โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

ศอฉ.พบ "โรงเรียนแกนนอน" มีลักษณะลูกโซ่ ถ้าทำผิดจะจับกุมทันที

Posted: 30 Nov 2010 12:51 PM PST

ศอฉ.ห่วงการสร้างสถานการณ์ช่วงธันวาคม เล็งวางกำลังรักษาความปลอดภัย 169 จุด เฝ้าจับตา 11 ธ.ค. เหลือง-แเดงชุมนุม พร้อมรับมือหากเกิดความไม่สงบ จะใช้กฎหมายมาตรฐานเดียวทั้งสองสี

เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์  รายงานว่า วันนี้ (30 พ.ย.) ที่ประชุม ศอฉ.ได้แสดงความห่วงใยการจัดงานเฉลิมฉลอง 5 ธันวา ที่จะจัดตั้งแต่วันที่ 1-9 ธันวาคม ว่า อาจมีการสร้างสถานการณ์ ทั้งเชิงสัญลักษณ์และความไม่สงบ ศอฉ.จึงสั่งการให้เพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัยมากขึ้นในพื้นที่ 169 จุด โดยใช้กำลังตำรวจเป็นหลัก ส่วนทหารเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ส่วนงานฉลองทางน้ำนั้น กองทัพเรือจะเป็นกำลังหลักในการดูแลความปลอดภัย แต่ ศอฉ.ได้วางมาตรการรับมือไว้สองขั้น คือ ปกติ และฉุกเฉิน ทั้งนี้ ในชั้นปกติ ศอฉ.จะกำกับดูแลสถานการณ์ และมีตำรวจเป็นกำลังหลักในการรักษาความปลอดภัย ขั้นสอง กรณีเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ศอฉ.จะเข้าไปรับผิดชอบเต็มรูปแบบ สั่งการการรักษาความปลอดภัย

แหล่งข่าวระบุว่า กิจกรรมที่เฝ้าจับตาเสื้อแดงประกาศชุมนุม 11 ธันวาคม ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และคัดค้านคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญ และจัดงานครบรอบ 8 เดือน 20 เมษายน รวมทั้งกลุ่มพันธมิตรฯประกาศชุมุนมยืดเยื้อคัดค้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นั้น ศอฉ.กำลังวางแผนรับมือหากเกิดความไม่สงบ โดยจะไม่ยอมให้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นเด็ดขาด และจะดำเนินการตามกฎหมายในมาตรฐานเดียวกัน ทั้งสองสี ส่วนการดูแลรักษาความปลอดภัยตุลาการทั้ง 9 คน และประธาน กกต.นั้น ได้มอบหมายให้นครบาลเป็นผู้ดูแล

นอกจากนี้ มีสถานการ์ที่น่าจับตา คือ การตั้งกรรมการ นปช.ชุดใหม่ ที่มี นางธิดา ถาวรเศรษฐ เป็นประธานนั้น ศอฉ.ประเมินว่า เป็นการจัดตั้งแกนนำเสื้อแดงชุดใหม่ โรงเรียนแกนนอนของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ศอฉ.กังวลว่า มีการขยายมวลชนให้เป็นลูกโซ่ หากพบการกระทำความผิด ก็จะจับกุมทันที สำหรับสถานการณ์หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ศอฉ.ประเมินว่า ยังมีการคัดค้านในลักษณะลูกคลื่นอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นก่อความไม่สงบ เนื่องจากหลังเกิดเหตุระเบิดที่สมานแมนชั่น ก็ยังไม่เกิดเหตุความรุนแรงในพื้นที่ใดๆ อีก

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นานาทัศนะกรณีตลก.ยกคำร้องยุบพรรค ปชป.

Posted: 30 Nov 2010 12:12 PM PST

อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญระบุผลตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้ยกคำร้องด้วยคะแนน 4 ต่อ 2 เสียงเป็นโมฆะ เพราะองค์คณะพิจารณาคดีที่เหลือเพียง 6 คนไม่สามารถชี้ขาดได้ ย้ำกฎหมายกำหนดให้องค์คณะมี 15 หรือ 9 คน และต้องลงมติด้วยเสียงข้างมาก

ตั้งคำถามเหลือ 6 คนรู้ล่วงหน้าได้อย่างไรว่าจะได้เสียงข้างมากชี้ขาดได้ “อัษฎางค์” ระบุศาลหาช่องทางและวินิจฉัยได้เก่ง เตือนเสื้อแดงอย่าเคลื่อนไหวหากจะอยู่ในประเทศนี้ต้องเจียมตัว เพราะที่นี่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จ “บัญญัติ” ยันไม่รู้ผลล่วงหน้าที่บอกมติ 4 ต่อ 2 แค่คาดเดา เล็งนำผลไปใช้สู้คดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทต่อทีมทนาย เผยเตรียมยื่นเรื่องให้ถอนคดีเพราะขาดอายุความที่ต้องฟ้องภายใน 30 วัน “อภิสิทธิ์” ย้ำไม่ใช่ 2 มาตรฐานเพราะเป็นคนละกรณีกับคดีอื่น เพื่อไทยให้ฝ่ายกฎหมายหาช่องฟัน กกต. ยื่นฟ้องล่าช้า “สมชัย” ถามจะตัดสินแบบนี้เสียเวลาสืบพยานทำไมตั้งนาน ยอมรับ กกต. ต้องคุยกันเพื่อปรับการทำงานใหม่

หลังองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (ตลก.) มีมติด้วยคะแนน 4 ต่อ 2 เสียง ให้ยกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จากกรณีใช้เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรค การเมือง 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ เนื่องจากเห็นว่านายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ยื่นเรื่องให้พิจารณาภายใน 15 วัน หลังตรวจพบการทำความผิดตามข้อกำหนดของกฎหมาย (อ่านรายละเอียดคำตัดสินคดีที่หน้า 05A) ทำให้มีหลายฝ่ายออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลในครั้งนี้


"องค์คณะ 6 คนตัดสินคดีไม่ได้"

นายจุมพล ณ สงขลา อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า การที่องค์คณะพิจารณาคดีเหลือเพียง 6 คน ไม่น่าจะตัดสินคดีได้ เพราะเวลาที่จะตัดสินคดีต้องมีเสียงมากพอที่จะชี้ขาดได้

“การที่องค์คณะเหลือ 6 คน สามารถพิจารณาคดีได้แต่ตัดสินคดีไม่ได้ เพราะตามกฎหมายกำหนดให้องค์คณะมีจำนวน 15 หรือ 9 คน เพื่อให้สามารถใช้เสียงข้างมากในการตัดสินคดีได้ การเหลือ 6 คนไม่สามารถหาเสียงข้างมากได้ เพราะคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าจะหาเสียงข้างมากได้เมื่อยังไม่ฟังคำแถลงปิดคดี ยังไม่ได้พิจารณาคดี การเหลือองค์คณะเพียง 6 คนไม่สามารถมีเสียงชี้ขาดได้ หากพิจารณากันในแง่กฎหมายจริงๆการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ต้องถือ เป็นโมฆะ ใช้ไม่ได้” อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว


"ชี้นักกฎหมายเก่งจนน่ากลัว"

รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ ให้ความเห็นว่า ผลของคำตัดสินที่ออกมาทำให้เห็นว่านักกฎหมายในบ้านเมืองนี้เก่งจนน่ากลัว เพราะสามารถหาทางออกให้กับทุกสถานการณ์ได้ในทุกประเด็น นี่ขนาดยังไม่ถึงขั้นของการพิจารณาว่าถูกหรือผิด เพราะเขายังไม่ได้พิจารณาประเด็นนั้นเลย
 
"ชมศาลหาช่องทางตัดสินได้เก่ง"

“ศาลรัฐธรรมนูญหาช่องทางและวินิจฉัยได้เก่ง เรื่องนี้ต้องรอดูความคิดของผู้คนในสังคมต่อไปว่าจะมองกันอย่างไร แต่ผมรู้สึกเฉยๆกับคำตัดสิน เพราะในฐานะที่เป็นนักรัฐศาสตร์เข้าใจสภาพสังคมตั้งแต่เกิดเหตุการณ์รัฐ ประหารวันที่ 19 ก.ย. 2549 เป็นอย่างดีแต่พูดมากไม่ได้ เอาเป็นว่าผมเข้าใจลักษณะการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จดี”

รศ.อัษฎางค์กล่าวว่า การจะอยู่อาศัยในประเทศนี้พวกเราต้องอยู่อย่างเจียมตัว ใครไม่มีเส้น ไม่มีพรรคพวกต้องระวังหมด ประเทศนี้ไม่ใช่เป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะมีการใช้กฎหมายควบคุมกำกับไม่ให้คนที่เป็นศัตรูทางการเมืองโผล่ได้เลย

"รัฐบาลอยู่ได้ถึงต้นปีหน้า "

รศ.อัษฎางค์กล่าวอีกว่า หลังจากนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบและได้ประโยชน์ แต่เท่าที่ประเมินสถานการณ์คิดว่ารัฐบาลไม่น่าจะลากยาวถึงครบเทอมได้ เพราะถ้ารัฐบาลอยู่นานอาจมีปัญหาแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้น นายกรัฐมนตรีอาจตัดสินใจยุบสภาในเดือน ก.พ. ปีหน้าแล้วให้มีการเลือกตั้งในเดือน มี.ค. ซึ่งเขาอาจได้กลับมาเป็นรัฐบาลใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้อาจอยู่ยาวถึง 4 ปีเลย
 

"เตือนเสื้อแดงให้อยู่อย่างเจียมตัว"

ผู้สื่อข่าวถามว่าผลการตัดสินออกมาอย่างนี้จะทำให้สถานการณ์บ้านเมือง รุนแรงขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะคนเสื้อแดงที่ไม่พอใจคำตัดสิน รศ.อัษฎางค์กล่าวว่า คนเสื้อแดงควรเก็บไว้ใต้ดินดีกว่า ไม่ควรออกมาเคลื่อนไหวอะไรช่วงนี้ ยกเว้นรอให้ถึงวันเลือกตั้งค่อยออกมา ขอย้ำว่าคนเสื้อแดงควรอยู่อย่างสงบ นิ่งๆ และยอมรับโดยดุษฎี ไม่ต่อต้าน ไม่แสดงความเห็น ถ้าหากนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง เล่นการเมืองเป็นก็ต้องนิ่งไว้ก่อน


"ผลตัดสินไม่เหนือความคาดหมาย"

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ผลของคดีที่ออกมาไม่ได้ผิดไปจากความคาดหมาย แต่ติดใจตรงที่ผู้ร้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็น เรื่องเงื่อนเวลา แต่การตัดสินกลับออกมาในประเด็นนี้ ส่วนตัวเชื่อว่าคำตัดสินจะมีผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมกฎหมายต่อสู้คดี น่าจะได้รับสัญญาณพิเศษ เพราะสามารถพูดมติล่วงหน้าได้แม่นยำว่าจะออกมา 4 ต่อ 2

"ถามทำไมไม่ยกคำร้องตั้งแต่ต้น"

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ในฐานะที่ติดตามคดีนี้มาตั้งแต่ต้นมีความเห็นต่างจากคำตัดสินหลายประเด็นดัง นี้

     1.การยกเรื่องอายุความขึ้นมาโดยไม่ได้วินิจฉัยความถูกผิดตามคำร้อง มีคำถามว่าทำไมไม่พูดเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนที่ยื่นฟ้อง เพราะคำร้องของนายทะเบียนพรรคการเมืองบรรยายละเอียดอยู่แล้ว

     2.เมื่อไม่พิจารณาข้อเท็จจริงทำไมต้องเสียเวลาในการสืบพยานฝ่ายผู้ร้องและผู้ถูกร้องนานหลายเดือน

 "เพื่อไทยหาช่องเอาผิด กกต. ฟ้องช้า"

“เรื่องประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นเรื่องล่าช้าเกินกว่ากฎหมายกำหนด ฝ่ายกฎหมายของพรรคจะพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร”นายพร้อมพงศ์ตั้งคำถาม

นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หนึ่งในทีมทนายต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า ไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อนว่ามติของศาลจะออกมา 4 ต่อ 2 ที่ตอบคำถามสื่อไปเป็นการคาดเดาเพื่อให้มองในแง่ดีว่าจะไม่เกิดปัญหาจากคำ ตัดสินเท่านั้น ส่วนคดียุบพรรคจากกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาทนั้นเป็นเรื่องที่คาบเกี่ยวกับคดี 29 ล้านบาท เพราะว่าพยานในคดีเป็นชุดเดียวกัน คงต้องไปดูว่าอัยการยื่นฟ้องเมื่อไร จะขาดอายุความเหมือนคดี 29 ล้านบาทหรือไม่


“มาร์ค” รอดูปฏิกิริยาจากสังคม

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในส่วนของคดีจบแล้ว ต่อไปจะมุ่งทำงานแก้ปัญหาบ้านเมืองในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล ส่วนสถานการณ์จากนี้จะเป็นอย่างไรอยู่ที่ปฏิกิริยาจากกลุ่มต่างๆในสังคม แต่ส่วนตัวได้บอกก่อนหน้านี้แล้วว่าขอให้ทุกคนยอมรับคำตัดสินไม่ว่าจะออกมา อย่างไร เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้

"ย้ำไม่ใช่เรื่อง 2 มาตรฐาน

ผู้สื่อข่าวถามว่าผลการตัดสินจะดีต่อคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังตอบไม่ได้ ต้องรอดูรายละเอียดคำวินิจฉัยที่จะออกมาก่อนเพราะเป็นคนละคดีกัน ส่วนข้อวิจารณ์เรื่อง 2 มาตรฐานก็อยากให้ไปดูคำวินิจฉัยของศาล และอยากย้ำว่า 2 มาตรฐานหมายถึงกรณีเดียวกันแต่ปฏิบัติไม่เหมือนกัน แต่คดีนี้หากดูจากคำแถลงปิดคดีของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคและหัวหน้าทีมทนาย จะเห็นว่ามีความแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบกับคดีอื่นก่อนหน้านี้


"เตรียมยื่นถอนคดีเงินบริจาค 258 ล้าน"

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในทีมทนายต่อสู้คดียุบพรรค กล่าวว่า จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญถอนการพิจารณาคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท เพราะน่าจะขาดอายุความแล้วเนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ต้องยื่นฟ้องภายใน 30 วันหลังตรวจพบ เพราะคดีนี้เกิดตั้งแต่ปี 2552


"กกต. งงเสียเวลาสืบพยานทำไมตั้งนาน"

นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน กล่าวว่า หากศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินออกมาอย่างนี้ก็ไม่รู้จะเสียเวลาสืบพยานทั้งสอง ฝ่ายทำไมตั้งนาน การยกคำร้องทำให้ขาดโอกาสที่จะได้รับฟังว่าพรรคประชาธิปัตย์มีความผิดตามคำ ฟ้องหรือไม่  “เมื่อผลออกมาอย่างนี้ กกต. ต้องไปปรึกษาหารือกันเพื่อปรับการทำงาน”

 

 

ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ครม.อนุมัติโครงการเกินพันล้านไม่ต้องรายงานทุก6เดือน

Posted: 30 Nov 2010 11:21 AM PST

ครม.อนุมัติปลดล็อคส่วนราชการที่มีงบลงทุนโครงการเกิน 1,000 ล้านบาทไม่ต้องรายงานความคืบหน้าทุก 6 เดือนอ้างเพื่อความคล่องตัวเว้นกรณีสำคัญเร่งด่วนหรือเป็นที่สนใจของสาธารณะ

นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ( ครม.) อนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ( สลค. )  เสนอทบทวนแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการติดตามและการรายงานผลการดำเนินโครงการ ที่มีงบลงทุนเกินกว่า 1,000 ล้านบาท ที่กำหนดให้ต้องรายงานความคืบหน้าทุก 6 เดือนว่า เปลี่ยนให้ไม่ต้องรายงานทุก 6เดือน เพื่อให้การปฏิบัติงานของส่วนราชการมีความคล่องตัว และยังกำหนดให้ต้องรายงานโครงการที่มีดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่อง สำคัญ (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2550) ยังต้องให้รายงานความคืบหน้าตามเดิม  
ขณะที่เรื่องที่ ครม. มีมติกำหนดให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินงานต่อ ครม.  หาก ครม. มิได้กำหนดระยะเวลาไว้ให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรี อย่างน้อยทุก 3 เดือน ทั้งนี้ ตามระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 กรณีเป็นเรื่องสำคัญ เร่งด่วน หรือที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชนให้หน่วยงานของรัฐสามารถรายงานได้ก่อนระยะ เวลาที่กำหนดไว้ข้างต้น
 
ทั้งนี้เห็นควรให้ สลค.ประเมินผลการติดตามผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอคณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ปคค.) กรณีที่เห็นว่าควรมีการปรับปรุงประเภทเรื่องแบบรายงานและระยะเวลาการรายงานผลการดำเนินงานให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อานันท์ประกาศ ปฏิรูปประเทศไทยไม่มีกำหนด อำพลออกตัว"งบปฏิรูปไม่มีอะไรในกอไผ่"

Posted: 30 Nov 2010 11:03 AM PST

"อานันท์"ชี้"ปฏิรูปประเทศไทย"ต้องไม่กำหนดเวลา ต่างจาก"ปฎิวัติ" แม้ไม่สำเร็จก็ได้บทเรียนเป้าหมายคือแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านอำพล จินดาวัฒนะ เลขา คปร.และ คสป.ออกตัวงบที่เพิ่มเป็นเงินจากองค์กรอื่น 

(30 พ.ย.53) อานันท์ ปันยารชุน นายกกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และประธานคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) บรรยายพิเศษหัวข้อ “แนวทางการปฏิรูปประเทศไทย” ในการสัมมนาวิชาการประจำปี 2553 “การลดความเหลื่อมลํ้าและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ” ซึ่งจัดโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ โดยตอนหนึ่งกล่าวถึงโครงสร้างของสังคมว่า โครงสร้างทางสังคมนั้นโยงกับทั้งโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะของไทยยังมีตัวแปรหลายตัว ทั้งโครงสร้างทหาร โครงสร้างนายทุน และโครงสร้างของกลุ่มต่างๆ ที่มีอิทธิพลและอำนาจที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทั้งทางที่ดีและไม่ดี ทั้งนี้มองว่าโครงสร้างทางการเมืองของไทยเป็นโครงสร้างที่กระจุกตัวในกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเริ่มมีการกระจายไปต่างจังหวัดบ้างแล้ว โดยทำงานร่วมกันในบางเรื่อง เป็นอิสระต่อกันบางเรื่อง แต่มีเป้าหมายใกล้เคียงกัน

ทั้งนี้ เขากล่าวต่อว่า เมื่อคนมีทุน อำนาจ อิทธิพล แล้วก็เป็นธรรมดาที่จะอยากมีมากขึ้นอีก ดังนั้น จะขัดขวางส่งเดชก็ไม่ได้ เพราะคนเรายังไม่รู้จักคำว่า "พอ" ซึ่งตราบใดที่เรายังไม่รู้จักคำว่า "พอ" ก็จะเกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น

อานันท์กล่าวว่า การปฏิรูปไม่ใช่ของใหม่ ทุกสังคมมีมาตลอด แม้ว่าบางประเทศอาจไม่ได้ใช้คำนี้ แต่มีการปฏิรูปทั้งนั้น โดยมีทั้งผลที่ดีและเลว เขาแนะว่า สิ่งที่ต้องปรับความรู้สึกนึกคิดของคนไทยคือ เมืองไทยไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คนคิด และไม่ได้เลวร้ายอยู่ประเทศเดียว แต่หลายประเทศที่ปฏิรูปไปแล้ว จะมีกลไกหรือค่านิยมทางสังคมที่ทำให้เรื่องหนักกลายเป็นเบาได้ ประเทศไทยเองก็มีความ พยายามหลายครั้งที่จะปฏิรูป โดยในอดีตจะเป็นการปฏิวัติ ทั้งนี้ คำว่า "ปฏิวัติ" และ "ปฏิรูป" นั้นวิธีคิดอาจจะใกล้เคียงกัน แต่ปฏิบัติไม่เหมือนกัน โดยปฏิวัติเป็นการใช้กำลังหรือที่เรียกว่า ทหารออกมาเอ็กเซอร์ไซร์ ซึ่งไม่ใช่คำตอบของสังคมไทย

"สิ่งแรกที่เราต้องทำใจคือว่าเลิกคิดเรื่องการปฏิวัติเสียที อันนั้นไม่ใช่คำตอบ ปฏิวัติทีไรเมืองไทยก็จะล่มจมมากขึ้น มันอาจตอบปัญหาในระยะสั้น" อานันท์กล่าวและว่า เมื่อมองแบบนี้ จะเห็นว่าการปฏิรูปจึงสำคัญมาก ขึ้น โดยคณะกรรมการปฏิรูป มีเป้าหมายคือ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม รวมถึงอยากเห็นการลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน เพราะมองว่ารัฐมีอำนาจน้อย โอกาสที่จะใช้อำนาจในทางที่ผิดก็จะน้อยลง

สำหรับการเพิ่มอำนาจประชาชน เขามองว่า เป็นเรื่องที่พูดกันมาหลายสิบปี แต่ยังไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีความพยายามกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น แต่จะเห็นว่าอำนาจไม่ได้ไปที่คนท้องถิ่นโดยตรง แต่ไปยังหน่วยงานของรัฐบาล กลางในจังหวัดต่างๆ แทน ประชาชนก็คอยค้าง ดังนั้น ต้องทำให้แน่ใจว่า เรากระจายอำนาจไปที่ใคร ทั้งนี้เสริมว่า การเพิ่มอำนาจให้ประชาชนนั้นก็เพื่อให้ประชาชนมีอำนาจต่อรองกับกลุ่มต่างๆ มากขึ้น

อานันท์ยกตัวอย่างจีนว่าเป็นประเทศที่อำนาจกระจุกตัวอยู่ที่ปักกิ่ง แต่ก็มีการกระจายอำนาจและรายได้อย่างแท้จริงไปยังเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นกำหนดทิศทางอนาคตของตัวเองหรือการจัดเก็บภาษี ซึ่งมีนโยบายตัดกำไร 30 - 40% คืนสู่พื้นที่ที่ได้มาซึ่งภาษีนั้น แตกต่างกับประเทศไทยที่รัฐอุ้มผลกำไรไว้คนเดียว อันเป็นที่มาของความไม่ยุติธรรมในสังคมอีกประเด็นหนึ่ง

เขาเสนอว่า ให้เริ่มจากการเปลี่ยนวิธีคิดกันเสียก่อน เช่น เรื่องทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ใต้ดินทั้งหมด เป็นทรัพยากรร่วมระหว่างรัฐกับชุมชน  หรือแม้แต่วิทยุชุมชน ที่ระบุในรัฐธรรมนูญ 2540 ว่าเป็นสมบัติสาธารณะ ดังนั้น เมื่อเป็นสมบัติสาธารณะ ผลประโยชน์ที่รัฐได้รับจากการเก็บค่าสัมปทาน ภาษี ประชาชนต้องได้รับส่วนแบ่งมากกว่าที่เคยเป็นมา

สุดท้าย อานันท์ย้ำว่า เมื่อพูดถึงการปฏิรูปให้นึกถึงความยุติธรรมทางสังคม     ซึ่งหากแก้ได้จะนำไปสู่การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ
 

 

ด้านนายแพทย์อำพล จินดาวัฒนะ    เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.)  ได้เขียนบทความ " งบประมาณ คปร. และ คสป. ปฏิรูปประเทศไทย ไม่มีอะไรในก่อไผ่ " ชี้แจงข่าว  คปร. และ คสป. ของบประมาณเพิ่มแบบไม่รู้จักพอ ถึง ๕๖๕.๔๗ ล้าน ดังนี้

เลขา สช.   ชี้แจงผ่านบทความ"งบประมาณ คปร.และ คสป.ปฏิรูปประเทศไทย ไม่มีอะไรในกอไผ่"ว่า  ช่วงที่ผ่านมา มีข่าวสับสนเกี่ยวกับการขอใช้งบประมาณสำหรับการทำงานของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) จนอาจทำให้สาธารณะเข้าใจคลาดเคลื่อนได้

ในฐานะที่ผู้เขียนเข้าไปเกี่ยวข้องกับวงจรเรื่องนี้โดยตรงตลอดช่วงที่ผ่านมา จึงขอเล่าความเป็นมาเป็นไป และข้อเท็จจริงเพื่อให้สาธารณะได้รับรู้และติดตามตรวจสอบต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องการทำงานสาธารณะเพื่อบ้านเพื่อเมือง ไม่มีอะไรแอบแฝง    

หลังจากบ้านเมืองเข้าสู่วิกฤตความขัดแย้งอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๓ มีเวทีระดมความเห็นเพื่อหาแนวทางปฏิรูปประเทศไทย มีการเรียกร้องให้รัฐบาลจัดตั้งกลไกขึ้นมาทำงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ไทยเพื่อหาทางแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่จะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มความเป็นธรรมในสังคมให้ได้  โดยที่ประชุมดังกล่าวได้เสนอแนะให้รัฐบาลไปเชิญผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเข้ามา ช่วยทำงานสำคัญนี้  ซึ่งต่อมา นายกรัฐมนตรีได้ไปเชิญนายอานันท์ ปันยารชุน และนายแพทย์ประเวศ วะสี ให้เข้ามาช่วยเป็นหัวขบวนขับเคลื่อนงานนี้ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐในกำกับนายกรัฐมนตรี ตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ เป็นแกนเสนอออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิรูป พ.ศ. ๒๕๕๓  เพื่อตั้งคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) เป็นกลไกหลักในจัดทำข้อยุติในการปฏิรูปเสนอต่อสาธารณะ และชวนคนไทยทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยในทุกมิติ โดยให้มีเวลาทำงานต่อเนื่อง ๓ ปี    

ต่อมา สช. เสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ต่อ ครม. โดยเสนอวงเงินงบประมาณที่เป็นการคาดการณ์รายจ่ายไว้ล่วงหน้า รวมปีละประมาณ ๒๐๐ ล้านบาท ซึ่งครม. ให้ความเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกฯ ดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ ส่วนเรื่องงบประมาณ ครม. ให้ สช. ไปจัดทำคำของบประมาณโดยให้ คปร. และ คสป.เห็นชอบก่อน แล้วค่อยนำเสนอต่อ ครม. ในโอกาสต่อไป     สช. เสนอให้นายกรัฐมนตรีลงนามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งท่านอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน คปร. และอาจารย์ประเวศ วะสี เป็นประธาน คสป. เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๓ และ สช. จัดตั้งสำนักงานปฏิรูป (สปร.) ขึ้นเป็นหน่วยงานภายในของ สช. เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๓     ช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ๒๕๕๓ สปร. ก็รีบยกร่างแผนงานหลักและงบประมาณของ สปร. เพื่อรองรับการทำงานของ คปร. และ คสป. เสนอให้ คปร. และ คสป. ให้ความเห็นชอบ เมื่อ คปร. และ คสป. ได้ให้ความเห็นชอบแผนงานหลักและวงเงินงบประมาณที่จะขอจากรัฐบาลในส่วนที่คณะ กรรมการแต่ละชุดเกี่ยวข้องแล้ว สปร. ก็ได้ปรับปรุงร่างแผนงานฯ ดังกล่าวเสนอผ่าน สช. ให้นายกรัฐมนตรีนำเสนอต่อ ครม. ตามขั้นตอนปกติ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๓ โดยการทำงานในช่วง ๓-๔ เดือนแรก ที่ยังไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล สปร. ได้ยืมเงินงบประมาณของ สช. ไปใช้ก่อนเป็นเงิน ๑๕ ล้านบาท    

สำหรับการเสนอต่อ ครม. ครั้งนี้ เป็นการขออนุมัติหลักการต่อแผนงาน ๓ ปีของ สปร. รองรับการทำงานของ คปร. และ คสป. ในวงเงินงบประมาณที่ขอจากรัฐบาลรวม ๕๖๕.๔๗ ล้านบาท จำแนกเป็นปีงบประมาณ ๒๕๕๔ วงเงิน ๑๘๗.๔๗ ล้านบาท ปีงบประมาณ ๒๕๕๕ วงเงิน ๑๙๐.๕ ล้านบาท และปีงบประมาณ ๒๕๕๖ วงเงิน ๑๘๗.๕ ล้านบาท โดยในปีแรกเป็นการขออนุมัติใช้งบกลาง เนื่องจากเลยเวลาการของบประมาณประจำปีมาแล้ว  สำหรับปีงบประมาณ ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๖ สช. ต้องทำคำของบประมาณเสนอขออนุมัติตามขั้นตอนปกติต่อไป    

คณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องนี้เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดย (๑) เห็นชอบหลักการของแผนงานหลักของ สปร.ตามที่เสนอ และ (๒) อนุมัติงบกลางของปีงบประมาณ ๒๕๕๔ เป็นเงิน ๑๘๗.๔๗ ล้านบาท ให้สช. (โดย สปร.) ใช้รองรับการทำงานตามแผนงานของ คปร. และ คสป.    

นี่คือการอนุมัติงบประมาณเพื่อการทำงานตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิรูป พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นครั้งแรก และเป็นครั้งเดียว     ที่มีสื่อมวลชนเสนอข่าวว่า คปร. และ คสป. ของบประมาณเพิ่มแบบไม่รู้จักพอ จึงเป็นเรื่องที่ไม่จริง อนึ่ง เนื่องจากในแผนงานหลักของ สปร. ที่ สช. ส่งไปให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบหลักการนั้น มีการประมาณการเงินที่องค์กรภาคีต่างๆ อาจใช้เพื่อร่วมขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยแสดงไว้ด้วย โดยมีหลักคิดว่า ในความเป็นจริงแล้ว การขับเคลื่อนงานใหญ่ของบ้านเมืองครั้งนี้ มีองค์กร ภาคีเครือข่ายเป็นจำนวนมากเข้าร่วมทำงานด้วย ไม่ใช่มีแค่ คปร. และ คสป. เท่านั้น โดยองค์กรภาคีเครือข่ายเหล่านั้นก็มีการใช้เงินขององค์กรตนเองร่วมทำงานเป็นจำนวนไม่น้อยด้วยเช่นกัน  

เช่นที่ผ่านมา สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนได้สนับสนุนเครือข่ายองค์กรชุมชนจัดเวทีประชุมสัมมนา ขับเคลื่อนงานปฏิรูปหลายครั้งทั้งระดับชาติและในพื้นที่ สภาพัฒนาการเมืองก็สนับสนุนเครือข่ายภาคีต่างๆ ทำงานเรื่องนี้อย่างคึกคัก เครือข่ายประชาสังคมหลายแห่งได้จัดประชุมสัมมนาขับเคลื่อนงานนี้เป็นจำนวน มาก  สื่อมวลชนทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์หลายแห่งก็ได้เปิดพื้นที่สำหรับเสนอเนื้อหาสาระและความคืบหน้า การทำงานปฏิรูปประเทศไทยอย่างหลากหลาย  หน่วยงานราชการหลายแห่งก็เข้าร่วมทำกิจกรรมขับเคลื่อนการปฏิรูป ฯลฯ  ซึ่งการทำงานเหล่านี้ แต่ละองค์กรใช้เงินงบประมาณของตนเองทั้งสิ้น    

ดังนั้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วม และเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่องค์กรภาคีเครือข่ายต่างๆ  ในแผนหลักของ สปร. จึงได้เขียนคาดประมาณงบประมาณที่องค์กรภาคีต่างๆ ใช้สนับสนุนการขับเคลื่อนงานปฏิรูปประเทศไทย  ว่าในปีงบประมาณ ๒๕๕๔ อยู่ที่ประมาณ ๑๘๗ ล้านบาท ปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ประมาณ ๒๐๘ ล้านบาท ปีงบประมาณ๒๕๕๖ ประมาณ ๒๒๗ ล้านบาท โดยเขียนไว้ชัดเจนในแผนงานหลักดังกล่าวว่า “เงินสนับสนุนจากภาคี หมายถึงเงินค่าบุคลากรที่องค์กรต่างๆ ส่งเข้าร่วมงานปฏิรูป รวมไปถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จ่ายโดยองค์กร ภาคี เครือข่ายต่างๆ ด้วย” เงินส่วนนี้ คปร. คสป. และ สปร.ไม่ได้ขอเพิ่มจากรัฐบาล และก็ไม่ได้ขอจากองค์กรภาคีใดๆ มาใช้จ่าย เป็นเรื่องการคาดประมาณการใช้จ่ายขององค์กรภาคีต่างๆ เท่านั้น     ตรงนี้กระมัง อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สื่อมวลชนบางส่วน เกิดความเข้าใจผิด จึงเสนอข่าวว่า คปร. คสป. และ สปร. ของบประมาณซ้ำแล้วซ้ำอีก?    

สช. ในฐานะเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เลขานุการของ คปร. และ คสป. มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ทั้งในการทำแผนงาน การของบประมาณ และการใช้งบประมาณ โดยมี สปร. เป็นหน่วยปฏิบัติการ จึงขอให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่สาธารณะ เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ว่าทุกอย่างที่ดำเนินการผ่านมา และที่จะดำเนินการต่อไป เป็นไปอย่างถูกต้องและโปร่งใส และพร้อมที่จะให้ตรวจสอบได้ตลอดเวลา 

 

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สมัชชาแรงงานซัด "มาร์ค" เบี้ยวเพิ่มค่าข้างขั้นต่ำ

Posted: 30 Nov 2010 05:47 AM PST

30 พ.ย. 53 - มติชนออนไลน์รายงานว่าตัวแทนสมัชชาสหภาพแรงงาน นำโดยนายจีรวัฒน์ โพนเวียง ผู้ประสานงานสมัชชาสหภาพแรงงาน เข้ายื่นหนังสือต่อนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรมว.คลังนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยในฐานะอดีตปลัดกระทรวงแรงงาน เพื่อขอให้ดำเนินการช่วยเหลือการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำของผู้ใช้แรงงาน ที่พรรคเพื่อไทย วันที่ 30 พฤศจิกายน

นายจีรวัฒน์ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ยืนยันเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2553 ว่าจะปรับค่าแรงขั้นต่ำทั้งระบบเท่ากันทั่วประเทศเป็น 250 บาทต่อวัน แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำซึ่งมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นผู้รับผิดชอบต่อมติอนุกรรมการวิชาการและกลั่นกรองค่าจ้างเคาะปรับค่า จ้างขั้นต่ำเฉลี่ย 11 บาทต่อวันหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 โดยกรุงเทพฯและปริมณฑลอยู่ในอัตรา 215 บาทต่อวันแสดงว่ารัฐบาลไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญา และตามที่สมัชชาผู้ใช้แรงงานได้ยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมใน 3 ประเด็น คือ

1.ขอให้รัฐบาลเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 250 บาทตามสัญญา 2.เพิ่มสิทธิประโยชน์ประกันสังคมเงินสงเคราะห์บุตรจากเดิม 6 ปีเป็น 12 ปี ให้มีการคลอดบุตรฟรีและเงินช่วยเหลือขณะตั้งครรภ์และคลอดบุตรเหมาจ่ายเป็น เงิน 12,000 บาท และ3.ให้มีการแก้ไขพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานยกเลิกการจ้างงานเหมาค่าแรงเพราะก่อ ให้เกิดปัญหาเลือกปฏิบัติ ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ จึงขอให้พรรคเพี่อไทยผลักดันช่วยเหลือ

"อยากให้นายกรัฐมนตรีคำนึงถึงจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อคำพูด อย่าลืมว่าก่อนพูดเราเป็นนาย แต่เมื่อพูดออกไปแล้วคำพูดเป็นนายเรา สิ่งที่ผู้ใช้แรงงานเรียกร้องให้ ปฏิบัติตามสัญญา นายกรัฐมนตรียังมีเวลาถึงวันที่ 1 มกราคม 2554 ไปแก้ไขค่าแรงขั้นต่ำให้ได้ 250 บาทต่อวันตามที่สัญญาไว้ ถ้าทำไม่ได้ พรรคเพื่อไทยพร้อมดำเนินการแทนและจะเพิ่มให้เป็น 300 บาทต่อวันแต่วิธีการยังไม่เปิดเผยเพราะกลัวถูกลอก"

ที่มาข่าว:

สมัชชาแรงงานซัด"นายกฯ"เบี้ยวเพิ่มค่าข้างขั้นต่ำเข้าทางเพื่อไทยลั่นเพิ่มให้เป็น 300 บาท (มติชนออนไลน์, 30-11-2553)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1291105274&grpid=03&catid&subcatid

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อนุสรณ์ อุณโณ:ร่างกายเรานั้นสำคัญไฉน

Posted: 30 Nov 2010 04:36 AM PST

เช่นเคย นักเคร่งศีลธรรมมักแสดงความไม่เห็นด้วยเมื่อมีการอภิปรายว่าควรจะอนุญาตให้ ผู้หญิงตัดสินใจทำแท้งด้วยตนเองได้หรือไม่ ว.วชิรเมธี กล่าวว่าการทำแท้งเป็นบาปเพราะเป็นการฆ่าคน ทั้งคนทำแท้งและคนรับทำแท้งจะมีบาปติดตามตัวไปทั้งชาตินี้และชาติหน้า เขาชี้ว่าหากไม่เร่งปลูกฝังศีลธรรมในเยาวชนและหากผู้คนยังตกเป็นทาสวัตถุ นิยม ปัญหาการทำแท้งจะไม่หมดไปจากสังคมไทย   

แต่การทำแท้ง รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ มีนัยกว้างขวางและซับซ้อนเกินกว่าจะจำกัดขอบเขตการอภิปรายไว้เฉพาะการตีความ กฎศีลธรรม เพราะการมีเพศสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบทบาทที่ไม่เสมอกันระหว่างชายหญิง การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์หลายกรณีเกี่ยวกับสถานะทางเศรษฐกิจของคู่สามี ภรรยา และการทำแท้งก็เป็นการท้าทายอำนาจเหนือความเป็นความตายของพลเมืองในรัฐสมัย ใหม่อย่างแหลมคม การอภิปรายรูปแบบการใช้ร่างกายทั้งสามอย่างรอบด้านและเท่าทันจำเป็นต้อง พิจารณาประเด็นเหล่านี้ประกอบด้วย

 
ผู้หญิงไทยมักถูกกำหนดให้เป็นฝ่ายตั้งรับในบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างเพศ ดังจะเห็นได้จากวรรณกรรมคำสอนประเภทรักนวลสงวนตัวต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มสุภาษิตสอนหญิง เช่น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประพันธ์ว่า “เป็นสตรีนี้ไซร้มิใช่ง่าย สงวนกายเราไว้อย่าให้หมอง” หน้าที่หลักของผู้หญิงจึงเป็นเรื่องของการรักษาพรหมจารีของตนเองไว้ให้สามี ส่วนผู้หญิงที่ผันตัวเองเป็นฝ่ายรุกมักถูกตำหนิว่าร่านหรือใจแตก หรือหากไปมีเพศสัมพันธ์นอกการสมรสก็จะถูกพิพากษาทางสังคมว่ามีความผิดฐานคบ ชู้สู่สมหรือมีพฤติกรรมสำส่อน ในทางตรงกันข้าม ผู้ชายไทยถูกจัดวางให้สวมบทรุกในความสัมพันธ์ระหว่างเพศ เช่น ได้รับอนุญาตให้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้แต่พองาม ขณะที่หากผู้ชายฝ่าฝืนข้อกำหนดทางเพศก็ไม่จำเป็นต้องถูกประณามแต่เพียงสถาน เดียว ไม่ว่าจะเป็นเฒ่าหัวงูหรือพวกมักมากในกาม แต่พฤติกรรมดังกล่าวสามารถเป็นคุณสมบัติที่มีนัยพึงประสงค์ได้ เช่น การได้รับการขนานนามว่าเป็นขุนแผนหรือคาสโนวา ไม่เคยปรากฏว่าผู้ชายไทยถูกประณามว่าคบชู้หรือสำส่อนเมื่อนอกใจภรรยาหรือว่า คู่ควงไม่ว่าในกรณีใดๆ  
 
ความคาดหวังที่ไม่เสมอ กันดังกล่าวสร้างความยุ่งยากให้กับผู้หญิงไทยเมื่อถึงคราวมีเพศสัมพันธ์ เช่น เพราะถูกคาดหวังให้เป็นฝ่ายตั้งรับ ผู้หญิงไทยจึงประสบความยากลำบากในการสวมบทบาทเป็นผู้ริเริ่มหรือนำเสนอ มาตรการการมีเพศสัมพันธ์ที่รอบคอบและปลอดภัย จะให้ผู้ชายคิดกับผู้หญิงอย่างไรหากผู้หญิงพกถุงยางอนามัยหรืออุปกรณ์คุม กำเนิดอื่นๆ มาด้วยในการมีเพศสัมพันธ์ด้วยกันครั้งแรก แทนที่จะเป็นสาวพรหมจรรย์อย่างที่ถูกคาดหวัง การกระทำดังกล่าวเปลี่ยนสถานภาพผู้หญิงเป็นผู้จัดเจนเรื่องโลกีย์ในทันที ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ที่ดำรงอยู่ก่อนหน้าอย่างสำคัญ ฉะนั้น หากต้องการให้ผู้หญิงมีบทบาทอย่างแข็งขันในการสร้างสรรค์การมีความสัมพันธ์ ทางเพศที่ปลอดภัยก็จำเป็นจะต้องตั้งคำถามกับข้อกำหนดและความคาดหวังต่อ ผู้หญิงในความสัมพันธ์ระหว่างเพศดังกล่าวนี้ด้วย ซึ่งแปลว่าจะต้องท้าทายกฎศีลธรรมส่วนที่มักถูกนำมาใช้ในการคัดค้านการทำแท้ง โดยตรง
 
ขณะเดียวกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์มักถูกลดทอนให้เป็นเพียงผลพวงของการมี เพศสัมพันธ์ที่ไร้วุฒิภาวะ เป็นผลลัพธ์ของความรักสนุกที่ขาดความรอบคอบและยับยั้งชั่งใจของเด็กวัยรุ่น ใจแตก ทว่าในความเป็นจริงการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์สามารถเกิดขึ้นได้ในหลาย เงื่อนไข โดยนอกจากกรณีสุดขั้วอย่างเช่นการข่มขืน การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างคู่สามีภรรยา (ไม่จำเป็นว่าจะต้องจดทะเบียนสมรสกันหรือไม่) ในบางกรณีสามารถนำไปสู่การตั้งครรภ์ในลักษณะดังกล่าวได้ เช่น ด้วยภาวะบีบคั้นทางเศรษฐกิจ คนหาเช้ากินค่ำหรือคนงานค่าแรงต่ำจำนวนมากไม่มีเวลาให้กับการคิดเรื่องการ คุมกำเนิดมากนัก การป้องกันมักกระทำอย่างไม่รัดกุม โอกาสพลาดจึงมีสูง และเมื่อพลาดแล้วก็ไม่สามารถที่จะแบกรับภาระทางเศรษฐกิจที่จะตามมาได้ จึงกลายเป็นการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ไปในที่สุด ฉะนั้น การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์จึงไม่ได้เป็นเพียงปัญหาความบกพร่องทางศีลธรรมของ ปัจเจกบุคคลที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการเทศนา หรือเป็นอาการใจแตกของเด็กวัยรุ่นที่สามารถป้องกันได้ด้วยการอบรมสั่งสอน แต่เป็นอาการปรากฏของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่ต้องอาศัยการจัด ระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกลุ่มต่างๆ ใหม่ในการคลี่คลาย
 
นอกจากนี้ การต่อต้านและการประณามการทำแท้งด้วยกฎศีลธรรมทำให้มองไม่เห็นว่าการทำแท้ง เป็นปัญหาของการจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจเหนือชีวิตระหว่างปัจเจกบุคคลกับรัฐ สมัยใหม่ โดยนอกจากการปกป้องชีวิตพลเมืองในฐานะทรัพย์สิน รัฐสมัยใหม่ผูกขาดสิทธิและอำนาจเหนือความเป็นความตายของผู้คนในเขตแดนของตน มีเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ความรุนแรงกับประชาชน ได้อย่างถูกกฎหมาย มีเฉพาะผู้พิพากษาโดยพระปรมาภิไธยเท่านั้นที่สามารถออกคำสั่งประหารชีวิตผู้ กระทำผิดได้ (และมีเฉพาะพระมหากษัตริย์เท่านั้นที่ทรงพระราชทานอภัยโทษประหารชีวิตได้) ส่วนความรุนแรงและความตายที่ไม่เข้าข่ายนี้จัดเป็นอาชญากรรมหรือฆาตกรรมที่ จะต้องถูกลงทัณฑ์ ฉะนั้น การที่ผู้หญิงทำแท้งโดยพลการหรือไม่มีกฎหมายรองรับจึงเป็นฆาตกรรมในสายตาของ รัฐ เพราะเป็นการทำลายชีวิตที่รัฐอ้างสิทธิในการปกป้องคุ้มครอง ขณะเดียวกันก็เป็นการท้าทายอำนาจเหนือความตายของผู้คนของรัฐ เพราะมีแต่รัฐเท่านั้นที่มีสิทธิอำนาจจะพรากชีวิตพลเมืองของตนได้ ผู้หญิงอาจมีสิทธิในการให้ชีวิต แต่ไม่สามารถใช้สิทธิเหนือเนื้อตัวหรือร่างกายของตนเป็นข้ออ้างในการพราก ชีวิตผู้อื่น เว้นแต่จะได้รับการอนุญาตจากรัฐ เพราะแม้กระทั่งชีวิตของผู้หญิงเองก็มีรัฐเป็นผู้ผูกขาดสิทธิอำนาจในการปก ป้องและทำลายมาตั้งแต่ต้น
 
การทำแท้งจึงชี้ให้เห็นปัญหารากฐาน ของสังคมร่วมสมัยที่ไปไกลกว่าความเสื่อมทรามทางศีลธรรมและการตกเป็นทาสของ วัตถุนิยมของผู้คน เพราะนอกจากจะเป็นผลพวงของความสัมพันธ์ระหว่างเพศที่ไม่เสมอกันที่กีดกัน ผู้หญิงออกจากการมีบทบาทในการสร้างสรรค์เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย การทำแท้งเป็นอาการปรากฏของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่สร้างรูปแบบชีวิต ที่สุ่มเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์และมีทางเลือกในการแก้ปัญหา จำกัดเฉพาะสถานทำแท้งราคาถูก ขณะเดียวกันการถกเถียงเรื่องการทำแท้งก็ชี้ให้เห็นว่าร่างกายเป็นอาณาบริเวณ ที่ปัจเจกบุคคลกับรัฐช่วงชิงการอ้างสิทธิและอำนาจอย่างเข้มข้น การหาข้อยุติให้กับปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย กระนั้นก็คงไม่ใช่ด้วยการเทศนาหรือว่าอบรมจริยธรรม เพราะนอกจากจะลดทอนความสลับซับซ้อนของปัญหา วิธีการทั้งสองคือส่วนหนึ่งของปัญหาเมื่อมาถึงประเด็นความสัมพันธ์ระหว่าง หญิงชายในสังคมไทย
 
 
 
เผยแพร่ครั้งแรกใน:คอลัมน์ คิดอย่างคน หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ มหาประชาชน ปีที่ 1 ฉบับที่ 13 วันที่ 26 พฤศจิกายน ถึง 2 ธันวาคม 2553

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"เรื่องอย่างว่า" : ตอน1 ความน้อยเนื้อต่ำใจของผู้ต้องหาคนหนึ่ง

Posted: 30 Nov 2010 03:52 AM PST

 
บันทึกชุดนี้เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้้งใจ ...
 
น่าเสียดายที่เราไม่อาจเปิดเผยสิ่งใดได้เลย ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยของทั้งคนเล่าและคนเล่าต่อ
 
ในยุคสมัยที่มืดมน ใครอาจตีอกชกหัวที่เรื่องราวของผู้ถูกกระทำคนหนึ่งเป็นได้เพียง "นิยายประโลมโลกย์" หรือ "วรรณกรรมก่อนนอน" หาใช่รายงานอันมีข้อมูลหลักฐานหนักแน่น
 
แต่เชื่อเถิดว่ามันมีพลังเสมอ โดยเฉพาะเมื่อมันดิ้นรนที่จะมี "ชีวิต" ของมันเอง และพร้อมสื่อสารความเป็นไปต่างๆ ด้วยตัวเองให้คนร่วมยุคสมัยได้รับรู้
 
ใช่ ... บันทึกชุดนี้เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้้งใจ แต่ขอให้รับรู้ไว้ว่ามันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง พลังใจของผู้เล่า แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต
 
 
เขาไม่ใช่ผู้ต้องขังคนแรกที่โดนข้อหาอย่างว่า ข้อหาที่แปลกประหลาดที่สุดของประเทศนี้ 

เรายังไม่รู้ว่าเขาทำอย่างว่าจริงหรือเปล่า แต่แม้สมมติว่าจริง ความเห็นของมหาชนก็ยังแตกต่างกันไป

บางคนว่าเรื่องอย่างว่าที่เขาทำเป็นเรื่องเล็กน้อยในสังคมสมัยใหม่ และออกจะไร้สาระเมื่อเทียบกับโทษทัณฑ์

บางคนว่าเรื่องอย่างว่าที่เขาทำ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด เป็น "สิทธิ" ชนิดหนึ่ง เรียกว่า สิทธิในการแสดงออก

บางคนว่าเรื่องอย่างว่าที่เขาทำร้ายแรงอย่างไม่อาจให้อภัยได้ ทำร้ายจิตใจ "คนไทย" และบ่อนทำลายรากฐานสังคม

                                                                             ฯลฯ 

คดีเพิ่งเริ่มต้น ศาลยังไม่พิพากษา กาลเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า คนยังคิดเห็นไปได้นานา แต่อย่างว่า...เขาอยู่ในคุกมาแล้วเกือบปี

- - - - - - - - - - - - - - - - -

เขาเป็นคนตัวเล็ก ท่าทางดูเรียบร้อย คำพูดคำจายิ่งบ่งบอกว่าเป็นคนใจดีและ "มีการศึกษา"

หลังจากถูกบุกจับกุมตัวที่บ้านพักและนำตัวมาไว้ในห้องขัง สภาพจิตใจของเขาแย่มาก เนื่องจากชีวิตของคนชั้นกลางธรรมดาคนหนึ่งพลิกผันไปสู่การเป็นคนคุกเพียงชั่วคืน

เขาปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างว่า (มีไม่กี่คนที่ตัดสินใจปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างว่า เพราะบทเรียนจากนักโทษคนก่อนๆ บ่งบอกว่า...ยิ่งสู้ ยิ่งหนัก) และพยายามประกันตัว แต่ไม่เป็นผล คดีอย่างว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะได้ประกันตัว ถ้าไม่ใช่คนโด่งดังมีสถานะในสังคม หรือนิยมรับประทานเส้นใหญ่น้ำใสจริงๆ

เขามีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง อยู่ในแวดวงไซ...ยะ สาด และมักช่วยเหลือเพื่อนฝูงออกแบบห้องพิธีกรรมเอาไว้ให้คน "ปล่อยของ" เสมอ

เขาเล่าว่า กระทั่งมีคนเข้ามาปล่อยของแรงมากจนเป็นเหตุให้เขาถูกจับกุมตัว ทั้งที่เป็นเพียงผู้ออกแบบห้อง ไม่ใช่ผู้จัดการการใช้ “พื้นที่” นั้น

เมื่อ single dad อยู่ในคุก ลูกชายคนเดียวที่ยังเล็กก็ต้องเผชิญชีวิตคนเดียวภายนอกโดยอาศัยอยู่กับเพื่อนๆ ของพ่อ ในครั้งแรกๆ ที่เจอกัน เขาร้องไห้เสมอเมื่อเอ่ยถึงลูก ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงอดีตผู้ต้องขังพ่อลูกสามรายก่อน

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ไม่ค่อยมีใครมาเยี่ยมเขาหรอก เพราะผู้คนต่างกลัวจะเกี่ยวพันกับเรื่องอย่างว่า

แม้แต่ครอบครัวของเขาเองก็เงียบหายไปหลายเดือน จนกระทั่งป๊าต้องไปบังคับให้ญาติๆ พากันมาเยี่ยมอย่างแกนๆ เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนก่อน

ตอนที่ป๊าและน้าๆ ป้าๆ มาเยี่ยม เขาดีใจมาก ยิ้มจนปากเกือบฉีกถึงหู

ป๊าเขียนจดหมายมาหาเขาด้วยในช่วงหลัง ถามสารทุกข์สุขดิบและพูดทีเล่นทีจริงว่า..อาตี๋ ถ้าลื้อออกมาแล้ว ลื้อก็ไปเปลี่ยนนามสกุล ตั้งตระกูลใหม่ได้เลยนา

เขาเล่าเรื่องขบขันนี้ด้วยเสียงหัวเราะแปร่งๆ และแววตาปวดร้าว 
 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

"ผมเคยได้ยินแนวร่วมของผมและเพื่อนๆ ชาวไซ...ยะสาด พูดกันอยู่เสมอว่า "เราไม่ทอดทิ้งกัน" ผมเองก็คาดหวังอยู่เสมอว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่พอมาประสบชะตากรรมเช่นนี้แล้วก็ดูเหมือนว่าผมอาจจะ "คาดหวัง" มากเกินไป และรู้สึกว่าคำๆ นี้อาจเป็นเพียงคำที่ใช้ปลอบใจสำหรับคนที่อยู่ข้างนอกเท่านั้น คนที่พลั้งพลาดไปแล้วอย่างผม และเพื่อนๆ ที่ไม่ใช่แกนนำอีกหลายคนก็อยู่แบบ "ตัวใครตัวมัน" ก็แล้วกัน จริงๆ แล้วผมเองพยายามในหลายๆ ทางที่จะให้เพื่อนข้างนอกให้ความใส่ใจกับคนภาคไซ...ยะสาด ที่โดนคดีอย่างว่าเหมือนผมให้มาก ซึ่งผมเองไม่แน่ใจว่าทั่วประเทศไทยมีอยู่จำนวนเท่าไหร่ ผมเองมีโอกาสคุยกับแกนนำคนหนึ่งหลายครั้งแต่ดูเหมือนเขาไม่ค่อยเห็นความสำคัญของภาคไซ..ยะสาดเท่าไหร่ เค้ายังคงมั่นใจกับการเคลื่อนแบบเดิมๆ ทั้งๆ ที่ผมเองมั่นใจว่าตลอดมาตั้งแต่ 19 ก.ย. จนถึงวันนี้ภาคไซ..ยะสาดยังคงเป็นกำลังสำคัญมาตลอด แม้พวกเราจะถูกหาว่าเก่งแต่หน้าคอมก็ตาม แต่วันนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว และก้าวต่อไปถ้ามีเหตุอะไรที่จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลง กำลังทางไซ...ยะสาด นี้แหละที่มีความสำคัญที่สุด ต้องเน้นและทำขนานกันไปกับแนวทางเดิม และเมื่อกำลังทางไซ...ยะสาด สำคัญ "แกนนอน" ทางไซ..ยะสาดทุกคนก็ควรได้เกียรติเฉกเช่นแกนนำที่อยู่ตอนนี้ด้วยเช่นกัน และนี้คือเหตุผลที่ผมอยากเล่าให้ฟัง และผมมิได้คิดเพื่อตัวผมเอง แต่เพื่อพี่น้องชาวไซ...ยะสาด ของผมจะได้รับความสำคัญ และยกย่องบ้างจากพี่น้องที่พวกเขาทุ่มเทและศรัทธาไม่มากไม่น้อยไปกว่าใครเลย..." คำบอกเล่าของเขาคนนั้น

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ใบตองแห้งออนไลน์: ปชป.รอด แล้วศาลล่ะ

Posted: 29 Nov 2010 11:57 PM PST

 
 
เมื่อเย็นวันจันทร์เชื่อว่าหลายคนคงเตรียมใจไว้แล้วเหมือนผม ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่เมื่อคำวินิจฉัยออกมาแล้ว ก็อดเซอร์ไพรส์ไม่ได้ว่าไหงกลายเป็น ปชป.ชนะฟาวล์ หมดอายุความ เพราะ กกต.ยื่นเรื่องยุบพรรคเกินกำหนด 15 วัน
 
ผลก็คือ ปชป.ลอยนวล เป็น “ของขวัญวันพ่อ” แด่พ่อน้องปลื้มกะพ่อน้องปราง โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าตกลง ปชป.ทำผิดหรือไม่ และไม่มีทางรู้ เพราะไม่สามารถนำมาฟ้องซ้ำได้อีกแล้ว
 
ปชป.จึงลอยนวล โดยที่สังคมยังคาใจ จากที่มีคลิปคาใจ ตอนนี้ยิ่งค้างเข้าไปใหญ่
 
คือผมเนี่ยเตรียมใจไว้แล้วนะครับ ท่านอาจารย์จรัญ พร้อมยอมรับคำวินิจฉัยว่าพรรค ปชป.ไม่ผิด ต่อให้เป็นการกระทำผิดของหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค กรรมการบริหารพรรค ก็ต้องลงโทษเฉพาะตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่ลงโทษพรรคซึ่งเป็นสถาบัน เป็นของสมาชิกพรรคหลายล้านคนที่บ้างก็เลือกมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายายสมัยคึกฤทธิ์ให้คนไปตะโกนในโรงหนัง หรือบ้างก็เลือกพรรคโดยไม่สนใจว่าจะส่งไอ้เท่งไอ้ไข่นุ้ยหรือว่าเสาไฟฟ้ามาลงสมัคร
 
นั่นจะเป็นการตีความที่ “ภิวัตน์” อย่างแท้จริง คือตีความกฎหมายให้ก้าวหน้า สอดคล้องหลักการประชาธิปไตย ไม่ให้มีการยุบพรรคการเมืองกันง่ายๆ เว้นเสียแต่เป็นพรรคนาซี พรรคฟาสซิสต์ ที่ พรบ.พรรคการเมืองมาตรา 95(1) บัญญัติว่า “กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ” (เอ๊ะ มาตรานี้กระเทือนซางใครที่ร่วมมือกับรัฐประหารหรือเปล่า)
 
แต่พอคำวินิจฉัยออกมาแบบนี้ 4-2 (ต่อลูกควบลูกครึ่งยังกินเรียบ) มันก็ทำให้เกิดข้อกังขาสิครับ แถมอึดอัด เหมือนดูหนังไม่จบเรื่อง ไฟดับกลางคัน แต่หนังยังดูใหม่ได้ เอาเป็นว่าเหมือนเข้าห้องสุขาแล้วมีเหตุปัจจุบันทันด่วน ไม่สุด! มันยังคาๆ อยู่ พร้อมกับข้อกังขาหลายประการ
 
เช่น เอ๊ะทำไมศาลท่านไม่วินิจฉัยซะตั้งแต่แรก ว่ากระบวนการยื่นคำร้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปล่อยให้ทั้งผู้ร้องผู้ถูกร้องสู้คดีกันเป็นวรรคเป็นเวร สุดท้ายเหนื่อยฟรีกลายเป็นนกเด้าลม (กระเด้าลมก็เรียก-พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน) แถมยังมีเรื่องบานปลายแอบถ่ายฉายคลิปกันวุ่นวาย ถ้าตัดไฟเสียแต่ต้นลมคงไม่ยุ่งยากปานนี้
 
เอ้อ แถมในคลิปก็ดูเหมือนจะพูดกันประเด็นนี้ด้วยนะ คือประเด็นที่ท่านอภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมือง (ซึ่งศาลตีความแยกบทบาทให้เป็นฉากๆ) จะเป็นเหตุให้ ปชป.”ชนะฟาวล์” ต้องเอาท่านมาให้การให้ได้ แม้สุดท้ายไม่มาให้การ ก็ยังเป็นประเด็นชี้ขาดอยู่ดี
 
ยิ่งกว่านั้นในฐานะชาวบ้านธรรมดาอย่างเราก็ยังอดกังขาไม่ได้ว่า เอ๊ะ กกต.5 คนก็เป็นอดีตผู้พิพากษาซะ 4 คน ไหงตีความกฎหมายพลาดง่ายๆ ปล่อยให้คดีขาดอายุความ กกต.จะออกมาแก้ตัวอย่างไร ผมยังไม่ได้ฟัง อยากฟัง เพราะถ้าท่านแก้ตัวไม่ขึ้น ก็คือท่านบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่อย่างร้ายแรง ทำให้คดีแท้งต้องเอาศพไปทิ้งที่วัดไผ่เงิน
 
อันที่จริงเรื่องนี้มีมุขคั่นเวลานะครับ นับดูดีๆ กกต.5 คนมีอดีตผู้พิพากษา 4 คน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 6 คนมีอดีตผู้พิพากษา 5 คน หนึ่งในเสียงข้างมากคือท่านสุพจน์ ไข่มุกด์ มาจากทูต ฉะนั้นคดีนี้ถ้านับเฉพาะเสียงอดีตผู้พิพากษาก็คือชนะกัน 3 ต่อ 6 (3 เป็นฝ่ายชนะ)
 
มีบางคนยกคดีนี้ไปเทียบกับคดีอัลไพน์ของป๋าเหนาะ แต่บางข้อก็ต่างกันนะครับ เพราะคดีอัลไพน์ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง วินิจฉัยตั้งแต่การพิจารณาคดีนัดแรกว่าขาดอายุความ ป๋าเหนาะก็เลยไม่ต้องสู้คดีเปล่าๆ เป็นนก (กระ) เด้าลม
 
อันที่จริงคดีนั้นก็น่ากังขาเหมือนกัน เพราะศาลท่านชี้ว่า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 95 วรรคหนึ่ง การฟ้องคดีอาญาต้องได้ตัวจำเลยมาที่วันฟ้องด้วย อายุความจึงจะหยุด แต่การยื่นฟ้องของ ป.ป.ช.ในคดีดังกล่าว ได้ยื่นฟ้องวันที่ 21 สิงหาคม 2553 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่คดีครบกำหนด โดยไม่มีตัวจำเลยมา อายุความของคดีจึงไม่นับให้ยุติลงในวันดังกล่าว วันนี้จำเลยได้เดินทางมาศาล ซึ่งเกินเวลาของอายุความ ศาลจึงวินิจฉัยให้พิพากษายกฟ้อง
 
ฟังแล้วกังขาไหมครับ ว่า ปปช.ที่เต็มไปด้วยอดีตผู้พิพากษา ผู้รู้ ผู้กล้า ไหงถึงพลาดง่ายๆ ทำเหมือนแมงแสนตีน (กิ้งกือ-ภาษาเหนือ) ตกน้ำตาย แต่อย่างว่านะแหละ ป๋าเหนาะแกไม่ค่อยมีศัตรู ก็เลยไม่มีใครไปไล่บี้โวยวาย (ลองเป็นคดีทักษิณสิ พลาดแบบนี้โดนขรมเจ็ดชั่วโคตร)
 
แต่คดียุบพรรคนี่ใครจะยอมง่ายหรือเปล่าไม่ทราบ เพราะโดยสามัญสำนึกแบบชาวบ้าน ก็ต้องสรุปว่าถ้าศาลท่านตัดสินอย่างนี้ ก็แปลว่า กกต.ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องอย่างร้ายแรง แล้ว กกต.จะรับผิดชอบอย่างไร ถ้าท่านเห็นว่าท่านไม่ผิด ท่านก็ต้องโต้แย้งคำวินิจฉัย ให้สังคมชั่งน้ำหนักว่า กกต.5 คน (ที่มีอดีตผู้พิพากษา 4 คน) บวกอดีตผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยอีก 2 คน กับตุลาการเสียงข้างมาก 4 คน (ที่มีอดีตผู้พิพากษา 3 คน) ใครมีเหตุมีผลกว่า
 
 
แม้วบงการคลิป
จบแค่นี้?
 
เรื่องบังเอิญอีกประการคือ “น้องปอย” พสิษฐ์ ออกคลิปล่าสุดพูดถึง “รอการลงโทษ” แต่ก็คงไม่มีใครให้น้ำหนัก เพราะถูกซัดถูกโยงไปเรียบร้อยแล้วว่า “อดีตผู้บริหารสูงสุด” เป็นผู้บงการคลิป
 
วันก่อนผมเห็นไทยโพสต์พาดหัวข่าว “แม้วบงการคลิป” แล้วก็หัวร่องอหงาย อ้าว เพิ่งรู้หรือ ไม่ใช่ว่าพยายามจะชี้จะนำมาให้ออกทางนี้หรือ
 
“แม้วบงการคลิป” จะได้ทำลายน้ำหนักของคลิปทั้งหมด ให้กลายเป็นความเท็จ ปัดเป่าข้อกังขาข้อครหาทั้งหลายที่มีต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อย่างนั้นหรือ
 
ขอประทานโทษ เรื่องยังไม่จบนะครับ มันจะจบได้ไงเพราะท่านตั้งกรรมการมาสอบตัวเองแล้วแท้งเป็นผีเด็กไปซะก่อน บวรศักดิ์หลวมตัวมารับแล้วรู้สำนึก ชิ่งหนีเอาดื้อๆ หมดศักดิ์ศรี “เนติบริกร” (ไหนว่าบริการได้ทุกเรื่อง)
 
เรื่องที่ค้างคาอยู่ยังไม่ลอยนวลไปเหมือน ปชป.และยิ่งเป็นประเด็นทับถมให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องรีบเคลียร์ตัวเอง ซึ่งพอสรุปเป็นประเด็นๆ ได้ดังนี้
 
หนึ่ง พฤติกรรมของ “น้องปอย” ประธานศาลรัฐธรรมนูญผู้แต่งตั้งมาเป็นเลขาฯ ควรต้องรับผิดชอบหรือไม่ – “ควร” พวกเกลียดทักษิณ พวกเอาหน้าแนบก้น ปชป.ตอบทันทีว่าควร เพราะท่านดันเป็นเสียงข้างน้อย ให้คอยดู จะมีการรุมถล่มร่ำลือส่งเมล์ซุบซิบโยงเข้ากับ “น้องปอย” และ “อดีตผู้บริหารสูงสุด” จะรักษาเก้าอี้ประธานไปได้นานแค่ไหนก็ไม่รู้
 
แต่ข้อสอง พฤติกรรมของตุลาการคนอื่นๆ ที่ถูกเปิดเผยว่าตั้งลูก ตั้งญาติ มาเป็นเลขา ผู้ช่วยเลขา ที่ปรึกษา เรื่องนี้จะถูกทำให้เงียบหายไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง ทั้งที่เป็นเรื่องไม่ต้องตั้งกรรมการสอบก็ได้ แค่ทุกท่านเปิดเผยรายชื่อออกมาว่าเป็นใครบ้าง ใช่ญาติพี่น้องไหม มีความสามารถอะไร ถ้าลูกจบเกียรตินิยมจบเนติบัณฑิต ก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเอาเพื่อนร่วมรุ่นมาเป็นที่ปรึกษาโดยไม่มีความรู้ทางกฎหมายหรือทางรัฐศาสตร์ สังคมจะได้เห็นว่าท่านทำตัวเหมาะสมไหม
 
ง่ายๆ แค่เนียะ ไม่ยักมีใครทำ ท่านอาจารย์จรัญผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องควรทำก่อนเพื่อน คนอื่นจะได้ทำตาม
 
ข้อสาม ทุจริตสอบเข้ารับราชการ ป่วยการที่จะตั้งคณะกรรมการสอบ เพราะไม่มีใครยอมมาเป็นประธาน ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เอาคนในคลิปมาเปิดแถลงข่าวถ่ายทอดสดรถโมบายล์ แล้วให้เปิดคลิปเทียบเสียงเทียบกิริยาอาการ จากนั้นก็เปิดให้ผู้สื่อข่าวซักถามว่า สิ่งที่พูดในคลิปเป็นความจริงไหม จริงไม่จริงอย่างไร ให้ “น้องปอย” โฟนอินเข้ามาโต้แย้งกัน เป็นเวทีสาธารณะ (ท่านกล้าไหม)
 
นอกจากนี้เพื่อให้โปร่งใสแท้จริง เปิดเผยรายชื่อผู้ที่สอบเข้ารับราชการได้ พร้อมประวัติเทือกเถาเหล่ากอลูกเต้าเหล่าใคร มีลูกหลานตุลาการจริงไหม ศาลนี้หรือศาลไหน สังคมตรวจสอบต่อได้
 
ปชป.ลอยนวลไปแล้วครับ แต่เรื่องของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยังไม่จบ แถมท่านยังมาทำให้อึดอัด ค้างคา ไม่สุด ขอความกรุณาโปรดทำอะไรให้เคลียร์ๆ ซักหน่อยเถอะนะ
 
ส่วนประเด็นกฎหมายคดียุบพรรคเนี่ย เอาไว้คำวินิจฉัยที่เป็นทางการ กับคำวินิจฉัยส่วนตนออกมา คงมีเชิดฉิ่งกันอีกรอบ เพราะมีอะไรแปลกๆ การประชุมเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2552 ท่านอภิชาติไม่เห็นด้วยกับมติยุบพรรค แต่ศาลกลับเห็นว่า ความปรากฏแก่นายทะเบียนพรรคการเมืองแล้ว ตามมาตรา 93 ต้องเริ่มนับ 15 วัน โดยไม่ต้องมารอมติเอกฉันท์วันที่ 21 เมษายน 2553 ทั้งนี้ ศาลยังไปตีความแยกอีกว่าความเห็นของท่านอภิชาติเป็นความเห็นในฐานะประธาน กกต.ไม่ใช่ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง
 
อ้าว ก็วันที่ 17 ธันวาคมเนี่ย ท่านอภิชาติไม่ยอมยุบ ในขณะที่ กกต.คนอื่นมีมติให้ยุบ แล้วศาลก็บอกอยู่ว่า การยื่นยุบพรรคเป็นอำนาจนายทะเบียนพรรคการเมือง เพียงขอความเห็นชอบจาก กกต.
 
นายทะเบียนผู้มีอำนาจยื่นเรื่องยุบพรรค ไม่ยอมยื่นเรื่อง เพราะไม่เห็นด้วยกับมติ กกต.เสียงข้างมาก แต่ศาลบอกว่า ความปรากฎแก่นายทะเบียนแล้ว ต้องยื่นภายใน 15 วัน ไม่ยื่นก็ขาดอายุความ ส่วนที่ท่านไม่เห็นด้วยก็ชั่ง เพราะถือว่านั่นเป็นความไม่เห็นด้วยในฐานะประธาน กกต.
 
มันฟังแปลกๆ ดีไหมล่ะ
 
                                                                        ใบตองแห้ง 95
                                                                        30 พ.ย.53
.............................................
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "ตลกยังร้องไห้"

Posted: 29 Nov 2010 08:31 PM PST

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "ตลกยังร้องไห้"

นิธิ เอียวศรีวงศ์:พื้นที่การเมืองที่ปิดไม่ลง

Posted: 29 Nov 2010 07:51 PM PST

กล่าวกันว่า นโยบายพัฒนาที่ธนาคารโลกนำมาสู่ประเทศไทย ภายใต้เผด็จการสฤษฎิ์ ธนะรัชต์ และทายาท ได้สร้างคนชั้นกลางรุ่นใหม่ขึ้นในสังคมไทย คนเหล่านี้ไม่อาจทนอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการทหารที่กีดกันพวกตนออกไปจากการมี ส่วนร่วมทางการเมืองได้ จึงร่วมมือกับชนชั้นนำตามจารีต, ทุน และกลุ่มทหารที่ไม่พอใจการเมืองภายในกองทัพขับไล่ผู้นำเผด็จการทหารออกไปใน การปฏิวัติ 14 ตุลา

แต่การจัดสรรแบ่งปันอำนาจระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่ร่วมกันโค่นล้มเผด็จการทหารหลังจากนั้น ไม่ได้ลงตัวและออกจะขัดแย้งกันอย่างเปิดเผย มีการช่วงชิงการนำกันระหว่างกลุ่มต่างๆ ทั้งระหว่างกลุ่มและภายในกลุ่มกันเอง ในขณะที่ขบวนการนิสิตนักศึกษา พยายามผลักดันความเปลี่ยนแปลงไปสู่จุดที่ค่อนข้างถอนรากถอนโคน นั่นคือขยายสิทธิประชาธิปไตยทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจลงไปถึงคนระดับ ล่าง ซึ่งอยู่นอกกลุ่มคนชั้นกลางรุ่นใหม่ และอย่างเป็นรูปธรรม เช่นผลักดันกฎหมายเช่าที่นา และสนับสนุนการเคลื่อนไหวของแรงงานภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น

แม้เมื่อ ได้ขจัดบทบาททางการเมืองของกลุ่มนิสิตนักศึกษาไปได้หลังวันที่ 6 ตุลาคม 2519 แต่การช่วงชิงการนำของกลุ่มทุน-ธุรกิจ, ชนชั้นนำตามจารีต, กองทัพ, ราชการ ฯลฯ ก็ยังไม่ลงตัว มีการรัฐประหารซ้อนที่สำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง สืบมาอีกหลายครั้ง ต้องใช้เวลาอีก 5-6 ปีต่อมา กว่าการช่วงชิงการนำจะลงตัว จนเกิดระเบียบที่ชัดเจนของการนำขึ้นมาได้

ทั้งนี้เพราะคนชั้นกลางมี พลวัตสูง โดยเฉพาะคนชั้นกลางรุ่นใหม่ซึ่งยังไม่ได้ถูกผนวกเข้าไปในโครงสร้างอำนาจ ย่อมก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในระบบ ทั้งโดยสงบและโดยวิธีรุนแรงได้ตลอดเวลา

ในที่สุดระบบก็มา ยุติลงตัวกันที่ระบอบเลือกตั้งที่มีการกำกับโดยกองทัพร่วมกับชนชั้นนำตามจารีต เข้ามาร่วมกำหนดการจัดตั้งรัฐบาลโดยลับๆ หรือโดยเปิดเผยคือก่อรัฐประหารยึดอำนาจ ตั้งรัฐบาลชั่วคราวแล้วจัดการเลือกตั้งใหม่

ภายใต้ระบอบ เลือกตั้งที่มีการกำกับนี้ กลุ่มคนชั้นกลางรุ่นใหม่ที่ยังไม่ได้ถูกผนวกเข้าไปในโครงสร้างอำนาจ ก็ค่อยๆ ถูกผนวกเข้าไป จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างอำนาจ ในที่สุดก็มีความฝันอันเดียวกับชนชั้นนำในโครงสร้างอำนาจนี้
กล่าวคือ ฝันว่าระบอบนี้จะมีความยั่งยืนตลอดไป

ยุทธวิธี ที่นำไปสู่ความสำเร็จเช่นนี้น่าสนใจ แม้ไม่ได้มีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นผู้คิดขึ้นทั้งหมดมาแต่แรก เพราะกลายเป็นบทเรียนที่ "อำนาจ" มีอยู่เพียงอย่างเดียว สำหรับการกลืนคนชั้นกลางรุ่นใหม่เข้ามาในระบบโดยไม่ให้สะเทือนทั้งโครงสร้าง

ยุทธวิธี นั้นคือ ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ได้ใช้ความรุนแรงอย่างป่าเถื่อนกับคนชั้นกลางรุ่นใหม่กลุ่มที่ไม่ยอมอยู่ภาย ใต้การกำกับของกลุ่มอำนาจต่างๆ ภายในโครงสร้างอำนาจ ปิดพื้นที่ทางการเมืองในระบอบของคนกลุ่มนี้ลงโดยสิ้นเชิง คนจำนวนเป็นพันที่ไม่ได้หนีเข้าป่า (คือหนีไปสู่พื้นที่ทางการเมืองที่อยู่นอกระบอบ) ถูกจำขังในเรือนจำ โดยไม่มีโอกาสต่อสู้คดีในศาลยุติธรรม

ในขณะที่ปิดพื้นที่ทางการเมือง ที่เป็นอิสระของคนชั้นกลางรุ่นใหม่กลุ่มที่ไม่ยอมสยบต่อระบบ แต่ก็เปิดช่องทางที่จะเข้ามาสู่พื้นที่ทางการเมืองภายใต้กำกับไว้ให้กว้าง จะออกจากป่า หรือออกจากคุก หรือจากที่ซ่อนใดๆ ก็ไม่มีอันตราย แต่อย่าสร้างพื้นที่ใหม่ทางการเมืองที่เป็นอิสระจากการกำกับเป็นอันขาด หากจะมีบทบาททางการเมืองก็ต้องเข้ามาสู่พื้นที่ภายใต้การกำกับ หากยอมรับพื้นที่นี้ได้ไม่เต็มที่ ก็ยังเหลือพื้นที่ตามชายขอบให้แก่การปฏิบัติงานของเอ็นจีโอ

แต่ถึงแม้เป็นพื้นที่ชายขอบ ก็ใช่ว่าจะเป็นพื้นที่อิสระ

การ กำกับโดยทางอ้อมก็ยังเอื้อมไปถึง เช่นหากการทำงานมีทีท่าว่าจะคุกคามความชอบธรรมของระบบ ก็อาจทำลายความชอบธรรมเสีย โดยการกล่าวหาว่ารับจ้างต่างชาติ หรือเป็นนายหน้าค้าความจน

ยิ่งมาในภายหลังเมื่อระบบหันมาใช้ นโยบายอุดหนุนการปฏิบัติงานของเอ็นจีโอโดยตรง ผ่านโครงการของหน่วยราชการหรือองค์กรของรัฐในเสื้อคลุม "ภาคประชาชน" เช่น สสส. การกำกับก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเป็นผู้กุมกระเป๋าเงิน

ด้วย ยุทธวิธีเช่นนี้ ในไม่ช้าคนชั้นกลางรุ่นใหม่ (ในรุ่นนั้น) ก็สามารถกลืนเข้าไปกับระบบได้ราบรื่น และแนบเนียนจนเป็นเนื้อเดียวกัน ต่างพอใจที่จะมีพื้นที่ทางการเมืองภายใต้กำกับเพื่อความเป็นระเบียบเรียบ ร้อย และพากันยินดีต่อการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 เพราะถึงอย่างไร การรัฐประหารก็เป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของระบอบการเมืองซึ่งอยู่ภายใต้การ กำกับของชนชั้นนำทางอำนาจ ไม่ต่างอะไรจากการเลือกตั้งซึ่งต้องจัดขึ้นเป็นครั้งคราว

อันที่จริง จะยกความสำเร็จให้แก่ยุทธวิธีอย่างเดียวคงไม่ถูกต้องนัก เพราะในช่วงระยะเวลาจาก 6 ตุลาคม 2519 สืบมาจนถึงปัจจุบัน ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารด้านสังคม-เศรษฐกิจด้วย เช่นเมื่อการคมนาคมสื่อสาร ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศขยายตัวขึ้นอย่างมาก ก็เปิดให้มีตำแหน่งงานใหม่ๆ แก่คนชั้นกลาง โดยเฉพาะในภาคบริการ สามารถดูดซับคนชั้นกลางรุ่นใหม่กับลูกหลานในเวลาต่อมาได้อีกมาก (ไม่ว่าจะดูจากภาคการเงิน, การท่องเที่ยว หรือธุรกิจสื่อ และโทรคมนาคม)

พูดง่ายๆก็คือ พื้นที่ทางการเมืองภายใต้การกำกับนั้นไม่ใช่พื้นที่ซึ่งอับจนทางเศรษฐกิจ

ความ เปลี่ยนแปลงทางสังคม-เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นไม่ได้เปิดโอกาสให้คนชั้นกลางรุ่น ใหม่เท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสหรืออย่างน้อยก็คือนำความเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางมาสู่ ชีวิตของคนส่วนใหญ่ด้วย

กล่าวโดยสรุปก็คือ ผู้คนถูกดึงเข้าสู่ตลาดอย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็นการผลิตในภาคเกษตรกรรมหรือการขายแรงงาน

จำนวน มากของคนเหล่านี้มีรายได้เป็นตัวเงินสูงขึ้น และส่วนใหญ่อยู่นอกภาคเกษตรกรรม (แม้ไม่เท่าเทียมกับคนชั้นกลางที่ได้กลืนเข้าสู่ระบบแล้ว) เข้าถึงสื่อเช่นโทรทัศน์อย่างทั่วถึง บุตรหลานมีการศึกษาสูงขึ้น ส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นเขตเมือง หรืออย่างน้อยก็สามารถเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวได้ไม่ยาก และมักเข้าไปเป็นประจำ

นี่คือคนชั้นกลางรุ่นใหม่ (กว่า) ซึ่งพื้นที่ทางการเมืองภายใต้กำกับยังไม่ได้ผนวกเข้าไป จากการสำรวจของอาจารย์อภิชาต สถิตนิรามัย พบว่าคนเสื้อแดงแถบนครปฐมมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวถึงกว่า 5,000 บาทต่อเดือน ห่างไกลสุดกู่จากเส้นความยากจนของสภาพัฒน์

แต่คนเหล่านี้ ล้วนขาดหลักประกันความมั่นคงในชีวิต เช่นไม่ได้อยู่ในอาชีพที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายประกันสังคม เข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบได้ไม่สะดวกนัก หาหลักประกันในด้านการศึกษาของบุตรหลานไม่ค่อยได้

คนเหล่า นี้ต้องการพื้นที่ทางการเมือง เพื่อผลักดันผลประโยชน์ของตนเอง ปัญหาที่เขาเผชิญอยู่เป็นปัญหาทางการเมือง ไม่ใช่การร้องทุกข์ทางเศรษฐกิจ หรือร้องขอการอุปถัมภ์จากรัฐ เขาจึงร่วมต่อสู้กับกลุ่มที่ต่อต้านการรัฐประหาร หยิบฉวยสัญลักษณ์ทางการเมืองต่างๆ ที่คิดว่าจะเพิ่มพลังของฝ่ายตน (เช่นทักษิณ) เรียกร้องเสรีภาพและเสมอภาคทางการเมือง รับเอาศัตรูทางการเมืองของบางกลุ่มมาเป็นศัตรูของตนเอง (ซึ่งก็ไม่ผิดนัก) และรวมเรียกว่า "อำมาตย์" ไม่มีโครงการหรือแผนการทางเศรษฐกิจอะไรที่ชัดเจน

แผนการทางการเมืองอย่างเดียวที่เรียกร้องคือการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งหมายความว่า ทุกฝ่ายต้องยอมรับผลของการเลือกตั้งด้วย

ทั้ง นี้หมายความว่า แนวทางการต่อสู้ทางการเมืองของเขาคือกระบวนการปกติที่ใช้กันทั่วไปในระบอบ ที่เรียกตนเองว่าประชาธิปไตย ด้วยความเชื่อว่าแนวทางนี้จะทำให้เขาเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองได้ และจะทำให้การเมืองแก้ปัญหาของเขาได้

แน่นอนว่า ความต้องการทางการเมืองของคนชั้นกลางรุ่นใหม่เหล่านี้ ย่อมกระทบต่ออำนาจการกำกับพื้นที่การเมืองของชนชั้นนำในระบบอย่างแน่นอน จะมากจะน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรอง (negotiation) แต่หากชนชั้นนำในระบบมองการเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของการต่อรอง เรื่องคงไม่นำไปสู่ความรุนแรงในเดือนเมษา-พฤษภา

แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้กลุ่มชนชั้นนำในระบบให้เข้าสู่การเจรจาต่อรอง

เพราะในขณะที่คนชั้นกลางรุ่นใหม่นอกพื้นที่การเมืองภายใต้การกำกับ กำลังจะดันตัวเองเข้าสู่พื้นที่การเมืองนี้เอง ภายในพื้นที่นี้เอง ก็กำลังมีการปรับตัวขนานใหญ่ เพราะคนชั้นกลางรุ่นเก่า (อันเคยเป็นคนชั้นกลางรุ่นใหม่เมื่อ 30 กว่าปีมาแล้ว) กำลังขยับตัวเพื่อเข้าไปมีส่วนมีเสียงในพื้นที่นี้มากขึ้น กลุ่มทุนแตกร้าวกันเองอย่างหนัก ระหว่างกลุ่มที่เรียกว่า "ทุนเก่า" และ "ทุนใหม่" แม้ว่าชนชั้นนำตามจารีตยังยึดกุมภาวะการนำได้มั่นคง แต่ก็ไม่มีเอกภาพในการนำชัดเจนดังที่เคยเป็นมา

พูดสั้นๆ ก็คือสถานะในช่วงปั่นป่วนรวนเรของกลุ่มคนชั้นนำในระบบเอง ทำให้ตกเป็นฝ่ายอ่อนแอในการเจรจาต่อรองกับกลุ่มคนนอก จึงย่อมปลอดภัยกว่าที่จะไม่มองการเคลื่อนไหวของคนชั้นกลางรุ่นใหม่ว่าเป็น ส่วนหนึ่งของการเจรจาต่อรอง

ทางเลือกที่เหลืออยู่ในการกันพื้นที่ทาง การเมืองในระบบไว้ให้อยู่ในกำกับต่อไปได้ ก็คือยุทธวิธีที่เคยใช้ได้ผลใน 6 ตุลา นั่นคือการปราบปรามการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนชั้นกลางรุ่นใหม่อย่าง เหี้ยมโหด แล้วปิดพื้นที่ทางการเมืองของกลุ่มนี้ โดยไม่ต้องทำรัฐประหารยึดอำนาจ แต่อาศัยมาตรการนอกกฎหมาย (หรือใช้กฎหมายโดยไม่มีกระบวนการตามกฎหมาย-due process) และนอกรัฐธรรมนูญ

ในขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่ทางการเมืองไว้ให้แก่คนชั้นกลางรุ่นใหม่ที่เลือกจะ เข้ามา โดยยอมรับการกำกับของชนชั้นนำตามเดิม เช่นมีการเลือกตั้งภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน ควบคุมการหาเสียง ปิดกั้นสื่ออิสระ และการจับกุมด้วยข้อหาที่คลุมเครือ

อย่าง ไรก็ตาม ยุทธวิธีที่เคยได้ผลดีมาก่อน เมื่อนำกลับมาใช้ใน พ.ศ.2553 ใหม่ ไม่น่าจะนำไปสู่ความสำเร็จได้อีก อย่างน้อยด้วยเหตุผลสองประการ

1/ การปิดพื้นที่ทางการเมืองของคนชั้นกลางรุ่นใหม่ไม่สามารถทำได้สนิทแนบแน่นเหมือนเมื่อ พ.ศ.2519-2520 ด้วยเหตุผลอย่างน้อยสองประการ คือ ทำไม่ได้ในเทคโนโลยีสมัยปัจจุบันหนึ่ง และอำนาจทางวัฒนธรรมของระบบเสื่อมโทรมลง จนกระทั่งไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการปกป้องข่าวสารและความเห็นอิสระได้ เสียแล้วอีกหนึ่ง

การปิดข่าวและความเห็นกลายเป็นการใช้อำนาจกับพรรค พวกตัวเอง เช่นสื่อที่เลือกจะยอมสยบต่ออำนาจเองกลับรู้สึกอึดอัดกับการควบคุมข่าวสาร ข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ

2/ จำนวนของคนชั้นกลางรุ่นใหม่มีมากกว่า "รุ่นใหม่" ของ 14 ตุลาอย่างเทียบกันไม่ได้ และบัดนี้ก็มีสำนึกทางการเมืองเสียแล้ว จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญของการเมืองระบอบเลือกตั้ง พรรคการเมืองใดที่ปฏิเสธบทบาทของคนกลุ่มนี้ก็ยากที่จะประสบชัยชนะ

เมื่อการแบ่งสีจืดจางลงในสังคมสักวันหนึ่งในอนาคต ทุกพรรคการเมืองก็ต้องพยายามเข้ามากวาดเก็บคะแนนจากคนชั้นกลางรุ่นใหม่เหล่านี้ การเมืองที่มีฐานมวลชนกำลังเริ่มเกิดในสังคมไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ฉะนั้นการรักษาการกำกับพื้นที่ทางการเมืองของชนชั้นนำจึงทำได้ยาก ตราบเท่าที่ยังเปิดให้มีพื้นที่การเมืองซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเลือกตั้ง จะกำกับพื้นที่นี้ด้วยการชักใยเบื้องหลังอย่างที่เคยทำมาจึงไม่ค่อยได้ผลนัก แม้แต่สามารถจัดตั้งรัฐบาลขึ้นได้ รัฐบาลนั้นก็ขาดความชอบธรรมในสายตาของคนจำนวนมากในสังคม เช่นรัฐบาลปัจจุบัน

พื้นที่การเมืองซึ่งเคยอยู่ภายใต้การกำกับ กลับกลายเป็นพื้นที่แห่งความตึงเครียด จนแม้แต่การบริหารตามปกติก็ทำแทบไม่ได้ กลายเป็นพื้นที่ซึ่งต้องใช้กำลังทหารควบคุมไปทุกฝีก้าว (แม้แต่รองเท้าแตะ)

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พื้นที่นี้กลายเป็นพื้นที่ประชาธิปไตยเบ็ดเสร็จ ซึ่งสังคมไทยรับไม่ได้และนานาชาติจะรับไม่ได้มากขึ้นไปตามลำดับ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ระบบสุขภาพ เราจะไปทางไหน ประสิทธิภาพ หรือ คุณภาพ มีกองทุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ดีหรือไม่?

Posted: 29 Nov 2010 06:20 PM PST

ระยะของประสิทธิภาพ
ก่อนปีพ.ศ. 2520 นั้น แพทย์ในต่างจังหวัดเกือบทั้งหมด เป็นแพทย์ทั่วไป(GP-general practitioner) โรงพยาบาลอำเภอ (หรือโรงพยาบาลชุมชนในปัจจุบัน) มีแพทย์เพียง1-2 คน ส่วนโรงพยาบาลจังหวัด (หรือโรงพยาบาลทั่วไป ในปัจจุบัน) ขนาด 200-400 เตียง ก็มีแพทย์ประมาณ 10-20 คนเท่านั้น แพทย์ทุกคนจึงต้องรักษาได้ทุกโรค และต้องทำงานอย่างหนัก โรงพยาบาลที่มีแพทย์คนเดียวต้องรับผิดชอบ 24 ชั่วโมงต่อวัน และ 365 วันต่อปี แพทย์ในโรงพยาบาลจังหวัดก็ต้องทำงานหนัก ไม่แพ้กัน ยุคนี้จึงเป็นยุคที่แพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ด้านคุณภาพ ต้องอ่อนด้อยไปบ้าง  

ระยะเปลี่ยนผ่าน
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 เป็นต้นมา เริ่มมีแพทย์เฉพาะทางสาขาหลัก(ศัลยกรรมทั่วไป อายุรกรรม สูตินรีเวช กุมารเวชกรรม ฯลฯ)จบจากการฝึกอบรม ทยอยเข้ารับราชการในโรงพยาบาลในต่างจังหวัด แต่จำนวนยังน้อย ทำให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเหล่านี้ ต้องทำงานอย่างหนัก .เช่น ศัลยแพทย์ อาจต้องยืนผ่าตัด ตั้งแต่เช้าถึงค่ำถึงดึก บางครั้งแม้จะง่วง แม้จะหิว หรือแม้แต่ป่วย ก็ยังคงต้องทำงานเพื่อช่วยผู้ป่วยให้รอดชีวิต ยุคนี้จึงยังคงเป็นยุคที่แพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ด้านคุณภาพยังพัฒนาขึ้นได้ไม่มากนัก เนื่องจากบางครั้งแพทย์ต้องทำงานหนักในสภาพที่ร่างกายไม่พร้อม และต้องทำงานในด้านกว้างมากเกินไป เช่นศัลยแพทย์ต้องผ่าได้ทั้งสมอง, กระดูก, ทรวงอก, ช่องท้อง, หลอดเลือด ฯลฯ  

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533     เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เริ่มมีกฎหมายประกันสังคม บังคับสถานประกอบการที่มีลูกจ้างมากกว่า สิบคน ต้องขึ้นทะเบียน จ่ายเงินสมทบ และลูกจ้างจะได้สิทธิในการรักษาพยาบาล โดยสำนักงานประกันสังคม(สปส) จะไปจ้างโรงพยาบาลให้รับรักษาลูกจ้างที่เจ็บป่วย โดยจ่ายค่ารักษาแบบเหมาต่อหัวให้แก่สถานพยาบาล แต่มีเงื่อนไข ว่าสถานพยาบาลที่จะรับรักษาลูกจ้างที่เจ็บป่วยนั้น จะต้องพัฒนาคุณภาพ เช่นต้องมีช่องทางพิเศษเพื่อความรวดเร็ว, มีระบบเวชระเบียนที่ดี, สภาพทางกายภาพของสถานพยาบาลต้องเหมาะสม ฯลฯ ระยะนี้ จึงเป็นระยะที่เริ่มมีการพัฒนาคุณภาพด้านการรักษาพยาบาลอย่างจริงจัง มีการนำระบบ OD, ESB, CQI , TQM และที่สุดรวมเป็นระบบ Hospital accreditation  มาจนถึงปัจจุบัน    

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาคุณภาพได้พบอุปสรรคที่สำคัญ คือโครงการ “30บาทรักษาทุกโรค” ตามพรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ทำให้ผู้ป่วย เข้าถึงระบบการแพทย์สมัยใหม่ได้อย่างทั่วถึง จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มอย่างรวดเร็ว ทำให้การพัฒนาคุณภาพดำเนินไปอย่างค่อนข้างเชื่องช้า    

ระยะของคุณภาพ
แต่เดิมนั้นโรงพยาบาลเอกชนมักก่อตั้งโดยมูลนิธิที่ไม่แสวงกำไร หรือไม่ก็เป็นกลุ่มแพทย์ ที่รวมตัวกันก่อตั้ง โดยคำนึงถึงจรรยาแพทย์เป็นหลัก แต่ต่อมาก็เริ่มมีนักธุรกิจนำระบบธุรกิจมาใช้ ระบบธุรกิจก็คือแสวงหากำไรสูงสุด ผู้ป่วยก็กลายเป็นลูกค้า ลูกค้าก็คือพระเจ้า เมื่อการรักษาผิดพลาด ก็นำเรื่องไปฟ้องศาล ส่วนการรักษาในโรงพยาบาลรัฐ เดิมยังมีปัญหาไม่มาก เนื่องจากผู้ป่วยยังคิดว่าเป็นระบบอุปถัมภ์ คือเมื่อตนเองหรือญาติป่วย การไปให้หมอรักษาถือว่าไปขอให้หมอช่วย จะช่วยได้มากหรือน้อย หรือช่วยไม่ได้ ก็คิดว่าเป็นเวรกรรม เป็นโชคชะตา แต่ต่อมารัฐได้ประชาสัมพันธ์ว่า การรักษาพยาบาลนั้น เป็นสิ่งที่รัฐมอบให้ประชาชน ประชาชนก็เริ่มเปลี่ยนความคิดว่าการไปโรงพยาบาลนั้นเป็น”สิทธิ” แพทย์ พยาบาลมี”หน้าที่”ต้องรักษาให้หาย ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ กับผู้ป่วยก็เริ่มเหินห่าง ผู้ป่วยเริ่ม”รักษาสิทธิ”ของตน มีอะไรไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ก็ร้องเรียน ประท้วงหรือกระทั่งฟ้องศาล ส่วนแพทย์ก็ต้องระวังตัว ไม่ให้ถูกฟ้องร้อง ระบบสุขภาพจึงถูกบีบบังคับให้เข้าสู่ระยะคุณภาพอย่างรวดเร็ว  

คดีร่อนพิบูลย์ เมื่อปี พ.ศ. 2550  เป็นคดีที่ทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบสุขภาพของไทย เพราะแพทย์ที่เจตนารักษาผู้ป่วยให้หาย แต่เกิดความผิดพลาด ไม่ว่าความผิดพลาดนั้น จะเกิดจากความไม่รู้, เกิดจากความประมาท, หรือเกิดจากเหตุสุดวิสัยก็ตาม ต้องถูกพิพากษาให้จำคุก และต้องจำคุกจริงๆ ไม่มีการรอลงอาญา แม้คดีนี้จะได้รับการยกฟ้องในชั้นศาลอุทธรณ์ แต่ความหวาดกลัว และหวาดระแวงได้เกิดขึ้นกับแพทย์ทั่วประเทศแล้ว การรักษาผู้ป่วยกลายเป็นเหมือนการเดินอยู่กลางสนามที่มีทุ่นระเบิดอยู่ ถ้าผิดพลาด เท่ากับต้องติดคุก แพทย์ส่วนใหญ่ จึงต้องทำเวชปฏิบัติแบบป้องกันตัว คือ ตรวจร่างกายอย่างละเอียด บันทึกเวชระเบียนทั้งที่ปกติและผิดปกติ (ธรรมดา เพื่อประหยัดเวลา แพทย์จะบันทึกเฉพาะการตรวจพบที่ผิดปกติ แต่ศาลวินิจฉัยว่าไม่บันทึก แปลว่าไม่ได้ตรวจ) ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการจำนวนมาก เพื่ออุดช่องโหว่ในทุกความเป็นไปได้ และถ้ามีข้อสงสัย หรือไม่แน่ใจอะไรแม้แต่นิดเดียว ก็จะส่งผู้ป่วยไปรักษาต่อในโรงพยาบาลที่สูงขึ้น เป็นภาระแก่ผู้ป่วย และญาติ อย่างมาก การรีบเร่งพัฒนาคุณภาพทั้งๆที่ยังมีทรัพยากรที่จำกัดนี้ ทำให้เกิดผลเสียทำให้ผู้ป่วยเกิดความไม่สะดวก ต้องรอนาน และเกิดการสิ้นเปลืองทรัพยากรของชาติอย่างมหาศาล  

ประสิทธิภาพ หรือ คุณภาพ
การฟ้องแพทย์ทำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพการรักษาพยาบาลอย่างก้าวกระโดด แต่ในขณะเดียวกัน ก็เกิดผลเสียด้านประสิทธิภาพอย่างมาก ได้แก่
    
    1.แพทย์จะต้องตรวจผู้ป่วย และบันทึกผลการตรวจอย่างละเอียดเพราะฉะนั้นผู้ป่วยก็จะต้องรอพบแพทย์นานขึ้น ปัจจุบันนี้ แพทย์ใช้เวลาตรวจผู้ป่วยเฉลี่ยเพียง 3-5 นาที ทำให้สามารถตรวจผู้ป่วยนอกได้วันละกว่าร้อยคน แต่ถ้าต้องเพิ่มเวลาตรวจต่อคนขึ้นเป็น 5-10 นาที ผู้ป่วยครึ่งหนึ่ง จะต้องรอไปตรวจวันรุ่งขึ้น และผู้ป่วยที่จะควรจะได้ตรวจวันรุ่งขึ้น ก็จะต้องถูกเลื่อนไป เป็นดินพอกหางหมูไปเรื่อยๆ

     2.แพทย์ต้องส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างมากมาย เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรหลงหูหลงตาไป ที่จะสามารถเป็นต้นเหตุให้ถูกฟ้องได้ งบประมาณด้านการรักษาพยาบาลก็จะต้องเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก

     3.ถ้ามีกรณีสงสัย ไม่แน่ใจ แพทย์ก็จะต้องเลือกส่งผู้ป่วยไปรักษาต่อในโรงพยาบาลระดับที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ป่วย และญาติ ไม่ได้รับความสะดวก และสิ้นเปลืองค่าเดินทาง ค่าขาดรายได้ คำขวัญ”ใกล้บ้าน ใกล้ใจ” กลายเป็นอดีตไปทันที  

การตั้งกองทุนเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางการแพทย์ โดยหวังว่าจะช่วยลดการฟ้องร้องแพทย์นั้น เป็นไปไม่ได้แน่นอน เนื่องจากเป็นการมอบ”สิทธิ”ในการเรียกร้องให้ผู้ป่วย ทุกครั้งที่การรักษาเกิดผลที่ไม่พึงปรารถนา (adverse effect) หรือเกิดโรคแทรกซ้อน (complication) ขึ้น ผู้ป่วยก็จะแห่กันไปขอรับเงินนี้ เมื่อผู้ป่วยเชื่อว่าตนมีสิทธิจะได้รับ ถ้ากองทุนไม่จ่าย ก็จะเกิดการฟ้องศาลตามมา ถ้ากองทุนจ่าย ก็จะสิ้นเปลืองเงินอย่างมากจนรับภาระไม่ไหว ในที่สุดก็จะต้องไปไล่เบี้ยเอากับบุคลากรที่รักษา ทำให้บุคลากรเหล่านั้นยิ่งเพิ่มวิธีทำเวชปฏิบัติแบบป้องกันตัวมากขึ้นเรื่อยๆ    

การที่รัฐประสงค์จะได้ประสิทธิภาพสูงสุด (เช่น จ่ายเงินให้โรงพยาบาลหัวละพันกว่าบาท แต่ต้องรักษาหายทุกโรค หรือถือบัตรประชาชนใบเดียว ไปรักษาได้ทั่วประเทศ หรือโรงพยาบาลทุกแห่ง ต้องมี”สามดี” ฯลฯ) ขณะเดียวกัน ก็ต้องการคุณภาพชั้นเยี่ยม (ต้องมีการบันทึกเวชระเบียนอย่างละเอียด ต้องตรวจและรักษาตามมาตรฐานโลก ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจรักษาอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน ถ้าผลการรักษาไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ต้องมีการสอบสวน มีการเรียกร้องค่าเสียหายทั้งจากกองทุน และฟ้องศาล ฯลฯ) แน่นอนว่าย่อมเป็นไปไม่ได้ภายใต้ทรัพยากรที่จำกัดนี้ รัฐจะต้องเลือกปรับประสิทธิภาพ และ คุณภาพ ให้สมดุล เพื่อให้ระบบดำเนินไปได้อย่างราบรื่น การรีบร้อนมอบสิทธิต่างๆให้ประชาชน(สิทธิในการรักษาพยาบาลฟรี ไม่จำกัดจำนวนและสถานที่,สิทธิในการได้รับบริการชั้นเยี่ยม,สิทธิในการเรียกร้องความเสียหายถ้าผลการรักษาไม่เป็นตามที่คาดหวัง ฯลฯ) จะทำให้ระบบรวน และพังทะลายไปในที่สุด                  

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เสื้อแดงมุกดาหารได้ประกันตัว ด้าน 2 เสื้อแดงที่เชียงใหม่ได้ประกันตัวเช่นกัน

Posted: 29 Nov 2010 05:30 PM PST

ศาลจังหวัดมุกดาหารให้ปล่อยตัวชั่วคราว วินัย ปิ่นศิลปชัย ผู้ต้องหาเสื้อแดงที่ดื่มน้ำยาปรับผ้านุ่มแล้ว ทนายชี้ หากผู้ต้องหาคนอื่นยังไม่ได้รับสิทธิประกันตัว อาจมีพฤติกรรมเลียนแบบได้ ขณะเดียวกันสองผู้ต้องขังเสื้อแดงที่เรือนจำเชียงใหม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวเช่นกัน

จากกรณีนายวินัย ปิ่นศิลปชัย ผู้ต้องขังเสื้อแดงคดีเผาศาลากลางมุกดาหารดื่มน้ำยาปรับผ้านุ่มในเรือนจำต่อหน้าภรรยาขณะเยี่ยม จนต้องหามส่งไอซียู เมื่อ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา และแพทย์ลงความเห็นว่าผู้ต้องหามีอาการของโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง มีโอกาสเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตายอีกสูง จึงทำหนังสือส่งตัวผู้ป่วยเพื่อไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลจิตเวชนครพนม

ในวันนี้ (29 พ.ย.53) นางอำนวย ปิ่นศิลปชัย ภรรยา ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวนายวินัย โดยใช้หลักทรัพย์ที่เช่าซื้อมามูลค่า 5 แสนบาท ในใบคำร้องระบุเหตุผลในการขอปล่อยตัวชั่วคราวว่า

“คดีนี้เป็นคดีการเมือง จำเลยและจำเลยอื่นทุกคนไม่มีพฤติการณ์และความจำเป็นใดๆที่จะต้องหลบหนี จำเลยพร้อมที่จะเข้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกฎหมาย และพร้อมเผชิญการตรวจสอบในกระบวนการยุติธรรมอย่างกล้าหาญ เหมือนกับที่เข้าร่วมต่อสู้กับความอยุติธรรมที่ผ่านมา... จำเลยเป็นเพียงชาวบ้านที่มีความคิดเห็นทางการเมืองและเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองเท่านั้น มิได้เป็นแกนนำแต่อย่างใด   จำเลยหาได้มีพฤติกรรมใดที่จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์แต่ประการใด... จำเลยมีอาการเจ็บป่วยที่จำเป็นต้องทำการรักษาเป็นกรณีพิเศษ กล่าวคือ จำเลยมีอาการทางจิต คิดทำร้ายตนเองและ พยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง ทั้งมีอาการซึมเศร้าขั้นร้ายแรง หากจำเลยถูกคุมขังต่อย่อมส่งผลเสียต่ออาการ ... จำเลยมีอาชีพและถิ่นที่อยู่ที่แน่นอน ทั้งยังมีภาระต้องดูแลภรรยาและพ่อแม่ที่แก่ชราและมีปัญหาสุขภาพอย่างมาก อีกทั้งภรรยาและตัวจำเลยมีหน้าที่ต้องดูแลบุตรอีก”

หลังการยื่นคำร้อง หัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหารได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวนายวินัยแล้ว นางอำนวยเปิดเผยว่า หลังทราบข่าว นายวินัยมีสีหน้าที่ดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดเจน และทานอาหารได้มากขึ้น ทางเรือนจำได้มาปลดโซ่ตรวนให้เมื่อเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ในวันพรุ่งนี้ (30 พ.ย.) ครอบครัวจะพาวินัยไป รพ.จิตเวช จ.นครพนม เพื่อเข้ารับการรักษาตัว และในวันที่ 3 ธ.ค.ซึ่งศาลนัดพร้อมก็จะต้องกลับมาขึ้นศาล

อานนท์ นำภา หนึ่งในทีมทนายความอาสาจาก ศปช.(ศูนย์ข้อมูลประชาชนฯ) ที่รับเข้าไปดูแลคดีร่วมกับทนายในพื้นที่ให้ความเห็นต่อกรณีดังกล่าวนี้ว่า “เราก็ดีใจแทนวินัยและครอบครัว และขอขอบคุณท่านหัวหน้าศาลอย่างสูงที่เมตตา ตอนนี้ของจังหวัดมุกดาหารยังเหลือผู้ต้องหาในเรือนจำอีก 19 คน หรือถ้าจะนับทั่วประเทศก็ยังเหลืออีกนับร้อยคน ผมว่า พวกเขาก็ไม่ต่างไปจากวินัยเท่าใดนัก ถูกจองจำมาเป็นเวลานานโดยที่หลายๆ คนไม่ได้มีความผิดตามที่ถูกกล่าวหา บางคนอาจยังไม่ได้เข้าถึงทนาย ทำให้มีความเครียดสูง และก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดกรณีอย่างนี้ขึ้นอีก พวกเขาทั้งหมดกำลังรอความเมตตาจากศาลอยู่”


2 เสื้อแดงเชียงใหม่ได้รับการประกันตัว

ในขณะเดียวกัน นายณัฐวุฒิ ธรรมชาติ ผู้ประสานงานประกันตัวเสื้อแดงที่ถูกจำคุกในเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ ในข้อหาฝ่าฝืนพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน กล่าวว่า เจ้าหน้าที่กองทุนกระทรวงยุติธรรม ที่ยื่นประกันตัวผู้ต้องหา 2 คน คือนายนิกร ศรีคำมา อายุ 29 ปี ชาว อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ และนายสุจิต อินทรชัย อายุ 50 ปี ชาว อ.เมืองเชียงใหม่นั้น ทางศาลมีคำสั่งให้เรือนจำกลางเชียงใหม่ปล่อยตัว 2 ผู้ต้องหาแล้ว โดยให้ญาติมารับตัวที่หน้าเรือนจำ เมื่อเวลา 18.00 น. และสั่งให้ญาตินำผู้ต้องหามารายงานตัวที่สำนักงานคุมประพฤติจังหวัด เชียงใหม่ ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ผู้ต้องหาทั้งสองถูกจับกุมและดำเนินคดี เมื่อกลางมิถุนายนหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ กรุงเทพฯ ทั้งนี้ ศาลจะตัดสินคดีนายนิกร วันที่ 2 ธันวาคม หลังสืบพยานหลักฐานแล้ว ส่วนนายสุจิตไม่ทราบรายละเอียดคดี

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

สวรส. เตรียมจัดเวทีวิชาการช่วยปลดเงื่อนตายกระจายอำนาจด้านสุขภาพ

Posted: 29 Nov 2010 01:09 PM PST

สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ร่วม ก.สาธารณสุข และภาคี เตรียมจัดเวทีวิชาการสู่ความเป็นธรรมด้านสุขภาพ ครั้งที่ 1 “10 ปีกระจายอำนาจด้านสุขภาพ สังเคราะห์บทเรียนเพื่อหาทางออกร่วมกัน” เปิดพื้นที่ร่วมถกประเด็นคลายปมการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ

 
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข สถาบันพระปกเกล้า คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำหนดจัดเวทีวิชาการสู่ความเป็นธรรมด้านสุขภาพ ครั้งที่ 1 ขึ้น ในหัวข้อ 10 ปี การกระจายอำนาจด้านสุขภาพ : สังเคราะห์บทเรียนเพื่อหาทางออกร่วมกัน ในวันพุธที่ 1 ธันวาคม 2553 เวลา 08:30 – 15:30 น. ณ ห้องอบรมสถาบันพระปกเกล้า ชั้น 5 อาคารจอดรถ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ โดย รศ.วุฒิสาร ตันไชย สถาบันพระปกเกล้า จะกล่าวปาฐกถาพิเศษ “กระจายอำนาจกับความเป็นธรรมด้านสุขภาพ” พร้อมการนำเสนอข้อมูลจากงานวิจัย กรณีศึกษา และข้อเสนอเชิงนโยบายจากฝ่ายวิชาการและเปิดอภิปรายรับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆ ทั้งกระทรวงสาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และบุคลากรจากสถานีอนามัย 
 
นพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวถึงการจัดเวทีวิชาการในครั้งนี้ ว่าเป็นการเปิดเวทีให้ทุกฝ่ายได้มีพื้นที่ในการสื่อสารสองทาง ได้พูดคุย ทำความเข้าใจ และหาทางออกร่วมกัน โดยนำข้อมูลทางวิชาการจากงานวิจัยมาเป็นจุดตั้งต้นในการพูดคุย ซึ่งผลงานวิจัยเหล่านี้มาจากศาสตร์และความรู้หลากหลายสาขา ทั้งรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สาธารณสุข จึงทำให้มองเห็นถึงความเชื่อมโยงกันในทุกมิติของสังคมที่จะได้รับผลจากการกระจายอำนาจ และหวังว่าข้อเสนอที่ได้มาจากการวิจัยเหล่านี้ จะเป็นวิถีทางที่สามารถปลดเงื่อนตายคลายปมคิดเกี่ยวกับการกระจายอำนาจด้านสุขภาพในสังคมไทยได้
 
ผศ.เวียงรัฐ เนติโพธิ์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงบทสรุปจากงานวิจัยเรื่อง “กระบวนการทางการเมืองในการกระจายอำนาจด้านสาธารณสุข: ศึกษากรณีการถ่ายโอนสถานีอนามัย” ที่ชี้ให้เห็นถึงโจทย์ใหญ่ที่ต้องทบทวนเกี่ยวกับการกระจายอำนาจด้านสุขภาพในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าอุปสรรคสำคัญเกี่ยวข้องกับหลายระดับด้วยกัน ประการแรกคือปัญหาความล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมาย ประการที่สอง คือการยึดถือความชำนาญเฉพาะด้านมากกว่าหลักการกระจายอำนาจซึ่งรัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ส่งเสริมการพัฒนาประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมแต่เมื่อใช้หลักเหตุผลด้านความชำนาญนำหน้าทำให้บุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องถ่ายโอนอำนาจ อุปสรรคประการที่สาม คือความไม่เป็นอิสระขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งได้รับงบประมาณจากการจัดสรรจากส่วนกลาง โดยพบว่าผลงานพัฒนาด้านสาธารณสุขสามารถใช้เป็นเครื่องมือสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองให้กับนักการเมืองท้องถิ่นได้ แต่ท้องถิ่นยังไม่สามารถตัดสินใจโดยอิสระว่าจะพัฒนางานสุขภาพไปในทางใด
 
ทางด้าน นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ นักวิชาการผู้ศึกษาทางเลือกการกระจายอำนาจ เสริมในประเด็นดังกล่าวว่า ผลจากงานวิจัยยังทำให้ทราบถึงความเข้าใจเรื่องการกระจายอำนาจในสังคมไทย ที่ยังยึดติดอยู่แค่รูปแบบเดียว คือการถ่ายโอนสถานีอนามัยให้ท้องถิ่น ทั้งๆ ที่การกระจายอำนาจนั้นยังมีอีกหลายรูปแบบที่สามารถทำได้
 
“วิธีคิด มุมมองและความเข้าใจของฝ่ายต่าง ๆต่อนิยาม ขอบเขต รูปแบบ ของการกระจายอำนาจ ที่คิดเพียงมิติของการยกสถานีอนามัยไปให้อยู่ในสังกัดหรือเป็นของท้องถิ่น กลายเป็นเงื่อนไขหลัก ที่ทำให้การกระจายอำนาจด้านสุขภาพกลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากจะขยับทำอะไร ผมคิดว่า ข้อเสนอทางนโยบายที่จะเสนอในครั้งนี้ ต้องเป็นข้อเสนอที่สามารถปลดล็อคอันนี้ได้จึงจะเป็นข้อเสนอที่ทุกฝ่ายรับได้และเดินหน้าไปด้วยกัน” นพ.ปรีดา กล่าว
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักข่าวพลเมือง: ค้านระเบียบใหม่กองทุนฯ รอบโรงไฟฟ้า ชี้ส่อแววทุจริต

Posted: 29 Nov 2010 12:54 PM PST

ภาคประชาชนค้านระเบียบใหม่กองทุนกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ชี้ขาดความโปร่งใส รวบอำนาจ ส่อแววทุจริต ขู่หากยังไม่มีการทบทวน เตรียมยื่นฟ้องศาลปกครอง 

 
วานนี้ (29 พ.ย.53) เวลา 13.30 น.ณ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน อาคารจามจุรีชั้น19 เขตปทุมวันตัวแทนเครือข่ายองค์กรประชาชน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า จากทั่วประเทศกว่า 300 คน เข้ายื่นหนังสือคัดค้านระเบียบใหม่กองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า
 
ตามที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งเป็นองค์กรกลางในการกำกับดูแลกิจการพลังงานออกระเบียบ หรือ ประกาศกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการเงื่อนไขเกี่ยวกับกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 มาตรา97 (3) ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการยกร่างระเบียบของกองทุนขึ้นมาใหม่ เมื่อสิ้นสุดการรับฟังความคิดเห็นแล้วผลปรากฏว่า สาระสำคัญของระเบียบไม่ได้เป็นไปตามที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้เสนอไว้
 
นายเสด็จ เวชบุตร อดีตกรรมการกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าจังหวัดชัยภูมิและเป็นหนึ่งในคณะทำงานยกร่าง 20 คน กล่าวว่า ในระเบียบที่จะออกมาใหม่นั้นผิดเพี้ยนไปเยอะเกินกว่าที่ประชาชนจะยอมรับได้ ดำเนินการแบบรวบอำนาจและอาจนำไปสู่การทุจริตได้ง่าย โดยเฉพาะประธานคณะกรรมการกองทุนและรองประธานคนที่ 1 มีการเขียนล็อคไว้ให้ราชการมาเป็นโดยตำแหน่ง ทั้งที่การประชุมรับฟังความคิดเห็นได้มีการเสนอไว้ว่าประธานหรือรองประธานต้องมาจากการคัดเลือกกันเอง ไม่ใช่มาโดยตำแหน่ง 
 
นายเสด็จกล่าวต่อมาว่า ประเด็นที่สองมีการเขียนล็อคไว้ให้พลังงานจังหวัดเป็นกรรมการโดยตำแหน่งสองที่นั่ง ประเด็นที่สามคณะกรรมการในระดับตำบลซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านกลับถูกตัดออกไป นอกจากนี้ยังมีการโอนอำนาจให้แก่ อบต.หรือ เทศบาล เป็นผู้บริหารจัดการสำหรับกองทุนไฟฟ้าขนาดเล็ก ซึ่งก็ผิดไปจากเจตนารมณ์เดิมที่ต้องการให้ชาวบ้านเป็นผู้ดูแลกันเอง และกองทุนขนาดใหญ่ก็ต้องไปช่วยกองทุนขนาดเล็ก เป็นเครือข่ายซึ่งกันและกัน จากร่างระเบียบใหม่ที่จะประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ หากยังไม่มีการทบทวนทางเครือข่ายภาคประชาชนก็เตรียมยื่นฟ้องศาลปกครองต่อไป
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ผลักดันผู้อพยพจากรัฐกะเหรี่ยงกลับแล้ว ขณะที่ทหารพม่าปะทะดีเคบีเอต่อเนื่อง

Posted: 29 Nov 2010 11:13 AM PST

ชาวบ้านจากรัฐกะเหรี่ยงหลายร้อยคนที่ข้ามเข้าฝั่งไทยด้าน อ.แม่สอด หลังการปะทะรอบใหม่ระหว่างดีเคบีเอและทหารพม่านั้น ล่าสุดเจ้าหน้าที่ไทยผลักดันกลับแล้ว โดยให้เหตุผลว่าสถานการณ์สงบแล้ว ขณะที่มีบางส่วนข้ามกลับมาอีกหลังเกิดการยิงปะทะกันรอบใหม่ ผู้อพยพหวั่นถูกจับไปเป็นลูกหาบ

ตามที่เมื่อวันที่ 27 พ.ย. มีชาวบ้านหลายร้อยคนจากบ้านผาลู (Palu) อำเภอกอกาเรก (Kawkareik) รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ได้อพยพข้ามแม่น้ำเมยมายังฝั่งบ้านแม่โกเกน ต.มหาวัน อ.แม่สอด จ.ตาก นั้น (อ่านข่าวย้อนหลัง)

ล่าสุดวันนี้ (29 พ.ย.) ผู้หนีภัยการสู้รบที่พักอยู่ในหมู่บ้านแม่โกเกน ได้กลับสู่หมู่บ้านผาลูแล้ว ขณะที่ยังมีชาวบ้านที่ป่วยและไม่สามารถกลับได้ประมาณ 100 คนที่พักอยู่ที่วัดห้วยมหาวงศ์ ในบ้านแม่โกเกน

โดยตั้งแต่เช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ไทยประกาศว่าขณะนี้ไม่มีการต่อสู้ที่หมู่บ้านผาลูแล้ว ขอให้ชาวบ้านกลับไป โดยกระบวนการส่งกลับเริ่มขึ้นในช่วงเช้า และกลุ่มสุดท้ายที่เดินทางกลับได้ข้ามแม่น้ำเมยกลับฝั่งพม่าไปในเวลา 14.35 น. แต่หลังจากนั้นประมาณสิบนาทีก็เกิดการต่อสู้ขึ้นในฝั่งพม่า ระหว่างทหารกะเหรี่ยงดีเคบีเอกองพลน้อยที่ 5 และทหารฝ่ายรัฐบาลพม่า โดยเสียงปืนและปืนครก เริ่มดังขึ้นตั้งแต่เวลา 15.00 น. และกระทั่งสิ้นสุดลงในเวลา 16.00 น. มีการยิงกระสุนปืน ค. หลายสิบนัด และมีการยิงปืนหลายครั้ง

จากการสู้รบดังกล่าว ทำให้ชาวบ้านประมาณ 50 คนที่เพิ่งเดินทางกลับไปฝั่งพม่า ได้ข้ามกลับมายังฝั่งไทยอีก ชาวบ้านบางคนอยากกลับไปพักที่วัดห้วยมหาวงศ์ ซึ่งเคยพักก่อนที่จะเดินทางกลับไป แต่เจ้าหน้าที่ไทยไม่อนุญาต ขณะนี้ชาวบ้านกลุ่มที่กลับเข้ามาใหม่นี้ บางส่วนพักอยู่ตามบ้านญาติ และบางส่วนก็พักตามเรือกสวนไร่นาของชาวบ้านในฝั่งไทย

ทั้งนี้มีชาวบ้านหลายคนโดยเฉพาะผู้ชายไม่กล้ากลับไปเพราะกลัวถูกทหารพม่าจับไปเห็นลูกหาบ บางส่วนกลับไม่ได้เพราะทหารพม่ายึดบ้านเป็นที่พักอาศัย

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"ทีดีอาร์ไอ" ชี้ช่องโหว่สวัสดิการสังคมแบบ "ไทยๆ" มองข้ามคนรายได้ต่ำ

Posted: 29 Nov 2010 10:27 AM PST

ทีดีอาร์ไอชี้ "เหลื่อมล้ำ" แก้ได้ด้วยโอกาสการศึกษา-ฝึกอบรม แนะจัดสวัสดิการสังคมถ้วนหน้า ค่าใช้จ่ายไม่ใช่ปัญหา แต่อยู่ที่การจัดการที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม จวกรัฐกันผู้ประกันตนออมกองทุนชราภาพ จะเพิ่มความเสี่ยงของคนรายได้ต่ำ

(29 พ.ย.53) โฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานสภาสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยกล่าวในการสัมมนาวิชาการประจำปี 2553 เรื่อง การลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ จัดโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ว่า เศรษฐกิจไทยในระยะกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาได้รุดหน้าไปอย่างมาก โดยประเทศไทยมีความมั่งคั่งเพิ่มมากขึ้น และจำนวนคนยากจนก็ลดลงมากกว่าแต่ก่อน อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่เรื่องความยากจนอีกต่อไป แต่เป็นปัญหาด้านคุณภาพของการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจซึ่งอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกา และเป็นสาเหตุหลักหนึ่งของความขัดแย้งทางสังคมและการเมือง ซึ่งสั่นคลอนระบอบประชาธิปไตยไทยทุกวันนี้

เขากล่าวว่า ปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ มีอย่างน้อย 4 ประการ ได้แก่ หนึ่ง นโยบายภาครัฐในอดีต โดยเฉพาะสิทธิพิเศษหรือประโยชน์ที่มิควรได้ที่ให้แก่ภาคธุรกิจและการคอร์รัปชั่นทางการเมือง สอง การจ้างงานที่มีคุณภาพปริมาณไม่มากพอ ทำให้โครงสร้างแรงงานประกอบด้วยแรงงานนอกระบบจำนวนมาก ขณะที่การสร้างงานที่ใช้ความรู้และฝีมือซึ่งให้ผลตอบแทนสูงพอที่จะมีชีวิตในฐานะชนชั้นกลางได้เพิ่มขึ้นน้อย ส่งผลให้จำนวนผู้เสียภาษีน้อยและฐานภาษีแคบ นอกจากนี้ โครงสร้างภาษีปัจจุบันยังมีการเก็บภาษีหรือลดหย่อนยกเว้นภาษีที่ไม่เป็นธรรม

สาม โครงสร้างการพัฒนาเศรษฐกิจที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าความเจริญของไทยในอดีตไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งเป็นการพัฒนาที่จะเพิ่มงานประเภทที่มีชนชั้นกลางมากขึ้น  และสี่ การขาดระบบสวัสดิการพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ เช่น แรงงานไทยส่วนใหญ่ยังอยู่นอกระบบ ขณะที่รายจ่ายของรัฐยังไม่ถึงมือผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และผู้ที่ควรได้รับสวัสดิการอย่างทั่วถึง โดยในอนาคตจะต้องแก้ไขความเหลื่อมล้ำในโอกาสทางการศึกษาและฝึกอบรมที่ต้องปรับปรุงให้ได้ผล

 

ย้ำชัดคนไทยต้องการสวัสดิการถ้วนหน้า

วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ นักวิชาการทีดีอาร์ไอ กล่าวในหัวข้อ "การสร้างระบบสวัสดิการพื้นฐาน: ค่าใช้จ่ายระบบสวัสดิการสังคมที่คน ไทยต้องการ" ว่า จากการสำรวจ 2 วิธีการ ได้แก่ หนึ่ง สำรวจประชากรทั่วประเทศจำนวน 3,680 คนในเดือนเมษายน 2553 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ประชาชนทุกภาคเกินกว่าร้อยละ 60 ต้องการสวัสดิการแบบถ้วนหน้า ขณะที่ภาคใต้ ประชาชนครึ่งหนึ่งต้องการสวัสดิการถ้วนหน้า อีกครึ่งหนึ่งต้องการให้ช่วยเฉพาะ คนจน ในสวัสดิการสองประเภทคือ การให้เงินช่วยเหลือเด็ก และการเรียนฟรีระดับมหาวิทยาลัย ทั้งนี้ มีบริบทคือ ขณะทำสำรวจนี้ ราคายางในภาคใต้ กิโลกรัมละ 100 บาท เมื่อถามถึงสวัสดิการ 500 บาท เขาจึงมองว่าควรใช้ช่วยเหลือคนจนก่อน

ขณะที่การสำรวจวิธีที่สอง คือ การทำประชาเสวนาปี 2552-53 จำนวน 14 จังหวัด จากผู้เข้าร่วม 692 คน โดยความร่วมมือของ สสส. สช. และสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ส่วนใหญ่เห็นว่าการให้สวัสดิการสังคมตั้งแต่เกิดจนตายควรเป็นสวัสดิการแบบถ้วนหน้าเช่นกัน โดยให้ความสำคัญกับสวัสดิการด้านการศึกษา (เรียนฟรีอนุบาล-มหาวิทยาลัย) เป็นอันดับแรก ตามด้วยสวัสดิการด้านการรักษา พยาบาล (รักษาฟรี-มีคุณภาพ) และสวัสดิการด้านอาชีพ (จัดฝึกอาชีพ-หางานให้คนจบใหม่ คนว่างงาน คนต้องการเปลี่ยนงาน) ตามลำดับ ด้านการดำเนินการจัดสวัสดิการ ส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐบาลกลางเป็นผู้ดำเนินการ เนื่องจากเชื่อว่าจะมีมาตรฐานระดับเดียวกันทั้งประเทศ และยังไม่ค่อยไว้ใจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

วรวรรณ ระบุว่า สำหรับค่าใช้จ่ายสวัสดิการสังคมในปี 2552 ที่ไปถึงมือประชาชนเป็นจำนวน 3 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ไปกับเรื่องสุขภาพและผู้สูงอายุ ซึ่งหลักๆ เป็นเรื่องเบี้ยยังชีพ โดยแบ่งเป็นค่ารักษาพยาบาล บำเหน็จบำนาญข้าราชการและสมบทเข้า กบข.ร้อยละ 53 ค่ารักษาพยาบาลและเบี้ยยังชีพร้อยละ 36 และค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยให้กับลูกจ้างเอกชน ร้อยละ 11 โดยในอนาคต หากสามารถจัดสรรสัดส่วนให้กระจายได้กว่านี้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี

 

ชี้ระบบประกันสุขภาพไม่เสมอภาค

นอกจากนี้ วรวรรณกล่าวถึงระบบสวัสดิการสังคมของไทย 3 ระบบได้แก่ ระบบของข้าราชการ ลูกจ้าง และอาชีพอื่นๆ ว่ายังมีฐานที่ไม่สอดคล้องกัน โดยไม่มีใครกำกับความเสมอภาคของสวัสดิการทั้งสามระบบ และยกตัวอย่างความล้มเหลวในการเป็นผู้กำกับของกระทรวงสาธารณสุขในระบบหลักประกันสุขภาพว่า กระทรวงสาธารณสุขที่ควรเป็นผู้กำกับกลไกสร้างความเป็นธรรมให้ประชาชน กลับเป็นเจ้าของสถานพยาบาล ซึ่งเป็นคู่ค้ากับ สปสช. สปส. และกรมบัญชีกลางเสียเอง ทำให้หน้าที่กำกับดูแลนั้นเบลอไป กลายเป็นเจรจาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสถานพยาบาล

ด้านหลักประกันรายได้ผู้สูงอายุ วรวรรณวิจารณ์ว่า การสนับสนุนจากรัฐสำหรับผู้สูงอายุแต่ละกลุ่มนั้นขาดความโปร่งใสและความน่าไว้วางใจ โดยอ้างถึงการแก้มาตรา 46 ของ พ.ร.บ.ประกันสังคม ในปี 2542 ที่ปรับลดให้รัฐจ่ายสมทบกรณีสงเคราะห์ บุตร กรณีชราภาพ และกรณีว่างงาน น้อยกว่านายจ้างและลูกจ้าง จากเดิมที่สมทบฝ่ายละเท่าๆ กัน โดยชี้ว่า นอกจากรัฐจะจ่ายสมทบน้อยกว่าแล้ว ยังเป็นการแก้ลดสิทธิผู้ประกันตน ที่ไม่ชี้แจงเหตุผลที่ชัดเจน ทั้งนี้ แม้จะอ้างวิกฤตเศรษฐกิจ แต่พบว่า ในปีเดียวกัน มีการจ่ายสมทบเข้า กบข.ประมาณ 10,000 ล้านบาทด้วย

นักวิชาการทีดีอาร์ไอกล่าวต่อถึงประเด็นความไม่เป็นธรรมของรัฐ โดยยกกรณีร่าง พ.ร.บ.การออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งไม่ยอมให้ผู้ประกันตนเข้าร่วมการ ออมในกองทุนนี้ เพราะรัฐต้องสมทบด้วยว่า รัฐมองข้ามไปว่า ร้อยละ 77 ของลูกจ้างในระบบประกันสังคม มีค่าจ้างน้อยกว่า 10,000 บาท และเปลี่ยนงานอยู่เสมอ การตัดสิทธิออมเงินใน กอช. จะเพิ่มความเสี่ยงให้คนที่มีรายได้ต่ำเหล่านี้ เพราะหากเขาเกษียณอายุ อาจถูกตัดสิทธิบำนาญประกันสังคม เพราะการสมทบไม่คงที่ และจะไม่มีเงินออมใน กอช. อีก

นอกจากนี้ การสมทบของรัฐตามที่ระบุในร่าง พ.ร.บ.การออมแห่งชาติ จะทำให้การกระจายรายได้แย่ลงด้วย โดยเมื่อลองแบ่งกลุ่มออกเป็น 5 กลุ่มตามรายได้ และสมทบแบบที่ระบุไว้ในร่าง คือ "ยิ่งออมมาก รัฐยิ่งสมทบมาก" จะพบว่า ช่องว่างระหว่างกลุ่มรวยสุดกับกลุ่มจนสุดห่างกันถึง 6.47 ต่อ 1 ขณะที่หากรัฐสมทบในสัดส่วนเท่ากันทั้งหมด ช่องว่างของรายได้จะอยู่ที่ 2.33 ต่อ 1

วรวรรณ สรุปว่าประเทศไทยยังขาดกลไกสำคัญที่จะให้หลักประกันรายได้สำหรับผู้สูงอายุเป็นระบบที่มีความเป็นธรรม และดูแลเรื่องบำนาญพื้นฐานว่าควรเป็นอย่างไร บำนาญของประชาชนกลุ่มต่างๆ ควรปรับตามอัตราเงินเฟ้อหรือไม่ อายุเกษียณสำหรับคนไทยควรเป็นเท่าใด กติกาการย้ายกองทุนควรเป็นอย่างไร จะติดตามความมั่นคงของกองทุนต่างๆ อย่างไร การบริหารจัดการบางอย่างร่วมกันของแต่ละกองทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบจะทำได้หรือไม่ และกองทุนต่างๆ จะต่อรองกับรัฐบาลเพื่ออกพันธบัตรผลตอบแทนสูงแก่ประชาชนได้หรือไม่

"สวัสดิการสังคมของไทยกำลังพัฒนาไปตามแบบไทยๆ" เธอกล่าวและว่า ค่าใช้จ่ายในอนาคตจะสูงมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับทางเลือกของสวัสดิการที่ต้องการ ทั้งนี้ ปัญหาจะไม่ได้อยู่ที่ค่าใช้จ่าย แต่จะเป็นปัญหาของการจัดการระบบให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม และเป็นระบบที่ประชาชนไว้ใจ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รายงาน: เอฟทีเอไทย-อียู โอกาสหรือความเสี่ยง

Posted: 29 Nov 2010 04:58 AM PST

 
งวดเข้ามาทุกทีกับประเด็นการทำข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป หรือ อียู ซึ่งเป็นคู่ค้าและผู้ลงทุนรายสำคัญในประเทศไทย
 
ไม่กดดันก็เหมือนกดดัน เพราะอียูยักษ์ใหญ่เริ่มปรับตัวอย่างสำคัญ ดังที่ นายเดวิด ลิปแมน เอกอัครราชทูต หัวหน้าสำนักงานคณะผู้แทนคณะกรรมาธิการยุโรป ประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อกลางเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาว่า ตามแผน 5 ปี (2553-2558) อียูจะเน้นการทำเอฟทีเอกับประเทศต่าง ๆ ควบคู่กับการผลักดันการเจรจาการค้าแบบพหุภาคีในเวทีองค์การการค้าโลก หรือ ดับบลิวทีโอ และจะเน้นเจรจาการค้ากับประเทศในกลุ่มอาเซียนอย่างกว้างขวาง โดยได้เริ่มเจรจากับสิงคโปร์ไปแล้ว จะเจรจารอบสุดท้ายกับอินเดียสิ้นเดือนหน้า ก่อนที่จะเริ่มเจรจากับมาเลเซียในเดือนนี้ และวางแผนจะเจรจากับเวียดนามในอนาคตอันใกล้ รวมไปถึงจะลดเงื่อนไขสำหรับประเทศด้อยพัฒนากว่าและเป็นคู่แข่งกับไทยในบางอุตสาหกรรม เช่น กัมพูชาและลาวทำให้ส่งออกเข้าตลาดอียูได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น
 
สำหรับไทย จักรชัย โฉมทองดี จากโครงการศึกษาและปฏิบัติการงานพัฒนา (โฟกัส)กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติตั้งแต่ต้นปี ให้กระทรวงพาณิชย์ตั้งคณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นเรื่องการทำเอฟทีเอไทย-อียู ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนส่วนต่างๆ รวมถึงภาคประชาสังคมที่ได้เข้าร่วมกระบวนการ"ทางการ" ของรัฐเป็นครั้งแรก คณะกรรมการดังกล่าวจัดรับฟังความคิดเห็น 20 ครั้งทั่วประเทศ จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภาคส่วนต่างๆ
 
จนรายงานสรุปการรับฟังความเห็นเสร็จสมบูรณ์เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เมื่อส่งให้ นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์จากค่ายภูมิใจไทยแล้ว เรื่องก็เงียบหายดองเค็มจนปัจจุบัน ขณะที่ นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์จากค่ายประชาธิปัตย์ กลับดำเนินการรับฟังความคิดเห็นใหม่โดยไม่ผ่านคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้น และนำข้อสรุปพร้อมทั้ง "กรอบการเจรจา" เตรียมส่งกลับครม. ในคราวเดียวกัน ทั้งที่กรอบการเจรจานั้นควรสังเคราะห์จากผลการรับฟังความคิดเห็น
 
ผลสรุปที่ได้จากการระดมความคิดเห็นของคณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นชุดใหญ่ชุดแรก ที่สำคัญ คือ มีสินค้าพิเศษที่ต้องพิจารณาต่างหากไม่รวมอยู่ในรายการสินค้าปกติในข้อตกลง ได้แก่ สุรา ยาสูบ และยารักษาโรค
(รายละเอียดการสรุปการรับฟังความคิดเห็นดูในไฟล์แนบ)
 
ในงานสัมมนาสาธารณะ “ความตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป: โอกาสหรือความเสี่ยงสำหรับไทยและอาเซียน” มีนักวิชาการและภาคประชาสังคมจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างคึกคัก โดยนำเสนอความวิตกกังวลในประเด็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ความหลากหลายทางชีวภาพ ภาคการเงิน ภาคบริการ ไม่แตกต่างกับเอฟทีเอฉบับสหรัฐอเมริกา และอาจร้ายยิ่งกว่าเพราะท่าทีที่อ่อนโยนกว่าของสหภาพยุโรป
 
สำหรับกรณีของไทยนั้น ประเด็นเกี่ยวกับการลดภาษีสุราเป็นประเด็นสำคัญ เพราะยุโรปส่งออกสุรามายังประเทศไทยติดอันดับต้นโดยไทยมีกำแพงภาษีค่อนข้างสูง การลดภาษีผ่านเอฟทีเอจึงทำให้เครือข่ายงดเหล้าและองค์กรที่ทำงานด้านนี้ผนึกกำลังค้านกันเสียงแข็ง เนื่องจากนอกเหนือจาแนวโน้มการนำเข้าเหล้านอกจะมากขึ้นแล้ว เอฟทีเอยังมีผลให้รัฐไม่สามารถผลิตนโยบายใดๆ เกี่ยวกับการงด ลด เลิก เหล้าออกมาได้อีก เนื่องจากอาจจัดให้เป็นการกีดกันทางการค้า
 
ขณะที่เรื่องยารักษาโรคนั้น เกี่ยวพันกับเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งในเอฟทีเอของชาติมหาอำนาจมักสร้างเงื่อนไขให้คู่เจรจาต้องปฏิบัติตามเรื่องนี้เกินกว่ามาตรฐานทั่วไปขององค์การการค้าโลก ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาพัฒนาการวิจัยยาได้ยากลำบาก ยามีราคาแพงเพราะการผูกขาดที่แน่นหนามากขึ้น และไม่สามารถใช้มาตรการจำเป็นอื่นๆ ที่เป็นข้อยืดหยุ่นได้ อีกทั้งยังบังคับให้คู่เจรจาต้องเป็นภาคีในสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้องกับสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต สิทธิบัตรการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ซึ่งภาคประชาสังคมไม่เห็นด้วยเนื่องจากกระทบต่อเกษตรกรรายย่อย และจะเปิดช่องให้ทุนหรือประเทศขนาดใหญ่สามารถเป็นเจ้าของพันธุกรรมต่างๆ ในประเทศไทยได้
AttachmentSize
รายงานผลการรับฟังความคิดเห็น เสนอรมต.-16-09-53.pdf105.06 KB
ตารางสรุปเนื้อหาในประเด็นต่างๆ.pdf160.94 KB
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

This posting includes an audio/video/photo media file: Download Now

กฟผ.เตรียมทุ่มทุน 7 หมื่นล้าน ผุดโรงไฟฟ้าใหม่ตุนสำรองไฟ

Posted: 29 Nov 2010 04:28 AM PST

29 พ.ย. 53 - เว็บไซต์แนวหน้ารายงานว่านายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) กล่าวว่า กฟผ.ได้เตรียม 3 แนวทางระยะสั้นเพื่อรองรับปัญหาปริมาณสำรองไฟฟ้าต่ำที่จะเกิดขึ้นช่วงปี 2557 ให้เพิ่มขึ้นจาก 9% เป็น 15% หลังโรงไฟฟ้าเอกชนอย่างน้อย 2 แห่งต้องเลื่อนเข้าระบบ โดยจะเร่งลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าของ กฟผ.ให้เร็วขึ้นจากแผนเดิม ใช้งบลงทุนกว่า 70,000 ล้านบาท โดยทั้ง 3 แนวทาง ประกอบด้วย

1.เร่งรัดโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าวังน้อย หน่วยที่ 4 โรงไฟฟ้าจะนะ หน่วยที่ 2 ของ กฟผ. ให้เสร็จเร็วขึ้นจากเดิม 3 เดือน เพื่อให้ทันกับช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในปี 2557

2.เร่งพัฒนาโรงไฟฟ้าพระนครเหนือชุดที่ 2 เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ที่เอื้อต่อการตั้งโรงไฟฟ้า ทั้งด้านเชื้อเพลิง ที่ดิน และโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ต้องลงทุนระบบสายส่งเพิ่มเติม และ3.ปรับปรุงระบบสายส่งไฟฟ้ารองรับโครงการโรงไฟฟ้าผู้ผลิตขนาดเล็ก และพลังงานหมุนเวียน เพราะมีแผนขยายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กด้วยระบบผลิตไฟฟ้า ความร้อนร่วมกัน(เอสพีพี โคเจนเนอเรชั่น) เพิ่มอีก 1,500 เมกะวัตต์ จากเดิมจะรับซื้อ 2,000 เมกะวัตต์

สำหรับค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที) ขณะนี้ กฟผ.มีภาระสะสมจากการตรึงค่าเอฟที 2,000 ล้านบาท รวมกับมาตรการชดเชยผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม 750 ล้านบาท รวมเป็นภาระดูแลค่าไฟฟ้าเกือบ 3,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากช่วงต้นปีที่อยู่ในระดับ 20,000 ล้านบาท เพราะครึ่งหลังของปีนี้ราคาน้ำมันไม่สูงมาก และเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ให้ต้นทุนเชื้อเพลิงไม่เพิ่มขึ้น ดังนั้นค่าเอฟทีแต่ละงวดจึงไม่ปรับเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันบางช่วงปรับลดลงได้ แต่รัฐบาลมีนโยบายตรึงค่าเอฟทีจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 จึงหักลบภาระลดลงไป โดยประเมินว่าถ้ายังคงมาตรการตรึงค่าไฟฟ้าต่อไปจะช่วยให้ภาระค่าเอฟทีสะสม ที่มีอยู่หมดลงได้ช่วงต้นปี 2554

ที่มาข่าว:

กฟผ.เตรียมทุ่มทุน 7 หมื่นล้าน ผุดโรงไฟฟ้าใหม่ตุนสำรองไฟ (แนวหน้า, 29-11-2553)
http://www.naewna.com/news.asp?ID=238477

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ชาวไทใหญ่ในไทยเตรียมจัดงานฉลองรับปีใหม่คึกคัก

Posted: 29 Nov 2010 03:50 AM PST

ปีใหม่ชาวไต (ไทใหญ่) ศักราชที่ 2105 จะก้าวเข้ามาถึงในวันที่ 7 ธ.ค.นี้ ตามปฏิทินจันทรคติขึ้น 1 ค่ำ เดือน 1 หรือเดือนยี่ของทุกปี โดยชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยกำลังเตรียมจัดงานฉลองต้อนรับกันอย่างคึกคักในหลายพื้นที่

 
 
เริ่มที่จังหวัดเชียงใหม่ พี่น้องไทใหญ่หลายสาขาอาชีพนำโดยชมรมการศึกษาและศิลปวัฒนธรรมไทใหญ่ (เชียงใหม่) กำหนดจัดงานประเพณีต้อนรับปีใหม่ไตขึ้นที่วัดกู่เต้า ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 6 – 8 ธ.ค. 53 ในปีนี้เป็นปีที่ 7 ที่ชมรมการศึกษาและศิลปวัฒนธรรมฯ ได้จัดงานต้อนรับปีใหม่ไตที่วัดกู่เต้าต่อเนื่องกันมา 
 
งานนี้ทางคณะกรรมการได้เรียนเชิญนายทัศนัย บูรณูปกรณ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่เป็นประธานเปิดงานในเวลา 19.00 น. ของวันที่ 6ธ.ค. จากนั้นในเวลา 24.00 น. จะมีพิธีฉลองต้อนรับปีใหม่ โดยภายในงานตลอดทั้งสามคืนจะมีการแสดงคอนเสิร์ตของนักร้องดังจากรัฐฉานหลาย คน อาทิ นางนาง, นางหนุ่มมาว, นางหลาวหลาว, จายกาบแสง, จายหย่านยะ, จายก๋อนเคือแลง เป็นต้น นอกจากนี้ภายในงานจะการจัดแสดงนิทรรศการภาพประวัติศาสตร์ของไทใหญ่ และในช่วงกลางวันจะมีการแข่งขันกีฬาพื้นที่ต่างๆ 
 
ถัดมาคือที่บ้านหลักแต่ง ต.เปียงหลวง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ พี่น้องชาวไทใหญ่หลายหมู่บ้าน ร่วมกับคณะพระสงฆ์และองค์การบริหารส่วนตำบลเปียงหลวง มีกำหนดจัดงานต้อนรับปีใหม่ไตขึ้นที่ลานหน้าพระเจ้าหมายเมือง ของวัดฟ้าเวียงอินทร์ บนสันเขาชายแดนไทย – พม่า (รัฐฉาน) ในวันที่5 – 7 ธ.ค. 53 ภายใต้ชื่อ "ปอยยกย่องเจ้าครูหมอ และ ปีใหม่ไต" ภายในงานมีการแสดงซุ้มเชิดชูเกียรติเจ้าครูหมอ รวมถึงการร้องเพลงเก่าและสมัยใหม่ การละเล่นพื้นบ้านแบบไทใหญ่ ในช่วงค่ำของวันที่ 5 ธ.ค. จะมีพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพร โดยมีท่านนายอำเภอเวียงแหงเป็นประธานในพิธี 
 
อีกแห่งหนึ่งคือที่ สถานปฏิบัติธรรม (วัดใหม่) ถ.สาธุประดิษฐ์ เขตยานนาวา กรุงเทพฯ ทางมูลนิธิพระธรรมแสง ร่วมกับพี่น้องไทใหญ่หลายสาขาอาชีพในกรุงเทพฯ จะร่วมกันจัดงานเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และงานประเพณีต้อนรับปีใหม่ไต 2105 ในวันที่ 5 ธ.ค. 53 โดยกิจกรรมในวันงานจะมีการจัดประกวดร้องเพลงไตสมัยใหม่ (ป๋านใหม่), ประกวดเล่นกีตาร์โปร่ง, กลอง, เบส ประกวดฟ้อนสมัยใหม่ การฟ้อนนก โต และประเพณีการร้องเพลงสมัยเก่า (ป๋านเก่า) ในเวลา 19.00 น. มีพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพร จากนั้นช่วงเที่ยงคืนจะมีพิธีส่งท้ายปีเก่า 2104 ต้อนรับปีใหม่ 2105
 
นอกจากนี้ ที่บ้านเทอดไทย (บ้านหินแตก) อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ก็มีกำหนดจัดงานประเพณีต้อนรับปีใหม่ไตเช่นเดียวกัน โดยชาวไทใหญ่ในจังหวัดเชียงรายร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลเทอดไท มีกำหนดจัดงาน "ปีใหม่ไตเทิดไท้มหาราชา" ขึ้นในวันที่ 5 – 7 ธ.ค. 53 ที่สนามกลางบ้านเทอดไท ซึ่งทางคณะผู้ดำเนินงานได้เรียนเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายไปเป็นประธานเปิดงาน ในค่ำคืนของวันที่ 5 ธ.ค. มีกิจกรรมจุดเทียนถวายพระพรแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในงานมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมของชาวไทใหญ่มากมาย อาทิ การร้องเพลง การประกวดชุดเสื้อผ้าไทใหญ่ รวมถึงการละเล่นต่างๆ 
 
ผู้สนใจร่วมงานสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ดังนี้... 
งานปีใหม่ไตวัดกู่เต้า เมืองเชียงใหม่ 083-7669703
งานปีใหม่ไตบ้านหลักแต่ อ.เวียงแหง เชียงใหม่ 087-1764170
งานปีใหม่ไตวัดใหม่ ยานนาวา กรุงเทพฯ 081-8081743, 081-3982756
งานปีใหม่ไตบ้านเทอดไท อ.แม่ฟ้าหลวง เชียงราย 086-1923874
 
 
 
ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/
________________________________________
"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 22-28 พ.ย. 2553

Posted: 29 Nov 2010 03:27 AM PST

เตรียมประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาวิธีคุมกำเนิดแรงงานต่างด้าว

22 พ.ย. 53 - นายสุธรรม นทีทอง โฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เสนอแนวคิดในการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวโดยให้มีการคุมกำเนิดแรงงานเพื่อ ควบคุมเด็กต่างชาติที่เกิดในประเทศไทยว่า ปัญหาการคลอดลูกของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยนั้นเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทยที่ดูแลเรื่องทะเบียนราษฎร์ สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องภาพรวมของรัฐบาล แต่นายเฉลิมชัยเห็นว่าหากปล่อยปัญหานี้ไว้ จะทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเด็กเหล่านี้อาจการตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ เนื่องจากอยู่อย่างผิดกฎหมาย ดังนั้น จึงควรรีบช่วยกันแก้ไข

นายสุธรรม กล่าวว่า ในเร็วๆ นี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงได้มีการหารือกันเพื่อร่วมกันหาทางออก โดยเฉพาะการจัดทำทะเบียน และการตรวจสุขภาพ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบเลยว่ามีเด็กๆ ที่เป็นลูกของแรงงานข้ามชาติอยู่ในสังคมไทยเท่าไร และจะกลายเป็นปัญหาระยะยาว ทั้งนี้ อาจศึกษาระเบียบและวิธีการที่หลายประเทศนำมาใช้ เช่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ โดยพิจารณาว่าวิธีการไหนที่จะเหมาะสมกับสังคมไทยมากที่สุด ซึ่งนายเฉลิมชัยเองก็พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย เพื่อหามาตรฐานที่เทียบเคียงกับสากลให้มากที่สุด

ขณะที่นายแสงเมือง มังกร กรรมการเลขานุการมูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ (MAP Foundation) จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการคุมกำเนิดหรือส่งแรงงานต่างด้าวที่ท้องกลับ เพราะเป็นการละเมิดสิทธิของแรงงาน เนื่องจากการจะออกนโยบายใดๆ ก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงสิทธิในการมีครอบครัว หรือมีบุตรเช่นเดียวกับคนทั่วไป ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็สนับสนุนมาตลอดทั้งเรื่องการรักษาพยาบาล หรือสิทธิในการศึกษา อีกทั้งจำนวนของเด็กที่เกิดใหม่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้

นโยบายของรัฐด้านการวางแผนครอบครัว เองก็มีอยู่แล้ว และยังมีความร่วมมือระหว่างองค์กรพัฒนาเอกชนและกระทรวงสาธารณสุขในการลง พื้นที่ชุมชน เพื่อให้ความรู้เรื่องการคุมกำเนิดในรูปแบบต่าง ๆ ในพื้นที่ที่ผมทำงานอยู่ แรงงานก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี วิธีแก้ปัญหาจึงน่าจะอยู่ที่การสนับสนุนงบประมาณและความร่วมมือของหน่วยงาน ต่าง ๆ ในการเข้าถึงชุมชนแรงงานต่างด้าวมากกว่านายแสงเมืองกล่าว

(สำนักข่าวไทย, 22-11-2553)

จัดหางาน จ.บุรีรัมย์ ผวานายหน้าเถื่อนต้มแรงงาน

23 พ.ย. 53 - นายสุวรรณ์ ดวงตา จัดหางาน จ.บุรีรัมย์ เปิดเผยว่า  ขณะนี้มีแก๊งมิจฉาชีพและแก๊งนายหน้าเถื่อนหลอกลวงคนงานไปขายแรงงานทั้งใน และต่างประเทศ  อ้างว่าสามารถฝากเข้าทำงานในตำแหน่งต่างๆ ได้ ซึ่งจากการสำรวจสถิตินักศึกษาที่จบใหม่ๆ และแรงงานจากภาคเกษตรว่างงานมีกว่า  21,000  ราย  และคาดว่าจะสูงขึ้นอีกจากปัญหาน้ำท่วม  จึงขอให้ผู้ที่ต้องการหางานเข้าติดต่อลงทะเบียนที่ศูนย์ทะเบียนจังหวัดที่ สำนักจัดหางานได้ เพื่อป้องกันการถูกหลอก เนื่องจากในปี  2553 จ.บุรีรัมย์มีแรงงานที่ถูกหลอกไปทำงานต่างประเทศจากสายนายหน้าเถื่อนกว่า  105 ราย สูญเงินไปกว่า  6  ล้านบาท  มีผู้เข้าแจ้งความ 67 เรื่อง

(ไทยโพสต์, 23-11-2553)

คนงานกู๊ดเยียร์รวมพลบุกแรงงานจังหวัดให้ไกล่เกลี่ยหาข้อยุติ

22 พ.ย. 53 - เวลาประมาณ 09.00 น. ทางกลุ่มสหภาพแรงงานคนทำยางแห่งประเทศไทย นำโดย นายอรรคพล  ทองดีเลิศ ประธานสหภาพแรงงานฯ ได้เคลื่อนขบวนจากหน้าบริษัท กู๊ดเยียร์(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่เลขที่ 50/9 หมู่ 3 ถ.พหลโยธิน กม. 36 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานีไป กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดปทุมธานี นำขบวนโดยรถจักรยานยนต์จำนวน 20 กว่าคัน รถกระบะและกลุ่มเพื่อนอ๊อฟโรด จำนวน 20 กว่าคัน พร้อมทั้งสมาชิกสหภาพแรงงานฯ ประมาณ 200คน เพื่อไปให้กำลังกับตัวแทนเจรจา

ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. นายสมภพ  ปราณีแก้ว  เจ้าหน้าที่ประนอมข้อพิพาท จากกระทรวงแรงงาน ได้มาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยระหว่าง ตัวแทนเจรจาฝ่ายนายจ้างนำโดย นายดนุพงศ์  นงภา   ผู้จัดการแรงงานสัมพันธ์ บริษัท กู๊ดเยียร์ กับ นายอรรคพล ทองดีเลิศ ประธานสหภาพแรงงานฯ ผลการเจรจา ข้อเรียกร้องทั้ง 15 ข้อ (ข้อเรียกร้องอ่านได้ที่ http://voicelabour.org/?p=1245) ยังหาข้อสรุปไม่ได้ แต่ครั้งนี้บรรยากาศในห้องประชุมในการเจรจาเป็นไปด้วยดี ทางตัวแทนบริษัทฯและทางสหภาพแรงงานฯ มีความประสงค์จะขอเจรจาต่อทั้งสองฝ่าย ซึ่งกำหนดเจรจาต่อครั้งต่อไป วันที่ 24พฤศจิกายน 2553 เวลา 10.00 น. ณ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดปทุมธานี

(นักสื่อสารแรงงาน, 23-11-2553)

คนงานมิตซูลิฟท์เดินรณรงค์หาข้อยุติทางการเจรจาร่วม

22 พ.ย. 53 - เวลา 17.00 น.สหภาพ แรงงานมิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ เอเชีย (สร.มิตซู ลิฟท์) เป็นบริษัทผู้ผลิตบันไดเลื่อนและลิฟท์ ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.ชลบุรี เกาะกลุ่มรวมตัว หลังเลิกงาน แสดงได้ร่วมกันรณรงค์เพื่อต่อต้าน ผลการเจรจาที่ไม่เป็นธรรม จนกระทั้งเวลา 17.45 น. สมาชิกกว่า 600 คน เดินขบวนไปตามท้องถนนในนิคมฯอมตะนคร มุ่งหน้าสู่ถนนบางนา-ตราด ระยะทางกว่า 5กิโลเมตร ริ้วขบวนยาวกว่า 100เมตร มีทั้งเดินเท้าและขบวนรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ กว่า 150 คัน ส่งผลให้การจราจรขาออกของนิคมฯไม่สามารถใช้การได้ มากกว่า 1 ชั่วโมง ตลอดระยะทางการเคลื่อนขบวน

พนักงานหญิงฝ่ายผลิตคนหนึ่ง กล่าวว่า  การร่วมเดินขบวนเรียกร้องในครั้งนี้ มาด้วยความหวัง อยากให้ผู้บริหารบริษัทฯได้รับรู้ว่า พวกเราเดือดร้อนจริงๆ เราเข้าใจและติดตามการเจรจามาโดยตลอด ผู้บริหารบอกว่า ผลประกอบการในปีนี้ไม่ดี แต่เราอยู่ฝ่ายผลิต เรารู้ว่า ยอดผลผลิตยอดขายสูงขึ้นมาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะขาดทุน อยากให้นายจ้างตอบแทนบ้าง หลังจากที่พวกเราเหน็ดเหนื่อยกันมาตลอดทั้งปี

การเคลื่อนพลเป็นไปด้วยความคึกคัก มีเสียงกระตุ้นจากแกนนำ ผ่านรถเครื่องขยายเสียงและเสียงตอบรับจากผู้ชุมนุมตลอดเวลา ทำให้การเดินขบวนครั้งนี้ มีแต่รอยยิ้ม แม้จะมีเหงื่อไคลไหลเต็มใบหน้าผู้ชุมนุมก็ตาม

นายวันชัย จันทร์เรือง กรรมการบริหารสหภาพฯ  กล่าวว่า  “เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2553 ที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ5 ปีการจัดตั้งสหภาพแรงงานฯ ทำให้พวกเรานึกถึงการต่อสู้ เพื่อเรียกร้องสิทธิประโยชน์ ที่ผ่านมาในครั้งนั้น ไม่คิดว่า เหตุการณ์อย่างวันนั้น จะเกิดขึ้นอีกในวันนี้ แสดงให้เห็นได้ว่า ที่สหภาพแรงงานฯต่อสู้ เพื่อเรียกหาความกินดีอยู่ดี ยังไม่บรรลุตามความปรารถนา

นายวันชัย กล่าวต่อว่า   บริษัทฯก่อตั้งมา 18 ปี พนักงานมีอายุงานฉลี่ย 5-6 ปี ฐานเงินเดือนเฉลี่ย 7,600 บาทต่อเดือน ปัญหาหลักของพนักงาน คือ การที่รายรับไม่เพียงพอต่อรายจ่ายจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่เขตอุตสาหกรรม อย่างจังหวัดชลบุรี สหภาพแรงงานฯจึงร่วมกันผลักดันจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ขึ้นเพื่อช่วยลดราย จ่ายของพนักงานที่ไม่สมดุลกัน แต่ก็ยังไม่สามารถช่วยได้เท่าที่คาดหวัง ทั้งที่พวกเราต้องทำงานล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 50 ชั่วโมงต่อเดือน ในวันนี้ผู้บริหาร บอกว่า ผลประกอบการไม่ดี ทั้งทีมีการขยายโรงงานเพิ่ม สร้างสายการผลิตใหม่ และเพิ่มการทำงานล่วงเวลาให้เป็น 60 ชั่วโมงต่อเดือน ซึ่งสวนทางกับที่บริษัทฯชี้แจงว่าผลประกอบการไม่ดี เมื่อตรวจสอบ จึงรู้ว่าไม่เป็นความจริง ทำให้พนักงานขาดความเชื่อมั่นในคำพูดของฝ่ายบริหาร ซึ่งถือว่าเป็นอุปสรรคสำคัญในการหาข้อยุติ ทั้งนี้ในนาทีนี้ พวกเราขอเพียงแค่รายรับ-รายจ่ายต่อเดือน ไม่ติดลบก็เพียงพอแล้ว   นายวันชัย กล่าวทิ้งท้าย

เวลา 19.00 น. ขบวนแรงงานถึงลานเอนกประสงค์หน้านิคมฯที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ให้ชุมนุม เพียงไม่กี่นาที พื้นที่มากกว่า 10ไร่ แน่นขนัดไปด้วยผู้ชุมนุม และผู้สังเกตการณ์ โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงาน จังหวัดชลบุรี ร่วมด้วย กิจกรรมดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย โดยมีเสียงปราศัย แถลงการณ์จากผู้แทนลูกจ้าง ชี้แจงผลการเจรจา สลับกับการกล่าวทักทายให้กำลังใจจากพันธมิตรแรงงานที่ร่วมสังเกตการณ์การ ชุมนุม พร้อมทั้งมีเสียงโห่ร้องแสดงความผิดหวังเป็นช่วงๆ เมื่อทราบผลการเจรจาจากสิ่งที่ได้รับจากนายจ้างตลอดเวลา ประเด็นขัดแย้งหลัก เป็นเรื่องโบนัสที่ บริษัทฯเสนอเพียง 4.7 เดือน บวกพิเศษ 5,000 บาท ขณะที่สหภาพแรงงานฯต้องการ 5.5เดือน บวกพิเศษ 10,000บาทต่อคน จากยอดการผลิตบันไดเลื่อนและลิฟท์ที่เพิ่มขึ้น ถึง 9,700 ยูนิท

ทั้งนี้ บริษัทมิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ เอเชีย จำกัดตั้งอยู่เลขที่ 700/86  นิคมฯ อมตะนคร หมู่ 6 ต.ดอนหัวฬ่อ อ.เมือง จ.ชลบุรี 20000ประเภทอุตสาหกรรมลิฟท์ บันไดเลื่อน และสินค้าที่เกี่ยวข้อง อุปกรณ์ในการประกอบลิฟท์และบันไดเลื่อนจัดตั้งมาด้วยเงินลงทุนเพียง 811 ล้านบาท เมื่อ 18ปีที่แล้ว มาปีนี้บริษัทฯมีทรัพย์สินรวมมากถึง 3,257ล้านบาท

(นักสื่อสารแรงงาน, 22-11-2553)

ปรับสูตรขึ้นค่าแรงขั้นต่ำใหม่บวกภาษีสังคม

วันนี้ 23 พ.ย. 53 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กระทรวงแรงงาน นายสุนันท์ โพธิ์ทอง ประธานอนุกรรมการวิชาการและกลั่นกรองค่าจ้าง เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯมีมติเห็นชอบในหลักการคำนวณอัตราค่าแรง ขั้นต่ำที่สะท้อนคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงาน โดยเพิ่มปัจจัยเรื่องค่าสันทนาการ เช่น ค่าทำบุญงานบวช งานศพ ค่าเช่าบ้านฯลฯ บวกเข้าไปกับอัตราค่าแรงขั้นต่ำที่แต่ละจังหวัดเสนอเข้ามา ซึ่งจะทำให้แรงงานมีรายได้เพียงพอในการใช้จ่ายทำกิจกรรมสังคมอื่นๆจาก ปัจจุบันที่ได้รับค่าจ้างตามอัตภาพซึ่งเพียงพอสำหรับการดำรงชีพอย่างเดียว ส่วนค่าเฉลี่ยคุณภาพชีวิตที่จะบวกเพิ่มขึ้นมานั้น ขณะนี้อนุกรรมการกำลังอยู่ระหว่างคำนวณหาค่ากลางและคาดว่าจะเสร็จภายใน สัปดาห์นี้ โดยมีหลักการคือแบ่งเขตการคำนวณออกเป็น 4 ภูมิภาคคือภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้และภาคกลาง โดยนำค่าจ้างเชิงคุณภาพชีวิตในแต่ละภาคมาตัดอัตราที่สูงที่สุดและต่ำที่สุด ออกไป จากนั้นนำตัวเลขอื่นๆมาเฉลี่ยหาค่ากลางแล้วหารด้วย 5

เหตุที่ต้องหารด้วย 5 เพราะเป็นตัวเลขเป้าหมายที่ต้องการปรับให้ทันกับค่าครองชีพที่แท้จริงภายใน 5 ปี หากปรับขึ้นครั้งเดียวจะส่งผลกับผู้ประกอบการและภาพรวมเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงต้องปรับเพิ่มในลักษณะขั้นบันไดแทนนายสุนันท์ กล่าว และว่า เมื่อได้ค่าเฉลี่ยสุดท้ายแล้วจึงจะนำมาบวกกับตัวเลขที่คณะอนุกรรมการค่าจ้าง แต่ละจังหวัดเสนอเข้ามา แล้วนำเสนอเข้าที่ประชุมค่าจ้างกลางชุดใหม่ซึ่งจะเสนอรายชื่อให้ครม.แต่ง ตั้งใน 2 สัปดาห์นี้ โดยกระบวนการทั้งหมดเชื่อว่าจะเสร็จก่อนสิ้นเดือน ธ.ค.อย่างแน่นอน

(เดลินิวส์, 23-11-2553)

สหภาพแรงงานมิชลินฯ สุดเซ็งนายจ้างยื้อต่อ:จ่ายค่าจ้างวันหยุด

เมื่อวันที่ 23 พย 53 เวลา 9.00 น. ณ ศาลแรงงาน 2 จังหวัดชลบุรี แกนนำสร.มิชลินฯ 17 คน มีความหวังกับคำสั่งของเจ้าพนักงานตรวจแรงงาน ที่มีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าทำงานในวันหยุด หลังจากที่เจ้าพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้บริษัทฯดังกล่าวจ่ายค่าทำงานใน วันหยุดแก่แกนนำ แต่บริษัทฯก็ใช้สิทธิอุทรณ์คำสั่งต่อศาลแรงงาน 2  จังหวัดชลบุรี และวันนี้ (23.. 53) เจ้าหน้าที่ไกล่เกลี่ยก็ได้ทำหน้าที่เพื่อหาข้อยุติ โดยฝ่ายบริษัทยินดีที่จะปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ คือให้สามารถสะสมวันหยุดได้เหมือนกับพนักงานทั่วๆไปดังเช่นที่ปฎิบัติกัน ส่วนฝ่ายแกนนำเองก็ได้ให้เหตุผลว่า ขอยืนตามคำสั่งเจ้าพนักงานตรวจแรงงาน การไกล่เกลี่ยไม่เป็นผลสำเร็จ โดยศาลนัดพิจารณาอีกทีในวันที่ 28 ธค 53

นายสมหมาย ประไว หนึ่งในผู้เสียหายคดีนี้ กล่าวว่า  จริงๆแล้วสำหรับวันนี้ทุกคนตั้งความหวังว่าบริษัทจะปฏิบัติตามคำสั่งเจ้า พนักงานตรวจ แต่เมื่อเรามาถึงปรากฎว่าเป็นการไกล่เกลี่ย ซึ่งประเด็นที่สรุปก็เป็นเรื่องเก่าที่เราเคยขอแล้ว ตั้งแต่หัวหน้างาน หรือผู้บริหาร หรือแม้กระทั่งขอต่อหน้าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เมื่อสมัยที่เราเคยขอความช่วยเหลือ ว่าพวกเราก็เป็นพนักงานเหมือนกับคนอื่นๆทำไมไม่ให้เราสะสมวันพักร้อนได้ เหมือนเขา บริษัทเองที่ให้เราอยู่นอกโรงงานไม่ให้เข้าทำงานเราจึงไม่ได้ใช้สิทธิลาพัก ร้อนและหักพักร้อนเราหมดเลย พอถึงวันนี้วันที่เจ้าพนักงานมีคำสั่งว่าให้บริษัทฯจ่ายค่าเสียหายให้เรา ซึ่งทุกคนรวมกันแล้วเกือบสองแสน บริษัทกลับขอประนอมเป็น ให้สะสมวันพักร้อนได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เราเคยขอร้องเมื่อในอดีต มาถึงวันนี้พวกเราเลยขอยืนยันตามคำสั่งเจ้าพนักงานตรวจฯ พวกเราก็อยากจะรู้ความจริงเหมือนกันว่าศาลท่านจะตัดสินเช่นไร

(นักสื่อสารแรงงานศูนย์แรงงานภาคตะวันออก, 23-11-2553)

ภาคแรงงานยื่นร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม

24 พ.ย.53 - คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย และกลุ่มเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน เข้ายื่นร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม ฉบับที่ พ.ศ.(ฉบับบูรณาการแรงงาน) พร้อมนำรายชื่อผู้ใช้แรงงาน และผู้ประกันตน จำนวน 14,500 รายชื่อ ต่อ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยสาระของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว มีความเป็นอิสระ และการบริหารงานอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ การขยายสิทธิประโยชน์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกันตน และขยายการคุ้มครองไปสู่แรงงานทุกกลุ่ม รวมทั้งการบริการที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการผลักดันให้สำนักงานประกันสังคมเป็นองค์กรอิสระ กรรมการมาจากการเลือกตั้ง และประธานกรรมการต้องมาจากการสรรหา รวมทั้งให้มีคณะกรรมการตรวจสอบคณะกรรมการการลงทุน และคณะกรรมการการแพทย์ ทั้งนี้ เป็นการยื่นร่างกฎหมาย เพื่อเข้าไปประกบกับร่างของรัฐบาลที่มีอยู่ในวาระการพิจารณาของสภาแล้ว

(เดลินิวส์, 24-11-2553)

เตรียมเปิดขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวรอบใหม่ จี้นายจ้างซื้อประกันสุขภาพรายละ 500 บาท

25 พ.ย. 53 - นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะทำงานจัดระบบแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ว่า ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับรายละเอียดในการแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวหลบหนี เข้าเมืองที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน แต่ยังคงลักลอบทำงานอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งจะมีการเปิดให้แรงงานต่างด้าวกลุ่มนี้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องภายในช่วง กลางปี 2554 ภายใต้หลักการ 3 ข้อ ประกอบด้วย

1.การขึ้นทะเบียนในครั้งนี้จะต้อง แยกแยะตัวบุคคลได้ชัดเจนถูกต้อง เช่น มีลายนิ้วมือ รูปถ่าย สามารถเป็นหลักฐานติดตามตัวได้ 2.นายจ้างจะต้องร่วมรับผิดชอบในการดูแลแรงงานต่างด้าว และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบภายใน 15 วัน หากมีการหลบหนี หากไม่ปฏิบัติตามก็จะลดโควตาในการจ้างแรงงานต่างด้าว และ 3. ต้องมีการดูแลสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ของแรงงานต่างด้าว โดยอาจใช้วิธีเก็บเงินคนต่างด้าว เพื่อทำประกัน กรณีเกิดอุบัติเหตุ สูญเสียชีวิต หรือร่างกาย มีอัตราการจ่ายเทียบเคียงกับกองทุนเงินทดแทนของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เบื้องต้นอาจจัดเก็บคนละ 500 บาท

สำหรับผู้ติดตามแรงงานต่างด้าวนั้น ที่ประชุมวันนี้ไม่ได้มีการพูดถึง เพราะเป็นเรื่องนอกเหนือของกระทรวงแรงงาน ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดจะรายงานเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าว หลบหนีเข้าเมือง (กบร.) เพื่อพิจารณาอีกครั้ง

(สำนักข่าวไทย, 25-11-2553)

นายกระบุขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 54 อีก 10 บาท

26 พ.ย. 53 - ที่ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษหัว ข้อ "ประเทศไทย 2554 : พลิกความท้า ทายสู่โอกาส" ตอนหนึ่งว่า ขณะนี้รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการเร่งกำลังซื้อในประ เทศ และจากแผนงานที่รัฐบาลได้วางไว้คือ การเพิ่มเงินเดือนให้แก่ข้าราชการและรัฐ วิสาหกิจ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มได้ตั้งแต่เดือน เม.ย.54 รวมทั้งมีนโยบายปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ โดย เห็นว่าการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจจากนี้ไป จะต้องไม่ใช่รูปแบบของการกดค่าแรงแล้วไปให้ความสำคัญกับด้านการส่งออกอีก แล้ว

"ในการปรับค่าแรงขั้นต่ำนั้น ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ขึ้นเพียง 2-3 บาท แต่นโยบายรัฐบาลปีนี้จำเป็นต้องเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำมากกว่าที่ทำมาในช่วง 1-2 ปี ซึ่งหากเป็นไปได้ต้องการจะให้เป็นตัวเลข 2 หลักในระดับ 10-11 บาท" นายกฯ ระบุ

นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ว่า ตอนนี้ได้ให้ทางกระทรวงแรงงานดำเนินการอยู่ โดยต้องผ่านคณะกรรมการไตรภาคี (คณะกรรมการค่าจ้างกลาง) ก่อน แต่ในส่วนของนโยบายรัฐบาลเห็นว่าจะต้องเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ ซึ่งขึ้นเพียง 2-3 บาท ถ้านโยบายผ่านจะพยายามบังคับใช้ให้ทันช่วงปีใหม่ เพราะจะทำให้พร้อมๆ กับการเพิ่มสิทธิประโยชน์ประกันสังคมที่จะขยายวงเงินในการรักษาพยาบาล ทำฟัน และอื่นๆ สำหรับคนที่อยู่ในระบบประกันสังคม

เมื่อถามว่า การขึ้นค่าแรงแบบก้าวกระโดดจะส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อในปีหน้าหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่ถือว่ากระโดดมาก เพราะว่าขึ้นอยู่แค่ประมาณ 10 บาทเท่านั้น ยังไม่ได้ขึ้นเป็น 100 บาทหรืออะไร สำหรับความกังวลภาวะเงินเฟ้อจะต้องดู เพราะว่าเรื่องปัญหาเงินเฟ้อยังมีมาตรการอื่นๆ อีก และขณะเดียวกันเรายังมีอีกขาหนึ่งในเรื่องค่าครองชีพ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยลดแรงกดดันลงไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะถูกมองว่าเป็นนโยบายการหาเสียงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า "ไม่หรอกครับ เพราะเรื่องดังกล่าวผมได้ประกาศมานานแล้ว ทั้งเรื่องค่าแรงและประกันสังคม เพราะควรจะต้องมีการเพิ่ม อีกทั้งเรื่องนี้เป็นเรื่องของความเป็นธรรม ซึ่งผมได้พยายามแก้ปัญหาเรื่องความไม่เป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจทั้งหมด"

ด้านนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการส่วนวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สำนัก งานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของนายกฯ จะส่งผลต่อการบริโภคภายในประเทศให้ปรับตัวดีขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพราะเป็นนโยบายดูแลสวัสดิ การสังคม ขณะเดียวกันจะกระทบทำให้ต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าจะปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ สศค.ได้เคยศึกษาไว้ พบว่าหากมีการปรับค่าแรงเพิ่ม 1% จะทำให้จีดีพีปรับลดลง 0.04% หรือค่าแรงปัจจุบันที่ประมาณ 200 บาท หากปรับเพิ่มเป็น 210 บาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 5% ก็จะกระทบการขยายตัวจีดีพีลดลง 0.2%

นายปัณณพงศ์ อิทธิ์อรรถนนท์ เลขาธิการสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการค่าจ้างกลางฝ่ายนายจ้าง กล่าวว่า เป็นเพียงแนวคิดของนายกฯ เท่านั้น และไม่ว่าใครจะเสนอตัวเลขเท่าใดก็ตาม แต่ตามกฎหมายผู้ที่มีอำนาจในการขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ คือคณะกรรมการไตรภาคี อย่างไรก็ตามตัวเลขที่นายกฯ เสนอ 10-11 บาทนั้น น่าจะรับฟังได้มากกว่า 250 บาท เพราะพอจะมีความเป็นไปได้มากกว่า

ทั้งนี้  อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นอัตราค่าจ้างสำหรับแรงงานที่ไร้ฝีมือที่เดินเข้า สู่ตลาดแรงงาน แต่วันนี้ผู้ประกอบการที่จ้างแรงงานตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำแทบจะหาไม่ได้ เพราะไม่มีใครยอมรับค่าจ้างขั้นต่ำ นอกจากนี้ ในการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแต่ละครั้ง ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือราคาสินค้ามักจะขึ้นรอการปรับค่าจ้าง ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลไม่สามารถควบคุมราคาสินค้าได้ การที่นายกฯ ออกมาพูดว่าจะขึ้นค่าจ้างนั้น จะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนในภาพรวม โดยเฉพาะลูกจ้างที่ค่าจ้างยังไม่ได้ขึ้นกลับต้องซื้อของแพงขึ้น.

(ไทยโพสต์, 26-11-2553)

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

วงเสวนาแรงงานชี้กลไก "สหภาพแรงงาน" คุ้มครองสิทธิ "แรงงานข้ามชาติ"

Posted: 29 Nov 2010 02:57 AM PST

เมื่อวันที่ 27-28 พฤศจิกายน 2553 ที่ สีดา รีสอร์ท จ.นครนายก โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทยได้จัดเวทีเสวนา “ยุทธศาสตร์เรื่องแรงงานต่างชาติ ของขบวนการแรงงานไทย” โดยมีผู้นำแรงงานไทย และนักพัฒนาเอกชนประเด็นแรงงานข้ามชาติเข้าร่วมงาน โดยวัตถุประสงค์ของการจัดงานนั้นก็ เพื่อทบทวนสถานการณ์และกรอบการทำงานเรื่องแรงงานต่างชาติที่ผ่านมา, จัดทำยุทธศาสตร์ร่วม ต่อการคุ้มครองสิทธิแรงงานต่างชาติ และเพื่อให้เกิดการเรียนรู้เข้าใจ และเกิดความสัมพันธ์ระหว่างแรงงานไทยแรงงานต่างชาติ

เสถียร ทันพรม มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์, สุนี ไชยรส อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, ชุติมา บุญจ่าย รองประธานสหพันธ์แรงงานขนส่งระหว่างประเทศ (ITF)

ในการเสวนาหัวข้อ “ยุทธศาสตร์การคุ้มครองแรงงานข้ามชาติผ่านกลไกสหภาพแรงงาน” ซึ่งนำเสวนาโดยเสถียร ทันพรม มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์, สุนี ไชยรส อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, ชุติมา บุญจ่าย รองประธานสหพันธ์แรงงานขนส่งระหว่างประเทศ (ITF) ดำเนินรายการโดย ศรีโพธิ์ วายุภักดิ์ ที่ปรึกษากลุ่มสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมเบอร์ล่า

เสถียร ทันพรม มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ ชี้ว่าผู้นำขบวนการแรงงานต้องรู้เรื่องนโยบายที่เกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติ ทั้งในประเทศและในระดับนานาชาติ โดยต้องเข้าใจในบริบทของประเทศไทยที่ทั้งส่งออกและรับเข้าแรงงานเข้ามา

โดยในการทำงานระหว่างสหภาพแรงงานไทยกับประเด็นแรงงานข้ามชาตินั้น เสถียรเห็นว่าการใช้แนวคิดกรรมกรทั้งผองพี่น้องกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำงานเชิงปรับทัศนคติเรื่องแรงงานข้ามชาติ กับสมาชิกสหภาพแรงงานที่ยังมีความหลากหลายอยู่ ชี้ให้เห็นว่าเรา (แรงงานไทย-ข้ามชาติ) เป็นแรงงานเหมือนกัน ถูกกดขี่ขูดรีดพอกัน

ส่วนการคุ้มครองสิทธิแก่แรงงานข้ามชาตินั้น สหภาพแรงงานจะต้องผลักดันเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติให้เท่าเทียมกับแรงงานไทย สร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหา สหภาพแรงงานต้องเปิดใจรับแรงงานข้ามชาติเป็นสมาชิกสหภาพ

สุนี ไชยรส อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อธิบายว่ากรณีของการขูดรีดแรงงานข้ามชาติกับการค้ามนุษย์นั้น ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายเรื่องการค้ามนุษย์ที่ดีพอสมควร แต่รัฐเองก็พยายามตีความให้เป็นคนละเรื่องกัน เพราะมองว่าแรงงานข้ามชาตินั้นสมัครใจที่จะเข้าไปทำงานยังสถานประกอบการณ์ต่างๆ แต่เรื่องการค้ามนุษย์นั้นรัฐพยายามให้ภาพว่าจะต้องเป็นเรื่องของการหลอกลวง เช่น การหลอกลวงในธุรกิจค้าประเวณี เป็นต้น จึงไม่สามารถใช้กฎหมายการค้ามนุษย์มาปกป้องแรงงานข้ามชาติเมื่อถูกกดขี่ได้

ในเรื่องของกลไกสหภาพแรงงานกับการช่วยคุ้มครองสิทธิแรงงานข้ามชาติเมื่อเกิดปัญหานั้นนั้น ในหลายที่ยังไม่มีการใส่ใจ อย่างกรณีของคนงานที่โรงงานทออวลเดชา ที่ จ.ขอนแก่นนั้น บทบาทความช่วยเหลือส่วนใหญ่จะเป็นองค์กรสิทธิมนุษยชน ไม่ค่อยมีกลุ่มสหภาพแรงงาน ซึ่งเข้าใจว่าในแถบ จ.ขอนแก่นนั้นอาจจะมีสหภาพแรงงานน้อย แต่เมื่อดูตัวอย่างจากต่างประเทศก็พบว่าเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ เป็นหน้าที่ของสหภาพแรงงานโดยตรง เช่น สหภาพแรงงานภาคเกษตรในสหรัฐอเมริกา ที่มีคนไทยไปทำงาน สหภาพแรงงานก็รับคนไทยเหล่านั้นเป็นสมาชิกและช่วยเหลือปกป้องสิทธิต่างๆ ให้

ชุติมา บุญจ่าย รองประธานสหพันธ์แรงงานขนส่งระหว่างประเทศ (ITF) เล่าว่าจากประสบการณ์การทำงานร่วมกับเครือข่ายแรงงานข้ามชาตินั้นก็ได้เห็นปัญหาในขบวนการแรงงานของไทยเอง เหมือนกับว่าเราขาดการเชื่อมโยงระหว่างแรงงานข้ามชาติกับสหภาพแรงงาน โดยที่ผ่านมามักจะมีคำพูดทำนองที่ว่าทำไมต้องเข้าไปยุ่ง  ทำไมไม่ช่วยคนไทยก่อน ทั้งนี้ในการทำงานก็จะต้องทำความเข้าใจกับพี่น้องสมาชิกสหภาพแรงงานของไทยก่อนว่า แรงงานข้ามชาติก็เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจ ต้องปรับทัศนคติตรงนี้ก่อน และถ้าถามว่าระยะเวลาในการปรับทัศนคติตรงนี้จะใช้เวลามากไหม ชุติมาให้ความเห็นว่าน่าจะนานพอสมควร แต่ก็ไม่น่าจะเกินความสามารถของพวกเราที่จะช่วยกันทำได้

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ตัดสินจำคุก 'สุชาติ นาคบางไทร' 3 ปี ข้อหาหมิ่นสถาบัน

Posted: 29 Nov 2010 12:36 AM PST

29 พ.ย.53  รายงานข่าวแจ้งว่า ศาลอาญา ถนนรัชดา ได้ตัดสินคดีของนายสุชาติ นาคบางไทร หรือ วราวุธ ฐานังกรณ์ หมายเลขแดงที่ อ.3964/2553 เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา หลังจากอัยการส่งฟ้องในวันที่ 23 พ.ย. โดยพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  จำคุก 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา78 คงจำคุก 3 ปี

ในคำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2551 เวลาประมาณ 18.05 น.-18.15 น. จำเลยได้ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวที แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ท้องสนามหลวง ด้วยการกระจายเสียงทางเครื่องขยายเสียง  ท่ามกลางประชาชนที่มาฟังการปราศรัยจำนวนหลายคน ซึ่งเป็นบุคคลที่สาม จำเลยพูดจาบจ้วง พูดเปรียบเทียบและเปรียบเปรย ล่วงเกิน ด้วยถ้อยคำหยาบคาย พูดใส่ความหมิ่นประมาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถองค์ปัจจุบัน ทำให้พระองค์ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ และยังกล่าวแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสมเด็จพระบรมราชินีนาถองค์ปัจจุบันด้วย เหตุเกิดที่ แขวงพระบรมมหาราชวัง  เขตพระนคร  กรุงเทพมหานคร  ขอให้ลงโทษตาม  ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 112

ทั้งนี้ สุชาติถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 14 ต.ค.51 และได้หายตัวไปจนกระทั่งถูกจับกุมเมื่อวันที่ 1 พ.ย. บริเวณประตูน้ำ

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

มติ 4-2 ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องยุบประชาธิปัตย์

Posted: 28 Nov 2010 11:48 PM PST

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 4 ต่อ 2 ยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ ชี้กระบวนการยื่นคำร้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องล่าช้ากว่ากำหนด ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด ศาลจึงวินิจฉัยยกคำร้อง เปิด 2 ชื่อเสียงข้างน้อย ชัช ชลวร - อุดมศักดิ์ นิติมนตรี

วันนี้ (29 พ.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่ช่วงเช้าวันนี้ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์เพื่อให้คู่กรณีแถลงปิดคดีด้วยวาจา ในกรณีที่นายทะเบียนพรรคการเมืองร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคประชาธิปัตย์ จากกรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง จำนวน 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์

โดยล่าสุดเมื่อเวลา 14.45 น. ภายหลังจากการอ่านคำวินิจฉัยเป็นเวลา 40 นาทีโดยประมาณ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 4 ต่อ 2 ยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากกระบวนการยื่นขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

โดยจาก 5 ประเด็นที่สองฝ่ายชี้แจงคือ 1.กระบวนการยื่นขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ 2.การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ อยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.พรรคการเมืองปี 2541 หรือ พ.ร.บ.พรรคการเมืองปี 2550 3.พรรคประชาธิปัตย์ได้ใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการ พัฒนาพรรคการเมือง ในปี 2548 ตามโครงการที่ได้รับที่ได้รับอนุมัติหรือไม่ 4.พรรคประชาธิปัตย์จัดทำรายการใช้จ่าย อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ และ 5.กรณีที่มีเหตุให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าและกรรมการพรรคประชาธิปัตย์ จะต้องถูกตัดสิทธิหรือไม่ ดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเพียง 1 ข้อ

โดยศาลวินิจฉัยว่าเห็นชอบว่า กกต.ทำตามกระบวนการ โดยให้นายทะเบียนพรรคการเมืองได้พิจารณาและยื่นคำร้องนั้นถูกต้อง แต่โดยระยะเวลานั้นไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งนับจากวันที่รับทราบถึงการกระทำผิด ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายใน 15 วัน แต่ว่า กกต.ยื่นล่าช้ากว่ากำหนด โดยรับทราบข้อเท็จจริง เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2553 เมื่อมีการไต่สวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง นับตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2552 จึงเท่ากับว่า กกต.ยื่นล่าช้ากว่ากำหนด

ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยยกคำร้องของ กกต. กรณียุบพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยมติ 4 ต่อ 2 เสียง โดยไม่ได้พิจารณาใน 4 ประเด็นที่เหลือ

สำหรับรายชื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ  4 คน ที่มีเสียงข้างมากวินิจฉัยยกคำร้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ได้แก่  นายบุญส่ง กุลบุปผา, นายจรัญ ภักดีธนากุล, นายสุพจน์ ไข่มุกด์ และนายนุรักษ์ มาประณีต ขณะที่ อีก 2 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เสียงข้างน้อย คือ   นายชัช ชลวร  และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เพ็ญ ภัคตะ: เราควรก้าวไปไกลเกินกว่าหนึ่ง

Posted: 28 Nov 2010 11:29 PM PST

เราควรก้าวไปไกลเกินกว่าหนึ่ง
หากไม่ถูกทมิฬทึ้งดึงกลับศูนย์
เสียเวลากอบซากศพบนกองกูณฑ์
แทนที่จักเพิ่มพูนพลังไท

เราเคยนับหลักสิบถึงร้อยแสน
กลับถูกแผนอุบาทว์ฉุดสะดุดไหว
จากเมืองแมนแดนสยามศิวิไล
ถอยหลังเริ่มต้นใหม่ไกลความจริง

มีรัฐถ่อยเถื่อนสถุลสมุนชาติ
ใครฉลาดถูกฟาดคว่ำริยำยิ่ง
เอากฎหมายสามานย์มาอ้างอิง
ปรุงแต่งสิ่งโสมมอัประมาณ

มีนายกอัปยศรันทดเทวษ
เมืองอาเพศเหตุภัยจัญไรผลาญ
มือเปื้อนเลือดเด่นลอยคอยประจาน
ได้นายกเผด็จการต้องจารจำ

คณะราษฎร์เคยทวงทักท้วงสิทธิ์
ถูกเบือนบิดอ้างระบอบครอบอุปถัมภ์
เป็นประชาธิปไตยใต้เงาดำ
แปดสิบปียังก้าวย่ำมิยาตรา

ทำท่าจักก้าวเดินถูกดึงกลับ
กี่ครั้งนับเมื่อไหร่ถึงทางข้างหน้า
อ้างว่าไทยยังไม่พร้อมน้อมพึ่งพา
ปวงเทวาปารมีวิษณุวงศ์

เราแอบเดินใต้ดินไม่ยินเสียง
ร่วมร้อยเรียงตะเกียงใจไม่พลัดหลง
ระวีแสงแดงวับนับล้านวง
กระหวัดธงกระเหวี่ยงทาส กระวาดไทย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กรรมการสิทธิฯลงตรวจ ‘โนนป่าก่อ’ ผู้ว่าฯรับแผนรองรับชาวบ้านออกจากป่าไม่พร้อม

Posted: 28 Nov 2010 10:04 PM PST

คณะอนุกรรมการป่าไม้-ที่ดิน ในกรรมการสิทธิฯ ลงตรวจสอบกรณีจังหวัดมุกดาหารออกคำสั่งให้ชาวบ้านโนนป่าก่ออพยพออกจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐาน ผู้ว่าฯ รับแผนรองรับยังไม่พร้อมจริง กรณีคุกคามชาวบ้านจะไม่เกิดอีก

24 พ.ย.53 คณะอนุกรรมการป่าไม้-ที่ดิน ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีจังหวัดมุกดาหารออกคำสั่งให้ชาวบ้านโนนป่าก่อ อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร อพยพออกจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐาน หลังจากได้รับจดหมายร้องเรียนจากชาวบ้าน
นายจำรัส สุวรรณวงษ์ ตัวแทนชาวบ้านโนนป่าก่อได้แจ้งแก่คณะอนุกรรมการป่าไม้-ที่ดินว่า นับแต่พื้นที่บริเวณดังกล่าวถูกประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐาน เมื่อปีพ.ศ. 2533  ทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้และทางจังหวัดมุกดาหารได้มีความพยายามที่จะโยกย้ายชาวบ้านโนนป่าก่อออกจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯหลายครั้ง แม้ว่าบ้านโนนป่าก่อจะตั้งชุมชนอยู่ในบริเวณนี้มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2496 ก่อนหน้าการประกาศเขตฯ ก็ตาม  โดยที่ผ่านมาการอพยพชาวบ้านอยู่บนฐานของความสมัครใจ แต่ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2553 นี้ ทางจังหวัดมุกดาหารได้มีคำสั่งให้ชาวบ้านโนนป่าก่อย้ายเข้าไปอยู่ในพื้นที่รองรับที่จัดไว้บริเวณบ้านด่านช้าง อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยบางทรายตอนบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ  หากไม่ยินยอมโยกย้ายจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
จำรัสกล่าวเพิ่มเติมว่า บริเวณพื้นที่รองรับที่บ้านด่านช้างนั้นไม่เพียงพอและไม่เหมาะสมกับการประกอบอาชีพ ชาวบ้านโนนป่าก่อซึ่งปัจจุบันเหลืออยู่ในพื้นที่อีก 24 ครอบครัว จึงร้องเรียนว่าหากจำเป็นต้องย้ายออกจากพื้นที่เดิมจริงๆ ก็ขอให้มีการจัดพื้นที่รองรับที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตและสามารถที่จะเลี้ยงชีพได้ดีเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างทางจังหวัดกับทางชาวบ้าน เพื่อพิจารณาเรื่องนี้ร่วมกัน
 
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2553 ทางจังหวัดมุกดาหารได้ส่งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน กองอาสารักษาดินแดน (อส.) จำนวนรวมประมาณ 300 คน เข้าไปชี้แจงและชักจูงให้ชาวบ้านอพยพไปพื้นที่รองรับ และได้จัด อส.ผลัดเปลี่ยนมาประจำอยู่ที่หมู่บ้านครั้งละ 10-20 นาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  ชาวบ้านให้ข้อมูลแก่อนุกรรมการฯ ว่านอกจาก อส.ซึ่งติดอาวุธปืนยาวจะเดินตรวจตราหมู่บ้านเป็นประจำแล้ว ยังได้ข่มขู่ชาวบ้านหลายครั้งว่า จะใช้กำลังเข้ารื้อถอนบ้านเรือนและทำร้ายร่างกาย  อีกทั้งยังมีการเก็บพืชผักผลไม้ที่ชาวบ้านปลูกไว้ไปกินโดยไม่ขออนุญาต รวมทั้งมีการทำลายสายยางที่ชาวบ้านใช้สูบน้ำออกจากนาอีกด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบัน อส.ได้เข้ามาตั้งแคมป์พักแรมในบริเวณโรงเรียนและบริเวณวัดโนนป่าก่อ โดยได้ตั้งวิทยุสื่อสารไว้ในโรงเรียนซึ่งเป็นศาลาโล่ง  และมีการใช้วิทยุส่งเสียงดังแม้ในระหว่างมีการเรียนการสอน นอกจากนี้ยังได้เข้าไปพักในศาลาวัด ทำให้หลวงพ่อที่วัดต้องออกไปกางกลดจำวัดที่เถียงนานอกหมู่บ้าน
“เราไม่อยากให้ทางจังหวัดเอาโครงการพระราชดำริมาข่มขู่ชาวบ้าน  ผมเชื่อว่า ถ้าเป็นโครงการพระราชดำริจะต้องทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี แต่นี่เป็นการทำให้ชาวบ้านลำบาก” ตัวแทนชาวโนนป่าก่อสรุป
หลังจากตรวจสอบข้อเท็จจริงที่บ้านโนนป่าก่อ คณะอนุกรรมการป่าไม้-ที่ดินได้เดินทางไปยังบ้านด่านช้าง ซึ่งถูกจัดเป็นพื้นที่รองรับการอพยพ และพบว่าชาวบ้านที่อพยพลงมาได้รับจัดสรรที่ดินครัวเรือนละ 3 ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ปลูกบ้านหลังเล็กๆ 2 งาน และเป็นพื้นที่การเกษตรอีก 2.5 ไร่ และไม่มีการจัดสรรพื้นที่ให้ครอบครัวที่ไม่ได้รับการสำรวจรายชื่อโดยทางจังหวัดเมื่อปี 2549 อีก 20 กว่าครอบครัว
แม้พื้นที่รองรับจะไม่เพียงพอต่อการทำการเกษตรเลี้ยงชีพ ชาวบ้านหลายคนได้แจ้งแก่คณะกรรมการสิทธิฯ ว่า “จำยอม” ตัดสินใจย้ายลงมาด้วยความกลัวว่าจะถูกทางการจับดำเนินคดี 
ปัจจุบันบริเวณบ้านด่านช้างประสบปัญหาน้ำขาดแคลน น้ำไหลบ้างหยุดบ้าง ทำให้ไม่ค่อยพอกิน ชาวบ้านต้องไปตักน้ำจากบ้านแก่งนางที่อยู่ใกล้เคียงมาใช้  พืชผักที่ปลูกไว้ประสบความเสียหาย
นายคำลน อินไชยา หนึ่งในชาวบ้านที่ย้ายออกมาเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2553 กล่าวว่า จะรอดูความช่วยเหลือจากทางการ ซึ่งแจ้งกับชาวบ้านว่าจะมีโครงการพัฒนาอาชีพหลังการอพยพต่อเนื่องไปอีกสามปี หากไม่สามารถอยู่ทำกินได้ก็คงจะกลับไปทำกินที่เดิม “เพราะถ้าอยู่อย่างนี้เราก็อยู่ไม่ได้”
จากนั้น คณะอนุกรรมการป่าไม้-ที่ดิน ได้เดินทางเข้าประชุมร่วมกับหน่วยราชการที่รับผิดชอบโครงการฯ ที่ศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร ในวันที่ 25 พ.ย. เพื่อรับฟังคำชี้แจง และพิจารณาหาทางดำเนินการโดย ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนชาวบ้านโนนป่าก่อประมาณ 20 คนได้เดินทางมายังศาลากลางจังหวัดมุกดาหารเพื่อเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวด้วย ในฐานะผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการฯ และร้องเรียนไปยังคณะกรรมการสิทธิฯ  แต่เมื่อจะเข้าประชุม ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ อส. ซึ่งทางจังหวัดจัดวางกำลัง ไว้บริเวณหน้าห้องประชุม และทางขึ้นศาลากลางกว่า 30 นาย ไม่ให้ชาวบ้านและผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องผ่านเข้าออก โดยอ้างเหตุผลว่าห้องประชุมมีขนาดเล็ก และอ้างความสงบเรียบร้อยของการประชุม ซึ่งเป็นประเด็นทางการเมือง  หลังจากทางกรรมการสิทธิฯ เข้าเจรจา ชาวบ้านโนนป่าก่อจึงได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประชุมด้วยเพียงสามคน ส่วนที่เหลือต้องนั่งรออยู่นอกอาคารศาลากลาง
สำหรับการประชุมที่ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ทางจังหวัดได้ชี้แจงต่ออนุกรรมการป่าไม้ที่ดินในประเด็นวัตถุประสงค์ของโครงการอพยพราษฎรออกจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐาน และความพร้อมในการจัดเตรียมพื้นที่รองรับ 
เมื่อจังหวัดชี้แจงเสร็จ ทางอนุกรรมการฯ ได้ตั้งข้อสังเกตเรื่องหลักประกันในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของราษฎรที่อพยพออกมาแล้ว เนื่องจากมีบทเรียนของการอพยพราษฎรเมื่อปี 2543 ซึ่งผ่านมา 10 ปี ราษฎรก็ยังไม่มีความมั่นคงในชีวิต ไม่มีสิทธิในที่ทำกิน ข้อมูลของทางจังหวัดเองก็ระบุว่า ราษฎรอยู่ไม่ได้ต้องกลับไปอยู่บ้านเดิมถึง 10 ครอบครัว จากที่อพยพออกมา 14 ครอบครัว
นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตในเรื่องการมีส่วนร่วมของชาวบ้านในการจัดทำโครงการฯ เนื่องจากมีข้อพิพาทในเรื่องแผนงานในการอพยพซึ่งไม่ได้รับการยอมรับจากชาวบ้าน ทั้งในเรื่องแนวคิด การจัดการ และพื้นที่รองรับ, การปฏิบัติตามมติ ครม. 30 มิ.ย.41 ซึ่งกำหนดให้กรมป่าไม้สำรวจพื้นที่ที่มีการครอบครองให้ชัดเจน และขึ้นทะเบียนผู้ครอบครอง   ตลอดจนประเด็นการข่มขู่คุกคามที่เกิดขึ้นในระหว่างการผลักดันให้ราษฎรอพยพออกจากพื้นที่
จากนั้น ทางจังหวัดได้ชี้แจงในประเด็นต่างๆ ในประเด็นหลักประกัน ผวจ.ยืนยันว่าจะมีแผนพัฒนาต่อเนื่อง 3 ปี แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นแผนชัดเจน เมื่อแผนเสร็จจะเชิญชาวบ้านมาร่วมพิจารณา ถ้าเห็นด้วยก็อพยพออกมา ถ้าไม่เห็นด้วยก็สามารถจับเข่าคุยกันได้ 
ส่วนการสำรวจและกันแนวเขตพื้นที่ป่าตามมติ 30 มิ.ย.41 ป่าไม้จังหวัดอ้างว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจากชาวบ้านไม่นำชี้ที่ดิน ซึ่งทางอนุฯ แย้งว่าในพื้นที่พิพาทอื่นๆ จะกันแนวเขตป่าออกจากพื้นที่ทำกินทั้งหมดก่อน ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีราษฎรนำชี้ ประเด็นนี้มีความเห็นขัดแย้งกัน ทางอนุฯ จะกลับไปดูรายละเอียดของมติอีกครั้ง และอาจต้องเชิญป่าไม้ไปคุยที่กรุงเทพฯ
ในประเด็นการข่มขู่คุกคามให้ชาวบ้านอพยพออกมา ซึ่งมีการร้องเรียนจากชาวบ้าน ทางป้องกันจังหวัดชี้แจงว่า เป็นการลงไปประชาสัมพันธ์เท่านั้น ไม่มีเจตนาข่มขู่คุกคาม การถือปืนก็เป็นเพียงการลาดตระเวน เก็บข้อมูลการทำการเกษตร การเก็บผลผลิตก็ได้รับอนุญาตจากเจ้าของซึ่งย้ายออกไปพื้นที่รองรับแล้ว การไปตั้งหน่วยปฏิบัติงานที่โรงเรียนก็เนื่องจากเห็นว่าไม่มีคนอยู่   ซึ่งผู้ว่าฯ ก็ยืนยันว่าการวางกำลัง อส.มีเหตุผลเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ถ้าจังหวัดเจตนาจะข่มขู่คุกคามที่รุนแรง สามารถทำได้มากกว่านี้มาก แต่ก็ยอมรับว่าต่อจากนี้ไปจะกำชับให้ อส.ปฏิบัติหน้าที่ให้รอบคอบ ถ้ามีการข่มขู่คุกคามให้แจ้งมา ทางจังหวัดจะดำเนินคดี ด้าน นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานอนุกรรมการป่าไม้ที่ดิน ไม่ติดใจเรื่องการคุกคาม เนื่องจากผู้ว่าฯ รับปากว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก
นายดำเนิน อุทโท ตัวแทนชาวบ้านได้ลุกขึ้นให้ความเห็นว่า วัตถุประสงค์ในการอพยพโยกย้ายราษฎรเน้นเรื่องทรัพยากรธรรมชาติมากกว่าจะให้ความสำคัญกับคนซึ่งเป็นทรัพยากรบุคคล ชาวโนนป่าก่อที่อยู่อาศัยในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ไม่ได้ทำลายป่าไม้ ชาวบ้านมีประเพณีที่จะช่วยกันดูแล อนุรักษ์ป่า เช่น การบวชป่า เรื่องนี้หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ รู้ดี เนื่องจากมีการออกสำรวจพื้นที่ทุกปี
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แถลงปิดคดียุบประชาธิปัตย์ "ชวน" เชื่อ กกต.ไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง แค่โยนให้พ้นตัว

Posted: 28 Nov 2010 09:11 PM PST

นัดฟังแถลงปิดคดียุบพรรคประชาธิปัตย์แล้ว อัยการเสนอให้ยุบพรรค เพิกถอนสิทธิ์กรรมการบริหาร 5 ปี "ชวน หลีกภัย" แถลงปิดคดี เชื่อ กกต.ไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง แค่โยนให้พ้นตัว ขณะที่มาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มตัดสัญญาณมือถือรอบศาล

ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ  เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 พ.ย. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์เพื่อให้คู่กรณีแถลงปิดคดีด้วยวาจา ในกรณีที่ นายทะเบียนพรรคการเมืองร้องให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคประชาธิปัตย์ จากกรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง จำนวน 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์

โดยในส่วนของนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้มอบให้นายกิตตินันท์ ธัชประมุข อัยการคดีพิเศษ ฝ่ายสำนักคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้แถลงปิดคดี ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ได้มอบหมายให้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะหัวหน้าทีมกฎหมายของพรรค เป็นผู้แถลงปิดคดี

สำหรับประเด็นหลักๆ ที่ทั้งสองฝ่ายจะชี้แจงในวันนี้จะประกอบด้วย 5 ประเด็นหลัก คือ 1.กระบวนการยื่นขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ 2.การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ อยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.พรรคการเมืองปี 2541 หรือ พ.ร.บ.พรรคการเมืองปี 2550 3.พรรคประชาธิปัตย์ได้ใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการ พัฒนาพรรคการเมือง ในปี 2548 ตามโครงการที่ได้รับที่ได้รับอนุมัติหรือไม่ 4.พรรคประชาธิปัตย์จัดทำรายการใช้จ่าย อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ 5.กรณีที่มีเหตุให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าและกรรมการพรรคประชาธิปัตย์ จะต้องถูกตัดสิทธิหรือไม่

ทั้งนี้นายกิตตินันท์ ธัชประมุข อัยการคดีพิเศษ ฝ่ายสำนักคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้แถลงปิดคดี  ในส่วนของนายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งได้อ่านสรุปว่าการทำของกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ โดยขอให้ศาลมีคำสั่งยุบพรรคของผู้ถูกร้อง มีคำสั่งห้ามกรรมการบริหารพรรคจัดตั้งพรรคใหม่เป็นเวลา 5 ปี และเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี

ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ได้มอบหมายให้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะหัวหน้าทีมกฎหมายของพรรค เป็นผู้แถลงปิดคดี

 

อัยการแจงเหตุยุบ ปชป.

นายกิตินันท์ได้ระบุถึงที่มาของคำ ร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ ที่สืบเนื่องมาจากการทำคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) 2 ข้อหา คือ กรณีพรรคประชาธิปัตย์ได้รับการบริจาคเงินจากบริษัท ทีพีไอ ผ่านบริษัท เมซไซอะ และพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ใช้จ่ายเงินสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาการเมือง และไม่ได้จัดทำรายงานตามความเป็นจริง เสนอต่อ กกต. ซึ่งทั้งสองข้อหายังได้ถูกร้องจากนายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์

หลังจากที่ กกต.ได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน และนายทะเบียนพรรคการเมืองยังได้ตั้งคณะทำงานซึ่งตรวจสอบข้อเท็จจริง ได้มีมติของ กกต.ในวันที่ 12 เมษายน 2553 ให้ส่งเรื่องถึงอัยการสูงสุด ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบทั้งสองข้อกล่าวหา

ทั้งนี้ ในข้อกล่าวหาการใช้เงิน 29 ล้านบาทนั้น กกต.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยื่นคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญ จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญได้มีการตั้งประเด็นพิจารณาใน 5 ประเด็นด้วยกัน

ในการชี้แจงในการแถลงปิดคดีของฝ่าย ผู้ร้อง กกต.ได้ยืนยันว่า การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์นั้น อยู่ในการบังคับใช้กฎหมายพรรคการเมืองทั้งสองฉบับ คือในปี 2541 และ 2550 เนื่องจากจะต้องพิจารณาตามกฎหมายปี 2541 ก่อนว่าพรรคประชาธิปัตย์มีการกระทำฝ่าฝืนหรือไม่ ส่วนกฎหมายในปี 2550 จะต้องใช้กับองค์กรผู้บังคับใช้กฎหมายในการตัดสิน เพราะแม้คดีจะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น แต่ดีเอสไอไม่ใช่พนักงานตามกฎหมายของพรรคการเมือง

จากนั้น ได้แถลงยืนยันว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองมีอำนาจในการที่จะร้องในกรณีดังกล่าว เพราะตามกฎหมายแม้จะเป็นเพียงหนังสือแจ้งโดยยังไม่มีหลักฐาน กกต.ก็สามารถที่จะสอบสวน และคดีดังกล่าวซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุน ไม่มีกำหนดในเรื่องของการหมดอายุความ พร้อมกับยืนยันขั้นตอนการพิจารณาของ กกต. โดยเฉพาะนายทะเบียนพรรคการเมือง ที่เสนอต่อที่ประชุม กกต.และศาลรัฐธรรมนูญนั้น ถูกต้องตามกฎหมาย

 

"ชวน" แถลงปิดคดี เชื่อ กกต.ไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง แค่โยนให้พ้นตัว

ต่อมาเมื่อเวลา 10.15 น. นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และหัวหน้าทีมกฎหมายกรณีนายทะเบียนพรรคการเมืองร้องให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคประชาธิปัตย์ จากกรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง จำนวน 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ กล่าวปิดคดีว่า มีความพยายามมานานแล้วในการยุบพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) โดยมีความพิรุธว่ามีการล็อคตัวคนทำคดีนี้ไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว และมีอิทธิพลเข้าเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนปราศรัยหน้าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผาโลงศพหน้า กกต. ระบุถ้าไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ จะยุบชีวิต กกต. รวมทั้งเตือนนายอภิชาต สุขขัคคานนท์ ประธาน กกต. ระวังเดินถนนไม่ได้ ซึ่งตนไม่ได้ว่ากกต.ขี้ขลาด แต่ถ้าไม่กลัวก็เป็นเรื่องแปลก

"เชื่อว่า กกต.ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้ง แต่เป็นการโยนเรื่องให้พ้นตัว" นายชวนกล่าว

ตัดสัญญาณมือถือ 9 โมง

ด้านการรักษาความปลอดภัย มีรายงานด้วยว่า สำหรับบริเวณห้องโถงกลางลานชั้น 2 ภายในตัวอาคารศูนย์ราชการ ยังมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลอีกจำนวนหนึ่ง ตรึงกำลังรักษาความปลอดภัยพื้นที่ในส่วนชั้นในศูนย์ราชการ ขณะที่บริเวณลานจอดรถชั้น 2 ภายนอกอาคารซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กับศูนย์ราชการ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจตรึงกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงเช้ายังไม่มีการรวมกลุ่มของคนเสื้อแดงเพื่อร่วมรับฟังการแถลงปิดคดี ยุบพรรคประชาธิปัตย์แต่อย่างใด คงมีเพียงกองทัพสื่อมวลชนจำนวนมากที่มารอปักหลักรายงานสถานการณ์ข่าวอย่าง ใกล้ชิด ในส่วนของพรรคเพื่อไทยในช่วงเช้ามีเพียงนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ ซึ่งเดินทางมาถึงศาลรัฐธรรมนูญเป็นคนแรก

นอกจากนี้ในช่วงเวลา 09.00 น. เจ้าหน้าที่จะนำเครื่องมือมาตัดสัญญาณโทรศัพท์เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัย จนกว่าจะแถลงปิดคดีเสร็จสิ้น

ทั้งนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เวลา 14.00 น. โดยขณะนี้ (14.30 น.) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกำลังเริ่มการอ่่านคำวินิจฉัย

ที่มา: เรียบเรียงจากมติชนออนไลน์ และผู้จัดการออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักศึกษา-เอ็นจีโอ ร่วมทำศิลปะจัดวาง จี้รัฐบาลคุ้มครองผู้ลี้ภัยสงครามจากพม่า

Posted: 28 Nov 2010 08:14 PM PST

 

 
 
 
 
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 53 เวลา 11.00 น. นักศึกษาร่วมกับภาคประชาสังคมไทย ร่วมแสดงศิลปะจัดวางด้วยแต่งกายเป็นผู้ลี้ภัยที่หน้ารัฐสภา ต่อมาเวลา 11.30 น. องค์กรเอกชนที่ทำงานประเด็นพม่าในพื้นที่อ.แม่สอดร่วมกับนักศึกษาและภาคประชาสังคมไทยได้เข้าพบคุณประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เพื่อรายงานสถานการณ์ลี้ภัยการสู้รบจากประเทศพม่าพร้อมทั้งยื่นจดหมายเพื่อขอให้รัฐบาลไทยให้การคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่ประสบภัยจากสงครามและความขัดแย้งทางอาวุธ โดยยึดหลักปฏิบัติตามกฏหมายมนุษยธรรมระหว่างประเเทศและหลักการด้านสิทธิมนุษยชน
 

จดหมายเปิดผนึก ถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
เรื่อง การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากสงครามและความขัดแย้งทางอาวุธ
โดยยึดหลักปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และหลักการด้านสิทธิมนุษยชน
วันศุกร์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
 
ในวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งทั่วไปในประเทศพม่า กองพันที่ ๕ ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย (Democratic Karen Buddhist Army หรือ DKBA) เคลื่อนกำลังเข้ายึดสถานที่สำคัญต่างๆ ในอำเภอเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ทำให้เกิดการปะทะกับกองทัพของรัฐบาลพม่า (The State Peace and Development Council หรือ SPDC) ในเมืองเมียวดีและบ้านวาเล่ย์ รัฐกะเหรี่ยง ต่อมาวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ การสู้รบดังกล่าวเกิดขึ้นใกล้กับชายแดนไทย – พม่า ตรงข้ามกับอำเภอแม่สอด และอำเภอพบพระ จังหวัดตาก นอกจากนี้ยังมีการปะทะระหว่าง SPDC กับ DKBA ในเมืองพญาตองซู รัฐมอญ ซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนไทย-พม่า ณ บ้านเจดีย์สามองค์ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

การสู้รบในพื้นที่ดังกล่าวส่งผลให้ พลเรือนรวมทั้งสิ้นประมาณ ๒๕,๐๐๐ คน อพยพหนีภัยการสู้รบจากประเทศพม่าเข้ามาในประเทศไทย ในเช้าของวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งทางการไทยได้จัดพื้นที่ให้พักพิงชั่วคราวในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ส่วนองค์กรระหว่างประเทศและประชาชนไทยในพื้นที่ได้ร่วมมือกันให้ความช่วยเหลือด้านอาหารและสาธารณสุข ต่อมาเช้าวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เจ้าหน้าที่ไทยได้แจ้งกับผู้หนีภัยการสู้รบเป็นภาษาท้องถิ่นความว่า “ขณะนี้การสู้รบได้สงบแล้ว ทุกคนสามารถเดินทางกลับบ้านได้โดยปลอดภัย” และเริ่มส่งผู้หนีภัยการสู้รบกลับในเช้าวันดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ผู้หนีภัยการสู้รบถูกส่งกลับไป ปรากฏว่าว่ายังมีการปะทะระหว่าง SPDC และ DKBA ในบางพื้นที่  และมีผู้หนีภัยการสู้รบส่วนหนึ่งเดินทางกลับเข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่ในฝั่งไทยอีกครั้ง
 
ผู้หนีภัยการสู้รบให้เหตุผลในการกลับมาฝั่งไทยว่าพวกเขาไม่มีความปลอดภัยในการดำรงชีวิตในประเทศพม่า ทั้งนี้ มีรายงานที่จัดทำโดยองค์กรท้องถิ่นระบุว่ามีพลเรือนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการปะทะ และทหารพม่าได้บังคับใช้แรงงานชายให้เป็นลูกหาบ (อ่านในบทสัมภาษณ์ข้างท้าย) ผู้หนีภัยการสู้รบที่กลับเข้ามาในฝั่งไทยอีกครั้งต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ เพราะหากถูกทางการไทยพบจะถูกส่งตัวกลับไปฝั่งพม่าทันที โดยขณะนี้ องค์กรท้องถิ่นได้ให้ความช่วยเหลือด้านอาหารและสาธารณสุข แก่ผู้ลี้ภัยกลุ่มเล็ก ๗ กลุ่ม จำนวนรวม ๒,๑๗๗ คนในอำเภอพบพระ และอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
 
ปัจจุบันพลเรือนในอำเภอเมียวดี  รัฐกะเหรี่ยง และอำเภอพญาตองซู รัฐมอญ ยังไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเพราะการสู้รบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวได้ยังไม่ยุติ  และนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนรูปแบบอื่น เช่น สิทธิความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การบังคับใช้แรงงานเป็นลูกหาบ และการข่มขืนทารุณกรรมทางเพศต่อพลเรือนกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้ยังคงมีพลเรือนบางส่วนที่หลบซ่อนอยู่บริเวณชายแดนประเทศไทย
 
ด้วยความห่วงใยต่อชะตากรรมของเพื่อนมนุษย์ และด้วยความตระหนักในการปฏิบัติตามพันธกรณีต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและหลักการด้านสิทธิมนุษยชน   องค์กรและบุคคลตามรายชื่อข้างท้าย จึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยสั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านผู้ลี้ภัยได้ดำเนินการมาตรการเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยการสู้รบดังนี้
 
๑.        ให้การคุ้มครองผู้หนีภัยการสู้รบที่หลบซ่อนอยู่ในประเทศไทยตามหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและหลักการด้านสิทธิมนุษยชนโดยจัดหาที่พักพิงชั่วคราว  และให้หลักประกันว่าการส่งกลับจะเกิดขึ้นตามมติร่วมของคณะทำงานประเมินสถานการณ์ซึ่งประกอบด้วยทางการไทย องค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรท้องถิ่น โดยคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตเป็นสำคัญ
๒.       เมื่อได้รับการแจ้งเตือนทางการทหารว่าจะเกิดสู้รบให้ประสานองค์กรระหว่างประเทศ องค์กรท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันประเมินสถานการณ์และเตรียมการช่วยเหลือผู้หนีภัยการสู้รบ
๓.       ที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบต้องมีความปลอดภัยและมีความเหมาะสมต่อการดำรงชีวิต มีถนนเข้าถึงสะดวก สามารถกันแดด ลม ฝนได้  มีห้องน้ำ มีน้ำใช้ และมีเครื่องกันหนาวเพียงพอต่อจำนวนคน โดยตลอดระยะที่อยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวให้จัดอาหารและน้ำดื่มแจกจ่ายให้อย่างเพียงพอ และควรเตรียมการให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษแก่เด็ก สตรี และผู้สูงอายุ
๔.       ในขั้นตอนการส่งกลับควรจัดสรรอาหาร น้ำดื่ม และยารักษาโรคที่จำเป็นให้แก่ผู้หนีภัยการสู้รบในจำนวนเพียงพอสำหรับการเดินทางและการใช้ชีวิตในระยะแรก เนื่องจากผู้หนีภัยการสู้รบย่อมไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติในทันที
๕.       ในระยะยาว ควรจัดตั้งคณะทำงานด้านผู้ลี้ภัยที่ประกอบด้วยภาครัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรท้องถิ่น โดยการดำเนินการเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยควรเป็นไปตามมติของคณะทำงาน
 
ขอแสดงความนับถือ
 
List of organizations and individuals (รายชื่อองค์กรและบุคคลแนบท้าย)
 
ASEAN Youth Movement
B with us (Burma with us)
Forum of Burma’s Community-Based Organizations (FCBOs)
Friends of Burma (เพื่อนพม่า)
Young Progressives for Social Democracy (ศูนย์ประสานงานเยาวชนสังคมนิยมประชาธิปไตย)
Youth Partnership for Human Rights
The Regional Center for Social Science and Sustainable Development (RCSD), Faculty of Social Science, Chiang Mai University (ศูนย์ภูมิภาคด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาอย่างยั่งยืนคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
Towards Ecological Recovery and Regional Alliance: TERRA (โครงการฟื้นฟูนิเวศในอินโดจีนและพม่า)
Thai Action Committee for Democracy in Burma (คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยในพม่า: กรพ.)
Democratic Movement for Welfare State
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือ (กป.อพช ภาคเหนือ)
 
ชนรดา นราวศินชัย
ปิริญญา ยังกองแก้ว
พงศพชร  อยู่สุข
แสงวรรณ ปาลี
ศิวรัฐ หาญพานิช
เอกรินทร์ ต่วนศิริ
อารยา สุวรรณคำ
สุพัตรา ธิมาคำ
จันทร์จิรา จันทร์แผ้ว          เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
ศิริลักษณ์ ศรีประสิทธิ์        นักศึกษาปริญญาโท โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 

 
 

บทสัมภาษณ์ผู้หนีภัยการสู้รบฉบับเต็ม
 
ส่วนที่ 1: การสัมภาษณ์ไฟล์เสียง
 
การสัมภาษณ์คนที่ 1
สถานที่: หมู่บ้านวาเล่ย์
เวลา:07.00 น.
ผู้ให้สัมภาษณ์: ซอ
 
ผู้สัมภาษณ์:คุณเคยได้ยินไหมว่าคุณจะถูกส่งกลับไปวันนี้และคุณเต็มใจที่จะกลับไปไหม?
 
ผู้ให้สัมภาษณ์: ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนส่วนใหญ่ ถ้าคนส่วนใหญ่กลับ ฉันก็จำเป็นต้องกลับไปด้วย แต่สำหรับตอนนี้ฉันไม่แน่ใจเกี่ยวกับความปลอดภัยถ้ามีการยิงขึ้นอีก ฉันไม่รู้จะไปที่ไหนอีกแล้ว
 
ผู้สัมภาษณ์: ที่ไหนที่คุณคิดว่าคุณจะไปถ้าทางการไทยไม่อนุญาตให้คุณอยู่ที่นี่อีกต่อไป?
 
ผู้ให้สัมภาษณ์ : ฉันต้องหาที่ที่จะมีความปลอดภัยมากกว่านี้และซ่อน เพราะฉันไม่กล้าที่จะไปยังหมู่บ้านของฉัน ฉันรู้สึกฉันอยากจะตายจริงๆเพราะการสู้รบนี้และความยากลำบากมากมาย ถ้าทหารเห็นพวกเรา พวกเขายิงเราโดยไม่ถามอะไรเลย ในขณะที่เราวิ่งหนี เราต้องทิ้งสัมภาระทุกอย่าง
 
การสัมภาษณ์คนที่ 2
สถานที่:หมู่บ้านวาเล่ย์
เวลา:7 นาฬิกา
ผู้ให้สัมภาษณ์: นอ......
 
ผู้สัมภาษณ์: มันปลอดภัยสำหรับคุณที่จะกลับไปยังหมู่บ้านของคุณตอนนี้หรือเปล่า?
 
ผู้ให้สัมภาษณ์ : ยังไม่มีความมั่นคงในหมู่บ้านของเรา ยังคงมีกองกำลังและกลุ่มทหารมากมายที่วัดวาอาราม
ถ้ามันปลอดภัย พวกเราก็จะกลับไป แต่ตอนนี้ไม่ปลอดภัย พวกเราต้องคอยหวาดกลัวกระสุนและทหาร หลังจากพวกเราได้มาที่นี้ พวกเราได้ข่าวว่า ทหารของรัฐบาลพม่า ฆ่าข่มขืนเด็กผู้หญิงสองคน
 
 
 
 
 
ส่วนที่ 2: การสัมภาษณ์โดยวิดีทัศน์
 
การสัมภาษณ์คนที่ 1
สถานที่: หมู่บ้านวาเล่ย์
เวลา:07.00 น.
ผู้ให้สัมภาษณ์:นอ…
อายุ:ประมาณ 30 ปี
ผู้สัมภาษณ์: คุณอยู่ที่ไหนและสถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง
 
ผู้ให้สัมภาษณ์: ฉันอยู่ที่หมู่บ้านวาเล่ย์ฝั่งพม่า ฉันหนีมาฝั่งไทยเพราะการสู้รบ ลูกปืนครกได้ตกในหมู่บ้านเรา และชาวบ้านคนหนึ่งบาดเจ็บ เขาได้ถูกส่งไปโรงพยาบาล
 
ผู้สัมภาษณ์ : ทำไมถึงหลบหนีมายังฝั่งไทย?
 
ผู้ให้สัมภาษณ์ : คนจำนวนมากได้หนีไปบ้านวาเล่ย์ในฝั่งไทย เพราะเรากลัวลูกปืนครกและการสู้รบ เราได้ข่าวว่าทหารไทยยอมให้เราเข้ามาหลบภัย ฉันจึงมานี้
ครั้งสุดท้ายที่เราหนีมานี่ พวกเราได้รับอนุญาตให้อยุ่เพียงหนึ่งคืนและเราก็ถูกขอให้กลับไป แล้วเราก็อยู่ในหมู่บ้านพวกเราเพียงหนึ่งคืนและหนีมานี่อีก
 
ผู้สัมภาษณ์ : คุณเคยได้ยินไหมว่าคุณจะถูกส่งกลับไปวันนี้?
 
ผู้ให้สัมภาษณ์: ตอนนี้ฉันเพิ่งจะรู้ว่าพวกเราจะถูกส่งกลับหรือไม่ก็ย้ายไปอีกที่หนึ่ง
 
ผู้สัมภาษณ์ : คุณอยากจะกลับไปไหม ? ถ้ามันปลอดภัยพอสำหรับคุณที่จะกลับ ?
 
 
ผู้ให้สัมภาษณ์: ฉันไม่กล้าที่จะกลับไปเพราะว่ากองกำลัง SPDC ยังคงปักหลักอยู่ที่หมู่บ้านของเรา ฉันไม่รู้ว่ามีทหาร SPDC กี่คน แต่พวกเขามีเยอะ ฉันนับไม่ได้
 
ฉันไม่กล้าที่จะกลับไป แต่ครั้งล่าสุดพวกเราถูกทหารไทยบอกว่า “ไป ไป ไป” และพวกเราก็ต้องกลับไปเพราะพวกเราก็กลัวเขาและเขาก็มีปืนอยู่ในมือ พวกเรากลับไปและคุณก็เห็นว่าเราก็ต้องกลับมาอีก ดังนั้นมันจะไม่มีความปลอดภัยเลยถ้าเรากลับไปอีก
 
 
 
การสัมภาษณ์คนที่ 2
สถานที่: หมู่บ้านวาเล่ย์
เวลา:07.00 น.
ผู้ให้สัมภาษณ์: ซอ......
อายุ:ไม่ทราบอายุ
ผู้สัมภาษณ์ : คุณอยู่ที่ไหนและสถานการณ์ที่นั้นเป็นอย่างไรบ้าง?
 
ผู้ให้สัมภาษณ์:พวกเราอยู่ในหมู่บ้านวาเล่ย์พวกเราเป็นชาวนา
 
ผู้สัมภาษณ์ : ทำไมถึงหลบหนีมายังฝั่งไทย?

ผู้ให้สัมภาษณ์ : เหตุผลที่เราหนีมาที่นี้เพราะว่ามีการสู้รบ มันเคยมีการสู้รบและพวกเราก็หนีมาที่นี่เช่นกัน ฉันคิดว่ามันจะมีการสู้รบอีกเพราะว่ากองกำลัง SPDC กำลังเพิ่มขึ้น และฉันคิดว่าพวกเขาอยู่ปักหลักเพื่อโจมตี มีประมาณ 2-3 พันกองกำลังของ SPDC กำลังมาและปฏิบัติการในที่ต่างๆ
 
ผู้สัมภาษณ์: คุณเคยได้ยินไหมว่าคุณจะถูกส่งกลับไปวันนี้และคุณเต็มใจที่จะกลับไปไหม?
 
ผู้ให้สัมภาษณ์: ฉันไม่ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับการส่งพวกเรากลับไปวันนี้
 
ผู้สัมภาษณ์: คุณอยากจะกลับไปไหม? ถ้ามันปลอดภัยพอสำหรับคุณที่จะกลับ ?
 
ผู้ให้สัมภาษณ์: ถ้าพวกเราถูกขอให้กลับไป พวกเราคงต้องขอคิด ฉันอกยากจะรอดูสถานการณ์สัก 2-3 วันแล้วค่อยกลับไป ฉันไม่กล้าที่จะกลับไปตอนนี้เพราะถ้าเราไปกลับไปตอนนี้ สถานการณ์ยังไม่มั่นคงและพวกเราก็ต้องหนีอีก
แต่ถ้าพวกเราถูกบังคับให้ออกไปจากที่นี่ เราก็คงต้องเคลื่อนย้าย ฉันไม่รู้ว่าที่ไหนที่เราควรจะไป แต่เราต้องหาที่ที่จะซ่อน
 
 
  
 
การสัมภาษณ์คนที่ 3
สถานที่ : หมู่บ้านวาเล่ย์
เวลา:07.00 น.
ผู้ให้สัมภาษณ์ : ซอ.....
อายุ:ไม่ทราบอายุ
ผู้สัมภาษณ์: คุณอยู่ที่ไหนและสถานการณ์ที่นั้นเป็นอย่างไรบ้าง
 
ผู้ให้สัมภาษณ์:ฉันอยู่ในหมู่บ้านวาเล่ย์ ฉันเป็นช่างไม้ ฉันถูกเกณฑ์ให้เป็นลูกหาบของทหาร SPDC โดยไม่ได้สมัครใจที่ Wa Li Khi และเหยียบกับระเบิดที่ Law Kaw
 
ผู้สัมภาษณ์: ทำไมถึงหลบหนีมายังฝั่งไทย?
 
ผู้ให้สัมภาษณ์: เหตุผลที่พวกเราหนีมานี้เพราะการสู้รบระหว่าง SPDC และ DKBA ลูกปืนใหญ่ได้ตกใกล้บ้านพวกเรา
 
ผู้สัมภาษณ์: คุณอยากจะกลับไปไหม? ถ้ามันปลอดภัยพอสำหรับคุณที่จะกลับ ?
 
ผู้ให้สัมภาษณ์: พวกเราไม่กล้าที่จะกลับไปตอนนี้ เพราะพวกเราไม่รู้สึกปลอดภัยในประเทศพม่า ครั้งล่าสุดหน่วยงานทหารไทยบังคับเราให้กลับไป พวกเขาไม่ให้เราอยู่ที่นี่ หลังจากการสู้รบเกิดขึ้นอีกครั้ง พวกเราก็กลับมาเป็นครั้งที่สอง พวกเราพบความยากลำบากมากมาย
 
 

 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper