โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

มิใช่เพียงความรุนแรงต่อสตรี แต่คืออาชญากรรมรัฐที่กระทำต่อผู้ “ไม่จงรักภักดี”

Posted: 23 Nov 2010 12:19 PM PST

ชื่อบทความเดิม: 
In the Time of the Butterfliesชื่อ มิใช่เพียงความรุนแรงต่อสตรี แต่คืออาชญากรรมรัฐที่กระทำต่อประชาชนผู้ “ไม่จงรักภักดี”
[i]

 


Dede-Mirabal


Hnas-Mirabal


Minerva


Trujillo-dictators

 

            ขบวนการเฟมินิสต์ทั่วโลกใช้ความพยายามนานกว่าสองทศวรรษในการผลักดันให้โศกนาฏกรรมที่เกิดกับพี่น้องหญิงตระกูลมิราเบิลในสาธารณรัฐโดมินิกัน เมื่อปี พ.ศ.2503 เป็นสัญลักษณ์สากลของ “ความรุนแรงต่อสตรี” โดยในที่สุด ที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ พ.ศ.2524 ได้ประกาศให้วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี เป็น “วันขจัดความรุนแรงต่อสตรี” (International Day for the Elimination of Violence Against Women)

            25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503 ศพของสามสาวพี่น้องชาวโดมินิกัน แพทเทรียเดอ กอนซาเรซ (Patria Mirabal de Gonzáles), มิเนอว่า มิราเบิล เดอ ทวาเรซ (Minerva Mirabal de Tavárez) และ มาเรีย เทเรซา มิราเบิล เดอ กุซมาน (Maria Teresa Mirabal de Guzman) พร้อมคนขับรถ รูฟิโน เดอ ลา ครูซ  [Rufino de la Cruz] ถูกพบพร้อมซากรถที่เชิงผาบนเส้นทางเลียบเขาระหว่างเมือง Salcedo และ Puerto Plata ในสาธารณรัฐโดมินิกัน รัฐบาลแถลงว่าเป็นอุบัติเหตุรถตกหน้าผา แต่ความจริงที่ปรากฎต่อมา คือ มันเป็นฆาตกรรมอำพรางในเงาเงื้อมของอำนาจรัฐ

            แม้ว่านักสตรีนิยมจะหยิบยกโศกนาฏกรรมทางการเมืองที่เกิดขึ้นกับสามสาวพี่น้องมิราเบิลมาเป็นประเด็นรณรงค์ในเรื่องการยุติ ”ความรุนแรงต่อผู้หญิง” แต่ข้อเท็จจริงที่มิอาจปฏิเสธได้อีกประการหนึ่งคือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่น้องมิราเบิลนั้นมิได้เป็นเพียงความรุนแรงที่กระทำต่อสตรีเท่านั้น แต่เป็นอาชญากรรมรัฐที่กระทำกับทั้งหญิงและชายที่ลุกขึ้นมาต่อต้านการใช้อำนาจรัฐกดขี่ข่มเหงประชาชน และผู้นำที่บังคับให้ประชาชนเทิดทูนเขาราว “พระเจ้า”

            ประวัติศาสตร์อาชญกรรมรัฐของสาธารณรัฐโดมินิกันในช่วงนั้นได้ถูกบันทึกไว้ผ่านการต่อสู้ทางการเมืองและความตายของพี่น้องตระกูลมิราเบิลในหนังสือเรื่อง In the Time of the Butterflies โดย Julia Alvarez นักเขียนหญิงเชื้อชาติโดมินิกัน ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2537 และยังถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน ในปี พ.ศ. 2544

            Alvarez เล่าไว้ในบันทึกท้ายเล่มว่า ครอบครัวของเธอลี้ภัยการเมืองไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาได้สี่เดือนก่อนที่พี่น้องตระกูลมิราเบิลจะถูกฆาตกรรม บิดาของ Alvarez เป็นสมาชิกขบวนการใต้ดินเช่นเดียวกับพี่น้องมิราเบิล ตอนนั้น Alvarez ยังเป็นเด็กหญิง แต่เธอไม่เคยลืมข่าว “อุบัติเหตุ”ครั้งนั้นเลย ในการเขียนหนังสือ In the Time of the Butterflies เล่มนี้  Alvarez เดินทางกลับไปสาธารณรัฐโดมิกันหลายครั้งเพื่อเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพี่น้องมิราเบิลและสถานการณ์ทางการเมืองของสาธารณรัฐโดมินิกันในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งนี้ คนที่มีส่วนสำคัญมากที่สุดคนหนึ่งในการช่วยเรียงร้อยให้ประวัติศาสตร์การเมืองของสาธารณรัฐโดมินิกันและการไม่ยอมสยบกับอำนาจผู้นำเผด็จการของพี่น้องมิราเบิลออกมาโลดแล่นในหนังสือ In the Time of the Butterflies คือ เดเด้ มิราเบิล (Dedé Mirabal) น้องสาวคนที่สองของตระกูลที่รอดชีวิตเพราะไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยในวันที่เกิด “อุบัติเหตุ”

            ปัจจุบัน เดเด้อายุ 85 ปี ยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเดิมในเมือง Salcedo ที่เป็นสถานที่เกิดของพี่น้องทั้งสี่คนและทั้งหมดได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้ในช่วงสุดท้ายก่อนที่ แพทเทรีย, มิเนอว่า และมาเรีย เทเรซ่า จะถูกฆาตกรรม

ปัจจุบัน เดเด้ทำบ้านหลังนี้เป็นพิพิธภัณฑ์มิราเบิล (Museo Hermanas Mirabal) จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวต่างๆของ แพทเทรีย, มิเนอว่า, และมาเรีย เทเรซ่า ในบรรดาของที่จัดแสดงนั้น สิ่งหนึ่งที่มีความหมายยิ่งต่อเดเด้ คือ ผมเปียของมาเรีย เทเรซ่า ที่เธอบรรจงตัดจากร่างไร้วิญญานของน้องสาวมาเก็บรักษาไว้

            เดเด้บอกกับทุกคนว่า “ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อเล่าเรื่องของพี่สาวและน้องสาวของฉัน”
 

0 0 0

 ตรูจิโล.. ผู้นำที่โหยหาความจงรักภักดี
ย้อนกลับไปปี พ.ศ. 2473 นายพลราฟาเอล ลีออนนีดาส ตรูจิโล (Rafael Leónidas Trujillo) วัย 38 ปี ก้าวขึ้นสู่อำนาจจากการสนับสนุนของสหรัฐอเมริกาผ่านการเลือกตั้งที่ไม่ชอบมาพากล เขาชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงถึง 95% ท่ามกลางความกังขาของประชาชนทั่วไป และผู้พิพากษาที่ออกมาระบุว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เต็มไปด้วยสิ่งผิดปกติและการทุจริตนั้นต้องถูกปลดออกจากตำแหน่ง

พลันที่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี นายพลตรูจิโล ประกาศคำขวัญให้ชาวโดมินิกันทุกคนท่องจำกันว่า “พระเจ้า และตรูจิโล” (God & Trujillo)

ทุกบ้านต้องมีรูปของตรูจิโลประดับข้างฝา เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อผู้นำที่เปรียบตัวเองเสมือน “พระเจ้า”

ในสถาบันการศึกษา นักเรียนทุกคนต้องกล่าวคำขวัญสดุดีตรูจิโลทุกเช้าก่อนเข้าห้องเรียน

ในวันปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ทุกคนต้องกล่าวสดุดีตรูจิโล และในพิธีฉลองการสำเร็จการศึกษา บัณฑิตทุกคนต้องกล่าวขอบคุณตรูจิโล;

ประชาชนทุกคนต้องพึงตระหนักว่าความสำเร็จทุกอย่างล้วนแล้วแต่มาจากความกรุณาปราณีของผู้นำ

ถนนเกือบทุกสายในเมืองหลวงถูกเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อของสมาชิกในครอบครัวของตรูจิโล

และตามท้องถนน ที่สาธารณะ หรือแม้แต่หน้าบ้าน หากมีใครสักคนตะโกนขึ้นมาว่า “ตรูจิโล..จงเจริญ” ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นต้องขานรับด้วยข้อความเดียวกัน มิฉะนั้นจะถูกข้อกล่าวหาว่า “ไม่จงรักภักดี” มีการจัดตั้งหน่วยตำรวจลับเอาไว้สืบหา “พวกไม่จงรักภักดี” เพื่อลากตัวมาลงโทษ นอกจากตำรวจลับแล้ว สังคมโดมินิกันขณะนั้นยังเต็มไปด้วยพวก “เชลียร์” ผู้นำ คอยสอดสายตาหาตัว “ผู้ไม่จงรักภักดี” ส่งให้เจ้าหน้าที่รัฐลงโทษ

ตลอด 30 ปีภายใต้การปกครองของตรูจิโล มีการใช้อำนาจรัฐคุกคามประชาชนอยู่ทุกที่ โดยเฉพาะการคุกคามกลุ่มผู้ที่ต้องสงสัยว่าเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล

การใช้กฎหมายและอำนาจบังคับให้ประชาชนต้องจงรักภักดีต่อผู้นำ  นำไปสู่ความอึดอัดของประชาชนจำนวนมาก  และทำให้ขบวนการใต้ดินต่อต้านอำนาจรัฐโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะทั้งประชาชน เยาวชน คนหนุ่มสาว โดยเฉพาะนักศึกษาพากันเข้าร่วมกับขบวนการใต้ดิน  รัฐบาลตรูจิโลโต้ตอบด้วยการจับกุมคุมขังนักศึกษาที่ต้องสงสัยไว้จำนวนมาก

 

สี่สาวตระกูลมิราเบิล กับการต่อต้านอำนาจรัฐ
ครอบครัวมิราเบิลมีบุตรสาวทั้งหมด 4 คน คือ แพทเทรีย, เดเด้, มิเนอว่า, และมาเรีย เทเรซ่า บิดาของพวกเธอชื่อ ดอน เอนริเก้ (Don Enrique) เป็นชาวไร่และทำการค้าพืชไร่จนมีฐานะดี มารดาของพวกเธอ คือ ดอน่า เชีย (Doña Chea) อ่านหนังสือไม่ออกเลย แต่สนับสนุนให้ลูกสาวทั้งสี่คนได้รับการศึกษา พวกเธอทุกคนจึงถูกส่งเข้าเรียนในโรงเรียนคอนแวนต์

ตอนที่ถูกฆาตกรรมนั้น  แพทเทรีย อายุ 36 ปี มิเนอว่า อายุ 34 ปี และมาเรีย เทเรซา มีอายุเพียง 25 ปี ทุกคนแต่งงานมีครอบครัวแล้ว

มิเนอว่า เป็นคนแรกที่เริ่มเกลียดชังและแข็งขืนกับอำนาจเผด็จการตั้งแต่เป็นนักเรียนมัธยมในคอนแวนต์ เพราะได้รับรู้เรื่องราวที่ครอบครัวของเพื่อนสนิทของเธอถูกอำนาจรัฐคุกคามข่มเหง  เธอเริ่มขวนขวายหาช่องทางรับรู้ข่าวสารของขบวนการใต้ดินต่อต้านรัฐจากสถานีวิทยุคลื่นสั้นต่างๆ

ครอบครัวมิราเบิลมีฐานะอยู่ในแวดวงของผู้มีอันจะกินของเมือง Salcedo จึงได้รับเชิญไปร่วมงานสังสรรค์สโมสรที่ภาครัฐจัดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ครั้งสำคัญคืองานราตรีสโมสรที่จัดขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล หนังสือ In the Time of the Butterflies เล่าว่าในงานคืนนั้น ความสวยของมิเนอว่าเป็นที่ต้องตาของตรูจิโล แต่มิเนอว่าหลบเลี่ยงแข็งขืนและครอบครัวมิราเบิลรีบพากันหนีกลับก่อนที่งานจะเลิก

นั่นกลายเป็นความผิดถึงขั้นที่บิดาของเธอถูกเรียกไปสอบสวนและถูกจำคุกอยู่ถึง 2 ปี เพราะตรูจิโลตั้งกฎไว้ว่า ห้ามแขกที่ได้รับเชิญมาร่วมงานกลับก่อนได้รับอนุญาต  

ชาวโดมินิกันทุกคนในยุคนั้นซึมซาบกันดีว่า ตรูจิโลคือกฎหมาย และอยู่เหนือกฎหมาย

ท้ายที่สุดครอบครัวมิราเบิลถูกบังคับให้ไปขออภัยโทษจากตรูจิโล รวมทั้งมิเนอว่าต้องขออนุญาตจากตรูจิโลให้โอกาสเธอได้เข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย

มิเนอว่าเลือกเรียนนิติศาสตร์ ที่ University of Santo Domingoซึ่งตอนนั้นมีชื่อว่า “Ciudad Trujillo” มิเนอว่าเข้าร่วมกับขบวนการใต้ดินของนักศึกษาโดยทันที เธอกลายเป็นหนึ่งในแกนนำคนสำคัญของขบวนการนักศึกษาในเวลาไม่นานนัก มิเนอว่าพบกับสามีในอนาคตของเธอที่นี่ มานูเอล (Manuel Aurelio Tavarez Justo) เป็นนักศึกษานิติศาสตร์เหมือนกัน เขาเป็นผู้นำนักศึกษาในขบวนการใต้ดินเช่นกัน  

มิเนอว่าใช้เวลา 5 ปีในการเรียนจนได้รับปริญญานิติศาสตร์บัณทิต เธอเขียนวิทยานิพนธ์ หัวข้อ "The Principle of the Irretroactiveness of Laws and Dominican Jurisprudence" ตั้งคำถามกับสิทธิมนุษยชนพื้นฐานในรัฐโดมินิกัน เป็นเหตุให้มีคำสั่งจาก “เบื้องบน” ไม่ให้มีการออกใบอนุญาตทนายความให้กับเธอ

มาเรีย เทเรซ่า น้องสาวคนสุดท้องของตระกูลเข้าศึกษาต่อสาขาปรัชญาที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับพี่สาว มาเรีย เทเรซ่า พบกับลีอันโดร กุซมาน (Leandro Guzmán) นักศึกษาคณะ

วิศวกรรม สามีในอนาคตของเธอที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เช่นกัน เธอตัดสินใจเข้าร่วมกับขบวนการใต้ดินในเวลาต่อมา

มิเนอว่ามีรหัสชื่อสำหรับใช้ในขบวนการเคลื่อนไหวว่า “mariposa #1” แปลว่า “ผีเสื้อหมายเลข 1” ส่วนมาเรีย เทเรซ่า ได้รับรหัสชื่อว่า “mariposa #2” คือ “ผีเสื้อหมายเลข 2”

แพทเทรีย พี่สาวคนโตของตระกูล  ผู้มีศรัทธาแรงกล้าในพระเจ้าจนเกือบจะตัดสินใจบวชเป็นชีมืด และเป็นผู้ที่ไม่แคยฝักใฝ่การเมืองมาก่อนเลย ตัดสินใจเข้าร่วมกับน้องสาวทั้งสองในเวลาต่อมาเพราะไม่อาจทนกับการที่รัฐบาลใช้อำนาจปราบปรามเข่นฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้อีกต่อไป แพทเทรียได้รับรหัสชื่อที่ใช้ในการเคลื่อนไหวว่า “mariposa #3” คือ “ผีเสื้อหมายเลข 3”

แพทเทรียไม่ได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เธอแต่งงานหลังสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนคอนแวนต์ สามีของเธอเป็นชาวไร่

เดเด้ น้องสาวคนที่สองของพี่น้องตระกูลมิราเบิล เป็นคนเดียวที่ไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกขบวนการใต้ดิน  เมื่อพี่สาวและน้องสาวทั้ง 3 คนถูกฆาตกรรม เดเด้และมารดารับภาระเลี้ยงดูเด็กๆทั้งหมด 9 คนที่เป็นลูกของแพทเทรีย 4 คน, ลูกของมิเนอว่า 2 คน, ลูกของมาเรีย เทเรซ่า 1 คน และลูกของเธอเองอีก 2 คน

 

นักโทษการเมืองหญิง
มิเนอว่า และมาเรีย เทเรซ่า ถูกจับพร้อมกับสามีของพวกเธอ และสามีของแพทเทรีย  เธอทั้งสองและนักโทษการเมืองหญิงทั้งหมดถูกนำตัวไปขังรวมกับผู้ต้องขังหญิงในคดีอาชญากรรมอื่นๆ

ในหนังสือ In the Time of the Butterflies เล่าว่ามิเนอว่าถูกนำตัวไปสอบสวนโดยถูกจับเปลือยกายท่ามกลางเจ้าหน้าที่สอบสวนและผู้คุมชาย และต่อหน้ามานูเอล สามีของเธอ เพื่อบังคับให้มานูเอลเปิดเผยเกี่ยวกับขบวนการใต้ดิน แต่ในหลักฐานอื่นๆบางชิ้นระบุว่าพี่น้องสองสาวถูกกระทำทารุณกรรมทางเพศในระหว่างที่ถูกคุมขังด้วย

หลังถูกคุมขังอยู่ในคุกนาน 7 เดือน ในเดือนสิงหาคม 2503 ทาง OAS (The Organization of American States) ได้ส่งผู้แทนมาเข้าเยี่ยมเพื่อดูสภาพความเป็นอยู่ของนักโทษหญิงในเรือนจำ มาเรีย เทเรซ่า ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนนักโทษในการให้ปากคำกับผู้แทนคณะกรรมการ OAS เธอฉวยโอกาสนี้แอบม้วนกระดาษแผ่นเล็กๆที่เขียนข้อความสำคัญซ่อนไว้ในผมเปียของเธอและแอบส่งให้กรรมการฯคนหนึ่ง

สองวันต่อมา มิเนอว่า และมาเรีย เทเรซ่า ได้รับการปล่อยตัว แต่พวกเธอยังคงถูกจำกัดเสรีภาพในการเดินทาง พวกเธอได้รับอนุญาตให้ออกพ้นเขตบ้านของตัวเองเพียงสัปดาห์ละ 2 วัน คือไปเยี่ยมสามีของพวกเธอทุกวันพฤหัส และไปโบสถ์ทุกวันศุกร์

ตำรวจลับถูกส่งมาเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของครอบครัวมิราเบิล บ่อยครั้งที่ยามดึกดื่น พวกเขาลุกขึ้นมาตระโกนว่า “ตรูจิโลจงเจริญ” เพื่อต้องการฟังเสียงขานรับของสมาชิกทุกคนในครอบครัวมิราเบิล

และทุกคนในบ้านต้องส่งเสียงขานรับทีละคนว่า “ตรูจิโลจงเจริญ”

           

วันสังหารผีเสื้อ...อาชญากรรมรัฐ และคำสารภาพของฆาตกร
“อุบัติเหตุ” เกิดขึ้นในวันที่มิเนอว่าและมาเรีย เทเรซ่า ได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยมสามีของพวกเธอที่เพิ่งถูกย้ายที่คุมขัง สามีของแพทเทรียไม่ได้ถูกย้ายไปด้วย แต่แพทเทรียร่วมเดินทางไปกับน้องสาวทั้งสองด้วย โดยมีเดเด้รับหน้าที่ดูแลเด็กๆอยู่ที่บ้าน

หลังเกิดเหตุ อัล คาริเบ้ (El Cáribe) เจ้าหน้าที่รัฐแถลงว่า "อุบัติเหตุทีทำให้คนขับรถ รูฟิโน ครูซ และพี่น้องมิราเบิล คือ แพทเทรีย เดอ กอนซาเลซ, มิเนอว่า มิราเบิล เดอ ทวาเรซ และมาเรีย เทเรซา เดอ กุซมาน เสียชีวิตนั้น สันนิษฐานว่าเกิดจากการที่ครูซไม่สามารถควบคุมรถได้"

นิตยสารไทม์ฉบับวันที่ 12 ธันวาคม 2503 ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับ “อุบัติเหตุ” ที่คร่าชีวิตพี่น้องมิราเบิล โดยเรียก อัล คาริเบ้ ว่าเป็น “กระบอกเสียงของตรูจิโล” และตั้งข้อสังเกตว่า “มีอีกหลายเรื่องที่ อัล คาริเบ้ ไม่ได้พูด” โดยบทความนี้ยังได้รื้อฟื้นถึงเหตุการณ์ที่มีการเล่ากันว่า

มิเนอว่าถูกตรูจิโลลวนลามในงานราตรีสโมสรที่ทำเนียบรัฐบาล จนบิดาต้องแอบพาเธอหนีออกมาจากงาน ซึ่งเป็นเหตุให้บิดาของเธอต้องถูกจำคุกอยู่ถึง 2 ปี ไทมส์ระบุด้วยว่าบิดาของมิเนอว่าถูกทรมานในระหว่างที่ถูกจำคุก และเขาเสียชีวิตหลังจากที่ถูกปล่อยตัวออกมาได้เพียง 15 วัน

บทความของไทมส์ชิ้นนี้ วิเคราะห์ไว้ว่าความตายอย่างทารุณของพี่น้องมิราเบิลและคนขับรถนั้นเป็นประเด็นที่ขบวนการใต้ดินฯคงจะต้องครุ่นคิด

หลังเหตุการณ์ฆาตกรรมอำพรางเพียง 6 เดือน ตรูจิโลถูกลอบสังหารในวันที่ 30 พฤษภาคม 2504
 

หลังการตายของตรูจิโล่  Ciriaco de la Rosa เจ้าหน้าที่ในหน่วยสืบราชการลับของรัฐบาล ถูกจับกุมและนำตัวมาดำเนินคดี เขาถูกพิพากษาจำคุก 30 ปีในความผิดฐานฆาตกรรมสามพี่น้องและคนขับรถ ตำรวจลับอีก 4 คนที่ร่วมทีมสังหารถูกพิพากษาจำคุกคนละ 20 ปี

Ciriaco de la Rosa ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมสังหารให้ปากคำว่า:

 

“...เมื่อสั่งให้รถหยุดแล้ว เราขับรถไปอยู่ตรงจุดที่ใกล้ๆกับรอยแยกหน้าผา ผมสั่งให้ Rojas เลือกจัดการกับคนหนึ่ง เขาเลือกเอาคนมีผมเปียยาว [มาเรีย เทเรซ่า]ไป  Alfonso Cruz จัดการกับคนที่สูงที่สุด [มิเนอว่า] ผมจัดการกับคนตัวท้วมผมสั้น [แพทเทรีย] และ Malleta จัดการคนขับรถ [Rufino de la Cruz] ผมสั่งให้เอาตัวพวกเธอไปที่ไร่อ้อยที่อยู่สุดถนน และให้แต่ละคนแยกกันไปจัดการโดยไม่ให้พวกเธอได้ยินเสียงกันและกัน ผมสั่งให้ Perez Terrero คอยเฝ้าดูต้นทางว่ามีใครผ่านมามาเห็นเหตุการณ์หรือไม่ นั่นคือความจริงของเหตุการณ์ ผมไม่ได้ต้องการโกหก ผมพยายามแล้วที่จะไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมนี้ แต่ไม่สามารถขัดขืนได้ เพราะถ้าผมไม่ทำ เขา [ตรูจิโล]จะต้องฆ่าพวกเรา..”

จากคำสารภาพของ Ciriaco de la Rosa เจ้าหน้าที่ของ the Military Intelligence Service (SIM) ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมสังหาร

 
Ciriaco de la Rosa และทุกคนหลบหนีจากคุกไปได้ในช่วงเกิดสงครามเย็น ปี 2508  Ciriaco de la Rosa หนีไปตั้งรกรากอยู่ในสหรัฐอเมริกาจนเสียชีวิตในปี พ.ศ.2545 เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ภาพยนตร์เรื่อง In the Time of the Butterflies ออกฉาย

 

ภาคผนวก:
เรื่องของพี่น้องหญิงตระกูลมิราเบิลกลายเป็นตำนานการต่อสู้ทางการเมืองของสาธารณรัฐโดมินิกัน  ที่ได้รับการบันทึกไว้ในตำราเรียน 

ภาพของสามสาวพี่น้องมิราเบิลถูกนำไปพิมพ์บนแสตมป์และธนบัตรของสาธารณรัฐโดมินิกัน

เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ในวาระครบรอบ 47 ปีของการเสียชีวิตของพวกเธอ จังหวัด Salcedo ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น Hermanas Mirabal เพื่อเป็นการยกย่องการต่อสู้ทางการเมืองของพี่น้องตระกูลมิราเบิล

ทายาทของตระกูลมิราเบิลรุ่นปัจจุบัน 2 คน เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสาธารณรัฐโดมินิกัน คือ ไจมี่ เดวิด เฟอร์นันเดช มิราเบิล (Jaime David Fernandez Mirabal) บุตรชายของเดเด้ เป็นรองประธานาธิบดีระหว่างปี พ.ศ. 2539-2543 และมิเนา ทวาเรซ มิราเบิล (Minou Tavarez Mirabal) ลูกสาวคนโตของมิเนอว่าได้รับเลือกเป็นสมาชิกรัฐสภาหลายสมัย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 จนถึงปัจจุบัน 

ทุกๆปี ในช่วงวาระครบรอบคำประกาศวันขจัดความรุนแรงต่อสตรี เดเด้ และมิเนา จะได้รับเชิญไปเป็นแขกเกียรติยศในงานต่างๆที่มีการจัดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ

เดเด้ มิราเบิล ยังคงทำหน้าที่เล่าประวัติศาสตร์อาชญากรรมรัฐที่พรากชีวิตพี่สาวและน้องสาวของเธอไป เดเด้ใช้เวลาทั้งหมดของเธอดูแลพิพิธภัณฑ์ Museo Hermanas Mirabal  

เธอบอกกับผู้มาเยี่ยมชมทุกคนว่า

"ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อเล่าเรื่องของพี่สาวและน้องสาวของฉัน"

 

 

 

 


[i] ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารมติชนรายสัปดาห์ ฉบับที่ 1577 (ประจำวันที่ 5-11พฤศจิกายน พ.ศ.2553) และฉบับที่ 1578 (ประจำวันที่ 12-18 พฤศจิกายน พ.ศ.2553)

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

พธม. ยุติชุมนุมวันแรก 4 ทุ่ม ต่ออีกพรุ่งนี้ 8 โมงเช้า

Posted: 23 Nov 2010 09:27 AM PST

พธม. ยุติการชุมนุมวันแรก 4 ทุ่ม หลังชุมนุม 14 ชั่วโมง ออมแรงชุมนุมพรุ่งนี้ 8 โมงเช้า ลั่นได้ทำเต็มที่ก็ดีใจแล้วแม้ผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม

23 พ.ย. 53 - เว็บไซต์ ASTV ผู้จัดการออนไลนรายงานว่า เมื่อเวลา 22.00 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย และนาย สมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภาฯ เพื่อประกาศสลายการชุมนุมสำหรับวันนี้ พร้อมนัดให้มาใหม่พรุ่งนี้ตั้งแต่ 8 โมงเช้า
      
พล.ต.จำลองกล่าวว่า ต้องทวนกันอีกที ว่าเรามาทำหน้าที่ ใช้หนี้แผ่นดิน และมาทำบุญ เมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมาแกนนำพันธมิตรเรียกประชุมด่วนเนื่องจากรัฐบาลจะแก้ รัฐธรรมนูญ ซึ่งเราเห็นว่าเป็นการทำความเสียหายให้ประเทศ โดยประชาชนไม่ได้อะไรเลย มีแต่นักการเมืองที่ได้  ในขณะที่มีอีกหลายอย่างให้ทำก็ไม่ทำ
      
พล.ต.จำลองกล่าวอีกว่า เราย้ำหลายครั้งแล้วว่าเราไม่ได้คัดค้านหัวชนฝาไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญปี2550 แต่รัฐธรรมนูญนี้มาจากประชาชน 14.7 ล้านเสียง เราก็บอกไปแล้ว จะแก้อะไรแก้ไปเลย แต่ต้องทำประชามติก่อน แล้วนายกฯคนนี้ก็รับปากแล้ว ผ่านมา 9 เดือนก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ซึ่งเราเห็นว่าไม่ถูกต้อง
      
"พันธมิตร ไม่มีทางเลือกต้องออกมาชุมนุมเนื่องจากเราเห็นต่อชาติบ้านเมืองมากกว่า การชุมนุมเราต้องเหนื่อย ตากแดดตากลม แต่นักการเมืองนั่งในสภา ประชุมกันเฉย เย็นสบาย  ได้ตังค์ด้วย คนที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเชื่อฝั่งไหนดี ลองคิดดูว่าพันธมิตรฯไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย แต่ทำเพื่อบ้านเมือง แต่รัฐบาล กับสภาฯ ทำเพื่อตัวเอง" พล.ต.จำลอง กล่าว
      
พล.ต.จำลองยังกล่าวอีกว่า พอประชุมวันพฤหัสฯแล้ว เช้าวันศุกร์เราประชุมกันอีกที สรุปคือเราต้องชุมนุม เราไม่มีทางเลือกเพราะเราคือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย  เราตกลงกันว่าจะทำตามกฎหมาย มาตอนเช้าเลิกตอนค่ำไม่ปักหลักพักค้าง คนที่มาจากต่างจังหวัด และหาที่พักไม่ได้ ก็สามารถพักได้ที่ สวนสันติฯ  พรรคการเมืองใหม่ ซึ่งมีรถสุขากทม.พร้อมแล้ว  และพักได้ที่สันติอโศกอีกที่หนึ่ง
      
"การชุมนุมวันนี้เป็นการเรียกบรรยากาศเก่าๆกลับมา เขาหาเรื่องวุ่นวายมาให้ก็ดีอย่าง ทำให้เราได้มาเจอกันอีกครั้ง เราทำกันเต็มที่ เราก็ดีใจแล้ว แม้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่ รู้ว่าพี่น้องหลายคนอยากฟังปราศรัยต่อ แต่ตอนนี้ชุมนุมมา 14 ชั่วโมงแล้ว  สภาฯจะประชุมถึง ตี 2 ตี 3 ก็ช่าง แต่เราเลิก 4 ทุ่มออมแรงไว้พรุ่งนี้ พรุ่งนี้มาใหม่ ตั้งแต่ 8 โมงเช้า และต้องขอขอบคุณพันธมิตรอีกครั้ง และคนที่อยู่หน้าจอด้วย ส่วนเงินที่บริจาคมาให้จัดการชุมนุม ส่วนที่เหลือจะสมทบเข้ากองทุนทวงคืนเขาพระวิหาร " พล.ต.จำลอง กล่าว

ที่มาข่าว:

"ลุงจำลอง" ประกาศยุติชุมนุมวันนี้ ออมแรงมาใหม่พรุ่งนี้ 8 โมงเช้า (ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 23-11-2553)
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9530000165930

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เพ็ญ ภัคตะ: จริยธรรมถูกทำแท้ง!

Posted: 23 Nov 2010 08:56 AM PST

แท้งแท้งเขาเกลียดแท้ง
อ้างทิ่มแทงผู้บริสุทธิ์
จริยธรรมเสื่อมชำรุด
สังคมทรุดต้องรักษา

แท้งแท้งเราถูกแท้ง
ถูกฆ่าแกงเยี่ยงแร้งกา
กี่ครั้งและกี่ครา
โหดตุลาพฤษภาทมิฬ

แท้งแท้งเขาทำแท้ง
ฆ่าเสื้อแดงจนดับดิ้น
ชีวิตกี่ชีวิน
ต้องราคินสิ้นราคา

แท้งแท้งอย่าอ้างแท้ง
มันขัดแย้งเลิกมายา
จริยธรรมฉีกตำตา
ตราบยังฆ่าวิญญูชน

แท้งแท้งใครทำแท้ง
ยังกำแหงว่าเป็นคน-
ดีเลิศประเสริฐล้น
แท้เหลี่ยมกลฆาตรกร

แท้งแท้งหากห้ามแท้ง
ก็เลิกแบ่งชนชั้นก่อน
กราบศพที่ทบซ้อน
รีบวิงวอนขอขมา

แท้งแท้งทั่วประเทศ
แท้งโดยเจตนาฆ่า
ข่มขืนจนประชา-
ธิปไตยไม่อาจโต

แท้งแท้งเขาแท้งรัฐ-
ธรรมนูญวิ่นศีลธรรมโหว่
มีหน้ามาอวดโว
โอ! ใครกันขยันแท้ง!

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศอฉ.ยันห้ามขายสินค้าสร้างความแตกแยก

Posted: 23 Nov 2010 07:04 AM PST

ศอฉ.ยันห้ามขายสินค้าทำให้เกิดความแตกแยกลั่นไม่มีเจตนาลิดรอนสิทธิเสรีภาพ

23 พ.ย. 53 - มติชนออนไลน์รายงานว่า พันเอก สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.เปิดเผยผลการประชุม ศอฉ. วันที่ 23 พฤศจิกายนเพื่อทบทวนคำสั่ง ศอฉ. กรณีห้ามจำหน่ายสินค้าที่ก่อให้เกิดความแตกแยก ว่าที่ประชุมมีมติให้ชี้แจงและทำความเข้าใจเพิ่มเติมว่า ศอฉ. ไม่ได้มีเจตนาที่จะลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนโดยมุ่งไปยังบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่พิมพ์ เขียน จำหน่าย จ่ายแจก สินค้าที่หมิ่นเหม่ ต่อการจาบจ้วงสถาบันเท่านั้น โดยไม่ได้มีเจตนาในเรื่องทางการเมือง

สำหรับสินค้าที่มีรูปภาพ หรือข้อความที่มีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนั้น เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะดำเนินการฟ้องร้องเอง เจ้าหน้าที่มีอำนาจเพียงบันทึกภาพการชุมนุมไว้เท่านั้น

โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน กล่าวอีกว่า ในการชุมนุมของกลุ่ม นปช.วันที่ 19 พฤศจิกายน  ไม่มีการดำเนินคดีกับบุคคลใด เพราะไม่พบการกระทำผิดกฎหมาย

ที่มาข่าว:

ศอฉ.ยันห้ามขายสินค้าทำให้เกิดความแตกแยกลั่นไม่มีเจตนาลิดรอนสิทธิเสรีภาพ (มติชนออนไลน์, 23-11-2553)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1290519458&grpid=03&catid=&subcatid=

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

การลดความเหลื่อมลํ้าและสร้างโอกาสการเข้าถึงทรัพยากร: กรณีศึกษาเรื่องที่ดิน

Posted: 23 Nov 2010 05:52 AM PST

ปัญหาการไร้ที่ดินทำกินของประชาชน การกักตุนที่ดิน การเก็งกำไรที่ดิน การไม่ใช้ประโยชน์ในที่ดิน หรือการบุกรุกที่ดินของรัฐ เป็นปัญหาที่ได้รับความสนใจอย่างมากในประเทศไทย แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ปัญหาเหล่านี้กลับไม่ได้รับการพิจารณาอย่างถ่องแท้เพื่อหาแนวทางแก้ไขที่ต้นตอปัญหาอย่างแท้จริง หลายสิบปีที่ผ่านมารัฐบาลไทยกลับวิเคราะห์ปัญหาดังกล่าวอย่างผิวเผินและใช้วิธีการแก้ปัญหาการไร้ที่ดินด้วยมาตรการนำพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมมาจัดให้ประชาชน

ปัญหาการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติในกรณีที่ดินเป็นปัญหาที่มีความเชื่อมโยงกับประเด็นทางเศรษฐกิจหลายประการ ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ การกระจุกตัวของกำไรเกินปกติจากการดำเนินธุรกิจที่ขาดการแข่งขัน การจับจองที่ดินเพื่อหวังผลประโยชน์จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ หรือการดำเนินมาตรการภาษีที่ดินที่ไม่เหมาะสม ได้แก่ ภาษีเงินได้จากการขายที่ดิน หรือภาษีธุรกิจเฉพาะ

การที่ประชาชนจำนวนมากหรือเกษตรกรไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินได้เป็นเพราะโครงสร้างการถือครองที่ดินของประเทศไทยนั้นถูกทำให้บิดเบือนด้วยโครงสร้างความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของไทย หากพิจารณาโครงสร้างรายได้ของคนไทยพบว่า การกระจายรายได้ของคนไทยเป็นปัญหาที่มีความรุนแรงมาก สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะการดำเนินธุรกรรมที่ขาดการแข่งขันทำให้มีการกระจุกตัวของกำไรหรือรายได้ในธุรกิจบางประเภท จากการที่โครงสร้างรายได้มีการกระจุกตัวในกลุ่มคนจำนวนน้อยจึงมีผลทำให้คนกลุ่มนี้มีอำนาจซื้อสูงและนำเงินเหล่านี้มาใช้ในการกว้านซื้อที่ดินจากเกษตรกรอย่างมากมาย ปัจจุบัน ประมาณร้อยละ 90 ของคนไทยมีที่ดินถือครองไม่ถึง 1 ไร่ ในขณะที่คนกลุ่มที่เหลืออีกร้อยละ 10 ถือครองที่ดินคนละมากกว่า 100 ไร่ รายงานนี้แสดงให้เห็นว่าปัญหาการกระจุกตัวของที่ดินในมือคนกลุ่มน้อยเป็นผลสืบเนื่องมาจากปัญหาการกระจุกตัวของรายได้ของคนไทยนั้นเอง

การที่รัฐบาลละเลยการแก้ปัญหาธุรกิจผูกขาดและไม่บังคับใช้กฏหมายการแข่งขันทางการค้าทำให้รายได้กระจุกตัวในกลุ่มธุรกิจเพียงน้อยรายนั้นได้นำไปสู่ปัญหาการกว้านซื้อที่ดินเป็นอย่างมาก ซึ่งการกว้านซื้อที่ดินในลักษณะนี้ทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่ดินได้เพราะเหตุผลสองประการด้วยกันคือ หนึ่ง การกว้านซื้อที่ดินทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้นจนเกษตรกรไม่สามารถซื้อหาที่ดินเพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเกษตรได้ และ สอง การที่ที่ดินมีราคาสูงขึ้นทำให้เกษตรกรที่ถือครองที่ดินอยู่ต้องเผชิญกับค่าเสียโอกาสของที่ดินที่มีมูลค่าสูงและทำให้เกษตรกรจำนวนมากต้องขายที่ดินที่มีอยู่และเก็บทรัพย์สินในรูปเงินหรือในรูปอื่นแทนเพราะไม่สามารถถือครองที่ดินที่มีมูลค่าสูงได้

ปัญหาการการกระจุกตัวของรายได้ส่งผลลุกลามมายังปัญหาการถือครองที่ดินที่มีลักษณะกระจุกตัวเช่นเดียวกัน  จนทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงที่ดินได้นำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ที่สำคัญสามประการ ได้แก่

หนึ่ง กลุ่มธุรกิจการเมืองสามารถใช้เงินเพื่อเอื้อประโยชน์ด้านข่าวสารข้อมูลจากภาครัฐและนำไปสู่การเก็งกำไรในที่ดินรอบๆ โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐ (เช่น โครงการรถไฟฟ้า หรือโครงการสร้างถนน เป็นต้น) เมื่อมีการกว้านซื้อที่ดินรอบๆ โครงการพัฒนาของรัฐทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยต้องสูญเสียที่ดินในจำนวนมาก แต่ที่สำคัญคือประโยชน์ที่เกิดจากโครงการพัฒนาของรัฐเหล่านี้จะตกกับผู้เก็งกำไรในที่ดินมากกว่าเจ้าของที่ดินเดิมที่ขายที่ดินออกไป

สอง การใช้เงินเพื่อให้มีการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นสองมาตรฐานระหว่างคนรวยและคนจน นำไปสู่การออกเอกสารสิทธิ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าในขณะที่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่ดินได้และถูกจัดให้เป็น “ผู้บุกรุกที่ดินของรัฐ” อยู่ตลอดเวลา กรณีที่เป็นที่ประจักษ์ได้แก่การใช้เอกสารสิทธิ์ สค. เพื่อนำไปสู่การออกเอกสารสิทธิ์ในปริมาณที่มากกว่าจำนวนที่ระบุไว้ใน สค. การใช้เอกสารสิทธิ์ สค. ซ้ำ หรือการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินแปลงอื่นต่างจากที่ สค. ระบุไว้ เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีตัวอย่างอื่นที่แสดงให้เห็นถืงการถือครองที่ดินโดยผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ไม่ควรมีการออกเอกสารสิทธิ์ เช่น การถือครองที่ดินบนเกาะหรือพื้นที่สูงชัน เป็นต้น

สาม การไม่ดำเนินมาตรการภาษี capital gain และเลี่ยงไปดำเนินมาตรการภาษีที่ดินที่เรียกเก็บจากฐานมูลค่าที่ดินเพราะเกรงว่าภาษี capital gain ที่เก็บจากกำไรส่วนเกินจากการซื้อขายที่ดินจะไปกระทบผลประโยชน์ของกลุ่มธุรกิจการเมืองจากการกว้านซื้อที่ดินเพื่อเก็งกำไร

การศึกษานี้เสนอว่าเพื่อให้เกิดการใช้ประชาชนสามารถเข้าถึงทรัพยากรที่ดินได้อย่างเป็นธรรมมากขึ้นรัฐบาลควรดำเนินมาตรการที่เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอดังต่อไปนี้ หนึ่ง ปรับปรุงและบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าเพื่อลดปัญหาการกระจุกตัวของรายได้และให้มีการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อลดกำลังซื้อที่ดินจากการกระจุกตัวของรายได้ สอง เร่งตรากฎหมายภาษี capital gain หรือภาษีมูลค่าเพิ่มจากการถือครองที่ดิน โดยภาษี capital gain นี้จะทำหน้าที่ถ่ายโอนกำไรส่วนเกินจากการเก็งกำไรในที่ดินมาสู่ภาครัฐมากขึ้น และช่วยลดการเก็งกำไรในที่สุด มาตรการภาษี capital gain นี้จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และช่วยลดขนาดของการสร้างหนี้สาธารณะด้วย และ สาม สร้างหลักธรรมาภิบาลในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดปัญหาการเลือกปฎิบัติ หรือปัญหาสองมาตรฐานระหว่างนายทุนและประชาชนผู้มีรายได้น้อย

การศึกษานี้เสนอว่า การนำพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมมาจัดรูปเพื่อแจกที่ดินทำกินให้ผู้ด้อยโอกาสไม่ใช้วิธีแก้ปัญหาการไร้ที่ดินทำกินที่ถูกต้อง เพราะการแจกที่ดินไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตอของสาเหตุอย่างแท้จริง แต่เป็นเพียงใช้ทรัพยากรของชาติเพื่อสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองเท่านั้น

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสัมมนาวิชาการประจำปี 2553 เรื่อง “การลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ (Reducing Inequality and Creating Economic Opportunity)”   ซึ่งมูลนิธิชัยพัฒนา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สถาบันพระปกเกล้า คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  และมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ร่วมกันจัดขึ้น ในวันจันทร์และวันอังคารที่ 29-30 พฤศจิกายน 2553  ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ บี ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

โสภณ พรโชคชัย: ชาวมาบตาพุดส่วนใหญ่ต้องการอุตสาหกรรมและแนวทางแก้ไขมลพิษ

Posted: 23 Nov 2010 05:35 AM PST

22 พฤศจิกายน 2553

เรื่อง ประชาชนมาบตาพุดส่วนใหญ่ต้องการอุตสาหกรรมและแนวทางแก้ไขมลพิษ
เรียน ท่านสื่อมวลชน-ผู้สื่อข่าว ที่นับถือ
อ้างถึง หนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้อง ลว.17 พฤศจิกายน 2553

กระผมได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวมาบตาพุดจำนวน 2,140 ราย ซึ่งเป็นเสียงสะท้อนที่แท้จริงของชาวมาบตาพุด ระยอง จึงขอเรียนท่านสื่อมวลชน-ผู้สื่อข่าว เพื่อโปรดพิจารณาเผยแพร่เสียงของประชาชนด้วย จะเป็นพระคุณต่อประชาชนและสังคมในการมีข้อมูลเพื่อการใช้วิจารณญาณ  ผลการสำรวจชี้ชัดเจนว่า

1. ประชาชนส่วนใหญ่ เห็นด้วยกับขยายพื้นที่อุตสาหกรรมในเขตมาบตาพุดต่อไป โดยประชาชน 56% เห็นด้วย โดยในรายละเอียดพบว่า กลุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านของตนเองเห็นด้วย 50%  อย่างไรก็ตามกลุ่มที่เป็นทั้งเจ้าของบ้านและเจ้าของที่ดิน เห็นด้วย 48%  ส่วนกลุ่มที่เป็นผู้เช่าบ้าน เห็นด้วยถึง 65%

2. ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการให้รัฐซื้อหรือเวนคืนในกรณีจำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษโดยต้องจ่ายค่าทดแทนที่สมเหตุผล โดยประชาชนถึง 69% เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวนี้  โดยเห็นด้วยเป็นส่วนใหญ่ในทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มเจ้าของบ้านและที่ดิน เจ้าของบ้านแต่เช่าที่ดินปลูก ผู้เช่าบ้านและอื่น ๆ

3. ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมประท้วงเรื่องมาบตาพุดเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2553 ที่ผ่านมา  มีประชาชนเพียง 32% เท่านั้นที่เห็นด้วย  ทั้งนี้มีความเห็นในทางเดียวกันทั้งกลุ่มเจ้าของบ้านและที่ดิน เจ้าของบ้านแต่เช่าที่ดินปลูก ผู้เช่าบ้านและอื่น ๆ

โดยสรุปแล้ว ประชาชนในเขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด เห็นด้วยที่พื้นที่อุตสาหกรรมจำเป็นที่จะต้องขยายตัวต่อไป  ทั้งนี้มาบตาพุดเป็นแหล่งอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแห่งสำคัญที่สุดซึ่งได้วางแผนดำเนินการแล้วตั้งแต่สมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์  หากย้ายออกไปคงไม่มีพื้นที่อื่นจะสามารถรองรับได้  และในกรณีจำเป็นประชาชนจึงเห็นด้วยกับการเวนคืนโดยจ่ายค่าทดแทนที่สมเหตุผลเพื่อความผาสุกของทุกฝ่าย  และประชาชนก็ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมประท้วง แสดงให้เห็นว่าประชาชนต้องการทางออกที่ดีกว่านี้

นอกจากนี้ประชาชนในพื้นที่มาบตาพุด ระยอง ยังได้ให้ข้อเสนอแนะหลายประการต่อปัญหามลพิษที่ประชาชนยกขึ้นมา ทั้งน้ำเสีย อากาศ (กลิ่น แก๊สพิษ ควันพิษ ฝุ่น) ขยะ เสียง และสารเคมี ซึ่งประชาชนได้พบเห็นเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง  การมีมลภาวะเช่นนี้แสดงว่าที่ผ่านมายังมีการแก้ไขปัญหาที่ไม่มีประสิทธิผลและยังไม่เป็นที่พึงพอใจเท่าที่ควร  ดังนั้นแนวทางการแก้ปัญหาจึงอยู่ที่การตรวจสอบเพื่อควบคุมการกระทำผิดกฎหมายเช่นนี้อย่างใกล้ชิด หากทางราชการหรือภาคประชาชนได้จัดตั้งหน่วยงานที่เป็นกลางซึ่งไม่มีส่วนได้ส่วนเสียมาตรวจสอบอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง พร้อมกับการรายงานผลการตรวจสอบต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เชื่อว่าการปล่อยมลพิษในรูปแบบต่าง ๆ จะลดน้อยลง

การที่ประชาชนในพื้นที่ยังมีความเชื่อว่าโรงงานจำนวนมากยังมีการละเมิดกฎหมาย ละเมิดต่อผู้อยู่อาศัยหรือชุมชนโดยรอบนั้น ถือเป็นการละเมิด เป็นอาชญากรรม และถือเป็นการขาดความรับผิดชอบต่อสังคมโดยตรง ดังนั้นการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ และการฟ้องร้องเป็นราย ๆ ไป จึงน่าจะเป็นมาตรการแก้ไขและป้องกันปัญหามากกว่าการเหวี่ยงแห ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน และโรงงานต่าง ๆ ต้องดำเนินการไปอย่างจริงจังและตรวจสอบในการได้ จึงจะยังความเชื่อถือจากประชาชน

อนึ่ง กระผมเคยทำหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรี เมื่อปีที่แล้ว (7 ธันวาคม 2552) เกี่ยวกับผลการสำรวจในลักษณะคล้ายกันและได้ผลออกมาคล้ายกันว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังต้องการให้อุตสาหกรรมขยายตัวต่อไป  การสำรวจครั้งล่าสุดจึงเป็นการประเมินผลเพิ่มเติม และมุ่งเน้นการนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายในการแก้ไขปัญหามลพิษในมาบตาพุด

ด้วยความเคารพ
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

(ดูข้อมูลประกอบที่: http://housingyellow.com/csr.wboard/showtopic.php?topic=37)
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กัมพูชาดับ 339 คน เหตุชุลมุนงานเทศกาลน้ำ

Posted: 23 Nov 2010 05:19 AM PST

เกิดโศกนาฎกรรมในงานเทศกาลน้ำที่ประเทศกัมพูชา เหตุชุลมุนเบียดเสียดกันจนมีผู้เสียชีวิต 339 คน บาดเจ็บอีก 329 คน

23 พ.ย. 53 - เว็บไซต์หนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ รายงานเหตุโศกนาฎกรรมที่มีชาวกัมพูชาหลายร้อยคนเหยียบกันในงาน "เทศกาลน้ำ" [1] ของกัมพูชา เหตุเกิดขึ้นที่ไดมอนด์ ไอแลนด์ ใกล้สะพานตอนเหนือของกรุงพนมเปญ

นายกรัฐมนตรีฮุนเซน ของกัมพูชาประกาศผ่านการประชุมทางวิดิโอยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิต 339 ราย และบาดเจ็บอีก 329 ราย ฮุนเซนยังได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ นอกจากนี้ยังกล่าวว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ด้วย

ฮุนเซน กล่าวอีกว่า นี่เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การครองอำนาจของพอลพตผู้นำเขมรแดง และจัดให้วันพรุ่งนี้ (24 พ.ย.) เป็นวันรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

สื่อกัมพูชารายงานอีกว่า ทางการของกัมพูชาไม่สามารถยืนยันต้นเหตุที่ทำให้เกิดความโกลาหลในครั้งนี้ได้ รมต.สารสนเทศ ของกัมพูชาบอกว่ามันเกิดจากการที่ประชาชน "นับล้านคน" ในที่แห่งนั้นพยายามออกจากพื้นที่เนื่องจาก "หวาดกลัวอะไรบางอย่าง"

หัวหน้าตำรวจในพื้นที่บอกว่าพอคนเริ่มตื่นกลัวแล้วก็มีการเหยียบกัน มีบางคนกระโดดลงไปในแม่น้ำ ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าเหตุวุ่นวายเริ่มขึ้นจากการที่กลุ่มฝูงชนเริ่มดันกันบนสะพานอย่างคับคั่งจนหายใจไม่ออก พอหาทางออกไม่ได้หลายร้อยคนจึงเริ่มกระโดดจากสะพาน

ต่อมาจึงเริ่มมีรถพยาบาล, รถตำรวจ และหน่วนฉุกเฉิน เข้ามาในพื้นที่ มีการพยายามสลายฝูงชนเพื่อเข้าช่วยเหยื่อ มีเรือถูกเรียกมาเพื่อช่วยคนที่อยู่ในแม่น้ำ ร่างของเหยื่อถูกนำขึ้นรถพยาบาล รถบรรทุก และรถจักรยานยนต์

พอพื้นที่เริ่มคลายจากความวุ่นวายก็พบว่ามีร่างคนจำนวนมากยังคงอยู่บนท้องถนน มีรองเท้า, เสื้อผ้า และของอื่น ๆ ที่ตกหล่นในขณะที่เกิดความวุ่นวาย บางคนเสียชีวิตในพื้นที่ขณะที่อีกร้อยกว่าคนเสียชีวิตที่โรงพยาบาลหรือขณะนำส่งโรงพยาบาล

แพทย์ของโรงพยาบาลคัลเมตต์บอกว่าจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบสาเหตุการเสียชีวิตโดยหลัก ๆ มาจากการขาดอากาศหายใจและการถูกไฟฟ้าช็อต

ผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่มีพี่สาวหมดสติและถูกนำส่งโรงพยาบาลคัลเมตต์ เล่าให้ฟังว่าเจ้าหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ได้ฉีดปืนน้ำเข้าไปในฝูงชนหลังเกิดเหตุเหยียบกัน เขาให้ความเห้นว่าน้ำที่ฉีดเข้ามาทำให้คนบนสะพานหลายคนถูกไฟฟ้าช็อตจากสายไฟบนสาพาน ซึ่งบางจุดก็มีตำรวจถูกไฟฟ้าช็อตเช่นกัน

ที่มาข่าว:

Hundreds die in tragic end to water festival  (Phnom Penh Post, 23-10-2010)
http://www.phnompenhpost.com/index.php/2010112244892/National-news/hundreds-die-in-tragic-end-to-water-festival.html

[1] เทศกาลน้ำ ในที่นี้คือพิธี "บุญอมตุก" (Bon Om Thook) เป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญของกัมพูชาซึ่งเป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการสิ้นสุดฤดูฝนโดยงานจะมีติดต่อกัน 3 วันในทุก ๆ ปี มีการจัดคอนเสิร์ทและการจัดแข่งเรือ ซึ่งดึงดูดคนเป็นจำนวนมาก (ข้อมูลจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Bon_Om_Thook)

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จับผู้ต้องหายิงเอ็ม 79 - ระบุทำตามอุดมการณ์

Posted: 23 Nov 2010 04:48 AM PST

จับผู้ต้องหายิงเอ็ม 79 ตำรวจระบุก่อเหตุ "กทม. - เชียงใหม่" 12 จุด เจ้าตัวยันทำตามอุดมการณ์ทางการเมือง แค้นฝังใจทหารสลายชุมนุมโหดเมษาเลือด 52 ระบุไม่ได้เป็นคนเสื้อแดง หรือ นปช. แต่เคยปลอมตัวเป็นการ์ด


(ภาพจากเว็บไซต์ข่าวสด)
 

23 พ.ย. 53 - เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษา(สบ 10) รรท.ผบช.ภ.1 พล.ต.ท.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ผบช.ภ.5 พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. พร้อมฝ่ายสืบสวน ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมนายวัลลภ หรือป้อม พิธีพรม อายุ 27 ปี ชาว จ.พิษณุโลก นายสมคิด หรือคิด มากวงศ์ อายุ 37 ปี  ชาว จ.แพร่ นายวันชัย หรือไก่ ซังข้าว อายุ 34 ปี ชาว จ.สมุทรปราการ นายอนันต์ หรือเชียร มีรอด ชาว จ.นครปฐม และนายชัชชัย หรือเอ็ม โภคานุภาพ อายุ 30 ปี ชาว จ.นครสวรรค์ พร้อมของกลาง วงจรหน่วงเวลาโทรศัพท์มือถือจำนวน 2 ชุด หัวแร้งบัดกรี จำนวน 1 อัน ปืนกาว จำนวน 1 อัน อาวุธปืนลูกซองไทยประดิษฐ์ จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืนลูกซอง เบอร์12 จำนวน 10 นัด แส้ทำความสะอาดอาวุธปืน จำนวน 1 ชุด ซองปืนชนิดพกนอก จำนวน 1 อัน วิทยุสื่อสาร ยี่ห้อไอคอมจำนวน 1 เครื่อง วิทยุสื่อสารยี่ห้อเคนวูด จำนวน 1 เครื่อง ดินระเบิด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้ว พันด้วยเทปกาวสีดำจำนวน 2 ลูก พร้อมด้วยเชื้อประทุไฟฟ้า จำนวน 2 ดอก รถยนต์กระบะ โตโยต้า ไมตี้เอ็กซ์ สีน้ำเงิน ทะเบียน บบ 721 ระยอง

พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 พ.ย.เวลาประมาณ 14.00 น. ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 5  ได้จับกุมตัวนายวัลลภ ตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ที่ 578/2553 ลงวันที่ 21 พ.ย.  ในความผิดฐานกระทำให้เกิดการระเบิดจนเป็นเหตุให้ทรัพย์ผู้อื่นเสียหาย,ทำให้ เสียหาย,มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุน ,พกพาอาวุธปืนติดตัวไปในที่สาธารณะและยิงปืนโดยใช่เหตุในที่ชุมชน พร้อมของกลางรถกระบะ มิตซูบิชิ สตราด้า สีดำ ทะเบียน บพ 7405 พิษณุโลก ซึ่งนายวัลลภให้การรับสารภาพ และบอกว่าได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ยิงระเบิดเอ็ม 79 ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ 4 แห่ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 เม.ย.  เวลา 22.20 น.ก่อเหตุยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 เข้าไปที่บริเวณลาดจอดรถห้างแม็คโคร สาขาเชียงใหม่ ท้องที่สภ.แม่ปิง ครั้งที่สองวันเดียวกัน เวลา23.02 น. ยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ใส่โรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ตนานุวัฒน์ เลขที่108/1 ม.5 ต.แม่เหียะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังห้างแม็คโครสาขาหางดง ท้องที่ สภ.เมืองเชียงใหม่

ครั้งที่สาม เมื่อวันที่ 6 ก.ย. เวลา 22.10 น. ยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ใส่บริเวณด้านหน้าค่ายกรมรบพิเศษ 5 (ค่ายขุนเณร) อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ท้องที่ สภ.แม่ริม ครั้งที่สี่ วันที่ 12 ก.ย. เวลา 02.47 น. ยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ใส่อาคารที่ทำการบริษัทเชียงใหม่คอนสตรัคชั่น จำกัด เลขที่ 30 ถ.มหิดล ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ของนายคะแนน สุภา บิดาของนางกรุณา ชิดชอบ และเป็นพ่อตาของนายเนวิน ชิดชอบ ท้องที่ สภ.ภูพิงค์ฯ

พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวต่อว่า นายวัลลภยังให้การอีกว่าได้ก่อเหตุในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลอีก 8 จุด โดยเมื่อวันที่16 มี.ค. เวลา 03.25 น. ยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่บ้านเลขที่ 22/18 ซ.ลาดพร้าวแยก 6 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านพักของนายอักขราทร จุฬารัตน์ อดีตประธานศาลปกครอง แต่มีเป้าหมายที่ธนาคารกรุงเทพ สาขารัชโยธิน จำนวน 1 นัด ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 10 เม.ย. เวลา 20.15 น. ยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่ตึกไทยคู่ฟ้าและตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล จำนวน 3 นัด โดยยิงมาจากสะพานมัฆวานรังสรรค์หลังผลักดันกำลังของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ออกไปได้

ต่อมาเมื่อวันที่ 28 เม.ย. เวลา 05.00 น. ยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่หน้าบริเวณธนาคารกรุงเทพ สาขาตลิ่งชัน จำนวน 1 นัด ครั้งที่สี่ เมื่อวันที่ 8 พ.ค. เวลา04.30 น. ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่ป้ายธนาคารกรุงเทพ สาขาวิภาวดี จำนวน 1 นัด ครั้งที่ห้า วันที่ 14 พ.ค. เวลา 20.20 น. ยิงระเบิดเอ็ม 79 จากใต้สะพานยกระดับประตูน้ำ ไม่เกินหน้าตึกใบหยก โดยยิงไปทางหน้าโรงแรมอินทรา แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ จำนวน 4 นัด

จนกระทั่งวันที่ 16 พ.ค. ช่วงเวลากลางคืน ได้ยิงระเบิดเอ็ม 79 จาก ซอยหลังสวน บริเวณแยกราชประสงค์ตัดถ.วิทยุ ยิงไปทางสวนลุมพินี หลังจากทราบข่าวว่าเจ้าหน้าที่ทหารเตรียมเข้าสลายการชุมนุม โดยจะเคลื่อนกำลังออกมาจากทางสวนลุมพินี โดยยิงไปทั้งหมดจำนวน 60 นัด โดยมีบางลูกตกเข้าไปที่แฟลตตำรวจ สน.ลุมพินี และวันเดียวกันนี้ได้ยิงระเบิดเอ็ม 79 จากบริเวณ ถ.อโศก ยิงไปทางทิศที่มีป้ายบอกทางด่วนท่าเรือ จำนวน 60 นัด และช่วงวันที่ 18-19 พ.ค. ต่อเนื่องกัน ได้ยิงระเบิดเอ็ม 79 ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งกำลังเข้าทำการกระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่ม นปช. โดยยิงมาจากกลุ่มผู้ชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ ยิงไปรอบทิศ ไม่ทราบจุดแน่ชัด ยิงไปทั้งหมด 120 นัด รวมก่อเหตุทั้งหมด 12 ครั้ง

พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวต่อว่า ล่าสุดวันนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นห้องพักของนายวัลลภ เลขที่1113/23 ชั้น 2 อาคาร 14 โครงการเคหะเอื้ออาทรร่มเกล้า ซอยเอื้ออาทร-ร่มเกล้า 2 ถ.เคหะร่มเกล้า แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ พบของกลางเป็นอุปกรณ์ประกอบระเบิดและอาวุธปืน วิทยุสื่อสาร ซึ่งภายในห้องยังพบผู้ต้องหาเพิ่มอีก 4 รายจึงได้ควบคุมตัวไว้ทั้งหมด

นายวัลลภ กล่าวว่า แรงจูงใจที่ได้ก่อเหตุ มาจากเมื่อช่วง เม.ย.52 ตนอยู่ที่ตลาดโบ๊เบ๊ย่านสะพานขาวและได้เห็นเจ้าหน้าที่ทหารใช้ความรุนแรงกับประชาชน จึงมีอุดมการณ์ที่จะล้างแค้น ซึ่งตนเคยเป็นทหารอยู่กองพันทหารม้าที่ 7 จ.อุตรดิตถ์ ดังนั้นจึงมีความชำนาญในการใช้อาวุธเป็นอย่างดี และขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นกลุ่มแนวร่วมนปช. หรือคนเสื้อแดง ตอนเข้าไปเป็นการ์ดคนเสื้อแดงก็ต้องปลอมตัวเข้าไป เพื่อที่จะทำตามอุดมการณ์ สำหรับอาวุธปืนเอ็ม 79  สั่งซื้อมาจากบริเวณชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน โดยไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดและผู้อยู่เบื้องหลัง

นายวัลลภ กล่าวต่อว่า ช่วงที่ยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหารที่สวนลุมพินี กระสุนเอ็ม79 ของตนพลาดเป้าไปโดยแฟลตตำรวจสน.ลุมพินี ซึ่งไม่ได้เจตนาจะยิงไปที่แฟลต ตั้งใจแค่ว่ายิงสกัดเจ้าหน้าที่ทหารที่จะบุกมาทางสวนลุมพินี และยิงไปหลายนัด ทำให้บางลูกพลาดเป้าไปโดนที่อื่น ซึ่งต้องขอโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ลุมพินี ส่วนที่เจาะจงยิงธนาคารกรุงเทพนั้น เพราะว่าผู้บริหารของธนาคารกรุงเทพมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งตนมองว่าวิธีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯมีความรุนแรงเกินไป สำหรับของกลางที่อยู่ในห้องพัก มีคนนำมาฝากไว้ ไม่ขอเปิดเผยชื่อ และผู้ต้องหาทั้ง 4 คนที่ถูกจับด้วย ไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด ตนขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ส่วนเหตุการณ์ระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น ยืนยันไม่เกี่ยวข้อง และไม่ได้รู้จักนายสมัย วงศ์สุวรรณ เป็นการส่วนตัว

ด้าน พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่ายังมีผู้เกี่ยวข้องอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงผู้ที่ให้เงินสนับสนุน ซึ่งก็จะได้จับกุมมาดำเนินคดีต่อไป สำหรับนายวัลลภนั้น เชื่อว่าเป็นกลุ่มเดียวกับนายสมัยที่สมานเมตตาแมนชั่น สำหรับดินระเบิดที่พันเทปสีดำ เป็นดินระเบิดของระเบิดซีโฟร์ น้ำหนัก 2 กิโลกรัม มีอานุภาพร้ายแรงสามารถทำลายตึก 3 ชั้นได้ แค่เชื่อมเชื้อประทุไฟฟ้า 2 ดอก และต่อแผงวงจรเข้ากับโทรศัพท์มือถือ ก็สามารถใช้งานได้แล้ว ทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้งหมดรวมถึงนายวัลลภ ไม่น่าจะมีความรู้เรื่องแผงวงจรระเบิด โดยนายวัลลภเป็นแค่คนยิงระเบิดเอ็ม 79 ส่วนที่เหลือมีหน้าที่เฝ้าของที่อยู่ในห้องเท่านั้น แต่จากวิธีการปล่อยแผงวงจร สันนิษฐานว่าผู้ที่ต่อแผงดังกล่าวน่าจะมีความรู้เรื่องระเบิดเป็นอย่างดี

เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพ เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อหาร่วมกันมีและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ตามกฎกระทรวงฉบับที่11 (พ.ศ.2552) มีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย พร้อมกับควบคุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมาย ก่อนเร่งขยายผลผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีต่อไป.

ที่มาข่าว:

จับมือยิง M79 บริษัทพ่อตาเนวินโยงอีก 8 จุด กทม. (เว็บไซต์เดลินิวส์, 23-11-2553)
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=419&contentID=105958

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จักรยานเสื้อแดงถึงมุกดาหาร เยี่ยมผู้ต้องขัง

Posted: 23 Nov 2010 04:35 AM PST

ขบวนจักรยาน “สองขาเพื่อประชาธิปไตย บนเส้นทางสีแดง” เดินทางถึงจังหวัดมุกดาหาร  นับเป็นวันที่ 22 ของการเดินทางเพื่อประชาธิปไตย คนเสื้อแดงมุกดาหารจัดงาน “ลอยกระทงส่งเผด็จการ” ต้อนรับ

 

 

 

 
 
21 พฤศจิกายน 2553 ขบวนจักรยาน “สองขาเพื่อประชาธิปไตย บนเส้นทางสีแดง” โดยแป๊ะ บางสนาน ศิลปินเสื้อแดง และทีมงาน เดินทางจาก จ.อำนาจเจริญ ถึง จ.มุกดาหาร จังหวัดที่ 14  ของเส้นทางสีแดง โดยมีคนเสื้อแดงมุกดาหาร ไปรอต้อนรับที่ อ.นิคมคำสร้อย และ ต.คำอาฮวน อ.เมืองมุกดาหาร  และนำจักรยาน-สามล้อ-มอเตอร์ไซค์-รถปราศรัยเคลื่อนที่ร่วมขบวนรณรงค์ “ปล่อยนักโทษการเมือง” เข้ามาในตัวเมือง และไปสิ้นสุดที่สถานีวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง 106.75 MHz
 
 
 
 
 
 
จากนั้น ขบวนทั้งหมดได้ร่วมกันแห่กระทงยักษ์ไปที่ริมแม่น้ำโขงเพื่อจัดงาน “ลอยกระทงส่งเผด็จการ” คุณฟอร์ด หนึ่งในทีมปั่นจักรยาน กล่าวบนเวทีว่า “ทั้งหมดที่เราเดินทางมา ก็เพื่อจะกล่าวเพียงประโยคเดียวว่า ‘ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรา...คนเสื้อแดง ไม่ทอดทิ้งกัน’”
 
 
รุ่งเช้า วันที่ 22 พฤศจิกายน ขบวนจักรยานเดินทางออกจากที่พักที่วัดศรีมุสังคลา เข้าเยี่ยม ‘นักโทษการเมือง’ ผู้ต้องหาคดีเผาศาลากลาง ที่เรือนจำกลางจังหวัดมุกดาหาร   โดยมีญาติและผู้ต้องหาคดีบุกรุกศาลากลางที่ได้รับการประกันตัวแล้วคอยต้อนรับ และนำเข้าเยี่ยมผู้ที่ยังถูกคุมขังอยู่ ซึ่งมีทั้งหมด 19 คน แต่เนื่องจากเป็นวันจันทร์มีญาติผู้ต้องหาในคดีอื่นมารอเยี่ยมญาติของตนเป็นจำนวนมาก ทำให้ขบวนจักรยาน ซึ่งเดินทางมากว่าพันกิโลเมตร ได้เข้าเยี่ยมพี่น้องที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมตามที่ตั้งใจไว้เพียงไม่กี่คน หลังจากมอบเงินช่วยเหลือแก่ญาติและผู้ที่ได้รับการประกันตัวแล้วรวม 28 ราย  โดยรายที่อยู่ในเรือนจำจะได้รายละ 1,500บาท ส่วนผู้ที่ได้รับการประกันตัวแล้วได้รายละ 1,000บาท ในเช้าวันที่23 พฤศจิกายน 53  ขบวน “สองขาเพื่อประชาธิปไตย บนเส้นทางสีแดง” ก็ออกเดินทางไปยัง อ.ธาตุพนม จ.นครพนมต่อไป
 
 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ลูกชาย “ซูจี” เจอแม่แล้วที่ย่างกุ้ง

Posted: 23 Nov 2010 04:07 AM PST

มีรายงานว่า นายคิม อริส หรือนายถิ่งลิน ในชื่อพม่า ลูกชายคนเล็กของนางซูจีได้เดินทางถึงสนามบินย่างกุ้งแล้ววันนี้ (23 พ.ย. 53) และได้พบกับนางออง ซาน ซูจี  ผู้เป็นแม่แล้ว หลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน 10 ปี โดยนายคิม อริส เพิ่งได้รับวีซ่าให้เข้าพม่าเมื่อวันจันทร์ (22 พ.ย.53)ที่ผ่านมา  

ทั้งนี้ นางอองซาน ซูจี หัวหน้าพรรคเอ็นแอลดีได้เดินทางมารอรับบุตรชายคนเล็กด้วยตัวเอง ที่สนามบินย่างกุ้ง โดยทันทีที่ทั้งสองได้พบกัน นายคิม อริสได้โชว์รอยสัญลักษณ์ของพรรคเอ็นแอลดีบนแขนซ้ายของตัวเอง ให้มารดา(นางซูจี) ที่มารอรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดีใจ

ทั้งนี้ นางซูจีกล่าวกับนักข่าวเอเอฟพีเพียงสั้นๆว่า “ฉันดีใจมากและมีความสุขมาก” ทั้งนี้ นายคิมได้เดินทางจากอังกฤษมาถึงกรุงเทพฯ หลังทราบข่าวว่า นางซูจีจะได้รับการปล่อยตัว โดยนายคิม อริส เพิ่งได้รับวีซ่าให้เข้าพม่าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ทันทีที่นางซูจีได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา เธอได้โทรศัพท์พูดคุยกับลูกชายทั้งสองคนแล้ว (DVB 23 พ.ย. 53)

แปลและเรียบเรียงโดย สาละวินโพสต์  "สื่อทางเลือกเพื่อแบ่งปันความเข้าใจสู่เพื่อนบ้าน" อ่านข่าวและบทความอื่นๆ อีกมากมายได้ที่เว็บไซต์ www.salweennews.org เฟซบุ๊คhttp://www.facebook.com/Salweenpost ทวิตเตอร์http://twitter.com/salweenpost

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รายงาน: 15 นาทีในเรือนจำกับบันทึกจากใต้ถุนสังคม

Posted: 23 Nov 2010 03:58 AM PST

ครบรอบ 6 เดือนของเหตุการณ์สลายการชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยที่ราชประสงค์ เป็น 6 เดือนที่ญาติต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก คนเสื้อแดงต้องสูญเสียพี่น้องร่วมต่อสู้ไป และยังเป็น 6 เดือนที่ไร้อิสรภาพของคนจำนวนไม่น้อยอีกด้วย 

เหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ราชประสงค์  นำไปสู่การชุมนุมและเผาศาลากลางในหลายๆ จังหวัด  การทำร้ายและจับกุมประชาชนแบบเหวี่ยงแหในวันนั้น และการไล่ล่าในเวลาต่อๆ มา หลายคนมองว่า เป็นการทำงานเอาผลงานอย่างไร้มาตรฐานของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่บางคนกลับมองว่า นี่เป็นความตั้งใจของรัฐในการ “กำราบ” ประชาชนทั้งแดงและไม่แดงให้ไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมอีกต่อไป ไม่ว่าคุณจะผ่านมาดู หรือมาชุมนุมตามสิทธิของตน คุณก็มีสิทธิถูก “ขังลืม” ได้ในประเทศแห่งนี้ 

ในท่ามกลางกระแสเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งในระดับสากล และในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น คอป.ที่มีคณิต ณ นคร เป็นประธาน, ศูนย์ข้อมูลประชาชนฯ(ศปช.) และคนเสื้อแดงเอง  ประชาไทขอเสนอซีรี่ย์ถ่ายทอดความรู้สึกของผู้ที่ตกเป็น “เหยื่อ” การใช้อำนาจของรัฐ  ไม่ว่าจะเป็นแกนนำ หรือเป็นมวลชนคนเสื้อแดง หรือเป็นประชาชนคนธรรมดาที่บางคนอาจไม่เคยมีความคิดความสนใจทางการเมืองมาก่อน พวกเขาเป็นเพื่อนมนุษย์ร่วมสังคม ที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เสมอเรา แต่ถูกทำให้เสมือนไร้ “ตัวตน” ในกระแสการเมืองซีกรัฐบาลและผู้มีอำนาจในปัจจุบัน เราหวังว่า  ความรู้สึกที่ถ่ายทอดทะลุแผงกระจกในช่วงเวลาเยี่ยมสั้นๆ 15 นาที จะนำ “ตัวตน” ของพวกเขากลับคืนมา  ทำให้เราทั้งหลายตระหนักรู้ และลงมือทำในสิ่งที่ควรทำ 

นพชัย พิกุลศรี ชายวัย 48 ปี เกษตรกรแห่งบ้านโพธิ์ไทร ต.โพธิ์ไทร อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ แต่ในฤดูกาลเพาะปลูกนี้ เขาไม่มีโอกาสได้ปักดำอย่างเช่นที่เคยทำมาเป็นประจำทุกปี ตลอดชั่วชีวิตของการเป็นชาวนา 

“ตอนนี้ก็หน้าเก็บเกี่ยวแล้ว เมื่อเช้าเมียผมมาเยี่ยมก็บอกว่ายังไม่เสร็จ ทำยังไงได้แรงงานก็เหลือแต่เขากับลูกสาว อาศัยเอาแรงเพื่อนบ้านเอา… 

มันนาน 6 เดือนแล้วผมก็อ่อนใจ คิดถึงบ้าน คิดถึงลูกเมีย ลูกก็บ่นคิดถึงพ่อ ถามว่าพ่อไปไหน แรกๆ แม่เขาก็พามาเยี่ยม แต่หลังๆ มานี่ผมบอกเมียว่า ไม่ต้องพาลูกมา เพราะเขากำลังพูด กำลังเรียนรู้ เขาถามว่า ทำไมพ่อไม่ออกมา แล้วกลับบ้านเรา ผมก็บอกว่า พ่อกำลังเรียน เดี๋ยวก็จบได้ออกแล้ว...พูดแล้วผมก็น้ำตาตก แต่ก็ให้มันตกข้างใน ไม่อยากให้ลูกเห็น 

ลูกก็รู้ว่าพ่อติดคุกเสื้อแดง เขาบอกว่า ถ้าพ่อออกมาจะไม่ให้ไปเสื้อแดงอีกแล้ว พ่อบอกว่า พ่อเรียนเพื่อลูก ต่อสู้เพื่อลูกอยู่ ลูกบอกว่า พอแล้ว ออกมาเถอะ... 

ลูกวาดรูปมาให้ดู ก็เป็นรูปครอบครัว มี 4 คน พ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน 

เมียผมรับใบตองมาตัดเป็นพับๆ แม่ค้าจะมารับไปขายต่อ พับนึงก็ได้ 1 บาท วันหนึ่งถ้ามีใบตองเยอะก็ได้ 100 บาท ถ้าใบตองน้อยก็ได้ซัก 50-60 บาท บางครั้งก็อาจไม่พอใช้ แต่เขาก็บอกผมว่าไม่ต้องคิดมาก พี่น้องเขาช่วยดูแลอยู่... 

อยู่ในนี้ผมก็พยายามปรับสภาพ ทำใจให้ได้ บอกตัวเองว่าไม่ให้คิดมากเกินเลยไป เอาความคิดเป็นยาให้ตัวเองอยู่รอด เพื่อลูก เพื่ออนาคต 

ผมยืนยันว่า ผมมากับพวกมาชุมนุม แต่ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้เผา เรายืนดูเฉยๆ ก็มาเหมาเข่งว่าวางเพลิง ตำรวจก็ต้องแยกแยะซิว่าว่าใครทำ ใครไม่ทำ   นี่ผมยืนดูเฉยๆ ก็จับผมมา สอบปากคำแล้วก็ไม่ปล่อย เอารูปมาให้ดู ถามว่าใช่ผมมั้ย ก็มีแต่รูปผมยืนดู นั่งดู แต่ผมใส่เสื้อแดง ใส่หมวกแดง เป็นพวกชอบอุดมการณ์ อยู่บ้านผมก็เป็นแกนนำในหมู่บ้าน  แถวบ้านผมเขารู้ดี ตำรวจเขาก็ต้องรู้ มาเหมาว่าผมผิดอย่างนี้ ผมก็น้อยใจ กฎหมายก็ตีวงกว้างเกินไป บอกว่าร่วมกันวางเพลิง ซึ่งไม่ยุติธรรมเลย 

"ถ้าจะให้เป็นธรรมก็ขอให้ได้ประกันตัว ให้ผมได้ออกไปอยู่กับครอบครัว ช่วยครอบครัวทำงาน และมีโอกาสต่อสู้คดี”

 

 

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ทัพพม่าสั่งจับทหารกลุ่มหยุดยิงไทใหญ่

Posted: 23 Nov 2010 03:44 AM PST

23 พ.ย. 53 - มีรายงานจากแหล่งข่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กองบัญชาการกองทัพภาคตะวันออกเฉียงเหนือของพม่า มีที่ตั้งอยู่ที่เมืองล่าเสี้ยว รัฐฉานภาคเหนือ ได้มีคำสั่งไปยังหน่วยทหารต่างๆ ในสังกัดที่ประจำอยู่ใกล้พื้นที่เคลื่อนไหวของกองพลน้อยที่ 1 กองทัพรัฐฉาน "เหนือ" SSA-N หรือกลุ่มหยุดยิงไทใหญ่ โดยให้จับตาการเคลื่อนไหวและจับกุมทหารกองพลน้อยที่ 1 ทันที หากพบเห็นเข้าไปในตัวเมือง

แหล่งข่าวอ้างคำกล่าวของนายทหารพม่าคนหนึ่งว่า ทหารพม่าทุกหน่วยในพื้นที่เมืองเกซี เมืองสู้ เมืองไหย๋ ต้างยาน และเมืองล่าเสี้ยว ในรัฐฉานภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของกองกำลังหยุดยิงไทใหญ่ SSA-N ได้รับสั่งจากบก.กองทัพภาค ให้ทำการสอบสวนหรือจับกุมผู้สงสัยเป็นทหารกองพลน้อยที่ 1 ของ SSA-N ที่เดินเข้าไปจับจ่ายซื้อสินค้าหรือรักษาตัวในตัวเมือง

ขณะเดียวกันมีรายงานว่า หลังเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างทหารพม่ากับทหารกองพลน้อยที่ 1 ของ SSA-N เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา ทหารพม่าที่ประจำอยู่ที่ฐานบ้านเซาะ และ บ้านกุ๋นแกง ใกล้พื้นที่เกิดเหตุปะทะได้รับสั่งให้ถอนกำลังออกจากพื้นที่โดยไม่ทราบสาเหตุ ขณะที่ทางบก.กองพลน้อยที่ 1 ของ SSA-N ได้มีคำสั่งให้ทหารที่ประจำอยู่ตามหมู่บ้านต่างๆ ย้ายออกไปอยู่ในป่าและตามเขาสูง เพื่อรับมือการบุกโจมตีของทหารพม่าแล้วเช่นกัน

พม่าห้ามรถขนสินค้าเข้า-ออกพื้นที่กลุ่มหยุดยิงเมืองลา

รายงานข่าวแจ้งว่า วันนี้ (23 พ.ย.) กองทัพภาคสามเหลี่ยมของพม่า ที่มีบก.อยู่ที่เมืองเชียงตุง ในรัฐฉานภาคตะวันออก ได้มีคำสั่งห้ามรถบรรทุกสินค้าทุกชนิดผ่านเข้าออกเขตพื้นที่กองกำลังสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตย หรือ กลุ่มหยุดยิงเมืองลา NDAA (National Democratic Alliance Army)

แหล่งข่าวคนขับรถบรรทุกสินค้าคนหนึ่งกล่าวว่า ทหารพม่าประจำด่านตรวจท่าปิง ซึ่งเป็นด่านตรวจสุดท้ายของทหารพม่าที่เชื่อมต่อกับเขตพื้นที่ของ NDAA หรือเขตปกครองพิเศษที่ 4 อยู่บนเส้นทางสายเมืองเชียงตุง–เมืองลา ได้ทำการสกัดห้ามไม่ให้รถบรรทุกสินค้าทุกชนิดทั้งจากเมืองเชียงตุงและเมืองลา ผ่านด่านตรวจตั้งแต่ช่วงเช้า โดยเจ้าหน้าที่ทหารพม่าบอกว่าเป็นคำสั่งจากกองทัพภาค

แหล่งข่าวเผยด้วยว่า ทหารพม่าไม่ได้แจ้งล่วงหน้าว่าจะทำการปิดห้ามรถบรรทุกสินค้าผ่านเส้นทางดังกล่าว ทำให้ที่ด่านตรวจมีรถบรรทุกสินค้าไปติดค้างนับสิบคัน ซึ่งเขาและคนขับคันอื่นๆ จำเป็นต้องเดินทางกลับในที่สุด

ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ทหารพม่าที่ประจำอยู่ในพื้นที่เมืองยาง อยู่ทางทิศเหนือของเมืองเชียงตุง ซึ่งเป็นพื้นที่ติดเขตเคลื่อนไหวของกองทัพสหรัฐว้า UWSA และกลุ่มหยุดยิงเมืองลา NDAA ได้มีการประกาศเคอฟิวส์ตั้งแต่เวลา 19.00 – 6.00 น. โดยห้ามประชาชนออกจากเคหะสถานอย่างเด็ดขาด ส่งผลให้ชาวบ้านต่างได้รับผลกระทบ ขณะที่หลายคนหวั่นวิตกจะเกิดสงครามสู้รบเตรียมอพยพออกพื้นที่แล้ว

ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/

"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

3 ตุลาการศาล รธน. ยื่นฟ้อง “พสิษฐ์-พร้อมพงศ์-มติชน”

Posted: 23 Nov 2010 02:25 AM PST

3 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยื่นฟ้อง “พสิษฐ์ –พร้อมพงศ์-มติชน” หมิ่นกรณีเปิดเผยคลิปฉาว ขอให้ศาลทำลายข้อมูลในเว็บ โฆษณาคำพิพากษาใน นสพ. 3 เดือน

23 พ.ย. 53 - สำนักข่าวไทยรายงานว่านายจรูญ  อินทจาร นายสุพจน์ ไข่มุก และนายเฉลิมพล เอกอุรุ  3 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มอบอำนาจให้ นายณพล  อรุณอาศิรกุล ทนายความเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายพสิษฐ์  ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการส่วนตัวนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย และบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) เป็นจำเลยที่ 1 – 3 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550

ฟ้องโจทก์สรุปว่า ในระหว่างการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2553 ซึ่งเป็นวันรับคำฟ้อง ถึงวันที่ 18 ต.ค. 2553 ซึ่งเป็นวันเสร็จสิ้นการไต่สวนพยานและนัดแถลง การณ์ปิดคดีด้วยวาจาในวันที่ 29 พ.ย. 2553 มีกลุ่มบุคคลร่วมกันกระทำการในลักษณะเป็นองค์กร มีพฤติการณ์ที่เล็งเห็นได้ว่า มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติ โดย นายพสิษฐ์ จำเลยที่ 1 และนายพร้อมพงศ์ จำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันกับกลุ่มบุคคลดังกล่าว จัดทำคลิปวิดีโอที่เป็นข้อมูลปลอมหรือเป็นเท็จเผยแพร่ ออกข่าวโจมตีศาลรัฐธรรมนูญให้เสียหาย ขาดความน่าเชื่อถือ โดยให้ข่าวแก่สื่อมวลชนว่า จะเผยแพร่วิดีโอที่เป็นข้อมูลปลอมหรือเท็จ ที่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเสียหายล่วงหน้า

ต่อมาวันที่ 14 ต.ค. 2553 มีกลุ่มบุคคลที่ใช้ชื่อว่า “Ohmygod 3009” ได้นำคลิปวิดีโอชุดแรก ซึ่งเกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 5 ตอน ชื่อว่า “ยุบพรรคประชาธิปัตย์” เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เผยแพร่ลงในเว็บไซต์ยูทูบ (http:www.youtube.com) จากนั้น วันที่ 17 ต.ค. 2553 นายพร้อมพงศ์ จำเลยที่ 2 แถลงข่าวเปิดเผยคลิปวิดีโอดังกล่าวในลักษณะตอกย้ำใส่ความซ้ำเพื่อให้ประชาชน และสาธารณชนทั่วไปเข้าใจว่าภาพและเสียงที่ปรากฏในคลิปวิดีโอเป็นความจริง

นอกจากนี้ในวันที่ 29 ต.ค. 2553 มีกลุ่มบุคคลที่ใช้ชื่อว่า “Ohmygod 3009” ได้นำคลิปวิดีโอ จำนวน 3 ตอน ชื่อว่า “พฤติกรรมศาลรัฐธรรมนูญไทย ตอนที่ 1-3 เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เผยแพร่ลงในเว็บไซต์ยูทูบ (http:www.youtube.com) โดยอ้างว่าเป็นการปรึกษาหารือกันเพื่อแก้ปัญหาคลิปอีกชุดที่ถูกบันทึกไว้ ซึ่งเป็นคลิปเกี่ยวกับการสอบเข้าเป็นข้าราชการศาลรัฐธรรมนูญ โดยเจตนาพาดพิงและใส่ความโจทก์ทั้งสามว่า มีส่วนรู้เห็นในการทุจริตโกงข้อสอบเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการใส่ความโจทก์ทั้งสามอันเป็นเท็จ เพราะโจทก์ทั้งสามไม่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการในการออกข้อสอบ หรือเป็นกรรมการจัดพิมพ์ข้อสอบ จัดเก็บข้อสอบ หรือตรวจข้อสอบแต่อย่างใด ซึ่งการออกข้อสอบเป็นความลับโจทก์ทั้งสามจึงไม่มีทางล่วงรู้

ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของเว็บไซต์ (http:www.matichon.co.th) เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2553 ได้นำคลิปวิดีโอ ที่ผ่านการตัดต่อภาพและเสียงอันเป็นเท็จมาเผยแพร่ โดยถอดข้อความในคลิปวิดีโอดังกล่าวเป็นตัวอักษรทั้งหมด และระบุชื่อย่อของโจทก์ทั้งสาม โดยย่อหน้าในเว็บไซด์ของจำเลยที่ 3 แล้วระบุข้อความจัดทำระบบเชื้อเชิญให้บุคคลทั่วไปมาเปิดคลิปวิดีโอดังกล่าว ได้ โดยเชื่อมกับเว็บไซต์ทูป เพื่อให้ผู้อ่านมติชนออนไลน์ในเว็บไซต์ของจำเลยที่ 3 เข้าไปดูเว็บไซต์ยูทูบได้ ทั้งที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทำการปิดกั้นเว็บไซต์การกระทำ ของพวกจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ม. 14 และ 17 ป.อาญา ม.83, 86, 91,326, 328 และ 332 ขอให้ศาลออกหมายนัดไต่สวนมูลฟ้อง เพื่อเรียกจำเลยทั้งสามมาพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมาย และสั่งบังคับให้จำเลยที่ 3 ทำลายข้อมูลคอมพิวเตอร์ในเว็บไซต์มติชนออนไลน์ของจำเลยที่ 3 ในวันที่ 30 - 31 ต.ค. และ 9 พ.ย. 2553 และให้จำเลยทั้งสาม ลงพิมพ์โฆษณาคำพิพากษาคดีนี้ในหนังสือพิมพ์มติชนและข่าวสดเต็มหนึ่งหน้า กระดาษเป็นเวลา 3 เดือน

ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาและนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ต่อไป

ที่มาข่าว:

3 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยื่นฟ้อง “พสิษฐ์-พร้อมพงศ์” (สำนักข่าวไทย, 23-11-2553)
http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/133784.html

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ร้องจับแล้วจับอีกผู้ต้องหาคดีความมั่นคง ผบ.ตำรวจชายแดนใต้รับปากแก้

Posted: 23 Nov 2010 02:07 AM PST

เมื่อวันที่ 19 พ.ย.53 นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม นำทีมทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม เข้าพบผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนใต้  (ผบ.ศชต.) ณ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจส่วนหน้า จังหวัดยะลา เพื่อปรึกษาปัญหาหมายจับซ้ำซาก ปล่อยตัวผู้ต้องหาแล้วก็ตามจับอีก โดย ผบ. ตร. จชต รับเรื่องและรับปากจะจัดการปัญหาดังกล่าว
นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวถึงปัญหาดังกล่าวว่า ผู้ต้องขังคดีความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้หลังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวหรือศาลยกฟ้องในคดีหนึ่ง แต่จะถูกอายัดตัวในคดีอื่นตามมาอีก ทั้งที่เสียเวลาในการสู้คดีหลายปีกว่าศาลชั้นต้นจะตัดสิน และหลักทรัพย์ประกันตัวในคดีสูงกว่าแปดแสนบาท จึงมีคำถามจากผู้ต้องขังบางรายว่า ช่วงที่ถูกขังพนักงานสอบสวนคดีอื่นทำไมไม่มาสอบ ทั้งที่เขาอยู่ในเรือนจำตลอด
นางสาวพรเพ็ญกล่าวอีกว่า ปัญหานี้พบบ่อยในพื้นที่ บางรายต้องกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อเป็นหลักทรัพย์ในการประกันตัวคดีแรกและกลับต้องเดินกลับเข้าเรือนจำเพราะมีหมายอายัดตัวตามหมายจับอื่น ทำให้ผู้ต้องขังคดีความมั่นคงมั่นใจว่าเป็นการกลั่นแกล้งให้ต้องถูกขังอยู่ในเรือนจำ การปฏิบัติงานของพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีที่ปล่อยปละละเลยอาจสร้างเงื่อนไขความไม่เป็นธรรม ขาดความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม และทำให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีความขัดแย้งอยู่แล้วทวีความซับซ้อนของปัญหายิ่งขึ้น
ด้าน พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผบ.ศชต. ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมายอมรับว่ามีปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นจริง พร้อมออกคำสั่งวางระเบียบแก้ไขปัญหาดังกล่าว ให้ผู้บังคับการตำรวจในพื้นที่ปฎิบัติตามระเบียบที่วางไว้และให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ต้องหาผู้ต้องขังทุกคน
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สื่ออังกฤษวิเคราะห์เหตุนายกฯ อังกฤษยกเลิกเที่ยวไทยช่วงคริสต์มาส

Posted: 23 Nov 2010 12:24 AM PST

เมื่อวันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา เมลิสซา ไคท์ รองบรรณาธิการด้านการเมืองของเทเลกราฟ รายงานข่าวกรณีที่เดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และภรรยา ยกเลิกการเดินทางมาท่องเที่ยวพักผ่อนในไทยช่วงเทศกาลคริสต์มาส โดยตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุที่นายกฯ อังกฤษ ยกเลิกการเดินทางมาเมืองไทยนั้น เนื่องจากห่วงการถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นช่วงเดียวกับที่ประเทศอังกฤษกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจและการว่างงาน รวมถึงปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนจากกรณีการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงโดยใช้กำลังทหาร

เนื้อหาของบทความมีดังนี้

มันควรจะเป็นช่วงเวลาพักผ่อนอันหรูหราสำหรับพวกเขา แต่ก่อนที่คาเมรอนจะทันได้จองทัวร์สำหรับวันหยุดยาวครั้งแรกตั้งแต่ดำรงตำแหน่ง ก็เริ่มถูกตั้งคำถามเสียแล้ว ว่าเป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่ที่เขาจะไปท่องเที่ยวอาบแดดฤดูหนาวในรีสอร์ทระดับห้าดาวของประเทศไทยในช่วงคริสตมาส ขณะที่ประเทศอังกฤษยังอยู่ในช่วงที่ต้องมัธยัสถ์ แม้ว่าคาเมรอนจะเป็นคนจ่ายเองก็ตาม

ขณะที่ชาวอังกฤษกำลังเจ็บปวดจากการถูกตัดงบประมาณ สมควรหรือไม่ที่จะได้เห็นนายกฯ มีวิถีชีวิตที่ฟุ่มเฟือยกว่าคนทั้งประเทศ

พอมองที่ตัวประเทศไทย เรื่องสิทธิมนุษยชนของที่นี่ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่าเดวิด คาเมรอน ได้เรียนที่อีตันในช่วงเวลาเดียวกับนายกฯ คนปัจจุบันของไทย ผู้ที่ตอนนี้ถูกทั่วโลกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องวิธีการจัดการกับผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย จนทำให้มีผู้ประท้วงเสียชีวิต ซึ่งในตอนนี้เดวิด คาเมรอน ก็ยกเลิกการเดินทางในครั้งนี้ไปแล้ว หลังจากเจอทำวิจารณ์ที่เริ่มส่งสัญญาณไม่ดี

การตัดสินใจเลิกการเดินทางของเขาเกิดขึ้นหลังจากการที่เขา U-turn จากการจ่ายเงินค่าช่างภาพส่วนตัวโดยใช้เงินของรัฐ นายกฯ ของอังกฤษเคยถูกกล่าวหาในเรื่อง "ฟุ่มเฟือย" โดยใช้งบประมาณของรัฐแบบนี้มาก่อน รวมถึงการจ้างแอนดี้ พาร์สัน ช่างภาพของเขา และนิคกี้ วูดเฮาส์ ช่างทำภาพยนตร์ผู้สร้าง WebCameron

เข้าใจได้ว่าการยกเลิกการท่องเที่ยวในวันหยุดของคาเมรอนและภรรยา มาจากการร้องขอของผู้ให้คำปรึกษาคนสนิทที่สุดของนายกฯ คือ แอนดี เคาสัน หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ ที่ขอร้องเป็นการส่วนตัวให้เดวิด คาเมรอน ยกเลิกแผนการเดินทางที่เสี่ยงต่อการจุดชนวนให้เขาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวอีกรอบ

ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยววันหยุดของชาวอังกฤษหลายหมื่นคน แต่การตัดสินใจเยือนไทยคาเมรอน ก็ชวนให้คนเลิกคิ้วสงสัย

หนังสือพิมพ์ในไทยคาดการณ์ว่าเขาจะเข้าพักในรีสอร์ทแห่งใดแห่งหนึ่งในภูเก็ตที่มีห้องระดับหรูราคาตกคืนละอย่างน้อย หรือราว 48,000 บาท ซึ่งรัฐบาลประเมินไว้แล้วว่ามันต้องดูฟุ่มเฟือยในเวลาที่ชาวอังกฤษส่วนใหญ่ต้องประหยัด

ข้อถกเถียงอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการเดินทางไปเยือนไทย คือการที่คาเมรอน และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย เคยเป็นศิษย์เก่าอีตัน และในคราวแรกมีคนคิดว่าการเลือกเดินทางไปเยือนไทยนั้นมีเหตุผลเรื่องความสัมพันธ์ด้วย แม้รัฐบาลอังกฤษจะปฏิเสธในจุดนี้ แต่ก็ไม่สามารถทำให้เสียงวิจารณ์ลดลง รวมถึงจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนด้วย

กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือที่รู้จักกันดีในกลุ่มเสื้อแดง บอกว่าเหตุปะทะที่เกิดขึ้นจากทหารของรัฐบาลทำให้มีฝ่ายผู้ชุมนุมเสียชีวิตอย่างน้อย 90 ราย และอีกมากกว่า 100 รายได้รับบาดเจ็บ หลังจากที่รัฐบาลสั่งให้ทหารยุติการชุมนุมด้วยวิธีใดก็ได้

กลุ่มคนเหล่านี้หวังว่าอังกฤษจะสนับสนุนข้อเรียกร้องของพวกเขาที่ส่งให้ทางศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) พิจารณาเมื่อเดือนที่ผ่านมา



แปลจาก
Camerons no longer dreaming of a Thai Christmas, Melissa Kite, Telegraph, 20-11-2010
http://www.telegraph.co.uk/news/newstopics/politics/david-cameron/8148805/Camerons-no-longer-dreaming-of-a-Thai-Christmas.html

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น