โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

ชาวบ้านกะเหรี่ยงอพยพรอบใหม่ หลังดีเคบีเอ-พม่า ปะทะหนัก

Posted: 28 Nov 2010 09:34 AM PST

ชาวบ้านกว่า 200 คนจากบ้านผาลู อำเภอกอกาเรก รัฐกะเหรี่ยง อพยพเข้าฝั่งไทยหลังทหารพม่าและกะเหรี่ยงดีเคบีเอ กองพลน้อยที่ 5 ปะทะหนัก กระสุนปืนใหญ่ฝั่งพม่าตกใส่หมู่บ้าน ทำชาวบ้านเจ็บ 1 ราย


ผู้อพยพจากบ้านผาลู รัฐกะเหรี่ยง อพยพเข้าฝั่งไทยด้าน อ.แม่สอด หลังกะเหรี่ยงดีเคบีเอ กองพลน้อยที่ 5 กับทหารพม่าเปิดฉากโจมตีกันรอบล่าสุด ล่าสุดเจ้าหน้าที่ไทยได้จัดให้ผู้ลี้ภัยได้เข้าไปอาศัยชั่วคราวภายในวัดห้วยมหาวงศ์ บ้านแม่โกเกน ต.มหาวัน อ.แม่สอด จ.ตาก แล้ว (ที่มาของภาพ: ได้รับการเอื้อเฟื้อโดย Friend of Burma)

 

เมื่อวานนี้ (27 พ.ย.) ชาวบ้านกว่า 200 คนจากบ้านผาลู (Palu) อำเภอกอกาเรก (Kawkareik) รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ได้อพยพข้ามแม่น้ำเมยมายังฝั่งบ้านแม่โกเกน ต.มหาวัน อ.แม่สอด จ.ตาก

สาเหตุการอพยพครั้งนี้ เนื่องจากในพื้นที่ยังคงมีการปะทะกันระหว่างทหารพม่าและทหารกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย หรือ ดีเคบีเอ กองพลน้อยที่ 5 กลุ่มของ พล.ท.ซอว์ ละ เพว หรือ นะคามวย โดยทหารพม่าซึ่งตั้งฐานอยู่ที่บ้านผาลูได้เกิดปะทะกับทหารกะเหรี่ยงดีเคบีเอ โดยทหารพม่าได้ยิงปืนครก ชนิด ค.60 และ 81 ตอบโต้ใส่ทหารกะเหรี่ยงดีเคบีเอด้วย

โดยมีกระสุนปืนครกจากฐานทหารพม่าตกที่บ้านผาลูด้วย ทำให้นายซอว์ ทุน ส่วย อายุ 30 ปี ได้รับบาดเจ็บ

ทั้งนี้การอพยพเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้า กระทั่งช่วงเย็นก็ยังมีชาวบ้านจากฝั่งรัฐกะเหรี่ยงทยอยอพยพเข้ามา โดยขณะนี้ชาวกะเหรี่ยงอพยพกลุ่มดังกล่าวได้อาศัยอยู่ตามกระท่อมปลายนา และใต้ต้นไม้ ภายนอกบ้านแม่โกเกน ในจำนวนนี้มีเด็กและสตรีตั้งครรภ์อพยพมาด้วย

ทั้งนี้การปะทะระหว่างทหารกะเหรี่ยงพุทธดีเคบีเอ กองพลน้อยที่ 5 กับทหารพม่า เปิดฉากขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งที่รัฐบาลทหารพม่าจัด โดยทหารกะเหรี่ยงดีเคบีเอ กองพลน้อยที่ 5 ได้เข้ายึดพื้นที่สำคัญในเมืองเมียวดี รวมทั้งเชิงสะพานมิตรภาพไทย-พม่า ก่อนที่จะล่าถอยออกไปในวันที่ 9 พ.ย. นอกจากนี้ยังมีรายงานทหารกะเหรี่ยงดีเคบีเอ กองพลน้อยที่ 5 เข้ายึดเมืองพญาตองซู ตรงข้าม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ด้วย

โดยผลจากการปะทะระหว่างทหารพม่าและทหารกะเหรี่ยงดีเคบีเอ กองพลน้อยที่ 5 ครั้งดังกล่าวทำให้มีผู้อพยพเข้าสู่ฝั่งไทยกว่า 2 หมื่นคน ก่อนถูกทหารไทยผลักดันกลับในวันที่ 9 พ.ย. โดยอ้างว่าสถานการณ์สงบแล้ว ขณะที่นับตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. จนถึงปัจจุบันยังคงมีการปะทะกันภายนอกเมืองเมียวดี และในพื้นที่ตอนในของรัฐกะเหรี่ยง โดยยังคงมีผู้อพยพกะเหรี่ยงบางส่วนไม่สามารถกลับเข้าสู่หมู่บ้านของตัวเองได้ ต้องลี้ภัยอยู่ภายในฝั่งพม่า และผู้อพยพจากบ้านผาลู นับเป็นผู้อพยพระลอกใหม่

ขณะที่ วอยซ์ทีวี รายงานวันนี้ (28 พ.ย.) ว่า นายกิตติศักดิ์ โตมรศักดิ์ นายอำเภอแม่สอด พ.ต.อ.เดชชาติ วัฒนพนม ผกก.สภ.แม่สอด และ พ.ต.ท.บุรินทร์ ชื่นอารมณ์ ทำหน้าที่ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจตำรวจตระเวนชายแดนที่ 34 อ.แม่สอด ได้บูรณาการกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย จัดกำลังเข้าไปควบคุมพื้นที่ และนำผู้อพยพชาวกะเหรี่ยงกลุ่มดังกล่าว ไปไว้ที่พื้นที่พักพิงชั่วคราว ที่วัดห้วยมหาวงศ์ บ้านแม่โกนเกน

ขณะที่เจ้าหน้าที่ด้านบรรเทาทุกข์ในพื้นที่ แจ้งกับประชาไทว่า ขณะนี้ยังคงมีผู้อพยพทยอยข้ามเข้ามาเรื่อยๆ

สำหรับทหารกะเหรี่ยงดีเคบีเอ กองพลน้อยที่ 5 นำโดยซอว์ ละ เพว เป็นกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่ปฏิเสธการแปรสภาพเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (Border Guard Forces - BGF) ภายใต้สังกัดกองทัพพม่า ขณะที่กองกำลังกะเหรี่ยงดีเคบีเอกลุ่มใหญ่ นำโดย ซอว์ ชิด ตู่ หรือ หม่อง ชิด ตู่ ได้ตกลงแปรสภาพเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดนแล้ว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“จตุพร” แถลงจดหมายเปิดผนึกเสื้อแดงในคุก – ตั้งภรรยาหมอเหวง รักษาการประธาน นปช.

Posted: 28 Nov 2010 07:48 AM PST

จตุพร แถลงข่าวถึงจดหมายเปิดผนึกจากแกนนำเสื้อแดงในเรือนำที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม หลังถูกจองจำกว่า 6 เดือน พร้อมแถลงตั้งรักษาการกรรมการนปช.แดงทั้งแผ่นดินชุดใหม่ ‘ธิดา’ ภรรยาหมอเหวงเป็นประธาน ประชุมกำหนดท่าทีการเคลื่อนไหวใหญ่ 10 ธ.ค. ลั่นมีหลักฐานภาพถ่ายทหารใช้ปืนจี้หัวพนักงานดับเพลิงไม่ให้ดับไฟเวิร์ลเทรด

28 พ.ย.53 ที่ห้างอิมพเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง แถลงข่าว โดยนำจดหมายเปิดผนึก “เสียงเพรียกจากผองเพื่อนในเรือนจำ” ที่เขียนขึ้นหลังไปพบกับแกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ เนื้อหาในจดหมายระบุว่า กว่า 6 เดือน หลังยุติการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ยังคงมีบรรยากาศความขัดแย้ง ทั้งที่ทุกฝ่ายพูดถึงการปรองดอง เป็นเพราะไม่ได้รับการปฏิบัติที่ชัดเจนจากรัฐบาล รัฐบาลไม่มีความจริงใจสร้างความปรองดอง เป็นเพียงวาทกรรมเพื่อประวิงเวลาอยู่ในอำนาจ
 
รัฐบาลไม่ได้สนองตอบข้อเสนอของคณะกรรมการชุดต่างๆ เช่น ข้อเสนอการยกเลิก พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ข้อเสนอให้ยกเลิกการตีตรวนผู้ต้องขังคดีการเมือง รับข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงบางประเด็น และไม่ได้ให้สิทธิ์แกนนำคนเสื้อแดงได้รับการประกันตัว นอกจากนี้ยังมีการคุกคามสื่อที่ตรงข้ามรัฐบาล แต่ไม่เคยแตะต้องสื่อของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้งที่มีเนื้อหาโจมตีรัฐบาลและคนเสื้อแดง
 
นายจตุพร กล่าวว่า แกนนำคนเสื้อแดง สูญสิ้นอิสรภาพ กว่า 6 เดือน โดยไม่ได้รับความยุติธรรม ทั้งที่ไร้เจตนาหลบหนี อีกทั้งกระบวนการยุติธรรมในคดีคนเสื้อแดงก็มีเสียงวิจารณ์และเคลือบแคลงหลายประการ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคดีของคนเสื้อแดง และกลุ่มพันธมิตรฯ ต่างกันชัดเจน ดังนั้น คนเสื้อแดงจะไม่ยอมก้มหัวให้กับความอยุติธรรม และจะต่อสู้ต่อไป เพื่อไม่ให้การเสียสละของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์การชุมนุมสูญเปล่า
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายของจดหมายเปิดผนึก นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดงได้แต่งเพลงทรนง มาเป็นกำลังใจให้คนเสื้อแดง โดยภรรยาของนายณัฐวุฒิ ได้อ่านเพลงให้คนเสื้อแดงที่มาร่วมฟังการแถลงข่าวรับฟังด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทำให้บรรดาผู้ร่วมรับฟังการแถลงข่าวหลายคนน้ำคลอ
 
เนื้อเพลงมีดังนี้ "ไกลโอ้ไกลเกินเอื้อมสุดสอย มือน้อยไขว่คว้าประชาธิปไตย บนเส้นทางมืดมน ยากไร้ คอยหายไร้แสงแห่งเสรี จึงก้าวเดินร่วมแดงทุกแห่งหน ประกาศชนชั้นรักศักดิ์ศรี ขอให้คนเท่าเทียม แค่นี้ ดับดิ้นชีวีกลางถนน เพื่อนเอ๋ย น้ำตาหยุดไหลหรือยัง ความหวัง มั่นคง อยู่มิคลาย จะหมื่นอาวุธ กี่แสนเล่ห์กล ประชาชนต้องมีชัย ใจถึงใจ จับมือแล้วเดินร่วมทาง วันฟ้ามืดเดือนลับอับแสง เสื้อแดงไม่ลับดับหาย เย้ยฟ้าท้าดินได้ยินไหม หนึ่งตาย แสนล้านสู้ อยู่ยง หนึ่งตาย แสนล้านสู้ อย่างทรนง" 
 
นายจตุพร ยังแถลงรายชื่อ รักษาการกรรมการบริหารกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่า ได้แต่งตั้งนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ภรรยา น.พ. เหวง โตจิราการ เป็นรักษาการประธาน นปช. นายวรชัย เหมะ และนายสมหวัง อัสราษี เป็นรักษาการรองประธาน นปช. ส่วนนายประแสง มงคลศิริ เป็นรักษาการเลขาธิการ นปช. นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ เป็นรักษาการณ์ โฆษก นปช. โดยกรรมการรักษาการชุดนี้จะประชุมในวันพุธ ที่ 1 ธ.ค.นี้ ก่อนแถลงท่าทีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนทันที โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวในวันรัฐธรรมนูญ 10 ธ.ค.นี้ โดยจะมีการหารือและแถลงท่าทีในเวลา 13.00 น.ของวันที่ 1 ธันวาคม
 
นายจตุพรกล่าวว่า แกนนำนปช.ในเรือนจำติดต่อประสานงานกับคณะกรรมการชุดดังกล่าวต่อเนื่องกว่า 3 เดือน มีการหารือร่วมกันผ่านตัวแทน และตอบสนองข้อเสนอแนะของคณะกรรมการมาตลอด จนได้ข้อสรุปร่วมกันว่า การเริ่มต้นกระบวนรการปรองดองต้องนับหนึ่งคือการได้รับสิทธิประกันตัวตามกฎหมายของผู้ถูกคุมขัง โดยแกนนำนปช.ได้เสนอแนวทางเบื้องต้นของการปรองดองต่อคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อแนวทางปรองดองแห่งชาติ(คอป.) ไว้ 5 ข้อ ดังนี้
 
1.สถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่เหนือการเมือง ทกุฝ่ายต้องยุติการอ้างอิง พาดพิงจาบจ้วงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง 2.เยียวยาผู้เสียชีวิต บาดเจ็บและเสียหายจากเหตุการณ์อย่างเหมาะสม 3.ดำเนินกระบวนการยุติธรรมกับทุกฝ่ายด้วยหลักนิติธรรม 4.ให้เสรีภาพกับประชาชนทุกกลุ่มทุกองค์กรในการแสดงออกทางการเมือง และ 5.สร้างความเข้าใจในหมู่ประชาชนและเชิญชวนเข้าร่วมกระบวนการปรองดอง ทั้งนี้แกนนำนปชป.ยินดีพิสูจน์ข้อเท็จจริงและความบริสุทธิ์ตามขั้นตอนของศาลยุติธรรมในทุกกรณี
 
นายจตุพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 1 ธ.ค.จะนำภาพถ่ายที่ทีมกฎหมายของ นปช.ได้รับจากชุดผจญเพลิงมืออาชีพระหว่างวันที่ 3 เม.ย.-19 พ.ย.53 ซึ่งถูกห้ามไม่ให้เข้าระงับเพลิงระหว่างเกิดเหตุเพลิงไหม้ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ด้วยอาวุธปืน และปาระเบิดใส่ได้รับบาดเจ็บ และยังถูกสั่งให้หมอบคลานออกไป แต่พอเงยหน้าขึ้นมา พบเป็นทหารถือปืน ภาพถ่ายที่มีจะแสดงให้เห็นว่า ใครกันแน่ที่เผาห้างดังกล่าว ซึ่งไม่ใช่คนเสื้อแดง นอกจากนี้ยังมีกล้องวงจรปิดของห้างกว่าพันตัวบันทึกเหตุการณ์ไว้
 
นอกจากนี้ นายจตุพร ยังกล่าวว่า มีทหารหน่วยรบพิเศษ 7 คน ที่ให้การกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยอมรับว่า ใช้ปืนเอ็ม 16 หัวกระสุนสีเขียวยิงเข้าไปในวัดปทุมวนาราม ซึ่งสอดคล้องกับกระสุนที่พบในศพ 3 ศพในวัดปทุมวนารามด้วย
 
 
 
เรียบเรียงจาก เว็บไซต์สำนักข่าวไทย และมติชนออนไลน์
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คลิป ‘พสิษฐ์’ ตัดหน้าโผล่ยูทูปว์ ทุกฝ่ายจับตาคดียุบพรรค ปชป.

Posted: 28 Nov 2010 06:47 AM PST

คลิปอดีตเลขาฯ ประธานศาลรัฐธรรมนูญโผล่ล่าสุดจับตาหนักคดียุบพรรค พท.เชื่อ" เหตุแพร่คลิป รู้ข้อมูลภายในหวังแสดงนัยยะการเมือง หลายฝ่ายยังกังวลถึงทางออกหากลงคะแนนเสียงเท่ากัน สุริยะใสวอนประชาชนมีสติ เชื่อคลิป “พสิษฐ์” มีกระบวนการปล่อยข่าวจากภายใน ชวน เตรียมอ่านคำแถลงปิดคดียุบปชป.พรุ่งนี้ จตุพรเบรคคนเสื้อแดงชุมนุมหน้าศาล หวั่นถูกใช้เป็นเงื่อนไข ขณะที่เพื่อไทยจับตามาตรฐานคำตัดสิน

28 พ.ย.53 หลังจากมีการเผยแพร่คลิปของ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ออกมาอีกระลอกตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย.  โดยผู้ใช้นามแฝงว่า judo585 ได้โพสต์ในเว็บไซต์ www.youtube.com  ก็มีการส่งต่อกันในเว็บไซต์เครือข่ายทางสังคมเป็นจำนวนมาก เนื้อหาในเว็บไซต์ระบุว่าเป็นการเปิดใจนายพสิษฐ์ ที่ตีความได้ว่าเป็นการเปรียบเปรยศาลรัฐธรรมนูญกับภาคอุตสาหกรรม มีความยาวประมาณ 6 นาที พร้อมด้วยจดหมายที่เขียนด้วยลายมือและลายเซ็นที่อ้างว่าเป็นของนายพสิษฐ์กำกับ ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2553

นายพสิษฐ์กล่าวในคลิปว่า "วันนี้ ผมได้พ้นจากหน้าที่ต่างๆ หมดสิ้นแล้ว วันนี้กระผมได้ตัดสินใจมาพูดคุยกับท่านและมีการติดต่อสื่อสารกันเป็นครั้งแรก...มีเรื่องจะเล่าให้ฟังว่า มีบริษัทอยู่บริษัทหนึ่งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง บริษัทนี้มีประธานบริษัท มีกรรมการบริหารบริษัท และมีเจ้าหน้าที่บริษัท วันหนึ่งผู้จัดการดูแลโครงการของนิคมมาบอกประธานบริษัทว่า ให้บริษัทนี้ยุติการติดต่อสัมพันธ์กับบริษัทอื่นๆ ที่มีหน้าที่เอาวัตถุดิบต่างๆ เข้ามาติดต่อสัมพันธ์กับทางบริษัท ซึ่งบริษัทเหล่านั้นก็มีหลายบริษัท แต่ผู้จัดการของนิคมอุตสาหกรรมมาบอกประธานบริษัทว่าให้เลือกบางบริษัทนั้นอยู่ ติดต่อบริษัทนั้นได้ แต่บางบริษัทก็ไม่สมควรให้อยู่ ทั้งๆ ที่บริษัทเหล่านั้นก็ทำผิดข้อบังคับของทางนิคม"

"ถ้าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวยึดมั่นในความถูกต้องก็คงไม่สามารถอดรนทนอยู่ได้ แต่อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าคิด คือ กระแสจากบุคคลภายนอกบริษัทสามารถบอกให้บริษัทนั้นซ้ายหันขวาหันได้ ตรงนี้เป็นเรื่องน่ากลัว และที่น่ายิ่งยวด คือ การซ้ายหันขวาหันได้นั้นไม่สมควรจะเกิดขึ้น ดังนั้นทุกอย่างควรจะมีความตรงไปตรงมา ในการดูแลบริษัทที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในมาตรฐานเดียวกัน วันนี้ กระผมเป็นเพียงแค่นาฬิกาปลุก หวังอย่างยิ่งว่าคงจะเข้าใจในสิ่งที่กระผมพูด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า กรรมการบริหารบริษัทนี้ และประธานกรรมการบริหารบริษัทนี้ จะไม่ใช้คำว่ารอการกำหนดโทษกับบางบริษัทที่ผู้จัดการบริษัทให้การสนับสนุนอยู่" นายพสิษฐ์ กล่าว
 
"จรัญ ภักดีธนากุล" ชี้ถ้าแต้มเท่ากันมีปัญหาแน่
นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงข่าวว่ามีข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาคดีข้อ 11 ระบุว่า หากที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีคะแนนเสียงเท่ากัน ต้องยกประโยชน์ให้แก่การคัดค้าน ซึ่งจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้ประโยชน์ว่า เป็นความคลาดเคลื่อน ข้อกำหนดดังกล่าวใช้กรณีการร้องคัดค้านว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใดมีอคติกับคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจึงต้องให้ที่ประชุมตุลาการพิจารณาคำคัดค้าน หากที่ประชุมมีคะแนนเสียงเท่ากันให้ถือตามคำคัดค้าน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องถอนตัวไป

"ข้อกำหนดดังกล่าวไม่ได้ใช้กับการตัดสินคดี เพราะข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย ไม่ได้มีการเขียนไว้ว่า กรณีการลงมติในการวินิจฉัยคดีและคะแนนเสียงเท่ากันจะทำอย่างไร และไม่มีการเขียนว่าให้ยกประโยชน์ให้แก่ผู้ถูกร้อง ซึ่งเป็นปัญหาเหมือนกันหากโหวตแล้วเกิดคะแนนเสียงเท่ากันขึ้น แต่ที่ผ่านมายังไม่เคยเกิดกรณีที่โหวตแล้วคะแนนเสียงเท่ากัน จึงไม่มีการเขียนหาทางออกในเรื่องนี้ไว้ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของรัฐสภาที่จะต้องออก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญว่า หากคะแนนเสียงลงมติในการวินิจฉัยคดีเท่ากัน จะเป็นอย่างไร" นายจรัญ กล่าว

นายจรัญ ระบุว่า นอกจากนี้ยังมีปัญหาอีกจุดหนึ่ง คือ กรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถอนตัวจากคดีไป แต่เสียงในการวินิจฉัยคดีก็ต้องใช้ 5 เสียงเป็นอย่างน้อย เนื่องจากรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่า องค์คณะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในการนั่งพิจารณาและในการทำคำวินิจฉัย ต้องประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่น้อยกว่า 5 คน ไม่ใช่ใช้เสียงข้างมากของตุลาการเท่าที่เหลืออยู่ในการวินิจฉัยคดีนั้น
 
แนะให้ปธ.ตัดสิน-ลงมติหลายรอบ
ขณะเว็บไซต์คมชัดลึก รายงานอ้างแหล่งข่าว ซึ่งเป็นผู้พิพากษารายหนึ่งซึ่งเสนอแนะทางออกกรณีที่เสียงของตุลาการเท่ากัน 3 ต่อ 3 ว่า อาจใช้วิธีให้ประธานที่ประชุมคือประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้ลงคะแนนอีกครั้งหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด หรืออาจใช้วิธีลงคะแนนหลายรอบก็ได้ จนกว่าจะได้เสียงข้างมาก อย่างไรก็ตาม ก่อนลงมติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะต้องตกลงกันเสียก่อนว่า จะใช้วิธีอย่างไรในกรณีที่โหวตแล้วเกิดคะแนนเสียงเท่ากัน ไม่ใช่มาตกลงกันในภายหลังที่มีการโหวตกันแล้วเกิดคะแนนเสียงเท่ากัน
 
"ไพศาล"ทวิตถ้าถอนตัวอีก 2 วุ่นแน่
นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้ทวิตข้อความในเว็บไซต์ www.twitter.com โดยระบุว่า "ถ้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถอนตัวอีก 2 คน ที่เหลือจะตัดสินคดีไม่ได้ ถ้าถอนหมดต้องพิจารณาคดีใหม่ สนุกวุ้ย"
 
กกต.มอบอัยการแถลงปิดคดี
นายกฤช เอื้อวงศ์ หนึ่งในคณะทำงานที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มอบหมายให้ดำเนินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตผอ.สำนักกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ กกต. เปิดเผยว่า สำหรับการแถลงปิดคดีด้วยวาจาที่ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดให้คู่กรณีมาแถลงปิดคดีนั้น ไม่ได้มีการกำหนดระยะเวลาว่าให้ใช้เวลาเท่าไร แต่ในส่วนของกกต. หลังจากได้ส่งคำปิดคดีเป็นเอกสารจำนวน 86 แผ่น ให้แก่ศาลรัฐธรรมนูญไปแล้ว กกต.ก็ได้สรุปคำแถลงปิดคดีแบบย่อจาก 86 แผ่นเหลือเพียงแค่ 18-20 แผ่น ซึ่งการแถลงคดีด้วยวาจาของกกต.เบื้องต้นตั้งไว้อยู่ประมาณ 30 นาที ซึ่งการแถลงของกกต.ก็จะอยู่ในกรอบ 5 ประเด็น ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ตั้งประเด็นไว้ และไม่มีประเด็นอะไรเพิ่มเติม ซึ่งกกต.ได้มอบให้ นายกิตินันท์ ธัชประมุข อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นผู้แถลงปิดคดี
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ 5 ประเด็น ประกอบด้วย 1. กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ 2.การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ตามคำร้องอยู่ในบังคับพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2541 หรือ พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2550 3.พรรคประชาธิปัตย์ใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองในปี 2548 เป็นไปตามโครงการที่ได้รับอนุมัติหรือไม่ 4.พรรคประชาธิปัตย์จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคการเมืองปี 2548 ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ 5.กรณีมีเหตุให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคจะต้องถูกตัดสิทธิ หรือถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2541 หรือประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.)ฉบับที่ 27 เรื่องการแก้ไขประกาศคปค.ฉบับที่ 15 ลงวันที่ 21 กันยายน 2549 ลงวันที่ 30 กันยายน 2549 หรือพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2550 หรือไม่ อย่างไร
 
ศาลเชื่อไม่รุนแรง-คาดคนฟังหลักพัน
ส่วนที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้มีการประชุมเตรียมความพร้อมหากมีกลุ่มผู้ชุมนุมมาร่วมรับฟังการแถลงปิดคดีด้วยวาจาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีหน่วยปราบจลาจลในท้องที่ของทุกหน่วยมาซักซ้อม นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้นำแผงเหล็กมากั้นด้านหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ฝั่งที่ติดถนนแจ้งวัฒนะ ติดกับสำนักงานกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งจากการประเมินเบื้องต้นคาดว่า จะมีกลุ่มผู้ชุมนุมมาติดตามรับฟังประมาณ 500-1,000 คน คาดว่าไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรง
 
จตุพรห้ามเสื้อแดงชุมนุมหน้าศาล หวั่นถูกอ้างเป็นเงื่อนไข
นายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำกลุ่ม นปช.และ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย เปิดแถลงข่าวประกาศห้ามคนเสื้อแดงแม้แต่คนเดียวเข้าไปชุมนุมที่ด้านหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ วันพรุ่งนี้ เพราะไม่ต้องการให้นำไปเป็นประเด็น หรือเงื่อนไขในการตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 
 
 
มาร์คสั่งรมต.เคลียร์คิวฟังคำตัดสิน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคประชาธิปัตย์ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เชิญแกนนำพรรคมาหารือในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน เพื่อประเมินสถานการณ์ทางการเมืองว่าจะเป็นไปในทิศทางใด เนื่องจากวันที่ 29 พฤศจิกายน เป็นการแถลงปิดคดียุบพรรคด้วยวาจาโดย นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ในฐานะหัวหน้าคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งประเมินสถานการณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดงด้วย
 
ส่วนวันที่ 29 พฤศจิกายน นายอภิสิทธิ์ได้นัดหมายกับแกนนำพรรค และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ให้มาขึ้นรถตู้โดยพร้อมเพรียงกันเพื่อเดินทางไปยังศาลรัฐธรรมนูญ โดยให้รัฐมนตรีเคลียร์คิวงานทั้งหมดเพื่อไปเป็นกำลังใจในการแถลงปิดคดี เพราะคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสินในวันเดียวกัน โดยที่ผ่านมาพรรคได้ส่งคำแถลงการณ์ปิดคดีเป็นหนังสือไปแล้วก่อนหน้านี้ 1 เดือน และที่ผ่านมาคดีของพรรคการเมืองอื่นในคดียุบพรรค เคยมีการแถลงคำปิดคดีในช่วงเช้า และตัดสินคดีในช่วงบ่ายเลย
 
ยังกั๊กตอบเรื่องนายกฯสำรอง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี นายจรูญ อินทจาร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ถอนตัวจากการเป็นตุลาการเป็นคนที่ 3 ว่า คงเป็นไปตามแนวปฏิบัติ เพราะเมื่อเป็นคู่กรณี โดยมารยาทก็ต้องถอนตัวก็ถือเป็นเรื่องของทางศาล ส่วนการพิจารณาคดีจะมีปัญหาหรือไม่คงไม่มีใครตอบได้ อยู่ที่วันที่ 29 พฤศจิกายน ซึ่งองค์คณะที่เหลืออยู่ก็เป็นผู้ลงคะแนน
 
เมื่อถามว่า หากเสียงการตัดสินของตุลาการเท่ากันกระบวนการต่อไปจะดำเนินการอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องไปดูกฎหมาย ซึ่งตนยังไม่ดู เพราะการลาออกของตุลาการเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ทำให้จำนวนตุลาการเหลือเป็นเลขคู่
 
ส่วนกระเเสข่าว นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อาจขึ้นเป็นนายกฯ แทนนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า "ผมไม่ทราบเลยครับ เพราะนายสุเทพก็อาจถูกตัดสิทธิ์ด้วยก็ได้"
 
ชวนเตรียมอ่านคำแถลงปิดคดียุบปชป.พรุ่งนี้
นายบัณฑิต ศิริพันธ์ ทนายความต่อสู้คดียุบปชป. เปิดเผยว่า นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และหัวหน้าคณะทำงาน จะเป็นผู้อ่านคำแถลงปิดคดีในวันพรุ่งนี้ โดยใช้เวลา 30 นาที ซึ่งในเนื้อหาคำแถลงปิดคดี จะเป็นการชี้แจงข้อแท็จจริง สาระสำคัญของคดีโดยสรุป รวมถึงชี้ให้เห็นพฤติกรรมในการข่มขู่คุกคามตุลาการ เพื่อนำไปสู่การยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง จนถึงตุลาการ ส่วนเรื่ององค์ประชุมของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่เหลือเพียง 6 คนนั้น เชื่อว่าจะไม่เป็นปัญาหต่อการพิจารณาคดี และเชื่อว่าในวันพรุ่งนี้น่าจะมีการอ่านคำพิพากษาวันแถลงปิดคดีเรียบร้อยแล้ว โดยพิจารณาจากคดียุบพรรคอื่นๆ ที่ผ่านมา
 
ขณะที่นายสุทัศน์ เงินหมื่น หนึ่งในทีมทนายความ มั่นใจพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่ถูกยุบ เพราะทางพรรคได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ หากในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายรวมทั้งพยานหลักฐานต่างๆ ซึ่งก็พร้อมรับคำตัดสินไม่ว่าจะออกมาอย่างไร ส่วนการเผยแพร่คลิปของายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนุญ ล่าสุดนั้น ยิ่งทำใมั่นใจว่ามีขบวนการในการล้มพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเชื่อว่า ตุลาการรัฐธรรมนูญไม่หวั่นไหวกับการข่มขู่ และเชื่อว่าจะไม่มีใครมากดดันศาลรัฐธรรมนูญได้ แม้แต่การชุมนุม
 
 
พท.จับตามาตรฐานศาลรัฐธรรมนูญ
ด้านพรรคเพื่อไทย นายสุทิน คลังแสง อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ในฐานะคณะทำงานติดตามคดีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ของพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการแถลงปิดคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ด้วยวาจาในวันที่ 29 พ.ย.ว่า ประเด็นที่ต้องให้ความสนใจคือมาตรฐานของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะเป็นมาตรฐานเดียวกับคดียุบพรรคการเมืองก่อนหน้านี้หรือไม่ เพราะข่าวที่ปรากฏผ่านสื่อ กรณีคลิปลับทำให้เกิดความหวั่นใจว่าการพิจารณาคดีอาจไม่เที่ยงธรรม แต่หากใช้มาตรฐานเดียวกันวันที่ 29 พ.ย. หลังผู้ถูก ร้องแถลงปิดคดีศาลรัฐธรรมนูญจะต้องอ่านตัดสินเหมือนกับคดียุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย แต่จนถึงวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญก็ยังไม่มีคำยืนยันใด ๆ ต่างจาก 3 พรรคที่ออกมาบอกล่วงหน้าว่าจะตัดสินในวันแถลงปิดคดีเลย
     
“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อสังเกตความ ไม่เป็นมาตรฐาน ถ้าดูจากสำนวนของ กกต. ที่ระบุว่าฝ่ายผู้ถูกร้องไม่ได้แก้ต่างในเรื่องสาระ แต่เบี่ยงเบนทำลายน้ำหนักพยาน ที่สำคัญพรรคพลังเกษตรกรที่ถูกตัดสินยุบพรรคโดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบัน ก็ถูกร้องในความผิดเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นมาตรฐานที่ทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากมีคำตัดสินยุบพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่หากตัดสินไม่ยุบก็จะเป็นกรณีศึกษาใหม่ อย่างไรก็ตามทราบว่ามีความพยายามโยนให้เป็นความผิดเฉพาะตัวบุคคล คือ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตเลขา   ธิการพรรคประชาธิปัตย์ในขณะที่เกิดความผิด เพื่อรักษานายอภิสิทธิ์ไว้
 
เสียง 3 ต่อ 3 ใครจะชี้ขาด
ด้าน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยภายหลังการหารืออย่างไม่เป็นทางการของคณะติดตาม ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล (คตร.)ว่า ที่ประชุมได้ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่อนุญาตให้นาย สุพจน์ ไข่มุกด์ ลาออกจากองค์คณะพิจารณา คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่มีเหตุผลและสืบเนื่องจากกรณีเดียวกับนายจรูญ อินทจาร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือเพราะมีผลต่อคะแนนเสียงภายในองค์คณะหรือไม่
   
“ที่สำคัญคือวิธีการตัดสินตามมาตรฐานสากล ประธานจะงดออกเสียงเพื่อเป็นผู้ชี้ขาดกรณีที่เสียงทั้ง 2 ฝ่ายออกมาเท่ากัน จะถูกนำมาใช้ในคดีนี้หรือไม่ หากไม่เป็นไปตามนั้นแล้วองค์คณะคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเหลือ 6 ท่านใช้สิทธิทั้งหมด สมมุติว่าเสียงออกมา 3 ต่อ 3 เสียง แล้ว ใครจะเป็นผู้ชี้ขาด” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว
 
จับขั้วใหม่ตั้งรัฐบาลสมานฉันท์
ด้านนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทร ปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หากเกิดกรณียุบพรรคประชาธิปัตย์และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค จะไม่มี ส.ส.งูเห่าในพรรคเพื่อไทยเพิ่มขึ้นเพื่อเปลี่ยนขั้วไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับฝ่ายตรงข้าม เพราะใครทำอย่างนั้นอนาคตทางการเมืองจบแน่ เนื่องจากอยู่ในช่วงปลายอายุรัฐบาลแล้ว พรรคจะไม่เคลื่อนไหวจับขั้วใหม่ตั้งรัฐบาล แต่จะมุ่งไปสู่การเลือกตั้ง เพราะประชาชนคาดหวังให้พรรคเป็นรัฐบาล
   
“อยากถามไปยังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่ารู้จักกลุ่มไทยรักสามัคคีหรือไม่ เพราะหากเกิดยุบพรรคประชาธิปัตย์ จะมี ส.ส.ย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ที่แอบจดทะเบียนจัดตั้งไว้ เพราะต้องการสร้างความปรองดองให้กับประเทศ และกลุ่มไทยรักสามัคคีได้เดินสายทาบทามนักการเมืองหลายพรรค รวมถึงพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์เพื่อจัดขั้วใหม่ โดยเฉพาะในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์มี ส.ส.เข้าร่วม 40 คน เพื่อจัดตั้งรัฐบาลมาแก้ปัญหาแตกแยกในชาติ เรียกว่ารัฐบาลสมานฉันท์ จากนั้นมาพูดคุยหาความเห็นพ้องต้องกันว่าจะเสนอใครเป็นนายกฯและในจำนวนดังกล่าวมีชื่อของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ อยู่ด้วย
 
เชื่อ"พสิษฐ์"ได้ข้อมูลภายในคดียุบปชป. แพร่คลิปหวังแสดงนัยยะการเมือง
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ล่าสุดมีการเผยแพร่คลิปนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขาประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่เว็ปไซต์ยูทูปเพื่อส่งสัญญาณคดีให้ใช้มาตรฐานเดียวกัน ซึ่งเรื่องนี้น่าจะมีนัยยะทางการเมืองสอดคล้องกันหรือไม่ เพราะคนระดับนายพสิษฐ์ ซึ่งเคยเป็นเลขาประธานศาลรัฐธรรมนูญ น่าจะรู้ข้อมูลภายในเป็นอย่างดี และมีความใกล้ชิดกับตุลาการทุกคน ส่งสัญญาณแรงเหมือนบอกนัยยะส่งสัญญาณคดีให้ใช้มาตรฐานเดียวกัน น่าจะรู้ข้อมูลภายในอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล จึงยอมทำตัวเป็นเกะดำจนมีคดีติดตัว ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทำลายองค์กร และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

"เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แปลกและซับซ้อนเป็นอย่างมาก ว่าคนอย่างเลขาประธานศาล ทำไมถึงคิดสั้นยอมฮาราคีรีตัวเอง เพื่อทำร้ายองค์กรที่ตัวเองสังกัด หรือสุดท้ายจะเป็นพวกปิดทองหลังพระ สังคมต้องติดตามตรวจสอบข้อเท็จจริง ล่าสุดกล่าวเปิดใจผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ ยูทูป กล่าวเตือนสติคนในครอบครัวเดียวกันเองดังๆ ผ่านสื่อไปทั่วโลก เรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงมีนัยยะทางการเมืองแบบชอบกล รวมถึงการเตรียมกำลังพลของทหารและตำรวจเต็มอัตราศึกภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในวันที่ 29 พฤศจิกายนที่มีการแถลงปิดคดีอย่างเป็นทางการว่า มีนัยยะแถลงปิดคดีเช้า แล้วน่าจะมีการตัดสินคดีตอนเย็นเลยหรือไม่ เพราะมีการจัดเตรียมกำลังอย่างผิดปกติเกินกว่าเหตุ เหมือนมีนัยยะทางการเมืองแอบแฝง" นายพร้อมพงศ์กล่าว

นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ในการตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ประชาชนคงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะคดีนี้เป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองที่สำคัญรวมถึงความอยู่รอดของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และเป็นการพิสูจน์ถึงความศักดิ์สิทธิ์ ของกฎหมายบ้านเมืองว่าสามารถบังคับใช้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่
 
สุริยะใสให้ประชาประชนฟังคำตัดสินศาลธนญ.ยุบพรรค ปชป.อย่างมีสติ
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ แถลงว่า กรณีที่จะมีการแถลงปิดคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ของศาลรัฐธรรมนูญในวันพรุ่งนี้ (29 พ.ค.) พรรคมีความเป็นห่วงเนื่องจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ อาจส่งสัญญาณความขัดแย้งรอบใหม่ ที่จะกลายเป็นวิกฤติทางการเมืองได้ ดังนั้นพรรคจึงขอให้ทุกฝ่ายรอฟังข้อเท็จจริง และผลคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น ทั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญควรประกาศนัดหมายที่ชัดเจนในการอ่านคำตัดสินเพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความสับสน

ส่วนกรณีมีคลิปนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่ในเว็บไซต์ยูทูป ระบุว่า มีอำนาจพิเศษสั่งอุ้มพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า เรื่องนี้ขอให้สังคมฟังหูไว้หู และรอพิจารณาเหตุและผล ของคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญเป็นหลัก การเผยแพร่คลิปฉาวทั้งหมด เป็นที่เชื่อได้ว่ามีการดำเนินการเป็นขบวนการและเชื่อว่านายพสิษฐ์มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

นายสุริยะใส กล่าวว่า ส่วนกรณีมีการตั้งข้อสังเกตว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอาจลงมติด้วยคะแนนเสียง 3 ต่อ 3 อาจเป็นข่าวปล่อย ที่ต้องการหวังผลทางการเมือง และไม่แน่ใจว่ามาจากศาลจริงหรือไม่ แต่หากมติออกมาเช่นนั้น อาจนำไปสู่สูญญากาศทางการเมืองรอบใหม่ได้ “อาจเป็นข่าวปล่อยจากคนในศาล เพราะเชื่อว่าคุณพสิษฐ์ไม่ได้ทำงานคนเดียว แขนขาคุณพสิษฐ์อาจยังอยู่จึงเป็นไปได้ว่ามีคนคอยปล่อยข่าว ส่วนสูญญากาศ คือ ช่องว่างที่พรรคประชาธิปัตย์อาจทวงถามไปที่ศาลว่าถ้าคะแนนออกมาสามต่อสาม แล้วคะแนนเสียงข้างมากจะเป็นอย่างไร”
 
อดีต คมช.ใบ้รัฐบาลแห่งชาติ   
พล.อ.วินัย ภัททิยกุล อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตเลขาธิการ คมช. กล่าวหลังร่วมงานรำลึกครบรอบ 30 ปี พล.ร.อ.สงัด ชะลออยู่ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด ถึงสถานการณ์บ้านเมืองว่า น่าจะมีทางออก ฝ่ายการเมืองพยายามแก้ไขปัญหา ส่วนประชาชนพยายามลดราวาศอกไม่ได้สร้างเงื่อนไขให้ถึงจุดรุนแรง ดูแล้วเงื่อนไขยังไม่ให้ปฏิวัติ
   
เมื่อถามว่า ประเทศไทยมีโอกาสเกิด การปฏิวัติอีกหรือไม่ พล.อ.วินัย กล่าวว่า คงไม่มีถึงขนาดนั้น ทางการเมืองยังมีความเข้มแข็ง อย่างไรก็ตามตนไม่ทราบว่าจะเกิดรัฐบาลแห่งชาติหรือไม่ในช่วงนี้ ส่วนงานการเมืองโดยส่วนตัวยังไม่คิดเล่น และขณะนี้ยังไม่มีใครมาชวน ส่วนการทำหน้าที่ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหมถือว่าเหมาะสมแล้ว
 
โฆษกมาร์ค เชื่อคลิป พสิษฐ์ มีการทำเป็นขบวนการ
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี คลิปล่าสุดของ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญนั้น แสดงให้เห็นว่า เป็นการวางแผนมาตั้งแต่ต้น มีขบวนการพยายามเชื่อมโยงให้เห็นความไม่ยุติธรรม ต้องการดิสเครดิตตุลาการศาล เพื่อให้กระทบกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งคนไทยที่ติดตามก็น่าจะวิเคราะห์ได้ว่า เรื่องดังกล่าวมีการเตรียมการที่จะทำลายความน่าเชื่อถือ เพื่อให้มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้
 
ปชป.มั่นใจมติเสียงตุลาการศาลรัฐธรรนูญ ไม่ออกเสมอ ชี้น่าเป็นเอกฉันท์
นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในทีมกฎหมายสู้คดียุบพรรค กล่าวถึงกรณีที่องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เหลือเพียง 6 คน หากคะแนนออกมา 3 ต่อ 3 อาจทำให้ประธานต้องออกเสียงชี้ขาดว่า เรื่องการออกเสียง 2 ครั้งมีผู้วิจารณ์กันมาก ที่สำคัญคือ ผู้ที่เคยให้ความเห็นในคดีเอาไว้แล้ว จะเปลี่ยนความเห็นจากที่เคยให้ไว้ได้อย่างไร
 
ด้าน นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา ทีมกฎหมายสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากการที่ตนร่วมสู้คดีนี้มาตั้งแต่ต้น เห็นว่าทั้งข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย มีความชัดเจนมาก ดังนั้นโอกาสที่ตุลาการจะตัดสินแบบ 3 ต่อ 3 คงเป็นไปได้ยาก แต่อาจจะออกมาในลักษณะ 4 ต่อ 2 หรือ 5 ต่อ 1 หรือ 6 เสียงเต็มเป็นเอกฉันท์ก็ได้ แต่เสียงที่เกิดขึ้นไม่ทราบว่าจะเทไปทางยุบพรรคหรือไม่ยุบพรรค
 
ทั้งนี้ทีมกฎหมายของพรรคมีความมั่นใจในข้อมูล และในที่ประชุมครั้งนี้ นายชวน แฮปปี้ ไม่เครียด โดยได้ให้นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ทนายความ และนายบัญญัติ ลองแถลงปิดคดีด้วยวาจาให้ฟัง ซึ่งระหว่างที่ทั้งสองทดลองแถลงปิดคดี นายชวน ก็ได้จดประเด็นรายละเอียดเพิ่มเติมเอาไว้เป็นข้อมูลด้วย

 

 

 

เรียบเรียงจาก เว็บไซต์คมชัดลึก, มติชน, เดลินิวส์, แนวหน้า, สำนักข่าวไทย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อานนท์ นำภา:ทำไมโลก จึงอ้างว้าง ได้อย่างนี้ ?

Posted: 28 Nov 2010 01:03 AM PST

    

 

                    เกินกึ่ง  ศตวรรษ “รัฐสัตว์”

            ฉลองฉงน การปฏิวัติ  รัฐประหาร

            เลือดไพร่พร้อม อาบพื้น เพื่อยืนกราน

             ว่า “บ้านเมืองนี้เป็นของเรา”

 

                   เหน็บหนาว  น้ำตา ประชาชาติ

            รดเท้า เยื้องยาตร   แต่ปางเก่า

            ความรัก เคว้งคว้าง บางเบา

            กอบเอา ไม่เอือม ระอาอาย

 

                   เสี้ยมสมุน สโมสร สมานฉันท์

             เสริมสวรรค์ หวานชื่น หื่นกระหาย

             ทบกองทัพ กรีฑา ออกท้าทาย

             ว่าอี-อ้าย ไหนกล้า ก็มาลอง

 

                    เสียงของไพร่  ไม่เพราะ เสนาะโสต

             สู้เสียงความ เหี้ยมโหด  จากในห้อง

             “ราชประสงค์”  จึงประสงค์  ศพเกลื่อนกอง

             สังเวยการ  ปรองดอง  ปัญญาชน ฯ

 

                  เพลิงขบถ   อุบัติโหม  รัฐสามานย์

            ตอบโต้การ  เข่นฆ่า   อย่างเข้มข้น

            ทั้งเผายาง  วางเพลิง   ระดมพล

            หยุดฆ่าคน! หยุดฆ่าคน! ได้ยินมั้ย ....          

 

                  ฆาตกร  ตกมัน  พลันล้อมปราบ

           ยัดข้อหา ตราบาป  วางเพลิงไหม้

          ซากศาลากลางทมิฬ  มอดดับไป

          ซากประชาธิปไตย ไฟยังร้อน !

 

                 จึงถูกขัง  ซังเต   เร่ออกข่าว

         ก่อเรื่องราว “แดงคลั่งบ้า” อุทาหรณ์

         องค์กรสิทธิ์  กลไกรัฐ  ถูกตัดตอน

         ด้วยสันดอน  “คนดี”  ศรีแผ่นดิน

      

                  ผ่านวันคืน  หมื่นแค้น  แสนสาหัส

         กลิ่นใบสั่ง  คนใจสัตว์  แสร้งตัดสิน

         จึงทางออก  สุดท้าย  ที่ได้ยิน

         ต้องกลืนกิน  ความตาย   ในตาราง

 

             แล้วล้มทรุด   ดุจใจ   เจ้าลอยล่อง

       เพื่อนกระโจน  อุ้มท้อง  ประคองร่าง

       ฟูมน้ำลาย  ฟายน้ำตา  ตกตามทาง

       ทำไมโลก  จึงอ้างว้าง  ได้อย่างนี้ ?

      

             ขาเขาถูก  ล่ามโซ่  โชว์ชาวบ้าน

       ขึงกับเตียง   เพื่อต้าน  การหลบหนี

       ปากยังโอย  โอยเสียง  เพียงที่มี

       ข่าวทีวี   เงียบหาย  ในสายลม...

 

             เมียรัก  กุมมือ  แล้วร้องไห้

        ปานใจ   จะขาด  ด้วยขื่นขม

        หอมแก้ม  ผัวรัก  ดอมดม

        ก่อนก้ม   ห่มผ้า  อย่างอาทร

 

             เสียง"พ่อจ๋า พ่อจ๋า อย่าทิ้งหนู"

        ปลุกวิญญาณ  การรับรู้  จากฝันหลอน

        ลืมตาทั้ง น้ำตา ด้วยอาวรณ์

        สะอื้นอ้อน เอ่ยคำ แค่แรงมี

 

             ปลอบลูกแก้ว  เมียขวัญ  ว่าขวัญพ่อ

       ชาตินี้ขอ  กอดเจ้า  ก่อนเป็นผี

       จูบหน้าผาก  ด้วยรักเจ้า   เท่าชีวี

       อย่าร้องเลย  คนดี   เดี๋ยวไม่งาม

 

              ว่าพลาง  ต่างถ้อย ค่อยค่อยหลับ

         นานับ  ลูกน้อย ตั้งคำถาม

         นี่คือโศกนาฏกรรมอันต่ำทราม

         ที่สังคม มองข้าม อย่างย่ามใจ

 

               อีกมุมหนึ่ง    ณ  หอทอง   ครองอำนาจ

        สูบเลือดราษฎร์   ยิ้มย่อง  อย่างผ่องใส

        เพียงน้ำเสียง  สั่นเครือ  บอกความนัย

        ว่า “ขอโทษ” คนไทย ยังไม่มี !

 

 

               

                  :  แด่ พี่ หนุ่ม  วินัย ปิ่นศิลปชัย จำเลยคดีเผาศาลากลาง

                      ผู้ยอมพลีร่างเพื่อครอบครัว และเสรีภาพเพียงข้ามคืน

                      28 พฤศจิกายน 2553

                      อานนท์  นำภา

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รายงาน: งานเยียวยาที่แตกต่าง เจาะชีวิตตำรวจเหยื่อชายแดนใต้

Posted: 27 Nov 2010 09:15 PM PST

 
เจาะชีวิต 3 ตำรวจชายแดนใต้ เหยื่อของความไม่สงบ สิทธิและและการเยียวยาที่แตกต่าง ต้องเป็นข่าวถึงจะได้รับการดูแล
 
 “ผมไม่ได้ลำบาก ไม่ได้ขายสวนยางมารักษาตัวอย่างที่เป็นข่าว” ‘ส.ต.อ.ธีระพงศ์ คงสวัสดิ์’
 
ถนนสายเล็กๆ ที่ตัดจากถนนใหญ่สายระแงะ – นราธิวาส เข้าหมู่บ้านโคกโก ตำบลลำภู อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ปรากฏด่านรักษาความปลอดภัยตั้งเรียงรายอยู่เป็นระยะๆ
 
ที่นี่เป็นชุมชนชาวไทยพุทธขนาดใหญ่ ตลอดเส้นทางเข้าออกหมู่บ้านมีทั้งโรงเรียนและวัดประจำหมู่บ้าน เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูฝน ทำให้ทั่วทั้งหมู่บ้านดูเงียบเหงาวังเวงผิดปกติ หญิงชราและเด็กๆ หลายคนที่มีเวลาเล่นอยู่กับบ้านในช่วงปิดเทอม ก็ได้แต่นั่งจมเจ่าอยู่หลังม่านฝน ภายในประตูบ้านของตัวเอง
 
ห่างจากถนนใหญ่เข้ามา 4 กิโลเมตร มีทางตัดเข้าซอยเล็กๆ สู่เขตสวนผลไม้รกครึ้ม โดยมีบ้านหลังหนึ่งซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบอยู่ภายใน
 
ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบ เด็กเล็กๆ ชายหญิงสองคนชักสีหน้าแปลกใจต่อการมาเยือนของคนแปลกหน้า ก่อนจะวิ่งหนีหายเข้าไปในบ้าน
 
ครู่หนึ่ง ‘ยายแดง’ ซึ่งต่อมาทราบชื่อว่า ‘นางหนูแดง หวังสุข’ อายุ 78 ปี เจ้าของบ้านก็ออกมาต้อนรับ พร้อมกับบอกว่า ‘เป้าหมาย’ ที่ผู้มาเยือนต้องการพูดคุยด้วยไม่อยู่
“แอ้มไปโรงพยาบาล ค่ำๆ ถึงจะกลับ” เธอกล่าว
 
แอ้ม คือชื่อเล่นของ ‘ส.ต.อ.ธีระพงศ์ คงสวัสดิ์’ อายุ 31 ปี ผู้บังคับหมู่(ผบ.หมู่)หน่วยปฏิบัติการพิเศษ (นปพ.) ตำรวจภูธร จังหวัดนราธิวาส
 
แอ้ม ถูกระเบิดจนกระดูกไขสันหลังแตก กลายเป็นคนทุพลภาพมายาวนานกว่า 5 ปีแล้ว
 
เหตุเกิดขณะที่แอ้มกำลังเดินเท้าลาดตระเวนดูแลเส้นทางรถไฟ ในพื้นที่บ้านโคกสยา หมู่ที่ 5 ตำบลกาวะ อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส โดยคนร้ายนำระเบิดมาวางใต้รางรถไฟ แรงระเบิดทำให้ไม้หมอนรถไฟอันหนึ่งหลุดจากรางและกระเด็นใส่กลางหลังของแอ้มอย่างแรง
 
แพทย์โรงพยาบาลสุไหงปาดีแจ้งว่า กระดูกไขสันหลังของแอ้มแตกไป 1 ข้อ เป็นสาเหตุให้เขากลายเป็นคนพิการต้องนั่งรถเข็นมาตั้งแต่นั้น
 
หญิงชราบอกว่า อาการของ ส.ต.อ.ธีระพงศ์เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ เริ่มลุกขึ้นยืนได้ และใช้ไม้เท้าค้ำยันเดินเหินไปมาได้บ้างแล้ว
 
เมื่อผู้มาเยือนผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้พบกับเจ้าตัว แต่ในวันรุ่งขึ้น เสียงโทรศัพท์จาก ส.ต.อ.ธีระพงศ์ ก็ดังขั้น
 
ตำรวจหนุ่มเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงใสแจ๋วว่า อาการของตนดีขึ้นมาก ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการทำกายภาพบำบัด แม้ยังไม่รู้ว่าจะหายเป็นปกติอีกหรือไม่ แต่ก็ดีกว่า ต้องชีวิตบนรถเข็น
 
พูดไปซักพักน้ำเสียงของตำรวจหนุ่มยิ่งเคร่งเครียด เขาบอกว่า ข่าวที่สื่อมวลชนนำเสนอเรื่องราวของตนก่อนหน้านี้ คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงมาก เพราะตัวเองไม่ได้ลำบากอย่างที่ปรากฏในเนื้อหาข่าว
 
ข่าวที่ว่าพาดหัวว่า “ชีวิตสุดรันทดของตำรวจแดนใต้ที่ถูกทอดทิ้งหลังปฏิบัติหน้าที่ไร้ผู้เหลียวแล” พร้อมโปรยข่าวว่า “เผยชีวิตสุดรันทด ส.ต.อ.ธีระพงค์ ผบ.หมู่ นปพ.นราธิวาส ... ปัจจุบันไร้ผู้เหลียวแล จึงต้องขายสวนยางมรดก 15 ไร่ เพื่อจ่ายเป็นค่าพาหนะไปพบแพทย์ เพราะเบิกจากทางการได้เฉพาะค่ายา วอนผู้ใจบุญยื่นมือเข้าช่วย”
 
ข่าวนี้ถูกนำเสนอทางเว็บไซด์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2553
 
“ผมไม่ได้ลำบากขนาดนั้น ข่าวออกไป ทำให้ผมถูกมองไม่ดี ตอนนี้อยากอยู่เงียบๆ มากกว่า และอีกอย่าง ผมก็ไม่ได้ถูกราชการทอดทิ้ง ยังมีตำแหน่งอยู่ใน นปพ.เหมือนเดิม ส่วนเรื่องขายที่ดินมารักษาตัวนั้น จริงๆ ต้องการขายอยู่แล้ว ไม่ได้เอามารักษาตัวผมอย่างเดียว ยังเอาไปใช้จ่ายทั่วไปในครอบครัวด้วย”
 
ตำรวจหนุ่มบอกว่า ได้ปรึกษาเพื่อนตำรวจด้วยกันว่า ควรอยู่เงียบๆ ดีกว่านำเสนอเรื่องราวตัวเองออกไป เพราะอาจทำให้ผู้บังคับบัญชาไม่สบายใจ ตัวเองไม่ได้ลำบากลำบนอะไร มีเงินเดือนราชการหล่อเลี้ยงชีวิต พอใช้พอจ่ายเป็นค่าเดินทาง ส่วนการรักษาตัวก็สามารถเบิกได้ตามปกติ
 
สำหรับการเยียวยานั้น ส.ต.อ.ธีรพงศ์เปิดเผยว่า เขาได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นจากทางศูนย์เยียวยาจังหวัดเป็นจำนวน 50,000 บาท จากกระทรวงพัฒนาสังคมฯ จำนวน 200,000 และยังมีเงินของกองทุนสวัสดิการสงเคราะห์ตำรวจ อีกเดือนละ 10,000 อยู่ราวหนึ่งปีครึ่ง แต่หลังจากนั้นก็หายไป โดยที่ตนเองก็ไม่ได้ติดตามถามเหตุผล
 
เมื่อรวมกับเงินเดือนตำรวจจากต้นสังกัดอีกจำนวนหนึ่ง เขาบอกว่า เขาอยู่ได้ การรักษาตัวนั้นค่ายาก็เบิกได้ตามสวัสดิการ ส่วนค่าเดินทางนั้นก็ไม่กระทบแต่อย่างใด เพราะตอนนี้ไปพบแพทย์แค่ปีละสองครั้งเท่านั้น ด้านการทำงาน เขาเข้าไปรายงานตัวเพื่อทำงานที่ต้นสังกัดแค่ครั้งหรือสองครั้งต่ออาทิตย์เท่านั้น ไม่มีปัญหาสำหรับตนเอง
 
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีข่าวออกไป ทำให้มีผู้ต้องการยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ล่าสุดคือโรงเรียนของศาสนาคริสต์แห่งหนึ่งในภาคเหนือโทรศัพท์มาสอบถามหมายเลขบัญชีเพื่อจะโอนเงินมาช่วยเหลือ
 
“ผมปฏิเสธไปครับ เพราะไม่อยากใช้ความเจ็บป่วยของตัวเองเป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์” ส.ต.อ.ธีระพงศ์ กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
 
ส่วนอาการล่าสุด ตำรวจหนุ่ม บอกว่า เวลาเดินยังต้องใช้ไม้ค้ำและต้องใส่รองเท้าที่หมอตัดให้โดยเฉพาะ
 
“ตอนที่โดนระเบิดใหม่ๆ หมอบอกว่า นั่งรถเข็นได้ก็ดีแล้ว แต่ตอนนี้ ดีกว่าที่หมอบอกเยอะเลย เดินกับไม้ค้ำได้ แต่ข้อเท้าขยับไม่ได้ ส่วนสภาพจิตใจตอนนี้ ปกติดี”
 
นี่เป็นน้ำเสียงล่าสุดของตำรวจหนุ่มที่ดูขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับข่าวที่ออกไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเขายืนยันอีกครั้งว่า ไม่ต้องการให้เป็นข่าว และไม่ต้องการความช่วยเหลือจากบุคคลภายนอกแต่อย่างใด
 
“หากไม่มีสื่อ ผมคงไม่มีวันนี้...” ของ‘จ่าตอลา’
 
จ่าตอลา หรือ ด.ต.อับดืออายิ ดือราบู
 
กรณีของ ส.ต.อ.ธีรพงศ์ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับกรณีของ ด.ต.อับดืออายิ ดือราบู อายุ 48 ปี ผบ.หมู่งานปราบปราม สถานีตำรวจภูธร(สภ.)สุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส
 
ด.ต.อับดืออายิ ดือราบู ถูกคนร้ายตามประกบยิงจนกลายเป็นอัมพาตครึ่งตัว เขาถูกสื่อฉบับเดียวกันนำเสนอในประเด็นการเรียกร้องความเป็นธรรมในเรื่องการช่วยเหลือเยียวยา พาดหัวว่า “ด.ต.เหยื่อโจรใต้วอนรัฐอย่าทอดทิ้ง - ภรรยาสุดล้าดูแล 5 ชีวิตแทน” ทางเว็บไซด์เดียวกัน เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2553
 
ด.ต.อับดืออายิ หรือที่รู้จักนาม ‘จ่าตอลา’ เล่าว่า หลังจากสื่อนำเสนอข่าวออกไป เขาก็ได้รับการประสานเรื่องเงินเยียวยาทันที
 
วันรุ่งขึ้น พล.ต.ต.ชัยทัต อินทนูจิตร ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด(ผบก.ภ.)นราธิวาส ได้เดินทางมาเยี่ยมพร้อมด้วย ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร(ผกก.สภ.)ยี่งอ และตำรวจติดตามอีก 9 คันรถ โดยมอบเงินช่วยเหลือให้ 2,000 บาท
 
หลังจากนั้น 3 วัน พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า (ผบ.ศชต./ผบ.ศปก.ตร.สน.) เดินทางเยี่ยมถึงบ้านด้วยเฮลิคอปเตอร์ พร้อมมอบเงินช่วยเหลือ 20,000 บาท
 
หลังจากสื่อนำเสนออกไป 10 วัน ปลัดจังหวัดนราธิวาสได้เดินทางมามอบเงินให้จำนวน 450,000 บาททันที ซึ่งเป็นเงินช่วยเหลือก้อนใหญ่ สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุพลภาพ โดยไม่ต้องลาออกจากราชการตามเงื่อนไขเดิม
 
ก่อนหน้านั้น จ่าตอลา ได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นจากศูนย์เยียวยาจังหวัดนราธิวาส มาแล้ว 50,000 บาท และอีก 200,000 บาท จากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หลังจากได้รับการรักษาอาการบาดเจ็บไป 3 เดือน
 
เขาย้อนถึงเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นกับตัวเองว่า เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2553 ขณะออกเวรจากการปฏิบัติหน้าที่ สภ.สุไหงโก-ลก และเดินทางมุ่งหน้ากลับบ้านพักที่อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส โดยได้ขับขี่รถกระบะส่วนตัว มีภรรยานั่งคู่มาด้วย
 
เมื่อถึงที่เกิดเหตุบนถนนบริเวณหมู่บ้านสายกำปงปีแซ - บ้านกูแบบาเดาะ หมู่ที่ 4 ตำบลลูโบ๊ะบายะ อำเภอยี่งอ มีคนร้าย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบ ก่อนใช้ปืนสั้นยิงใส่ กระสุนถูกบริเวณลำตัวทำรู้สึกชาทั้งตัว เขากัดฟันขับรถยนต์พ้นที่เกิดเหตุมาอีก 500 เมตร กระทั่งมาสลบบริเวณหน้าบ้านพัก
 
จากนั้นชาวบ้านได้นำตัวส่งโรงพยาบาลในเวลาต่อมา และถูกส่งไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (ม.อ.) อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
 
รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ม.อ.ประมาณ 1 เดือน แพทย์วินิจฉัยว่า บาดแผลเข้าแขนขวา ทะลุปอด กระดูกแตกและทับเส้นประสาท กระสุนฝังใน ไม่สามารถผ่าเอากระสุนออกได้ และหากผ่าออกจากอัมพาตทั้งตัว
 
ทุกวันนี้ของ ด.ต.อับดืออายิต้องนั่งอยู่บนรถเข็นดัดแปลงขึ้นเอง พร้อมกับพกปืนสั้นประจำกาย โดยบริเวณหน้าบ้าน มีทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน หรือ ชรบ.และอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน หรือ อรบ.มายืนคุ้มกันรักษาความปลอดภัยให้ตลอดทั้งวันและทั้งคืน โดยการสั่งการของผู้ใหญ่บ้าน
 
เขายอมรับว่า สาเหตุที่ตัวเองถูกตามล่าสังหารนั้น เป็นเพราะการปฏิบัติหน้าที่ ที่ไปกระทบกับการทำงานของขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่ จนต้องส่งชุดปฏิบัติการมาตามเก็บตนในที่สุด แต่ก็ไม่สำเร็จ
 
“ก่อนหน้านั้น 3 - 4 เดือน ตอน 8 โมงเช้ามีคนมาที่หน้าบ้านสองคน ตะโกนเรียกชื่อผม ลูกสาวผมอยู่ในบ้าน แต่ไม่ขานรับ เขาจึงเทเลือดไว้ที่ข้างบ้าน โชคดีที่ตอนนั้นผมอยู่สุไหงโก-ลก ปกติจะกลับถึงบ้าน 8 โมงเช้าทุกวัน แต่วันนั้นกลับมาถึงบ้าน 11 โมง วันนั้นถ้าผมตรงเวลา ผมตายแน่นอน เขาถล่มบ้านผมแน่ หลังจากนั้นผมก็ระวังตัวมากขึ้น แต่ก็พลาดจนได้”
 
หลังจากรักษาตัวนานนับเดือน เขาก็เริ่มยอมรับกับการสูญเสียการเคลื่อนไหวของอวัยวะเบื้องล่างทุกส่วน แต่ก็ยังพยายามทำกายภาพบำบัดอยู่เสมอ สัญญาณที่ดีคือขาทั้งสองข้างไม่ลีบเล็กเหมือนคนอื่นๆ ที่เป็นอัมพาต อาจเป็นเพราะกระสุนที่ยังทับเส้นประสาทค้างอยู่ที่บริเวณกระดูกสันหลัง
 
แพทย์บอกว่า ต้องรอให้มันเคลื่อนที่เอง จึงจะผ่าตัดออกได้ หากยังสงบนิ่งอยู่ก็ไม่อาจผ่าตัดได้ เพราะเสี่ยงสูงที่จะทำให้อัมพาตทั้งตัว
 
ตอนนี้สภาพจิตใจของ ดต.อับดืออายิดีขึ้นมาก อาจเป็นเพราะได้รับการดูแลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้บังคับบัญชาเป็นอย่างดี
 
แต่เขาก็บอกว่า “ทั้งหมดนี้ต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนที่นำเสนอเรื่องราวออกไป”
 
“ถ้าไม่ได้สื่อ ผมไม่มั่นใจว่าจะได้รับการดูแลอย่างนี้หรือเปล่า ก่อนหน้านั้น เจ้าหน้าที่ศูนย์เยียวยาบอกผมว่า หากจะรับเงินก้อนสำหรับผู้ทุพลภาพ ผมต้องลาออกจากราชการเสียก่อน ผมรับเงื่อนไขนั้นไม่ได้”
 
“ผมเป็นตำรวจมาทั้งชีวิต อยู่ๆ จะทิ้งผมไปโดยไม่สนใจ ผมรับไม่ได้ แต่ก็รู้มาว่า หลังจากสื่อออกข่าวไป ทาง ผอ.ศอ.บต.(ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) ได้แจ้งมายังศูนย์เยียวยาจังหวัด บอกว่าให้เงินเยียวยาไปเลย ไม่ต้องให้ลาออก ผมขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้”
 
ดต.อับดืออายิ บอกว่า ถึงตอนนี้ ตนเองสบายใจแล้ว สภาพจิตใจที่ดีขึ้น เพราะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากภาครัฐ โดยเฉพาะต้นสังกัดที่ไม่ทอดทิ้ง มีเงินเดือน 18,000 บาท เบี้ยเสี่ยงภัยเดือนละ 2,500 บาท แม้จะถูกตัดเบี้ยเลี้ยงรายวันออกไป ก็ยังถือว่าสมเหตุสมผล
 
ส่วนลูกๆ ทั้ง 4 คนก็มีอนาคตรองรับ เพราะได้รับเงินทุนการศึกษาทั้งรายเดือนและรายปีจนเรียนจบปริญญาตรี โดยผบ.ศชต.ยังบอกว่า ยังจะมีเงินจากสมาคมแม่บ้านตำรวจ จากมูลนิธิสายใจไทย และกองทุนสงเคราะห์ปฏิบัติการพิเศษตามมาอีก
 
“เรื่องแบบนี้เราก็ไม่อยากให้เกิด แต่ถ้าเกิดแล้วก็ต้องทำใจ เราทุ่มเทเสียสละให้ราชการมาทั้งชีวิต พอเราต้องบาดเจ็บและสูญเสีย เขาก็ต้องมาช่วยเรา ผมไม่คิดเสียใจที่โดนแบบนี้ เพราะเราก็ทำเต็มที่แล้ว ไม่มีใครอยากให้ผลออกมาแบบนี้ ผมยังหวังว่าสักวันหนึ่งผมจะหายปกติ และจะออกไปสู้ต่อ”
 
“ตอนนี้ก็ขอให้เพื่อนตำรวจด้วยกันระมัดระวังตัว เงินเยียวยาไม่คุ้มค่าหรอก ไม่มีอะไรมาทดแทนสิ่งที่เราสูญเสียได้ ตอนนี้ที่ผมทำใจได้ คือยอมรับกับสิ่งที่เป็นอยู่” ด.ต.อับดืออายิ กล่าวก่อนจะสำทับทิ้งท้ายอีกครั้งว่า
 
“หากไม่มีสื่อ ผมคงไม่มีวันนี้...”
 
 
4 ปีที่ยังไม่หายเจ็บของพ.ต.ท.วรรณะ บุญชัย
 
พ.ต.ท.วรรณะ บุญชัย ต้องนอนพักรักษาตัวมาเป็นเวลาเกือบ 4 ปีแล้ว หลังจากถูกกลุ่มก่อความไม่สงบลอบยิงในพื้นที่จังหวัดยะลา โดยมีนางสุวรรณี ผู้เป็นดูแล
 
บ้านเลขที่ 40 ที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้หลังนี้ มักมีผู้คนมากหน้าหลายตา เดินทางมาเยี่ยมเยือนอยู่บ่อย แต่ละคนมักเห็นชายชรายืนกวาดขยะบ้าง ตัดแต่งกิ่งไม้หน้าบ้านบ้าง แต่เป้าหมายของผู้มาเยือนไม่ใช่คนนี้ ทว่าเป็นหนุ่มใหญ่วัยกลางคนที่นั่งๆนอนๆ อยู่บนเตียงรูปทรงแปลกตาที่ระเบียงบ้าน
 
มาเยือนของแขกผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจบารมี มักมีข่าวนำเสนอทางสื่อมวลชนทุกครั้ง และมาพร้อมกับการช่วยเหลือดูแลอย่างคนพิเศษ นอกเหนือจากสิทธิที่ต้องได้รับอย่างปกติและไม่ขาดสาย
 
บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในซอย แถบชานเมืองตรัง พื้นที่หมู่ที่ 8 บ้านโคกหล่อ ตำบลโคกหล่อ อำเภอเมือง ซึ่งเป็นบ้านของนายผิน กับนางสุวรรณี บุญชัย สองผัวเมียวัยเกิน 70 ปี ส่วนหนุ่มใหญ่ที่ว่า คือ พ.ต.ท.วรรณะ บุญชัย บุตรชายที่ทั้งสองคนต้องช่วยกันดูแลตลอดทั้งวันทั้งคืน เพราะยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
 
เช่นเดียวกับลูกสาวอีก 2 คนที่ต้องสลับสับเปลี่ยนกันช่วยเหลือดูแลพี่ชาย ที่ยังอยู่ระหว่างรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ไม่สงบในดินแดนไกลบ้านถึงเกือบ 300 กิโลเมตร
 
พ.ต.ท.วรรณะ บุญชัย คือหนุ่มใหญ่คนนั้น เป็นผู้มีตำแหน่งรองผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดน(ผกก.ตชด.)ที่ 44 ค่ายพญาลิไท จังหวัดยะลา ถูกกลุ่มก่อความไม่สงบซุ่มยิงตอนเทียงวันที่ 1 กุมภาพันธุ์ 2550 กระสุนนัดเดียวตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ส่งไปเลี้ยงสมอง อาการสาหัส แต่สุดท้ายก็พ้นขีดอันตรายมาได้
 
พ.ต.ท.วรรณะ ต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (ม.อ.) อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาอยู่นาน 3 เดือน จึงกลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน ด้วยสภาพที่แขนขาไม่มีเรี่ยวแรง จะขยับตัวซักทีก็ต้องมีคนอื่นคอยช่วยเหลือ จะนั่ง จะนอน ก็ต้องมีคนช่วยประคองทุกครั้ง
 
คนที่ต้องดูแลใกล้ชิดที่สุด ก็คือนางสุวรรณี ผู้เป็นแม่ ที่นอกจากตั้งคอยช่วยประคองแล้ว ยังต้องช่วยเช็ดหน้า เช็ดตา บีบนวด หรือย้ายเตียง เพราะกลางคืนต้องตอนบนเตียงในบ้าน พอเช้ามาก็ย้ายออกมานอนบนเตียงนอกบ้าน ซึ่งเป็นเตียงที่ถูกออกแบบเฉพาะ ให้คนป่วยสามารถออกกำลังแขนขาได้ ซึ่งนางสุวรรณี บอกว่า ทางเน็คเท็ค(NECTEC) หรือ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ทำมาให้โดยเฉพาะ
 
แม้นางสุวรรณี ต้องอยู่ใกล้ชิดอยู่ตลอด เพราะพ.ต.ท.วรรณะร้องเรียกหาอยู่ตลอด แต่ก็ยังมีน้องสาวของพ.ต.ท.วรรณะอีก 2 คน คือนางสาวสงบ บุญชัย อายุ 48 ปี กับนางสาวผ่องศรี บุญชัย อายุ 46 ปี มาสลับกันช่วย ส่วนเวลาที่เหลือก็คือเข้าครัวการทำกับข้าวกับออกไปซื้อของใช้ในบ้าน
 
ส่วนพ่อผินก็ชราภาพมากเกินกว่าที่จะมาช่วยคนอื่นได้ ขณะที่น้องอีก 2 คน ไม่ได้อาศัยอยู่ด้วยกัน
 
เวลาผ่านไปเกือบ 4 ปีแล้ว อาการบาดเจ็บค่อยๆดีขึ้น ซึ่งพ.ต.ท.วรรณะ บอกว่า เพิ่งเดินเองได้มา 1 ปีแล้ว แต่ต้องใช้ไม้เท้าและต้องค่อยๆ เดิน แต่ยังเจ็บแขนซ้ายอยู่ ตั้งแต่ต้นแขนลงไป เจ็บมาก เจ็บตลอด บางวันเจ็บมาก บางวันเจ็บน้อย
 
“หมอบอกว่า อาการเจ็บแขนเกิดจากสมองที่ถูกกระทบกระเทือน และยังต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล ม.อ.ทุกครั้งตามนัด ซึ่งทุกครั้งเมื่อถึงเวลานัดจะมีเฮลิคอปเตอร์มารับตัวไป นัดต่อไปเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งค่ารักษาทั้งหมดรัฐดูแล” นางสุวรรณี กล่าวเสริมด้วยสีหน้าเศร้า พร้อมเอาฝามือลูปหน้าปาดเหงื่อไปด้วย
 
แม้ต้องเดินทางไปหามอตามนักทุกครั้ง แต่ก็ยังต้องรักษาด้วยหมอพื้นบ้านด้วย ด้วยการให้หมอนวดพื้นบ้านมานวดแขนของพ.ต.ท.วรรณะทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ด้วย ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 11 โมง
 
นางสุวรรณี บอกว่า “เราต้องเดินทางไปรับไปส่งหมอนวดเอง จากอำเภอย่านตาขาว และต้องจ่ายค่าหมอวันละ 300 ถึง 500 บาท”
 
พ.ต.ท.วรรณะ บอกว่า ทุกวันนี้ไม่ได้กังวลอะไรแล้ว เพียงแต้ต้องการให้หายเจ็บเท่านั้น
 
“เรื่องตำแหน่งหน้าที่นั้นยังเหมือนเดิม ยังได้เงินเดือนตามปกติ และเงินช่วยเหลือเยียวยาอีกเดือนประมาณ 10,000 บาท แต่ต้องทำเรื่องลาพักรักษาตัวครั้งละ 3 เดือน”
 
พ.ต.ท.วรรณะ อายุ 49 ปี เป็นลูกชายคนโต จากจำนวนพี่น้องทั้งหมด 5 คน โดยมีลูก 2 คน คนโตเป็นสาวกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 คนรองเป็นลูกชายกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 คน ส่วนภรรยาเป็นข้าราชการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
 
ทุกวันนี้ พ.ต.ท.วรรณะ ต้องอยู่อาศัยที่บ้านของพ่อแม่ ส่วนบ้านหลังใหญ่ของตัวเองที่อยู่ไม่ไกล เพิ่งสร้างเสร็จไม่นานก่อนถูกยิง ก็มีเพียงลูกทั้ง 2 คน ที่ใช้เป็นที่หลับนอน
 
นางสาวสงบ น้องสาวคนรอง บอกว่า เดิมตนเองมีอาชีพขายขนมจีนในตลาด เมื่อพี่ชายบาดเจ็บ ก็ต้องหยุดขายเพื่อมาช่วยแม่ดูแลพี่ชาย จึงทำให้ไม่มีรายได้เข้ามา เงินที่ใช้จ่ายในบ้านจึงเอามาจากเงินเก็บของครอบครัว ส่วนพ่อกับแม่ได้เพียงเงินผู้สูงอายุคนละ 500 บาทต่อเดือน
 
แม้น้องสาวทั้ง 2 คน ยังไม่มีครอบครัวของตัวเองให้เป็นภาระ แต่ก็พร้อมใจที่ช่วยเหลือพ่อแม่และพี่ชายของตัวเองอย่างเต็มที่
 
ทุกวันนี้แขกผู้มาเยือนก็มักได้ลิ้มรสขนมเจาะหูแสนอร่อยฝีมือของสองสาวทุกครั้ง บวกกับกำลังใจและกายที่ดีขึ้นเป็นลำดับของพี่ชาย
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ทหารพม่าในรัฐฉานฉุดขืนใจหญิงวัย 16 พ่อ-แม่ขวางถูกยิงดับ

Posted: 27 Nov 2010 08:32 PM PST

 
มีรายงานจากแหล่งข่าวว่า เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา เกิดเหตุมีทหารพม่าคนหนึ่งในพื้นที่เมืองลางเครือ รัฐฉานภาคใต้ บุกเข้าไปฉุดข่มขืนหญิงสาวชาวไทใหญ่ อายุ 16 ปี คนหนึ่งถึงภายในบ้านอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่พ่อและแม่ของเหยื่อถูกยิงเสียชีวิตทั้งคู่ หลังพยายามเข้าขัดขวางปกป้องบุตรสาว เหตุเกิดที่หมู่บ้านห้วยสิ่ม ตำบลหนองหลวง อยู่ห่างจากตัวอำเภอเมืองลางเครือประมาณ 3 กม.
 
ทหารพม่าที่ก่อเหตุทราบภายหลังว่าเป็นพลทหารอยู่ในกองพันทหาราบเบาที่ 578 ประจำบ้านน้ำอุ่น สังกัดบก.ควบคุมยุทธการที่ 17 ประจำเมืองปั่น ก่อนเกิดเหตุทหารพม่าคนดังกล่าวซึ่งมีอาวุธปืนอยู่ในมือได้บุกเข้าไปในบ้านของน.ส.หล้า (นามสมมติ) อายุ 16 ปี ซึ่งกำลังอยู่กับพ่อและแม่ โดยเขาได้พยายามฉุดหญิงสาวคนดังกล่าว แต่ผู้เป็นพ่อและแม่ได้เข้าขัดขวาง จากนั้นเขาจึงได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่ทั้งสองอย่างเหี้ยมโหดจนเสียชีวิตคาที่ทั้งคู่
 
แหล่งข่าวเผยว่า หลังผู้เป็นพ่อและแม่ถูกยิงเสียชีวิต ทหารพม่าคนนั้นก็ยังไม่ลดละความพยายาม โดยเขาได้ฉุดลากน.ส.หล้า เข้าไปป่าและกระทำการบังคับข่มขืน กระทั่งรุ่งเช้าขณะที่เขากำลังหลับอยู่ น.ส.หล้า ได้หนีออกมาไปร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บ้าน โดยผู้ใหญ่บ้านและเพื่อนบ้านได้นำตัวไปส่งรักษาที่โรงพยาบาลในตัวเมือง พร้อมกับไปแจ้งความต่อผู้บังคับบัญชาของทหารที่ก่อเหตุ
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุทางผู้บังคับบัญชาได้ร้องขอไม่ให้เปิดเผยเรื่อง โดยอ้างว่าทหารที่ก่อเหตุมีสติไม่สมประกอบ ซึ่งได้ลงโทษขั้นประหารชีวิตแล้ว ขณะที่ พล.จ.ติ้นส่วย ผู้บังคับบัญชากองควบคุมยุทธการที่ 17 ซึ่งทราบเรื่องได้เสนอจ่ายค่าชดใช้เป็นมีเงินจำนวน 2 แสนจั๊ต (ราว 7,000 บาท) แก่น.ส.หล้า พร้อมกับขอไม่ให้เปิดเผยเรื่องเช่นเดียวกัน
 
ทั้งนี้ ในรัฐฉานปัจจุบันยังคงเกิดเหตุการทารุณกรรมทางเพศจากทหารพม่าอยู่อย่างต่อเนื่อง หลังจากเมื่อปี 2545 มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ SHRF (Shan Human Rights Foundation) และ กลุ่มเครือข่ายปฏิบัติงานเพื่อสตรีไทใหญ่ SWAN (Shan Woman's Action Network) ได้ร่วมกันเปิดตัวรายงาน "ใบอนุญาติข่มขืน" จากบันทึกเหตุทหารพม่าทารุณกรรมทางเพศเด็กและสตรีในรัฐฉาน ระหว่างปี 2539-2544 ซึ่งมีถึง 173 เหตุการณ์ มีสตรีตกเป็นเหยื่อ 625 คน ทั้งหมดถูกทารุณกรรมทางเพศโดยทหารพม่าทั้งระดับประทวนและชั้นสัญญาบัตร
 
ที่มา - อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/
 
 
--------------------------------
"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

มุกดาหาร:ส่งผู้ต้องขังเสื้อแดงเข้าจิตเวช

Posted: 27 Nov 2010 03:32 PM PST

 

สืบเนื่องจากกรณีนายวินัย ปิ่นศิลปชัย ผู้ต้องขังเสื้อแดงคดีบุกรุกสถานที่ราชการและร่วมกันวางเพลิงเผาศาลากลางมุกดาหารดื่มน้ำยาปรับผ้านุ่มในเรือนจำต่อหน้าภรรยาหวังฆ่าตัวตาย จนต้องหามส่งไอซียู เมื่อ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา

หลังจากพ้นขีดอันตราย และออกมาพักฟื้นที่แผนกอายุรกรรมชายเมื่อเย็นวันเดียวกันแล้ว   ในช่วงสายของวันรุ่งขึ้น แพทย์แผนกจิตเวชประจำโรงพยาบาลมุกดาหาร ได้มาพูดคุยซักถามนายวินัย ซึ่งตลอดทั้งคืนที่ผ่านมามีอาการปวดหัวและท้ายทอยอย่างแรง แพทย์ใช้เวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นลงความเห็นว่าผู้ต้องหามีอาการของโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง มีโอกาสเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง อีกทั้งมีประวัติในการพยายามฆ่าตัวตายมาแล้วถึง 3 ครั้ง โดยการกินแก้ปวดจำนวน 1 กำมือ (ประมาณ 30 เม็ด) ใช้มีดกรีดคอและแขน จนกระทั่งครั้งสุดท้าย กินน้ำยาปรับผ้านุ่ม แพทย์จึงได้ทำหนังสือส่งตัวผู้ป่วยไปรับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลจิตเวชนครพนม
 
ล่าสุด ในวันนี้(27 พ.ย.) นางอำนวย ปิ่นศิลปชัย ภรรยา เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า วินัยยังมีอาการมึนศีรษะ และในบางครั้งตอบสนองต่อการพูดคุยช้า ซึ่งผิดจากบุคลิกลักษณะที่เคยเป็น ทาง รพ.มุกดาหารให้สามีของเธอ พักฟื้นจนถึงวันจันทร์(29 พ.ย.) จากนั้นกระบวนการต่อไปเท่าที่เธอได้พูดคุยกับผู้คุมเรือนจำที่มาเฝ้าผู้ต้องหาที่โรงพยาบาล ก็คือ วินัยจะต้องถูกส่งตัวกลับเข้าเรือนจำมุกดาหาร เพื่อรอจนกว่าทางเรือนจำจะพร้อมส่งตัวไปเรือนจำกลางจังหวัดนครพนม เรือนจำนครพนมเองก็อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะส่งตัววินัยไปให้ รพ.จิตเวชนครพนม เพื่อรักษาต่อตามที่แพทย์มีใบส่งตัว ซึ่งก็หมายความว่าสามีเธอจะต้องกลับเข้าไปอยู่ในเรือนจำอีกระยะหนึ่ง และอาจจะพยายามฆ่าตัวตายอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้น ในวันจันทร์นี้ ครอบครัวของเธอจะยื่นขอประกันตัววินัยต่อศาลจังหวัดมุกดาหาร เพื่อที่ครอบครัวจะได้ส่งเขาไปรักษาตัวที่นครพนมในทันที  ตัววินัยจะได้อยู่ในความดูแลของจิตแพทย์และครอบครัวตลอดเวลา ไม่ให้เขามีโอกาสพยายามฆ่าตัวตายอีก   เธอหวังว่าศาลจะเมตตาปล่อยตัวชั่วคราวสามีของเธอ
 
ส่วนนายวิจารย์ ปิ่นศิลปชัย ผู้เป็นพ่อ กล่าวว่า “ไม่อยากให้เข้าเรือนจำ อยากให้ประกันตัวได้ด่วนเลย จะได้มาอยู่ข้างนอก ได้ช่วยกันดูแลรักษา ถ้าไปอยู่ข้างในมันโดดเดี่ยว กลัวจะมีอันตรายอีก ถ้าลูกผมเป็นอะไรไปใครจะรับผิดชอบ เรือนจำหรือรัฐบาล   เขามีอาการเครียดจนถึงขั้นเชือดคอ แล้วก็มากินยาอย่างนี้ ถ้ายังไม่ให้ประกันอีก ผมก็คิดว่า มันเป็นธงมาจากรัฐบาลหรือเปล่าที่ไม่ให้ศาลให้ประกันตัวผู้ต้องหาคดีนี้ เราเป็นประชาชนเต็มขั้น มันต้องมีสิทธิที่จะได้ประกันตัว ไม่ใช่มากักขังหน่วงเหนี่ยวกันอย่างนี้ และเราก็ยังไม่ผิด เพราะเรายังเป็นผู้ต้องหา ศาลยังไม่ได้ตัดสินว่าผิดเลย”

 

ผู้สื่อข่าวถามความรู้สึกของเจมส์ ลูกชายวัย 11 ขวบของวินัย เขาบอกด้วยเสียงเครือๆ ว่า “อยากให้พ่อออกมาไวๆ มาอยู่กับผมกับน้องครับ แบบให้ประกันตัวมาสู้คดีก็ได้ ผมพูดกับพ่อว่า ผมรักพ่อครับ ไม่ว่าพ่อจะเป็นยังไงผมก็ยังรักพ่อเหมือนเดิมครับ”
 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น