โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ชาวแม่อายร้องโดน "ขึ้นบัญชีแดง" ในระบบทะเบียนราษฎร์จนต้องพิสูจน์สัญชาติใหม่

Posted: 31 May 2018 09:32 AM PDT

วิบากกรรมชาวแม่อายถูกอำเภอถอนสัญชาติยังไม่จบ แม้ชนะคดีศาลปกครองสูงสุดจนได้คืนสัญชาติเมื่อปี 2548 แต่ล่าสุดชาวบ้าน 154 รายร้องเรียนว่ายังถูกอำเภอ "ขึ้นบัญชีแดง" ออกหนังสือว่าเป็นบุคคลเฝ้าระวัง ต้องไปติดต่อขอพิสูจน์ตัวตน-จะได้ยกเลิกรายการแจ้งเตือนในสารบบ ชาวบ้านเผยลูกสาวทำงานกรุงเทพฯ ไปต่ออายุบัตรประชาชน กลับถูกสำนักงานเขตแจ้งว่าโดน "ขึ้นบัญชีแดง" ต้องเสียเวลากลับมาทำเรื่องถึงแม่อาย ด้านนักกฎหมายชี้การออกหนังสือและขึ้นบัญชีแดงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เรียกร้องกรมการปกครองยกเลิกวิธีปฏิบัติดังกล่าว

ชาวบ้าน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เดินทางมาที่ศาลปกครอง จ.เชียงใหม่ เมื่อ 8 กันยายน 2548 รอฟังคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีที่ชาวบ้าน อ.แม่อาย ฟ้องกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และนายอำเภอแม่อาย ที่จำหน่ายชื่อชาวบ้าน 1,243 คน ออกจากทะเบียนบ้าน ก่อนที่ศาลปกครองสูงสุด ตัดสินว่าประกาศดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้ชาวบ้านได้สัญชาติไทยคืน แต่ล่าสุดยังมีกรณีชาวบ้านถูก "ขึ้นบัญชีแดง" ต้องเสียเวลากลับมาพิสูจน์ตัวตนที่อำเภอ ด้านกฎหมายชี้วิธีปฏิบัติของราชการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เรียกร้องกรมการปกครองเลิกวิธีดังกล่าว (ที่มา: พันทิพ/แฟ้มภาพ)

31 พ.ค. 2561 จากกรณีเมื่อปี 2545 ชาวบ้านแม่อาย โดย น.ส.ผ่องศรี อินหลู่และพวก ได้ยื่นฟ้องกรมการปกครอง จังหวัดเชียงใหม่ และนายอำเภอแม่อาย ที่ออกคำสั่งในการจำหน่ายรายการบุคคลชาวบ้านแม่อาย จำนวน 1,243 คน ออกจากรายการทะเบียนบ้านคนมีสัญชาติไทย โดยมีประกาศในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2545 ทำให้ชาวบ้านทั้งหมดกลายเป็นคนไร้สัญชาติ ต่อมาศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2548 ว่าคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้ชาวบ้านแม่อายทั้ง 1,243 คนได้รับเอกสารและรายการเป็นคนมีสัญชาติไทยเช่นเดิม

ต่อมานางสุ ดวงใจ อายุ 54 ปีชาวบ้านแม่อายเปิดเผยว่า ตนและครอบครัวเป็นชาวบ้านแม่อายที่เคยถูกสำนักทะเบียนแม่อายจำหน่ายชื่อออกจากการมีสัญชาติไทย แต่ได้กลับคืนมาตั้งแต่ปี 2548 เมื่อไม่นานมานี้ลูกสาวของตนที่ไปทำงานที่กรุงเทพ ไปติดต่อขอต่อบัตรประจำตัวประชาชนซึ่งหมดอายุ ทางสำนักงานเขตแจ้งว่า โดนขึ้นบัญชีแดงในระบบฐานข้อมูล (Caution Sign) ให้ไปติดต่อกับทางสำนักทะเบียนอำเภอแม่อาย ทำให้ต้องเสียเวลาเดินทางกลับมาและหาพยานไปยืนยันตนเอง ทั้งที่เดิมสามารถต่อบัตรประจำตัวประชาชนที่ไหนก็ได้ โดยไม่ต้องมีพยาน เพราะในรายการมีรูปถ่ายยืนยันตนอยู่แล้ว

นางสุกล่าวว่า ทางอำเภอแม่อายได้มีหนังสือถึงชาวบ้านแม่อาย 154 คน ซึ่งลูกของตน 3 คนก็ได้รับหนังสือด้วย ในหนังสือบอกให้นำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ต่อเจ้าพนักงานอำเภอแม่อาย เพื่อยืนยันตัวบุคคล หากยืนยันได้จึงยกเลิกการแจ้งเตือนในโปรแกรมของกรมการปกครอง ซึ่งทำให้ตนและลูกๆ มีความกังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากตนและลูกๆ รวมไปถึงบรรพบุรุษเป็นคนไทยที่เกิดและทำมาหากินในอำเภอแม่อายตลอดมา ไม่เคยทำเรื่องผิดกฎหมาย แต่ต้องมาโดนขึ้นบัญชีแดง เมื่อไปติดต่อกับทางอำเภอก็ไม่สามารถใช้สิทธิอย่างคนไทยสมบูรณ์ได้

นายสุรพงษ์ กองจันทึก อดีตประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ ซึ่งให้ความช่วยเหลือชาวบ้านแม่อายในการฟ้องศาลปกครองตั้งแต่ปี 2545 กล่าวว่า ชาวบ้านแม่อายกลุ่มนี้มีทั้งสิ้น 1,243 คน ศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้คงมีสัญชาติไทย เนื่องจากคำสั่งของอำเภอแม่อายสมัยนั้นในการจำหน่ายรายการชาวบ้านออกจากรายการสัญชาติไทย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง มาตรา 30 ที่ต้องเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้ทราบข้อเท็จจริงและโต้แย้งแสดงหลักฐานก่อน ต่อมาได้มีการแก้ไขกฎหมายการทะเบียนราษฎรในปี 2551 ได้เพิ่มเติมแก้ไขอย่างชัดเจนว่า กรณีที่มีข้อมูลหลักฐานเชื่อได้ว่ารายการทะเบียนราษฎรไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือผิดจากความเป็นจริง ให้อำนาจนายทะเบียนสั่งระงับความเคลื่อนไหวทางทะเบียนไว้ก่อน เพื่อรอการชี้แจงหรือโต้แย้ง

สุรพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีนี้ทางกรมการปกครองขึ้นบัญชีแดง ชาวบ้านแม่อาย 154 คนเป็นบุคคลเฝ้าระวัง โดยยังไม่มีข้อมูลหลักฐานว่าเป็นผู้กระทำผิด เป็นการกระทำที่ไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอเรียกร้องให้กรมการปกครองยกเลิกบัญชีแดงเฝ้าระวังในระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรในทันที และให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร คือ ถ้ามีหลักฐานชัดเจนว่าชาวบ้านคนใดมีรายการโดยมิชอบหรือผิดจากความเป็นจริง ก็ให้ระงับความเคลื่อนไหวทางทะเบียน และแจ้งเหตุที่มิชอบหรือผิดจากความจริงให้ชาวบ้านมาชี้แจงหรือโต้แย้งต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: คำขอโทษพันคอ

Posted: 31 May 2018 08:32 AM PDT



นักสิทธิมนุษยชนควรปรบมือชื่นชมลุงตู่ลุงป้อม ขอโทษแทนตำรวจกองปราบฯ ที่บุกจับอดีตพระพุทธะอิสระ แบบกระทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ ทั้งที่เป็นเขตวัด ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งเสียความรู้สึก

แหม่ ลูกศิษย์ชี้แจงว่า ท่านกำลังเข้าฌานระดับลึก ขนาดเกวียน 500 เล่มผ่านไปยังไม่รู้สึกตัว พอตำรวจมาเคาะประตู เลยไม่ได้ขานตอบ ตำรวจก็ไม่รอสักนิด ทุบประตู 2 ชั้น กระโชกโฮกฮากตวาดลั่น ทั้งที่ท่านเป็นพระ ทำยังกะบุกจับหัวหน้าอั้งยี่ซ่องโจร สั่งสมุนซ้อมคน พาลูกน้องไปกรรโชกทรัพย์

อันที่จริงไม่ว่าจะจับใคร ข้อหาอะไร ถ้าไม่ต่อสู้ขัดขืน ตำรวจควรพาคุณละม่อมไปด้วย แม้กรณีนี้ฟังตำรวจชี้แจงก็มีเหตุผล ที่เคยเห็นท่านมีการ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง เป็นถึงราชสีห์ ตั้งหัวกรวยศักดิ์สิทธิ์ปิดถนน ปิดศูนย์ราชการ ภาพอดีตยังฝังจำ จึงต้องใช้กำลังจู่โจม

แต่เมื่อคลิปเผยแพร่ออกไป ทำให้สื่อ นักการเมือง และประชาชน ที่เคยร่วมอุดมการณ์ปิดถนน ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ขัดขวางเลือกตั้ง บีบคอคนไปเลือกตั้ง ไชโยโห่ร้องที่มือปืนป๊อปคอร์นยิงคนแก่ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามฯลฯ โวยวายว่าตำรวจ "ละเมิดสิทธิมนุษยชน"

ก็น่าชื่นชมที่ 2 ผู้นำออกมาขอโทษ เป็นเรื่องดีงามใน สามโลก ไม่เคยพบเคยเห็น ผู้นำรัฐบาลทหารขอโทษแทนตำรวจละเมิดสิทธิมนุษยชน

แต่ก็น่าสงสาร ขอโทษแล้วกลับขว้างไม่พ้นคอ สังคมตั้งคำถาม สี่ปีที่ผ่านมา มีคนโดนละเมิดสิทธิมนุษยชนมากมาย ทำไมไม่ยักมีใครขอโทษ ว่ากล่าวตักเตือนเจ้าหน้าที่ บางคนโดนแบบเดียวกันนี้ อย่าง บ.ก.ลายจุด บางคนโดนหนักกว่านี้ อย่างทีมทำเพจเรารักพลเอกประยุทธ์ ทหารบุกบ้านทั้งที่ไม่มีหมายค้นหมายจับ เอาตัวไปกักในค่าย 7 วัน เมื่อ 3 ปีก่อน รังสิมันต์ โรม ก็โวยว่าถูกซ้อม ผู้ต้องหาที่ถูกโยงคดีระเบิดหน้าศาลอาญาก็โวยว่าถูกไฟฟ้าจี้ ฯลฯ

เอกชัย หงส์กังวาน, โชคชัย ไพบูลย์รัชตะ แค่จะไปสีซอหน้าบ้านวันเกิดลุงป้อม ก็ถูกตำรวจอุ้มขึ้นรถ ใช้เข่ากด เอาผ้าคลุมหน้า ทั้งที่ไม่มีหมายจับ แทนที่จะขอโทษ ท่านกลับว่ารบกวนคนอื่น

หรือกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ขอเดินโดยสงบไปอ่านคำแถลง 4 ปี คสช. กลับเอาตำรวจ 3 พันนายมาสกัด จับกุม ตั้งข้อหารุนแรงเกินกว่าเหตุ แล้วยังไปว่าเขาก่อมลพิษ

สังคมก็เลยตั้งคำถาม เพราะพวกที่โวยเป็นกองหนุนสุดจิตสุดใจใช่หรือไม่ เพราะ กปปส. พุทธะอิสระ ชัตดาวน์ขัดขวางเลือกตั้งจนเกิดรัฐประหารใช่หรือไม่ เพราะหลายคนก็พร่ำพรรณนา ไม่มีคุณงามความดีของราชสีห์แจ้งวัฒนะ ก็ไม่มี วันนี้ (4 ปีแล้วนะ)

แถมยังมีคนขุดภาพพิธีปลุกเสก เจิมหน้า มาแชร์ว่อนเน็ต ทำ 3 ป.ร้อนตัวชี้แจงพัลวัน ไม่เคยซี้กัน เห็นแก่ผ้าเหลือง เชิญมาก็ไป เป็นแค่พิธีปลุกเสกพระ ซึ่งพุทธะอิสระคิดว่าเชิญ 4 ผบ.ทบ. แล้วจะ "ขลัง"

คำขอโทษนอกจากถูกตั้งข้อกังขา ยังมีผลให้มิตรร่วมนกหวีดของ ข.ช.สุวิทย์ฮึกเหิม ได้ใจ รุกไล่ เช่นคุณหมอเหรียญทองผู้ประกาศว่าควายไม่มารักษาก็รวยได้ จี้ให้ใช้ ม.44 ปลด ผบ.ตร. ขณะที่หลายคนก็ให้เอาผิดตำรวจ

คำถามคือกระแสสังคมคิดอย่างไร กับพุทธ(ไม่)อิสระ เข้าใจตรงกันนะ สังคมไทยไม่ได้ตระหนักเรื่องสิทธิมนุษยชนซักเท่าไหร่ เพราะถูกทำลายไปเยอะแล้ว (ใครทำลายล่ะ ทักษิณมั้ง)

ขณะที่เรื่องทำกับพระ เขตวัด เหย! ก็เพิ่งใช้ ม.44 กับธรรมกาย เมื่อมีสาวกฆ่าตัวตาย ไม่รู้ฝ่ายไหนกดไลก์เย้ยหยันกันสนั่น

พุทธะอิสระยังเป็นพระไหม ว่าตามหลักการ ศาลยกฟ้องก็กลับมาบวชได้ แต่เอาไปเทียบพระพิมลธรรมยุคสฤษดิ์ ไม่อายเลยหรือไง ความรู้สึกคนไทย พระต้องอยู่วัดปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ตั้งหัวกรวยปิดถนนปิดศูนย์ราชการ คนผ่านไปมาทั้งชาวบ้าน ทหาร ตำรวจ โดนซ้อมปางตาย

ฉะนั้นเข้าใจตรงกันนะ ในอารมณ์สังคมทั่วไป ที่ไม่ใช่พวกชัตดาวน์ เมื่อเห็นพุทธะอิสระโดนเสียบ้าง ก็รู้สึกว่า "สมควร" แม้อาจเห็นว่าตำรวจกระโชกโฮกฮาก ก็ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่พอเห็นผู้นำขอโทษ เห็นสาวกได้ใจ จะรู้สึกอย่างไร (นี่ยังไม่พูดถึงข้อหาปลอมแปลงพระปรมาภิไธย)

อย่าลืมสิ อาการรัฐบาลวันนี้อยู่ในขั้นไหน เพจเชียร์ท่านผู้นำแท้ๆ ขอล้านไลก์ให้อยู่ต่อ โหวต 5 แสนยังมีคนไม่เห็นด้วย 90% ไม่เห็นพวกกองหนุนเข้าไปช่วยโหวตกันมั่งเลย

 

 

ที่มา: www.khaosod.co.th/politics/news_1153291

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลอุทธรณ์ตัดสิน ‘อภิชาติ’ ชุมนุมต้านรัฐประหารมีความผิด อ้าง ICCPR ไม่ได้

Posted: 31 May 2018 05:39 AM PDT


แฟ้มภาพ

"ไม่ยอมรับอำนาจเถื่อน"

คือข้อความที่อภิชาติ พงษ์สวัสดิ์ นักกฎหมายที่ทำงานอยู่กับคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ปริ๊นท์ใส่กระดาษ A4 จากที่ทำงานเอาใส่กระเป๋ามาร่วมประท้วงกับประชาชนคนอื่นๆ ที่นัดหมายกันกว้างๆ ทางโซเชียลมีเดียว่าจะมาต่อต้าน คสช. 1 วันหลังคสช.ยึดอำนาจ (23 พ.ค.2557)

บรรยากาศที่เกิดขึ้นเองจากมวลชนไร้การจัดตั้ง การจับกุมที่ชุลมุนวุ่นวาย สามารถดูได้ในคลิปวิดีโอนี้

ในวันนั้นเจ้าหน้าที่จับกุมคนประท้วงไป 5 คนเพื่อคุมตัวในค่ายทหารแห่งไหนไม่มีใครทราบแน่ชัด ในจำนวนนั้นมีอภิชาติ และธนาพล อิ๋วสกุล บก.วารสารฟ้าเดียวกัน ธนาพลได้เล่าถึงช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันกับอภิชาติ อ่านที่นี่

เขาถูกคุมตัวอยู่ในค่ายทหาร 7 วันก่อนส่งตัวให้ตำรวจและถูกตั้งข้อกล่าวหาฝ่าฝืนคำสั่งคสช.ในการชุมนุมเกิน 5 คน ประชาชนหลายคนที่ออกมาต่อต้านรัฐประหารในช่วงนั้นถูกจับกุมและตั้งข้อกล่าวหาเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่นั้นรับสารภาพและศาลมักลงโทษจำคุก 6 เดือนและโทษนั้นให้รอการลงโทษ (รอลงอาญา) แต่อภิชาติกลับต่อสู้คดี

เขาเคยเขียนความในใจไว้เมื่อราวสองปีก่อนว่า "ผมไม่ได้หวังว่าศาลไทยจะพิพากษาคดีให้ผมชนะได้อย่างง่าย เพราะข้อต่อสู้ของผมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่แค่เรื่องผมกับ คสช. แต่เป็นเรื่องหลักการแนวคิดประชาธิปไตย เป็นข้อต่อสู้เพื่อล้มล้างอำนาจเผด็จการและทำลายหลักการกฎหมายจากปลายกระบอกปืนทั้งหมด ผมตั้งใจที่จะให้ข้อต่อสู้ในคดีนี้สร้างบรรทัดฐานต่อสังคมทั้งในปัจจุบันและอนาคต"

คดีของเขานั้นต่อสู้กันยาวนานถึง 2 ปี และมีความซับซ้อน คือ ศาลชั้นต้นเคยพิพากษายกฟ้องเมื่อ 11 ก.พ.2559 โดยให้เหตุผลว่ากระบวนการสอบสวนไม่ถูกต้องเนื่องจากเหตุเกิดในท้องที่ สน.ปทุมวัน แต่ตำรวจกองปราบเป็นผู้สอบสวนและโจทก์ไม่ได้นำสืบให้ศาลเห็นถึงเขตอำนาจสอบสวน ต่อมาอัยการอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อ 11 ต.ค.2559 ว่า พนักงานสอบสวนของกองบังคับการปราบปรามมีอำนาจสอบสวน การสอบสวนนั้นชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนี้ใหม่ จนวันที่ 19 ธ.ค.2559 ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีอีกครั้ง ให้ลงโทษจำคุก 2 เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี และปรับเป็นเงิน 6,000 บาท (อ่านรายละเอียดคำพิพากษา)

ยาวนานมาถึงวันนี้ 31 พ.ค.2561 หรือประมาณ 4 ปีหลังเกิดเหตุ ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานชุมนุมทางการเมือง ขัดคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 (ก่อนหน้านี้คือประกาศ คสช.ที่ 7/2557)

แต่ให้ลงโทษเฉพาะโทษปรับ 6,000 บาท โดยไม่ลงโทษจำคุก เพราะเป็นการชุมนุมโดยสงบ  

ผู้สังเกตการณ์คดีระบุว่า การอ่านคำพิพากษาเป็นไปโดยเข้มงวด ศาลไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปเข้าฟังคำพิพากษา รวมทั้งยึดโทรศัพท์มือถือของผู้สังเกตการณ์ไว้ระหว่างฟังคำพิพากษาโดยอ้างว่าเป็นนโยบายใหม่ของศาลแขวงปทุมวันตั้งแต่เดือน เม.ย. ที่ผ่านมา

เหตุผลสำคัญที่น่าสนใจยิ่งของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตามที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานไว้ก็คือ

"จำเลยอุทธรณ์ในประเด็นที่ว่า ประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557 ไม่มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย เนื่องจาก คสช. ได้อำนาจการปกครองมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประเด็นนี้ศาลอุทธรณ์โดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แม้การกระทำของ คสช. ในเบื้องต้นจะมีลักษณะเป็นการได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่บังคับใช้อยู่ในขณะนั้น แต่เมื่อ คสช. เข้าควบคุมอำนาจในการปกครองประเทศ ไม่มีการต่อต้านขัดขืนจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ตลอดจนหน่วยงานหรือองค์การใดๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน แม้แต่คณะรัฐบาลรักษาการก็ไม่อาจโต้แย้งขัดขวางการยึดอำนาจและบริหารราชการของ คสช. ถือเป็นการใช้กำลังยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงรัฐบาลตามนัยของระบอบแห่งการรัฐประหารได้เป็นผลสำเร็จแล้ว"

ส่วนประเด็นที่จำเลยเห็นว่า พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ไม่ได้ห้ามมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นภายหลังและเป็นคุณแก่จำเลย ศาลเห็นว่า พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ไม่ได้บัญญัติว่า การมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ไม่เป็นความผิดตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557 อีกต่อไป อุทธรณ์ในประเด็นนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

นอกจากนี้ จำเลยยังอุทธรณ์ว่าการชุมนุมดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 69 และ 70 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตาม แต่รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ได้บัญญัติให้ประกาศและคำสั่ง คสช. ชอบด้วยกฎหมาย ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และเป็นที่สุด ซึ่งยังถูกรับรองต่อมาในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 อีกด้วย ส่วนสิทธิในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญไม่มีผลบังคับเป็นกฎหมายนับตั้งแต่ คสช. ออกประกาศให้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 สิ้นสุดลง ขณะที่เสรีภาพในการชุมนุมตาม ICCPR นั้น ศาลเห็นว่าสถานการณ์ของประเทศไทยก่อน คสช. ทำรัฐประหารอยู่ในสภาพที่มีความไม่สงบเรียบร้อย จึงเข้าเงื่อนไขข้อยกเว้น

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานชุมนุมทางการเมือง ตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557 แต่มีคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ออกมาภายหลังเป็นคุณแก่จำเลย ทั้งนี้ จำเลยเข้าร่วมชุมนุมโดยสงบ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษที่หนักเกินไป จึงพิพากษาแก้ไม่ลงโทษจำคุก และยกฟ้องข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 นอกนั้นให้เป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา คือปรับ 6,000 บาท

อ่านคำพิพากษาฉบับเต็มที่นี่

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กกต.ชงศาลรัฐธรรมนูญชี้ 'ดอน'ขาดคุณสมบัติ นั่ง รมว.ต่างประเทศหรือไม่

Posted: 31 May 2018 05:15 AM PDT

มติเสียงข้างมาก กกต. 3:2 ฟัน ดอน ปรมัตถ์วินัย ขาดคุณสมบัตินั่ง รมว.ต่างประเทศ เหตุภรรยาถือหุ้นเกินไม่แจ้ง ป.ป.ช. รอศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตา ขณะที่อีก 3 รัฐมนตรี คสช.กับอีก 90 สมาชิก สนช. จ่อคิวขึ้นเขียง จากผลงานการร้องเรียนของเกรียงไกร พรรคเพื่อไทย

31 พฤษภาคม 2561 ข่าวสด รายงานว่าในการประชุมกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุม กกต.ได้มีมติเสียงข้างมากเห็นว่า การถือครองหุ้นของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ เข้าลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 264 ประกอบมาตรา 187 ที่บัญญัติไม่ให้รัฐมนตรีถือครองหุ้นใน หจก.หรือบริษัท หรือในกรณีประสงค์จะได้รับประโยชน์จากหุ้นที่ถือครองให้แจ้งประธาน ป.ป.ช.ทราบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งและให้โอนหุ้น และได้มอบหมายให้สำนักกฎหมายของทาง กกต. ดำเนินการยกร่างคำร้องเพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป 

มติข้างต้นอาจเป็นเหตุ ดอน ให้ต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 

กรณีดังกล่าวเกิดจากการที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคำร้องขอให้ กกต.ตรวจสอบการถือครองหุ้นสัมปทานของ 9 รัฐมนตรีในรัฐบาล คสช.ที่ประกอบไปด้วย นายอดิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง, นายพิเชฐ ดุรงคเวโรรจน์ รมว.ดิจิทัล,นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม,นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงส์ รมว.พานิชย์,นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี,นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาในขณะนั้น,ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการในขณะนั้น,พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงานในขณะนั้น และนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ว่า หลังรัฐธรรมนูญ 2560 มีผลบังคับใช้เมื่อ 6 เมษายน 2560 ว่าการถือครองหุ้นของรัฐมนตรีทั้ง 9 คนเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดหรือไม่ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 

จากนั้น กกต.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นตรวจสอบ และรายงานว่าคณะอนุกรรมการได้เสนอรายงานผลการตรวจสอบต่อ กกต.ว่า การถือครองหุ้นของรัฐมนตรี 8 คนนั้นไม่มีปัญหาเห็นควรที่ กกต.จะยุติเรื่อง ที่ประชุม กกต.จึงได้มีมติตามที่อนุกรรมการตรวจสอบเสนอให้ยุติเรื่องในส่วนของ 8 รมต. 

ในส่วนข้อร้องเรียนของนายดอนที่อาจมีปัญหาขัดรัฐธรรมนูญเนื่องจากคู่สมรสถือครองหุ้นในธุรกิจอยู่เกินกว่าร้อยละ 5 และไม่มีการแจ้งต่อ ป.ป.ช.ภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด ที่ประชุมมีความเห็นแบ่งเป็น 2 ฝ่าย และโดยมีผลการลงมติออกมาเท่ากัน 2 ต่อ 2 ทำให้นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. ต้องออกเสียงชี้ขาดอีก 1 เสียง จึงกลายเป็นมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 ว่าการถือครองหุ้นของนายดอนเข้าข่ายทำให้ขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และให้เสนอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

นอกจากนี้ กกต.ยังเหลือคำร้องของนายเรืองไกรกรณีการถือครองหุ้นของ 3 รัฐมนตรีในคณรัฐมนตรีของ คสช.อันประกอบด้วย นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ และการถือครองหุ้นของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อีก 90 คน ที่ยังดำเนินการตรวจสอบไม่แล้วเสร็จ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กานดา นาคน้อย: มืออาชีพ

Posted: 31 May 2018 04:20 AM PDT



ฉันติดตามบทบาทของแพทย์ไทยบางกลุ่มในฐานะ"ผู้นำสังคม"ท่ามกลางวิกฤตการเมืองไทยในทศวรรษที่ผ่านมาอย่างสนใจ พบว่าใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้ทำให้พวกเขาฉุกคิดว่าเขาต้องศึกษาด้านสังคมก่อนเสนอนโยบายทางสังคมที่ไม่ใช่นโยบายสาธารณสุข ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้นคือบางคนเคยศึกษาที่สหรัฐอเมริกา แต่สมาคมแพทย์ศาสตร์อเมริกันจำกัดข้อเสนอแนะด้านนโยบายไว้เพียงแค่นโยบายสาธารณสุขเท่านั้น  

อะไรทำให้แพทย์กลุ่มนี้เชื่อมั่นว่าตนรอบรู้ในศาสตร์ที่ตนไม่ได้รับการฝึกฝนมา? อะไรทำให้คนในสังคมเชื่อพวกเขา? 


นักวางนโยบายไซด์ไลน์

เมื่อลองค้นคว้าประวัติการสอนแพทย์ในไทยพบว่าโรงเรียนแพทย์ถือกำเนิดก่อนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย โรงเรียนแพทย์แห่งแรกของไทยก่อตั้งในยุครัชกาลที่ 5 ในขณะที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก่อตั้งในยุครัชกาลที่ 6  

ดังนั้นฉันจึงเดาว่าความเก่าแก่ของโรงเรียนแพทย์อาจทำให้แพทย์กลุ่มนี้เชื่อมั่นว่าใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมช่วยรับรองความรู้ในศาสตร์อื่นๆครอบจักรวาล และอาจทำให้คนในสังคมพลอยเชื่อพวกเขาไปด้วยทั้งๆที่จริงแล้วไม่มีอะไรรับรองว่าพวกเขารอบรู้ในศาสตร์อื่นมากกว่าคนอาชีพอื่น เรียกง่ายๆว่าที่จริงแล้วพวกเขาเป็น"นักวางนโยบายไซด์ไลน์"

ฉันไม่ได้หมายความว่านโยบายที่พวกเขานำเสนอเป็นนโยบายที่ผิดพลาดแน่นอน 100% แต่ฉันหมายความว่าพวกเขาไม่ใช่"มืออาชีพ" 


ทำอย่างไรจะได้เป็นมืออาชีพ?

ก็ทำอย่างที่พวกเขาทำก่อนประกอบอาชีพ อยากแนะนำนโยบายด้านไหนก็เข้าศึกษาร่วมกับนักศึกษาในวิชาชีพนั้นๆ ไม่มีกฎหมายห้ามคนจบแพทย์ศาสตร์ไม่ให้เรียนสาขาอื่น  

ยกตัวอย่าง วิชาชีพเศรษฐศาสคร์เปิดกว้างให้คนจบปริญญาตรีหรือโทสาขาอะไรก็ได้สมัครเรียนเศรษฐศาสตร์ ที่สหรัฐฯ คนจบแพทย์ศาสตร์ที่หันมาเรียนเศรษฐศาสตร์ในระดับปริญญาเอกก็มี เรียนจบแล้วเป็นอาจารย์คณะแพทย์ศาสตร์ก็ได้ เป็นอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ก็ได้ ไม่เป็นอาจารย์ก็ได้ 

ฉันไม่ได้หมายความว่าแพทย์ต้องเรียนเศรษฐศาสตร์ก่อนนำเสนอนโยบาย แต่ฉันหมายความว่าแพทย์ต้องเรียนศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานของนโยบายที่อยากนำเสนอ ถ้าอยากนำเสนอนโยบายด้านนิติศาสตร์ก็ต้องเรียนนิติศาสตร์ ถ้าอยากนำเสนอนโยบายด้านรัฐศาสตร์ก็ต้องเรียนรัฐศาสตร์  

ประเด็นคือว่าความเชี่ยวชาญหรือความเป็นมืออาชีพไม่ใช่ของฟรีและมีต้นทุน ถ้าอยากลงทุนศึกษาด้านแพทย์ศาสตร์เท่านั้นก็ต้องจำกัดการเสนอนโยบายไว้ที่นโยบายสาธารณสุข  

นโยบายระดับชาติต้องการมืออาชีพไม่ใช่มือสมัครเล่น
 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยอมถอย คลังระงับระเบียบจ้างลูกจ้างนอกงบฯ-แพทย์ชนบทยกเลิกนัดประท้วง

Posted: 31 May 2018 04:12 AM PDT

หลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก รมว.สาธารณสุข ปิดห้องถกกับ รมว.คลัง ชะลอการบังคับใช้ระเบียบการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้เงินนอกงบไปก่อน พร้อมเชิญหน่วยงานทุกกระทรวงทำประชาพิจารณ์เพื่อรู้แผนอัตรากำลังที่ตรวจสอบได้ ด้านชมรมแพทย์ชนบทออกแถลงการณ์จับตา 1 เดือนไม่ทำจะมาประท้วงใหม่

ที่มา: เพจแพทย์ชนบท

31 พ.ค.2561 ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังร่วมหารือกับรมว.การคลัง เรื่องระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้เงินนอกงบประมาณ 2561 ว่า ระเบียบดังกล่าวทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนของหลายๆ ฝ่าย ดังนั้น รมว.การคลัง จึงขอระงับการใช้ระเบียบดังกล่าวไปก่อน โดยในช่วงบ่ายของวันที่ 31 พ.ค.นี้ ก็จะมีการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง ทุกหน่วยงานทุกกระทรวง เข้ามาเพื่อทำประชาพิจารณ์ก่อนจะทำการปรับเปลี่ยนระเบียบดังกล่าวเพื่อให้เกิดความเข้าใจในระเบียบมากขึ้น ส่วนในแต่ละกระทรวงจะมีข้อตกลงอย่างไรกับกระทรวงการคลังก็สามารถทำได้ตามความต้องการ

"สิ่งสำคัญคือต้องรู้และมีแผนเรื่องของอัตรากำลังที่ชัดเจน ทำให้เกิดการมีวินัย มีการวางแผนที่ชัดเจนเพื่อให้เกิดความคล่องตัว อย่างไรก็ตามการสั่งระงับระเบียบดังกล่าวนั้นก็ไม่ได้มีผลกระทบกับการจ้างงานของ สธ. เพราะยังใช้ระเบียบเดิมอยู่ ทุกอย่างสมารถทำได้เหมือนเดิม"รมว.สาธารณสุข

เมื่อถามถึงกรณีระเบียบเงินบำรุงของ สธ.จะต้องมีการปรับแก้ด้วยหรือไม่ ศ.นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ต้องมีการหารือร่วมกันว่า สิ่งใดที่ทำให้เกิดความคล่องตัว และสามารถตรวจสอบได้ก็ปรับ ซึ่งเราต้องดูในรายละเอียด และอาจมีการปรับระเบียบเงินบำรุงได้ตามสิ่งที่ควรจะเป็นตามหลักการ

ด้านชมรมแพทย์ชนบท ออกแถลงการณ์ระบุว่าชมรมแพทย์ชนบทได้เข้าร่วมประชุมกับรมต.กระทรวงการคลัง และรมต.สธ. และคณะทั้ง 2 กระทรวง ผลการเจรจาได้ข้อสรุปดังนี้ 1.กระทรวงการคลังจะสั่งชะลอระเบียบการจ้างฯปี2561 ภายในวันนี้ไปก่อน จากนั้นบ่ายวันนี้จะเชิญทุกส่วนมาปรับปรุงระเบียบ จนกว่าจะได้ข้อยุติ 2.ส่วนระเบียบเงินบำรุง ในข้อ 10 เรื่องการจ้างและการจ่ายค่าตอบแทน ในส่วนที่กระทรวงการคลังเพิ่มขึ้นมาที่ต้องขอทำการตกลงกับกระทรวงการคลังก่อนและเงินบริจาคที่มีวัตถุประสงค์ ที่ควรตัดออกจากระเบียบเงินบำรุงปี 2561 นั้นกระทรวงการคลังให้กระทรวงสาธารณสุขเสนอแก้ไขมาด่วน ดังนั้นจึงถือได้ว่ากระทรวงการคลังและกระทรวงสาธารณสุข ได้แก้ปัญหาตามข้อเรียกร้องของพวกเราในระดับหนึ่งแล้ว ในส่วนของระเบียบเงินบำรุงปี 2561 ชมรมแพทย์ชนบทยังคงเห็นว่าเรื่องนี้ควรดำเนินการให้แล้วเสร็จอย่างช้าไม่เกิน 1 เดือน และจะติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

"พี่น้องที่ยังไม่เดินทางเข้ามากระทรวงการคลังหากชะลอได้ทันก็ขอให้ชะลอไว้ก่อน หากทั้ง 2 กระทรวงไม่ดำเนินการตามที่ตกลงไว้ ภายใน 1 เดือน ค่อยมาทวงถามคำมั่นสัญญาที่ทำเนียบรัฐบาลแทน" เพจชมรมแพทย์ชนบทระบุ
 

 

ที่มาบางส่วน:ไทยรัฐออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง ‘อานดี้ ฮอลล์’ เปิดข้อมูลละเมิดสิทธิแรงงานเป็นประโยชน์สาธารณะ

Posted: 31 May 2018 03:17 AM PDT

เป็นบรรทัดฐานสำคัญอีกคดีที่นานาชาติจับตา เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำตัดสินของศาลชั้นต้น ยกฟ้องนักวิจัยชาวอังกฤษที่เปิดข้อมูลบริษัทสับปะรดกระป๋องไทยละเมิดสิทธิแรงงาน ศาลชี้ติชมด้วยความเป็นธรรม เป็นประโยชน์สาธารณะเข้าข้อยกเว้นกฎหมาย ด้าน iLaw เข้าฟังคำพิพากษา สรุปละเอียดยิบน่าสนใจยิ่ง


ภาพจากเฟสบุ๊ค Andy Hall

31 พ.ค. 2561 เพจ iLaw ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีที่อานดี้ ฮอลล์ (Andy Hall) นักวิจัยชาวอังกฤษที่ถูกบริษัทเนเชอรัลฟรุต จำกัด ผู้ผลิตสับปะรดกระป๋องฟ้องในความผิดฐานหมิ่นประมาทและความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากกรณีจัดแถลงข่าวและเผยแพร่รายงาน "Cheap Has a High Price" กล่าวหาว่ามีการละเมิดสิทธิแรงงานข้ามชาติชาวพม่าในบริษัทโจทก์ ก่อนหน้านี้ในวันที่ 24 เมษายน 2561 ศาลอุทธรณ์เคยนัดอานดี้ฟังคำพิพากษามาครั้งหนึ่งแล้วแต่อานดี้ไม่มาศาลเนื่องจากอยู่ต่างประเทศ (อ่านสาเหตุที่จำเลยไม่อยู่ไทย)  ศาลจึงสั่งให้ออกหมายจับและนัดฟังคำพิพากษาอีกครั้งในวันนี้ แต่เนื่องจากจำเลยยังคงไม่มาศาล ศาลจึงอ่านคำพิพากษาลับหลัง โดยในวันนี้มีผู้สังเกตการณ์จากสถานทูตอังกฤษ ฟินแลนด์ และสถานทูตอียูมาด้วย

ศาลอุทธรณ์พิพากษา ยกฟ้องจำเลย โดยสรุปใจความได้ว่า ข้อความที่โจทก์นำมาฟ้องว่าจำเลยเผยแพร่นั้น เป็นการกล่าวหาโจทก์ทำนองว่าละเมิดสิทธิแรงงาน ค้ามนุษย์ จ้างแรงงานเด็ก ยึดหนังสือเดินทางลูกจ้าง ไม่ทำประกันสังคมให้ลูกจ้าง ไม่จ่ายค่าจ้างให้ถูกต้อง เป็นการทำผิดต่อกฎหมายแรงงาน เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ ซึ่งข้อความเหล่านี้ล้วนเป็นข้อเท็จจริง แม้โจทก์จะมีพยานที่เป็นพนักงานบัญชีของบริษัทมาเบิกความว่า ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง แต่เมื่อพิจารณาแล้วโจทก์เป็นผู้ประกอบการธุรกิจย่อมต้องมีเอกาสารรายละเอียดเกี่ยวกับลูกจ้างแต่ละคนของโจทก์ แต่ฝ่ายโจทก์กลับไม่ได้นำสำเนาเอกสารมาส่งศาลประกอบการเบิกความ จึงถือว่าเป็นการเบิกความลอยๆ

ศาลวินิจฉัยต่อว่า ฝ่ายโจทก์ยังมีพยานที่เป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มาเบิกว่าความ เคยตรวจสอบโรงงานของบริษัทโจทก์ 4 ครั้ง เคยสัมภาษณ์แรงงาน 3 คนและแรงงานไม่ได้กล่าวหาว่าโจทก์ทำผิดกฎหมาย นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ประกันสังคมมาเบิกความว่า บริษัทโจทก์ไม่เคยถูกลูกจ้างร้องเรียนเรื่องสิทธิประกันสังคม ด้านฝ่ายจำเลยได้สัมภาษณ์แรงงานของบริษัทโจทก์ โดยให้คนพาออกมาสัมภาษณ์ที่หัวหินและให้ค่าเดินทาง 300 บาทต่อคน เห็นว่าข้อเท็จจริงที่พยานโจทก์ได้จากการไปตรวจสอบ เป็นลักษณะการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่การสืบหาข้อเท็จจริง บริษัทโจทก์ย่อมต้องส่งเอกสารที่ไม่ผิดกฎหมายให้ตรวจสอบอยู่แล้ว จึงยากที่จะเข้าถึงข้อมูลเรื่องการปฏิบัติต่อแรงงานตามความเป็นจริงได้

เมื่อข้อเท็จจริงที่ทั้งสองฝ่ายโต้แย้งกัน ศาลอุทธรณ์รับฟังแล้วเชื่อว่า ฝ่ายโจทก์จ่ายเงินสมทบประกันสังคมให้กับลูกจ้างไม่ครบทุกคน มีการจ้างแรงงานที่ไม่มีหนังสือเดินทางซึ่งเป็นการจ้างที่ผิดกฎหมาย โจทก์ยึดหนังสือเดินทางของลูกจ้าง หลังจากจำเลยได้สัมภาษณ์ลูกจ้างแล้วจึงคืนให้ภายหลัง ในวันที่ไม่มีงานทำโจทก์จ่ายค่าจ้างให้แรงงานตามเวลาเท่าที่ทำงานจริง ลูกจ้างบางส่วนทำงานล่วงเวลาเกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ซึ่งผิดต่อกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ไม่ปรากฎว่า โจทก์มีบันทึกความยินยอมของลูกจ้างที่ให้หักค่าถุงมือ ปลอกแขน เสื้อผ้า หมวก ฯลฯ ที่ใช้ในการทำงาน โจทก์มีห้องน้ำให้ไม่เพียงพอแก่ลูกจ้าง และมีการหักค่าเข้าห้องน้ำหากนานเกิน 10 นาที ส่วนการที่โจทก์ไม่เคยถูกร้องเรียนก็ไม่ได้หมายความว่า โจทก์ปฏิบัติถูกต้อง พยานของฝ่ายโจทก์ที่มาเบิกความเป็นลูกจ้างของโจทก์ที่โจทก์อาจให้คุณให้โทษได้ จึงต้องเบิกความอย่างระมัดระวัง ไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟัง

ศาลอุทธรณ์เชื่อว่า จำเลยได้สัมภาษณ์แรงงานในบริษัทโจทก์จริง โดยมีคนพามาให้ แม้ฝ่ายจำเลยจะไม่สามารถนำคนที่ให้สัมภาษณ์มาเบิกความต่อศาลได้เพราะเดินทางกลับประเทศไปแล้ว แต่ก็มีอดีตลูกจ้างในบริษัทโจทก์อีก 3 คนที่มีเอกสาiรับรองการเป็นลูกจ้างจริง ไม่มีส่วนได้เสียและมาเบิกความต่อศาลได้ โดยให้ข้อเท็จจริงไปทำนองเดียวกันว่า โจทก์กระทำผิดกฎหมายแรงงาน ยากที่จะแต่งเรื่องขึ้นเองซึ่งสอดคล้องกันและเจือสมกัน

หลังจากจำเลยทำรายงานเสนอให้องค์กร Finnwatch โรงงานแห่งอื่นที่จำเลยศึกษาข้อมูลได้เชิญจำเลยและองค์กร Finnwatch ไปเยี่ยมชมโรงงานและพูดคุย แต่จำเลยพยายามติดต่อกับบริษัทโจทก์แล้ว ไม่ได้รับการตอบกลับเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง เจ้าหน้าที่ของ Finnwatch จึงส่งรายงานไปยังหน่วยงานต่างๆ และนำขึ้นเว็บไซต์ ต่อมาก็จัดแถลงข่าวโดยจำเลยร่วมแถลงด้วย พยานโจทก์รับว่าได้ใช้อีเมล์ที่จำเลยส่งหาจริง เนื่องจากจำเลยก็เคยติดต่อและเยี่ยมชมโรงงานอื่น จึงเชื่อว่า จำเลยได้พยายามติดต่อโจทก์แล้วจริง และตั้งใจที่จะรับฟังข้อเท็จจริงให้รอบด้านในการทำวิจัยแล้วจริง

องค์กร Finnwatch ถือเป็นตัวแทนของผู้บริโภคในการตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อได้รับข้อเท็จจริงจากจำเลยก็ได้พยายามติดต่อกับโจทก์แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ จึงนำข้อมูลออกเผยแพร่จึงเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เป็นการกระทำที่ผู้เกี่ยวข้องมีสิทธิเผยแพร่ข้อมูลได้เพื่อปกป้องส่วนได้เสียของตนเพื่อความชอบธรรม เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 329 (1) (3) ของประมวลกฎหมายอาญา ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท คำอุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกับองค์กร Finnwatch ร่วมกันเผยแพร่ข้อมูลหรือไม่

สำหรับข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) ปรากฏตามที่จำเลยอุทธรณ์มาว่า ระหว่างการอุทธรณ์คดีนี้ กฎหมายได้ถูกแก้ไขเมื่อปี 2560 การที่จำเลยจะมีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) ได้ ต้องมีเจตนาพิเศษโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง และความผิดฐานนี้ไม่รวมกับความผิดฐานหมิ่นประมาทตามกฎหมายอาญา ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์อ้างเพียงว่า จำเลยเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ และหมิ่นประมาทโจทก์ จึงเป็นกรณีที่กฎหมายที่ออกมาภายหลังกำหนดให้การกระทำไม่เป็นความผิด ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องจำเลย

อนึ่งที่มาที่ไปของคดีนี้คือ Finnwatch เผยแพร่รายงานในปี 2556 และบริษัทโจทก์ยื่นฟ้อง คดีใช้เวลาในกระบวนการต่างๆ ค่อนข้างนาน ศาลประทับรับฟัองในปี 2558 และทั้งสองฝ่ายนำพยานเข้าสืบต่อสู้กัน โดยก่อนหน้านี้ในเดือนกันยายน 2559 ศาลอาญากรุงเทพใต้เคยมีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิด สั่งจำคุกสี่ปี ปรับ 200,000 บาท อานดี้ให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาจึงลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุกสามปีและปรับเป็นเงิน 150,000 บาท อย่างไรก็ดี เนื่องจากอานดี้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน เคยทำประโยชน์ต่อสังคม และไม่ปรากฏว่าเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกสามปีจึงให้รอลงอาญาไว้มีกำหนดสองปี รวมทั้งให้ลงโฆษณาคำพิพากษาบนสื่อตามกำหนด ต่อมาอานดี้อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง ส่วนฝ่ายโจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษโดยไม่ต้องรอลงอาญา

นอกจากคดีนี้แล้วอานดี้ยังถูกเนเชอรัลฟรุตฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาทจากการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอัลจาซีราอีกคดีหนึ่ง และถูกฟ้องเป็นคดีแพ่งอีกสองคดี บริษัท ธรรมเกษตร ผู้เลี้ยงไก่ในจังหวัดลพบุรี ก็ฟ้องร้องในคดีหมิ่นประมาทและพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ต่ออานดี้ ฮอลล์ ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้เป็นอีกคดีหนึ่งด้วย
 

ด้านสุธารี วรรณศิริ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนประเทศไทย องค์กรฟอร์ติฟายไรท์ ให้ความเห็นต่อกรณีนี้ว่า

"คำพิพากษาในวันนี้เป็นสิ่งสำคัญที่รับรองสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก และการทำงานที่ชอบธรรมของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่ศาลตระหนักถึงการทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และผู้ที่เปิดเผยข้อมูลเพื่อรายงานเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจ

การตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ใช่อาชญากรรมและจะไม่มีวันเป็น คำพิพากษาของศาลในวันนี้ส่งสัญญาณในทางบวกให้กับประชาคมระหว่างประเทศว่าประเทศไทยจะไม่ยอมรับการที่กลุ่มธุรกิจใช้กระบวนการดำเนินคดีอาญาคุกคามการทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน

กระบวนการดำเนินคดีอาญาประเภทนี้มักมีจุดประสงค์เพื่อปิดปากบุคคลที่ลุกขึ้นเปล่งเสียงคัดค้านการละเมิดสิทธิ กระบวนการนี้ทำให้เกิดบรรยากาศแห่งความกลัวในกลุ่มนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบในประเทศไทย ทางการไทยและภาคธุรกิจควรยุติการดำเนินคดีอาญาทุกคดีต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและผู้ที่เปิดเผยข้อมูลการละเมิดสิทธิ โดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข

รัฐบาลไทยควรเร่งดำเนินการเพื่อยกเลิกการเอาผิดทางอาญาในคดีหมิ่นประมาท จนกว่าจะถึงวันนั้น ประเทศไทยยังไม่สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศได้อย่างเต็มที่"



หมายเหตุ มีการเพิ่มเติมข้อมูล เวลา 21.30 น.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรมจัดหางานแนะสมัครกองทุนใหม่ คุ้มครองแรงงานไทยในต่างประเทศ

Posted: 31 May 2018 01:59 AM PDT

กรมจัดหางานแนะคนงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศทุกคนสมัครสมาชิกกองทุนใหม่เพื่อรับการคุ้มครองกรณีเสียชีวิต พิการ หรือเกิดปัญหาในต่างประเทศ จ่าย 300-500 ครั้งเดียวคุ้มครองตลอดสัญญาจ้างงาน ช่วยแล้ว 108 ราย 3.7 ล้านบาท

31 พ.ค.2561 นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า จากกรณีที่มีคำถามมามากว่า แรงงานไทยประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตที่ต่างประเทศแล้วจะได้รับสิทธิประโยชน์หรือความคุ้มครองหรือไม่นั้น ขอแจ้งให้ทราบว่ากรมการจัดหางานได้จัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศขึ้นตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยเหลือคนหางานซึ่งถูกทอดทิ้งอยู่ในต่างประเทศให้เดินทางกลับประเทศไทย ให้การสงเคราะห์แก่แรงงานไทยซึ่งไปหรือจะไปทำงานในต่างประเทศหรือทายาทโดยธรรมของสมาชิกกองทุนฯ รายละเอียดมีดังนี้

ผู้ที่มีสิทธิสมัครเป็นสมาชิกกองทุนฯ ได้แก่ คนหางานที่จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศโดยบริษัทจัดหางาน หรือกรมการจัดหางานจัดส่ง ส่วนคนหางานที่แจ้งการเดินทางไปทำงานด้วยตนเองสามารถสมัครเป็นสมาชิกกองทุนฯ ได้ตามความสมัครใจ โดยจ่ายค่าสมาชิกฯ ในอัตรา 300 – 500 บาทต่อคนตามอัตรากำหนดของประเทศที่เดินทางไปทำงาน ซึ่งจ่ายเพียงครั้งเดียวแต่คุ้มครองตลอดระยะเวลาสัญญาจ้าง และคุ้มครองต่อไปอีก 5 ปีหากยังทำงานอยู่ในต่างประเทศ โดยสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับการช่วยเหลือมีหลายกรณี เช่น กรณีถูกทอดทิ้งในต่างประเทศจะช่วยเหลือให้กลับประเทศไทย กรณีทุพพลภาพ

กรณีประสบอันตรายทั้งก่อนไปและทำงานแล้ว สงเคราะห์เป็นค่ารักษาพยาบาล หรือประสบปัญหาต่างๆ ในต่างประเทศตามที่กฎหมายกำหนด สงเคราะห์เป็นค่าพาหนะ ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็น โดยจะได้รับการสงเคราะห์ไม่เกินคนละ 30,000 บาท

ส่วนกรณีเสียชีวิตในต่างประเทศ สงเคราะห์เงินจำนวน 40,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการจัดการศพเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 40,000 บาท

กรณีถูกเลิกจ้างจากสาเหตุการประสบอันตราย สงเคราะห์คนละ 15,000 บาท 

หากต้องเดินทางกลับประเทศไทยก่อนสิ้นสุดการเป็นสมาชิกกองทุนฯ เนื่องจากเป็นโรคต้องห้าม โดยทำงานไม่ถึง 6 เดือน สงเคราะห์คนละ 25,000 บาท ทำงานมากกว่า 6 เดือน สงเคราะห์ 15,000 บาท

นอกจากนี้ยังคลอบคลุมถึงปัญหาความไม่สงบ ภัยธรรมชาติ โรคระบาด ซึ่งทางการของประเทศนั้นๆ ประกาศกำหนดแล้ว หรือค่าจ้างทนายความเนื่องจากถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดซึ่งมิได้กระทำโดยเจตนา เป็นต้น

ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 – พฤษภาคม 2561 กรมการจัดหางานได้ ช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศแล้ว  108 ราย คิดเป็นเงิน    3,745,000   บาท  เป็นการสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต จำนวน 60 ราย เป็นเงิน 2,380,000 บาท กรณีตรวจโรคไม่ผ่าน จำนวน 13 ราย เป็นเงิน 315,000 บาท กรณีทุพพลภาพ จำนวน 35 ราย เป็นเงิน 1,050,000 บาท

นายอนุรักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่า รวมทั้งมีความมั่นใจในการไปทำงานต่างประเทศ โดยมีกองทุนฯ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับตนเองและครอบครัว หากต้องประสบปัญหาที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ จึงขอเชิญชวนคนงานไทยที่ไปทำงานต่างประเทศด้วยวิธีแจ้งการทำงานด้วยตนเองสมัครเป็นสมาชิกกองทุนฯ โดยสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ฝ่ายกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ ชั้น 10 อาคารสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 3 บริเวณกระทรวงแรงงาน โทร. 0 2245 6710 -11 หรือโทร.สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สิทธิประกันตัวของผู้ต้องหาที่เป็นพระสงฆ์

Posted: 31 May 2018 01:18 AM PDT

 

ปัจจุบันศาลยุติธรรมได้พัฒนาระบบการจัดการคดีให้มีประสิทธิภาพและเป็นสากลมากขึ้นในหลายเรื่อง เช่น การพิจารณาคดีที่มีความรวดเร็วมากขึ้น ส่วนใหญ่คดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นจะแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกิน 1 ปี ส่วนคดีที่เข้าสู่ชั้นศาลอุทธรณ์จะแล้วเสร็จไม่เกิน 6 เดือน ที่สำคัญก็คือการลดความเหลื่อมล้ำในการปล่อยชั่วคราวหรือการประกันตัวจำเลยในระหว่างการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีในศาล ซึ่งส่วนใหญ่ศาลจะอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ความก้าวหน้าของกระบวนการยุติธรรมยังรวมไปถึงสิทธิในการได้รับประกันตัวกรณีที่ผู้ต้องหาไม่มีหลักทรัพย์วางประกัน เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำดังกล่าวศาลยุติธรรมได้นำระบบประเมินความเสี่ยงในการปล่อยชั่วคราวมาทดลองใช้ในระบบกระบวนการยุติธรรมทางอาญาและยกเลิกการเรียกหลักประกันที่เป็นตัวเงินและหลักทรัพย์ โดยมีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการหลบหนีของจำเลยเพื่อให้ศาลพิจารณาก่อนสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวและไม่ต้องใช้หลักประกันเฉพาะคดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี โดยทดลองกับทุกฐานความผิดซึ่งขยายอัตราโทษมากขึ้น ยกเว้นความผิดในคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญและคดียาเสพติดที่มีการครอบครองและจำหน่ายจำนวนมาก

สิทธิในการได้รับประกันตัวเป็นสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องหาและผู้ต้องขังซึ่งเป็นกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองหรือ ICCPR ซึ่งมีหลักการว่า สิทธิประกันตัวระหว่างการพิจารณาคดี จะต้องเป็นหลักการที่ได้รับความคุ้มครอง การมิให้ประกันตัวถือเป็นข้อยกเว้นหรือจะกระทำได้ต่อเมื่อไม่มีวิธีการที่เบากว่านี้ การปฏิเสธไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยระหว่างการพิจารณา ถือว่าเป็นการละเมิดข้อ 9(3) ของ ICCPR ซึ่งกำหนดว่า "การควบคุม คุมขังบุคคลระหว่างการพิจารณาคดี ไม่ควรเป็นกฎที่ใช้ทั่วไป" การคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีนานเกินระยะเวลาที่สามารถยกเหตุผลอันเหมาะสมมากล่าวอ้างได้ เป็นการกระทำโดยไม่มีกฎเกณฑ์และละเมิดข้อ 9(1) ของ ICCPR ที่ว่า "บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัยของร่างกาย บุคคลจะถูกจับกุมหรือควบคุมโดยอำเภอใจมิได้ บุคคลจะถูกลิดรอนเสรีภาพของตนมิได้" และบ้านเรามีกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตราที่ 39 วรรคสองว่าด้วยเรื่องของการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ โดยหลักการก็คือก่อนจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดจะปฏิบัติต่อผู้นั้นเสมือนผู้กระทำความผิดมิได้ และไม่ควรมีบุคคลใดต้องติดคุกก่อนศาลพิพากษาหรือระหว่างพิจารณาคดี

โดยทั่วไปศาลมักจะไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาโดยเฉพาะในคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐหรือคดีที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 108 ประกอบมาตรา 108/1 ที่มีสาระสำคัญสรุปได้ว่า ในการวินิจฉัยคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราว ต้องพิจารณาประเด็นเหล่านี้ประกอบด้วย ได้แก่ (1) ความหนักเบาแห่งข้อหา (2) พยานหลักฐานที่ปรากฎแล้วมีเพียงใด (3) พฤติการณ์ต่างๆ แห่งคดีเป็นอย่างไร (4) เชื่อถือผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันได้เพียงใด (5) ผู้ต้องหาหรือจำเลยน่าจะหลบหนีหรือไม่ (6) ภัยอันตรายหรือความเสียหายที่จะเกิดจากการปล่อยชั่วคราวมีเพียงใดหรือไม่ (7) ในกรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องขังตามหมายศาล ถ้ามีคำคัดค้านของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ โจทก์หรือผู้เสียหาย ศาลพึงรับประกอบการวินิจฉัยได้ มาตรา 108/1 การสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราวจะกระทำได้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อเหตุใดเหตุหนึ่ง คือ (1) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี (2) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน (3) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น (4) ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ (5) การปล่อยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล

แม้สิทธิในการได้รับการประกันตัวของผู้ต้องหาจะพัฒนาไปมาก แต่ที่ยังเป็นคำถามของสังคมในขณะนี้ก็คือสิทธิในการได้รับการประกันตัวในกรณีผู้ต้องหาเป็นพระสงฆ์ คดีเงินทอนวัดที่มีพระผู้ใหญ่ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบในคดีร่วมกันฟอกเงิน ศาลไม่ให้ประกันตัวโดยอ้างเหตุว่าเนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นรวมถึงเกรงว่าจะยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน เนื่องจากเอกสารของกลางพยานหลักฐานอยู่ในการครอบครองของผู้ต้องหาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งพฤติการณ์มีการทำเป็นขบวนการและคดีมีอัตราโทษสูงหากปล่อยตัวเกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าพนักงานสอบสวนยังมีความจำเป็นต้องสอบปากคำพยาน จึงอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาเป็นเวลา 12 วัน ฝ่ายรัฐบาลเองเมื่อถูกถามกรณีพระสงฆ์ถูกดำเนินคดีและถูกถอดสมณศักดิ์ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การถอดสมณศักดิ์กับการบวชไม่เกี่ยวกันต้องแยกจากกัน ความผิดทางโลกเป็นเรื่องหนึ่ง ความผิดทางธรรมเป็นเรื่องหนึ่ง การจะสึกนั้น ทางกฎหมายบังคับให้สละสมณเพศ แต่จะด้วยความสมัครใจหรือไม่สมัครใจ ต้องไปว่ากันภายหลังเมื่อคดีทางโลกจบแล้ว

คำถามก็คือการมิให้พระสงฆ์ได้รับสิทธิประกันตัวซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานสามารถกระทำได้เพียงใด สิทธิในการได้รับการประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราวในกรณีผู้ต้องหาเป็นพระสงฆ์ควรมีขอบเขตแค่ไหน และข้อคำนึงถึงการใช้ดุลพินิจในการไม่อนุญาตให้ประกันตัวนั้นเป็นไปตามหลักความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมายหรือไม่ หลักความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมายถือเป็นส่วนหนึ่งของหลักนิติธรรมในเรื่องระบบการพิจารณาคดีที่ว่ากระบวนการใช้อำนาจรัฐทุกรูปแบบต้องมีการคุ้มครองให้กระบวนวิธีพิจารณาทางอาญาต้องทำด้วยความเป็นธรรม ปราศจากอคติ ไม่เลือกปฏิบัติ และพอสมเหตุสมผล การที่ศาลอ้างเหตุของการไม่ให้ประกันตัวว่าเนื่องจากเอกสารของกลางพยานหลักฐานอยู่ในการครอบครองของผู้ต้องหาเป็นจำนวนมาก ศาลได้ไต่สวนถึงเหตุที่ว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานอย่างไร ซึ่งการอ้างว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานนี้เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐาน จึงต้องให้พนักงานสอบสวนหรือศาลมีภาระในการพิสูจน์ว่าหากปล่อยตัวไปแล้วผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงหรือไปทำลายพยานหลักฐานอย่างไรจนทำให้ศาลพอใจ และฝ่ายผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องสามารถคัดค้านหลักฐานของพนักงานสอบสวนได้ ที่มักพบก็คือข้ออ้างของพนักงานสอบสวนต่อศาลมักเป็นการอ้างลอยๆ โดยขาดพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือและศาลอาจไม่ได้ทำการไต่สวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงตามที่มีการกล่าวอ้าง ซึ่งประเด็นเหล่านี้ล้วนต้องมีการดำเนินการให้เป็นไปตามหลักความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย หากไม่มีการดำเนินการเช่นนี้ย่อมทำให้กระบวนพิจารณาคดีไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อหลักสิทธิการประกันตัว ยิ่งเป็นกรณีผู้ต้องหาที่เป็นพระสงฆ์ที่มีอายุพรรษาเข้ามาเกี่ยวข้องควรดำเนินการอย่างรอบคอบ  และเมื่อพิจารณาตามระเบียบข้อ 8 ศาลสามารถกําหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับที่อยู่ของผู้ต้องหาหรือจําเลยหรือเงื่อนไขอื่นใดให้ผู้ต้องหาหรือจําเลยปฏิบัติเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือเพื่อป้องกันภัยอันตราย หรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการปล่อยชั่วคราวก็ได้ เช่น ให้รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานหรือบุคคลตามที่ศาลเห็นสมควร วางข้อจํากัดเกี่ยวกับสถานที่อยู่อาศัยหรือการเดินทางออกไปนอกสถานที่อยู่อาศัย วางข้อจํากัดเกี่ยวกับการประกอบอาชีพหรือการงานบางอย่าง หรือวางข้อจํากัดเกี่ยวกับการเข้าไปในสถานที่บางแห่งที่อาจก่อให้เกิดการกระทําความผิดอีก ในกรณีผู้ต้องหาที่เป็นพระสงฆ์สามารถดำเนินการได้เรื่องนี้ได้พอสมควร

และเมื่อพิจารณาดูกฎหมายปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ควบคุมพฤติกรรมของพระภิกษุที่ละเมิดพระวินัยและอาศัยกฎหมายบ้านเมืองมาช่วย  แม้สามารถให้พนักงานสอบสวนมีอํานาจจัดดําเนินการให้พระภิกษุสละสมณเพศเสียได้ตามมาตรา ๒๙ และ ๓๐ แต่มาตรา 25 ภายใต้บังคับมาตรา 24 ก็ให้อำนาจมหาเถรสมาคมว่า มหาเถรสมาคมก็อํานาจตรากฎมหาเถรสมาคมกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติเพื่อให้การลงนิคหกรรมเป็นไปโดยถูกต้องสะดวกรวดเร็วและเป็นธรรม และให้ถือว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายที่มหาเถรสมาคมจะกําหนดในกฎมหาเถรสมาคมให้มหาเถรสมาคมหรือพระภิกษุผู้ปกครองสงฆ์ตําแหน่งใดเป็นผู้มีอํานาจลงนิคหกรรมแก่พระภิกษุผู้ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย กับทั้งการกําหนดให้การวินิจฉัยการลงนิคหกรรมให้เป็นอันยุติในชั้นใด ๆ นั้นด้วย  นอกจากนั้นการปกครองคณะสงฆ์ยังมีสังฆาณัติและระเบียบคณะวินัยธรซึ่งกำหนดให้มีคณะวินัยธรชั้นต้น คณะวินัยธรชั้นอุทธรณ์ และคณะวินัยธรชั้นฎีกา มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์อันเกิดขึ้นในเขตที่กำหนดตามประกาศแต่งตั้ง เมื่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และสังฆาณัติและระเบียบคณะวินัยธรให้อำนาจคณะสงฆ์ไว้  แต่ในทางปฏิบัติหลายกรณี เมื่อพระสงฆ์ต้องอาญาแผ่นดินมหาเถรสมาคมและพระวินัยธรแทบไม่ได้มีส่วนในกระบวนการยุติธรรมใดๆ ซึ่งมีคำถามว่าเป็นธรรมสำหรับผู้ต้องหาที่เป็นพระสงฆ์หรือไม่ และเป็นไปตามหลักความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมายหรือไม่

การดำเนินคดีผู้ต้องหาที่เป็นพระสงฆ์ควรเปิดช่องให้มีกลไกคณะสงฆ์เข้าไปมีส่วนร่วมทุกขั้นตอนซึ่งเป็นการชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และสอดคล้องกับกระบวนการยุติธรรมที่เคารพหลักการสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรมในเรื่องสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องหาหรือจำเลย และกระบวนการทางกฎหมายที่เป็นธรรม อันจะเป็นการยกระดับกระบวนการยุติธรรมบ้านเราให้เป็นสากล เป็นประเทศที่ดำเนินการสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากลที่นานาประเทศให้การรับรอง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อนาคตใหม่ อนาคตไทย

Posted: 31 May 2018 01:05 AM PDT

พลันที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ขึ้นกล่าวปราศรัย แนะนำตัว และแสดงวิสัยทัศน์ในนามหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในการประชุมจัดตั้งพรรคครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมานั้น ข้อความที่หนักแน่นและสัญญาณที่ชัดเจนได้ถูกส่งต่อและกระจายไปยังพื้นที่สาธารณะของทุกกลุ่มการเมือง ถึงความพร้อมในการก้าวเดินในเส้นทางนี้อย่างมุ่งมั่นตั้งใจ และพร้อมจะเป็นแนวร่วมแถวหน้า เป็นผู้จุดประกายแห่งความหวัง ให้สังคมตื่นขึ้นจากความมืดมิดทางการเมืองและความมืดบอดทางปัญญา ทั้งนี้เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตใหม่ที่ดีกว่าเก่า และเพื่อส่งต่อไปยังลูกหลานคนไทยในอนาคต

ธนาธร ได้เล่าถึง ความฝันที่ยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ที่เป็นเพียงคนจีนอพยพธรรมดาคนหนึ่งจากซัวเถาที่อยากให้ลูกๆ เติบโตขึ้นมาในสภาพสังคม สภาพแวดล้อมที่ดีกว่าคนรุ่นก่อน อีกทั้งยังสอนลูกๆ ทุกคนให้เป็นคนมัธยัสถ์ อดออม รักความเป็นธรรม และไม่เอาเปรียบผู้อื่น

ถึงแม้ว่าจะเกิดมาในครอบครัวที่ไม่เคยเจอกับความลำบาก มีชีวิตที่สุขสบาย แต่สิ่งใดที่จะทำให้ตี๋ลูกจีนคนนี้จะเข้าใจชีวิตคนยากไร้ เข้าใจคนจนได้อย่างไร นี่เป็นคำถามที่หลายคนยังคลุมเครือและเคลือบแคลงสงสัย ซึ่งธนาธรก็ได้ให้คำตอบว่า

"…ผมในฐานะเป็นคนโชคดีกว่าคนอื่น ที่เกิดมามีอันจะกิน ทำให้รู้สึกว่า ภายใต้สังคมที่มันมืดมิดอย่างนี้ ถ้าผมในฐานะคนที่มีทรัพยากรมากกว่าคนอื่น ไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรเลยให้กับสังคม ผมจะตอบลูกหลานได้อย่างไรว่า วันที่มืดมิดที่สุดของสังคม ผมทำอะไรอยู่ ผมจะมีความสุขได้อย่างไร ในขณะที่พี่น้องประชาชนกำลังเดือดร้อนอยู่ทุกหย่อมหญ้า…"

"…ปัจจุบันคือเริ่มต้นการเดินทาง การเดินทางที่จะนำการเมืองไทยออกจากความขัดแย้ง ด้วยการสร้างฉันทามติของการอยู่ร่วมกันใหม่ การเมืองไทยที่จะหาฉันทามติร่วมกัน คือฉันทามติแห่งการกลับมาสู่วิถีประชาธิปไตย นี่คือการเริ่มต้นของการเดินทางที่จะพาสังคมไทยออกจากอนาคตเก่า ด้วยการเมืองแห่งความหวัง…"

ธนาธร ได้แสดงเจตนารมณ์ว่า "…ในด้านการมีส่วนร่วม พรรคของเราพูดในสิ่งที่ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนสังคมไม่พร้อมจะรับฟัง ดูเหมือนสิ่งที่พูดตอนที่ก่อตั้งพรรค ดูเหมือนจะก้าวร้าวและทำให้สังคมหวาดกลัว แต่ทุกวันนี้วาระที่เราพูด ใครๆ ก็พูดกัน เช่น การไม่เอารัฐธรรมนูญปี 60 , การลดอำนาจทหาร , การทำให้รัฐประหารที่ผ่านมาเป็นครั้งสุดท้าย ทุกวันนี้ประชาชนพูดเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ พวกเรามีส่วนร่วมในการปักวาระที่ก้าวหน้านี้ให้กับสังคม แต่ทั้งหมดนี่คือพวกเรา ทุกคนที่มาที่นี้และอีกหลายคนที่ไม่ได้มา แสดงให้เห็นว่า ในสังคมไทยยังมีพลังที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ท่ามกลางความมืดมิดยังมีกองไฟอีกหลายกองที่ส่องสว่างอยู่ บางกองอาจกำลังจะมืดมิด บางกองกำลังหาแรงบันดาลใจใหม่ มาร่วมกันเป็นฟืนแห่งกำลังใจให้แก่กันและกัน หน้าที่ของเราคือ นำกองไฟเหล่านี้มารวมกันแล้วโหมกระพือ ทำให้เป็นกองไฟที่ใหญ่โตและเจิดจรัส ส่องแสงท่ามกลางสังคมที่มืดมิดอีกครั้งหนึ่ง…"

จุดยืนที่ชัดเจนเช่นนี้ได้สื่อสารเพื่อบอกสังคมและประชาชนว่า การปฏิวัติสังคมสามารถทำได้ทุกวัน อย่าเพิ่งเบื่อหน่ายที่ต้องทะเลาะ ถกเถียง หรือโต้แย้งทางความคิดกับคนที่เห็นต่างทางการเมืองในสื่อออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นในอินเทอร์เน็ทหรือเฟซบุ๊ค หากคุณมีสิ่งที่เชื่อและศรัทธาอย่างบริสุทธิ์ใจแล้ว จงเริ่มพูดคุยหรือจัดวงเสวนากับคนรอบข้างอย่างมีเหตุผล รณรงค์ในสิ่งที่คุณเชื่อและศรัทธาด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้ใครมารณรงค์ให้คุณ สิ่งสำคัญคือ ต้องทำให้ทุกคนเห็นว่า "…การเมืองเป็นเรื่องปกติของประชาชน ทำให้ทุกคนเห็นว่า คนที่มีส่วนร่วมทางการเมืองไม่ใช่คนที่สกปรก ไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัว อย่างที่พวกเขาต้องการให้เราเชื่อ เราสามารถทำให้การเมืองเป็นเรื่องที่สร้างสรรค์ สนุกสนาน และมีชีวิตชีวาได้อย่างที่เราทำกันในวันนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็หนักแน่นและเต็มไปด้วยอุดมการณ์ได้เช่นกัน และนั่นคือการเมืองที่พรรคนี้อยากจะสร้างขึ้น บางครั้งในการทำสิ่งเหล่านี้อาจจะสำเร็จ แต่มากครั้งเราจะล้มเหลว และการล้มเหลวจะทำให้เราได้ประสบการณ์และเติบโต แต่เมื่อเราทำสำเร็จ มันจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอีกหลายคนที่อยู่รอบข้างเรา มาทำให้การเมืองเป็นเรื่องของคนธรรมดา มาทำให้การปฏิวัติสังคมเป็นเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันด้วยกัน…"

แต่ความกังวลใจก็ยังมีอยู่ เพราะการประชุมจัดตั้งพรรคนี้ถือเป็นก้าวแรกของการเริ่มต้นเดินทาง และก้าวต่อไปจะเป็นการเดินทางที่หนักกว่าสาหัสกว่านี้ เพราะมีอุปสรรคขวากหนามมากมายที่รออยู่ข้างหน้า แต่สิ่งหนึ่งที่ยังมั่นคงในอุดมการณ์ในการสร้างอนาคตใหม่ให้สังคมไทยก็คือ "…เพื่อกรรมกรที่ได้รับค่าแรงเพียงค่าแรงขั้นต่ำ แต่กำลังจะเกษียณอายุโดยไม่มีเงินเก็บ , เพื่อคนที่มีความคิดสร้างสรรค์และอยากนำความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองมาสร้างธุรกิจใหม่ แต่ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อค่าใบอนุญาต แต่ต้องจ่ายเงินค่าคุ้มครองให้กับเจ้าพ่อ , เพื่อเยาวชนที่เกิดมาในครอบครัวที่เป็นหนี้ เราจะต้องไม่ให้เขาถูกกักขังด้วยชาติกำเนิด , เพื่อคนที่มีความฝันทุกคน ไม่ว่าความฝันนั้นจะเรียบง่ายหรือทะเยอทะยาน ให้มีโอกาสได้ไล่ตามความฝันของตัวเอง…"

สิ่งที่ธนาธรได้เน้นย้ำและพูดถึง ก็คือ "…การเมืองแห่งความหวัง อยากให้ใคร่ครวญสักนิดว่า ทำไมเราต้องพูดถึงการเมืองแห่งความหวัง คนที่มาที่นี่รู้อะไรบางอย่างที่ทหาร สื่อกระแสหลัก และคนชั้นนำไม่รู้และไม่มีทางจะรู้ นั่นคือ ประชาชนรู้สึกเบื่อระอาเต็มทีกับการเมืองที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนกลุ่มน้อย ทุกคนถามคำถามเดียวกันทั่วประเทศว่า เมื่อไหร่ชีวิตความเป็นอยู่จะดีขึ้น ประชาชนทั้งประเทศถามว่า ทำไมคนที่รวยที่สุดในประเทศเพียง 5 คน ถึงมีความมั่งคั่งถึง 3 ล้านล้านบาท , ทำไมคนที่รวยที่สุดเพียง 1% ถึงมีความมั่งคั่งมากกว่าคนอีก 60 กว่าล้านคนรวมกัน , ทำไมคนเพียงแค่ 10% ถึงถือครองที่ดินในการทำกินมากกว่า 90% ของที่ดินทั้งประเทศ , ทำไมประเทศไทยถึงมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเยอะเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากรัสเซียและอินเดีย ไม่เคยมีคำตอบต่อคำถามเหล่านี้จากคนชั้นนำ ไม่มีคนตอบคำถามนี้ แต่ผมจะตอบให้ดู..."

"…ทุกโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในทุกวันนี้ มันออกแบบมาเพื่อคนกลุ่มเดียว และคนกลุ่มนี้ต้องการที่จะเยื้อไว้ หยุดประเทศไทยไว้ ไม่ให้ก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่ให้เปลี่ยนแปลง เพราะการก้าวหน้าหรือการเปลี่ยนแปลง หมายถึงการทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่พวกเขาได้ประโยชน์อยู่ ดังนั้นเขาจึงต้องการรักษามันไว้ ให้อยู่ในสภาพปัจจุบันให้นานเท่านาน..."

ธนาธร ได้ฉายภาพว่า กลุ่มคนชั้นนำที่เป็นคนส่วนน้อยในสังคมนั้นได้พยายามสร้างภาพ ผลิตซ้ำวาทกรรม พร้อมทั้งเล่านิทานก่อนนอน เพื่อหลอกลวงประชาชนให้เชื่อว่า ที่ผ่านมาประชาชนนั้นโง่เขลา เกียจคร้าน และพร้อมจะขายสิทธิ์ขายเสียงหรือขายความเป็นมนุษย์เพื่อเงิน การที่คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้จน ไม่ใช่เรื่องความเกียจคร้านหรือความโง่ แต่เป็นเรื่องสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ถูกกีดกัน สิ่งเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถหลุดพ้นจากความจนได้ ประชาชนไม่มีสิทธิและเสรีภาพอย่างที่พลเมืองคนหนึ่งพึงมี 

อีกทั้งยังอธิบายเพิ่มเติมในหลักการกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปยังส่วนภูมิภาค พร้อมทั้งเสนอให้ลดอำนาจรวมศูนย์ของคนชั้นนำในกรุงเทพฯ ลง เพราะเชื่อว่า "…เพียงแค่รัฐยอมปล่อยอำนาจให้ท้องถิ่นจัดการตัวเองบ้าง เพียงแค่จัดความสำคัญของการใช้งบประมาณแบบอื่น หรือใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เด็กๆ ทุกคนก็สามารถมีอาหารกลางวันกินได้ และมีรถโรงเรียนที่ปลอดภัยได้ กลุ่มคนที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงสร้างปัจจุบัน นอกจากจะเกลี้ยกล่อมให้ประชาชนเชื่อว่าตัวเองโง่แล้ว ยังพยายามเกลี้ยกล่อมให้พวกเราเชื่ออีกว่า พวกเราเป็นคนส่วนน้อยของสังคม คนส่วนน้อยที่ต้องพอเพียงกับความจนเพื่อการพัฒนาของคนส่วนใหญ่..."

"…พวกเราคือ คนจนเมือง พวกเราคือ แรงงานนอกระบบส่วนน้อยที่ยอมเสียสละสิทธิ์ในการเข้าถึงสวัสดิการรัฐเพื่อรักษาวินัยทางการคลังของคนส่วนใหญ่…"

"…พวกเราคือ เกษตรกร , ชาวนาที่ยอมทำนาจนผิวไหม้เกรียม เส้นเอ็นปูดโปน เพื่อให้คนส่วนใหญ่มีกิน…"

"…พวกเราคือ กรรมกร กลุ่มคนส่วนน้อยที่ต้องเสียสละยอมรับค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อให้คนส่วนใหญ่ส่งออกได้…"

"…พวกเราคือ กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ คนส่วนน้อยที่ต้องเสียสละสิทธิ์ในเพศสภาพตัวเอง เพื่อรักษาจารีตประเพณีของคนส่วนใหญ่…"

"…พวกเราคือ นักเรียน , นักศึกษาที่ต้องยอมเสียตัวตนของเราเพื่อรักษาระเบียบของคนส่วนใหญ่…"

"…พวกเราคือ กลุ่มคนชาติพันธุ์ที่ต้องเสียวิถีชีวิตของตัวเองเพื่อรักษาป่าให้กับคนส่วนใหญ่…"

"…พวกเราถูกหลอกให้เชื่อว่า เราเป็นคนส่วนน้อย แต่ในข้อเท็จจริง พวกเราคือ คนส่วนใหญ่ในสังคมที่ยอมเสียสละให้คนส่วนน้อยเสมอมา คนส่วนใหญ่เหมือนคนที่ทำผิด เหมือนนักโทษที่ถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนอยู่ในคุก และสิทธิ์เดียวที่ได้รับอนุญาตจากผู้คุมให้เรามี ก็คือ สิทธิ์ในการเลือกผู้นำนักโทษ..."

ความหวังของการทำพรรคการเมืองที่ธนาธรคาดหวังไว้ ก็คือ การส่งเสียงและสัญญาณไปถึงวิธีการทำการเมืองแบบเก่า ว่าพอกันทีสำหรับการเอื้อประโยชน์ให้กับคนกลุ่มน้อย และได้ชักชวนประชาชนคนรุ่นใหม่ให้มาร่วมกันทำลายโซ่ตรวนที่พันธนาการความก้าวหน้าของสังคมออก ด้วยมือเปล่าๆ ของคนส่วนใหญ่ พรรคอนาคตใหม่จะทำการเมืองแบบใหม่ที่ไม่ใช้คำโกหก ไม่ใช้วิธีใส่ร้ายป้ายสีหรือการสาดโคลน หรือผลิตวาทกรรมเพื่อสร้างความแตกแยกและความเกลียดชัง เพื่อแบ่งแยกประชาชนออกจากกัน 

อุดมการณ์ของพรรคนั้น ต้องการสร้างสังคมแบบใหม่ที่เป็นการเมืองแห่งความหวัง "…เพราะสิ่งที่แบ่งแยกประชาชนอยู่ทุกวันนี้ ก็คือ กลุ่มคนชั้นนำที่ได้ผลประโยชน์จากโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมแบบนี้ กับคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ในการลืมตาอ้าปาก คนส่วนน้อยที่ถือปืนและกดหัวประชาชนไว้ กับคนส่วนใหญ่ที่ถูกปิดหู ปิดตา และปิดปาก เราต้องการการเมืองแห่งความหวัง หวังถึงการมีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบายน้ำของคนอยุธยาที่โดนน้ำท่วมปีละ 3 เดือน , เราต้องการการเมืองแห่งความหวัง หวังถึงสิทธิ์ในการมีส่วนร่วมพัฒนาทรัพยากรชายฝั่งของชาวประมงพื้นบ้าน , เราต้องการการเมืองแห่งความหวัง หวังถึงงานให้กับคนตกงาน ความหวังถึงบ้านให้กับคนที่ไม่มีบ้าน ความหวังถึงสังคมที่คนเท่ากันที่ 'นวมทอง ไพรวัลย์' ไม่มีโอกาสได้เห็น…"

ทั้งนี้ธนาธรยังได้กล่าวกับผู้ที่มาเป็นสักขีพยานในการประชุมจัดตั้งพรรคว่า "…มาร่วมกันขยับประเทศไทย มาร่วมกัน disrupt การเมืองไทย เพื่อบอกว่า การเมืองที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนชั้นนำเพียงไม่กี่คน มันหมดไปแล้ว เพื่อที่คนไทยทุกคนจะได้สิทธิ์และเสรีภาพที่พวกเขาพึงมีกลับคืนมา เพื่อที่คนไทยทุกคนจะได้สิทธิ์ในการไขว้คว้าความฝันของตัวเองกลับคืนมา เริ่มทำตั้งแต่วันนี้ และเริ่มทำทุกวัน ไม่ต้องรอใคร…"

"…สุดท้ายนี้ ถ้าความหวังของทุกท่าน เป็นความหวังเดียวกับของผม ผมอยากชักชวนทุกท่านให้มาร่วมกันสร้างพรรคนี้ให้เป็นพรรคของประชาชน ให้เป็นพรรคที่ยืนเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศด้วยกัน หยุดกลัว ลุกขึ้นยืนด้วยความกล้าหาญ และเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่เป็นธรรมอยู่ในสังคมนี้ร่วมกัน มาร่วมขีดเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ด้วยหวังว่า เราจะสามารถส่งต่อสังคม ส่งต่อสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่มากขึ้นให้กับลูกหลานของเราต่อไป อย่างที่ครั้งหนึ่งพ่อกับแม่ผมเคยฝันและเคยทำให้ผม เพื่ออนาคตใหม่ที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน..."

วิสัยทัศน์บนเวทีในวันนั้น เปรียบเสมือน เป็นการจุดไฟท่ามกลางสายฝน , เป็นอิฐก้อนแรกที่ก่อขึ้นเป็นกำแพง , เป็นคนจุดประกายไฟในกองฟืนที่เริ่มโรยราและรอวันมอดไหม้ให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง , เป็นคนแรกที่พร้อมจะนำทุกคนวิ่งไปหาแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ถึงแม้ว่ามันจะมืดมิดและไม่รู้ว่าต้องวิ่งไปอีกไกลเท่าไหร่ ทั้งนี้ธนาธรได้ปลุกเร้าพลัง ความหวัง และความฮึกเหิมขึ้นในใจคน เพราะเชื่อว่า หากมีความมุ่งมั่นและมีศรัทธาที่แน่วแน่แล้ว การสร้างความหวังและกำลังใจให้กับคนส่วนใหญ่จะทำให้สังคมตื่นรู้ , ตาสว่าง และลุกขึ้นยืนตรง พร้อมที่จะเผชิญหน้าท้าทายกับรัฐบาลเผด็จการทหารอย่างกล้าหาญ เพราะความหวังเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ และเป็นสิ่งเดียวที่จะนำพาประชาชนให้มุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ เพื่อร่วมสร้างอนาคตใหม่ด้วยกัน สำหรับลูกหลานคนไทยทุกคน

  

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ก้าวสำคัญของนอนไบนารี ศาลเนเธอร์แลนด์อนุญาตให้คนแก้เพศในสูติบัตรตนเองเป็น 'ไม่กำหนดเพศ' ได้

Posted: 31 May 2018 01:02 AM PDT

ศาลในจังหวัดลิมบูร์กของเนเธอร์แลนด์ อนุญาตให้บุคคลชื่อลีออนน์กลับไปเปลี่ยนสูติบัตรของตัวเองให้กลายเป็น "ไม่กำหนดเพศ" (no determined sex) ได้เนื่องจากเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นชายหรือเป็นหญิง เรื่องนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับนอนไบนารีในเนเธอร์แลนด์ที่จะแผ้วถางไปสู่การแก้กฎหมายอย่างเป็นทางการในเรื่องนี้ได้

ธงนอนไบนารี ออกแบบโดย Kye Rowan อายุ 17 ปี ในเดือน ก.พ.2014

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา สื่อดัชท์นิวส์รายงานว่า ศาลในจังหวัดลิมบูร์กของประเทศเนเธอร์แลนด์ตัดสินอนุญาตให้บุคคลที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเพศใดก็ตามสามารถขอสูติบัตรของตัวเองใหม่เป็น "ไม่กำหนดเพศ" (no determined sex) ได้ ซึ่งสื่อ Pink news ระบุว่าเรื่องนี้ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในแง่ที่เป็นการยอมรับผู้ไม่อยู่ในระบบสองเพศหรือ 'นอนไบนารี' (Non-Binary) 

คดีในเนเธอร์แลนด์เป็นกรณีของบุคคลที่เกิดในปี 2504 และถูกแจ้งเกิดว่า "เป็นชาย" เพราะทางพ่อแม่คิดไปเองว่ามัน "ง่ายกว่าสำหรับเด็ก" แต่โจกท์ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นชายจึงเปลี่ยนแปลงตัวเอง "เป็นหญิง" ในปี 2544 แต่ต่อมาบุคคลผู้นี้ก็ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ยกเลิกเพศหญิงของตนเองแล้วเปลี่ยนเป็น "ไม่กำหนดเพศ" และศาลครอบครัวประจำลิมบูร์กในเมืองรอมองด์ก็ให้อนุญาตในเรื่องนี้ จนทำให้กลายเป็นการแผ้วถางแนวทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฎหมายอย่างเป็นทางการให้กับนอนไบนารีได้

สำหรับเนเธอร์แลนด์ตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมาผู้คนสามารถเลือกระบุไม่กำหนดเพศทารกในใบแจ้งเกิดได้ แต่ตัวเด็กเองเมื่อโตขึ้นแล้วกลับไม่สามารถกลับไปแก้เพศในใบแจ้งเกิดของตัวเองได้ จนกระทั่งมีการตัดสินจากศาลในคดีล่าสุดนี้ได้เปลี่ยนแปลงให้คนสามารถกลับไปแก้สูติบัตรตัวเองได้แล้ว 

ก่อนหน้านี้ในปี 2550 เคยมีคดีที่ศาลสูงสุดของเนเธอร์แลนด์ปฏิเสธไม่ยอมรับคำร้องขอเปลี่ยนเพศตนเองในใบสูติบัตรให้ระบุว่า "เป็นกลางทางเพศ" (gender neutral)

อย่างไรก็ตามสำหรับคดีล่าสุดศาลในลิมบูร์กระบุว่า พัฒนาการทางสังคมและทางกฎหมายในประเด็นเรื่องความเป็นกลางทางเพศก็เปิดทางให้ระบุเป็นเพศอื่นในใบสูติบัตรได้นอกเหนือจากหญิงหรือชาย พวกเขายกตัวอย่างพัฒนาการทางสังคมดังกล่าวเช่นเรื่องการที่บริษัทรถไฟของเนเธอร์แลนด์เริ่มพูดถึงผู้โดยสารด้วยภาษาเป็นกลางทางเพศแทนคำว่า "สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี" แบบในอดีต อีกตัวอย่างหนึ่งคือการที่เนเธอร์แลนด์มีห้องน้ำเป็นกลางทางเพศเพิ่มมากขึ้น

ศาลในลิมบูร์กให้เหตุผลถึงการตัดสินในครั้งนี้ว่า การบีบให้บุคคลนอนไบนารีระบุถึงเพศตัวเองเป็นชายหรือหญิงแทนที่จะเป็น "ไม่กำหนดเพศ" นั้นถือเป็นการขัดกับหลักการเรื่องสิทธิในชีวิตส่วนตัว ในการเลือกตัดสินใจ และอิสรภาพของบุคคลนั้นๆ (right to a private life, self determination and autonomy) ศาลกล่าวอีกว่าถ้าหากบุคคลไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเพศชายหรือเพศหญิง พวกเขาก็ควรจะสามารถระบุไว้ในเอกสารทางการเช่นนั้นได้

ลิออนน์โจทก์ในคดีนี้ให้สัมภาษณ์ต่อโทรทัศน์ RTL ว่ามันเป็นคำตัดสินที่ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด เขารู้สึกมีความสุขมากไม่ใช้แค่กับตัวเองเท่านั้นแต่เขาได้ทำเพื่อคนข้ามเพศจำนวนหลายพันคนที่เคยพูดคุยกับเขาในฐานะที่เขาเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาด้วย ในมุมทางเพศสภาพของตัวเองลีออนน์กล่าวว่าเขาไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นชายหรือเป็นหญิงแต่เป็น "อะไรที่อยู่ตรงกลางพอดี"

นอกจากเนเธอร์แลนด์แล้ว รัฐรัฐซัสแคตเชวันของแคนาดาก็เพิ่งจะตัดสินอนุญาตให้มีการออกสูติบัตรโดยไม่ต้องระบุเพศเด็กได้ จากกรณีที่มีพ่อคนหนึ่งชื่อ ฟราน ฟอร์สเบิร์ก เป็นตัวแทนลูกหญิงข้ามเพศของตัวเองในการร้องเรียนต่อศาลขอเปลี่ยนใบสูติบัตรของลูกเขาจากชายเป็นหญิง ซึ่งฟอร์สเบิร์กไม่ได้หยุดแค่นั้น เขายังดำเนินการเผื่อลูกหลานของคนอื่นๆ ด้วยการร้องเรียนขอให้ยกเลิกการใส่เพศในสูติบัตร และเมื่อศาลตัดสินออกมาเขาก็กล่าวแสดงความยินดีกับเด็กคนอื่นๆ รวมถึงชาวนอนไบนารีด้วย

 

เรียบเรียงจาก

Adult wins case to have Dutch birth certificate changed to 'undetermined gender', Dutch News, 28-05-2018

Netherlands allows person to identify as non-binary for the first time, Pink News, 28-05-2018

Canadian province told by court to allow people to remove gender from birth certificates, Pink News, 28-05-2018

 

ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง Non-binary

'นอน-ไบนารี่' สำนึกทางเพศที่ไม่ใช่ชาย-หญิง หรือความเรื่องมากของคนที่ไม่เข้าพวก?

https://prachatai.com/journal/2018/01/74982

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พล.อ.ประวิตรยัน เลือกตั้งกุมภา 62 แน่นอน

Posted: 31 May 2018 12:58 AM PDT

หลังมีกระแสกังวลว่าคำนวณไปคำนวณมาอาจได้เลือกตั้งเดือนเมษาแทนกุมภา ผู้สื่อข่าวถาม ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้คำยืนยันว่า เลือกตั้ง ก.พ.62 ไม่มีเลื่อน และจะมีการหารือกับพรรคการเมืองกำหนดวันเลือกตั้งปลายมิ.ย.

31 พ.ค.2561 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ และหลังจากนั้นมีความกังวลของหลายฝ่ายว่าอาจจะต้องเลื่อนโรดแมปตามกรอบเวลาเดิมที่ประกาศไว้ว่า ขอยืนยันว่าโรดแมปการเลือกตั้งไม่เลื่อน และจะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 นี้อย่างแน่นอน ส่วนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะสบายใจหรือไม่ที่ทุกอย่างเดินหน้า พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็สบายแล้ว หาก คสช.หมดหน้าที่ก็หมดหน้าที่ ซึ่งเป็นไปตามโรดแมป และตนเองหวังให้เลือกตั้งออกมาเรียบร้อย

ส่วนกรอบเวลา 150 วันก่อนการเลือกตั้งจะปรับเวลาเป็น 90 วัน เพื่อให้ทันเดือนกุมภาพันธ์ปี 2562 หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ปรับเพราะต้องเป็นไปตามกฎหมาย นอกจากนี้เขายังกล่าวถึงการหารือพรรคการเมืองก่อนกำหนดวันเลือกตั้งว่า การหารือน่าจะไม่เลื่อน คาดว่าจะหารือประมาณปลายเดือนมิถุนายนนี้

ก่อนหน้านี้นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า หากคำนวณกระบวนการต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเต็มเวลาแล้ว จะต้องใช้เวลาอีก 11 เดือน ซึ่งเท่ากับจะมีการเลือกตั้งในเดือน เมษายน 2562 (อ่านที่นี่)

 

 



ที่มา: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แอมเนสตี้ชวนทั่วโลกส่งจดหมายเรียกร้องไทยยุติคดีกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง

Posted: 31 May 2018 12:38 AM PDT

31 พ.ค.2561 สำนักเลขาธิการใหญ่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ออกปฏิบัติการด่วน เชิญชวนสมาชิก นักกิจกรรมและผู้สนับสนุนกว่า 7 ล้านคนทั่วโลกร่วมกันส่งจดหมายเรียกร้องทางการไทยให้ยุติการดำเนินคดีต่อกลุ่มคนอยากเลือกตั้งจำนวน 15 คน และภายหลังมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมรวมทั้งหมด 62 คน ซึ่งการรณรงค์นี้จะมีไปถึงวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 (อ่านที่นี่)

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 กลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มคนอยากเลือกตั้งจำนวน 15 คนถูกพนักงานสอบสวนควบคุมตัวและแจ้งข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ในหลายฐานความผิด จากการเข้าร่วมการประท้วงอย่างสงบในโอกาสครบรอบสี่ปีรัฐประหาร (อ่านที่นี่)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมายจับคนกัมพูชาทำข่าวปลอม “นายกฯ ให้เติมน้ำเปล่า” 6 คนไทยแชร์โดนด้วย

Posted: 31 May 2018 12:08 AM PDT

ตร.แถลงข่าว หาต้นตอ-ออกหมายจับคนทำข่าวปลอม นายกฯ ไล่ประชาชนไปเติมน้ำเปล่าแทนน้ำมัน ได้แล้ว รายงานข่าวแจ้งว่าทางการไทยประสานกัมพูชาจนสามารถจับตัวได้แล้วกำลังตรวจสอบ ส่วนคนไทยแชร์ข่าวโดนแจ้งข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ด้วย

เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.) ศูนย์ราชการฯ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (รองผบช.ทท.) แถลงว่า พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผกก.3 บก.ปอท. สืบสวนทราบว่า นายรัตนะ เฮง อายุ 21 สัญชาติกัมพูชา เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 30 พ.ค.2561 ในความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน เนื่องจากตรวจสอบพบว่านายรัตนะเป็นบุคคลนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยโพสต์บทความลงในอินเตอร์เน็ต กล่าวหาบิดเบือน พาดหัวข่าวว่า "ฟิวขาด ด่ากราดปปช. ไล่ให้เติมน้ำเปล่าแทนดีเซล อย่าโง่ วอนประชาชนอย่าเรื่องมาก" โดยการโพสต์ข้อความมาจากประเทศกัมพูชา

นอกจากนั้นตำรวจยังออกหมายเรียกและเชิญตัวผู้ต้องหาจำนวน 6 ราย ซึ่งเป็นผู้แชร์ต่อข้อมูลข่าวอันเป็นเท็จดังกล่าว ประกอบด้วย นายธนวัชร์ อ้อนวอน นายรุ่งโรจน์ ปรีชา นางสาวปภาศร สระอุบล นางสาวจิตาภา บุญทวี นางสาวประภัสสร วันชูชิต และนายรฐนนท์ ชัยชนะ มาพบพนักงานสอบสวน บก.ปอท. และแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า กระทำความผิดฐานเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย ต่อการรักษาความมั่งคงปลอดภัยของประเทศหรือความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน โดยจากการสอบปากคำเบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดรับสารภาพแต่ไม่ได้มีเจตนา

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับนายรัตนะ มีที่อยู่ที่ประเทศกัมพูชาที่สำนักงานปรินติ้ง และทำบิทคอยน์มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ และมีแนวคิดต่อต้านรัฐบาล เว็บไซต์ ratstas มักนำเสนอข่าวที่มีเนื้อหาและข้อมูลอันเป็นเท็จ

รายงานว่าแจ้งว่า  พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ได้ประสานข้อมูลทางการสืบสวนกับทางพล.อ.เซาเซาะคา ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการรักษาความสงบภายในกัมพูชา ให้ตรวจสอบ เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่จากกองกำลังรักษาความสงบภายในกัมพูชาได้ลงพื้นที่สืบสวนจนสามารถคุมตัวนายรัตนะ ได้ที่บ้านพักแห่งหนึ่งใจกลางกรุงพนมเปญ โดยในวันนี้ทางพล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบช.ทท. พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รองผบก.ทท.1 พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รองผบก.ทท.2 และพ.ต.อ.นิธิธร จินตกานนท์ รองผบก.สปพ. พร้อมคณะตำรวจไทย จะเดินทางไปร่วมตรวจสอบว่าเป็นบุคคลเดียวกันตามหมายจับหรือไม่ ซึ่งหากเป็นบุคคลตามหมายจับจริงก็จะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อดำเนินการตามกฏหมายต่อไป

ทั้งนี้ ความผิดฐานนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคง ในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ตามมาตรา 14 (3) ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่มา: เว็บไซต์มติชน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กทม.ชวนประชาชนใส่ “เสื้อเหลือง” ตลอด ก.ค.

Posted: 30 May 2018 11:05 PM PDT

เพื่อเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 66 พรรษา กทม.ชวนประชาชนใส่เสื้อสีเหลืองตลอดเดือน ก.ค. ทุกหน่วยงานรัฐเอกชนประดับธงประปรมาภิไธย พระบรมฉายาลักษณ์ และเตรียมจัดงานใหญ่ 27-29 ก.ค.

31 พ.ค.2561 Springnews รายงานว่า นายภัทรุตม์ ทรรทรานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมเตรียมการจัดกิจกรรมเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 66 พรรษา 28 กรกฎาคม 2561 โดยมีรองปลัดกรุงเทพมหานคร หัวหน้าหน่วยงาน ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม โดยกรุงเทพมหานครได้มอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายให้เรียบร้อยตามกำหนดระยะเวลา อาทิ

สำนักการโยธา ดำเนินการประดับพระฉายาลักษณ์และภาพพระราชกรณียกิจ ประดับธงชาติไทย ร่วมกับธงพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. และประดับไฟตกแต่งบนถนนสายหลัก ได้แก่ ถนนราชดำเนินนอก ราชดำเนินกลาง ราชดำเนินใน และบริเวณโดยรอบท้องสนามหลวง รวมทั้งการประดับตกแต่งบริเวณอาคารศาลาว่าการ กทม. 1 และ กทม. 2 ด้วย

ในส่วนของพื้นที่การจัดกิจกรรมบริเวณสนามหลวง ซึ่งมีกิจกรรมระหว่างวันที่ 27 – 29 ก.ค. 61 นั้น สำนักพัฒนาสังคมจัดกิจกรรมฝึกอาชีพ 10 อาชีพ บริเวณเต็นท์ฝึกอาชีพ ตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น. ในวันที่ 27 ก.ค. ฝึกสอน สานชะลอม ขนมทองเอก พานบายศรี ร้อยมาลัย (มาลัยข้อมือ) และของชำร่วย (พัดบุหงา) วันที่ 28 ก.ค. ฝึกสอน ช่อม่วง งานปั้นดิน (ตะกร้าผัก – ผลไม้) งานเพ้นท์ประยุกต์ งานผ้าต่อ (กระเป๋าเก็บกุญแจ) และของชำร่วย (เครื่องหอม)

นอกจากนี้สำนักอนามัยและสำนักการแพทย์ยังจัดทีมให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข อาทิ จัดหน่วยแพทย์พร้อมรถฉุกเฉิน และจัดหน่วยปฐมพยาบาลให้บริการผู้เข้าร่วมกิจกรรม

นอกจากนี้ในวันที่ 26 ก.ค.เวลา 09.00 น. กรุงเทพมหานคร ยังได้จัดกิจกรรม "ทำความดี ด้วยหัวใจ"พัฒนาพื้นที่ริมคลองเปรมประชากร ริมคลองผดุงกรุงเกษม และพัฒนาทำความสะอาดวัดเบญจมบพิตร วัดมกุฎกษัตริยาราม และวัดโสมนัส เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยในพื้นที่ 50 สำนักงานเขตของกรุงเทพมหานครก็จะจัดกิจกรรมพัฒนาทำความสะอาดคู คลอง วัดและโรงเรียน ในวันและเวลาเดียวกัน อีกทั้งกรุงเทพมหานครจะจัดกิจกรรมบริจาคโลหิต ณ บริเวณห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่ากทม. ด้วย

ในวันที่ 27 ก.ค. เวลา 09.00 น. จะมีพิธีปล่อยขบวนไมโครคาร์พาเหรดเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากลานคนเมือง เลี้ยวซ้ายไปถนนบำรุงเมือง ผ่านเสาชิงช้า วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร แยกสำราญราษฎร์ เลี้ยวซ้ายผ่านวัดราชนัดดา เลี้ยวซ้ายผ่านลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ถนนราชดำเนินกลาง เข้าสู่ท้องสนามหลวง

เนื่องในโอกาสมหามงคลครั้งนี้ กรุงเทพมหานครขอเชิญชวนหน่วยงานราชการ เอกชน และประชาชน ประดับพระบรมฉายาลักษณ์ และธงชาติไทย ร่วมกับธงพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. ตามอาคาร สถานที่ทำการ และบ้านเรือน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. เป็นต้นไป รวมทั้งสวมใส่เสื้อสีเหลืองตลอดเดือน ก.ค. นี้ 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

'ชูสามนิ้ว' ไกลถึงนอร์เวย์ เนติวิทย์เล่าสถานการณ์ปัญหาพร้อมชวนต่างชาติร่วมกิจกรรม

Posted: 30 May 2018 08:47 AM PDT

วีดิโอด้านบนนี้เป็นการกล่าวปาฐกถาของบุคคลในชาติต่างๆ ที่ไปร่วมงาน Oslo Freedom Forum ที่จัดขึ้นที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ (ระหว่างวันที่ 28-30 พ.ค.2018) ในวันที่สองของงาน หนึ่งในคนที่ขึ้นพูดในเวทีนี้มาจากประเทศไทย นั่นคือ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล อดีตประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ที่เพิ่งถูกปลดไปเร็วๆ นี้) ในหัวข้อ
The Student vs. The Military

ประมาณนาทีที่ 1.14.00 จะปรากฏภาพเขาเริ่มพูดถึงจุดเริ่มต้นความสนใจการเมืองของเขาและสถานการณ์ขาดไร้เสรีภาพในประเทศไทยภายใต้รัฐบาล คสช. กระทั่งในนาทีที่ 1.24.00 จะเห็นว่าเขาจบการพูดที่โพเดียมและเดินออกมายืนหน้าเวทีเพื่อเชิญชวนผู้ร่วมฟังในห้องประชุมนั้น "ชูสามนิ้ว" อันเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐบาลทหารในประเทศไทย เพื่อกดดันให้รัฐบาลทหารจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว เขาบอกว่าสัญลักษณ์นี้เป็นที่น่าหวาดกลัวมากสำหรับรัฐบาล แต่เชื่อมมั่นว่าทุกคนที่นี่จะไม่โดนจับแน่นอน
 
เวทีแห่งนี้จัดมาเป็นครั้งที่ 10 แล้ว นับตั้งแต่ปี 2009 มีสโลแกนหลักว่า "ท้าทายอำนาจ" มันเป็นเวทีที่รวมบรรดาบุคคลผู้กล้าหาญทั่วโลก ทั้งในแวดวงนักกิจกรรม ผู้ประกอบการสร้างสรรค์, สื่อมวลชน, ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี, ผู้ผลิตนโยบายทั้งหลาย รวมถึงบรรดาศิลปิน มาร่วมกันแลกปลี่ยนประสบการณ์และหาหนทางในการขยายพื้นที่เสรีภาพและปลดปล่อยศักยภาพของมนุษย์

สำหรับเนื้อหาการพูดของเนติวิทย์นั้น Voice TV ได้จัดแปลไว้ครบถ้วน ดังนี้

"ผมคงไม่ได้มาที่นี่ถ้าผมถูกจับพร้อมเพื่อนที่ออกไปประท้วงในวันครบรอบ 4 ปีการรัฐประหาร เพื่อทวงการเลือกตั้งจากรัฐบาลทหาร ผมอยากจะขอยกย่องความมุ่งมั่นในจิตวิญญาณประชาธิปไตยของพวกเพื่อนๆ ผม ที่พยายามจะนำมา (ซึ่งประชาธิปไตย) ให้กับพวกเรา

ชีวิตผมไม่ได้ต่างจากเด็กไทยทั่วๆ ไป ผมโตมาในครอบครัวชนชั้นกลางของสังคมไทย ผมเป็นเด็กที่เรียนได้ในระดับพอใช้ ผมไม่สนใจเรื่องการเมือง ผมยอมตัดผมเกรียนและสวมเครื่องแบบนักเรียนโดยไม่ตั้งคำถาม จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมได้ทำหนังสือพิมพ์ของโรงเรียน และเขียนบทความตั้งคำถามว่าทำไมครูถึงต้องมายุ่งกับศีรษะนักเรียน ผมขอให้ครูที่ผมเชื่อใจช่วยอ่านบทความ และต่อจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้ยินเสียงเรียกจากเครื่องกระจายเสียงของโรงเรียน ให้ผมเข้าไปพบที่ห้องพักครู ผมถูกกักบริเวณ 5 ชั่วโมง เพียงเพราะผมเขียนบทความ ถามคำถามง่ายๆ ว่าทำไมครูต้องมายุ่งกับศีรษะของนักเรียน ประสบการณ์นี้ทำให้ภาพของผมในสายตาของครูเปลี่ยนไป จากนักเรียนธรรมดา กลายเป็นนักเรียนที่เป็นภัยต่อโรงเรียน ซึ่งผมถือว่ามันเป็นคำชมที่เป็นเกียรติกับผมมาก

จนกระทั่งปี 2557 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นำกองทัพคณะรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล และส่งทหารไปควบคุมทั่วประเทศ เพราะมีการเคลื่อนไหวประท้วงการก่อรัฐประหาร และพวกเขาก็ตอบโต้ด้วยการจับกุมผู้ประท้วง ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้มีอำนาจในประเทศไทยใช้กำลังปะทะกับผู้ชุมนุม เมื่อ 40 ปีก่อน นักศึกษาจำนวนมากก็ถูกสังหารหมู่ด้วยฝีมือของผู้มีอำนาจในระดับที่ไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จัตุรัสเทียนอันเหมินของจีน

เมื่อปี 2559 ในฐานะที่เป็นนิสิตคนหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งถูกมองว่าเป็นสถาบันของพวกอนุรักษนิยม เพื่อนร่วมชั้นของผม และตัวผมเอง ได้ตัดสินใจเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญด้วยการพยายามจัดกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศ ผมเชิญโจชัว หว่อง แกนนำกลุ่มนักศึกษาที่เรียกร้องการปฏิรูปประชาธิปไตยในฮ่องกงเพื่อเข้าร่วมเวทีพูดคุย เพื่อให้เขาเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนในไทย แต่ผมตกใจมากเมื่อผมไปรอเขาที่สนามบินอยู่นานกว่า 8 ชั่วโมง แต่เขาก็ไม่มา และตอนหลังผมเพิ่งรู้ว่า เขาถูกเจ้าหน้าที่ของทางการไทยควบคุมตัว และถูกส่งตัวกลับฮ่องกงในวันต่อมา นั่นเป็นครั้งแรก ภายใต้อรัฐบาลทหาร ที่ผมรู้สึกว่า ประเทศไทยได้สูญเสียเสรีภาพที่เราเคยมี และประเทศของผมตกอยู่ภายใต้อำนาจของจีนเสียแล้ว

ปีถัดมา ผมได้รับเลือกเป็นประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมและเพื่อนร่วมสภาได้ตัดสินใจเดินออกจากพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนของนิสิตใหม่แรกเข้า ซึ่งนักศึกษาปี 1 ต้องหมอบกราบต่อหน้าพระรูปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ผมเลือกที่จะยืนขึ้นแทน เพื่อรำลึกถึงพระดำริของในหลวงรัชกาลที่ 5 ที่ทรงประกาศเลิกทาส สิ่งที่ผมและเพื่อนทำลงไปกลายเป็นประเด็นถกเถียงในวงวิชาการ และอาจารย์จำนวนหนึ่งกล่าวหาว่าผมแสดงอาการก้าวร้าวแข็งข้อ และพยายามจัดฉาก และศิษย์เก่าหลายคนเรียกร้องให้ไล่ผมออก รวมถึงปลดผมออกจากการเป็นประธานสภานิสิต เช่นเดียวกับเพื่อนนิสิตคนอื่นๆ ที่เลือกจะยืน ถูกตัดคะแนนประพฤติทั้งหมด

พวกเราเจอลงโทษหนักที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่จากเหตุการณ์นี้ก็ทำให้พวกเราได้รับการสนับสนุนจากคนไทยจำนวนมาก รวมถึงนักวิชาการทั่วโลก ผู้ได้รับรางวัลโนเบล 8 ราย และนักวิชาการอีกกว่า 100 ราย แสดงความกังวล และเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยทบทวนการกระทำดังกล่าว เพราะพวกเราก็เป็นแค่นิสิตที่ต้องการแสดงความคิดเห็นของเราออกมา พวกเราไม่ได้มีอาวุธ แต่เรากลับถูกทำให้เงียบ

ล่าสุด ในประเทศไทย นักศึกษาฝึกงานคนหนึ่งเปิดโปงกระบวนการทุจริตครั้งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการฉ้อโกงเงินช่วยเหลือคนยากจน แต่อิทธิพลของกองทัพกำลังเข้าครอบงำสถาบันการศึกษาไทย พวกเขาได้เพิ่มหลักสูตรเกี่ยวกับหน้าที่พลเรือน ซึ่งไม่ได้ส่งเสริมกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์เลยแม้แต่นิดเดียว แต่เป็นการสอนให้คุณเป็นนักเรียนที่ดีที่เชื่อฟัง และผู้ดูแลการตรวจสอบขบวนการทุจริตที่ผมว่าก็เป็นรองนายกรัฐมนตรีซึ่งมีนาฬิกาหรูอยู่ในครอบครอง 25 เรือน และยังไม่มีใครแตะต้อง

นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็เปิดทางให้รัฐบาลทหารกลับมามีอำนาจได้ใหม่ในอนาคต วุฒิสมาชิกจำนวนเกือบครึ่งจะถูกแต่งตั้ง แทนที่จะถูกเลือกตั้งมาโดยประชาชน สิ่งเหล่านี้ยังไม่รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งถูกนำไปเป็นข้ออ้างในการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนผู้ที่เห็นต่าง เช่น เพื่อนของผมซึ่งเป็นนักกิจกรรมคนหนึ่งชื่อว่า ไผ่ ดาวดิน แชร์บทความของสำนักข่าวบีบีซีไทยในเฟซบุ๊ก และเขาเป็นคนเดียวที่ถูกจับ แต่คนอีกกว่า 2,600 คนที่แชร์บทความเดียวกัน กลับไม่ได้ถูกจับแต่อย่างใด

และในปีนี้ หลังจากที่ผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพทางการเมือง ทำให้ผมได้รับเกียรติอีกครั้ง ด้วยการถูก (ตำรวจ) ตั้งข้อหา เป็นแกนนำ ยุยงปลุกปั่น และก่อให้เกิดความไม่สงบ ละเมิดคำสั่ง คสช. ซึ่งถ้าถูกตัดสินว่าผิดจริงก็อาจจะถูกลงโทษจำคุก 6-7 ปี และผมเพิ่งได้รับข่าวจากเพื่อนว่าผมอาจจะโดนเพิ่มอีกข้อหา แต่ผมก็ยังมีความหวังว่าไทยจะดีขึ้น ความหวังนั้นยังไม่หายไปไหน

เมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นวันครบรอบ 4 ปีการรัฐประหาร เฟซบุ๊กเพจที่แสดงจุดยืนสนับสนุนรัฐบาลทหาร ได้จัดทำโพลสอบถามความเห็นประชาชนผู้ใช้เฟซบุ๊กว่าพวกเขายังคงสนับสนุนรัฐบาลทหารอยู่หรือเปล่า น่าประหลาดใจมากที่ร้อยละ 97 ของผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 300,000 คน ตอบว่า 'ไม่' แม้ว่าจะมีการประท้วงและล้มเหลว บางครั้งเราถูกจับ และบางครั้งทหารก็ตามไปถึงบ้านคนที่ออกมาประท้วง แต่คนไทยไม่ยอมแพ้ และเวลานั้นจะมาถึง เวลาที่จะพิสูจน์ว่าสิ่งที่พวกเราทำนั้นถูกต้อง"
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ราชกิจจานุเบกษาถอดสมณศักดิ์ 7 พระผู้ใหญ่-ศาลอนุมัติฝากขังอดีตพระพรหมสิทธิ

Posted: 30 May 2018 08:20 AM PDT

 

ราชกิจจานุเบกษาถอดสมณศักดิ์พระสงฆ์ 7 รูป ถูกกล่าวหาว่าทุจริตและถูกดำเนินคดีอาญาฐานสนับสนุนพนักงานยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน ขณะเดียวกันอดีตพระพรหมสิทธิ หรือธงชัย สุขโข ติดต่อกองปราบขอมอบตัวคดีฟอกเงิน 150 ล้านบาท โดยศาลไม่อนุมัติประกันตัว ทำให้ถูกคุมตัวไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทันที

30 พ.ค. 2561 กรณีอดีตพระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) หรือธงชัย สุขโข เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร แสดงความประสงค์จะเดินทางเข้ามอบตัวที่กองปราบปราม คดีทุจริตฟอกเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติกว่า 150 ล้านบาท ล่าสุดภายหลัง พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เดินทางไปรับตัวพระพรหมสิทธิที่วัดสระเกศ

ล่าสุดเมื่อเวลา 15.15 น. มติชนออนไลน์ ระบุว่า ตำรวจกองปราบได้นำตัวพระธงชัย มายื่นขอฝากขัง 12 วัน ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ทั้งนี้ทนายความและฆราวาสซึ่งเป็นนายประกันได้ยื่นหลักทรัพย์ 1 ล้านบาทประกอบคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว

อย่างไรก็ตามศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยตัว เนื่องจากเห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์การกระทำความผิดมีผลกระทบต่อพุทธศาสนาและทำเป็นขบวนการ หากให้ปล่อยตัวชั่วคราวเชื่อว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน โดยเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้จับสึกถอดชุดขาวและคุมตัวไปขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยทนายความจะยื่นอุทธรณ์ของประกันตัวต่อไปในวันที่ 31 พ.ค.

ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 30 พ.ค. ในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา มีการเผยแพร่ ประกาศเรื่อง ถอดถอนสมณศักดิ์ โดยมีรายละเอียดดังนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า

ด้วยปรากฏว่ามีกรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาว่า กระทําการทุจริตและถูกดําเนินคดีอาญา ในความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต

อาศัยอํานาจตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ตามความในมาตรา 5 ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ถอดถอนสมณศักดิ์ จํานวน 7 รูป ดังนี้

1. พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขโข) วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
2. พระพรหมเมธี (จํานงค์ เอี่ยมอินทรา) วัดสัมพันธวงศาราม
3. พระพรหมดิลก (เอื้อน กลิ่นสาลี) วัดสามพระยา
4. พระราชอุปเสณาภรณ์ (สมณศักดิ์เดิมคือ พระเมธีสุทธิกร) (สังคม สังฆะพัฒน์) วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
5. พระราชกิจจาภรณ์ (สมณศักดิ์เดิมคือ พระวิจิตรธรรมาภรณ์) (เทอด วงศ์ชะอุ่ม) วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร
6. พระอรรถกิจโสภณ (สมทรง อรรถกฤษณ์) วัดสามพระยา
7. พระศรีคุณาภรณ์ (บุญทวี คํามา) วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ยกเว้นลําดับที่ 3 5 6 และ 7 ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่ถูกจับกุมและสละสมณเพศ

ประกาศ ณ วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เป็นปีที่ 3 ในรัชกาลปัจจุบัน

ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรธ.ชี้คำนวณเวลาเต็มเพดานแล้ว เลือกตั้งไม่เกิน เม.ย.62

Posted: 30 May 2018 06:45 AM PDT

หลังศาลรัฐธรรมนูญไฟเขียกฎหมายประกอบ รธน.ว่าด้วย ส.ส. ประธาน กรธ.คำนวณได้เลือกตั้ง เม.ย.62 แต่จะเป็น ก.พ.ตามโรดแมพก็ได้ ถ้ารัฐบาลคุย กกต.ให้จัดเลือกตั้งเร็วขึ้น

30 พ.ค.2561 นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญว่า หลังจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องส่งคำวินิจฉัยกลับมายังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อส่งร่างกฎหมายต่อไปถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ก่อนบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวจะมีระยะไม่เกิน 90 วัน และเมื่อร่างกฎหมายได้รับการโปรดเกล้าฯ ก็จะทำให้กฎมายประกอบรัฐธรรมนูญทั้ง 4 ฉบับที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ แต่จะยังไม่สามารถนับหนึ่งในกระบวนการจัดการเลือกตั้งได้ เพราะต้องนับไปอีก 90 วัน ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ถึงจะมีผลบังคับใช้ ซึ่งนั่นเป็นผลดีเพราะพรรคการเมืองจะได้เตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้ง

จากนั้นทันทีที่ครบ 90 วัน รัฐบาลกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะหารือกันเพื่อกำหนดวันเลือกตั้งให้จัดขึ้นภายใน 150 วัน ดังนั้นเมื่อคำนวณระยะเวลาแบบเต็มเพดานการเลือกตั้งจะมีขึ้นภายใน 11 เดือนนับจากเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจะไปตรงกับเดือนเมษายน 2562 พอดี แต่หากรัฐบาลต้องการให้จัดการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศไว้ ก็จะต้องไปหารือกับ กกต.ให้ประกาศวันเลือกตั้งภายใน 90 วัน ไม่ต้องใช้เวลาถึง 150 วันตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดก็จะสามารถจัดได้ตามกรอบเวลาเดิมได้

    

ที่มา: เว็บไซต์มติชน
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'แพทย์ชนบท' ลั่นต้องเลิก 'ระเบียบคลัง' ถึงจะงดชุมนุม 1 มิ.ย.นี้ - เปิดปมสวัสดิการลูกจ้างชั่วคราวภาครัฐ

Posted: 30 May 2018 06:37 AM PDT

ปม 'ระเบียบคลังใหม่ว่าด้วยการจ้างพนักงาน' รมว.สาธารณสุข นำทีมถก รมว.คลัง 31 พ.ค.นี้ ด้าน'แพทย์ชนบท' ลั่นต้องยกเลิก และแก้ระเบียบเงินบำรุง สธ. ข้อ 10 ถึงจะงดชุมนุม 1 มิ.ย.นี้ นักวิจับสิทธิแรงงานเปิดประเด็นสวัสดิการลูกจ้างชั่วคราวภาครัฐที่หายไปจากกระแส

ภาพการประชุมปัญหาข้อห่วงใยเกี่ยวกับการออกระเบียบกระทรวงการคลัง 30 พ.ค.2561 ที่กระทรวงสาธารณะสุข (ที่มาภาพเฟสบุ๊ค เพจ ชมรมแพทย์ชนบท )

 

30 พ.ค.2561 จากกรณีกระทรวงการคลัง ออกระเบียบใหม่ เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ที่ผ่านมาว่าด้วยการจ้างพนักงาน หรือ ลูกจ้างโดยใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ 2561 จนเกิดกระแสคัดค้านจาก ชมรมแพทย์ชนบทนัดรวมตัวแต่งดำมาประท้วงที่กระทรวงการคลัง วันที่ 1 มิ.ย.61 นั้น

รมว.สาธารณสุข นำทีมถก รมว.คลัง 31 พ.ค.นี้

ล่าสุดวันนี้ (30 พ.ค.61) เดลินิวส์ รายงานว่า นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้เรียกประชุมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ผอ.รพ.ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารเขตสุขภาพ ราวๆ 800 คน เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจกับระเบียบดังกล่าว

โดยในช่วงแรก พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นตัวแทนในการรับฟังความคิดเห็นก่อน โดยการประชุมดำเนินไปได้ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผอ.รพ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ในฐานะกรรมการชมรมแพทย์ชนบทได้ขึ้นแสดงความคิดเห็น โดยกล่าวตอนหนึ่งแนวตัดพ้อ ว่า ปลัดกระทรวงสาธารณสุขใกล้ถึงเวลาเกษียณแล้วควรทำอะไรที่ถูกต้อง และไม่ควรอิงตามระเบียบกระทรวงการคลัง และปรับปรุงระเบียบเงินบำรุง ของกระทรวงสาธารณสุขที่ไม่แตกต่างจากระเบียบกระทรวงการคลังเลย ปรากฎว่าระหว่างที่นพ.อารักษ์กล่าวอยู่นั้น พบว่ามีแพทย์จำนวนหนึ่งต่างทยอยเดินออกจากห้องประชุม ซึ่งจากการสอบถามต่างรู้สึกไม่พอใจและต้องการทำความเข้าใจเรื่องระเบียบที่ออกมาจริงๆ ไม่ได้ต้องการมาฟังอะไรแบบนี้  จนกระทั่งนพ.เจษฎา เดินทางมาถึงที่ประชุมกลุ่มแพทย์จึงได้กลับเข้าไปในห้องประชุมอีกครั้ง

นพ.เจษฎา กล่าวตอนหนึ่งว่า จากการรือร่วมกับกระทรวงการคลังเบื้องต้นในวันที่ 31 พ.ค.นี้ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข พร้อมทั้งผู้แทนกทระทรวงฯอีก 5 คน ได้นัดหารือร่วมกับรมว.คลัง เพื่อหาทางออกเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามในการประชุมครม.เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ยังบอกด้วยว่าระเบียบของกระทรงวการคลังไม่ชัดเจน ทำให้ตีความยากและขอให้มีการปรับปรุง ดังนั้นเชื่อว่าในการหารือระดับรัฐมนตรี ในวันพรุ่งนี้น่าจะจบ 

ด้าน ประธานชมรมแพทย์ชนบทขอร่วมวงถก ลั่นต้องยกเลิกระเบียบ ก.คลัง และแก้ระเบียบเงินบำรุงสธ. ในข้อ 10 ถึงจะงดชุมนุมในวันที่ 1 มิ.ย.นี้

ส่วนหนึ่งของภาพบุคลากรของสาธารณะสุข แสดงออกซึ่งการคัดค้านระเบียบดังกล่าว ที่เผยแพร่ในเฟสบุ๊คแฟนเพจ ชมรมแพทย์ชนบท

'แพทย์ชนบท' ลั่นต้องยกเลิก และแก้ระเบียบเงินบำรุง สธ. ข้อ 10 ถึงจะงดชุมนุม 1 มิ.ย.นี้

เดลินิวส์รายงานด้วยว่า นพ.เกรียงศักดิ์ วัชระนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า ยืนยันว่าการเรียกร้องของเราไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง  และตนก็จะขอไปรวมพูดคุยกับกระทรวงการคลังในวันที่ 31 พ.ค.นี้ด้วย ซึ่งผลสรุปของวันพรุ่งนี้จะเป็นที่มาว่าเราจะยกเลิกการชุมนุมที่กระทรวงการคลังในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ หรือไม่ โดยเราขอยืนยันว่าให้ยกเลิกระเบียบกระทรวงการคลัง และปรับแก้ระเบียบเงินบำรุงกระทรวงสาธารสุข ในข้อที่ 10 เพราะมีการเอาไปผูกโยงให้การจ้างงานลูกจ้างต้องขออนุมัติจากกระทรวงการคลัง ดังนั้นต้องยกเลิก 2 ข้อนี้ 

สำหรับกรณีมีกระแสข่าวถูกฝ่ายปกครองกดดันเรื่องการปลดป้ายคัดค้าน และห้ามมาชุมนุมในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า มีบางรพ.ที่มีทหารไปเจรจา ส่วนตนได้รับการเจรจาทางโทรศัพท์ ก็ไม่เป็นไร ไม่ให้ขึ้นป้ายหน้ารพ.เราก็ย้ายไปขึ้นป้ายหน้าห้องผู้ป่วยนอกแทน
 

ครม. แจง หากมีความจำเป็น ให้ไปทำความตกลงกับคลังก่อน

เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น รายงานว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยสาระสำคัญ คือ ปรับเพิ่มการจ่ายผลประโยชน์ให้ผู้ประกันตน จากเดิมเดือนละ 400 บาทต่อบุตร 1 คน ปรับเป็น 600 บาทต่อบุตร 1 คน ให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 ม.ค.61 และปรับเพิ่มจำนวนบุตรจากเดิม 2 คน อายุไม่เกิน 6 ปี เป็นบุตร 3 คน อายุไม่เกิน 6 ปี โดยให้มีผลย้อนหลังถึง 20 ต.ค.58
 
ส่วนกรณีที่กรมบัญชีกลางได้ออกระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจ้างพนักงานหรือลูกจ้างโดยใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณปี 2561 เช่น กระทรวงสาธารณสุขอาจมีรายได้จากการเปิดคลินิกนอกเวลาแล้วนำรายได้ดังกล่าวไปจ้างพนักงาน หรือลูกจ้างชั่วคราว ต่อจากนี้ไประเบียบฯ ขอให้หน่วยงานราชการพึงหลีกเลี่ยงที่จะดำเนินการในลักษณะดังกล่าว แต่หากหน่วยงานใดได้ดำเนินการไปก่อนที่ระเบียบฯ จะออกมาก็ให้ยุบเลิกตำแหน่งดังกล่าวเมื่อหมดสัญญา แต่หากมีความจำเป็นขอให้ไปทำความตกลงกับกระทรวงการคลังก่อน
 
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อบุคลากรด้านสาธารณสุข ซึ่งข้อมูลเมื่อวันที่ 1 มี.ค.61 มีลูกจ้างที่เป็นแพทย์ 181 อัตรา, ทันตแพทย์ 4 อัตรา, เภสัชกร 202 อัตรา เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขมีข้อตกลงกับกระทรวงการคลังไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่จะบังคับใช้กับหน่วยงานอื่น

ประเด็นสวัสดิการลูกจ้างชั่วคราวภาครัฐที่หายไปจากกระแส

ขณะที่ บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์ นักวิจัยประเด็นสิทธิแรงงาน ให้สัมภาษณ์กับประชาไท กรณีนี้ด้วยว่า ที่น่าอดสูใจที่สุดในเรื่องนี้ คือ บรรดาแพทย์ชนบทจำนวนมากต่างออกมาประณามระเบียบฉบับนี้ว่า ถอยหลังเข้าคลอง รวบอำนาจ ต่างๆ นานา แต่แทบไม่มีซักคนที่ใหญ่ๆ โตๆ เหล่านั้น ที่พูดถึงสวัสดิการที่ลูกจ้างชั่วคราวภาครัฐกลุ่มนี้ต้องเผชิญจากการจ้างด้วยวิธีคิดแบบนี้ โดยเฉพาะการที่ระบุว่าให้จ้างได้ไม่เกินอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของตำแหน่งและวุฒิ และไม่มีการเลื่อนขั้นค่าจ้าง มีแต่กล่าวเพียงว่าตนเองจะประสบปัญหาใดบ้างจากระเบียบดังกล่าว แต่ไม่สนใจว่าลูกจ้างเหล่านี้เผชิญปัญหาใดบ้าง 
 
ที่ผ่านมานั้นการจ้างลูกจ้างชั่วคราวจากเงินนอกงบประมาณนั้น อย่างน้อยที่ผ่านมาก็มีระเบียบปฏิบัติปี 2542 เป็นหนังสือจากกระทรวงการคลัง ที่กค. 0527.6/ว31 ลงวันที่ 26 เม.ย. 2542 ระบุว่าส่วนราชการใดจะจ้างให้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังก่อน ยกเว้นหน่วยงานที่ไม่ต้องขอตกลงกับกระทรวงการคลังก็สามารถจ้างได้เลย ต่อมาได้มีจดหมายจากกระทรวงการคลังที่ กค. 0415/ว.23 ลงวันที่ 20 มี.ค. 2546 ได้เปลี่ยนใหม่ว่า ให้หัวหน้าส่วนราชการเจ้าสังกัด ใช้ดุลยพินิจสามารถจ้างลูกจ้างเงินชั่วคราวได้เอง โดยไม่ต้องขอตกลงกับกระทรวงการคลัง และต่อมาก็มีระเบียบกระทรวงการคลัง 18 พ.ค. 2561 กลับไปเหมือนเดิม คือ เหมือนปี 2542 คือ ต้องขออนุญาตกระทรวงการคลังก่อน แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ระเบียบทุกฉบับ ยังคงระบุว่า การจ้างลูกจ้างชั่วคราวให้จ้างในอัตราไม่เกินอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของตำแหน่งและไม่มีการเลื่อนขั้นค่าจ้าง ทั้งนี้หากจะจ้างในอัตราสูงกว่าอัตราค่าข้างขั้นต่ำให้ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังก่อน
 

ยกเว้นเพียงกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้นที่ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเงินบำรุงฯ โดยไม่ต้องถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง กรณีนี้พึ่งระบุเมื่อ 23 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งหากไปดูระเบียบกระทรวงสาธารณะสุขก็ยังคงใช้คำเดียวกันคือ ไม่เกินอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ยกเว้นเพียงการจ้างพนักงานกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้นที่ใช้บัญชีเงินเดือนข้าราชการและเลื่อนค่าตอบแทนประจำปีได้

 

 

บุษยรัตน์ ตั้งคำถามว่า คนกลุ่มนี้ได้สิทธิอะไรบ้าง พร้อมอธิบายว่า (1) ลาป่วยตามจริง แต่ได้ค่าจ้าง 15 วัน หากลาเกินจะไม่ได้รับค่าจ้างในวันที่ลา (2) ลาคลอดบุตร 90 วัน ได้ค่าจ้าง 45 วัน และต้องทำงานมาแล้วประมาณ 7 เดือนถึงใช้สิทธินี้ได้ และใช้ได้เฉพาะรายเดือนเท่านั้น (3) ไม่มีสิทธิลากิจใดๆทั้งสิ้นในทุกกรณี หากลาเกิน 15 วัน สามารถถูกเรียกสอบสวนทางวินัยได้ (4) ลาพักผ่อนไม่เกิน 10 วัน และ (5) อื่นๆเป็นไปตามสิทธิประกันสังคมตามมาตรา 33

 

อีกเรื่องที่สำคัญและคุณหมอๆ ควรใส่ใจ คือ ยังคงมีลูกจ้างอีกกลุ่มที่เรียกว่า จ้างเหมาบริการ เช่น พนักงานขับรถยนต์พนักงานรักษาความปลอดภัย พนักงานทำความสะอาด แม่บ้าน คนสวน คนงานต่างๆ เจ้าหน้าที่ธุรการ เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล การจ้างแบบนี้เป็นไปตามที่หนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนมาก ที่ กค 0406.4/ว 67 ลงวันที่ 14 ก.ค. 2553 ได้กำหนดหลักเกณฑ์การจ้างไว้ว่า เป็น สัญญาจ้างทำของ ไม่ถือเป็นบุคคลของรัฐที่จะมีสิทธิได้รับประโยชน์ สวัสดิการที่พึงได้รับจากทางราชการเช่นเดียวกับข้าราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ หรือบุคลากรอื่นของรัฐได้รับ และไม่อยู่ในความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 และ พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ซึ่งปัญหาลูกจ้างกลุ่มนี้ คือ ทำงานเหมือนข้าราชการ พนักงานของรัฐ หรือลูกจ้างประจำ กระทั่งลูกจ้างชั่วคราวทุกประการ แต่ไม่มีสิทธิใดๆคุ้มครองทั้งสิ้น

 

แม้มีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ยืนยันว่า จ้างเหมาบริการ คือ จ้างแรงงาน ที่ต้องได้รับการคุ้มครองในฐานะลูกจ้าง แต่หน่วยงานของรัฐก็ยังละเลย คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 349/2556, อ. 531/2557 เนื่องจากลูกจ้างเหล่านี้ต้องมาปฏิบัติงานตามวันเวลาราชการ และต้องปฏิบัติงานภายใต้การบังคับบัญชาของผู้แทนของส่วนราชการ หาใช่เป็นการปฏิบัติงานโดยมีอิสระเพียงเพื่อให้ได้ผลสำเร็จของงานเท่านั้น อีกทั้งยังมีการจ่ายค่าจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ไม่ว่าจะเป็นงานในหน้าที่ใด มิได้มีการตรวจรับงาน คำนึงถึงผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ ตามที่สัญญาจ้างทำของระบุแนวทางไว้

 

สัญญาจ้างเหมาบริการดังกล่าว จึงเป็นสัญญาจ้างแรงงานไม่ใช่เป็นสัญญาจ้างทำของ และเมื่อเป็นสัญญาจ้างแรงงาน นิติสัมพันธ์จึงเป็นนิติสัมพันธ์ในฐานะลูกจ้างกับนายจ้าง ดังนั้นการที่ส่วนราชการไม่ได้ขึ้นทะเบียนลูกจ้างเพื่อให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับประโยชน์ ทดแทนจากกองทุนประกันสังคมตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 จึงเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติกรณีดังกล่าว แม้จะกำหนดชื่อสัญญา ว่าเป็น สัญญาจ้างเหมาบริการ หรือฝ่ายลูกจ้างจะลงชื่อตามที่ระบุไว้ในสัญญาในฐานะเป็นผู้รับจ้างหรือฝ่ายนายจ้างจะลงชื่อระบุว่าเป็นผู้ว่าจ้างก็ตาม ในการพิจารณานิติสัมพันธ์ที่แท้จริงจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดขึ้น อาจกล่าวได้ว่า สัญญาจ้างเหมาบริการ มีลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของอำพรางสัญญาจ้างแรงงานอันเป็นนิติสัมพันธ์ที่แท้จริง และลูกจ้างเหล่านี้ก็กลายเป็นแรงงานนอกระบบตามมาตรา 40 ได้เท่านั้นเอง แม้มีนายจ้างชัดเจนเพียงใดก็ตาม

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มติเอกฉันท์! กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ส.ส. ไม่ขัด รธน.

Posted: 30 May 2018 03:58 AM PDT

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ พ.ร.ป.ส.ส.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ไฟเขียวลงคะแนนคนพิการ-คนแก่ ส่วน พ.ร.ป.พรรคการเมือง ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้า คสช. 53/2560 นัด 5 มิ.ย. ลงมติขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่

30 พ.ค.2561 เว็บไซต์สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่เอกสารผลการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยื่นคำร้องจากความเห็นของสมาชิก สนช. 27 คนขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่า ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 35(4) และ (5) ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 95 วรรคสามหรือไม่ และมาตรา 92 วรรคหนึ่งขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 85 หรือไม่

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่าร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 35 (4) และ( 5) ที่บัญญัติว่า ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งผู้ใด ไม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งและไม่ได้เเจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง หรือเเจ้งเหตุที่มอาจไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งแล้ว แต่เหตุนั้นมิใช่เหตุอันสมควร ผู้นั้นจะถูกจำกัดสิทธิ์ (4) การดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมืองและข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภา (5) สิทธิในการได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยเลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ประธานที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น ที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น หรือคณะที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากการดำรงตำแหน่งตามาตราดังกล่าวเป็นสิทธิชนิดหนึ่งที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ออกกฎหมายจำกัดสิทธิดังกล่าวได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 95 วรรคสาม

ส่วนมาตรา 92 วรรคหนึ่งของร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ที่ระบุว่า เพื่ออำนวยความสะดวกแก่คนพิการหรือทุพลภาพ หรือผู้สูงอายุในการออกเสียงลงคะแนนให้คณะกรรมการหรือผู้ได้รับมอบหมายให้มีการอำนวยความสะดวกสำหรับการออกเสียงลงคะแนนของบุคคลดังกล่าวไว้เป็นพิเศษหรือจัดให้มีการช่วยเหลือในการออกเสียงลงคะแนนภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ในการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวต้องให้บุคคลนั้นได้ออกเสียงลงคะแนนด้วยตนเอง ตามเจตนาของบุคคลนั้น เว้นแต่ลักษณะทางกายภาพทำให้คนพิการ หรือทุพลภาพ หรือผู้สูงอายุไม่สามารถทำเครื่องหมายลงในบัตรเลือกตั้งได้ ให้บุคคลอื่นหรือกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งเป็นผู้กระทำการเแทนโดยความยินยอม และเป็นไปตามเจตนาของคนพิการ หรือทุพลภาพ หรือผู้สูงอายุนั้น ทั้งนี้ให้ถือเป็นการออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ว่าไม่มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากอำนวยความสะดวกหรือจัดให้มีความช่วยเหลือในการออกเสียงลงคะแนนของคนพิการหรือทุพลภาพ หรือผู้สูงอายุตามมาตราดังกล่าว ยังอยู่ในขอบเขตของวิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับตามรัฐธรรมนูญมาตรา 85 วรรคหนึ่ง

ขณะที่กรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน เสนอเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231 (1) ว่า ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 140 และมาตรา 141 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 53/2560 เรื่องการดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 , 26 , 27 และมาตรา 45 หรือไม่นั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้อภิปรายและนำไปสู่การวินิจฉัย และกำหนดประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัยตามคำร้อง พร้อมทั้งนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติในวันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จะสอนประวัติศาสตร์ 'ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์' อย่างไร ในยุคที่ผู้เล่าเรื่องจากไปแล้ว?

Posted: 30 May 2018 02:51 AM PDT

เมื่อประวัติศาสตร์ไม่ใช่แค่เรื่องท่องจำชื่อ-ตัวเลขไปสอบ นักการศึกษาของสหรัฐฯ เสนอมุมมองเรื่องการศึกษาเกี่ยวกับเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคที่ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์กำลังจะจากไป โดยเน้นย้ำความสำคัญว่าการเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ไม่เพียงแค่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ แต่ยังมีความสำคัญแม้กระทั่งในชีวิตประจำวันของเด็กอย่างการต่อสู้กับการถูกข่มเหงรังแก และการจัดการกับเรื่องความเกลียดชังแบบเหมารวม

อนุสรณ์สถานรำลึกเหตุสังหารหมู่โฮโลคอส ที่เบอร์ลิน เยอรมนี
ที่มาของภาพ: Kevin O'Brien/Dodlive

เมื่อไม่นานนี้มีการสำรวจพบว่าเยาวชนยุคมิลเลนเนียลในสหรัฐฯ ถึงร้อยละ 22 ที่ไม่รู้ว่าเคยมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้น หรือไม่แน่ใจว่าเกิดขึ้นหรือไม่ นอกจากนี้ร้อยละ 66 ไม่รู้จักค่ายกักกันนาซีที่ชื่อ "ค่ายเอาชวิตซ์" ที่มีการกวาดต้อนและใช้ลงโทษชาวยิวในนั้น

อลัน มาร์คัส ผู้ช่วยศาตราจารย์ด้านศึกษาศาสตร์และหลักสูตรการเรียนการสอนจากมหาวิทยาลัยคอนเนคติคัตกล่าวว่าในฐานะที่เขาเป็นนักวิชาการด้านการเรียนรู้เกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 การเรียนรู้ประวัติศาสตร์แค่ในแง่ของข้อเท็จจริงยิบย่อยเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือนักเรียนจะเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้บ้าง และในยุคสมัยที่จำนวนผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ผู้จะเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคนั้นได้เริ่มเหลือน้อยลงทุกที พวกเขาต้องหาวิธีการในการสอนเรื่องเหล่านี้ใหม่อีกครั้ง

แล้วทำไมนักเรียนถึงควรเรียนเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตด้วย แซม ไวน์เบิร์ก นักการศึกษาด้านประวัติศาสตร์มองว่าประวัติศาสตร์มีความสามารถในการทำให้คนเราเข้าใจความเป็นมนุษย์มากขึ้น ขณะที่คีธ บาร์ตัน และลินดา เลฟสติก โต้แย้งว่าควรจะส่งเสริมการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ทำให้นักเรียนมีมุมมองต่อความเป็นมนุษย์กว้างขึ้น และส่งเสริมให้มีการเน้นทำเพื่อประโยชน์ต่อสังคม

จากแนวคิดแบบนี้ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่สมาชิกสภานิติบัญญัติในหลายรัฐพยายามแก้ปัญหาอาชญากรรมจากความเกลียดชังด้วยการส่งเสริมให้เรียนรู้เหตุการณ์สังหารหมู่หรือฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ จนถึงตอนนี้มี 10 รัฐแล้วในสหรัฐฯ ที่มีกฎหมายบรรจุการเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ลงในแบบเรียน

อย่างไรก็ตามมาร์คัสระบุว่าในแง่วิธีการสอนในตอนนี้อาจจะต้องมีการปรับตัวเนื่องจาก ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ที่ให้การศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เริ่มลดจำนวนลงเรื่อยๆ พวกเขาเหล่านี้มีบทบาทในการสอนทั้งในทางกายภาพ ทางอารมณ์ความรู้สึก และทางข้อมูลความรู้ บุคคลเหล่านี้ยังกลายมาเป็นแรงผลักดันให้สร้างอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ขึ้น

มีการประเมินว่าประชากรผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เหล่านี้อาจจะลดลงเหลือราว 67,000 คน ในปี 2563 เนื่องจากอายุขัยของพวกเขา นักประวัติศาสตร์อย่างไวน์เบิร์กมองว่าความทรงจำของผู้ที่มีชีวิตผ่านช่วงนั้นมามีความสำคัญแตกต่างจากความทรงจำที่ผ่านการเรียนรู้เอาทีหลัง ผู้รอดชีวิตเหล่านี้จะสามารถทำให้คนรุ่นหลังเชื่อมโยงตัวเองกับประวัติศาสตร์ได้มากกว่าผ่านปฏิสัมพันธ์โดยตรงร่วมกับคนรุ่นหลัง และทำให้เกิดความรู้สึกเข้าถึงหัวอกผู้อื่นได้

มาร์คัส ระบุว่าเมื่อผู้บอกเล่าความทรงจำผ่านประสบการณ์จริงเหล่านี้ลดลงเรื่อยๆ กลุ่มครู นักพัฒนาหลักสูตรการศึกษา และภัณฑารักษ์ ต่างก็หันมาพัฒนาระบบพิพิธภัณฑ์ที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ได้โดยอาศัยเทคโนโลยี เช่น โครงการฟอร์เอเวอร์โปรเจกต์ ของศูนย์และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แห่งชาติอังกฤษ โครงการนี้มีการถ่ายเก็บภาพวิดีโอผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ในแบบสามมิติเพื่อให้นักเรียนได้รับชมการบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาได้ โดยสามารถให้นักเรียนซักถามและมีรายการคำตอบต่างๆ เตรียมไว้

ในสหรัฐฯ มีโครงการคล้ายๆ กันจากมูลนิธิโชอาห์ ฟาวเดชัน ที่ใช้วิธีการบันทึกวิดีโอผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แบบหลายมิติไว้ ศูนย์แอนน์ แฟรงค์ เพื่อการเคารพกันและกัน ในนิวยอร์กก็พยายามผลักดันโครงการให้มีการสอนเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ใน 50 รัฐ ของสหรัฐฯ โดยเชื่อมโยงเหตุการณ์จากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน

มาร์คัส ระบุว่าในปัจจุบันการสอนเรื่องเหล่านี้มีความสำคัญมากกว่าในอดีต เพราะมันมีศักยภาพในการส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่คิดว่าจะพัฒนามนุษยชาติอย่างไร ไม่ว่าจะด้วยวิธีการแบบปัจเจกหรือการปฏิบัติการแบบรวมกลุ่ม "การสอบ" ที่แท้จริงสำหรับการเรียนการสอนในเรื่องนี้คือการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป เช่น ถ้าหากพวกเขาพบเห็นคนๆ หนึ่งกำลังถูกข่มเหงรังแก พวกเขาจะทำอย่างไร ถ้าหากมีนักการเมืองที่มีนโยบายส่งเสริมการเหมารวมและความเกลียดชังพวกเขาจะทำอย่างไร

เรียบเรียงจาก

Teaching the Holocaust Will Change After All Survivors Are Dead, Alan Marcus, Yes!, 24-05-2018

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แจ้งความอีก 62 ราย ชุมนุม 'คนอยากเลือกตั้ง' ตอนครบ4ปีรัฐประหาร

Posted: 30 May 2018 02:40 AM PDT


แฟ้มภาพ การชุมนุมคนอยากเลือกตั้ง 22 พ.ค.61

30 พ.ค.2561 สื่อมวลชนรายงานว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดย พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการประจำกองบัญชาการกองทัพบก ปฏิบัติหน้าที่ คณะทำงานด้านกฎหมายส่วนงานการรักษาความสงบแห่งชาติ เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่มาร่วมชุมนุมในวาระครบรอบ 4 ปีการทำรัฐประหารของ คสช.

ผู้ถูกกล่าวหาแยกเป็น 2 กลุ่ม

กลุ่มแรก มี 21 คนถูกกล่าวหาว่าฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/ 2558  และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (2) (3) โดยมีพฤติการณ์เป็นแกนนำผู้ชุมนุม ซึ่งได้แบ่งงานกันทำเริ่มตั้งแต่มีการโพสต์ข้อความชักชวนกลุ่มบุคคลมาร่วมชุมนุม เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่อง ในหมู่ประชาชนเพื่อให้ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และในการชุมนุมในวันที่เกิดเหตุ นายรังสิมันต์กับพวก ได้ขึ้นพูดปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาลและคสช. อย่างรุนแรง

รายชื่อมีดังนี้ 1.นายรังสิมันต์ โรม 2.นายอานนท์ นำภา 3.นางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว 4.นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว 5.นางสาวณัฏฐา มหัทธนา 6.นายปิยรัฐ จงเทพ 7.นายเอกชัย หงส์กังวาล 8.นายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ 9.นายนิกร วิทยาพันธ์ 10.นายภัทรพล จันทร์โคตร 11.นายประสงค์ วางวัน 12.นายวิเศษณ์ สังขวิศิษฏ์ 13.นายวิโรจน์ โตงามรักษ์ 14.นางสาวศรีไพร นนทรีย์ 15.นายวันเฉลิม กุนเสน 16.นายประสิทธิ์ ครุธาโรจน์ 17.นายธนวัฒน์ พรมจักร 18.นายประจิณ ฐานังกรณ์ 19.นายบุญสิน หยกทิพย์ 20.นายคีรี ขันทอง 21.นายพุทไธสิงห์ พิมพ์จันทร์

กลุ่มที่ 2 พ.อ.บุรินทร์ยังได้ร้องทุกข์กล่าวโทษผู้มาร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้งอีก 41 คนในข้อหาความผิดละเมิดคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ทั้งนี้เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5-22 พ.ค.61 เวลาประมาณ 15.30 น.ต่อเนื่องกันที่บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ถนนราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศน์ และหน้าอาคารยูเอ็น ถนนราชดำเนินนอก แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน

ทั้งนี้ กลุ่มคนอยากเลือกตั้งจัดการชุมนุมมาหลายครั้ง และถูกแจ้งข้อกล่าวหามาแล้วรวม 4 ครั้ง ได้แก่ MBK39 (สกายวอล์คหน้าห้าง MBK ผู้ต้องหารวม 39 คน) RDN50 (ถนนราชดำเนิน ผู้ต้องหารวม 50) ARMY57 (หน้ากองทัพบก ผู้ต้องหารวม 57 คน) และครั้งล่าสุดคือครั้งนี้ครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร โดยแต่ละครั้งมีทั้งผู้ที่เป็นแกนนำการชุมนุมและประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุม ทั้งหมดนี้นับเป็นครั้งแรกที่รัฐดำเนินคดีกับประชาชนธรรมดาที่ร่วมชุมนุมด้วย

มาตรา 116 ผู้ใดกระทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต
          (1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้าย
          (2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
          (3) เพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี

 

ที่มาบางส่วน: ข่าวสดออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักกฎหมายสิทธิเรียกร้องกลไกคุ้มครองชาวบ้านร้องเรียน-ปิดทาง "ฟ้องคดีปิดปาก"

Posted: 30 May 2018 01:54 AM PDT

เวทีเสวนา "ฟ้องคดีปิดปาก" ส.รัตนมณี พลกล้า นักกฎหมายสิทธิยกกรณีเอกชน "เหมืองแร่เมืองเลย" ฟ้องคดีชาวบ้านหวังสร้างภาระทางคดีให้ยุ่งยาก เพื่อนำมาต่อรองเรื่องอื่น นอกจากนี้ในระยะหลังยังพบการใช้ "พ.ร.บ.ชุมนุม" เพื่อขวางชาวบ้านร้องเรียน ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ชี้การฟ้องคดีปิดปากกลายเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจทั้งในทางกฎหมาย อำนาจเงิน และอำนาจรัฐ

(ภาพใหญ่) เหตุการณ์เมื่อ 15 พ.ค. 2557 กรณีชายฉกรรจ์ร่วม 300 คน อำพรางใบหน้าพร้อมอาวุธ เข้าเปิดทางให้รถบรรทุกขนย้ายแร่ทองคำออกจากเหมืองแร่ทองคำ อ.วังสะพุง จ.เลย ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บร่วม 30 คน ต่อมาชาวบ้านติดป้ายประท้วง "หมู่บ้านนี้ไม่เอาเหมือง" และ "ปิดเหมืองฟื้นฟู" ที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน ทำให้ในปี 2558 บริษัทเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท (ภาพเล็ก) ส.รัตนมณี พลกล้า นักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (ที่มา: แฟ้มภาพ/ประชาไท)

30 พ.ค. 2561 มีการจัดเวทีเสวนา "การพัฒนากฎหมายและกลไกป้องกันการ "ฟ้องคดีปิดปาก" เพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมสาธารณะ" โดยสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนและมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ที่ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล สมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

ทั้งนี้การดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมในกิจการสาธารณะ หรือ "SLAPP" (Strategic Lawsuit Against Public Participation) หรือที่เรียกว่า "การฟ้องคดีปิดปาก" เป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้กระบวนการทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเพื่อยับยั้ง ขัดขวางการวิพากษ์วิจารณ์ การแสดงความคิดเห็น หรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจการสาธารณะของประชาชนหรือชุมชน ซึ่งวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการฟ้องคดีปิดปาก โดยมิได้มุ่งที่ผลแพ้ชนะของคดี แต่มุ่งที่จะข่มขู่ให้หยุดการวิพากษ์วิจารณ์ หรือมุ่งก่อให้เกิดภาระที่ไม่จำเป็นแก่ผู้ถูกดำเนินคดี

โดยแนวทางแก้ไขนั้น ศาลยุติธรรมกำลังจะผลักดันให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา มาตรา 161/1 เพื่อป้องกันการฟ้องปิดปาก โดยการฟ้องไม่สุจริต หรือบิดเบือนข้อเท็จจริง หรืออาจจะกลั่นแกล้งเอาเปรียบกับฝ่ายจำเลย หรือว่ามีการมุ่งหวังประโยชน์ในทางที่มิชอบ

ตอนหนึ่ง ส. รัตนมณี พลกล้า มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC) ยกกรณีการใช้การฟ้องคดีปิดปาก กรณีเหมืองแร่เมืองเลย ที่เมื่อปี 2558 บริษัททุ่งคำฟ้องเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% จากชาวบ้าน "กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด" 6 หมู่บ้าน ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย กรณีทำป้าย "หมู่บ้านนี้ไม่เอาเหมือง" ทีซุ้มประตูทางเข้าหมู่บ้าน และป้าย "ปิดเหมืองฟื้นฟู" ริมถนนสาธารณะในหมู่บ้าน

โดยชาวบ้านร้องเรียนว่าการขนแร่ในพื้นที่มีกระบวนการไม่โปร่งใส และเกรงผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ขณะที่บริษัทไม่เลือกวิธีแก้ไขปัญหา แต่ใช้วิธีฟ้องกลับ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าเอกชนใช้การฟ้องร้องคดีให้เกิดความยุ่งยาก โดยการฟ้องคดีไม่ใช่แค่ฟ้องปิดปาก แต่ใช้การฟ้องคดีเพื่อต่อรองหวังขนแร่ทองคำออกจากพื้นที่ด้วย

และไม่เพียงแต่กลุ่มชาวบ้านที่ถูกฟ้อง แต่นักวิชาการและผู้สื่อข่าวก็ถูกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท ว่าทำให้เกิดความเสียหายกับบริษัท เช่นสถานีโทรทัศน์ ThaiPBS ช่วงนักข่าวพลเมือง เผยแพร่รายงานข่าวของเยาวชนในพื้นที่วังสะพุง ก็ทำให้บริษัทฟ้องร้อง โดยศาลชั้นต้น ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องศาลยกฟ้อง เห็นว่าการนำเสนอเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ แต่พอถึงศาลอุทธรณ์ ศาลบอกว่าข้อความดังกล่าวยังไม่ต้องวินิจฉัย ให้ไต่สวนว่ามีมูลหรือไม่ จึงรับฟ้องคดี

นอกจากนี้ ยังมีกรณีของเจ้าหน้าที่รัฐ ใช้การฟ้องคดีหมิ่นประมาทเวลาชาวบ้านไปร้องเรียนว่ามีปัญหากับหน่วยงานนั้นๆ

เช่น เหมืองถ่านหินลิกไนต์ ที่ อ.งาว จ.ลำปาง มีกรณีที่ปลัดอำเภอฟ้องชาวบ้านในข้อหาหมิ่นประมาท หลังชาวบ้านร้องเรียนว่าปลัดอำเภอปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องในช่วงรับฟังความคิดเห็น ชาวบ้านร้องเรียนว่าปลัดอำเภอเขียนรายงานไม่ถูกต้อง แต่คดีนี้ศาลไกล่เกลี่ยและให้ปลัดอำเภอการถอนฟ้อง

ส.รัตนมณี กล่าวว่า คดีเหล่านี้ถึงที่สุดถ้าไม่มีการกลั่นกรองโดยผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ชั้นต้น เช่น ถ้าตำรวจไม่กรอง คดีก็ไปถึงอัยการ ไปถึงศาล

ทั้งนี้มีกรณีฟ้องนักวิชาการ ที่วิจารณ์โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ โดยเอกชนฟ้องด้วยการนำข้อความที่นักวิชาการดังกล่าวโพสต์ ไปแจ้งความตำรวจ พอตำรวจสั่งฟ้องถึงชั้นอัยการ ก็มีการร้องเรียนที่ชั้นอัยการ แม้ว่าอัยการจะยังไม่ส่งฟ้องศาลทันทีโดยขอสอบสวนเพิ่ม แต่นักวิชาการที่ถูกแจ้งความ ยังต้องไปรายงานตัวกับอัยการทุกๆ 1 เดือน ซึ่งถ้ามีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ถูกฟ้องอาจยังไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าถูกฟ้องในต่างจังหวัดไกลๆ ก็จะเป็นปัญหา

ทนายความด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อมกล่าวด้วยว่า นอกจากการฟ้องร้องหมิ่นประมาทแล้ว ในระยะหลังจะพบกรณีที่หน่วยงานราชการใช้ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฟ้องชาวบ้านที่มายื่นหนังสือด้วย ซึ่งแทนที่ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะจะช่วยป้องกันไม่ให้มีการใช้กกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมมาควบคุมชาวบ้าน กลายเป็นว่าทุกฝ่ายนำกฎหมายนี้มาใช้เพื่อไม่ให้ชาวบ้านชุมนุม

กรณีของโรงไฟฟ้าเทพา ที่ จ.สงขลา เมื่อปลายปี 2560 ที่ชาวบ้านเดินทางจาก อ.เทพา จะไปยื่นหนังสือให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็ถูกดำเนินคดี ไม่เพียงแต่ข้อหา พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะเท่านั้น แต่มีการฟ้องเพิ่มทั้งเรื่องทำร้ายร่างกาย ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน พกพาอาวุธ ฯลฯ รวมกว่า 5 ข้อกล่าวหา นอกจากนี้ในบางกรณีอาจถูกฟ้องสูงสุดถึง 7-8 ข้อกล่าวหา

ทั้งนี้การใช้กฎหมายปิดปากชาวบ้านที่ออกมาเคลื่อนไหวร้องเรียนนั้น ได้สร้างภาระทางคดีความให้กับชาวบ้านอย่างมาก โดย ส.รัตนมณี ยกกรณีของชาวบ้านที่ประท้วงคัดค้านโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย ที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐฟ้องมาตั้งแต่ปี 2545 จนศาลฎีกายกฟ้องชาวบ้านทุกคดีความใช้เวลากว่า 12 ปี  นอกจากนี้ยังไม่นับระยะเวลาที่ชาวบ้านฟ้องคดีกับต่อเจ้าหน้าที่รัฐด้วย ซึ่งคดีความจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่จบ

ส.รัตนมณี กล่าวด้วยว่าขณะนี้ยังไม่มีกลไกเยียวยาและคุ้มครองสิทธิประชาชน หากพวกเขาชนะคดี ทั้งนี้พวกเขาต้องได้รับการเยียวยาที่เหมาะสมด้วย และถ้ามีการฟ้องกลับ ศาลต้องเข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องการใช้สิทธิทางศาลของแต่ละฝ่าย

อย่างกรณีเขาภูผา เมื่อชาวบ้านชนะคดี มีการเรียกค่าเสียหาย เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาควรได้รับความคุ้มครองหรือไม่ โดยศาลสืบพยานจนครบ โดยศาลเห็นด้วย ให้เอกชนชดเชยค่าเสียหาย ได้แก่ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ค่าประสานงาน ส่วนเรื่องตอบแทนการขาดรายได้ ศาลใช้วิธีคำนวณรายได้ขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน แต่ก็ไม่ใช่ผู้พิพากษาทุกคนจะเข้าใจ เพราะพอใช้วิธีเรียกค่าเสียหายเดียวกันนี้กับอีกคดี ผู้พิพากษาไม่เข้าใจ บอกว่าที่บริษัทฟ้องหมิ่นประมาท เป็นการใช้สิทธิทางศาล ฟ้องโดยสุจริต

ส.รัตนมณี กล่าวว่า หากประชาชนต้องการแสดงออกในการมีส่วนร่วมกับประโยชน์สาธารณะ การเรียกร้องสิทธิ ต้องเป็นเรื่องใหญ่ ต้องได้รับความคุ้มครอง ปัจจุบันนี้เรายังไม่มีกฎหมายคุ้มครองเวลาคนมายื่นหนังสือร้องเรียนราชการ ต้องการคุ้มครองประชาชนว่าถ้าเป็นเรื่องยื่นหนังสือร้องเรียน ไม่สามารถเอาคดีมาฟ้องร้องประชาชนได้

ส่วน ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) กล่าวว่า มีคนบางกลุ่มอาศัยยืมมือกระบวนการยุติธรรม เพื่อทำให้เป้าหมายของตัวเองบรรลุผล ทำให้คนที่ร้องเรียนเงียบเสียง ทำให้เขามีภาระทางศาลจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ หรือใช้วิธีฟ้องร้องเยอะๆ เพื่อต่อรอง แล้วขอแลกผลประโยชน์ที่พวกเขาต้องการ โดยไม่ได้หวังผลทางคดี ซึ่งเขาเชื่อว่าบุคลากรกระบวนการยุติธรรมก็เข้าใจ และคงเห็นปัญหาเหล่านี้

การฟ้องคดีปิดปาก ไม่ใช่ปัญหาสิทธิมนุษยชนอย่างเดียว ไม่ใช่นักต่อสู้ด้านสิทธิมนุษยชนเท่านั้นที่ประสบปัญหานี้ กรณีของคู่ค้าเอกชนเองก็ใช้วิธีฟ้องเช่นนี้ เพื่อให้ฝ่ายอีกฝ่ายเหนื่อยเล่นๆ ต้องไปศาลทุกนัด ทำให้คดีรกโรงรกศาล อาจกล่าวได้ว่า มีการใช้การฟ้องคดีปิดปากมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ของคนที่มีอำนาจทั้งในทางกฎหมาย อำนาจเงิน และอำนาจรัฐ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดตัว 'เครือข่ายสิทธิแรงงานประมง' หวังขยับมาตรฐานแรงงานไทย

Posted: 30 May 2018 01:38 AM PDT

เมื่อวันที่ 29 พ.ค.2561 สหพันธ์แรงงานขนส่งระหว่างประเทศ (ITF) เปิดตัวเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานประมง (FRN) อย่างเป็นทางการเพื่อต่อสู้กับการละเมิดและเอาเปรียบผู้ใช้แรงงานในอุตสาหกรรมประมงของไทย

ทาง ITF ระบุว่าเครือข่ายนี้นับเป็นสภาพแรงงานประมงที่เป็นอิสระและมีความเป็นประชาธิปไตย ได้รับการยอมรับจากสมาพันธ์สหภาพแรงงานจากทั่วโลก รวมถึงสภาแรงงานแห่งชาติทั้งในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย องค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ รวมถึงบริษัทไทยยูเนี่ยน ผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูปที่ใหญ่ที่สุด

จอห์นนี ฮาเซน ประธานสาขาประมงของ ITF แสดงความยินดีที่เกิดเครือข่ายนี้อย่างเป็นทางการเพื่อจะได้มีการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของแรงงานประมงทุกคนในประเทศไทย

"ผมเคยเป็นลูกเรือประมงและคนทำงานเรือเดินทะเลในประเทศนอร์เวย์มาเป็นเวลา 13 ปี การเอารัดเอาเปรียบแรงงานประมงที่มีอยู่กว้างขวางในประเทศไทยและเรื่องราวที่ผู้ใช้แรงงานประมงเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับสภาพที่พวกเขาถูกบังคับให้ต้องอดทนเป็นสิ่งที่ไร้มนุษยธรรมเมื่อเทียบกับมาตรฐานแรงงานสากล"

"การเอารัดเอาเปรียบนี้ได้ถูกเปิดเผยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ทั้งสหภาพยุโรปและรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ประณามและลงโทษรัฐบาลไทยสำหรับความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าต่อการแก้ไขปัญหาการประมงผิดกฎหมาย การประมงที่ขาดการรายงานและขาดการควบคุม"

"เราได้ลงปฏิบัติงานในพื้นที่มาเป็นเวลา 14 เดือน ทำงานพูดคุยกับแรงงานข้ามชาติทั้งกัมพูชาและเมียนมาร์หลายร้อยคน และถึงแม้ว่าจะมีแรงกดดันจากนานาชาติและการเปลี่ยนแปลงกฎหมายไทย แรงงานประมงได้บอกกับเราว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับตัวพวกเขาไม่มากนัก การละเมิดสิทธิมนุษยชนยังคงมีอยู่ในอุตสาหกรรมนี้"

"บทเรียนจากประเทศที่มีสหภาพแรงงานประมงคือ การปราศจากสิทธิที่พึงได้รับในที่ทำงานและความไม่เข้มแข็งที่มาจากเสียงของสหภาพแรงงานจะทำให้การละเมิดสิทธิแรงงานประมงในประเทศไทยยังคงดำเนินต่อไป FRN กำลังสร้างขีดความสามารถในการจัดตั้งและสร้างพันธมิตรที่มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมนี้ทั่วประเทศและทั่วโลก"  ฮาเซนกล่าว

นอกจากนี้ในการเปิดตัวครั้งนี้ เครือข่ายสิทธิแรงงานประมงได้มีข้อเรียกร้องเบื้องต้น ดังนี้

-การกำจัดแรงงานขัดหนี้ ซึ่งรวมไปถึงค่าธรรมเนียมในการทำหนังสือเดินทาง บัตรสีชมพู ใบอนุญาตทำงานจากตัวแทนและนายหน้า

-เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำแก่แรงงานประมง และปรับปรุงสภาพการทำงานและสิทธิแรงงานแก่แรงงานประมงทุกคนในอุตสาหกรรมประมงไทย

-แรงงานประมงทุกคนต้องได้รับสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรในภาษาของตนเอง

-แรงงานประมงทุกคนจะต้องได้รับการฝึกอบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้นและสามารถเข้าถึงชุดปฐมพยาบาลที่จัดไว้บนเรือแต่ละลำ

-เรือทุกลำต้องมีขั้นตอนและแนวทางปฏิบัติในกรณีการรักษาพยาบาลฉุกเฉินที่เกิดขึ้นในสถานที่ทำงาน

-การจัดให้มีจรรยาบรรณในการเดินเรือบนเรือทุกลำที่ทำประมงในน่านน้ำไทย

-รัฐบาลไทยให้สัตยาบันรองรับอนุสัญญา ILO87,98,188 และการแก้ไขกฎหมายแรงงานเพื่อให้แรงงานข้ามชาติสามารถมีเสรีภาพในการสมาคมและการเจรจาต่อรองร่วม และเพื่อจัดตั้งสหภาพแรงงานที่พวกเขามีส่วนร่วมได้

ทั้งนี้องค์กรที่ให้การรับรองเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานประมงมีดังนี้  International Trade Union Confederation (ITUC), Building and Woodworkers International Union (BWI), American Federation of Labor and Congress of Industrial Organizations (AFL-CIO) – United States, Australian Council of Trade Unions (ACTU) – Australia, Cambodian Labor Congress (CLC) – Cambodia, Trades Union Congress (TUC) – United Kingdom, State Enterprises Workers Confederation (SERC) – Thailand, Belgian Transport Workers Union (BTB) – Belgium, Building and Woodworkers Trade Union Federation of Cambodia (BWTUC), Cambodian Transport Workers Federation (CTWF) – Cambodia, Independent Democratic of Informal Economy Association (IDEA) – Cambodia, International Longshore and Warehouse Union (ILWU) – Canada, Marine Transport Workers Trade Union of Ukraine (MTWTU) – Ukraine, Marine Engineers' Beneficial Association (MEBA) – United States, Maritime Union of Australia (MUA) – Australia, Maritime Union of New Zealand (MUNZ) – New Zealand, Norwegian Seafarers Union (NSU) – Norway, Norwegian Transport Workers Union (NTF) – Norway, Seafarers International Union (SIU) – Canada, Seafarers Union of Russia (SUR) – Russia

ในส่วนสหภาพแรงงานในประเทศไทย ได้แก่ Building and Wood Workers International Council of Thailand (BWICT), International Transport Workers' Federation Thailand (ITF Thai), Labor Union of Government Pharmaceutical Organization (LUGPO), Metropolitan Electricity Authority Workers Union (MEAWU), Rubber Authority of Thailand State Enterprise Worker Union (RAOT SWEU), SEWU Marketing Organization of Farmers (SEWU MOF), State Enterprise Electrified Train Workers Union (SEETU), State Railway Union of Thailand (SRUT), Thailand Automobile Workers Union (TAW), Thai Airways International Union (TG Union), Thai Confederation of Electronic, Electrical Appliances, Auto and Metal Workers (TEAM), Thai Labour Solidarity Committee (TLSC), Wingspan Workers Union (WWU), TOT Public Company Limited Workers Union (TOT)

องค์กรพัฒนาเอกชน ได้แก่ Ethical Trading Initiative, International Labor Rights Forum (ILRF), Greenpeace Southeast Asia, Raks Thai Foundation, Union Aid Abroad (APHEDA), Thai Union PCL

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวเน็ต-รัฐบาลจีน ไม่พอใจนักแสดงแต่งกายลอกเลียน 'เหมาเจ๋อตุง' ขึ้นเวทีในงานประชุมไอที

Posted: 30 May 2018 12:14 AM PDT

ในการจัดประชุมเกี่ยวกับบล็อกเชนที่มณฑลไห่หนานทางตอนใต้ของจีนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (28 พ.ค. 2561) มีการแสดงในเชิงเลียนแบบอดีตผู้นำเหมาเจ๋อตุงทั้งรูปลักษณ์และการแสดงออก รวมถึงมีการเผยแพร่ออกไปในโลกออนไลน์ของจีน ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจและถูกเซนเซอร์โดยทางการจีนในเวลาต่อมา จนกระทั่งฝ่ายผู้จัดงานออกมาขอโทษ

ผู้ที่แต่งกายลอกเลียนอดีตผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ในประวัติศาสตร์ผู้นี้คือ ชูกั๋วเฉียง แต่งกายในชุดสีเทาพูดด้วยสำเนียงหูหนานแบบเดียวประธานเหมา โดยมีการกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีงานประชุมโป๋เอ๋าบล็อกเชนฟอรัมต่อหน้าผู้คนที่เข้าร่วมงาน โดยที่วิดีโอการกล่าวสุนทรพจน์ของเขามีการแชร์ต่อไปยังโซเชียลมีเดียของจีนอย่าง WeChat 

ชูกั๋วเฉียง ผู้แสดงเป็นประธานเหมากล่าวต่อผู้ร่วมงานว่า "พวกคุณมีคุณค่าพอที่จะถูกเรียกว่าเป็นหลานชายหลานสาวของประเทศจีน และผมขอขอบคุณในนามของเหมาเจ๋อตุง"

อย่างไรก็ตามเมื่อมีการเผยแพร่ภาพวิดีโอนี้ออกไปคนในโลกออนไลน์ก็แสดงความไม่พอใจ โดยมีการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์การแสดงเรียกความสนใจนี้ว่าไม่เคารพต่อประธานเหมา และต่อมาก็มีการเซนเซอร์จากทางการจีนไม่ให้ชาวจีนเข้าถึงได้

เซาธ์ไชนามอร์นิงโพสต์ระบุว่า ในสายตาของคนจำนวนมากในจีนเหมาเจ๋อตุงยังคงถูกมองว่าเป็นผู้ก่อตั้งชาติจีนในยุคสมัยใหม่ มีกฎหมายจีนห้ามไม่ให้ใช้รูปภาพหรือชื่อของเหมาเจ๋งตุงเอาไปใช้ในทางการค้า

ถ้อยแถลงขอโทษของผู้จัดงานระบุว่า "ทางคณะกรรมการจัดงานโป๋เอ๋าบล็อกเชนฟอรัมขอแสดงการขอโทษอย่างจริงใจต่อผู้ชมทุกคนจากการที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจผ่านทางความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่องานประชุมในครั้งนี้"

หลังจากเหตุการณ์นี้บริษัทลงทุนอย่างแพนดาแคปปิทัลที่เคยโฆษณาตัวเองว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมจัดงานรีบปฏิเสธว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานโดยทันที ส่วนงานประชุมที่ชื่อคล้ายกันอย่างโป๋เอ๋าฟอรัมแห่งเอเชียซึ่งเป็นงานประชุมนานาชาติที่มีนักพูดมีชื่อเสียงทั้งในแวดวงธุรกิจและแวดวงการเมืองเข้าร่วมจำนวนมาก ก็แถลงเป็นทางการผ่านโซเชียลมีเดียว่าทั้งสองงานนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน 

งานโป๋เอ๋าบล็อกเชนฟอรัมมีผู้นำจัดงานคือบริษัทสื่อด้านบล็อกเชนและสกุลเงินดิจิทัลเข้ารหัส (cryptocurrency) ที่ชื่อ BiKuai.org พวกเขาระบุว่ามีบริษัทต่างๆ ที่น่าจะเข้าร่วมงานในครั้งนี้ 5,000 บริษัท โดยที่เทคโนโลยีบล็อกเชนนี้คือการเก็บบันทึกข้อมูลการทำธุรกรรมของผู้คนที่มีความเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายโดยไม่ต้องอาศัยคนกลาง เป็นเทคโนโลยีที่มีความเกี่ยวข้องกับการเงินดิจิทัลแบบเข้ารหัส

 

เรียบเรียงจาก

Anger over Mao Zedong lookalike at China blockchain conference, South China Morning Post, 29-05-2018

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: อุ้มทีวีปิดปากสื่อ

Posted: 29 May 2018 10:31 PM PDT

 

คสช.ใจดี? ออกคำสั่งที่ 9/2561 อุ้มทีวีดิจิทัล แต่มาพร้อมเงื่อนไข ต้องทำตัวเป็นเด็กดี อยู่ในโอวาท

คำสั่ง คสช.มี 2 ข้อดูเหมือนใจดี ข้อแรก ให้พักชำระค่าธรรมเนียมไม่เกิน 3 ปี (แต่มีดอกเบี้ย) ข้อสอง ให้เอาเงินกองทุนวิจัยและพัฒนามาช่วยค่าเช่าโครงข่ายครึ่งหนึ่ง เป็นเวลา 2 ปี

แต่ความช่วยเหลือนี้มิได้ถ้วนหน้า เพราะคำสั่งข้อ 9 ระบุว่า ให้จัดทำผังรายการที่เหมาะสมสอดคล้องวัตถุประสงค์ มีการผลิตรายการที่ดี ให้ข้อมูลถูกต้อง ชัดเจน มีสาระเป็นประโยชน์ต่อสังคม ไม่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรมอันดี บลา ๆ ๆ ๆ ส่งให้สำนักงาน กสทช.พิจารณาว่าจะให้ความช่วยเหลือหรือไม่ หรือหากช่วยไปแล้ว ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ก็ยกเลิกได้ทุกเมื่อ

ภาษากฎหมายอาจฟังยาก ต้องฟังฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช.พูดชัดเจนกว่า

"ใครที่ทำผิดเงื่อนไข ดำเนินการใด ๆ ที่ผิดเงื่อนไขต่าง ๆ สำนักงาน กสทช. จะเป็นผู้พิจารณาว่าจะให้เป็นผู้พักชำระหนี้ในระยะเวลา 3 ปี และได้รับค่าสนับสนุนในการเช่าโครงข่ายหรือไม่ …ถ้าเราพิจารณาแล้วว่าเป็นผู้กระทำผิดเงื่อนไขบ่อยหรือมีเหตุอื่นในการดำเนินการ เราจะมีหนังสือแจ้งตอบไปว่าไม่ให้ดำเนินการดังกล่าว จะต้องนำเงินมาชำระพร้อมอัตราดอกเบี้ย"

"ในส่วนที่สอง เมื่อได้รับการพักชำระหนี้ไปแล้ว หากสำนักงาน กสทช. ยังตรวจพบภายหลังว่าการจัดทำผังรายการต่าง ๆ หรือการดำเนินการประกอบกิจการ ไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนและมีสาระสำคัญต่างๆ ทางสำนักงานฯ มีสิทธิที่จะประกาศยกเลิกได้ในภายหลังอีก"

ใครฟังก็บอกว่าไม่ใช่ทีวีขายครีมแหง ๆ มีแต่คนชี้มาที่ Voice TV ซึ่งถูกปิดหลังรัฐประหาร ถูก กสทช.ใช้อำนาจตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 97 และ 103 สั่งลงโทษทั้งปิดทั้งปรับทั้งงดรายการมาแล้ว 16 ครั้ง

บางคนอาจบอกว่าช่างหัว Voice of Thaksin แต่ถามจริง เงื่อนไขนี้ไม่พันธนาการอีก 21 ช่องหรือ สามปีจากนี้ไป อีก 21 ช่องจะต้องตัวลีบไหม ถ้าวันหนึ่งใครเผยอขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจ ก็อาจถูกยกเลิกความช่วยเหลือได้ แถมบางช่องก็มีสื่ออื่นในค่าย จะถูกต่อรองให้ต้องเซ็นเซอร์ตัวเองหรือต้องเชียร์ผู้มีอำนาจไหม

น่าเศร้าใจที่องค์กรวิชาชีพสื่อทั้งหลายไม่ยักมองมุมนี้ มองแต่ว่าช่างหัว Voice of Thaksin มันสิ

บางคนย้อนว่า คสช.อุตส่าห์อุ้ม เป็นผู้มีพระคุณก็ต้องตอบแทน ว่าตามเนื้อผ้า 2 ข้อนี้ไม่ถึงกับอุ้ม เพราะค่าธรรมเนียมยังต้องจ่ายแค่ให้พักหนี้มีดอกเบี้ย ค่า MUX ก็เถียงกันอยู่ว่าโครงข่ายไม่พร้อมดังสัญญา อย่าลืมว่าต้นเรื่องมาจากเจ๊ติ๋ม ทีวีพูล ฟ้องศาลปกครองชนะ กสทช.จึงต้องเสนอ คสช.ออกมาตรการ win-win (นี่ยังไม่พูดถึงใครนะ เอาช่วงไพรม์ไทม์ไปพูดคนเดียวโดยไม่จ่ายค่าเช่าเวลา)

ประเด็นเลอะเทอะที่สุดคือนี่เป็นการเอามาตรการ "เลือกไม่ช่วย" มายุ่งเหยิงกับอำนาจกำกับดูแลที่ กสทช.มีอยู่แล้ว ทั้งตามปกติ และโดยประกาศ คสช. พูดง่าย ๆ คือถ้า กสทช.เห็นว่าช่องใดทำผิดสั่งปรับ สั่งงดรายการ หรือสั่งปิด ก็เสียหายอยู่แล้ว นี่ยังต้องเสียสิทธิที่จะได้พักหนี้ ได้ลดค่า MUX ซ้ำเติมเข้าไปอีก แต่ยุคนี้สมัยนี้ไม่ยักมีใครท้วงว่าไม่เป็นธรรม

ที่น่าสังเกตคือ คำสั่ง คสช.ฉบับนี้ ยกอำนาจพิเศษให้สำนักงาน กสทช. ภายใต้เลขาธิการ เป็นผู้พิจารณาว่าจะช่วยใคร ไม่ช่วยใคร ประหลาดไหม เพราะกฎหมายปกติ อำนาจกำกับดูแลเป็นของกรรมการ กสทช. ไม่ใช่หรือ

 

ที่มา: https://www.kaohoon.com/content/233837

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อนาคตใหม่ของการกระจายอำนาจ

Posted: 29 May 2018 10:21 PM PDT



เรื่องของการกระจายอำนาจของไทยเราได้ถูกหยิบยกมากล่าวถึงและพยายามขับเคลื่อนมาหลายต่อหลายครั้งในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์ที่จะให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดโดยตรงก็ดี หรือการพยายามที่จะให้เชียงใหม่มีกฎหมายเป็นของตนเองในรูปแบบของการเป็นมหานครก็ดี จนต่อมาเมื่อมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2540 การกระจายอำนาจก็เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างจนได้มีการออกพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ พ.ศ.2542 ที่มีหลักการสำคัญให้มีการกระจายรายได้และถ่ายโอนอำนาจหน้าที่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่ต้องหยุดชะงักลงเมื่อมีการรัฐประหาร 2549 และมีรัฐธรรมนูญปี 50ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงสัดส่วนรายได้ที่จะต้องแบ่งให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีกต่อไป

แต่อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญปี 50 มาตรา 281 ก็ยังเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นได้ปกครองตนเองโดยท้องถิ่นใดมีลักษณะที่จะปกครองตนเองได้ ย่อมมีสิทธิจัดตั้งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้และมาตรา 78 (3) ที่บัญญัติให้รัฐมีหน้าที่ "กระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพึ่งตนเองและตัดสินใจในกิจการของท้องถิ่นได้เอง ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ พัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่นและระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ ตลอดทั้งโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศในท้องถิ่น ให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ รวมทั้งพัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น"

จนเป็นที่มาของการเสนอร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการเชียงใหม่มหานครฯ อันเป็นต้นแบบของ "จังหวัดจัดการตนเอง"กว่า 50จังหวัดต่อรัฐสภาโดยภาคประชาชนและตามมาด้วยการยกร่าง พ.ร.บ.บริหารจังหวัดปกครองตนเองฯ โดยคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย(ในสมัยนั้น)เพื่อให้ใช้เป็นกฎหมายกลาง แต่น่าเสียดายที่ทั้งร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการเชียงใหม่มหานครฯ ที่เสนอไปยังสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปี 2556 และการพยายามรณรงค์ร่าง พ.ร.บ.บริหารจังหวัดปกครองปกครองตนเองฯ ในต้นปี2557ต้องมีอันเป็นไปด้วยเหตุแห่งการรัฐประหารเมื่อ 22 พ.ค.57 แล้วรัฐธรรมนูญปี 2560 ก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนดังเช่นรัฐธรรมนูญปี 40และ50 ทำให้ผู้คนที่มุ่งหวังที่จะให้มีการกระจายอำนาจมองไม่เห็นทางที่จะเดินต่อไป

แต่เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมาพรรคอนาคตใหม่ได้มีการเสนอร่างข้อบังคับพรรคอนาคตใหม่ปี พ.ศ.2561 เสนอต่อที่ประชุมเพื่อจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่เพื่อให้การรับรอง โดยในหมวด 1 ลักษณะ 2ว่าด้วยนโยบายของพรรคการเมือง ข้อ 7 (3)นโยบายด้านการกระจายอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน ได้กำหนดไว้ว่า

"พรรคอนาคตใหม่สนับสนุนการกระจายอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินให้องค์กรปกครองท้องถิ่นอย่างแท้จริง องค์กรปกครองท้องถิ่นทุกรูปแบบต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนในท้องถิ่น กำหนดให้การจัดทำบริการสาธารณะในแต่ละพื้นที่เป็นอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหลัก และราชการส่วนกลางมีอำนาจกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้เฉพาะเท่าที่กฎหมายกำหนด ในกรณีที่ราชการส่วนกลางเห็นว่าข้อบัญญัติท้องถิ่นหรือการดำเนินการใดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ราชการสวนกลางไมอาจออกคำสั่งยับยั้งได้ แต่ให้ฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อพิจารณาตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของข้อบัญญัติท้องถิ่นหรือการดำเนินการนั้น

พรรคอนาคตใหม่จะผลักดันให้เกิดการกระจายอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินให้แก่องค์กรปกครองส่วนทองถิ่น โดยการพัฒนาระบบการบริหารราชการแผ่นดินเป็นขั้นตอนเพื่อมุ่งสู่การยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคในที่สุด ให้คงเหลือเพียงราชการส่วนกลางและราชการส่วนท้องถิ่น ในส่วนของราชการส่วนท้องถิ่นจะแบ่งเป็น ๒ ระดับ ได้แก่ ระดับจังหวัด และระดับเทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล

ในช่วงขั้นตอนระหว่างการเปลี่ยนผ่านไปสู่การยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค พรรคอนาคตใหม่จะแก้ไขปรับปรุงกฎหมายต่างๆเพื่อลดทอนอำนาจของราชการส่วนกลางและราชการสวนภูมิภาคที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการจัดทำบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนทองถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจในการอนุมัติอนุญาตต่างๆ  พรรคอนาคตใหม่จะสนับสนุนให้มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษเพิ่มมากขึ้น โดยพิจารณาจากความพร้อมของท้องถิ่นและความสอดคล้องกับนโยบายของประเทศ

พรรคอนาคตใหม่จะผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดเก็บภาษีและมีรายได้มากขึ้น เพื่อนำมาใช้เป็นงบประมาณในการจัดทำบริการสาธารณะในพื้นที่ของตน โดยต้องกำหนดสัดส่วนการแบ่งภาษีระหว่างราชการส่วนกลางกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสียใหม่ และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจจัดเก็บภาษีได้เอง โดยไม่ต้องให้ราชการส่วนกลางเป็นผู้จัดเก็บแล้วจึงแบ่งโอนกลับมาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีรายได้จากแหล่งอื่นนอกจากภาษี ไมว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม ค่าบริการหรือรายได้จากวิสาหกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

พรรคอนาคตใหม่ยังให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ คนในท้องถิ่นยอมมีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆขององค์กรปกครองสวนท้องถิ่น การออกเสียงประชามติในระดับท้องถิ่น ตลอดจนการตรวจสอบ  การทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น"

จากข้อบังคับฯ ดังกล่าวทำให้บรรดาผู้ขับเคลื่อนในเรื่องของการกระจายอำนาจและผู้ที่อยากเห็นการกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่นเกิดความหวังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ถูกทำให้หยุดชะงักและพยายามที่จะทำให้ถอยหลังกลับไปไกลกว่าที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามทั้งหมดทั้งปวงนี้จะประสพความสำเร็จไม่ได้เลยหากไม่มี พ.ร.บ.เกิดขึ้นมารองรับไม่ว่าจะเป็นในชื่อหรือรูปแบบใดก็ตาม ซึ่งโอกาสในการเสนอร่าง พ.ร.บ.ในลักษณะนี้โดยภาคประชาชนได้ถูกปิดลงโดยสิ้นเชิงเพราะไม่เข้าเงื่อนไขรัฐธรรมนูญฯ ปี 60 ว่ากฎหมายที่จะเสนอโดยการเข้าชื่อของภาคประชาชนจะต้องเสนอในหมวดสิทธิเสรีภาพและหน้าที่ของรัฐเท่านั้น จึงเหลือเพียงการเสนอร่าง พ.ร.บ.นี้โดยคณะรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีจำนวนตั้งแต่ 20 คนขึ้นไปเท่านั้น

ฉะนั้น การกระจายอำนาจจะมีผลในทางปฏิบัติก็ย่อมขึ้นอยู่กับการที่พรรคการเมืองไม่ว่าพรรคใดก็ตามที่มีแนวนโยบายเช่นนี้ได้รวมกันเป็นเสียงข้างมากในสภาฯ เพื่อที่จะทำให้ร่าง พ.ร.บ.ในลักษณะเช่นนี้ผ่านออกมาบังคับใช้ เพราะโอกาสที่ภาคประชนที่จะเสนอกฎหมายในลักษณะนี้ได้ถูกปิดลงไปแล้ว

อนาคตใหม่ของการกระจายอำนาจย่อมขึ้นอยู่กับเสียงของประชาชนโดยแท้ที่จะผลักดันให้พรรคที่มีแนวนโยบายเช่นนี้ซึ่งมีอยู่หลายพรรคได้เข้าไปมีสิทธิมีเสียงในสภาฯ ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นต่อไปข้างหน้านี้ นั่นเอง

อนาคตใหม่ของการกระจายอำนาจอยู่ในมือท่านแล้วครับ



หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เพื่ออนาคตที่เราจะได้กำหนดเอง

Posted: 29 May 2018 10:09 PM PDT

 

ข้อเสนอเรื่องการรื้อรัฐธรรมนูญ 2560 ยกร่างใหม่ทั้งฉบับ ที่ผมพูดในการแถลงข่าววันประชุมจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ กลายเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง ทั้งประชาชน สื่อมวลชน นักการเมือง ไปจนถึงรัฐบาลคสช.และ กกต. ว่าการล้มรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันทำได้จริงหรือไม่ ทำอย่างไร และจะนำไปสู่ความวุ่นวายในสังคมหรือไม่

ประเด็นแรก พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ผู้มีอำนาจโดยตรงในการพิจารณาว่าพรรคการเมืองทำอะไรได้หรือไม่ได้ ตอบชัดเจนแล้วว่าการเสนอแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะบางมาตรา หรือยกร่างใหม่ทั้งฉบับ เป็นสิ่งที่พรรคการเมืองสามารถเสนอได้ เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจว่าจะเอาด้วยหรือไม่ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงตามโรดแมปของ คสช.เอง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นคุณวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ หรือพลเอกประยุทธ์ พลเอกประวิตร ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเรื่องนี้จะทำให้พรรคเรามีปัญหาหรือไม่ และผมก็ยืนยันว่าเราไตร่ตรองดีแล้วว่าการมีรัฐธรรมนูญใหม่ คือทางออกของสังคม เพื่ออนาคตใหม่ที่เสรี เป็นธรรม ไร้การสืบทอดอำนาจ เราไม่สามารถอยู่กับมรดก คสช.ชิ้นใหญ่ ที่ทำขึ้นเพื่อสืบทอดอำนาจ รวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง และวางกลไกเพื่อให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่มีอำนาจที่แท้จริงในการบริหารประเทศได้

ประเด็นต่อมา การรื้อรัฐธรรมนูญ 2560 แล้วร่างใหม่ทั้งฉบับ มีความชอบธรรมหรือไม่ และจะทำได้อย่างไร? เป็นที่ทราบกันดีว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างโดยผู้ที่ถูกแต่งตั้งจากรัฐบาลทหาร ไม่ได้ผ่านการฟังความเห็นจากประชาชน แม้มีการลงประชามติ ก็เป็นไปอย่างไม่เป็นธรรม คนจำนวนมากที่รณรงค์ให้ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ หรือวิจารณ์ข้อเสียของมัน ถูกจับกุมคุมขัง ถูกคุกคาม จึงไม่สามารถอ้างได้ว่านี่คือรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน การแก้ไขหรือยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ จะมีความชอบธรรมแน่ หากทำโดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทำโดยวิธีการเดียวกับที่เคยก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยมีมา นั่นก็คือแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อเปิดทางให้มีประชามติ ให้ประชาชนตัดสินใจว่าต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งเท่าที่ทราบ ก็มีอย่างน้อย 2 พรรคแล้วที่เห็นด้วยกับแนวทางของผม นั่นก็คือการชูธงยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ประชาชนจะกำหนดอนาคตของตัวเอง

ส่วนคนที่กลัวว่าข้อเสนอของอนาคตใหม่ในการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ จะนำไปสู่วังวนความวุ่นวายเหมือนในอดีต ผมขอยืนยันว่าการฉีกรัฐธรรมนูญโดยการรัฐประหารต่างหาก ที่นำมาซึ่งความเสียหายย่อยยับอันไม่อาจประเมินได้ แต่การรื้อรัฐธรรมนูญอันเป็นมรดกรัฐบาลทหาร ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยผ่านกระบวนการรับฟังความเห็น ประชาพิจารณ์อย่างรอบด้าน ไม่มีทางทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง ความเห็นต่างย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในระบอบประชาธิปไตย แต่เราจะอยู่กันได้ภายใต้กฎกติกาที่ทุกคนเคารพร่วมกัน มอบความเป็นธรรมให้ทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม

คนกลุ่มไหนกันที่จะเห็นแย้งกับการคืนอำนาจสูงสุดให้เป็นของประชาชน?
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักวิจัยพบ ภาวะโลกร้อนมีส่วนให้เชื้อโรคดื้อยามากขึ้น

Posted: 29 May 2018 09:51 PM PDT

ผลวิจัยจากกลุ่มนักระบาดวิทยาล่าสุดชี้ ภาวะโลกร้อนและการเพิ่มขึ้นของประชากรส่งผลให้เชื้อโรคดื้อยาปฏิชีวนะมากขึ้น ผู้วิจัยคาด เชื้อดื้อยาอาจคร่าชีวิตคนมากถึง 10 ล้านคนภายในปี 2593

ภาพย้อมสีจากกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนของแบคทีเรียอี.โคไล ซึ่งเป็นหนึ่งในแบคทีเรียที่ถูกใช้ในงานวิจัย  (ที่มา:วิกิพีเดีย)

29 พ.ค. 2561 สื่อคอมมอนดรีมส์ระบุว่า ภาวะโลกร้อนที่ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นมีผลร้ายต่อชีวิตของมนุษย์มากกว่าที่คิด มีการรายงานในวารสารวิทยาศาสตร์ Nature Climate Change ระบุว่าภาวะโลกร้อนมีส่วนทำให้เชื้อโรคดื้อยาได้มากขึ้น กลุ่มผู้วิจัยในเรื่องนี้คือนักระบาดวิทยาจากหลายมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ และจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต

บทคัดย่อของงานวิจัยระบุว่าแบคทีเรียหรือเชื้อโรคชนิดอื่นๆ ที่สามารถต้านทานยาปฏิชีวนะได้กลายเป็นเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกจำนวนมาก และอาจจะมีผู้เสียชีวิตจากสาเหตุนี้มากถึง 10 ล้านคนภายในปี 2593 เดเรก แมคฟาร์เดน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคติดเชื้อผู้มีส่วนร่วมเขียนงานวิจัยนี้กล่าวว่า ที่ผ่านมาเคยมีการวิจัยเรื่องที่โลกร้อนมีผลกระทบต่อโรคติดเชื้อหลายโรค แต่ในคราวนี้เป็นครั้งแรกที่พบว่าภาวะโลกร้อนมีส่วนทำให้เชื้อดื้อยาโดยไม่จำกัดแต่เฉพาะในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ใดที่หนึ่ง

นักวิจัยทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างเชื้อโรคที่มักจะพบกรณีการดื้อยาได้แก่ E. coli, K. pneumoniae และ S. aureus (staph) โดยอาศัยข้อมูลจากสถานพยาบาลหลายร้อยแห่งจาก 41 รัฐ พวกเขาพบว่าเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น 10 องศาฟาเรนไฮต์ (ราว 5-6 องศาเซลเซียส) จะทำให้ E. coli ดื้อยามากขึ้นร้อยละ 4.2 ทำให้  K. pneumoniae ดื้อยาเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 และ S. aureus ดื้อยาเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7

นักวิจัยระบุอีกว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่เชื่อมโยงกับการดื้อยาของเชื้อโรคคือการเพิ่มขึ้นของประชากร พวกเขาระบุว่าการเพิ่มขึ้นของประชากร 10,000 ล้านคนต่อพื้นที่ 1 ไมล์ (ราว 1.6 กม.) เขื้อ E. coli จะดื้อยาเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ขณะที่ K. pneumoniae จะดื้อยาเพิ่มขึ้นร้อยละ 6

จอห์น บราวน์สไตน์ หัวหน้าแผนกนวัตกรรมและผู้อำนวยการกลุ่มระบาดวิทยาเชิงคำนวณจากบอสตันและฮาร์วาร์ดกล่าวว่าการค้นพบนี้ควรจะมีการวิจัยต่อยอดไปอีกเพื่อทำความเข้าใจว่าตัวแปรเหล่านี้มีการเชื่อมโยงกันยังไง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรคภัย ยารักษา และการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม

หน่วยงานควบคุมโรคของสหรัฐฯ เคยบันทึกว่ามีประชากรสหรัฐฯ 2 ล้านคนต่อปีติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยา และมีคนเสียชีวิตอย่างน้อย 23,000 รายต่อปีจากการติดเชื้อเหล่านี้ ขณะที่องค์การอนามัยโลกเคยประกาศว่าการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียถือเป็นภัยร้ายแรงระดับต้นๆ ต่อสุขภาวะประชากรโลก ความมั่นคงทางอาหาร และการพัฒนาในยุคปัจจุบัน

เรียบเรียงจาก

Climate Change Could Supercharge Threat of Antibiotic Resistance: Study, Common Dreams, May 25,

Antibiotic resistance increases with local temperature, Nature, May 21, 2018

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai