 - จากกรณีที่นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยกับสื่อมวลชนภายหลังตรวจเยี่ยมสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรกูเลเตอร์) ได้รายงานความคืบหน้าการเปิดประมูลรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่อิสระ หรือไอพีพีรอบ 3 ที่จะเปิดขายซองเอกสารเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าเอกชน (RFP Package) วันที่ 20 ธันวาคมนี้ และเปิดให้ยื่นข้อเสนอวันที่ 12 มีนาคม 2556 และจัดประมูลเพื่อคัดเลือกในเดือนมิถุนายน 2556 
 
นายพงษ์ศักดิ์ระบุว่าการประมูลครั้งนี้เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าหรือพีดีพี ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 ซึ่งจะเปิดรับซื้อไฟจากก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงการผลิตทั้งหมดขนาด 5,400 เมกะวัตต์ หรือประมาณ 6 โรง เงินลงทุนประมาณ 1.13 แสนล้านบาท" ทั้งนี้นายพงษ์ศักดิ์กล่าว และว่า นอกจากนี้ ได้ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานน้ำจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มอีก 10,000 เมกะวัตต์ โดยเฉพาะจากประเทศลาวและพม่า 
 
ด้านนายวิบูลย์ คูหิรัญ ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแผนรองรับภาวะวิกฤตด้านพลังงานไฟฟ้า วุฒิสภา ระบุว่าตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เห็นชอบให้มีการรับซื้อไฟจากก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงการผลิตทั้งหมดขนาด 5,400 เมกะวัตต์นั้น ซึ่งแม้จะเป็นไปตามแผน PDP 2010 ปรับปรุงใหม่ครั้งที่ 3 ก่อนที่รัฐมนตรีพงษ์ศักดิ์จะเข้ารับตำแหน่งก็ตาม และจะให้ลดสัดส่วนการใช้ก๊าซโดยให้ซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากต่างประเทศ 10,000 เมกะวัตต์นั้น
 
นายวิบูลย์ระบุว่าคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแผนรองรับภาวะวิกฤตด้านพลังงานไฟฟ้า วุฒิสภา ไม่เห็นด้วยในการที่จะไปเพิ่มสัดส่วนการใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง ควรหันไปใช้ถ่านหินสะอาดเป็นเชื้อเพลิง เพราะ
 
1. เห็นด้วยที่จะซื้อพลังงานไฟฟ้าพลังน้ำจากประเทศเพื่อนบ้าน 10,000 เมกะวัตต์ เพราะจะได้เฉลี่ยให้สัดส่วนการใช้พลังงานจากก๊าซลดลง แต่กระนั้นต้องคำนึงถึงระยะเวลาที่จะซื้อซื้อพลังงานไฟฟ้าพลังน้ำจากประเทศเพื่อนบ้านว่ายังต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน
 
2. การที่จะให้ประมูลการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากก๊าซจะยิ่งเป็นการเพิ่มสัดส่วนการใช้ก๊าซ ซึ่งขณะนี้มีสัดส่วนถึง 68% ไปแล้ว
 
3. การเพิ่มสัดส่วนการใช้ก๊าซอาจจะส่งผลกระทบต่อเรื่องสเถียรภาพการใช้ไฟฟ้า เช่น อาจจะเกิดปัญหาไฟฟ้าดับ มากขึ้น
 
4. การใช้ก๊าซเพิ่มอาจจะทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนก๊าซที่ผลิตได้ในประเทศ ซึ่งจะต้องทำให้เกิดการสั่งซื้อก๊าซจากต่างประเทศ เช่น ก๊าซ LNG ซึ่งมีราคาสูง และอาจจะส่งผลกระทบต่อการขึ้นราคาค่าไฟ
 
5. การใช้ก๊าซเพิ่มก็คือการให้โรงไฟฟ้า IPP ใช้เครื่องผลิตชนิด Combined Cycle ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง แต่หากเกิดปัญหาไฟฟ้าดับขึ้น การกู้กลับมาก็จะทำยากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีระบบ Combined Cycle จำนวนมาก เช่นกรณีที่เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ในต่างประเทศก็มีการลดสัดส่วนการใช้โรงไฟฟ้าระบบ Combined Cycle ลง
 
นายวิบูลย์ระบุว่าจากเหตุผลขั้นต้นจึงเห็นควรควรชะลอหรือเปลี่ยนเป็นการประมูลใช้ถ่านหินสะอาดไปก่อน ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าถูกกว่าการใช้ก๊าซ 
 
 
ที่มา: เว็บไซต์ข่าวรัฐสภาถึงประชาชน 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภาค ปชช. ชี้ประชุมบอร์ด สปสช. 3 ธค. การเมืองจ้องยึดอำนาจบรรจุวาระเร่งด่วนเพิ่มรองเลขาธิการ 2 อัตรา

Posted: 02 Dec 2012 04:21 AM PST

 

2 พ.ย. 55 - นส.บุญยืน ศิริธรรม กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ผู้แทนองค์กรภาคประชาชน เปิดเผยว่าเพิ่งได้รับเอกสารวาระการประชุมบอร์ดที่จะมีขึ้นในวันที่  3 ธค.นี้ รู้สึกแปลกใจที่มีมือดีสั่งให้บรรจุวาระเพิ่มเติมแบบเร่งด่วน โดยล๊อกมติไว้แล้วให้เพิ่มตำแหน่งรองเลขาธิการสปสช.อีก 2 อัตราเพื่อดูเรื่องการเบิกจ่ายเงินกองทุนโดยเฉพาะ และงานต่างประเทศ ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่าผู้มีอำนาจเตรียมส่งเด็กในสังกัดการเมืองเข้าล้วงลูกการบริหารเงินกองทุนฯของ สปสช.  แม้จะขัดต่อกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ให้ รมว.สธ.และบอร์ดมีหน้าที่กำหนดนโยบาย ทิศทาง และกำกับการบริหารงานของสปสช.เท่านั้น ไม่ให้เข้าไปยุ่งเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายภายในสำนักงานเหมือนที่นักการเมืองที่มีอำนาจชอบทำกันในหน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
 
นางสาวบุญยืน กล่าวว่า ที่ผ่านมาบอร์ดสปสช. เพิ่งประชุมเมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา เห็นชอบให้ปรับโครงสร้างสปสช.ใหม่ตามที่ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เสนอ และมีมติไม่ให้มีการเพิ่มตำแหน่งรองเลขาธิการและผู้ช่วยเลขาธิการที่มีอยู่แล้ว 5 อัตรามากกว่ากระทรวงสาธารณสุขที่ดูแลข้าราชการหลายแสนคนแต่มีรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขเพียง 4 อัตราเท่านั้น แต่อยู่ๆกับสั่งให้บรรจุวาระเพื่อกลับมติใหม่แบบนี้ เป็นการจ้องจะยึดอำนาจ อยากจะบอกผู้มีอำนาจว่า นี่เป็นบอร์ดระดับประเทศที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชน 48 ล้านคน ไม่ใช่บอร์ดของบริษัทเอกชนส่วนตัวหรือของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง
 
"อยากเสนอให้ผู้มีอำนาจทบทวนความคิดที่จะทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอ่อนแอถอยหลังลงคลอง เพราะการส่งคนเข้าแทรกแซงการบริหารเงินกองทุน สปสช. จะกระทบต่อชีวิตของผู้ป่วยและจะได้รับการคัดค้านอย่างแน่นอน ควรเอาเวลาไปปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพของ รพ.ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ทุกฝ่ายกำลังเป็นห่วงว่าจะเกิดภาวะวิกฤติทางการเงินจากที่ได้งบเหมาจ่ายน้อยลง รวมทั้งแก้ไขปัญหาบรรจุพยาบาลลูกจ้างชั่วคราว จะดีกว่า" นางสาวบุญยืน กล่าว
 
แหล่งข่าวรายหนึ่ง กล่าวว่าที่ผ่านมาชมรมแพทย์ชนบทและกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ เคยเปิดเผยว่าผู้มีอำนาจทางการเมืองร่วมกับกลุ่มผลประโยชน์ รพ.เอกชน และบริษัทยาข้ามชาติมีแผน 4 ขั้นตอนจะล้มระบบหลักประกันสุขภาพหรือทำให้เป็นระบบอนาถา ด้วยการเข้ายึดครองการกำหนดนโยบายของบอร์ด สปสช. แล้วเปลี่ยนแปลงตัวเลขาธิการหรือแต่งตั้งรองเลขาธิการเพิ่มเพื่อดูแลการเบิกจ่ายเงินกองทุนจำนวนปีละกว่าแสนสามหมื่นล้านบาท  พร้อมกับจะยุบกองทุนย่อยต่างๆที่ทำให้ผู้ป่วยโรคค่าใช้จ่ายสูง เช่นโรคมะเร็ง หัวใจ เอดส์ และโรคไตวายฯ สามารถเข้าถึงบริการได้มากขึ้น และสุดท้ายตามแผนดังกล่าวจะโอนงบกองทุน สปสช.กลับกระทรวงสาธารณสุข เหมือนก่อนที่จะมีพรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  ทำให้การดูแลผู้ป่วยกลับไปเป็นระบบสงเคราะห์ผู้ยากไร้ คนอนาถา เปิดทางให้คนพอมีฐานะไปใช้บริการที่ รพ.เอกชน แทน ทำให้ตลาดบริการทางการแพทย์ซึ่งมีมูลค่าปีละหลายแสนล้านบาทเป็นตลาดเสรีเอื้อต่อธุรกิจเอกชนมากยิ่งขึ้น
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสวนา: โลกแห่งวิทยาศาสตร์ ในโลกแห่งประชาธิปไตย

Posted: 02 Dec 2012 03:04 AM PST

อภิปรายที่ Book Re:public โดย "ชัชวาล ปุญปัน" และ "นิธิ เอียวศรีวงศ์" ตั้งแต่เรื่องอนุภาคพระเจ้า กาลิเลโอ สสารมืดในเอกภพ หนังสือต้องห้าม วิกิลีกส์ จนถึงเรื่องประชาธิปไตยไทย

วันที่ 6 ต.ค. 55 ร้าน Book Re:public จังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดเสวนาในหัวข้อ"โลกแห่งวิทยาศาสตร์ ในโลกแห่งประชาธิปไตย" โดยมี อ.ชัชวาล บุญปัน อดีตอาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นวิทยากร ร่วมพูดคุยโดย ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ และดำเนินรายการโดยพิภพ อุดมอิทธิพงศ์

คลิปอภิปราย "โลกแห่งวิทยาศาสตร์ ในโลกแห่งประชาธิปไตย" (ที่มา: Book Re:public/youtube.com)

 

.ชัชวาล บุญปัน เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงการค้นพบอนุนาคพระเจ้า (God Particle หรือ Higgs Particle) โดยในทางฟิสิกส์มีการศึกษาองค์ประกอบของสิ่งต่างๆ และค้นหาอนุภาคมูลฐานจำนวนมาก นำไปสู่การจัดกลุ่มจัดหมวดหมู่ของอนุภาค และมีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งซึ่งตอนนั้นอายุ 35 ปี คือ Peter Higgs คิดว่ายังน่าจะมีอนุภาคอีกตัวหนึ่ง ปัจจุบันเขาอายุกว่า 80 ปีแล้ว จากการทดลองของ CERN (องค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป) ก็ได้ประกาศการค้นพบอนุภาคนี้ เมื่อวันที่ 4 ก.ค.55 โดยก่อนหน้านี้นักฟิสิกส์อีกท่านคือ Stephen Hawking ได้พนันกับเพื่อนว่าจะไม่เจออนุภาคนี้เป็นเงิน 100 เหรียญ จนเมื่อมีการประกาศการค้นพบ เขาก็ได้แสดงความยินดีในการค้นพบความจริงเหล่านั้น

อ.ชัชวาลชวนกลับมามองในประเทศไทย เหตุการณ์ที่ท่านผู้บัญชาการทหารบกได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 29 เม.ย.ว่า คนไทยไม่ควรมีเสรีภาพทางความคิด ซึ่งขัดแย้งในสองโลกสองสังคม ในโลกที่คิดว่าเราเป็นประชาธิปไตย กับโลกที่เป็นวิทยาศาสตร์ จึงอยากจะกล่าวถึงสองโลกนี้ที่แตกต่างกัน และพิจารณาเรื่องเสรีภาพในการแสวงหาความจริง

อ.ชัชวาลอธิบายว่าในโลกวิทยาศาสตร์ กว่าจะพัฒนามาเป็นความรู้ในปัจจุบัน มันเริ่มมาจากความเชื่อในชุดความจริงที่ว่าโลกไม่เคลื่อนที่ ส่วนดวงอาทิตย์และสิ่งต่างๆ เคลื่อนที่รอบตัวเราทั้งสิ้น เรื่องที่น่าสนใจคือบันทึกในทางดาราศาสตร์แต่โบราณที่พูดเรื่องการเคลื่อนที่ย้อนกลับ ดวงดาวต่างๆ ไม่ได้เคลื่อนที่โคจรเป็นวงรอบโลก แต่เคลื่อนที่เป็นวงย้อนกลับเป็นปกติ ก็มีความพยายามอธิบายบนพื้นฐานว่าโลกไม่เคลื่อนที่ โลกอยู่ตรงกลาง เขาจึงพยายามสร้างวงโคจรย่อย ในวงโคจรใหญ่ พยายามให้คำอธิบายบนกระดาษสอดคล้องกับความจริงบนท้องฟ้า

แต่ต่อมา มีการพิสูจน์ทางเลขาคณิต ว่าวงโคจรย่อยมันกลับไม่ได้เคลื่อนที่รอบโลก จุดศูนย์กลางมันเคลื่อนไป ไม่ได้อยู่ที่โลก จึงเกิดคำถามข้อสงสัยขึ้นกับคำอธิบายแบบเดิม นักบวชในสมัยนั้นอย่างโคเปอร์นิคัส จึงมองว่าโลกนั้นเคลื่อนที่ อันอื่นมันเคลื่อนที่เป็นวงกลมตามปกติ ไม่ต้องเคลื่อนที่ย้อนกลับ โลกเพียงแต่เคลื่อนที่อยู่ในวงโคจรวงใน ดาวอังคารอยู่ในวงโคจรวงนอก

แต่สิ่งนี้มันกลับเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะคุณพูดเรื่องโลกเคลื่อนที่ไม่ได้ เพราะในมุมมองทางศาสนา โลกเป็นธาตุที่ไม่สะอาดเปลี่ยนแปลงตลอด แต่ขณะที่สิ่งที่อยู่เหนือดวงจันทร์เป็นธาตุสวรรค์ วัตถุจะอยู่เฉพาะในธาตุของมัน วิธีคิดแบบนี้จึงอันตราย คณะกรรมการคาร์ดินัลในขณะนั้นได้วิจารณ์ความคิดของโคเปอร์นิคัส ความคิดที่ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาลจึงปักหลักอยู่กับที่ เป็นความคิดนอกรีต โง่เขลา พิลึกพิลั่นในเชิงปรัชญา ส่วนความคิดว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางก็ไร้ตรรกะในเชิงปรัชญา และหย่อนศรัทธา

หรือกรณีบรูโน่ (Giordano Bruno 1548-1600) นักคณิตศาสตร์ ที่เขียนเกี่ยวกับเอกภพไม่มีที่สิ้นสุด ก็ถูกเรียกไปถามว่าคุณยังศรัทธาอยู่หรือเปล่า เมื่อบรูโน่ยืนยันความเชื่อก็ถูกจับเผา ภาษาปัจจุบันเรียกว่า "เบียดเสียดคนไม่ดีไม่ให้มีที่ยืนในสังคม"

หนังสือต้องห้ามของกาลิเลโอ

หลังจากโคเปอร์นิคัสตายไป 89 ปี กาลิเลโอได้เขียนหนังสือบทสนทนาโดยตัวแทนทางความคิด ระหว่าง อริสโตเติล โตเลมี และโคเปอร์นิคัส เถียงกันในประเด็นต่างๆ และหนังสือเล่มนี้กลายเป็นหนังสือต้องห้าม และกาลิเลโอถูกไต่สวนโดยศาลศาสนา โดยสังฆราชอูรบันที่ 8 และกลายเป็นพระสันตะปาปา ซึ่งเคยเป็นเพื่อนและเคยชื่นชมความคิดของกาลิเลโอเองด้วย แต่มีม้าเร็วได้ลักลอบเอาหนังสือนี้ไปให้นักประวัติศาสตร์นอกกรุงโรม มีการแปลจากภาษาอิตาลีเป็นภาษาละติน จนอีก 20 ปีต่อมามีการแปลเป็นภาษาอังกฤษ ในตลาดมืดราคาของหนังสือเล่มนี้ก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า

การอภิปรายเรื่องการเคลื่อนที่ของโลกต้องโทษหนักถึงขั้นขับออกจากศาสนา และห้ามขาดในการกล่าวถึงโคเปอร์นิคัสไม่ว่าทางใด และห้ามเชื่อว่า "โลกเคลื่อนที่" แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีการพิสูจน์ พลังอธิบายของเรื่องนี้ก็มากขึ้น สิ่งที่กาลิเลโอกล่าวไว้ได้กลายเป็นฐานความเข้าใจให้นิวตันนำมาสร้างกฎการเคลื่อนที่ได้ จนเกิดการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ปฏิวัติอุตสาหกรรม ผ่านไป 180 ปี หนังสือเล่มนี้จึงถูกวาติกันปลดจากการเป็นหนังสือต้องห้าม เวลาผ่านไปอีก 324 ปี สำนักกระทรวงวารสารต้องห้ามของศาสนจักรถูกยุบไป จน 350 ปีผ่านไป พระสันตะปาปาจอห์นปอลที่ 2 ประกาศสนับสนุนปรัชญาของกาลิเลโอ ต่อมาเกือบสี่ศตวรรษ ในปี 1995-1999 ยานกาลิเลโอก็ไปสำรวจดาวพฤหัส ยืนยันการค้นพบของกาลิเลโอ ที่บันทึกดวงจันทร์ของดาวพฤหัสไว้ และเรียกว่าเป็นดาวบริวารดาวพฤหัส กาลิเลโอตั้งชื่อว่าดาวเมเดซี่ (Medici)

จะเห็นสิ่งที่เป็นความจริงมันได้พิสูจน์ตัวเอง และกลายเป็นสิ่งปฏิเสธไม่ได้ สิ่งที่ถูกล้มไม่ใช่ศาสนจักร ไม่ใช่ตัวบุคคล แต่เป็นการล้มความเท็จ ใครก็ตามที่จะสามารถเข้าใจความเปลี่ยนแปลงและข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงไป ก็น่าจะอยู่กับความจริงใหม่นั้นได้อย่างยั่งยืน

อ.ชัชวาลชวนกลับมาพิจารณาสังคมไทย ก็พบว่ามีสิ่งต้องห้ามมากมายเลย ตนเคยถามนักศึกษาในชั้นเรียนว่าทราบไหมว่าหนังสืออะไรเป็นหนังสือต้องห้ามบ้าง ส่วนใหญ่แทบจะไม่ค่อยรู้ ในหนังสือ "KING BHUMIBOL ADULYADEJ: A Life's Work" (2011) ในหน้า 179 ได้พูดถึงหนังสืออีกเล่มหนึ่งว่าข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ ข้อมูลไม่ตรง คนไทยไม่สนใจ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นหนังสือที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในสังคมไทย แต่กลับไม่ได้พูดว่าหนังสือเล่มนี้ถูกสั่งห้ามไม่ให้จำหน่ายในประเทศ นั่นคือหนังสือ "The King Never Smile" (2006) กลายเป็นว่าหนังสือเล่มหนึ่งสามารถอ่านได้ ถูกกฎหมาย แต่อีกเล่มถูกห้ามไม่ให้อ่าน

รวมทั้งเอกสารอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือวิกิลิกส์ (Wikileaks) ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับประเทศ มีบทสนทนาของทูตคุยกับบุคคลสำคัญในประเทศ คล้ายกรณีของกาลิเลโอใช้กล้องโทรทัศน์ส่องเข้าไปในจักรวาล เพื่อดูข้อเท็จจริงต่างๆ ในขณะที่จูเลียน อาสซานจ์ (Julian Assange ผู้บริหารวิกิลิกส์) มีฮาร์ดดิสต์อันหนึ่ง แล้วสามารถเผยแพร่ข้อมูล ข้อเท็จจริงต่างๆ ไปทั่วโลกได้ ข้อเท็จจริงสองอันนี้ถูกห้ามเหมือนกัน อ.ชัชวาลกล่าวต่อว่าเคยถามเพื่อนสองคนที่อยู่ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ก็ไม่ได้มีการห้ามเข้าและเผยแพร่เอกสารของวิกิลิกส์ แต่ในประเทศไทยกลับไม่ใช่บรรยากาศแบบนั้น

หลายคนที่ได้รู้ข้อเท็จจริงบ้าง หรือมองเห็นสังคมที่เคลื่อนไปสวนทางกับประชาธิปไตย ก็พยายามที่จะออกมาพูด แต่ก็กลับโดนข่มขู่คุกคาม หรือโดนฟ้องด้วยมาตรา 112 เช่นกรณีของคุณเอกชัย ที่เอาเอกสารวิกิลิกส์ไปขายชุดละ 20 บาท และถูกจับดำเนินคดีขึ้นศาล กรณีนี้น่าจะเป็นกรณีแรกที่เราได้มองเห็นความจริงของการพูดในศาล ศาลได้พูดในคดีนี้ว่า "ถ้าเป็นจริงก็ผิด ถ้าไม่จริงก็โคตรผิดเลย" ซึ่งสามารถแปลเป็นภาษาวิทยาศาสตร์ได้ว่า "ถ้าคุณพูดจริงว่าโลกไม่เคลื่อนที่ คุณผิด และถ้ายิ่งโลกดันไม่เคลื่อนที่จริงอีก คุณยิ่งผิดเลย" โดยไม่ต้องมาพิสูจน์กันว่าโลกนั้นเคลื่อนที่หรือไม่ เพียงแค่เอ่ยว่าโลกเคลื่อนที่ก็ผิดแล้ว มันสะท้อนว่าสังคมประชาธิปไตยเรามันเหมือนย้อนไป 4 ศตวรรษ การแสวงหาความจริงกลายเป็นสิ่งที่ยากลำบากขึ้น

อ.ชัชวาลสรุปว่าในทางวิทยาศาสตร์ มีการพยายามค้นหาเข้าไปในเอกภพ และพบว่าสิ่งที่เราไม่รู้มากกว่าสิ่งที่เรารู้มากเลย เราพบว่าสสารที่เรารู้จักมีแค่ 3.6% อีก 22% เป็นสสารมืด (Dark Matter) และอีก 74% เป็นพลังงานมืด (Dark Energy) เนื่องจากทฤษฎีทีมีอยู่ในปัจจุบัน ไม่สามารถพยากรณ์การเคลื่อนที่ของดาราจักรได้ กลับต้องมีอะไรอย่างอื่นอีกในเอกภพ

"เป็นไปได้ไหมว่าในระบบการเมืองการปกครอง Dark Matter คือ Dark Information เราไม่รู้ข้อมูลอันนั้นเลย แต่มันขับเคลื่อนอะไรบางอย่าง ในขณะที่ Dark Energy ก็คือ Dark Politics คืออำนาจมืดอะไรต่างๆ ที่มันขับเคลื่อนสังคมไปอยู่ตลอดเวลา แล้วทำให้เราไม่มีวันเข้าใจ"

แผนภูมิแสดงอัตราส่วนสสารต่างๆ ในจักรวาล

 

ในช่วงต่อมา .ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้กล่าวเสนอต่อว่า ท้องเรื่องหลักอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เราตั้งแต่โบราณ คือเรื่องของพันธนาการและการปลดปล่อย เรื่องของการที่มนุษย์พันธนาการกัน เอาเปรียบกัน ทำให้เขาไม่มีอำนาจต่อรอง จนหลายร้อยปีต่อมา ก็จะมีคนมาบอกว่าการพันธนาการนั้นไม่เป็นธรรม เปลี่ยนแปลงความคิด และปลอดปล่อยคนจากพันธนาการ โดยเวลาเราพูดถึงพันธนาการ ไม่ได้หมายถึงการใช้กำลังอาวุธ หรือมีพรรคพวกมาก ไปบังคับให้คนอื่นยอมเสียเปรียบ ยอมให้อะไรต่ออะไรเท่านั้น ยิ่งมาถึงโลกปัจจุบันที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แล้วดูประหนึ่งว่าไม่มีพันธนาการ และดูประหนึ่งว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องปลดปล่อย หากในความเป็นจริง พันธนาการก็ยังมีอยู่ ในท่ามกลางการมีการเลือกตั้ง มีความมั่นคงของรัฐสภา เรายังพบว่ายังมีการครอบงำมีพันธนาการผ่านสิ่งหลักๆ สองอย่าง

หนึ่ง คือผ่านสิ่งที่เรียกว่าความคิด ความรู้ หรือที่ชอบใช้คำว่า "วาทกรรม" คือทำชุดของความรู้ ชุดของความจริงอันหนึ่งที่ทำให้ทุกๆ คนในสังคม หรือคนส่วนใหญ่ยอมรับว่าไอ้นั่นคือธรรมชาติ ไอ้นั่นคือความจริง และคือสิ่งปกติ เมื่อไรที่คุณไม่เชื่อสิ่งนั้น ไม่ยอมรับสิ่งนั้น ก็กลายเป็นว่าคุณกำลังวิกลจริต หรือมองโลกผิดปกติ ทั้งหมดนั้นสรุปสั้นๆ ก็คือความรู้นั่นเอง ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือพันธนาการของโลกยุคใหม่ที่มีพลังอย่างยิ่ง ความรู้ที่ถูกจัดองค์กรไว้เรียบร้อย (Organize) แล้ว ถูกสถาปนาขึ้นเหนือการสงสัยต่างๆ ของเรา

และสอง คือเงิน ซึ่งกลายไปเป็นตัวแทนของทรัพยากรอื่นๆ ทั้งหมด เพื่อจะครอบครองทรัพยากรไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร คุณใช้เงินไปครอบครองได้หมด อำนาจสองแบบนี้ได้ขัดขวางประชาธิปไตยอย่างยิ่ง

ศ.ดร.นิธิกล่าวต่อถึงวิทยาศาสตร์ ในระยะแรกนั้นได้ทำหน้าที่ปลดปล่อยพันธนาการที่มีมาก่อน นั่นคือพันธนาการจากศาสนา และการจัดสรรอำนาจบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อเหล่านั้น วิทยาศาสตร์แบบของกาลิเลโอ ของโคเปอร์นิคัส ของนิวตันก็ตาม มันได้ไปทำลายอำนาจที่ปลูกฝังผ่านประเพณี ที่มีมานานในยุโรป ในแง่นี้วิทยาศาสตร์ไปช่วยเสริมอำนาจของคนที่สามารถหาเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์ หรือคนที่พิสูจน์เชิงประจักษ์ได้เก่งที่สุด กลายไปเป็นผู้สามารถตัดสินนโยบายสาธารณะต่างๆ ได้ วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์จึงเปลี่ยนอำนาจของคนไปพร้อมกัน จึงมีผลในทางการเมืองค่อนข้างมาก จึงมีผลในการปลดปล่อยทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ การปลดปล่อยวิชาความรู้ หรือโลกทัศน์อย่างมาก

แต่อีก 300-400 ปีต่อมา วิทยาศาสตร์ไม่ได้ทำหน้าที่แบบนั้นแล้ว ตรงกันข้ามมันกลายเป็นเครื่องมือการสร้างพันธนาการแบบใหม่ด้วยซ้ำไป เช่น การใช้เทคโนโลยีต่างๆ หรือการสร้างระบบความรู้ ที่ใช้วิธีวิทยาในเชิงวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเนื้อหาสาระ ที่ทำให้คนอื่นๆ เถียงไม่ได้ เช่น เวลานักวิทยาศาสตร์บอกว่าไม่มีพระเจ้าหรือไม่มีนิพพาน หากก็มีสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์หรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถจะรู้ได้ในโลกนี้อีกมากเลย แต่วิทยาศาสตร์ได้เสนอตัวเองประหนึ่งว่าให้คำตอบสุดท้ายทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์ ชีวิต หรือจักรวาล ในแง่นี้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์กลายเป็นเครื่องมือของการครอบงำ

อีกด้าน คือวิทยาศาสตร์ได้ฝากตัวเองกับทุนอย่างแนบแน่น หรือทุนฝากตัวเองกับวิทยาศาสตร์ก็ตาม ทุนกับวิทยาศาสตร์ได้กลายเป็นสองฝ่ายที่มีผลประโยชน์ร่วมกันสูงมาก จนกระทั่งมันถูกใช้เป็นเครื่องมือในการที่ทุนจะเอาเปรียบเยอะมาก และเป็นเครื่องมือที่โต้แย้งลำบาก เช่น อุตสาหกรรมยาทีสนิทแนบแน่นกับวิทยาศาสตร์ ก็สามารถใช้รัฐเป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองกับประเทศคู่ค้าต่างๆ

ศ.ดร.นิธิสรุปว่าในแง่นี้ 400 ผ่านไป วิทยาศาสตร์ก็อาจจะไม่ได้เป็นมิตรกับประชาธิปไตยเหมือน 400 ปีก่อน มันอาจกำลังพันธนาการมนุษย์อยู่ในทุกวันนี้ก็ได้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดตัวสุนัขพันธุ์ "บีเกิล" ใช้ตรวจสัมภาระในสุวรรณภูมิ

Posted: 02 Dec 2012 01:21 AM PST

กรมปศุสัตว์เปิดตัวสุนัขพันธุ์ "บีเกิล" โดยจะใช้ดมกลิ่นตรวจหาสัตว์และซากสัตว์ที่ซุกซ่อนมาในกระเป๋าสัมภาระ หวังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจหาสิ่งของต้องสงสัยที่ด่านสนามบินสุวรรณภูมิ

นายสัตวแพทย์ทฤษฎี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ (ที่มาของภาพ: เทียนชัย วงศ์บัว/เว็บไซต์สำนักส่งเสริมพัฒนาการปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์)

สุนัขสายพันธุ์บีเกิล 4 ตัว ที่ผ่านการฝึกหลักสูตรสุนัขดมกลิ่น ที่กองกำกับการสุนัขและม้าตำรวจ กองบัญชาการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำมาใช้งานในการตรวจหาสัตว์และซากสัตว์ที่ซุกซ่อนมาในกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสาร ที่สนามบินสุวรรณภูมิ (ที่มาของภาพ:  เทียนชัย วงศ์บัว/เว็บไซต์สำนักส่งเสริมพัฒนาการปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์)

 

เว็บไซต์กรมปศุสัตว์ รายงานเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมาว่า กรมปศุสัตว์ เปิดตัวสุนัขสายพันธุ์บีเกิล จำนวน 4 ตัว ชื่ออัลม่อน ริชชี่ อั่งเปา และฝรั่ง ซึ่งผ่านการฝึกหลักสูตรสุนัขดมกลิ่นที่กองกำกับการสุนัขและม้าตำรวจ กองบัญชาการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำมาใช้งานในการตรวจหาสัตว์และซากสัตว์ที่ซุกซ่อนมาในกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสาร ที่สนามบินสุวรรณภูมิ

นายสัตวแพทย์ทฤษฎี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า สุนัขพันธุ์บีเกิล เป็นสุนัขที่มีขนาดตัวค่อนข้างเล็ก เป็นมิตร ฉลาด แสนรู้ มีจมูกที่ไวต่อการดมกลิ่น สามารถเข้าไปตรวจค้นได้แม้กระทั่งคนที่ค่อนข้างกลัวสุนัข เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพความแม่นยำในการการตรวจค้นหาวัตถุสิ่งของต้องสงสัยให้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อป้องกันการลักลอบนำสัตว์และซากสัตว์ที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรคระบาดสัตว์มากับสินค้าสัตว์หรือซากสัตว์ที่เข้ามาภายในประเทศ ณ สนามบินสุวรรณภูมิ จะส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและสุขอนามัยของประชาชนภายในประเทศได้ สำหรับแผนในอนาคต กรมปศุสัตว์เตรียมแผนขยายการปฏิบัติงานของชุดสุนัขดมกลิ่นให้แก่ด่านกักสัตว์ระหว่างประเทศทุกแห่ง

อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวต่ออีกว่า กรมปศุสัตว์ได้กำหนดให้หน่วยงานด่านกักกันสัตว์ สำนักควบคุมป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ รับผิดชอบภารกิจควบคุมตรวจสอบการนำเข้า-นำออก หรือนำผ่านราชอาณาจักรซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์ตามอำนาจหน้าที่ในกฏหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ ทั้งนี้ด่านกักสัตว์ระหว่างประเทศ ซึ่งมีลักษณะเป็นท่าอากาศยานขนาดใหญ่ โดยเฉพาะท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีจำนวนของอากาศยานที่มาใช้เพิ่มมากขึ้น หีบห่อสัมภาระมากขึ้น การขนส่ง เคลื่อนย้ายสินค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วตามเทคโนโลยีการขนส่งสมัยใหม่ แต่ในขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่มีจำกัด ดังนั้น จึงจำเป็นต้องจัดกำลังเข้าปฏิบัติงานโดยใช้วิธีการสืบหาข่าวการลักลอบ หรือใช้วิธีสุ่มตรวจเที่ยวบินต้องสงสัยว่าจะมีผู้โดยสารลักลอบนำสัตว์หรือซากสัตว์ซุกซ่อนมากับกระเป๋าสัมภาระ

ซึ่งจากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่ากรณีของผู้โดยสารขาเข้าจะต้องเน้นการตรวจหาซากสัตว์จำพวกเนื้อสัตว์ หรือซากสัตว์อื่นๆเป็นหลัก ส่วนกรณีของผู้โดยสารขาออกนั้นจะต้องเน้นไปที่การตรวจหาสัตว์ป่ามีชีวิต เช่น นก เสือ งู เต่า ฯลฯ ซากสัตว์ป่า เช่น งาช้าง กระดูกสัตว์ หนังสัตว์ อุ้งเท้า เครื่องในสัตว์ตากแห้ง ที่มักมีการลักลอบส่งออกไปต่างประเทศเพื่อปรุงเป็นยาแผนโบราณ โดยเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบตารางเที่ยวบินที่ต้องสงสัยจากท่าอากาศยานและจัดกำลังเข้าปฏิบัติงานเมื่อเที่ยวบินดังกล่าวเดินทางมาถึงหรืออยู่ในช่วงกำลังลำเลียงกระเป๋าขึ้นอากาศยาน หากชุดปฏิบัติงานสุนัขดมกลิ่นตรวจสอบพบสิ่งผิดกฏหมายจะแจ้งให้สัตวแพทย์ประจำด่านกักสัตว์สุวรรณภูมิทราบทันที เพื่อประสานเจ้าหน้าที่ของสายการบินให้เชิญเจ้าของสัมภาระมาพบเจ้าหน้าที่ หากเป็นกรณีที่ของกลางนั้นเกี่ยวข้องหรืออยู่ในความดูแลรับผิดชอบของหน่วยงานอื่นสัตวแพทย์จะติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยงานนั้นๆ เพื่อมาร่วมตรวจสอบสิ่งของสัมภาระรวมทั้งการแจ้งข้อกล่าวหาด้วย

นอกจากความนิยมในฐานะสัตว์เลี้ยงแล้ว จากข้อมูลในวิกีพีเดีย สุนัขพันธุ์ บีเกิล (Beagle) ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในสหราชอาณาจักร อยู่ในจำพวกกลุ่มสุนัขล่าเนื้อ มีลักษณะขนสั้นและหูปรก เป็นสุนัขที่มีประสาทด้านการดมกลิ่นเป็นเลิศ มีการพัฒนาสายพันธ์ขึ้นมาด้วยจุดประสงค์เพื่อเป็นผู้ช่วยมนุษย์ในกีฬาการล่าต่างๆ โดยเฉพาะการล่ากระต่าย ด้วยประสาทด้านการดมกลิ่นที่ไวมาก จึงได้มีการฝึกให้เป็นสุนัขตรวจสอบของผิดกฎหมาย อย่างเช่น ยาเสพติด วัตถุระเบิด โดยในสหรัฐอเมริกา หน่วยสุนัขที่ชื่อว่า "Beagle Brigade" ทำหน้าที่ตรวจสอบตามสนามบิน ซึ่งสามารถตรวจสอบสินค้าเกษตรที่ลักลอบนำเข้าได้ถึง 75,000 รายการต่อปี นอกจากนี้ตัวการ์ตูนชื่อ "Snoopy" ก็เป็นการ์ตูนสุนัขพันธุ์บีเกิลที่มีชื่อเสียงตัวหนึ่ง 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสวนา: ทิศทางจีนหลังผลัดผู้นำพรรค

Posted: 01 Dec 2012 10:11 PM PST

ทัศนะจากรองอธิการบดี สถาบันการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ รองคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ สถาบันวิจัยยุทธศาสตร์ สถาบันการเมืองแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุผลการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคฯ ครั้งที่ 18 แนวทางจีนไม่เปลี่ยนแปลง

วันที่ 1 ธ.ค. 2555 ที่ห้องรัตนโกสินทร์ โรงแรมเดอะสุโกศล สำนักงานวิเทศสัมพันธ์ พรรคคอมมิวนิสต์จีนแห่งประเทศจีน, มูลนิธิสถาบันสราญรมย์, มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติร่วมกับสถาบันศึกษาความมั่นคงนานาชาติ ร่วมจัดการเสวนา "มังกรพลิกกาย...ท่วงท่าใหม่ที่ไทยควรรู้"

ฯพณฯ ก่วนมู่ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย

ไม่นานมานี้ การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคฯ ครั้งที่ 18 จบลงอย่างประสบความสำเร็จ เป็นการประชุมครั้งนี้ได้ทบทวนและสรุปผลสำเร็จในการสร้างสรรค์ประเทศจีนโดยเฉพาะ 5 ปีที่ผานมา ได้กำหนดยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ การเมืองสังคม วัฒนธรรม นิเวศ และกำหนดเป้าระยะยาวว่าในปี 2020 สังคมจีนจะเป็นสังคมที่อยู่ดีกินดี

ที่ผ่านมาจีนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ ทำให้ขนาดเศรษฐกิจดีดตัวขึ้นจากอันดับที่ 6 ของโลกมาเป็นอันดับที่ 2 ทว่าก็ยังเผชิญปัญหาและอุปสรรคต่างๆ อยู่ไม่น้อย

การประชุมสมัชชาครั้งที่ 18 ได้มีการเลือกผู้นำรุ่นใหม่จะพาจีนไปสู่ทิศทางใดนั้นเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายให้ความสำคัญ

ไทย-จีนเป็นครอบครัวเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในสถานการณ์ที่มีความผันผวน เปลี่ยนแปลง พวกเราจะทำอย่างไรให้ประเทศไทยและจีนมีการประสานงานทำความเข้าใจซึ่งกันและกันในสถานการณ์ทีเปลี่ยนแปลง

สมัชชาครั้ง 18 มุ่งแนวทางเดิม 5 สิ่งไม่เปลี่ยนแปลง

เฉิน เป่าเซิง รองอธิการบดี สถาบันการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์ กล่าวถึงผลการประชุมสมัชชาครั้งที่ 18 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่าการประชุมประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ทางประธานาธิบดีหู จิ่น เทา ได้รายงานเนื้อหาที่มีความสำคัญในที่ประชุมให้กับสมาชิกพรรค การรายงานนี้เป็นสิ่งที่ชี้แนวทางว่าประเทศจีนจะมีแนวทางพัฒนาอย่างไร ซึ่งมีการแก้ไขข้อบังคับพรรคคอมมิวนิสต์จีนบางส่วน ทั้งนี้มี 5 สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงและยังคงดำเนินตามแนวทางเดิมได้แก่ แนวทางการพัฒนา แนวทางความสัมพันธ์กับอาเซียนที่เน้นสันติภาพ แนวทางพัฒนา 11 มณฑลตะวันตก

ประการแรก สีจิ้นผิงได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรค และทุกท่านก็อาจกำลังคิดว่าจีนจะพัฒนาไปทิศทางใด ซึ่งข้าพเจ้าขอพูดว่าประเทศจีนจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน แต่นโยบายและเป้าหมายนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาก สิ่งแรกที่ผมจะพูดก็คือ หนทางที่เราจะพัฒนาไปสู่สังคมนิยมที่มีเอกลักษณ์นี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะเราได้มีการวิจัยวิเคราะห์มายาวนานผ่านอุปสรรคยากลำบากและพบว่านี่เป็นหนทางที่ทำให้จีนพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว จะเดินไปในแนวทางนี้ต่อไปอย่างเข้มแข็ง

ประการที่ 2 คือ สิ่งที่กำหนดยุทธศาสตร์ระยะยาวของจีนก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง เนื่องจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จ และเราควรจะสร้างยุทธศาสตร์พัฒนาระยะยาวที่สามารถเป็นศูนย์รวมเอาประชาชนเข้าไว้ โดยมีเป้าหมายว่าปี 2020 จะทำให้ประชาชนของจีนส่วนใหญ่มีชีวิตที่พูนสุข มุ่งสร้างมูลค่าจีดีพี และแต่นี้เป็นต้นไป จนปี 2020 จะเป็นช่วงที่สร้างสิ่งนี้ให้เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน

หลังจากสมัชชาครั้งที่ 18 เราก็มีเป้าหมายว่าจะทำให้รายได้ของประชาชนขยายเป็นเท่าตัวในปี 2020 ซึ่งถ้าหากว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจพัฒนาต่อเนื่องปีละ 7 เปอร์เซ็นต์จะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ ซึ่งดัชนีเหล่านี้ไม่เปลี่ยนแปลง สิบปีที่ผ่านมามีการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนอย่างรวดเร็ว และนโยบายในการบริหารของประเทศจีนก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก

ประการที่ 3 ย้อนหลังไปสามสิบปีก่อน เมื่อเริ่มเปิดประเทศและใช้นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมครั้งใหญ่ สามารถทำให้จีนพัฒนาได้สอดคล้องกับโลกาภิวัตน์ มุ่ง 2 แนวทาง ด้านหนึ่งมาจากเศรษฐกิจการตลาดที่ค่อนข้างพัฒนามาสมบูรณ์แบบ แต่ในด้านกฎหมายอาจจะมีข้อบกพร่องเล็กน้อย ในสิบปีข้างหน้าก็จะมุ่งพัฒนาส่วนนี้ให้สมบูรณ์แบบ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการบริหารประเทศ

ประการที่ 4 จีนเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดของโลก ฐานะตรงนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลง สิบปีที่ผ่านมาจีดีพีโต 10.7 โดยเฉลี่ย และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนปัจจุบันก็ถือว่าดีขึ้น แต่ว่าเศรษฐกิจในภาคตะวันตก 11 มณฑลก็ยังมีปัญหาความยากจน ดังนั้นจีนก็ยังถือว่าเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ประการที่ 5 ความร่วมมือระหว่างประเทศนั้น จีนเน้นเรื่องสันติภาพ สำหรับอาเซียนแล้ว นโยบายต่างๆ ของจีน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ในการประชุมครั้งที่ 18 ที่ผ่านมา มุ่งเน้นการพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีสันติภาพ ตรงนี้เป็นนโยบายหลักของเรา ต้องเสมภาคกัน เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันในการแก้ไขปัญหาต่างๆ

ห้าสิ่งที่ไม่เปลี่ยนนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการเปลี่ยนเลย แต่ต้องเปลี่ยนให้ดียิ่งขึ้น

ถ้าพูดถึงมังกรพลิกกาย คงต้องกล่าวว่าจีนพลิกกายเมื่อหกสิบปีก่อน เป็นการพลิกกายจากความไม่ยุติธรรมเมื่อร้อยปีที่ผ่านมาที่ตกอยู่ในความยากลำบาก

ประชาธิปไตยแบบจีน เลือกคนจากการทำงานไม่ใช่การแสดง

ในส่วนของข้อสงสัยเกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งผู้นำนั้น ก็ได้มาตามวิถีประชาธิปไตยแบบจีน ซึ่งแตกต่างจากประชาธิปไตยในตะวันตก เราเรียกว่าประชาธิปไตยประชาชน ผู้นำของจีนส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในหน่วยย่อยแล้วค่อยๆ เลื่อนตำแหน่งขึ้นมา รวมถึงกรรมการ 25 คนของกรมการเมืองและกรรมการถาวร 7 คน ต้องคำนึงถึงคุณสมบัติทางการเมือง ความสามารถและผลงานที่ผ่านมา กระบวนการนี้คัดเลือกคนดีเด่นจากคนดีไม่เหมือนอเมริกาที่เหมือนมีการแสดงโชว์และ แสดงวิสัยทัศน์ ส่วนผู้นำจีนอาศัยการปฏิบัติลงมือทำ

ปัญหาทะเลจีนใต้ –ไม่เคยรุกรานใครก่อน

สำหรับปัญหาทะเลจีนใต้และเพื่อนบ้าน ในประวัติศาสตร์จีนที่ผ่านมาเรามีนโยบายที่ชัดเจน เราใช้น่านทะเลเป็นประโยชน์แสวงหาจุดร่วมสงวนจุดต่าง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็เป็นเหมือนการเต้นรำคู่เมื่อเขามาเหยียบเท้าคุณ คุณก็ต้องถอย กรณีเตี้ยวหวี เป็นปัญหาเป็นปัญหาเชิงประวัติศาสตร์ แต่ญี่ปุ่นไปจัดการฝ่ายเดียว

ที่ผ่านมาเรามีหลักการไม่เปลี่ยนแปลงคือเอาข้อโต้แย้งวางไว้ก่อน แต่ร่วมกันพัฒนา ก็ใช้วิธีเจรจา สร้างสมดุล ไม่มีเจตนาไปใช้กำลังแก้ปัญหา แต่เราก็มีความตั้งใจเหนียวแน่นที่จะรักษาอธิปไตยของจีน

กรณีที่อเมริกาสนใจเอเชียแปซิฟิกมากขึ้นซึ่งมีผู้ตั้งข้อสังเกตนั้น จริงๆ แล้วอเมริกาไม่เคยห่างเหินจากเอเชียแปซิฟิก เรายินดีที่อเมริกามีบทบาทมากขึ้นและย้อนกลับมาเอเชียแปซิฟิก และเห็นว่าเขากลับมาสู่เอเชียแปซิฟิกอย่างสันติ ถ้ามิฉะนั้นประเทศจีนต้องคอยติดตามเฝ้าระวัง

ผู้นำของเราในที่ประชุมจะไม่มีการพูดถึงอเมริกา แต่การเลือกตั้งประธานาธิดีของอเมริกา ไม่ว่าพรรคไหนก็วาดภาพให้จีนไม่สวยงาม

ทะเลจีนใต้ จริงๆ มีปัญหาตั้งแต่มีนาคม 2011 และมีประเทศบางประเทศยึดผลประโยชน์ในทะเลจีนใต้เป็นผลประโยชน์ส่วนตัว จีนไม่อยากให้ปัญหาทะเลจีนใต้เป็นปัญหาที่ซับซ้อน ก็อยากแก้ไขปัญหาเฉพาะระหว่างคู่กรณี และเป็นปัญหาภายในประเทศทวิภาคี ไม่อยากนำปัญหาสู่เวทีภูมิภาคหรืออาเซียน

ในห้าพันปีที่ผ่านมา จีนไม่เคยครองความเป็นเจ้าอย่างที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ว่าจีนตั้งขั้วอำนาจใหม่ แต่ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาห้าพันปี จีนไม่เคยไปคุกคามประเทศอื่น แม้งบประมาณทางทหารเพิ่มขึ้นก็จริง แต่ถ้าเทียบกีบจีดีพีแล้วก็ถือว่าน้อยมากทีเดียว

แม้จีนจะมีการพัฒนาและมีปัญหามากมายในการแก้ไข แต่ว่าประเทศที่ไม่มีปัญหาภายในเลยคงกล่าวได้ว่าประเทศนั้นไม่มีชีวิตชีวา

จะเห็นว่าทุกประเทศคงมีปัญหาภายในอยู่แล้ว ดังนิยายความลับในหอแดงที่กล่าวว่า ครอบครัวใหญ่ก็มีปัญหาของครอบครัวใหญ่ ครอบครัวเล็กก็มีปัญหาของครอบครัวเล็ก ครอบครัวที่มีความสุขก็มีปัญหา ครอบครัวที่มีทุก์ข์ปัญหา จีนไม่เห็นด้วยกับการโอนปัญหาเหล่านี้ไปให้ประเทศอื่น จีนจะแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเอง

สำหรับการแก้ปัญหาภายในของเรา เราทำของเราให้ดีที่สุด ทำเรื่องภายในประเทศให้ดีที่สุดก็ถือว่าเป็นคุณูปการต่อโลก

ปัญหาคอร์รัปชั่น-ระบบอุปถัมภ์

สำหรับปัญหาคอร์รัปชั่นในจีนก็มีสาเหตุมากมาย หลากหลายรูปแบบ ต่างกันในแต่ละประเทศ ในประเทศจีน มีความทันสมัย แต่ก็มีปัญหาคอร์รัปชั่นเกิดขึ้น รัฐบาลจีนก็ไม่ปรารถนาจะให้เกิดปัญหาเหล่านี้แต่ก็มีความตั้งใจในการแก้ปัญหายังเหนียวแน่นแน่วแน่

ในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 18 ได้วางยุทธศาสตร์ คือ หนึ่ง วางระบบปราบปรามคอร์รัปชั่น สองคือเสริมสร้างความเข้มแข็งในมาตรกร และสาม ส่งเสริมการตรวจสอบ มีการตั้งหน่วยงานขึ้นมาเช่น ปปช. ของจีน ซึ่งจีนก็มีองค์กรตรวจสอบหลายหน่วนงาน ปปช. อัยการ องค์กรอีกหลายองค์กร และมีความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ด้วย

ประเด็นระบบอุปถัมภ์ของจีน สังคมเอเชียก็ส่วนใหญ่มีปัญหานี้ แต่หลายๆ ปีที่ผ่านมาเราได้ใช้มาตรการต่างๆ ในการสร้างระบบขึ้นมา ปัญหานี้แก้ไขได้ด้วยการสร้างระบบการเมืองประชาธิปไตย

เงินหยวนแข็งค่า

ปัญหาเรื่องค่าเงินหยวน การแข็งค่าขึ้นเป็นขั้นตอนที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ค่อยเป็นค่อยไป คงไม่เป็นอย่างที่บางประเทศคาดว่าจะมีการแข็งค่าขึ้นอย่างฉับพลัน ทิศทางที่เราจะพัฒนาตามนโยบายของการประชุมพรรคครั้งที่ 18 คือการช่วยสร้างเสถียรภาพของค่าเงินหยวน สอดคล้องกับการพัฒนาในประเทศ ส่วนจะใช้เงินหยวนเป็นเงินตราระหว่างประเทศก็คงต้องใช้ระยะเวลาอีกช่วงหนึ่ง ยังไม่มีแนวคิดที่จะใช้เงินหยวนแทนเงินดอลล่าร์

มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และแก้ปัญหาการพัฒนาที่ไม่สมดุล

นายหัน เป่าเจียง สถาบันวิจัยยุทธศาสตร์ สถาบันการเมืองแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน  กล่าวว่า การพัฒนาของประเทศคอมมิวนิสต์ใหญ่ของจีนไม่เพียงแต่สอดคล้องกับกฎของการพัฒนาของมนุษยชาติ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ผ่านมาเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 9 เปอร์เซ็นต์ แต่ทรัพยากรมีจำกัด และโอกาสในการพัฒนาต่อก็มีจำกัด การพัฒนาของประเทศใหญ่ก็เป็นที่จับตาดูของโลก และแน่นอนก็ส่งผลต่ออนาคตของสังคมโลก

ในการประชุมของสมัชาใหญ่ฯ หูจิ่นเทา ได้สรุปประสบการณ์ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการกล่าวรายงานนั้น ก็ถือเป็นโอกาสและความท้าทาย ดังที่มีคำกล่าวว่าเมื่อต้นไม้เติบโตใหญ่เมื่อเจอลมพายุจะหักโค่นได้ง่าย การพัฒนาของจีนก็นำมาซึ่งความเป็นห่วงหรือทฤษฎีการคุกคามจากการเติบโตของจีน ซึ่งทุกคนถามในใจว่าการพัฒนาของจีนจะนำมาซึ่งอะไรต่อโลก ความขัดแย้งหรืออุปสรรคต่างๆ สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็เกิดขึ้นมากมายในประเทศจีน แต่จีนก็มีความคิดอย่างหนึ่งว่าจะแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในประเทศ ไม่มีความตั้งใจจะไปแทรกแซงคนอื่น

การพัฒนาของจีนยังไม่สมบูรณ์และยั่งยืน หนึ่ง คือการพัฒนาเศรษฐกิจไม่สมบูรณ์ ขาของเศรษฐกิจยาว แต่ขาของสังคมไม่แข็งแรง เป็นการพัฒนาที่ไม่สมดุลประการแรก และประการที่สอง คือความไม่สมดุลระหว่างเมืองกับชนบท

การพัฒนาของจีนทำให้ชายฝั่งตะวันออกของจีนมีความทันสมัยก้าวหน้า เหมือนสวมสูทสวยหรู แต่ภาคกลางและตะวันตกเหมือนใส่เสื้อชั้นในที่มีรอยปะเต็มตัว จีนต้องสนใจแก้ไขปัญหาในประเทศมากกว่าที่จะไปสร้างอิทธิพลเหนือประเทศอื่น

ประเด็นต่อมาคือการพัฒนาเศรษฐกิจกับสิ่งแวดล้อม การประชุมสมัชชาใหญ่ฯ ครั้งที่ 18 กำหนดเป้าหมายระยะยาวเน้นการพัฒนาภายในประเทศ ให้มีความเข้มแข็ง มีความรับผิดชอบต่อสังคมโลกในฐานะประเทศใหญ่ ซึ่งถือเป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญ ซึ่งจีนตระหนักอย่างดี แต่จีนต้องพัฒนาประเทศให้เข้มแข็ง เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และเน้นการพัฒนาอย่างมีคุณภาพ ต้องมีการพัฒนาเพิ่มความต้องการภายในประเทศ มีการริเริ่มสร้างสรรค์นวัตกรรม และด้วยหลักวิทยาศาสตร์ เน้นคนเป็นศูนย์กลาง เน้นคุณค่าของมนุษยชน ให้ประชาชนสามารถได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผู้สนับสนุนปธน.อียิปต์ ชุมนุมสนับสนุนร่างรธน.ใหม่

Posted: 01 Dec 2012 09:44 PM PST

ท่ามกลางข้อโต้แย้งที่มีต่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต่อเรื่องความกลัวว่าจะมีอิทธิพลของกฏศาสนามากเกินไป ล่าสุดประชาชนกลุ่มสนับสนุนรัฐบาลโมฮาเม็ด มอร์ซี ออกมาชุมนุมแสดงการสนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เพิ่งผ่านร่าง ขณะเดียวกันก็ประณามฝ่ายต่อต้านว่าเป็นศัตรูของศาสนา


1 ธ.ค. 2012 - กลุ่มผู้ชุมนุมสนับสนุนรัฐบาลอียิปต์ออกมาชุมนุมแสดงการสนับสนุนรัฐธรรมนูญใหม่ที่มีการลงมติผ่านร่างเมื่อเช้าวันที่ 31 พ.ย. ที่ผ่านมา

พรรคฟรีดอมแอมนด์จัสติสซึ่งเป็นพรรครัฐบาลกล่าวว่า การเดินขบวนมีขึ้นหลังจากการละหมาดในช่วงบ่าย โดยผู้ชุมนุมได้เดินขบวนจากมัสยิดในกรุงไคโรไปที่จัตุรัส อัล-นาดา และมีกลุ่มนักกิจกรรมของภราดรภาพมุสลิมในหลายเมืองคอมยื่นใบปลิวเรียกให้คนออกมาชุมนุมเพื่อสนับสนุนกฏหมายของอิสลาม

โมฮาเม็ด อิบราฮิม ผู้สนับสนุนมอร์ซีกล่าวว่ากลุ่มฆราวาสนิยมในประเทศจะต้องพ่ายแพ้ในด้านความนิยมให้กับกลุ่มมวลชนผู้ประท้วงที่กล่าวร่วมกันในการชุมนุมว่า "เราขอคัดค้านการสมรู้ร่วมคิดของคนกลุ่มน้อย เราขอคัดค้านหนทางที่นำไปสู่ความพินาศ เราเห็นด้วยกับเสถียรภาพและกฏหมายชะรีอะฮ์ (กฏหมายของอิสลาม)"

กลุ่มผู้ชุมนุมได้ถือธงของอียิปต์และซาอุดิอารเบีย รวมถึงโปสเตอร์รูปปธน.มอร์ซี มีป้านเขียนว่า "ร่วมกัน (กับมอร์ซี) เพื่อช่วยปกป้องการปฏิวัติ"

ด้าน ปธน. มอร์ซี มีกำหนดรับร่างรัฐธรรมนูญในช่วงเย็นวันที่ 1 ธ.ค. จากนั้นจึงจะมีการกำหนดวันลงประชามติซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นอีกสองสัปดาห์หลังจากนี้

อัลจาซีร่ารายงานว่ามีครูสอนศาสนาหลายคนกล่าวเทศนาในวันศุกร์ที่เมืองอัสซิยุดโดยเรียกฝ่ายต่อต้านประธานาธิบดีว่า "ศัตรูของพระเจ้าและของศาสนาอิสลาม"


'ความฝันของผู้ถูกกระทำ' เสียงจากกลุ่มผู้ชุมนุมต้านมอร์ซี

ก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ (31 พ.ย.) ก็มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นขณะที่ผู้ชุมนุมในเมืองอเล็กซานเดรียออกมาประท้วงต่อต้านรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยผู้ชุมนุมได้ตะโกนคำขวัญว่า "เสรีภาพ ขอให้การร่างรัฐธรรมนูญจงล่มจมไป" โดยที่ตำรวจปราบจลาจลได้เข้าปราบปรามผู้ชุมนุม ทางด้านกลุ่มผู้ชุมนุมก็เข้าล้อมรถตำรวจ

นอกจากนี้ยังมีการชุมนุมที่จัตุรัสทาห์รีร์ ในกรุงไคโร โดยมีผู้ชุมนุมหลายพันคนโดยมีการเรียกชื่อว่าเป็นการชุมนุม "ความฝันของผู้ถูกกระทำ" (the victim's dream) หลังจากที่มีการผ่านร่างรัฐธรรมนูญใหม่อย่างเร่งรีบไม่กี่ชั่วโมง

การชุมนุมของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลมีการจุดชนวนขึ้นหลังจากการประกาศกฤษฎีกาของของประธานาธิบดีมอร์ซีที่ให้อำนาจในการออกคำประกาศของประธานาธิบดีได้โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบกลั่นกรองของฝ่ายตุลาการ

"การประท้วงจะมีการยืดเวลาไปจนกว่าเขา (ปธน.มอร์ซี) จะลงจากตำแหน่ง เพราะเขาไม่ใช่คนที่ถูกที่ควรในการทำหน้าที่ออกกฏหมาย ประชาชนเลือกเขามาเพื่อปฏิรูปกระเทศ ไม่ใช่เพื่อมาร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเอง พวกเราต้องการให้เขาปฏิรูปประเทศ" อาห์เมด รอมฎอน หนึ่งในผู้ประท้วงต่อต้านมอร์ซีกล่าว

"มอร์ซีช่วงชิงผลิตผลของการปฏิวัติไป เขาเป็นประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งและเราก็ไม่ได้ต่อต้านตรงจุดนี้ แต่หลังจากนั้น เขาก็ละทิ้งประชาธิปไตยไป และพวกเราก็พบว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับเผด็จการอีกแบบหนึ่ง คือมอร์ซี กลุ่มภราดรภาพมุสลิม และนิกายซาลาฟี" ผู้ประท้วงคนหนึ่งกล่าว

"ทั้งระเบิดควัน แก็สน้ำตา ปืนกล และการเสียสละของคนหนุ่มสาว สถานการณ์มันคล้ายกับช่วงการปกครองของฮอสนี มูบารัค (อดีตผู้นำเผด็จการที่ถูกขับไล่เมื่อปี 2011) มอร์ซีไม่เคยมองข้อเสนอของประชาชน ไม่เคยฟังความคิดของประชาชน หรือเป็นห่วงสถานการณ์ปัจจุบัน เขาก็เป็นแค่เผด็จการคนหนึ่งและสถานการณ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย" ผู้ประท้วงอีกรายหนึ่งกล่าว

สื่ออียิปต์รายงานว่ามีการวางกำลังรักษาความปลอดภัยตามอาคารสำคัญของรัฐบาล โดยเฉพาะที่ทำการพรรคฟรีดอมแอนด์จัสติส สถานีตำรวจ และเรือนจำ หลังจากที่สำนักงานของพรรคถูฏโจมตีหลายครั้งในช่วงที่มีการประท้วง

อัลจาซีร่ารายงานว่า นับตั้งแต่การประท้วงต่อต้านรัฐธรรมนูญรอบล่าสุดในอียิปต์มีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 รายและมีผู้บาดเจ็บมากกว่า 600 ราย


มอร์ซีสัญญายกเลิกกฤษฎีกา 'อำนาจเบ็ดเสร็จ' หลังการลงประชามติ

มอร์ซีกล่าวให้สัมภาษณ์ต่อโทรทัศน์ช่องรัฐบาลเมื่อวันที่ 30 พ.ย. ที่ผ่านมา กล่าวว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเร่งกระบวนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อทำให้อียิปต์ผ่านพ้นช่วงเปลี่ยนผ่าน

มอร์ซียังได้กล่าวให้สัญญาอีกว่าจะยกเลิกกฤษฎีกาที่ให้อำนาจแก่เขาหลังการลงประชามติรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลงแล้ว

ก่อนหน้านี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาศาลอียิปต์ได้สั่งยุบสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และจะมีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งหลังจากรัฐธรรมนูญผ่านการลงประชามติของประชาชนแล้ว


เรียบเรียงจาก

Rival camps take to Egypt streets, aljazeera, 01-12-2012
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น