โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

‘เอกชัย’ ถูกควบคุมตัวไว้ที่ สน.ชนะสงคราม ตามหมายจับคดีชุมนุม 'คนอยากเลือกตั้ง'

Posted: 11 May 2018 09:07 AM PDT

เอกชัย หงส์กังวาน ถูกควบคุมตัวไว้ที่ สน.ชนะสงคราม ตามหมายจับคดีชุมนุมคนอยากเลือกตั้ง บริเวณหน้ากองทัพบก ฝ่าฝืนคําสั่งหัวหน้า คสช. และ พ.ร.บ.ชุมนุม 

เจ้าหน้าที่เข้าควบคุมตัวเอกชัยเมื่อเวลา 15.15 น. ภาพจากเฟสบุ๊ค เอกชัย หงส์กังวาน

11 พ.ค.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมทางการเมืองและหนึ่งในผู้เรียกร้องให้ คสช. คืนอำนาจและเปิดให้มีการเลือกตั้งตามสัญญาไว้ โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว แจ้งว่า  เมื่อเวลา 15.15 น. ตำรวจนอกเครื่องแบบ 4 คน และตำรวจในเครื่องแบบ 1 คนแสดงหมายค้นเพื่อพาตนไป สน.ชนะสงคราม ในคดี ARMY 57 หรือคดีจากการชุมนุมชุมนุมและเดินขบวนเรียกร้องการเลือกตั้งจากบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จนถึงบริเวณหน้ากองทัพบกเมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่ผ่านมา 

"ผมนัดเวลา 16.00 น. แต่ตำรวจเหล่านี้คะยั้นคะยอให้ผมไปตอนนี้ ผมจึงบอกให้พวกเขารอผมอาบน้ำก่อน" เอกชัย โพสต์

โดยก่อนหน้านั้น เอกชัย แจ้งว่าเมื่อเวลา 11.00 น. ตำรวจนอกเครื่องแบบ 7 คนเดินทางมาที่บ้านของตน พวกเขาเรียกให้ตนเปิดประตูบ้าน แต่ตนปฏิเสธ ถามเหตุผลที่พวกเขามาหาตนพวกเขาพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะตอบ จึงจี้ให้พวกเขาแสดงหมายจับของตน

ต่อมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมตัว เอกชัย จากบ้านพักตามมหมายจับ ในคดี ARMY 57 ในความผิดฐานฝ่าฝืนคําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ข้อ 12 ข้อหาร่วมกันเป็นผู้ชุมนุมฯ ข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ มาตรา 16 (1), (8) และ มาตรา 18 และความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.บ.จราจรทางบก ข้อหายุยงปลุกปั่นฯ ตามมาตราประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.การโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง มาตรา 4

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า กรณีการควบคุมตัว เอกชัย ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ได้ออกมาหมายเรียกครบ 4 ครั้ง ซึ่งหมายเรียกครั้งที่ 4 ระบุให้ เอกชัย เข้ารายงานตัวในเวลา 9.30 น. ของวันที่ 9 พ.ค. ที่ผ่านมา ทำให้พนักงานสอบสวนได้ทำการขอออกหมายจับจากศาลอาญา หลังจากนั้น ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับ ทำให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการเข้าจับกุมตัวที่บ้านพัก ขณะนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่สน.ชนะสงคราม คาดว่าพนักงานสอบสวนจะส่งฝากขังต่อศาลอาญา รัชดา ในวันพรุ่งนี้

สำหรับคดีนี้ในส่วนของแกนนำ ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาและได้ถูกนำตัวไปฝากขังโดยพนักงานสอบสวนแล้ว โดยศาลอาญารัชดามีคำสั่งไม่รับฝากขังแกนนำและผู้ชุมนุมไปก่อนหน้านี้ใน 2 ชุด คือเมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2561 จำนวน 5 คน และวันที่ 1 พ.ค. 2561 จำนวน 4 คน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุรพศ ทวีศักดิ์: วิวาทะทางพุทธศาสนาและอำนาจละเมิดเสรีภาพทางศาสนา

Posted: 11 May 2018 06:51 AM PDT


 

เมื่อสำรวจดู "วิวาทะ" ในแวดวงพุทธศาสนาไทยร่วมสมัย จะพบว่าแกนกลางของวิวาทะคือเรื่อง "ความถูก-ผิดของคำสอน" มีทั้งวิวาทะระหว่างบุคคลและกลุ่มบุคคล เช่นวิวาทะเรื่อง "จิตว่าง" ระหว่างพุทธทาสภิกขุ กับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช วิวาทะเรื่อง "นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา" ระหว่างสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) กับฝ่ายสำนักธรรมกาย วิวาทะเรื่อง "พระภิกษุประกาศตนเป็นพระอรหันต์หรือเป็นผู้บรรลุธรรมระดับต่างๆ ผิดหลักธรรมวินัยหรือไม่" ระหว่างท่าน ป.อ. ปยุตฺโต กับพระโพธิรักษ์แห่งสันติอโศก วิวาทะ "พุทธวจน" ระหว่างพระคึกฤทธิ์ที่เลือกจะเชื่อพระไตรปิฎกบางส่วนเท่านั้นว่าบันทึกธรรมวินัยที่แท้ของพุทธะ กับฝ่ายยืนยันพระไตรปิฎกทั้งหมด วิวาทะเรื่อง "บวชภิกษุณีชอบด้วยธรรมวินัยหรือไม่" เป็นต้น

วิวาทะดังกล่าว ย่อมเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาในแวดวงสังคมศาสนาทุกยุคสมัย ที่เป็นเช่นนี้เพราะแม้คนจะอ่านคัมภีร์ศาสนาเล่มเดียวกัน แต่เป็นไปได้เสมอที่คนจะเข้าใจหรือตีความต่างกัน เพราะคัมภีร์ศาสนาไม่ใช่ตำราวิชาการที่เสนอความรู้อย่างเป็นระบบ แต่มีลักษณะเป็น "วรรณกรรม" ที่เสนอคำสอน แง่คิดผ่านเรื่องเล่าที่ทั้งมีฉากบุคคล สถานที่ เหตุการณ์เชิงประวัติศาสตร์,ตำนาน บางเรื่องก็สมจริง บางเรื่องก็เหนือจริง หรือเหนือธรรมชาติ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่คนอ่านวรรณกรรมเช่นนี้แล้วจะเข้าใจและตีความต่างกันได้เสมอ

พูดอย่างริชาร์ด ฮัลโลเวย์ (ในหนังสือ "ศาสนา: ประวัติศาสตร์ศรัทธาแห่งมวลมวลมนุษย์" หน้า 138)

"ศาสนาเป็นศิลปะ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงไม่สำคัญที่จะตั้งคำถามว่าตำนานกำเนิดโลก (ในคัมภีร์) เป็นเรื่องจริงหรือเท็จ แต่ควรถามว่ามันหมายความถึงสิ่งใด มันพยายามบอกอะไรเรา"

ฮัลโลเวย์มองว่ามันดูงี่เง่าที่บรรดาผู้เคร่งศาสนาพยายามพิสูจน์ว่า ตำนานกำเนิดโลกในคัมภีร์ไบเบิลเป็นผลงานวิทยาศาสตร์ หาใช่ศิลปะแต่อย่างใด

ถ้ามองแบบฮัลโลเวย์ ชาวพุทธเคร่งศาสนาที่พยายามยืนยันว่า ตำนานกำเนิดสิทธัตถะที่เกิดมาแล้วเดินได้ 7 ก้าว เป็น "ข้อเท็จจริง" ก็ย่อมดูงี่เง่าเช่นกัน ขณะที่ผู้ไม่เชื่อที่อ้างวิทยาศาสตร์ปฏิเสธตำนานก็อาจดูงี่เง่าไปอีกแบบ เพราะคุณไม่เข้าใจ function ของตำนานศาสนาว่า มันทำหน้าที่เสนอความจริงทางศิลปะ ไม่ใช่ความจริงทางวิทยาศาสตร์

ตำนานพระเจ้าสร้างโลก ไม่ได้เสนอความจริงทางวิทยาศาสตร์ คือเราพิสูจน์ "ข้อเท็จจริง" ไม่ได้ว่าพระเจ้าสร้างโลกอย่างไร แต่มันทำให้เกิดความจริงทางศิลปะ คือเกิด "ความหมาย" บางอย่างในชีวิตทางศีลธรรมของคนที่เชื่อ และมันก่อเกิดความหมายในเชิงสังคมการเมือง วัฒนธรรม ประเพณีของสังคมศาสนานั้นๆ ซึ่งเป็น "ความจริง" ที่สัมผัสได้เช่นเดียวกับความจริงทางวิทยาศาสตร์ เพียงแต่มีความหมาย, รายละเอียด และความซับซ้อนแตกต่างกัน

ตำนานทางพุทธศาสนาก็มีหลายเรื่องที่เหนือจริง แต่ความเหนือจริงได้ให้ความหมายที่เป็นความจริงในวิถีชีวิตคน เช่น ทำให้คนที่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม นรก สวรรค์มีวิถีชีวิตจริงทางศีลธรรมแบบหนึ่ง เหมือนพงศาวดารของรัฐพุทธศาสนายุคกลาง ที่เล่าเรื่องราวกำเนิดวงศ์ของกษัตริย์ว่ามีต้นกำเนิดมาจากพระมหาโพธิสัตว์ ที่แม้ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ แต่มันก็ก่อให้เกิดความจริงเชิงศิลป์ (ในการปกครอง) คือความจริงของสถานะ อำนาจที่ศักดิ์สิทธิ์เหนือคนธรรมดาสามัญของกษัตริย์ ในรัฐพุทธศาสนาที่สัมผัสจับต้องได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากเรื่องเชิงตำนานหรือเรื่องเหนือจริงต่างๆ ในคัมภีร์พุทธศาสนา (และศาสนาอื่นๆ) ก็ย่อมมีคำสอนที่มีเหตุผล เมื่ออิทธิพลของวิทยาศาสตร์ขยายมาสู่สังคมไทย ชนชั้นนำทางพุทธศาสนาก็พยายามตีความคำสอนส่วนที่มีเหตุผลนั้นว่า "เข้ากันได้" หรือ "เป็นวิทยาศาสตร์" ซึ่งที่จริงแล้วก็เริ่มจากชาวตะวันตกที่หันมาสนใจพุทธศาสนาเริ่มตีความแบบนี้ก่อน และชนชั้นนำพุทธไทยก็เอาอย่าง

แต่ดูเหมือนว่าหนังสือที่แต่งโดยนักวิชาการตะวันตกที่เปรียบเทียบคำสอนพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ มักจะเป็นเรื่องของการอธิบายให้เห็นความสอดคล้องกัน "ในบางเรื่อง" ด้วยหลักวิชาการมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของการโปรโมท หรือโฆษณาชวนเชื่อให้เห็นว่า พุทธศาสนามีความทันสมัยอย่างที่ชนชั้นนำพุทธไทยนิยมทำกัน

นอกจากวิวาทะเกี่ยวกับเรื่องเชิงตำนาน,หลักคำสอนที่มีเหตุผลดังกล่าว จะเป็นวิวาทะระหว่างบุคคลและกลุ่มบุคคลดังกล่าวแล้ว บางเรื่องก็มีการยกระดับให้กลายเป็น "ประเด็นสาธารณะ" เช่น กรณีสันติอโศก,ธรรมกาย,การบวชภิกษุณี เป็นต้น นั่นคือ มีการยกวิวาทะดังกล่าวให้กลายเป็นเรื่องของสังคม เพราะยกขึ้นมาเป็นประเด็นเกี่ยวกับ "อำนาจสาธารณะ" คือ เรียกร้องให้คณะสงฆ์ใช้อำนาจทางกฎหมายเข้าไปจัดการ และเรียกร้องให้รัฐเข้าไปจัดการ จึงทำให้เกิดปัญหาซับซ้อนขึ้น

กล่าวคือ ในเมื่อความจริงทางศาสนาเป็นความจริงเชิงศิลปะ ที่เกี่ยวกับความเข้าใจและการตีความบนพื้นฐานของศรัทธาและสติปัญญาของแต่ละคน เมื่อเกิดปัญหาการตีความต่างกันขึ้น แล้วมีบางกลุ่ม (ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มที่เห็นด้วย หรือยอมรับ สนับสนุนอำนาจของคณะสงฆ์ และระบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาแบบที่เป็นอยู่) สามารถเรียกร้องให้อำนาจคณะสงฆ์และอำนาจรัฐจัดการเอาผิดฝ่ายที่เชื่อต่างหรือตีความต่างจากตนเองได้ มันย่อมเกิดปัญหาสำคัญตามมา

นั่นคือ ปัญหา "เสรีภาพทางศาสนา" ซึ่งเป็น "กติกาสาธารณะ" ที่รัฐรับรองและต้องคุ้มครองเสรีภาพดังกล่าวนี้ของปัจเจกบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่เชื่อและไม่เชื่อในศาสนาใดๆ

พูดให้เข้าใจง่ายๆ วิวาทะทางศาสนาระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคล เป็นเรื่องของเสรีภาพที่ใครจะคิดจะเชื่อ จะถกเถียง หรือทะเลาะกัน หรือด่ากันก็ได้ ตราบที่ไม่ทำอะไรที่เป็นเหตุให้เกิดความรุนแรงทางกายภาพ ก็ย่อมเป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตของการใช้เสรีภาพทางศาสนาและเสรีภาพในการพูด/การแสดงออก แต่ทันทีที่ฝ่ายหนึ่งเรียกร้องให้ใช้อำนาจทางกฎหมายของคณะสงฆ์และอำนาจรัฐเอาผิดฝ่ายที่คิดต่าง ตีความต่าง และเชื่อต่าง นี่ย่อมเป็นการเรียกร้องที่นำไปสู่การละเมิดเสรีภาพของอีกฝ่ายแล้ว

ทำไมถึงมีการเรียกร้องเช่นนี้ได้ คำตอบก็เพราะระบบโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนา (แบบที่เป็นมาและเป็นอยู่) ทำให้มีระบบอำนาจทางกฎหมายของคณะสงฆ์ และอำนาจรัฐที่สามารถแทรกแซง ขัดขวางเสรีภาพทางศาสนาได้ แต่เราถูกทำให้เข้าใจผิดว่า รัฐธรรมนูญรับรองเสรีภาพทางศาสนาไว้แล้ว สังคมไทยย่อมเป็นสังคมที่มีเสรีภาพทางศาสนาเหมืองสังคมอารยะอื่นๆ

แต่ในความเป็นจริง บทบัญญัติสำคัญในรัฐธรรมนูญบางเรื่องก็เป็นเพียง "มายาคติ" หรือ "ไม่มีความหมาย" ในทางปฏิบัติจริง เช่นไม่ว่ารัฐธรรมนูญที่ใช้ในยุครัฐบาลเลือกตั้ง หรือ "ฉบับชั่วคราว" ของคณะรัฐประหาร ต่างบัญญัติว่า "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย" แต่อำนาจที่แท้จริงก็ยังเป็นของกลุ่มบุคคลภายใต้โครงสร้างอำนาจตามเป็นจริงที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่นั่นเอง เสรีภาพทางศาสนาที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญภายใต้โครงสร้างที่รัฐกับศาสนาไม่แยกจากกัน ก็ย่อมไม่ใช่เสรีภาพทางศาสนาในความหมายที่แท้จริงแต่อย่างใด

แต่น่าเศร้าที่บรรดาพระนักปราชญ์, พระเซเลบ, นักวิชาการพุทธศาสนาในบ้านเรายังหมกมุ่น หรือ "ย่ำอยู่กับที่" ในปัญหาวิวาทะทางพุทธศาสนาที่เถียงกันเรื่องใครผิดใครถูก ทว่ามองไม่เห็นหรือเพิกเฉยต่อระบบโครงสร้างที่ละเมิดเสรีภาพทางศาสนาชัดแจ้ง ซ้ำบางคนบางกลุ่มยัง "ผลิตซ้ำ" ความคิด แสดงออก และเคลื่อนไหวในแนวทางสนับสนุนการคงอยู่และเพิ่มอำนาจของระบบโครงสร้างเช่นนั้นอีกด้วย  

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์: ประเทศไทยต้องเปลี่ยน(อย่างไม่มีทางเลี่ยง)

Posted: 11 May 2018 06:37 AM PDT

 

ถามกันมากว่า "ประเทศไทยจะไปทางไหนในอีก 20 ปีข้างหน้า?"

หลายคนอาจกังวลเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของคสช. ที่แม้แต่ได้ยินชื่อ ก็รู้สึกว่า จะเป็นการตั้งต้นบีบคอคนไทยหรือใส่โซ่ตรวนตั้งแต่ยกแรกแล้ว หลายคนไม่แน่ว่าประเทศไทยจะเดินถอยหลังตามแบบอุดมการณ์จารีตนิยมหรือแบบฉบับไทยนิยมของรัฐบาลเผด็จการในยุคนี้หรือไม่

ผมไม่คิดเช่นนั้น แต่คิดว่า เราควรต้องเตรียมตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึงเมืองไทยไม่ช้าก็เร็ว...แน่นอน

จากมุมมองในฝ่ายพุทธศาสนา "กฎอนิจจัง"ทำงานอย่างซื่อตรง และไม่มีมายาคติไม่ว่าจะเป็นชีวิตหรือวัตถุสิ่งของก็ตาม "ไม่มีอะไรมั่นคงแน่นอน และไม่มีอะไรจะอยู่ค้ำฟ้าโดยไม่การเปลี่ยนแปลง"

จ้อบ ฉันทฤทธิ์ วิโรจน์ศิริ ศิษย์เก่า ม. ศิลปากร และศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาแถวแคลิฟอร์เนีย เพื่อนที่เคยใช้ชีวิตในอเมริกามานานค่อนชีวิตเปรยกับผมว่า หากเทียบประวัติศาสตร์ไทยกับประวัติศาสตร์อเมริกาแล้ว ประวัติศาสตร์การเมืองไทยยังไม่ได้เริ่มต้นหรือเริ่มนับหนึ่งแต่อย่างใดเลย โดยที่ประวัติศาสตร์การเมืองของอเมริกันมีส่วนหนึ่งที่น่าเศร้า เพราะมีการใช้ความรุนแรงคือเกิดสงครามฆ่าล้างผลาญกัน ก่อนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยซ้ำ ข้อมูลประวัติศาสตร์ดังกล่าวถูกสอดอยู่ในแบบเรียนประวัติศาสตร์อเมริกันโดยทั่วไป

ส่วนประวัติศาสตร์ของไทยเรา ถ้าอนุมานจากความคิดของจ้อบแล้ว คงยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต เพราะมันยังไม่มีการเริ่มต้น หากจะกำลังจะเกิดการเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้าไม่นาน

แต่ถามว่ามันมีแนวโน้มหรือกลิ่นอายของการเริ่มต้นเชิงประวัติศาสตร์ไหม คงต้องบอกว่ามี ไม่ว่ากระแสไทยนิยมจะถูกโหมประโคมโดยรัฐบาลเพียงใดก็ตาม ทั้งนี้เพราะโลกไม่สามารถเดินกลับหลัง หมุนเวลาย้อนไปหาอดีตได้ บริบทสังคมหรือเหตุการณ์อะไรต่างๆ ก็ต่างจากเดิม เปลี่ยนแปลงไปทุกเมื่อเชื่อวัน

ตัวอย่างของความไม่สามารถควบคุมได้ซึ่งข้อมูลข่าวสารของรัฐบาลเหมือนดังในอดีต เนื่องจากระบบออนไลน์และโซเชียลมีเดีย แค่นี้ก็ทำให้ความพยายามในการแช่แข็งประเทศเป็นไปไม่ได้แล้ว การมองรอบด้านเท่านั้นที่ทำให้ชีวิตและประเทศชาติอยู่รอด

ขณะที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ความเป็นสากลทุกขณะ ทุกคนในโลกนี้กำลังเดินไปในทางเดียวกัน บนค่านิยมต่างๆ ที่สอดประสานเป็นหนึ่งเดียว เช่น ค่านิยมเสรีประชาธิปไตยหรือปัจเจกนิยม เป็นต้น ชนิดที่ไม่มีรัฐบาลที่ไหนในโลกห้ามได้ และดูเหมือนว่ากระแสของค่านิยมดังกล่าวก่อตัวขึ้นในสหรัฐอเมริกานั่นเอง ซึ่งก็น่าจะราวๆ สองทศวรรษกว่าๆ มานี่เอง

ก็ใครจะคาดคิดเล่าว่า วัฒนธรรมซิลิคอนวัลเลย์ จะมีอิทธิพลต่อการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ความคิดของพลเมืองโลกได้รวดเร็วและจำนวนมากขนาดนี้ จุดประกายโดยสตีฟ จ้อบบ์และบิลล์เกตต์  จนต่อมา ซักเกอร์เบิร์ก เอามาขยายผล จนมันได้ทะลายกำแพงความเป็นรัฐชาติลงอย่าแทบสิ้นเชิงและมนุษย์โลกก็บ่ายหน้าหันหัวไปในทางเดียวกันแบบเห็นกันชัดๆ

ในสหรัฐอเมริกามีนักการเมืองและนักวิจารณ์ (อย่างเช่น ชอมสกี) พยายามพูดถึงความหลากหลายอันเป็นอัตลักษณ์อเมริกัน ทว่ามันใช่เหรอนั่น ผู้คนเริ่มเชื่อในความหลากหลายน้อยลง แต่กำลังเชื่อในเรื่องผู้ควบคุมและสอดส่อง คนไม่แน่ใจว่าเป็น Big Brother คนใหม่หรือไม่ แต่บางทีมันอาจไม่แตกต่างมากนักกับนิยายเรื่องดังของจอร์จ ออร์เวล เรื่องดังกล่าว แต่เรื่องนี้อย่างน้อย สมาชิกคองเกรสอเมริกันก็เริ่มให้ความสำคัญแบบเป็น "เรื่องคอขาดบาดตาย" แล้วตอนนี้ ถึงกับเรียกตัวซักเกอร์เบิร์กไปไต่สวนดังปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว

เมื่อกระแสหลักของโลกมีทีท่าหรือบ่ายหน้าไปสู่ความเป็นเสรีนิยมประชาธิปไตย คนไทยเองก็ไม่น่าจะต้านทานกระแสใหญ่ที่ว่านั่นได้ แต่การเปลี่ยนแปลงอาจต้องใช้เวลาบ้าง แต่ก็ไม่อาจเลี่ยงได้ เหมือนกระแสน้ำที่ไหลหลากจากภูเขา ในที่สุดก็จะหวาดต้อนเอาสรรพสิ่งไปกับมัน พาไหลออกมหาสมุทรที่เป็นกระแสสากลในที่สุด จนกว่าเราจะหลอมรวมกับกระแสสากลเหล่านั้นจนเป็นหนึ่งเดียว

จึงเป็นที่น่าผิดหวังสำหรับฝ่ายต่อต้านกระแสหรือฝ่ายรำลึกอดีต ที่พยายามจะทวนกระแสสากล เพราะจะเหนื่อยเปล่าและสิ้นเปลืองทรัพยากรที่ใช้ไปในการต้านกระแสโดยใช่เหตุ และก็แน่นอนว่าไม่ต้องรอให้ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ มันจะอุบัติขึ้นก่อนหน้านั้นแน่นอน

ที่สำคัญครับ มาร์คไว้เลยนะครับ พลังอนุรักษ์นิยมแบบล้าหลัง จะต้องพ่ายแพ้ต่อคนรุ่นใหม่ ที่มีกำลังวังชาและเวลาที่ยาวนานกว่า นี่ไม่ใช่ทฤษฎีใหม่ใดๆ เลย หากเป็น "พุทธทฤษฎี" หรือแท้จริงคือกฎที่รู้กันโดยทั่วไป กฎอนิจจังหนึ่งในไตรลักษณ์ จะทำหน้าที่ของมันอย่างตรงไปตรงมา เรื่องก็ง่ายๆ แค่นี้เอง

แล้วก็ดูสิครับ คนรุ่นใหม่จำนวนมากยืนจ่อรอเปลี่ยนแปลงประเทศอยู่หรือเปล่า เราคงตระหนักนะครับว่าพวกเขาคิดไม่เหมือนคนรุ่นพ่อแม่ในหลายเรื่อง มันเป็นโลกของพวกเขา พวกเขาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางกระแสสากล พูดกันแบบแรงๆ กระแสสากลล้างสมองพวกเขามาตั้งแต่เด็กๆ ครับ ก่อนเข้าเรียนอนุบาลเสียด้วยซ้ำ

เพราะฉะนั้นต่อให้กี่ คสช.ก็เอาไม่อยู่ ชาติที่หมายถึงพลเมืองเขาไปแล้วของเขาเอง ไม่ต้องรอการอนุมัติจาก คสช. พวกเขาส่วนใหญ่ก้าวเข้ากระแสสากลไปเรียบร้อยแล้ว ดังที่ท่านผู้นำจะเห็นปฏิกิริยาของเด็กๆ ที่เกิดขึ้นและกระทบกับตัวท่านอยู่เนืองๆ จากจุดนี้ทำให้รัฐบาลเผด็จการมีแต่ตั้งรับลำบากมากยิ่งขึ้นทุกวัน เพราะไม่ทราบแน่ชัดว่า เด็กคนไหนคือชนวนระเบิด ที่สำคัญคือ ทุกคนสามารถเป็นชนวนได้หมด ก็จากกระแสสากลที่พวกเขารับเข้ามาใส่หัวตั้งแต่อ้อนแต่ออดนั่นเอง

ย้ำอีกครั้งว่า กระแสนี้มีพลังมหาศาล เป็นแบบจำลองประวัติศาสตร์อเมริกันที่อาจเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยใช้เทคโนโลยีอเมริกันนี่แหละ มีอำนาจพอที่กวาดต้อนทุกสรรพสิ่งอำนาจ ที่มีอยู่ในตอนนี้ให้พังพินาศลงในเร็วก็ช้า ถ้ากลุ่มอำนาจเดิมไม่คิดจะปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลง

ดูจากพฤติกรรมเด็กๆ และเยาวชน (หรือพรรคการเมืองใหม่บางพรรค) ในทางการเมืองก็คงจะทราบกันดีในเวลานี้

ว่าพวกเขาแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นประเทศไทยเดินสู่การเปลี่ยนแปลงสู่กระแสสากลที่ว่า คอยดูเอาเถอะว่าพวกเขาหมายมั่นอุดมการณ์เชิงปัจเจกเสรีประชาธิปไตยไว้มากมายขนาดไหน

พุทธทฤษฎี (กฎ) นี้ของจริงครับ !!

ไม่ต้องไปแช่แข็งสังคม ไม่ต้องไปย้อนกระแสกลบเกลื่อนปัญหาฯ แบบละครออเจ้าหรือหนังสือแบบเรียนสมัยอยุธยาจินดามณี .....ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น

และคาดว่า คงไม่ต้องรอถึง 20 ปี ชัวร์

เปลี่ยนแน่นอน ประเทศไทย 555

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: ทำไมชื่อ"เกรียน"ไม่ได้

Posted: 11 May 2018 06:21 AM PDT



พรรคเกรียนตั้งไม่ได้ขายหัวเราะ     ชื่อขบเผาะเพราะดีท่าทีเท่

หัวหน้าพรรคดูเกรียนกล้ามีฮาเฮ     ตาไม่เหล่เฉไฉวิสัยทัศน์

หลายเรื่องที่ทายท้านำมาเสนอ     คบเป็นเกลอเธอฉันได้ไม่อึดอัด

แนวทางตั้งคลังความคิดผิดถูกชัด     นำมาจัดลำดับโชว์นโยบาย


เช่นจัดการสุนัขทั้งระบบให้จบเรื่อง     หรือสร้างเมืองศิลปวัฒนธรรมนำมาขาย

ประชาชนมีบำนาญ , ธนาคารต้นไม้     เพิ่มเวลาให้ครูดูแลนักเรียน

แยกขยะทำปุ๋ยลุยเป็นวาระแห่งชาติ     สิ่งน่าปรารถนาว่าหมดเหี้ยน

นโยบายอีกหลายต่างอย่างเกรียนๆ     ไม่ใช่เพี้ยนนะพี่น้องไยข้องขัด

ชื่อพรรคเกรียนต้องเปลี่ยนใหม่ไม่อนุญาต     ท่านผิดพลาดนะ กกต.ของ้างงัด

เกรียนหมายถึงความสั้นอันเต็มพิกัด     กะทัดรัดต่างกับกร่างอยู่กลางถนน

เกรียนคือผู้อยู่ในวินัยผมไม่ยาว     ทุกย่างก้าวอยู่ในทัณฑ์อันเข้มข้น

เกรียนไม่ใช่กร่างอย่างบางตน     ที่มองคนด้วยกันต่ำชั้นเอย

 

                                                 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: ราด ชะ กาน

Posted: 11 May 2018 06:12 AM PDT


ราด แต่คำพูดบ้าปัญญาอ่อน
ภูมิใจสลอนตอนใส่เครื่องแบบ
แต่ภายในกระพี้กากกลวงแฟบ
โชว์ขั้นโชว์โกงแถบอินทรธนู

อยากเป็นข้าราชการผ่านหน้าที่
มิใช่ผ่านวลีอันสวยหรู
ผ่านเครื่องแบบแยบคายเมื่อได้ดู
สีกากีกูอยู่ที่กระทำ

ชะ เอาสิ่งสกปรกระบบออก
ก่อนจะบอกตะเบ็งบ้ามาพูดพร่ำ
ถ้าไม่ชะล้างข้างในอันระยำ
ก็เหมือนนำเครื่องแบบเก่าพันเน่าใน

เครื่องแบบอันศักดิ์สิทธิ์อุปถัมภ์
ย้อนแย้งการกระทำ-การสวมใส่
เราควรเป็นข้าราษฎร์ผู้รับใช้?
ศักดิ์สิทธิ์ยังไงอยู่หัวประชา?

กาน ให้แตกสิ่งใหม่ใหม่บ้างเถิด
จะก่อเกิดประโยชน์ที่ยังดีกว่า
จริยธรรม คุณธรรม ควรค้ำฟ้า
สีกากีจึงควรค่าแก่การใช้

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ทหาร-ตร.' เข้าคุยคนงานรังสิตถึงห้องพัก บอกไม่อยากให้ร่วม 'คนอยากเลือกตั้ง'

Posted: 11 May 2018 06:00 AM PDT

ศรีไพร กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตฯ เผยถูก ทหาร-ตำรวจ เข้ามาคุยถึงห้องพัก แต่ตนไม่อยู่ เจอเพื่อนรับหน้าคุยแทน อ้างขอข้อมูล-ไม่อยากให้เกี่ยวข้องกับการชุมนุมเรียกร้องการเลือกตั้ง 

ภาพ ศรีไพร (ขวามือ) ขณะคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ที่สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี  เมื่อวันที่ 30 เม.ย.61 เรื่องการจัดกิจกรรมวันกรรมกรสากล ก่อนถูกห้ามพูดเรื่องการเมืองและการเลือกตั้ง

11 พ.ค.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศรีไพร นนทรีย์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง เปิดเผยว่า เพื่อนของตนแจ้งว่า วันนี้ เมื่อช่วงเวลาประมาณ 12.00 น. ที่ผ่านมา ทหารมา 2 นาย แสดงตัวด้วยการให้ดูบัตร ไม่ได้ใส่ชุดทหาร มาถ่ายรูปห้องที่อยู่ตามบัตรประชาชนของตน ซึ่งเป็นห้องที่ตนไม่ได้อยู่ มีเพียงเพื่อนเท่านั้นที่อยู่

ศรีไพร เล่าต่อว่า เพื่อนของตนสอบถาม ทหารจึงแสดงบัตรให้ดูว่าเขาเป็นทหาร และบอกกับคนที่อยู่ห้องว่าเขามาดี ไม่ได้มาร้าย และถามว่าใช้ห้องของศรีไพรหรือไม่ เพื่อนตนตอบว่าใช่ แต่ศรีไพรไม่ได้อยู่ นานๆ ถึงจะมาดูห้องสักครั้ง ทหารจึงถามต่อว่าศรีไพรพักอยู่ที่ไหนกันแน่ เพื่อนของตนจึงแจ้งว่าพักอยู่ที่ไหนไป นอกจากนี้ทหารยังขอเบอร์มือถือตน แต่เพื่อนตนปฏิเสธที่จะให้ รวมทั้งปฏิเสธที่จะให้ถ่ายภาพ และยืนยันว่าเป็นสิทธิของเขาที่จะไม่ให้เบอร์มือถือหรือให้ใครถ่ายรูปได้หรือไม่ ทหารจะขอเข้าห้องแต่ เพื่อนของตนก็ปฏิเสธไม่อนุญาตให้เข้า จากนั้นทหารก็ถ่ายรูปห้องไปแทนด้วยอ้างว่าต้องแจ้งนาย 

ศรีไพร เล่าด้วยว่า ทหารแจ้งกับเพื่อนของตนว่าไม่อยากให้ตนไปเกี่ยวข้องกับการชุมนุมเรียกร้องการเลือกตั้ง แต่เพื่อนบอกกับทหารว่า ให้ไปคุยกับศรีไพรเอาเอง 

ศรีไพร เล่าอีกว่า เมื่อช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.จุฬาลงกรณ์ ประมาณ 6-7 นาย มาตามหาตนอีกรอบที่เดิมกับช่วงเที่ยง โดยไปเคาะห้องดังกล่าว และบอกว่าจะมาขอข้อมูลของตน เพื่อนตนจึงบอกว่าให้ทหารไปหมดแล้วเมื่อตนกลางวัน 
 
ศรีไพร กล่าวว่า ปกติหากเจ้าหน้าที่จะพบกับตนจะโทรตามเพื่อให้ไปพบเอง แต่ครั้งนี้มาถึงห้อง พร้อมนอกเครื่องแบบด้วย ตนไม่รู้ว่าเขามาทำไม ก่อนวันแรงงาน ทั้ง ตำรวจและทหารก็เรียกตนไปพบที่โรงพัก เขาก็มีเบอร์โทรติดต่อ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาที่บ้าน และ ตำรวจก็มาจำนวนมาก จึงไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมากันขนาดนี้ด้วย ขณะนี้ยังไม่มีคนงานในกลุ่มโดนเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกัน แต่ต้องรอดูความชัดเจนอีกครั้ง เพราะตำรวจมีข้อมูลเลขากลุ่มอยู่ด้วย
 
สำหรับ ศรีไพร เธอถูกดำเนินคดีคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116, ตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 และตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558  จากการขึ้นปราศรัยเกี่ยวกับสถานการณ์และปัญหาของผู้ใช้แรงงานในยุค คสช. จากการชุมนุมและเดินขบวนจากบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จนถึงบริเวณหน้ากองทัพบก เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่ผ่านมา  นอกจากนี้ก่อนวันแรงงาน (30 เม.ย.61) เธอและเพื่อนคนงานถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกคุยเรื่องแผนเส้นทางเคลื่อนขบวนในวันกรรมกรสากล ที่ สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พร้อมสั่งห้ามพูดเรื่องการเมืองและการเลือกตั้งในกิจกรรมวันแรงงานสากล (1 พ.ค.61)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

2 สมาคมนักข่าวฯ ค้าน มติ กสทช. สั่งปิด 'PEACE TV' 30 วัน ชี้ลิดรอนสื่อ ขัด รธน.

Posted: 11 May 2018 02:47 AM PDT

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ - สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ ออกแถลงการณ์ร่วม คัดค้านมติ กสทช. กรณี สั่งพักใบอนุญาต 'PEACE TV' 30 วัน ชี้ลิดรอนเสรีภาพสื่อ – ขัดแย้งรัฐธรรมนูญ จี้ทบทวนคำสั่งดังกล่าวโดยพลัน

11 พ.ค.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์ร่วมเรื่องยกเลิกคำสั่งพักใบอนุญาต Peace TV ลิดรอนเสรีภาพสื่อ – ขัดแย้งรัฐธรรมนูญ

แถลงการณ์ร่วมของทั้ง 2 สมาคมนักข่าวฯ คัดค้านมติของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่พักใช้ใบอนุญาตช่อง PEACE TV เป็นเวลา 30 วัน โดยระบุว่า เป็นมติอันเป็นการลิดรอนเสรีภาพสื่อมวลชน และขัดแย้งกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่ให้การรับรองเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร หรือการแสดงความคิดเห็นของสื่อมวลชน อีกทั้งบทบัญญัติที่กำหนดว่าการสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนอื่น เพื่อลิดรอนเสรีภาพจะกระทำมิได้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ กสทช. ทบทวนคำสั่งดังกล่าวโดยพลัน

แถลงการณ์ระบุ 2 เหตุผลที่คัดค้านคือ 1. การสั่งพักใบอนุญาตดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลกระทบกับ Peace TV ซึ่งมีคนทำงานอยู่ในหลายส่วนและอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของรายการ หรือมีส่วนรับรู้เนื้อหารายการแต่ได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะการใช้อำนาจสั่งพักรายการบางรายการของ Peace TV ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบที่ก่อให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงยิ่งกว่า กสทช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ให้ใบอนุญาตกับผู้ประกอบการและกำกับผู้ได้รับใบอนุญาต หากไม่ระมัดระวังในการใช้อำนาจ อาจเป็นองค์กรที่ทำลายเสรีภาพสื่อและองค์กรธุรกิจสื่อเสียเอง

2. กสทช. เป็นองค์กรอิสระมีอำนาจและมีหน้าที่โดยตรงในการป้องกันไม่ให้อำนาจฝ่ายอื่นเข้ามาแทรกแซงความเป็นอิสระในการทำหน้าที่ขององค์กรสื่อที่ได้รับใบอนุญาตในการประกอบกิจการ กรณีที่ กสทช. อ้างถึงประกาศ คสช. ที่ 97/2557 และฉบับที่ 103/2557 ครั้งนี้เท่ากับ กสทช. ยอมและเปิดทางให้อำนาจอื่นเข้ามาทำลายความเป็นอิสระของ กสทช. โดยตรงเสียเอง และมีผลกระทบต่อองค์กรสื่อที่อยู่ภายใต้การกำกับของ กสทช. รวมทั้งทำลายความน่าเชื่อถือของ  กสทช. อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อความเป็นอิสระในการทำหน้าที่ขององค์กรสื่อมวลชนภายใต้การกำกับของ กสทช. ให้เลวร้ายลงไปอีก รวมถึงความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชนไทยก็ลดลงไปเช่นกัน 

รายละเอียดแถลงการณ์มีดังนี้

แถลงการณ์ร่วม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เรื่องยกเลิกคำสั่งพักใบอนุญาต Peace TV ลิดรอนเสรีภาพสื่อ – ขัดแย้งรัฐธรรมนูญ

กรณีที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีมติให้พักใช้ใบอนุญาต Peace TV โดยอ้างอำนาจตามประกาศ กสทช. ข้อ 19 เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้บริการกระจายเสียงและโทรทัศน์ พ.ศ.2555 เป็นเวลา 30 วัน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค.2561  เพราะเนื้อหารายการอันเป็นการส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยกในราชอาณาจักร จากการออกอากาศ 4 รายการ คือ 1.รายการเดินหน้าต่อไป ออกอากาศเมื่อวันที่ 26, 27 มี.ค. และ 5 เม.ย. 2.รายการหยิบข่าวมาคุย ออกอากาศเมื่อวันที่ 27 มี.ค. และ 9 เม.ย. 3.รายการ เหลียวหลังแลไปข้างหน้า ออกอากาศเมื่อวันที่ 26, 27 มี.ค. และ 9 เม.ย. และ 4.รายการเข้าใจตรงกันนะ ออกอากาศเมื่อวันที่ 27 มี.ค. รวมทั้งเนื้อหารายการยังเป็นการนำเสนอที่ขัดต่อคำสั่งศาลปกครอง ที่มีคำสั่งให้บริษัท พีซ เทเลวิชั่น จำกัด ปฏิบัติตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 97/2557 และฉบับที่ 103/2557 ซึ่งพิจารณาว่าเป็นการกระทำผิดซ้ำซากนั้น

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ขอคัดค้านมติของ กสทช. ดังกล่าว ซึ่งเป็นมติอันเป็นการลิดรอนเสรีภาพสื่อมวลชน และขัดแย้งกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่ให้การรับรองเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร หรือการแสดงความคิดเห็นของสื่อมวลชน อีกทั้งบทบัญญัติที่กำหนดว่าการสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนอื่น เพื่อลิดรอนเสรีภาพจะกระทำมิได้ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1. การสั่งพักใบอนุญาต Peace TV เป็นเวลา 30 วัน ได้ก่อให้เกิดผลกระทบกับ Peace TV ซึ่งมีคนทำงานอยู่ในหลายส่วนและอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของรายการ หรือมีส่วนรับรู้เนื้อหารายการแต่ได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะการใช้อำนาจสั่งพักรายการบางรายการของ Peace TV ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบที่ก่อให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงยิ่งกว่า กสทช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ให้ใบอนุญาตกับผู้ประกอบการและกำกับผู้ได้รับใบอนุญาต หากไม่ระมัดระวังในการใช้อำนาจ อาจเป็นองค์กรที่ทำลายเสรีภาพสื่อและองค์กรธุรกิจสื่อเสียเอง

2. กสทช. เป็นองค์กรอิสระมีอำนาจและมีหน้าที่โดยตรงในการป้องกันไม่ให้อำนาจฝ่ายอื่นเข้ามาแทรกแซงความเป็นอิสระในการทำหน้าที่ขององค์กรสื่อที่ได้รับใบอนุญาตในการประกอบกิจการ กรณีที่ กสทช. อ้างถึงประกาศ คสช. ที่ 97/2557 และฉบับที่ 103/2557 ครั้งนี้เท่ากับ กสทช. ยอมและเปิดทางให้อำนาจอื่นเข้ามาทำลายความเป็นอิสระของ กสทช. โดยตรงเสียเอง และมีผลกระทบต่อองค์กรสื่อที่อยู่ภายใต้การกำกับของ กสทช. รวมทั้งทำลายความน่าเชื่อถือของ  กสทช. อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อความเป็นอิสระในการทำหน้าที่ขององค์กรสื่อมวลชนภายใต้การกำกับของ กสทช. ให้เลวร้ายลงไปอีก รวมถึงความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชนไทยก็ลดลงไปเช่นกัน

ดังนั้น มติ กสทช. ครั้งนี้ จึงเป็นการใช้อำนาจที่ขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานในการรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน  ส่งผลกระทบต่อสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน  ซึ่งบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ กำหนดไว้ว่า "การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นจะกระทำไม่ได้"  ก็เพื่อให้องค์กรสื่อในส่วนที่ไม่ได้สร้างปัญหายังคงทำหน้าที่ต่อไปได้

กรณีของ Peace TV หากรายการใดมีปัญหาก็ควรพิจารณาเป็นกรณีไป ไม่ควรใช้อำนาจพักใบอนุญาตทั้งสถานี หากการเสนอเนื้อหาของรายการใน Peace TV หรือทีวีช่องใดมีผลกระทบต่อความมั่นคง หรือละเมิดสิทธิบุคคล หมิ่นประมาทบุคคลอื่น ผู้เสียหายหรือผู้มีส่วนได้เสียก็สามารถที่จะแจ้งความดำเนินคดี หรือฟ้องร้องตามกฎหมายปกติได้อยู่แล้ว และในแง่ของผู้บริโภคข่าวสาร หากสื่อใดนำเสนอรายการที่ไม่มีความรับผิดชอบ กลไกตลาดผู้บริโภคข่าวสารจะเป็นคนตัดสินสื่อนั้นได้เองเช่นกัน

ทั้งนี้ ในปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในช่วงขับเคลื่อนตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ รวมถึงแผนปฏิรูปด้านสื่อสารมวลชน และเข้าสู่ห้วงเวลาเดินตามโรดแมปการเลือกตั้ง สื่อมวลชนจะต้องมีเสรีภาพเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างกว้างขวาง แต่ประกาศ คสช. ฉบับที่ 97/2557 และ 103/2557 ยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ขัดแย้งต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญว่าด้วยเสรีภาพ (มาตรา 35) อีกทั้งเป็นเครื่องมือในการลิดรอนเสรีภาพสื่อมวลชน ซึ่งใน "วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก" (World Press Freedom Day) เมื่อวันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ได้รณรงค์ให้ "ปลดล็อกคำสั่ง คสช. ทวงคืนเสรีภาพประชาชน" ดังนั้น คสช. จะต้องให้ยกเลิกประกาศดังกล่าวด้วย

สมาคมนักข่าวฯ ทั้งสอง ขอเรียกร้องให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ทบทวนคำสั่งดังกล่าวโดยพลัน เพื่อให้สื่อมวลชนได้ทำหน้าที่ในการเสนอข้อมูล ข่าวสาร หรือแสดงความคิดเห็นตามสิทธิ์ขั้นพื้นฐานในรัฐธรรมนูญต่อไป

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย

11 พฤษภาคม 2561

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สภา นศ.ธรรมศาสตร์ ประณามคอลัมนิสต์เดลินิวส์ไร้จรรยาบรรณ ปมป้ายสีเป็นเครื่องมือทำลายชาติ

Posted: 11 May 2018 02:14 AM PDT

สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ออกแถลงการณ์ ประณาม คอลัมนิสต์เดลินิวส์ เหตุกล่าวหาอาจารย์นักศึกษา เป็นเครื่องมือนักการเมืองและพวกทำลายชาติ เจตนาให้เกลียดชัง จี้รับผิดชอบ

11 พ.ค.2561 จากกรณี บทความข่าว "นรกป่วนชาติ ( รอบใหม่ )" ซึ่งเขียนโดยเจ้าของนามปากกา "เขื่อนขันธ์" และได้ตีพิมพ์ใน หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 5 พ.ค. ที่ผ่านมา รวมทั้งมีการเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์ https://www.dailynews.co.th/article/641601 โดยมีเนื้อหาโจมตีคณะอาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า "เป็นเครื่องมือนักการเมืองและพวกทำลายชาติ" อีกทั้งชี้นำให้ผู้อ่านเกิดความเกลียดชังต่อ คณะอาจารย์ นักศึกษาและต่อมหาวิทยาลัย รวมทั้งพยายามกล่าวหาว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นพื้นที่สำหรับวางแผนเคลื่อนไหวและซ่องสุมกองกำลัง อันเป็นการให้ร้ายและปลุกปั่นความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคม นั้น

วานนี้ (10 พ.ค.61) สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในฐานะองค์กรที่พิทักษ์สิทธิและเสรีภาพของนักศึกษาและประชาชนชาวไทยมาโดยตลอด และในฐานะผู้แทนของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกแถลงการณ์ประณามต่อการกระทำของสื่อและนักเขียนข่าวดังกล่าว โดยระบุว่า ไร้จรรยาบรรณในวิชาชีพ ขาดความเที่ยงธรรมและความเป็นภววิสัยในการรายงานข่าวอีกทั้งขาดการกลั่นกรองข้อเท็จจริงก่อนที่จะนำเสนอสู่สาธารณะ ตลอดจนมีเนื้อหาอันก้าวก่ายสิทธิส่วนตัวของบุคคลอื่น โดยที่นำมาซึ่งความเกลียดชัง และความแตกแยกในสังคม นับว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติและสังคมในแบบหนึ่ง

สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ขอเรียกร้องให้สำนักพิมพ์เดลินิวส์แสดงความรับผิดชอบต่อกรณีดังกล่าวและขอเรียกร้องไปยังนักเขียนข่าวเจ้าของนามปากกา "เขื่อนขันธ์" ให้พิจารณาการทำงานของตนในฐานะสื่อมวลชนว่ายังคงมีจรรยาบรรณในวิชาชีพเพียงพอสำหรับการรับใช้สังคมอยู่หรือไม่


สุดท้ายนี้ สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ขอสนับสนุนให้นักศึกษาและประชาชน พิจารณาข้อมูลข่าวสารจากสื่อที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้ เพื่อมิให้ตกเป็นเหยื่อของการใช้สื่อในการสร้างความร้าวฉานและแตกแยกในสังคม รวมทั้งขอสนับสนุนต่อการใช้สิทธิและเสรีภาพของนักศึกษาและประชาชนตามที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอย่างเหมาะสมและสมควร โดยมิทำลายซึ่งสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'อภิสิทธิ์' อวย ปชช.มาเลเซีย ใช้สิทธิเลือกตั้งต่อต้านทุจริตของรัฐ ย้ำนี่คือสิ่งสำคัญ

Posted: 10 May 2018 11:58 PM PDT

อภิสิทธิ์ ชี้สิ่งสำคัญการเลือกตั้งมาเลเซีย คือประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้งต้านทุจริตคอร์รัปชันของรัฐ พร้อมเตือน 'คนอยากเลือกตั้ง' อย่าบานปลาย ระวังเข้าทางรัฐบาลลากยาว 'ทักษิณ' ชี้ 'มหาเธร์' กลับมาอย่างสง่างามอีกครั้ง ด้าน 'วีระ' ชม 'คนมาเลย์' กล้าโค่น 'นาจิบ' ด้วยวิถีประชาธิปไตย อัดคนไทยเรียกทหารเข้ามา

แฟ้มภาพ

11 พ.ค.2561 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นโดยส่งข้อความทางไลน์กับผู้ติดตาม เกี่ยวกับผลการเลือกตั้งของมาเลเซีย โดยระบุว่า เรื่องที่น่าสนใจคือการที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิสู้กับอำนาจรัฐ

"เลือกตั้งมาเลเซียครั้งนี้ทำเอาหลายๆ คนแปลกใจ หลายสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นก็เกิดขึ้นแล้ว เช่นการจับมือกันของศัตรูทางการเมืองในอดีต ผู้นำโลกที่มีอายุมากที่สุดถึง 92 ปี แต่สำหรับผมที่สำคัญที่สุด คือ การที่ประชาชนใช้สิทธิในการเลือกตั้ง ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐ แม้จะต้องต่อสู้กับการใช้อำนาจรัฐเอาเปรียบคู่แข่งขันหลายเรื่อง รวมทั้งการอัดฉีดนโยบายประชานิยมอย่างเต็มที่" อภิสิทธิ์ กล่าว

เตือน 'คนอยากเลือกตั้ง' อย่าบานปลายรุนแรง ระวังเข้าทางรัฐบาลลากยาว

ขณะที่วานนี้(10 พ.ค.61) อภิสิทธิ์ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ว่า ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน เพราะคนที่เป็นแกนหลักในการเคลื่อนไหว เขามีจุดยืนชัดเจน ที่ไม่ยอมรับอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน เขาต้องการให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งเดิมนายกฯ เคยพูดไว้ว่า จะเป็นช่วงเดือน พ.ย. จึงไม่อยากให้มีการเลื่อนเลือกตั้งออกไปอีก และไม่อยากให้มีอำนาจพิเศษอะไรหลงเหลืออยู่อีก เขาก็แสดงออกในข้อเรียกร้อง ซึ่งในมุมมองตน อยากให้เป็นเรื่องของฝ่ายประชาชน ถ้ามีการเมืองเข้าไปก็คงจะถูกกลายเป็นเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง กล่าวหากันอีกว่า เป็นเรื่องของหวังผลทางการเมือง ฝักใฝ่ฝ่ายใด อย่างไรหรือไม่ และทำอย่างไร อย่าให้มันบานปลายไปสู่ความวุ่นวาย หรือความรุนแรง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ที่ตนประเมิน คือ สุดท้ายสิ่งที่เรียกร้อง จะไม่ได้ กลับจะยิ่งเป็นข้ออ้างให้ผู้มีอำนาจว่า มันกระทบต่อโรดแมป
 
"ขณะเดียวกัน ผู้ที่มีอำนาจเองก็ต้องรักษาสัจจะ ตรงไปตรงมากับความพยายามในการที่จะพาบ้านเมืองเดินไปตามสิ่งที่เคยพูดไว้ เพื่อความเชื่อถือของประเทศ และรัฐบาลเอง" อภิสิทธิ์ กล่าว
 
 

ทักษิณ แสดงความยินดีมหาเธร์ ชี้กลับมาอย่างสง่างามอีกครั้ง

ด้าน ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์ผ่านอินสตาแกรม thaksinlive วานนี้ว่า ขอแสดงความยินดีจากใจจริงแก่ ดร. มหาเธร์ โมฮัมหมัด ต่อการกลับมาอย่างสง่างามอีกครั้ง พลังของประชาชนชาวมาเลเซียได้ออกเสียงอย่างชัดเจนแล้วว่า พวกเขายังคงจดจำตำนานที่ยิ่งใหญ่ และความเป็นผู้นำของท่านยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของพวกเขาไม่เสื่อมคลาย 
จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับ ดร. มหาเธร์อย่างใกล้ชิดในอดีต ผมมั่นใจว่า ท่านจะนำพา "แนวร่วมแห่งความหวัง" และประเทศมาเลเซียไปสู่อนาคตที่งดงาม ความคิดและวิสัยทัศน์ภายใต้การนำของท่าน จะเป็นแรงผลักดันและสร้างอาเซียนให้กลับมาตื่นตัวและยิ่งใหญ่อีกครั้ง ตนเชื่อว่าชาวไทยทุกคนรู้สึกนึกคิดและเคารพ ดร. มหาเธร์ เฉกเช่นเดียวกันกับตน
 

ขอแสดงความยินดีจากใจจริงแก่ ดร. มหาเธร์ โมฮัมหมัด ต่อการกลับมาอย่างสง่างามอีกครั้ง พลังของประชาชนชาวมาเลเซียได้ออกเสียงอย่างชัดเจนแล้วว่า พวกเขายังคงจดจำตำนานที่ยิ่งใหญ่ และความเป็นผู้นำของท่านยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของพวกเขาไม่เสื่อมคลาย จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับ ดร. มหาเธร์อย่างใกล้ชิดในอดีต ผมมั่นใจว่า ท่านจะนำพา "แนวร่วมแห่งความหวัง" และประเทศมาเลเซียไปสู่อนาคตที่งดงาม ความคิดและวิสัยทัศน์ภายใต้การนำของท่าน จะเป็นแรงผลักดันและสร้างอาเซียนให้กลับมาตื่นตัวและยิ่งใหญ่อีกครั้ง ผมเชื่อว่าชาวไทยทุกคนรู้สึกนึกคิดและเคารพ ดร. มหาเธร์ เฉกเช่นเดียวกันกับผม My sincere congratulations to Dr. Mahathir bin Mohamed on his spectacular comeback. The power of the people has spoken loud and clear that they do not only remember his outstanding legacy but needed his leadership. From my experience having the honor working closely with him, I am confident that he would lead the Alliance of Hope and Malaysia into the successful future. His leadership would undoubtedly reinvigorate ASEAN as well as ideas and visions that he helped shape. I am certain that all the Thai people share my sentiment and respect towards him.

A post shared by Thaksin Shinawatra (@thaksinlive) on

'วีระ' ชม 'คนมาเลย์' กล้าโค่น 'นาจิบ' ด้วยวิถีประชาธิปไตย อัดคนไทยเรียกทหารเข้ามา

วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Veera Somkwamkid" แสดงความคิดเห็นหลังการเลือกตั้งทั่วไปของมาเลเซีย โดยระบุว่า มหาเธร์ และประชาชนมาเลเซีย เขากล้ายึดอกยอมรับความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต ที่ยอมให้นาจิบ ราซัค ขึ้นครองอำนาจบริหารประเทศ แล้วเขาก็แสดงความรับผิดชอบด้วยการ กลับเข้าสู่สนามการเมือง ลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อ โค่นล้มนาจิบ ตามวิถีทางแบบประชาธิปไตย แต่ประเทศไทย ช่างตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ผู้มีอำนาจที่ได้อำนาจมาจากการทำรัฐประหาร ยังไม่ยอมคืนอำนาจให้กับประชาชน ยังไม่ยอมจัดให้มีการเลือกตั้ง ที่เลวร้ายคือเผด็จการทหารพยายามที่จะสืบทอดอำนาจต่อไปให้ยาวนานที่สุด
 
วีระ โพสต์ต่อว่า ส่วนผู้ที่มีส่วนไปเรียกร้องให้ทหารเข้ามายึดอำนาจ เข้ามาทำให้เกิดความเสียหายแก่ชาติและประชาชน คนเหล่านี้ก็ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบอะไร หนำซ้ำยังจะคอยปกป้องและสนับสนุนให้เผด็จการทหารปกครองประเทศต่อไปอีก ประชาธิปไตยในประเทศไทย ไม่เกิดการพัฒนาอย่างเข้มแข็ง ส่วนหนึ่งก็มาจากคุณภาพของคนไทยเอง ที่ยอมรับเผด็จการทหารว่าดีกว่าประชาธิปไตย ถ้าเช่นนั้นจะเสียเงินร่างรัฐธรรมนูญไปทำไมกัน มีรัฐธรรมนูญแล้วแต่ไม่ยอมให้มีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งพบว่าโกงก็เรียกทหาร เข้ามายึดอำนาจ ทหารก็มาโกงเหมือนนักการเมือง แล้วเมื่อใดประเทศไทยจะก้าวพ้นวงจรอุบาทว์เสียที
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'แพทย์ชนบท' ให้กำลังใจ ‘แพทยสภา' หลังถอนฟ้องเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์

Posted: 10 May 2018 11:23 PM PDT

'แพทย์ชนบท' แนะนายกแพทยสภา เสนอชื่อ หมอสุกิจ กลับมาเป็นเลขาธิการแพทยสภาอีกครั้ง หลังประกาศลาออกเพื่อลดแรงกดดันในแพทยสภา ชี้มีการก่อกวนและเล่นเกมส์อย่างหนักจากกลุ่มแพทย์พาณิชย์ขั้วอำนาจเก่า

11 พ.ค.2561 จากกรณีที่ตัวแทนกลุ่มเครือข่ายแพทย์ผู้ปฏิบัติงานจริง เข้ายื่นหนังสือเรียกร้องให้ปลด ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา นายกแพทยสภา และ นพ.สุกิจ ทัศนสุนทรวงศ์ เลขาธิการแพทยสภา หลังจากที่ไปถอนฟ้อง ปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์นั้น

วันนี้ (11 พ.ค.2561) นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบทและเครือข่ายชมรมแพทย์ชนบท ออกจดหมายเปิดผนึกในนามชมรมให้กำลังใจนายกและเลขาธิการแพทยสภา โดยระบุว่าการที่ถอนฟ้องดังกล่าวเนื่องจากได้มีการไกล่เกลี่ยและมีการดำเนินการตามข้อตกลงแล้ว

"ขอชื่นชมในสปิริตของ นพ.สุกิจ เลขาธิการแพทยสภา ที่ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งจากตำแหน่งเลขาธิการ เพื่อลดแรงกดดันในแพทยสภา ซึ่งมีการก่อกวนและเล่นเกมส์อย่างหนักจากกลุ่มแพทย์พาณิชย์ขั้วอำนาจเก่าของแพทยสภาอย่างไม่สร้างสรรค์" จดหมายเปิดผนึกของชมรมแพทย์ชนบทและเครือข่าย ระบุ
 
ชมรมแพทย์ชนบทเชื่อมั่นว่า แพทย์ชนบททั้งหมดและแพทย์ส่วนใหญ่ของประเทศ ต่าง ก็ชื่นชมกับบทบาทการทําหน้าที่ของเลขาธิการแพทยสภาที่มีความกล้าหาญในการทําสิ่งที่ถูกต้องและ เหมาะสม ที่ได้ปลดชนวนความขัดแย้งที่ยาวนานระหว่างแพทยสภากับเครือข่ายผู้ป่วย นํามาสู่มิติของแพทย สภาที่จะก้าวไปสู่การทํางานอย่างสร้างสรรค์เพื่อสถาปนาความเชื่อของสังคมไทยต่อแพทยสภาให้กับมาอีกครั้ง หลังจากที่แพทยสภาตกต่ํามายาวนานจากการที่ขั้วอํานาจเก่าได้บริหารแพทยสภาจนเสียหายมานับสิบปี
 
"ให้ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา นายกแพทยสภา ให้เสนอชื่อ นพ.สุกิจ ทัศนสุนทรวงศ์ กลับมาทํา หน้าที่เลขาธิการแพทยสภาอีกครั้ง เพื่อสานต่อภารกิจสร้างสรรค์มากมายให้ลุล่วง และเป็นการยืนหยัดให้คนดี มีที่ยืนในสังคมไทยอีกด้วย" ประธานชมรมแพทย์ชนบทและเครือข่าย ระบุ
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศรีสุวรรณ ค้านสหพันธ์ขนส่งฯ ปรับขึ้นราคาค่าขนส่งทุกประเภท ชี้ซ้ำเติมประชาชน

Posted: 10 May 2018 10:28 PM PDT

ศรีสุวรรณ ร้อง รมว.คมนาคม คณะกรรมการควบคุมขนส่งทางบกกลาง สั่งการให้ระงับการปรับขึ้นราคาค่าขนส่งทุกประเภทตามที่สหพันธ์ขนส่งฯได้ประกาศขึ้นราคาไปแล้ว

 

11 พ.ค.2561 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ระบุว่าทางสมาคมฯ ออกแถลงการณ์ คัดค้านสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยปรับขึ้นราคาค่าขนส่งทุกประเภทซ้ำเติมประชาชน

แถลงการณ์ ระบุว่า ตามที่สหพันธ์การขนส่งฯ มีมติปรับขึ้นราคาค่าขนส่งสินค้าทุกประเภทร้อยละ 5 โดยมีผลตั้งแต่ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป โดยอ้างว่าการปรับราคาขึ้นครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากกระทรวงคมนาคมเสียก่อน เพราะการประกอบการขนส่งรถบรรทุกเป็นลักษณะของการขอใบอนุญาตประกอบการ ไม่ใช่การขอรับสัมปทาน ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าและบริการทั่วประเทศมีภาระต้นทุนเพิ่มมากขึ้น และจะมีการผลักภาระทั้งหมดไปให้กับผู้บริโภคหรือประชาชนรับผิดชอบโดยการขึ้นราคาสินค้าและบริการ

สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ระบุว่า ข้ออ้างในการปรับขึ้นราคาค่าขนส่งในครั้งนี้ไม่สมเหตุสมผลแต่อย่างใด อาทิ 1) ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มลิตรละ 3 บาท 2)ค่าแรงงานในกรุงเทพฯและปริมณฑลเพิ่มขึ้นเป็น 330 บาท และ 3)การจราจรติดขัดทำให้รถบรรทุกทำรอบได้เพียง 1 รอบต่อวันนั้น ซึ่งความจริงรถบรรทุกส่วนใหญ่หันไปใช้ก๊าซ NGV กันเกือบหมดแล้ว และก่อนหน้ารัฐบาลนี้ราคาน้ำมันดีเซลมีราคามากกว่า 30 บาทต่อลิตรก็ยังอยู่กันได้ แต่ในขณะนี้ราคาอยู่ที่ประมาณ 28 บาทเท่านั้นกลับมาใช้เป็นข้ออ้างขึ้นราคา ด้านค่าแรงนั้นเป็นมาตรการทางกฎหมายที่มีผลต่อต้นทุนเพียงไม่เกิน 1 % เท่านั้น ส่วนปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯเป็นวิกฤตการณ์ที่เกิดมาโดยตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมาและจะยังคงเป็นปัญหาต่อไปในอนาคต ซึ่งผู้ประกอบการทุกภาคส่วนต่างรับรู้ความเสี่ยงในปัญหานี้ดีอยู่แล้ว การใช้เหตุเหล่านี้เป็นข้ออ้างจึงไม่สมเหตุสมผล หากแต่เป็นการซ้ำเติมประชาชนให้ข้าวยากหมากแพงในยุครัฐบาล คสช. นี้

สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงใคร่เรียกร้องมายังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คณะกรรมการควบคุมขนส่งทางบกกลาง  ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตาม มาตรา 19 ประกอบ มาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ.การขนส่งทางบก 2522 ในการกำหนดลักษณะของการขนส่งไม่ประจำทาง กำหนดอัตราค่าขนส่งและค่าบริการอย่างอื่นในขนส่ง และสามารถวางมาตรการในการกำหนด อนุญาต เพิกถอนการอนุญาต และการควบคุมกิจการขนส่งทางบกได้อีกด้วยนั้น ได้สั่งการให้ระงับการปรับขึ้นราคาค่าขนส่งทุกประเภทตามที่สหพันธ์ขนส่งฯได้ประกาศขึ้นราคาไปแล้วนั้นเสีย และให้ดำเนินการเอาผิดผู้ประกอบการขนส่งต่าง ๆ ดังกล่าวที่ฝ่าฝืนและดำเนินการไปโดยไม่ได้รับอนุญาต และให้คืนเงินค่าขนส่งที่เก็บไปแล้วก่อนหน้านี้ทุกบาททุกสตางค์ เพื่อรักษาระดับราคาสินค้าและบริการที่จะพาเหรดกันขึ้นราคาอันเนื่องมาจากการปรับราคาค่าขนส่งขึ้นดังกล่าวด้วย อนึ่ง หากข้อเรียกร้องนี้ไม่ดีรับการตอบสนองภายใน 30 วันสมาคมฯจะถือว่ากระทรวงคมนาคมและคณะกรรมการควบคุมขนส่งทางบกกลาง ส่อเจตนาในการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการเอกชน อันส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ตาม พ.ร.ป. ป.ป.ช. 2542 ซึ่งสมาคมฯจะขอใช้สิทธิในการร้องเรียนและยื่นฟ้องต่อศาลปกครองและหรือศาลทุจริตคอรัปชั่นต่อไป

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น