ประชาไท | Prachatai3.info |
- รายงานองค์กรสื่อนานาชาติเผย เสรีภาพสื่อไทยรั้งอันดับ 140 จาก 180 ชาติทั่วโลก
- 3 องค์กรสื่อ จี้ปลดล็อกคำสั่ง คสช. ทวงคืนเสรีภาพประชาชน
- P-move พอใจผลเจรจามหาดไทย เดินหน้าไป ก.เกษตรฯ ต่อพร้อมแถลงจี้รัฐหยุดคุกคามคนจน
- เสวนา 'วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก' ปลดล็อกคำสั่ง 0.4 เดินหน้าเสรีภาพประชาชน
- 'ประเวศ' แนะหาผู้นำตามธรรมชาติ 4 ล้าน ตั้งสภาประชาชน ขับเคลื่อนแผนชุมชน
- องค์กรสิทธิร้องไม่ให้อุทธรณ์คดี 'นาหวะ จะอือ' และค่าชดเชยถูกคุมขัง 331 วัน
- พลฯชินวุฒเผยก่อนปลด เป็นทหารเกณฑ์จะเหนื่อยถ้าตั้งคำถามว่า “ทำไม”
- โสภณ แถลงราคาที่ดินพุ่ง 5.3% แต่เศรษฐกิจก็ยังไม่ดี
- 'กสทช.-อย.' เร่งระงับการโฆษณาผิดกฎหมาย
- คุยกับ โปรดิวเซอร์, ผู้กำกับ, นักแสดงนำ ‘Ten Years Thailand’ หนังไทยไปคานส์เรื่องล่าสุด
- ประวิตร เชื่อ P-Move ไม่ร่วมกับคนอยากเลือกตั้ง คาดชุมนุม 5 พ.ค. คนมาน้อย
- ทันตแพทยสภาชี้หมอฟันรีวิวสินค้า ทำในนามวิชาชีพ หากเกิดความเสื่อมเสียถือว่าผิดจรรยาบรรณ
- วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก : แอมเนสตี้ฯ ย้ำ 'การนำเสนอข่าวไม่ใช่อาชญากรรม'
- คนทำงาน เมษายน 2561
รายงานองค์กรสื่อนานาชาติเผย เสรีภาพสื่อไทยรั้งอันดับ 140 จาก 180 ชาติทั่วโลก Posted: 03 May 2018 06:08 AM PDT องค์กรสื่อไร้พรมแดนจัดทำรายงานดัชนีเสรีภาพสื่อทั่วโลก นอร์เวย์มาอันดับหนึ่ง ไทยรั้งอันดับ 140 รายงานวิเคราะห์ ปีนี้กระแสเกลียดชังสื่อกระจายไปยังประเทศประชาธิปไตยด้วย เมื่อ 25 เม.ย. 2561 องค์กรสื่อไร้พรมแดน (Reporters Without Borders - RSF) ออกรายงานดัชนีเสรีภาพสื่อประจำปี 2561 จัดอันดับสถานการณ์ด้านเสรีภาพสื่อของ 180 ประเทศทั่วโลก ผลปรากฏว่าปีนี้ นอร์เวย์ มีสถานการณ์เสรีภาพสื่อดีที่สุดในโลก รองมาคือสวีเดน เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์และสวิตเซอร์แลนด์ โดยไทยติดอันอับที่ 140 ดีขึ้นจากปีที่แล้วที่ได้อันดับที่ 142 ทาง RSF ให้คำอธิบายประเทศไทยว่าถูก 'ปิดปากด้วย "สันติภาพและระเบียบ"' ประเทศที่ถูกปกครองโดยรัฐบาลทหาร คสช. ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ RSF ขนานนามว่าเป็น 'นักล่าเสรีภาพสื่อ' มาตั้งแต่ปีที่แล้ว มีการสอดส่องนักข่าวและนักข่าวพลเมืองตลอดเวลา บ่อยครั้งมีการเชิญตัวมาสอบสวนและควบคุมตัว รายงานขององค์กรด้านเสรีภาพสื่อยังระบุว่าการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารอาจนำไปสู่การโต้ตอบอย่างรุนแรงจากฝ่ายนิติบัญญัติและระบบยุติธรรมที่ปฏิบัติตามคำสั่งรัฐบาลทหาร พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 ถูกปรับให้ภาครัฐมีอำนาจในการสอดส่องและเซ็นเซอร์มากขึ้น นอกจากนั้น การผลัดเปลี่ยนรัชกาลไม่ได้ทำให้การใช้ข้อกล่าวหาด้วยกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ลดลง ส่วนอันดับของประเทศในอาเซียน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และพม่ามีอันดับที่สูงกว่าไทย อินโดนีเซียอยู่อันดับ 124 ฟิลิปปินส์อยู่อันดับ 133 พม่าอยู่อันดับ 137 กัมพูชาอยู่อันดับต่ำกว่าไทย อยู่อันดับที่ 142 และมาเลเซียอยู่อันดับ 145 สิงคโปร์อยู่อันดับ 151 และเวียดนามอยู่อันดับ 175 สำหรับประเทศที่มีเสรีภาพสื่อน้อยที่สุดคือเกาหลีเหนือ รั้งท้ายอยู่อันดับที่ 180 RSF วิเคราะห์ว่า ในปี 2561 กระแสความเกลียดชังสื่อได้กระจายตัวไปจากประเทศที่เป็นเผด็จการสู่ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยด้วย จำนวนผู้นำที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาอย่างเป็นประชาธิปไตยที่เห็นว่าสื่อคือศัตรู สหรัฐอเมริกาที่รับประกันเสรีภาพสื่อในรัฐธรรมนูญก็อันดับตกลงไปเป็นอันดับที่ 45 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พูดว่าสื่อเป็น "ศัตรูของประชาชน" ซึ่งเป็นสิ่งที่โจเซฟ สตาลิน ผู้นำเผด็จการของสหภาพโซเวียตเคยใช้ เส้นแบ่งระหว่างความรุนแรงทางวาจากับทางร่างกายเริ่มหดแคบลง ในฟิลิปปินส์และอินเดีย ประเทศที่มีการโจมตีทางคำพูดต่อสื่อมากก็มีสื่อมวลชนถูกสังหารอย่างน้อยประเทศละสี่คนในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
3 องค์กรสื่อ จี้ปลดล็อกคำสั่ง คสช. ทวงคืนเสรีภาพประชาชน Posted: 03 May 2018 05:11 AM PDT 3 องค์กรสื่อ ย้ำ 'เสรีภาพสื่อมวลชน' คือ 'เสรีภาพของประชาชน' หวังสื่อทุกประเภทตระหนักถึงคุณค่าเสรีภาพที่ยึดมั่นในหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ไม่เช่นนั้นอาจเป็นข้ออ้างของผู้มีอำนาจในการจัดการกับคนเห็นต่างได้
3 พ.ค.2561 วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก รายงานข่าวแจ้งว่า สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ออกแถลงการณ์ "ปลดล็อกคำสั่ง คสช. ทวงคืนเสรีภาพประชาชน" โดยเสนอต่อฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. ให้รัฐบาลโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องระมัดระวังการออกกฎหมายที่จำกัดเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน พร้อมกับ "โละ เลิก ล้าง" ประกาศหรือคำสั่งของ คสช. ที่ลิดรอนเสรีภาพสื่อ ซึ่งก็คือเสรีภาพของประชาชนนั่นเอง เพื่อให้การดำเนินงานของสื่อสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และกำลังเข้าสู่บรรยากาศการเลือกตั้งตามโรดแมป 2. ให้ คสช. และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ต้องปฏิรูปสื่อวิทยุและโทรทัศน์ โดยปราศจากการครอบงำ 3. เรียกร้องให้ประชาชนและผู้ใช้สื่อในทุกแพลตฟอร์ม ระมัดระวังในการเผยแพร่ หรือส่งต่อข้อมูลที่ผิดกฎหมาย ข่าวปลอม (Fake News) ที่ไหลทะลักบนสื่อออนไลน์ และขอให้ประชาชนช่วยกันตรวจสอบ ควบคุมการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนให้อยู่ในกรอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพ 4. เรียกร้องให้สื่อมวลชนทุกแขนง ทุกแพลตฟอร์ม พึงตระหนักการทำหน้าที่ภายใต้กรอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ โดยเฉพาะการปฏิรูปสื่อมวลชน และขอยืนหยัดพร้อมที่จะรับการถูกตรวจสอบจากสังคม ด้วยวิถีทางอันถูกต้อง ชอบธรรมด้วยกฎหมายตามระบอบประชาธิปไตย สำหรับ "วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก" นั้นตรงกับวันที่ 3 พฤษภาคมของทุกปี ที่องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ได้ประกาศ เพื่อตอกย้ำถึงเจตนารมณ์และหลักการที่เป็นพื้นฐานของ "เสรีภาพสื่อมวลชน" ซึ่งก็คือ "เสรีภาพของประชาชน" เพื่อให้มวลมนุษยชาติตระหนักถึงความสำคัญของสื่อมวลชนมืออาชีพที่จะต้องมีเสรีภาพ โดยที่ทั้ง 3 องค์กรยืนยันสนับสนุนหลักการดังกล่าว และต้องการเห็นสื่อทุกประเภทตระหนักถึงคุณค่าเสรีภาพที่ยึดมั่นในหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ไม่เช่นนั้นอาจเป็นข้ออ้างของผู้มีอำนาจในการจัดการกับคนเห็นต่างได้ โดยเฉพาะในปัจจุบัน สถานการณ์ด้านเสรีภาพของสื่อมวลชนไทยอยู่ในภาวะไม่ปกติ ยังอยู่ภายใต้ประกาศและคำสั่ง คสช. หลายฉบับ เปิดทางให้อำนาจรัฐเข้ามาแทรกแซง ควบคุมการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนเป็นระยะๆ เข้าข่ายปิดกั้น ลิดรอนสิทธิการรับรู้ข่าวสาร และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชน ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ที่มีเนื้อหาให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร การแสดงความเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ หากเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนใช้สิทธิเกินขอบเขตก็สามารถฟ้องร้องได้ตามกฎหมาย หรือใช้กลไกควบคุมจริยธรรมขององค์กรสื่อ เช่น สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ประกาศ หรือคำสั่งของ คสช. แถลงการณ์ทั้ง 3 องค์กรสื่อระบุด้วยว่า ประเทศไทยอยู่ในช่วงขับเคลื่อนตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ รวมถึงแผนปฏิรูปด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งจะพัฒนาระบบนิเวศสื่อเพื่อสร้างกลไกการปฏิรูปสื่อในประเทศไทย อาทิ มีข้อเสนอให้มีพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและวิชาชีพสื่อมวลชน ภายใต้การกำกับกันเองของสื่อมวลชนในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพ และเข้มข้นมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้จะมีกฎหมายอีกหลายฉบับออกมาบังคับใช้ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ที่มีความสุ่มเสี่ยงให้นิยาม "การปกป้องคุ้มครองและรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านสารสนเทศของประเทศ" จะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชนตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
P-move พอใจผลเจรจามหาดไทย เดินหน้าไป ก.เกษตรฯ ต่อพร้อมแถลงจี้รัฐหยุดคุกคามคนจน Posted: 03 May 2018 05:02 AM PDT ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 3 ขอเจ้าหน้าที่หยุดคุกคามการเคลื่อนไหวของคนจน พร้อมเผยพอใจผลการเจรจากับกระทรวงมหาดไทย เดินหน้าปักหลักค้างคืนต่อที่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 3 พ.ค. 2561 สืบเนื่องจากการชุมนุมของบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ P-move เมื่อวันที่ 2 พ.ค. โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้ปักหลักชุมนุมค้างคืนบริเวณด้านหน้ากระทรวงมหาดไทย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลมีมาตรการในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 25 เรื่องให้กับเครือข่ายขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม วันนี้เวลา 11.10 น. ประยูร รัตนเสนีย์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในงานด้านกิจการความมั่นคงภายใน ได้เดินทางมาชี้แจงกับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยระบุว่าตั้งแต่เมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมาซึ่งได้มีการเชิญตัวแทนกลุ่มเข้าไปพูดคุยในเรื่องต่างๆ ที่เป็นเรื่องเดือดร้อนของประชาชน 15 จังหวัด จนได้ข้อสรุปทั้งหมด 5-6 เรื่อง โดยเรื่องทั้งหมดได้เรียนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และปลัดกระทรวงมหาดไทย ทราบแล้ว และจากการประชุมนั้นหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่างได้รับการมอบหมายงานให้เข้าไปแก้ไขปัญหาต่างๆ แล้ว และยังได้ทำข้อตกลงในเรื่องการแก้ไขปัญหาที่ดินที่ทำกินร่วมกันด้วย จากนั้นทางกลุ่มได้อ่านแถลงการณ์ฉบับที่ 3 ระบุถึงการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐในการจับกุม 3 แกนนำที่จังหวัดลำพูน รวมทั้งการสกัดกั้นไม่ให้ประชาชนจากจังหวัดลำพูน และเชียงใหม่ เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อร่วมชุมนุมกับทางกลุ่ม โดยประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำการข้างต้น เป็นการกระทำที่เป็นภัยต่อการดำรงอยู่ของประชาชนในประเทศที่ปกครองตามระบอบประชาธิปไตย และขอเรียกร้องให้รัฐบาล หน่วยงานฝ่ายต่างๆ ยุติการข่มขู่ คุกคาม ประชาชนที่เคลื่อนไหวเรียกร้องการแก้ปัญหาความทุกข์ยากของคนจนในทุกพื้นที่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
เสวนา 'วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก' ปลดล็อกคำสั่ง 0.4 เดินหน้าเสรีภาพประชาชน Posted: 03 May 2018 04:55 AM PDT วงเสวนา "ปลดคำสั่ง 0.4 เดินหน้าเสรีภาพประชาชน" 'ศูนย์ทนายสิทธิ' เผยมีกว่า 2 พันคนต้องขึ้นศาลทหาร ระบุกสทช. ควบคุมสื่อ 'วอยซ์ทีวี-พีซทีวี' โดนประจำ ย้ำหลังเลือกตั้ง กลไกที่ คสช. ตั้งขึ้นมาคุมนโยบายยังอยู่ ด้าน ส.ผลิตข่าวออนไลน์ ชี้ Fake News น่ากลัวมากที่สุด นักวิชาการย้ำการกำกับสื่อไม่ต้องมาจาก ก.ม.อย่างเดียว แต่เป็นตัวผู้เสพสื่อเอง แนะกฎหมายดิจิทัลควรช่วยเพิ่มพูนสิทธิ 3 พ.ค.2561 ในเวทีเสวนา "ปลดคำสั่ง 0.4 เดินหน้าเสรีภาพประชาชน" ซึ่งจัดขึ้น เนื่องในวันที่ 3 พฤษภาคม "วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก" ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดยมีผู้ร่วมเสวนา ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก้าวโรจน์ สุตาภักดี นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และ พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความและหัวหน้าฝ่ายข้อมูล ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยมี นายมานพ ทิพย์โอสถ ที่ปรึกษาฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 มีคำสั่ง คสช. ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเกี่ยวกับการควบคุมการทำงานของสื่อ ซึ่งองค์กรสื่อมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องอย่างต่อเนื่องให้มีการปลดล็อกคำสั่งเหล่านั้น 'ศูนย์ทนายสิทธิ' เผยมีกว่า 2 พันคนต้องขึ้นศาลทหารพูนสุข กล่าวว่า ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ก่อตั้งขึ้นหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 2 วัน เพราะเห็นว่าหลังรัฐประหารมีการควบคุมตัวบุคคลที่ออกมาชุมนุมคัดค้านการรัฐประหาร และเรียกบุคคลไปรายงานตัวอย่างต่อเนื่อง กลุ่มนักกฎหมายกลุ่มเล็กๆ จึงรวมตัวกัน เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งพบว่าในช่วงระยะเวลาที่ คสช. เข้ามาบริหารประเทศ สิ่งที่น่ากังวลมากที่สุดคือการที่มีพลเรือนจำนวนมากต้องขึ้นศาลทหาร โดยไม่รู้ว่าจะได้รับความเป็นธรรมมากน้อยแค่ไหน หากย้อนมองกลับไป ในช่วงระยะเวลา 4 ปี สถานการณ์ที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน เช่น วาทกรรมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่พูดเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2558 หลังให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ว่า "อำนาจของท่านมี อำนาจในการสั่งปิดสื่อทั้งหมด หรือแม้แต่นำคนมายิงเป้า แต่ท่านไม่ทำ" ซึ่งแม้จะเป็นคำพูดที่ดูไม่จริงจัง แต่สำหรับคนทำงานด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน เรารู้สึกว่าถ้อยคำแบบนี้ เป็นถ้อยคำที่รุนแรง จนแม้แต่ UN ยังออกแถลงการณ์ถึงถ้อยคำของผู้นำในครั้งนั้นด้วยซ้ำ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า กลับไม่มีองค์กรสื่อในประเทศไทยที่จะออกมาพูดถึงเรื่องนี้เลย ว่าคัดค้านหรือไม่ควรทำ จึงเป็นข้อสังเกตว่าสถานการณ์ ทำให้สื่อไม่สามารถแสดงความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ได้ แม้กระทั่งการถูกข่มขู่ในลักษณะนี้ ภาพรวมหลังรัฐประหาร มีการประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่ 20 พ.ค. 2557 ถึง 1 เม.ย.2558 หลังจากนั้นแทนที่ด้วยคำสั่ง หัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2558 ซึ่งยังมีบังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ทหารมีอำนาจในการควบคุมตัวบุคคล ที่กระทำความผิดฐาน 4 ฐานความผิด คือเกี่ยวกับความมั่นคง ความผิดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่ง คสช หรือ ความผิดเกี่ยวกับอาวุธที่ไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้ ซึ่งคำสั่งนี้ทำให้พลเรือนสามารถขึ้นศาลทหารได้ เป็นสถานการณ์ที่คนในช่วงอายุ 20-30 ปี จะไม่เคยเจอมาก่อน ว่ามีการประกาศให้พลเรือนถูกดำเนินคดีในศาลทหารได้ด้วย ซึ่งปัญหาของการดำเนินคดีในศาลทหาร คือ 1. ในเชิงโครงสร้าง ศาลทหารสังกัด กระทรวงกลาโหม ก็จะขาดความอิสระและเป็นกลาง 2.ช่วงประกาศกฎอัยการศึก เป็นช่วงเวลายาวนานหลายเดือน ทำให้คดีที่เกิดในช่วงนั้น ไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้ คดีถูกพิจารณาชั้นเดียวแล้วจบเลย และ 3. องค์คณะในศาลทหารไม่ได้มีการบังคับว่าต้องจบกฎหมายทั้งหมด คือให้จบการศึกษากฎหมาย 1 คน และอีกสองคนเป็นทหารอาชีพ "อันนี้เป็นปัญหาที่พบในเชิงโครงสร้าง ปัจจุบันมีคนอย่างน้อย 2,000 กว่าคน ที่ถูกดำเนินคดีโดยศาลทหาร แม้จะมีการยกเลิกไปแล้ว แต่คดีที่เกิดในช่วงที่ประกาศใช้ศาลทหาร ก็ยังถูกดำเนินคดีในศาลทหารอยู่ ผลกระทบไม่ใช่แค่บุคคลที่เป็นเป้าหมายทางการเมือง ของ คสช. เท่านั้น ที่มีปัญหาเรื่องสิทธิในการพิจารณาคดีไม่เป็นธรรม แต่แม้กระทั่งทหารเอง ที่ขึ้นศาลทหารอยู่แล้ว พอมีการประกาศกฎอัยการศึก ทำให้ถูกพิจารณาคดีชั้นเดียว เพราะคำพิพากษาไม่ถูกพิจารณาโดยศาลที่สูงขึ้นไป ทำให้ทหารไม่ได้รับความเป็นธรรมด้วยเช่นกัน จากการประกาศใช้กฎอัยการศึก" พูนสุข กล่าว กสทช. ควบคุมสื่อ 'วอยซ์ทีวี-พีซทีวี' โดนประจำพูนสุข กล่าวว่า อำนาจที่สำคัญอีกอย่างและยังคงมีการใช้จนถึงทุกวันนี้ คือการควบคุมตัวบุคคลได้ไม่เกิน 7 วัน และห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คนขึ้นไป ซึ่งล่าสุดออกเป็นคำสั่งที่ 3/2558 ไม่มีการให้นิยามที่ชัดเจน เมื่อนำมาบังคับใช้เจ้าหน้าที่ทหารก็บังคับใช้อย่างกว้างขวาง องค์กรที่จะมาตรวจสอบว่าเป็นการชุมนุมทางการเมืองหรือไม่คือศาล แต่คำสั่งที่ 3/2558 ถูกออกโดยมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญจึงยังเป็นปัญหาในการบังคับใช้จนถึงทุกวันนี้ รวมถึงการเรียกรายงานตัวและปรับทัศนคติก็ยังคงเป็นเทรนด์จนถึงทุกวันนี้ หัวหน้าฝ่ายข้อมูล ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า สถานการณ์ที่กระทบสิทธิและเสรีภาพ ที่เกิดขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงคดีที่เกี่ยวข้องกับสื่อโดยตรง คือ กรณี ประวิตร โรจนพฤกษ์ ถูกคุมตัวไปในค่ายทหาร อย่างน้อย 2 ครั้ง ปัจจุบันก็ยังถูกดำเนินคดี แม้จะยกเลิกกฎอัยการศึกไปแล้ว โดยเป็นผู้ต้องหาในมาตรา 116 จากการโพสต์ข้อความบนเฟสบุ๊ค ซึ่ง 1 ใน 5 ข้อความพูดถึงการทำหน้าที่สื่อมวลชนตรวจสอบทุจริตการรับจำนำข้าว สะท้อนให้เห็นว่ามีการใช้กฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน และสิทธิในการแสดงออก มีประกาศคำสั่งหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการที่ คสช. ออกมาควบคุมสื่อ สื่อเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบ หลังรัฐประหารก็มีการห้ามสื่อออกอากาศ จากสถิติของ ILaw ในช่วง 4 ปี คสช. โดย กสทช. ควบคุมสื่อโดยการลงโทษ 52 ครั้ง สื่อที่ถูกลงโทษมากที่สุดคือ วอยซ์ทีวี รองลงมาคือ พีซทีวี โดยทั้งหมดมี 34 ครั้ง ที่ลงโทษเกี่ยวกับการฝ่าฝืนประกาศของ คสช. ซึ่งมีฉบับหลักๆ คือ 97/2557, 103/2557 และคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 41/2559 แม้ว่าประกาศที่ 97/2557 จะควบคุมสื่อไม่ให้เผยแพร่เนื้อหาที่กระทบหรือวิพากษ์วิจารณ์ คสช. โดยไม่สุจริต และเป็นประกาศฉบับหลักที่ใช้ควบคุมสื่อ แต่คำสั่งที่ 41/2559 เป็นการยื่นดาบให้ กสทช. อีกชั้นหนึ่ง ถ้า กสทช.เห็นว่าเนื้อหารายการไหนเข้าข่ายฝ่าฝืน ฉบับที่ 97/2557 และ 103/2557 ถือว่าผิดมาตรา 37 ของ กสทช. ทันที ซึ่งหาก กสทช ให้อำนาจของ กสทช. อย่างเดียวจะมีศาลปกครองช่วยดูว่าชอบด้วยกฎหมายแล้วหรือไม่ ถ้าเราจำได้ คำสั่งที่ 41/2559 ออกมาตอนที่พีซทีวีมีการฟ้อง และศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว การออกคำสั่งฉบับนี้มาทำให้ตัดอำนาจศาลปกครองออกไปในการตรวจสอบสื่อขึ้นมาทันที ย้ำหลังเลือกตั้ง กลไกที่ คสช. ตั้งขึ้นมาคุมนโยบายยังอยู่"เสรีภาพสื่อ คือ เสรีภาพประชาชน และอีกทาง เสรีภาพประชาชน คือ เสรีภาพสื่อ แม้ปีหน้าจะมีเลือกตั้ง มี ครม. ชุดใหม่ แต่ในระยะยาวมีเรื่องที่เราต้องจัดการ คือกลไกต่างๆ ที่ คสช. ตั้งขึ้นมา เพื่อควบคุมนโยบาย เช่น คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ซึ่งจะกินระยะเวลา 20 ปี เป็นอย่างน้อย รวมกับกฎหมายที่ตราผ่านสภามากกว่า 800 ฉบับ เราไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะกฎหมายออกมาจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ก่อนหน้านี้เราเคยภูมิใจคำว่านิติรัฐ นิติธรรม แต่ระยะ 4 ปี ที่ คสช. เข้ามา นิติรัฐถูกทำลายราบคาบ ดังนั้นนอกจากสื่อจะพยายามที่จะปลดล็อกสิทธิเสรีภาพของตัวเองแล้ว สื่อก็ต้องช่วยปลดล็อกสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วยเช่นกัน" พูนสุข กล่าว ต้องบอกว่าการจะล้มล้างกฎหมายที่มีในปัจจุบัน ไม่ง่าย และยากมากด้วยซ้ำ สังคมที่มีกฎหมายเต็มไปหมด ออกรวดเดียว ทั้งประกาศ ทั้งคำสั่ง ภายใน 4 ปี 800 ฉบับ อย่างน้อยอาจต้องมีคณะกรรมขึ้นมาตรวจสอบ หรือดูว่ากฎหมายฉบับนั้น เป็นไปตามเจตนารมณ์หรือไม่ เช่น พ.ร.บ. ชุมนุมสาธารณะ จริงๆ มีความพยายามออกกฎหมายตัวนี้มานานเป็นสิบปี และเมื่อออกมาแล้ว ในปี 2558 ก็เห็นปัญหาในการบังคับใช้อยู่ เพราะเป็นการออกมาอย่างขาดการมีส่วนร่วม กฎหมายเกี่ยวสิทธิเสรีภาพ เราต้องการรัฐบาลจริงใจในการแก้ปัญหานี้ และดูความเร่งด่วนกฎหมายที่จะต้องทำต่อ ส.ผลิตข่าวออนไลน์ ชี้ Fake News น่ากลัวมากที่สุดก้าวโรจน์ นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ มองว่า ปัจจุบันสื่อออนไลน์มีบทบาทมากขึ้นในสังคม ต่างกับในอดีต แต่ไม่ว่าจะเป็นสื่อเก่า สื่อใหม่ สื่อออนไลน์ หรือ สื่อออฟไลน์ ปลายทางจะถูกบังคับให้มีคุณภาพและความรับผิดชอบต่องานนั้นๆ อยู่แล้ว รวมถึงกฎหมายที่นำมาควบคุมเป็นตัวเดียวกัน โดยเฉพาะออนไลน์ที่จะมี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาควบคุมด้วย " พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ต้องถูกวางโครงสร้างให้มีข้อมูลที่ดีเพื่อเป็นประโยชน์กับประชาชน ต่อไปโซเชียลมีเดียจะมีผลต่อการเลือกตั้ง จะเห็นได้ว่ากลุ่มการเมืองเริ่มมีความเคลื่อนไหวอยู่เนืองๆ ตอนนี้เพียงแค่บอกว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ก็มีการทำดาต้า ทำข้อมูลต่างๆ เพราะโซเชียลมีเดียสามารถบอกได้ทุกอย่าง ความสนใจ ความพอใจของประชาชน ทุกอย่างที่เป็นออนไลน์จะมีผลต่อประเทศไทย ส่วนตัวมองว่าเทคโนโลยีทำให้คนเสพข่าวได้รวดเร็วยิ่งขึ้นผิดกับสมัยก่อน ขณะที่รัฐบาลเองก็มีความพยายามให้การตรวจสอบการใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้น" "จากการทำหน้าที่นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์นั้น ข่าวบางข่าวเสนอได้ไม่นานก็ต้องเอาลงจากเว็บไซต์ ในช่วงแรกเป็นสิ่งที่เราเจอ แต่ช่วงหลังเมื่ออยู่บนพื้นฐานกฎหมายเดียวกันที่ออกมาควบคุมให้เราปฏิบัติตาม สิ่งที่น่ากลัวมากที่สุด คือ Fake News การรู้เท่าทันสื่อของโซเชียลมีเดีย กลุ่มที่น่าเป็นห่วงคือเด็กและผู้สูงอายุที่ส่งข่าวต่อๆกัน โดยขาดการไตร่ตรอง เพียงแค่ถูกจริตข่าวที่ไปอ่าน ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หลังรัฐประหารที่เราพบว่ามีข่าวลวงต่างๆ มากขึ้น สิ่งที่สื่อต้องมีคือ สามัญสำนึกในการทำหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นสื่อที่ทำงานประเภทใดก็ตาม แต่สิ่งที่ทุกคนต้องทำเหมือนกัน คือ คุณภาพของเนื้อหาข่าวและความรับผิดชอบ โดยทางสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ก็ได้จัดทำเว็บไซต์เพื่อตรวจสอบ Fake News ทุกคนสามารถเข้าไปตรวจสอบได้" นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าว ย้ำการกำกับสื่อไม่ต้องมาจาก ก.ม.อย่างเดียว แต่เป็นตัวผู้เสพสื่อเองฐิติรัตน์ กล่าวถึงมุมมองในประเด็นกฎหมายดิจิทัล ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน และสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชนในปัจจุบันว่า สื่อจะต้องถูกกำกับควบคุมให้มีคุณภาพ ไม่ว่าจะกฎหมายเดิมหรือกฎหมายที่เกิดขึ้นมาใหม่ แต่การกำกับควบคุมตรงนี้ไม่จำเป็นต้องมาจากฎหมายอย่างเดียว เพราะสื่อไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอก หรือชี้ซ้าย ชี้ขวา ว่าควรเป็นอย่างไร กลไกของผู้เสพสื่อจะเป็นสิ่งที่บอกเองว่าสื่อต้องเป็นอย่างไร "ปัจจุบันโลกออนไลน์และออฟไลน์ไม่ได้แยกจากกันแล้ว สิ่งที่เราเห็นบนโลกออนไลน์ทุกวันนี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตบนโลกจริงๆ กฎหมายดิจิทัล เป็นกฎหมายที่ช่วยให้สังคมไว้เนื้อเชื่อใจกันมากขึ้น เพราะเป็นกฎหมายคุ้มครองบุคคล ป้องกันไม่ให้บริษัทที่ดำเนินการในระบบดิจิทัล นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกต้อง หรือแชร์ให้บุคคลที่สามโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่นกรณีของเฟสบุ๊ค เพราะหากเราไม่มั่นใจว่าข้อมูลของเราถูกนำไปใช้อย่างไร คนที่ใช้ชีวิตปกติก็จะไม่กล้าแชร์ข้อมูล ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศและสังคม โครงสร้างของโลกดิจิทัลมีความเปราะบางอยู่ แม้จะรวดเร็วและครอบคลุม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเป้าต่อการโจมตีได้ง่าย ทำอย่างไรเราจะทำให้โครงสร้างเหล่านี้มีเสถียรภาพพอที่ทุกคนจะใช้มันได้อย่างมั่นใจในความปลอดภัย" ฐิติรัตน์ กล่าว กฎหมายดิจิทัลควรช่วยเพิ่มพูนสิทธิอาจารย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังกล่าวอีกว่า ถ้าพูดถึงกฎหมายดิจิทัล เราอาจจะนึกถึงกฎหมายที่จำกัดสิทธิ แต่ในความเป็นจริงยังเป็นกฎหมายที่ช่วยเพิ่มพูนสิทธิ ทำให้เราสามารถใช้เสรีภาพของเราได้อย่างมั่นใจมากขึ้น และเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจำกัดเสรีภาพสื่อและประชาชนทั่วไปเช่นกัน แต่การจำกัดนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลในโลกดิจิทัลไหลเวียนได้อย่างราบรื่น ถูกนำไปใช้ในทางที่ถูกต้องเหมาะสม นั่นคือสิ่งที่กฎหมายดิจิทัลควรจะเป็น ไม่ใช่มีไว้เพียงเพื่อดูแลความมั่นคงอย่างที่หลายคนพยายามจะจำกัดความ "สิ่งที่ควรจับตามองในปัจจุบัน คือ กฎหมายที่ควบคุมผู้ให้บริการออนไลน์ ทั้งอำนาจ กสทช. อำนาจคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 12/2557 และ 17/2557 รวมถึง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการสื่อหรือผู้ให้บริการดิจิทัล มาตรา 15 ที่พูดถึงการเปิดให้ผู้ใช้บริการเข้ามาแสดงความเห็น และผู้ให้บริการต้องคอยตรวจสอบเนื้อหาว่ามีโอกาสที่จะขัดต่อ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาตรา 14 หรือไม่ ตรงนี้เรียกว่าเป็นการให้อำนาจดุลยพินิจกับผู้ให้บริการออนไลน์ที่เป็นตัวกลางในการควบคุมเนื้อหาบนโลกดิจิทัล ซึ่งประเด็นนี้เป็นที่ถกเถียงกันทั่วโลกว่าการควบคุมตรงนี้ควรเป็นอำนาจของใครกันแน่ เพราะหากเป็นเชิงเนื้อหาควรถูกควบคุมโดยกฎหมาย แต่การที่กฎหมายไม่ระบุให้ชัดเจนทำให้เกิดประเด็นว่าผู้ให้บริการที่เป็นคนกลางต้องใช้วิจารณญาณคิดเอาเองว่าเนื้อหาแบบนี้มีโอกาสที่จะผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หรือคำสั่ง คสช. หรือไม่ ซึ่งคนที่ทำหน้าที่สื่อมวลชนทุกคนคงไม่มีใครอยากรับความเสี่ยงตรงนี้ สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่ากำลังพยายามโยนอำนาจในการควบคุมจากรัฐไปที่สื่อตัวกลาง" อีกประเด็นที่น่าจับตาคือ ร่างกฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ร่างแรกที่ออกมา เมื่อ 2-3 ปีก่อน กฎหมายตัวนี้เป็นเทรนด์ของโลก โครงสร้างพื้นฐานทางไซเบอร์ ถ้าถูกโจมตีมีโอกาสที่จะเป็นปัญหาในชีวิตได้ เพราะเกี่ยวข้องกับโรงพยาบาล และโรงไฟฟ้า จึงจำเป็นต้องรักษาโครงสร้างเหล่านี้ให้มีความมั่นคง เพราะกฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ ร่างแรกที่ออกมาระบุให้เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลดิจิทัลได้ในกรณีที่เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินหรือภัยคุกคาม โดยไม่ต้องผ่านวิจารณญาณของใคร แต่ไม่ได้ให้คำนิยามของคำว่า "ภัยคุกคาม" ทำให้หลายคนกังวลและพยายามที่จะต่อต้านกฎหมายนี้ ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็มีความพยายามที่จะแก้ร่างกฎหมายนี้ให้มีถ้อยคำที่รัดกุมมากขึ้น ไม่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐ 100% แต่ต้องมีหน่วยงานอื่นเข้ามาช่วยพิจารณาด้วย "สิ่งสำคัญคือกฎหมายไซเบอร์มีไว้เพื่อควบคุมความมั่นคงระบบของโครงสร้าง ไม่ใช่ความมั่นคงเชิงเนื้อหา และไม่มีกฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ของประเทศใดในโลก จะให้ความสำคัญเรื่องสิทธิเสรีภาพ ขยายขอบเขตของกฎหมายให้ครอบคลุมในเรื่องเนื้อหา ดังนั้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องช่วยกันระมัดระวัง เพราะไม่เช่นนั้นเราจะได้กฎหมายที่มีเจตนารมณ์ที่ดี แต่ออกมาแล้วถูกนำไปใช้อีกแบบหนึ่ง เหมือน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ตัวกฎหมายตั้งแต่ต้นไม่เคยมีความตั้งใจนำไปใช้เกี่ยวกับการหมิ่นประมาทเลย แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้จะมีการแก้กฎหมายไปแล้วก็ยังคงเห็น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ถูกนำไปใช้ในคดีหมิ่นประมาทตลอดเวลา ได้แต่หวังว่าประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จะไม่เกิดขึ้นซ้ำรอยกับ ร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงไซเบอร์" ฐิติรัตน์ กล่าวว่า ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ก่อนจะมีการจัดทำกฎหมายต่างๆ โดยการลดขั้นตอนให้คนแสดงความคิดเห็นและเปิดช่องทางให้มากขึ้น "หลายคนตั้งคำถามว่าเวลามีการเปิดให้แสดงความคิดเห็น เขียนไปแล้วจะมีการนำไปปรับแก้ไหม ต้องเข้าใจว่ากฎหมายมีออกมาใหม่ตลอดเวลา 800 ฉบับ แม้แต่เราที่เป็นนักกฎหมาย อ่านแล้วก็ยังสับสนว่าแต่ละร่างต่างกันอย่างไร แต่เราก็ต้องตั้งคำถามกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ ว่าคุณต้องถามความเห็นจากประชาชนที่จะเป็นผู้ถูกบังคับใช้กฎหมาย ในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียได้เห็นร่างกฎหมายก่อนที่จะออกมา ทุกวันนี้มีเทคโนโลยีที่จะทำให้ร่างกฎหมายไปสู่ประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ภาครัฐต้องเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีให้มากขึ้น และใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง บางครั้งมีเปิดให้เข้าไปแสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์ แต่กระบวนการ ขั้นตอนที่จะเข้าไปแสดงความคิดเห็นค่อนข้างยาก ต้องลงทะเบียนหลายขั้นตอน กฎหมายบางตัวมีผู้มาแสดงความเห็นไม่เกิน 10 คน เราจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นประชามติได้หรือไม่ แม้บางครั้งจะถูกแย้งกลับมาว่าเปิดแล้วแต่คนไม่สนใจ "ถ้าเป็นแบบนั้นเราควรต้องตั้งคำถามกับตัวเองหรือเปล่า ว่าวิธีการ หรือช่องทางมีปัญหาหรือไม่ เว็บไซต์พวกนี้ ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งเลขบัตรประชาชน ชื่อ นามสกุล หรืออะไรต่างๆ เพราะการแสดคงความเห็นแบบไม่เปิดเผยตัวตนจะเป็นประโยชน์กว่า ทำให้คนกล้าพูด แบบไม่ต้องกลัวอะไร โดยเฉพาะในสถานการณ์บ้านเมืองเช่นนี้ แม้บางคนจะมองว่าการไม่เปิดเผยตัวตนจะทำให้คนพูดอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นประโยชน์ แต่ส่วนตัวแล้วมองว่า เราควรปล่อยให้เนื้อหาของความเห็นเป็นสิ่งพิสูจน์ตัวเอง และสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เข้าถึงประชาชนได้ง่ายขึ้น" อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวทิ้งท้าย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
'ประเวศ' แนะหาผู้นำตามธรรมชาติ 4 ล้าน ตั้งสภาประชาชน ขับเคลื่อนแผนชุมชน Posted: 03 May 2018 03:54 AM PDT 'ประเวศ วะสี' ชูชุมชนเข้มแข็ง หัวใจของยุทธศาสตร์การพั 3 พ.ค.2561 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส บรรยายพิเศษหัวข้อ "ชุมชนเข้มแข็ง : หัวใจของยุทธศาสตร์การพั "การขับเคลื่อนนโยบายชุมชนเข้ นพ.อำพล จินดาวัฒนะ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสั "การทำงานสร้างชุมชนเข้มแข็ เอ็นนู ซื่อสุวรรณ ประธานคณะกรรมการจัดทำยุ "ปีนี้จังหวัดที่จนสุดคือแม่ฮ่ โชคชัย แก้วป่อง รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า รัฐบาลได้ขับเคลื่ สมชาติ ภาระสุวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุ ทั้งนี้ ที่ประชุมยังเปิดรับฟังความคิ "ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ไม่ใช่กฎหมายที่มุ่งเน้นสั่งการ แต่ช่วยเสริมการทำงานของภาครั ขณะที่ภาคีเครือข่ายที่เข้าร่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
องค์กรสิทธิร้องไม่ให้อุทธรณ์คดี 'นาหวะ จะอือ' และค่าชดเชยถูกคุมขัง 331 วัน Posted: 03 May 2018 03:06 AM PDT สององค์กรสิทธิมนุษยชนออกแถลงการณ์ร่วมกรณีนาหวะ จะอือ ผู้ดูแลชัยภูมิ ป่าแส ถูกคุมขัง 331 วันก่อนถูกยกฟ้อง ร้องไม่ให้อุทธรณ์ต่อ ให้ผู้เกี่ยวข้องออกมาขอโทษ จ่ายค่าชดเชย พัฒนากองทุนยุติธรรม ทางการไทยต้องเคารพและปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนสากลและหลักการไม่เลือกปฏิบัติต่อสตรี นาหวะ จะอื่อ (ที่มา: กลุ่มรักษ์ลาหู่) เมื่อ 2 พ.ย. องค์กรสิทธิมนุษยชน โพรเทคชั่น อินเตอร์เนชันแนล (พีไอ) และ Asia Pacific Forum on Women, Law and Development (APWLD) ออกแถลงการณ์ร่วมในกรณีที่ศาลยกฟ้องคดียาเสพติดของนาหวะ จะอื่อ น้องสะใภ้ไมตรี จำเริญสุขสกุล และผู้ดูแลชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ที่ถูกทหารวิสามัญเมื่อ 17 มี.ค. ปีที่แล้ว โดยนาหวะถูกศาลปฏิเสธการประกันตัว และต้องถูกคุมขังระหว่างดำเนินคดีนานถึง 331 วัน แถลงการณ์มีใจความว่า กลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่และกลุ่มชาติพันธุ์ทางภาคเหนือที่ทางการไทยระบุว่าเป็นชาวเขา มักถูกกล่าวหาในคดีการจำหน่าย หรือใช้ยาเสพติด มีข้อมูลว่าทหารใช้ปฏิบัติการต่อต้านยาเสพติดมาสร้างความชอบธรรมให้กับการโจมตีเหล่านักกิจกรรมจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่ออกมาพูดเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นโดยทหารและเจ้าหน้าที่ความมั่นคง นาหวะ จะอื่อ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มรักษ์ลาหู่ เป็นน้องสะใภ้ของไมตรี ผู้เป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากชาติพันธุ์ลาหู่ หลังชัยภูมิถูกวิสามัญ นาหวะได้เรียกร้องความยุติธรรมให้กับชัยภูมิจนเป็นที่ประจักษ์ เธอเป็นผู้จัด และผู้ร่วมกิจกรรมเพื่ออุทิศให้กับชัยภูมิหลายกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการให้ความร่วมมือเรื่องการลงพื้นที่ของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพรเทคชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล และองค์กรสิทธิมนุษยชนอื่นๆ จัดกิจกรรมรำลึกการเสียชีวิตครบ 60 วันของชัยภูมิ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ถูกเฝ้าระวังอย่างแน่นหนา รวมถึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจร่วมกับ กสม. เรื่องที่ไมตรีถูกข่มขู่เอาชีวิต แถลงการณ์ระบุว่า เป็นที่เชื่อว่า สาเหตุที่นาหวะถูกจับกุมตัวนั้นมามีสาเหตุจากสายสัมพันธ์ของเธอกับไมตรีและชัยภูมิ เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2560 บ้านของไมตรีที่หมู่บ้านกองผักปิ้งโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจตามปฏิบัติการต่อต้านยาเสพติด โดยตำรวจ สภ.อ.นาหวายและคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดได้เข้ามาแทรกแซงการค้น โดยไม่พบยาเสพติดในการค้นครั้งนั้น แต่ก็มีการตามหาตัวไมตรี ซึ่งขณะนั้นไม่อยู่บ้าน เนื่องจากกำลังกลับจากการประชุมกับผู้รายงานพิเศษขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ด้านสถานการณ์ของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จับตัวนาหวะ และฉันทนา ป่าแส ผู้เป็นญาติของชัยภูมิ โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และเป็นผู้จัดหายาเสพติดให้ชัยภูมิ นาหวะถูกคุมขังที่สถานคุมประพฤติเชียงใหม่ตั้งแต่ 29 พ.ค. 2560 เป็นเวลา 331 จนกระทั่งได้รับยกฟ้อง และถูกปล่อยตัวในวันที่ 24 เม.ย. 2561 ศาลเคยตั้งมูลค่าหลักทรัพย์ประกันตัวนาหวะเป็นจำนวน 2 ล้านบาท ซึ่งครอบครัวนาหวะได้ยื่นขอหลักทรัพย์จำนวนดังกล่าวกับกองทุนยุติธรรมในวันที่ 18 ก.ค. 2560 และได้รับอนุมัติในเดือน พ.ย. ปีเดียวกัน ทว่า ศาลปฏิเสธคำร้องขอประกันตัว การวิสามัญชัยภูมิ ป่าแส ตามมาด้วยการข่มขู่ไมตรี จำเริญสุขสกุล ผู้เป็นพี่บุญธรรมของชัยภูมิและผู้ริเริ่มก่อตั้ง "กลุ่มเยาวชนรักษ์ลาหู่" เพื่อทำกิจกรรมกับเด็กและเยาวชนชาติพันธุ์ ให้ห่างไกลยาเสพติด และการใส่ร้ายนาหวะ เป็นหลักฐานว่านักปกป้องสิทธิมนุษยชนถูกดำเนินคดีจากการทำหน้าที่ปกป้องสิทธิอันเป็นหน้าที่ที่ชอบธรรม นักปกป้องสิทธิที่อยู่ตามพื้นที่ห่างไกล เป็นกลุ่มชาติพันธุ์และผู้หญิงอยู่ในกลุ่มคนที่ยากจนและถูกกล่าวหาในฐานะอาชญากรมากที่สุดในสังคมไทย เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเหล่านั้นออกเสียงเรียกร้องทวงถามความยุติธรรมหรือเพื่อพิทักษ์สิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ก็จะถูกข่มขู่ คุกคาม ทำให้เป็นอาชญากร และมีความเสี่ยงชีวิตจากเจ้าหน้าที่รัฐ หรือจากกลุ่มที่ไม่ได้สังกัดกับทางการ โดยกลุ่มผู้ร่วมออกแถลงการณ์มีความกังวลกับการดำเนินคดีกับนักปกป้องสิทธิทั้งหลายในไทย และมีข้อเรียกร้องต่อทางการไทยดังนี้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
พลฯชินวุฒเผยก่อนปลด เป็นทหารเกณฑ์จะเหนื่อยถ้าตั้งคำถามว่า “ทำไม” Posted: 03 May 2018 01:52 AM PDT เพจ Smart Man Smart Soldier สัมภาษณ์ สามทหารเกณฑ์ก่อนปลดประจำการ เผยประสบการณ์ "ทำความดีด้วยหัวใจ" ช่วยชาติด้วยการลอกคลอง ทำงานเอกสารให้กองร้อย และเป็น PR กองทัพ พลฯชินวุฒ บอกเป็นทหารจะเหนื่อยถ้าสมองยังตั้งคำถามว่าทำไม
เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2561 ที่แฟนเพจเฟซบุ๊ก Smart Man Smart Soldier ได้เผยแพร่การสัมภาษณ์สด พลทหารชินวุฒ อินทรคูสิน, พลทหารกรรชัย เรืองศรี และพลทหารนฤพนธ์ ดำแพร ทหารเกณฑ์ซึ่งรอการปลดประจำการในวันที่ 30 เม.ย. 2561 โดยมีผู้ดำเนินรายการคือ พันโทหญิง นุสรา วรภัทราทร คุณเป็นใครก่อนจะเป็นทหารเกณฑ์ พลทหารนฤพนธ์ ดำแพร ทหารเกณฑ์ผลัด 2/60 เล่าว่าก่อนหน้าที่จะเข้ามาเป็นทหารเกณฑ์นั้น เขาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่บริหารทั่วไป ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้ามาเป็นทหารเกณฑ์โดยการสมัครใจเนื่องจากเห็นว่าหากสมัครแล้วใช้วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีจะได้รับการลดหยอนให้เป็นทหารเกณฑ์เพียง 6 เดือน "ก่อนเข้ามาก็เครียดนะครับ เปิดดูเว็บต่างๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแต่ละที่เขาเป็นอย่างไร มีความเครียด มีความกังพอเหมือนกันว่า เพราะไม่ร็ว่าตัวเองจะต้องมาเจออะไรในสถานที่ใหม่ๆ ที่เราไม่เคยมา แต่พอได้เข้ามามันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด คือผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่อื่นเขาเป็นอย่างไร แต่ที่กองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 ซึ่งเขาฝึกไม่ได้ต่างจากที่อื่นมาก ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน"นฤพนธ์ กล่าว ขณะที่ พลทหารกรรชัย เรืองศรี ก่อนที่จะมาเป็นทหารนั้นเขายังเรียนอยู่ในมหาวิทยาแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านั้นได้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นปกติ แต่สาเหตุที่ตัดสินใจสมัครเข้ามาเป็นทหารนั้นเป็นเพราะก่อนหน้านี้ 1 ปี เขาสอบติดโรงเรียนนายสิบตำรวจ แต่ท้ายที่สุดขาดคุณสมบัติเนื่องจากเป็นผู้ที่เกิดในปี 2539 และยังไม่ผ่านการตรวจคัดเลือกทหารกองประจำการ เขาจึงตัดสินใจสมัครเป็นทหารเกณฑ์เพื่อที่จะได้รับการลดหยอนเหลือระยะเวลาประจำการเพียง 1 ปีเท่านั้น เพื่อที่จะได้มีเวลากลับไปสอบโรงเรียนนายสิบตำรวจอีกครั้งโดยที่อายุยังไม่เกินเกณฑ์คุณสมบัติ กรรชัย เล่าต่อว่า การเข้ามาในค่ายของเขาถือว่าเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ แต่เข้าใจว่าทุกๆ ค่ายก็จะมีลักษณะเหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็นโรงนอน ไปจนถึงการฝึก เขาบอกว่าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน แล้วรู้สึกว่าการเป็นทหารคือความเท่อย่างหนึ่ง พร้อมบอกด้วยว่าหลังจากฝึกเสร็จแล้วสิ่งที่เขารู้สึกได้คือการโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทั้งบุคคลิก แล้วการพูดจา "ที่ผมสมัครมาเป็นทหารเกณฑ์ เพราะมีปัญหาอย่างหนึ่งคือ ก่อนหน้านี้ผมได้ไปสอบนักเรียนนายสิบตำรวจ เผอิญว่าสอบติด แต่ในระเบียบการบอกว่าไม่รับคนที่เกิด พ.ศ.2539 แล้วกำลังจะเข้ารับการเกณฑ์ทหารในปีนั้น วันที่ไปรายงานตัวที่โรงเรียนนักเรียนตำรวจนายสิบภูธรภาค 1 เขาบอกว่า ให้ไปจับใบดำใบแดงปีนี้ก่อน ถ้าจับได้ใบดำปีหน้าก็มาสอบใหม่ คือโดนสละสิทธิ์ไปเลย ผมเลยคิดว่าถ้าจับได้ใบแดงก็ต้องเป็น 2 ปี อายุเราก็จะเกินไม่สามารถสอบนายสิบได้ ก็เลยสมัครเป็นปีเดียว"กรรชัย กล่าว ส่วน พลทหารชินวุฒ อินทรคู ศิลปินชื่อดัง ที่ตกเป็นข่าวดังเมื่อสองปีก่อนหลังจากที่ถูกเกณฑ์เข้าไปเป็นทหารเกณฑ์ทันทีโดยไม่มีสิทธิได้จับสลาก และไม่มีสิทธิได้สมัครร้องขอ เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาไม่ได้มารายงานตัว เปิดเผยความรู้สึกในช่วงเวลานั้นอีกครั้งว่า สาเหตุที่ร้องไห้ในวันนั้น เป็นเพราะไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น เนื่องจากไม่ทราบมาก่อน โดยปีก่อนๆ หน้านั้นเขาได้ไปรายงานตัวพร้อมกับฟิลม์เอ็กเรย์กระดูกข้อมือขวาหัก และมีการด้ามเหล็กไว้ แพทย์ประจำหน่วยคัดเลือกทหารกองประจำการจึงตัดสินให้เป็นบุคคลประเภท 3 คือ ยังไม่พร้อมที่จะเข้ารับารตรวจคัดเลือกในปีดังกล่าว แต่ในปี 2559 เข้ากลับมาอีกครั้งแล้วพบว่าร่างกายสามารถที่จะเข้ารับการตรวจคัดเลือกได้แล้ว ประกอบกับก่อนหน้านี้เข้าไม่ได้มารายงานตัวจึงต้องเข้าไปเป็นทหารเกณฑ์ทันทีเป็นระยะเวลา 2 ปีเต็ม ชินวุฒ เล่าต่อไปว่า ในปี 2559 มีแผนหลายอย่างในชีวิต แต่ปรากฎว่าต้องไปเป็นทหารเกณฑ์ทำให้รู้สึกเป็นห่วงครอบครัว เพราะตัวเองเป็นเสาหลักของครอบครัว "เราไม่คิดว่าจะต้องเป็น แล้วเราก็มีแพลนหลายอย่างสำหรับปีนั้น ปรากฎว่าต้องเป็น ในหัวมันก็คือ ตายแล้ว เอาแล้ว เอาไงดีว่ะเนี่ย ภาพที่มันก่อนในหัวคือ ครอบครัว เพราะผมเป็นเสาหลักของครอบครัวแล้วตอนนั้นมีละคร 2 เรื่อง หนัง 1 เรื่อง คอนเสิร์ตอีกประมาณ 10 รายได้ก็หายไปค่อนข้างเยอะ เราก็ช็อค ก็ห้สัมภาษณ์ไปแบบนั้น แล้วคนก็ตีความไป คือคนก็จะอ่านแค่พาดหัวข่าว แล้วก็บอกว่าชิน ร้องไห้เพราะต้องเป็นทหาร คนก็ตีความไปว่า ชินไม่อยากเป็นทหาร มันก็มีกระแสมาว่าไม่รักชาติ"ชินวุฒ กล่าว ชินวุฒ บอกว่า ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการกล่าวหาว่าตนเองไม่รักชาติมากนัก เพราะรู้ตัวเองดีว่ามีความคิดอย่างไร และคนรอบข้างก็เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการตีความของคนอ่านข่าวพียงเท่านั้น หน้าที่รั้วของชาติ การงานอันเป็นที่รักเมื่อทหารเกณฑ์ทำเป็นทุกอย่าง ชินวุฒ เล่าต่อไปว่า ชายไทยแต่ละคนที่เข้ามาเป็นทหารเกณฑ์ทุกคนจะมีทักษะเดิมติดตะวมาด้วยอยู่แล้ว บางคนทำงานบริหารทั่วไปมา ก็จะเหมาะกับงานเอกสารต่างๆ หรือค่อยประสานงานในเรื่องต่างๆ ได้ ส่วนตัวเองนั้นเป็นศิลปิน เป็นบุคคลที่ประชาชนรู้จัก จึงได้รับหน้าที่พิเศษคือ การทำงานเป็นประชาสัมพันธ์ในภารกิจต่างๆ ของกองทัพ รวมทั้งไปพบปะผู้คน และได้ช่วยเหลือประชาชนในเรื่องต่างๆ "ผมโชคดี ต้องใช้คำว่า โชคดี เพราะเรามีทุนตรงนี้มา แล้วผมได้มีโอกาสปฎิบัติภารกิจแปลกๆ หรือภารกิจที่คนอื่นๆ อาจจะไม่มีโอกาสได้ทำ ผมได้มีโอกาสถ่ายสารคดีเฉลิมพระเกียรติ ได้ช่วยประชาสัมพันธ์งานดีๆ หลายอย่าง มันทำให้ผมได้มีโอกาสไปต่างจัดหวัด และได้ไปในพื้นที่ที่พระองค์ท่านได้เสด็จไปทรงงานจริงๆ ได้เจอกับคนที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับพระองค์ท่าน มันทำเรารู้สึกว่า เราได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านมากยิ่งขึ้น และได้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงงานเยอะมากๆ ผมไปแค่ 20 โครงการ จาก 4,000 กว่าโครงการ แค่ 20 ผมก็คิดว่าเยอะมากแล้ว เพราะดูจากรูปาพเก่าๆ จากพื้นที่ที่ไม่มีอะไรเลยจนวันนี้มีทุกอย่าง แล้วผมได้ไปเจอกับทหารอีกกลุ่มหนึ่งที่ชื่อว่า ทหารพัฒนา ซึ่งทหารส่วนมากคนจะเห็นในมุมของความเข้มแข็ง กล้าหาญ ถือปืน แต่ไม่ค่อยได้เห็นนมุมของการพัฒนา ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เลยว่ามีหน่วยนี้ด้วย ก็ได้มีโอกาสไปทำงานกับเขา ก็ทำให้ผมเห็นว่ามันมีอะไรหลายๆ อย่าง ที่หลังจากผมปลดประจำการแล้วผมไปช่วยได้ มันมีอีกหลายๆ ที่ที่ผมไปได้ หน้าที่ของคนไทยด้วยกันไม่จำเป็นต้องมีเครื่องแบบอะไรทั้งสิน เพราะว่าเรามีสัญชาตินี้แล้ว เราไม่จำเป็นว่าจะต้องมีนามข้างหน้าว่าเป็น พลทหาร เป็นอะไรก็แล้วแต่ แค่มีสัญชาติไทยมันก็เพียงพอแล้วที่เราจะทำหน้าที่ของคนไทย ตรงนี้แหละมันทำให้ผมเรียนรู้ว่ามีนมีหน้าที่อะไรหลายๆ อย่าง ที่เราทำกันได้" ชินวุฒ กล่าว นั่นคือ งานที่ศิลปินชื่อดังภาคภูมิใจ ขณะที่กรรชัย เล่าประสบการณ์การทำงานที่เขาประทับใจ ซึ่งเขาเห็นว่างานดังกล่าวเนสิ่งที่ทำให้เขามีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นทหาร และรู้สึกมีส่วนร่วมในการช่สวยชาติ เขามีโอกาสร่วมโครงการ "ทำดีด้วยหัวใจ" งานที่ได้ทำคือ การไปทำความสะอาดบริเวณวัด ศาลาการเปรียญ ในจังหวัดปทุมธานี พร้อมกับไปลอกคูคลองต่าง โดยที่มีชาวบ้านเข้ามาช่วยกันทำงานคนละไม้คนละมือ ภาพที่เขาเห็นคือ ภาพแทนของความภาคภูมิที่ชีวิตหนึ่งได้มีส่วนร่วมนการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ส่วนอดีตเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย ด้านการบริหารทั่วไปอย่าง นฤพนธ์ เล่าว่างานของเขาหลังจากที่พ้นผ่านช่วงเวลาฝึกทหารใหม่ไปแล้ว หน้าที่ที่เขาได้รับคือการทำงานใน บก.ร้อย โดยจะเป็นผู้ที่จัดเตรียมเอกสารต่างๆ ให้กับทหารในกองร้อย คอยจัดตารางเวลาว่าวันหนึ่งจะต้องมีใครไปที่ไหนบ้าง รวมทั้งทำเอกสารเรื่องเงินเดือนของเพื่อนพลทหาร ไปจนถึงการทำเอกสารปลดประจำการ ชินวุฒ เสริมด้วยว่า การแบ่งงานในกองร้อยจะดูจากความถนัด หรือความสามารถพิเศาของแต่ละคน โดยในหนึ่งกองร้อยจะมีคนถนัดในหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็น ช่างไฟ ทำอาหาร ช่างประปา ก่อสร้าง โดยคนเหล่านี้จะถูกจัดสรรงานให้ตามความถนัดที่มี "ภารกิจของหน่วยเราค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่ช่วงฝึก บ้างที่กำลังพลไม่พอ ออกไปทำงานสนับสนันข้างนอกเยอะมาก วันสอง วันสามงาน ก็ต้องเอาน้องๆ ที่อยู่นช่วงฝึกให้มาช่วยงาน ฉะนั้นมันก็เหมือเป็นการฝึกงานไปในตัวก่อนเลย พอเราฝึกทหารใหม่เสร็จ ใครที่จะทำหน้าที่ต่างๆ ก็จะรู้เลยว่าใครถนัดกับงานอะไร แล้ววันแรกที่มาเขาก็จะให้เขียนก่อนเลยว่าใครถนัดงานอะไร มีความสามารถพิเศษอะไร บางคนเป็นช่างปะปา บางคนรู้เรื่องงานก่อสร้าง บางคนรู้เรื่องช่างไฟ จริงๆ แล้วทหารทำได้ทุกอย่างพูดอย่างนี้ดีกว่า ทหารหนึ่งกองร้อยถ้าไปที่ไหนผมว่าไม่อดตาย ยังไงก็รอดทำเป็นทุกอย่าง" ชินวุฒ กล่าว เป็นดาราไม่มีสิทธิพิเศษในช่วงฝึก แต่เป็นตัวอย่างให้เพื่อนร่วมค่ายได้เห็นว่า ไอ้ชินมันยังโดน ต่อคำถาที่ว่า เป็นทหารดารา จะได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าคนอื่นหรือไม่ ชินวุฒ ตอบว่า ในช่วงฝึกไม่มีคำว่า "อภิสิทธิ์" โดยเข้าใจว่าตัวเองเป็นตัวอย่าง หากทุกคนในกองโดนกันหมด หากมีตัวเองไม่โดนอยู่คนเดียวก็จะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง สุดท้ายกลายเป็นว่า ตัวเองยิ่งโดนหนักเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างให้คนอื่นๆ เห็นว่า "มึงจะอู้ไม่ได้ เพราะไอ้ชินมันยังโดน" สำหรับเขาสิ่งที่ตอกย้ำเข้าไปอีกว่าเขาไม่ได้มีสิทธิพิเศษเหนือไปกว่าใครๆ คือ บางวันหลังจากกลับจากการไปถ่ายสารคดีเฉลิมพระเกียรติ กลับมาถึงค่ายประมาณ 4 ทุ่ม ซึ่งทุกคนเข้านอนหมดแล้ว แต่เขายังต้องฝึกท่าต่างๆ เพิ่มเพราะช่วงเวลาที่ออกไปทำงานข้างนอกไม่ได้ฝึกร่วมกับเพื่อนๆ และจะทำให้ตามเพื่อนไม่ทัน "หลังจากที่ฝึกเสร็จภารกิจของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน หน้าที่ของแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกัน แต่ท้ายสุดแล้วถามว่าผมต้องปฎิบัติงานเยอะเท่าน้องๆ ไหม ไม่เยอะเท่า เพราะอย่างเวลาผมไปงานอื่นๆ อยู่แล้วมีงานเข้ามาผมก็ไปร่วมงานตรงนั้นไม่ได้ มันเลยทำให้มีการบริหารจัดการอีกแบบหนึ่ง หน้าที่ของผมก็มีหน้าที่สแตนบายเวลาที่จะมีงานประชาสัมพันธ์ต่างๆ ที่จะต้องไปทำไปช่วยกองทัพ อย่างเราอยู่กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 แล้วอยู่กองร้อยที่ 3 กับกองร้อยที่ 4 จะเป็นกองร้อยของกองทหารเกียรติยศ ก็จะเป็นกองร้อยที่เห็นใส่ชุดแดงออกมารับนายกฯ รับแขกต่างประเทศ ก็จะเป็นงานเรา ถ้าอยู่กองร้อยอื่นก็อาจจะไม่ได้ใส่ ถือว่าเราโชคดี ครั้งแรกที่ผมใส่ คุณลุงผมเป็นพลอากาศโทอยู่ที่ฝรั่งเศส แล้วเขาเห็นเราใส่ชุดนี้ แล้วเขาเกิดความภาคภูมิใจ มันคือความภาคภูมิใจ แต่ก็ต้องบอกว่าชุดมันร้อนมาก มันช่วยลีนร่างกายได้ดีมาก ผมบอกเลยคุณใส่ชุดนั้นสักวันหนึ่งเผาผลาญดี" อย่าตั้งคำถามว่าทำไม ให้มองว่ามาออกกำลังกาย และเห็นมันเป็นเรื่องสนุก ก่อนที่จะปลดประจำการพลทหารทั้ง 3 นาย ได้ฝากถึงพลทหารรุ่นต่อไปที่กำลังจะเข้ารับราชการเป็นทารเกณฑ์เอาไว้อย่างน่าสนใจ นฤพนธ์ แนะนำว่า ทุกคนควรที่ฝึกร่างกายมาให้พร้อมก่อนที่จะเข้ารับการฝึกในช่วง 10 สัปดาห์แรก เพราะในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่หนักที่สุด แต่ก็ถือว่าไม่ได้หนักเกิดกว่าจะรับได้ ขณะที่กรรชัย เสริมว่า การออกคำสั่งทุกอย่างของครูฝึกทหารใหม่นั้น เกิดจากการที่ผู้ที่เป็นครูฝึกได้ถูกสั่งให้ทำมาก่อนแล้วทั้งสิน โดยครูฝึกจะสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้เป็นอย่างดี โดยการฝึกจะค่อยๆ ไล่ระดับจากเบาไปหนัก ขณะที่ครูฝึกจะคอยประเมินกำลังของทหารใหม่แต่ละคนว่าไหวหรือไม่ "ฝากถึงน้องๆ 1/61 นะครับอยากให้เตรียมใจมากเยอะๆ ส่วนร่างกายจะได้เองโดยอัตโนมัติ แต่อยากให้เตรียมใจมาเยอะๆ อย่าคิดท้อ อย่าคิดว่าเหนื่อยไม่เอาแล้ว มองทุกอย่างให้มันเป็นเรื่องสนุก" ส่วนชินวุฒ บอกว่า การเตรียมร่างกายเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องทำ แต่ก็คงยากที่ทุกคนจะเตรียมพร้อมมา และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายคนเป็นนักดื่ม หนักที่สุดคือเป็นคนเล่นยามาก่อน แต่การเข้ามาในค่ายทหาร ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทำจะต้องหยุด เขาชวนให้คิดว่าการมาเป็นทหารเมื่อมาเข้าคอร์ทล้างพิษในร่างกาย และคอร์ทฟิตเนส 10 สัปดาห์ ที่มีคนมาบังคับให้ออกกำลังกาย "อย่างเพื่อนผมเข้ามาหนัก 110 กิโลกรัม ฝึกเสร็จเหลือแค่ 80 หน้าตาดีทันที ฉะนั้นผมว่าอย่างที่พูดทั้งกายทั้งใจเตรียมมา แต่ที่ผมอยากฝากด้วยก็คือ อย่าคิดฝืน ผมว่าที่เหนื่อยไม่ได้อยู่ที่ร่างกายหรอก มันอยู่ที่ใจมากกว่า มันเหนื่อยสมองคิด ทำไมต้องมาทำอย่างนี้ด้วยว่ะ ทำไม่ต้องโดนอีกแล้ว ทำไมต้องตื่นเช้า ทำไมต้องอย่างนั้น ทำไมต้องอย่างนี้ ทำไมๆ ทำไมทั้งวันทั้งคืน พอมันมีทำไมในหัวตลอดเวลา มันเลยฝืนมันเลยเหนื่อย แต่ถ้าเราทำไปปล่อยไป คิดว่ามันเป็นเรื่องสนุก คิดว่ามาออกกำลังกาย คิดว่าเรามาฝึกความแข็งแรงความอดทน คิดว่าเรามาฝึกระเบียบวินัย แค่นี้เข้ามามันจะสบายเพราะสุดท้ายแล้วมันเหนื่อยที่ความคิด"ชินวุฒ กล่าว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
โสภณ แถลงราคาที่ดินพุ่ง 5.3% แต่เศรษฐกิจก็ยังไม่ดี Posted: 03 May 2018 01:52 AM PDT ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่ 3 พ.ค.2561 ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) รายงานว่า ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยฯ ดังกล่าว ได้สำรวจตลาดราคาที่ดินในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งในนครหลักๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้เป็น Big Data สำหรับการพัฒนาประเทศและธุรกิจ ผลการสำรวจล่าสุด ณ ปี 2561 การพัฒนาฐานข้อมูลราคาที่ดินโสภณ และคณะ ได้พัฒนาฐานข้อมูลแบบ Big Data มาใช้เพื่อการรับรู้ความจริ การสำรวจราคาที่ดินตั้งแต่ปี 2537 ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจนถึ รายละเอียดการสำรวจการสำรวจในรายละเอียดเรื่ 1. การจัดทำแปลงตัวอย่างเพื่ การศึกษาเปรียบเทียบการกำหนดขนาดที่ดินเช่นนี้ไว้ จึงทำให้สามารถเปรียบเทียบอย่ ผลสำรวจล่าสุด: ราคาพุ่ง 5.3%ผลการสำรวจล่าสุดของศูนย์ข้อมู อย่างไรก็ตามราคาที่ดินที่เพิ่ แพงสุด: สยามสแควร์ 2.2 ล้านบาท/ตรว.ในปี 2561 นี้ โสภณ คาดว่าราคาที่ดินที่แพงที่สุ สาเหตุที่สยามสแควร์มีราคาแพง ซึ่งรวมถึงรถไฟฟ้าสถานี ชิดลม เพลินจิต นานาและอโศกนั้น เป็นเพราะเป็นไปตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นเขตที่ผ่านย่านความเจริ ต่ำสุด: ลำลูกกา เลียบคลอง 13สำหรับราคาที่ดินที่แพงที่สุ สาเหตุที่ราคาที่ดินชานเมื ที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า BTSสำหรับที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าพุ่ 1. รถไฟฟ้าบีที เอส ตร.ว.ละ 800,000-2,200,000 บาท สูงสุด สถานีสยามสแควร์ เพลินจิต ชิดลม ตร.ว.ละ 2,200,000 บาท เพิ่ม 10.0% 2. ปี 2560 เพิ่มช่วง 8.8-20.0% เฉลีย 12.2% (เทียบค่าเฉลี่ยทั้งกรุงเทพฯ 5.3%) 3. ทําเลย่านสีลม สาทร ตร.ว.ละ 1,650,000-1,850,000 บาท (เพิ่ม 8.8-10.0%) 4. ทําเลย่านสุขุมวิท (นานา) 2,200,000 บาท (เพิ่ม 12.8%) เฉลีย 5ปี 15.4% สำหรับส่วนต่อขยายของ BTS บางจาก-แบริ่ง, แบริ่ง-สมุทรปราการ, ตากสิน-บางหว้า และหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เป็นดังนี้: 1. อ่อนนุช-แบริ่งปี 60 เพิ่ม 14.3-32.4% (เฉลี่ย 25.9%) สูงสุดสถานีอ่อนนุช 800,000 ต่ำสุดสถานีแบริ่ง 3580,000 2. แบริ่ง-สมุทรปราการ ปี 60 เพิ่ม 6.7-16.7% (เฉลี่ย 11.1%) สูงสุดสถานีสําโรง 300,000 ต่ำสุด เคหะสมุทรปราการ 110,000 3. ตากสิน-บางหว้า ปี 60 เพิ่ม 10.0-17.6% (เฉลี่ย 15.5%) สูงสุดสถานีกรุงธนบุรี 700,000 ต่ำสุด บางหว้า 200,000 4. หมอชิ ต-สะพานใหม่-คูคต ปี 60 เพิ่ม 6.3-25.0% (เฉลี่ย 8.9%) สูงสุดสถานีลาดพร้าว 500,000 ต่ำสุดสถานีคูคต 65,000 บาท ที่ดินตามสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วงสถานีนี้มีความน่าห่วงใยที่ที่ 1.ราคาที่ดิน 100,000-300,000 บาท สูงสุดสถานีเตาปูน ตร.ว.ละ 300,000 บาท เพิ่ม 17.1% (เทียบค่าเฉลี่ย 10.7%) 2.ปี 60 เพิ่ม 6.7-20.0% เฉลี่ย 10.7% (ปี 2559 เฉลี่ย 7.3%) เทียบค่าเฉลี่ยทั้งกรุงเทพฯ 5.3% 3.ทำเลบางซ่อน วงศ์สว่าง ติวานนท์ 200,000 บาท (เพิ่ม 11.1%) 4.ทำเลรัตนาธิเบศร์ ศูนย์ราชการนนทบุรี 160,000-220,000 บาท (เพิ่ม 6.7-15.8%) 5.ทำเลไทรม้า ท่าอิฐ บางพลู 110,000-145,000บาท (เพิ่ม 7.4-10.0%) 6.ทำเลบางใหญ่ 110,000-180,000 (เพิ่ม 10.0-20.0%) เชื่อว่าราคาที่ดินในพื้นที่นี้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
'กสทช.-อย.' เร่งระงับการโฆษณาผิดกฎหมาย Posted: 03 May 2018 01:06 AM PDT 'สำนักงาน กสทช. - อย.' เร่งระงับการโฆษณาผิดกฎหมาย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือโฆษณาเกินจริง โดย อย. พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ต 3 พ.ค.2561 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจาย เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า ปัจจุบันกระบวนการทำงานตรวจสอบเ เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า จากนี้สำนักงาน กสทช. และ อย. จะทำงานร่วมกันโดยจะมีเจ้าหน้าที่ นพ.ธเรศ เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุข เห็นความสำคัญในการที่จะตรวจสอบ เลขาธิการ อย. ได้กล่าวว่า อย. ได้เห็นความสำคัญในการปรับลดขั้ เลขาธิการ อย. ขอย้ำเตือนมายังผู้บริโภค ไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์เส ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
คุยกับ โปรดิวเซอร์, ผู้กำกับ, นักแสดงนำ ‘Ten Years Thailand’ หนังไทยไปคานส์เรื่องล่าสุด Posted: 03 May 2018 12:20 AM PDT 'Ten Years Thailand' คือภาพยนตร์ว่าด้วยเรื่องราวในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าของประเทศไทยในมุมมองของผู้กำกับแต่ละคนที่สะท้อนถึงปัญหาทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ได้รับเลือกให้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ในสาย section Speacial Screening ซึ่งจะมีรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลวันที่ 10 พฤษภาคมนี้ 'Ten Years Thailand' เป็นภาพยนตร์ขนาดยาวรวม 4 เรื่องสั้นจาก 4 ผู้กำกับ ได้แก่ 'Sunset' โดย อาทิตย์ อัสสรัตน์, 'The Planetarium' โดย จุฬญานนท์ ศิริผล, 'Catopia' โดย วิศิษฐ์ ศาสนเที่ยง และ 'The Monument' โดยอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล (ผู้กำกับอีกคนคือ ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล เนื่องจากติดภารกิจส่วนตัวก่อนหน้านี้ พาร์ทของเขาจึงจะเข้าร่วมฉายที่ประเทศไทยหลังจากนี้) ประชาไทชวนคุยกับ คัทลียา เผ่าศรีเจริญ หนึ่งในโปรดิวเซอร์ ของภาพยนตร์ Ten Years Thailand ถึงจุดเริ่มต้นของโครงการที่อยากหาพื้นที่ทำหนังอิสระที่สอดคล้องกับอุดมการณ์ของนักทำหนัง และความยากลำบากในการระดมทุน หาสปอนเซอร์ รวมถึงการต้องหยิบยืมและใช้ทุนของตัวเองบางส่วนเพื่อให้เกิดหนังเรื่องนี้ โดยไม่อาจหวังพึ่งทุนจากภาครัฐที่จะสร้างเงื่อนไขให้เกิดการควบคุมและตรวจสอบ ร่วมด้วย จุฬญานนท์ ศิริผล ผู้กำกับรุ่นใหม่ พูดถึงแนวคิดของหนังและรูปแบบหนังที่เปิดกว้างให้ตีความ และบุญฤทธิ์ เวียงนนท์ หนึ่งในนักแสดงนำจากพาร์ท 'sunset' ของ อาทิตย์ อัสสรัตน์ คัทลียา เผ่าศรีเจริญ จุดเริ่มต้นคือการหาพื้นที่อิสระสอดคล้องอุดมการณ์ของคนทำหนัง และมูลค่าอื่นที่มากกว่าตัวเงินคัทลียา เผ่าศรีเจริญ หนึ่งในโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์เล่าว่า ก่อนหน้านี้ตนกับเพื่อนๆ ได้ตั้งโครงการ 'Films For Free' ซึ่งเป็นโครงการที่ระดมทุนเพื่อสร้างภาพยนตร์อิสระ เพื่อตั้งคำถามว่าภาพยนตร์เป็นอะไรได้อีกบ้างนอกจากสื่อบันเทิง และอิสระของคนทำงานหนังอยู่ตรงไหน สามารถทำสิ่งที่ตอบรับกับความคิดและอุดมการณ์ได้ขนาดไหน "ที่ผ่านมาวงการหนังอิสระไทยวงเวียนอยู่กับทางออกทางรอด การสร้างฐานคนดู แต่จริงๆ เราไม่ใช่ประเทศเดียวที่ประสบปัญหานี้ และจริงๆ แล้วมูลค่าของหนังนั้นวัดจากตัวเงินอย่างเดียวไม่ได้ อย่างหนังพี่เจ้ย (อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล) ซึ่งคนจะรับรู้แค่ว่าหนังได้รางวัลปาล์มทองคำ แต่ไม่ค่อยมีคนรู้ว่ามันนำไปสู่ความรู้ทางด้านวงการวิชาการของภาพยนตร์ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับหนังของอภิชาตพงศ์ มูลค่าตรงนั้นไม่ได้ถูกพูดถึง รวมถึงทัศนคติที่เขามีต่อคน ต่อสังคมเรา จากที่เขาอาจจะไม่เคยรับรู้มาก่อน" คัทลียากล่าว ต่อมาเธอได้ยินและได้รับการชักชวนจากโปรเจกต์ Ten Years ของฮ่องกง ซึ่งเป็นหนังสร้างจากมุมมองของผู้กำกับรุ่นใหม่ที่หลากหลาย ได้รับการชื่นชมว่ากล้าสะท้อนภาพแทนของสังคมฮ่องกงภายใต้การปกครองของจีนในอีก 10 ปีข้างหน้าและได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในงานฮ่องกง ฟิล์ม อวอร์ดส์ เมื่อปี 2015 "สถานการณ์วงการหนังฮ่องกงคือคุณไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนได้ ถ้าคุณทำคุณจะถูกแบนไม่ให้ไปทำงานหนังในจีนซึ่งเป็นตลาดหนังที่ใหญ่มาก ซึ่งตอนนั้นเราคิดว่าบ้านเราเองก็มีจุดเชื่อมต่อทางสังคม การเมืองกับเขาได้และเป็นการร่วมทุนกับฮ่องกงด้วย" ภาพบางส่วนจาก Ten Years Thailand จาก Crowdfunding, สปอนเซอร์, ขอทุน จนถึงทุนส่วนตัวคัทลียาปรับโครงการ 'Films For Free' มาเป็น 'Ten Years Thailand' แม้จะมีทุนตั้งต้นที่น้อยมาก แต่โครงการก็เปิดให้ประชาชนที่สนใจร่วมระดมทุน (Crowdfunding) โดยคัทลียาคิดว่ามันคือพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่เปิดโอกาสให้คนทั่วไปที่ได้สนับสนุนในสิ่งที่เขาอยากเห็น แต่สุดท้ายการระดมทุนก็ไม่ได้ตามเป้า อีกทางคือการหาสปอนเซอร์และการขอทุน ซึ่งเธอเล่าว่าการขอสปอนเซอร์ทางธุรกิจเป็นไปได้ยากหน่อย บางสปอนเซอร์ก็ขอถอนออกไปเพราะไม่ใช่หนังกระแสหลัก และเมื่อรู้ว่าหนังพูดเรื่องการเมืองก็กลัวว่าจะกระทบต่อภาพลักษณ์ บางสปอนเซอร์จึงไม่ประสงค์ออกนาม ส่วนทุนที่เธอได้มาหลักๆ แล้วมาจากทางฮ่องกงและญี่ปุ่น เมื่อถึงกำหนดที่จะต้องถ่ายก็เกิดปัญหาเรื่องงบประมาณ "จนมันถึงขั้นที่ต้องถ่ายทำเพื่อให้มันเป็นไปตามเงื่อนไขเวลา และเสร็จทันส่งเทศกาล แต่ทุนยังไม่พอ เราก็ต้องไปยืมญาติพี่น้องเอามาทำ ก็ยังเป็นหนี้เขาอยู่ และเราก็หาทุนอื่นๆ ทั่วโลกไปด้วย อย่างพี่วิศิษฐ์อยากทำซีจีด้วยก็จะมีงบส่วนที่เกินออกมา เราก็ใช้วิธีสมัครทุน ซึ่งก็ได้ทุนจาก Script Develop มาเพิ่ม และพี่วิศิษฏ์แกก็ลงเงินส่วนตัวเองด้วย เพราะแกอยากพัฒนาเรื่องนี้เป็นหนังยาว นี้คือวิธีการที่ต้องทำให้เสร็จแล้วให้แหล่งทุนเห็นคุณภาพเขาจะเข้าใจมากขึ้น เราอยากให้ชิ้นงานนี้ผู้กำกับและทีมงานมีค่าตอบแทน ไม่ต้องร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ต้องมี" คัทลียากล่าว ภาพบางส่วนจาก Ten Years Thailand ไปเทศกาลเพื่อขยายพื้นที่การสื่อสาร และเทศกาลมักไม่เซ็นเซอร์หนังคัทลียากล่าวว่าเทศกาลหนังคือพื้นที่ทางวัฒนธรรมซึ่งเธอเชื่อเรื่องการเชื่อมผู้คนด้วยงานเชิงวัฒนธรรม และงานเทศกาลเป็นพื้นที่ที่ทุกคนควรจะพูดได้และถูกพูดถึงได้จึงไม่ควรมีการเซ็นเซอร์ การได้ฉายในเทศกาลเหล่านี้ทำให้การสื่อสารและแรงกระเพื่อมของหนังไปได้ไกลมากขึ้น พื้นที่ในการทำงานจึงขยายมากขึ้น รวมถึงคุณค่าเชิงศิลปะที่พิสูจน์ว่าเป็นที่สนใจและถูกคัดเลือกให้ฉาย การ Q&A พูดคุยแลกเปลี่ยน ทำให้คนต่างประเทศรู้จักวัฒนธรรม ค่านิยม วิธีคิดของประเทศเราด้วย นอกจากนี้ในเทศกาลยังมีหน่วยอื่นๆ ของภาพยนตร์ด้วย เช่น มีการซื้อขายหนัง การ Pitch Project เพื่อหาผู้สนใจร่วมทุน ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ภาพยนตร์มีศักยภาพและเผยแพร่ไปอีกระดับ เธอยังมองว่าโปรเจกต์ Ten Years International ยังเป็น movement ด้วย คือการตั้งคำถามที่กระจายไปยังทั้งเอเชียว่า 10 ปีข้างหน้าแต่ละประเทศมองเห็นอะไร ซึ่งจะสะท้อนปัญหาออกมาผ่านหนัง อาจจะเป็นเรื่องการเมือง หรือบางประเทศถ้าบรรยากาศประชาธิปไตยทำงาน ปัญหาที่ออกมา เช่น ไต้หวันหรือญี่ปุ่นก็มีเรื่องสังคมผู้สูงอายุ แต่ขณะเดียวกันคัทลียาพบว่า แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้ไปเทศกาลดังอย่างเมืองคานส์ แต่ภาพยนตร์ก็ยังขาดการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐอย่างจริงจัง มีการประชาสัมพันธ์จากทางรัฐว่ามีหนังไทยได้ไปเมืองคานส์ แต่รัฐเองก็ไม่มีนโยบายส่งเสริมให้ทุนเพื่อแก่ผู้กำกับ นักแสดงและทีมงานเพื่อเข้าร่วมเทศกาล หรือมีเงื่อนไขว่าหากขอทุนจะต้องส่งภาพยนตร์ให้รัฐตรวจสอบก่อน ซึ่งคัทลียามองว่านั่นเป็นการควบคุมตรวจสอบของรัฐ และเธอเองก็เผชิญกับแรงเสียดทานนี้อยู่เนืองๆ "ประเทศไทยตอนนี้มันมีปัญหาบางอย่างซ่อนอยู่ ที่ทำให้สิ่งที่ควรเป็นปกติมันเป็นปกติไม่ได้ แม้แต่การทำหนังสักเรื่อง เราว่าประเทศนี้มี material อีกเยอะให้เล่น มีความแอ๊บเสิร์ดที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน เรื่องจริงตอนนี้มันเกิดขึ้นยิ่งกว่าหนัง คุณกระพริบตาไม่ได้เพราะคุณอาจจะพลาดเหตุการณ์ทันที ประเทศไทยตอนนี้มันยิ่งกว่าหนังทดลองใดๆ ถ้าคุณอยู่ในประเทศไทยคุณก็ยิ่งต้องรีเลทกับหนังเรื่องนี้ไม่ว่าในมิติใด" คัทลียากล่าวทิ้งท้าย จุฬญานนท์ ศิริผล จุฬญานนท์ ศิริผล: ผู้กำกับรุ่นใหม่กับหนังสั้นแนวไซไฟ 'The Planetarium'จุฬญานนท์เล่าว่าเขาคิดถึงการเมืองไทยช่วง 10 ปีที่แล้ว ซึ่งเขามองว่ามันเป็นไปได้ที่จะมีผลตกค้างไปสู่อนาคต หากในยุคนี้เป็นยุคที่ข้อมูลข่าวสารยังค่อนข้างเปิดกว้าง คนยังพอมีเสรีภาพในการแสดงออก ในอนาคตอาจจะถอยหลังกลับไปสู่ยุคที่ถูกควบคุมด้วยเทคโนโลยีมากขึ้นเหมือนยุคที่เขายังเป็นเด็ก ดังนั้นเขาจึงสมมติโลกจำลองในอนาคตที่เหมือนย้อนกลับไปในอดีต กลายเป็นหนังไซไฟทุนต่ำมีความคัลท์ที่ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารแบบอดีตมาเป็นเครื่องมือในการควบคุมประชาชน และนำเอางานเก่าที่เขาเคยทำในรอบ 10 ปีมาใช้ผสมผสานอยู่ในหนังเรื่องนี้ด้วย ในฐานะที่เขาเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยสุด จุฬญานนท์กล่าวว่าเคารพผู้กำกับที่เหลือในฐานะที่ตนเติบโตมากับหนังของผู้กำกับเหล่านั้น พอต้องมาทำงานในโปรเจกต์เดียวกันก็มีกดดันว่างานจะด้อยกว่าคนอื่น แต่เขาก็มั่นใจกับประสบการณ์ที่เคยทำหนังสั้นมา และเชื่อในการตัดสินใจของโปรดิวเซอร์ "สุดท้ายแล้วเราก็คิดว่าเราเอาอยู่กับตัวงาน พอมาดูโดยรวมแล้วเราคิดว่ามันก็ยังมีพลังพอจะอยู่รวมกับงานของพี่ๆ ได้ เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันมีคอนเนคชั่นกับงานของพี่ๆ ทั้งในแง่ตัวบริบทและตัวเนื้อหาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ได้คุยกันมาก่อนมาเราจะทำอะไร แต่มันมีจุดเชื่อมโยงบางอย่างโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ" จุฬญานนท์กล่าว เมื่อถามเรื่องการเซ็นเซอร์งานของตัวเอง จุฬญานนท์ตอบว่า "งานเราที่ผ่านมาเราเล่นกับเส้นบางๆ ตรงนี้อยู่แล้ว สำหรับเรางานศิลปะมันค่อนข้างเปิดกว้างให้คนเข้ามามองในมุมมองที่แตกต่างหลากหลาย ถ้าเรานำเสนอแบบ 1+1 = 2 ไปเลยมันจะไม่น่าสนใจเท่าไหร่ ความคลุมเครือหรือการเปิดให้ตีความเลยกลายมาเป็นวิธีการทำงานของเรา ในกระบวนการทำงานของเรามันเลยไม่ใช่การเซ็นเซอร์ตัวเองแต่เป็นรูปแบบการนำเสนอที่เราไม่ต้องการนำเสนอแบบตรงไปตรงมา" ภาพบางส่วนจาก Ten Years Thailand บุญฤทธิ์ เวียงนนท์ บุญฤทธิ์ เวียงนนท์: นายทหารชั้นผู้น้อยในหนัง 'Sunset' ของ อาทิตย์ อัสรัตน์บุญฤทธิ์เองก็เป็นหนึ่งในแวดวงคนทำหนัง เขาจบเอกภาพยนตร์ สาขานิเทศศาสตร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มหาวิทยาลัยศิลปากร เขากล่าวติดตลกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกที่เล่นแล้วได้เงิน ก่อนหน้านี้แม้จะเคยเล่นหนังแต่ก็เป็นหนังธีสิสของรุ่นน้อง บทของเขาคือนายทหารชั้นผู้น้อยที่เป็นคนอีสาน ซึ่งเขาเองก็เป็นคนอีสานและพูดภาษาอีสานได้ "เราอยากร่วมในการทำหนังที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เป็นโปรเจกต์ที่อยากมีส่วนร่วมด้วยมากๆ และจริงๆ ก็อยากพยายามทำให้เรื่องการเมืองมันมีทั้งหนังในหนังอิสระและหนังแมสด้วย เพราะสุดท้ายเราได้เรียนรู้มาจากการทำหนัง จากการไปเวิร์คชอป ไปอบรมว่าทุกปัญหามันล้วนเกี่ยวกับการเมือง" บุญฤทธิ์กล่าว บุญฤทธิ์เล่าเรื่องย่อในตอน 'sunset' ว่า เป็นเหตุการณ์ในอีก 10 ปีข้างหน้าของไทย ซึ่งจะมีองค์กรที่ตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบและเซ็นเซอร์งานศิลปะ และเขาได้รับบทเป็นทหารที่เข้าไปตรวจงาน ซึ่งเขาเล่าถึงความรู้สึกที่ได้เล่นเป็นทหารว่า "เราเล่น เป็นทหารใต้บังคับบัญชา ซึ่งต้องเป็นทหารที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เหมือนเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ในระบบ เราจึงเข้าใจว่าเขาเพียงแค่ต้องทำตามคำสั่ง แต่ในหัวเขาน่าจะว่างเปล่า ไม่ได้รู้สึกถึงสภาวะตรงนั้นที่เกิดขึ้น" "ตอนแรกที่อ่านบทเรารู้สึกเฉยๆ แต่พอได้อ่านรอบสองแบบเต็มๆ ทั้งบท มันมีฉากหนึ่งที่อ่านแล้วเราน้ำตาคลอเบ้าเลย อาจจะเพราะเราก็เป็นคนทำหนัง ถ้าวันหนึ่งงานที่เราสร้างขึ้นเพื่อจะสื่อสารอะไรบางอย่างให้สังคมนี้เข้าใจมากขึ้น เกิดการถกเถียงในเรื่องนั้นๆ มากขึ้น ถูกคนแค่บางกลุ่มมาตัดสินคิดว่ามันเป็นตัวบ่อนทำลาย แล้วเราก็ไม่มีอำนาจจะไปต่อสู้กับมันได้ มันคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากๆ" ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ประวิตร เชื่อ P-Move ไม่ร่วมกับคนอยากเลือกตั้ง คาดชุมนุม 5 พ.ค. คนมาน้อย Posted: 02 May 2018 10:37 PM PDT รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เชื่อการชุมชนของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง 5 พ.ค. ไม่มีอะไรน่าห่วง คาดว่าคงมีคนมาร่วมไม่มาก ระบุการชุมนุมของ P-Move ไม่เกี่ยวกับการเมือง เพราะเป็นเรื่องปัญหาปากท้อง ย้ำไม่มีนักการเมืองไปร่วม เพราะได้เรียกมาคุยก่อนหน้านี้แล้ว แฟ้มภาพ 3 พ.ค. 2561 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึ การชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ค. นี้ ว่า จะไม่ขยายวงกว้างและจะมีคนมาร่วมจำนวนไม่มาก ส่วนที่มีความกังวลว่ากลุ่มพีมูฟจะรวมตัวกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่สื่อคิดไปเอง เพราะกลุ่มพีมูฟเคลื่อนไหวเรื่องปากท้อง ไม่เกี่ยวกับการเมือง พล.อ.ประวิตร กล่าวด้วยว่า ฝ่ายความมั่นคงมีมาตรการรับมืออยู่แล้ว และไม่วิตกกังวลต่อการเคลื่อนไหว ส่วนการชุมนุมจะเคลื่อนไหวอย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมายเชื่อว่ากลุ่มผู้ชุมนุมคงรู้กรอบปฏิบัตินี้ดีอยู่แล้ว ส่วนจะมีการผสมโรง ของฝ่ายการเมืองหรือไม่นั้น เชื่อว่าจะไม่มีการผสมโรง จากฝ่ายของการเมืองแน่นอน เพราะก่อนหน้านี้มีการเชิญตัวคนกลุ่มนี้มาพูดคุยหารือกันบ้างแล้ว และได้มีการทำความเข้าใจกันเรียบร้อย เชื่อว่าไม่เกิดความวุ่นวาย เรียบเรียงจาก: INNNEWS , สำนักข่าวไทย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ทันตแพทยสภาชี้หมอฟันรีวิวสินค้า ทำในนามวิชาชีพ หากเกิดความเสื่อมเสียถือว่าผิดจรรยาบรรณ Posted: 02 May 2018 10:37 PM PDT นายกทันตแพทยสภาเผย หมอฟันที่ไปรีวิวสินค้ ทพ.ไพศาล กังวลกิจ นายกทันตแพทยสภา 3 พ.ค.2561 รายงานข่าวแจ้งว่า ทพ.ไพศาล กังวลกิจ นายกทันตแพทยสภา กล่าวถึงกรณีการโฆษณาผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับทั หมวด 1 ว่าด้วยความประพฤติทั่วไปของผู้ หมวด 2 ว่าด้วย การประกอบวิชาชีพทันตกรรม หมวด 3 ว่าด้วย การโฆษณาการประกอบวิชาชีพทั หมวด 4 ว่าด้วย การปฏิบัติต่อผู้ร่วมวิชาชีพ หมวด 5 ว่าด้วย การปฏิบัติต่อผู้ร่วมงาน หมวด 6 ว่าด้วย การทดลองในมนุษย์ นายกทันตแพทยสภา กล่าวต่อว่า ข้อบังคับดังกล่าวนี้ มุ่งเน้นดูแลการประกอบวิชาชีพทั แต่อย่างไรก็ตาม จรรยาบรรณในหมวด 1 ความประพฤติทั่วไปของผู้ ทพ.ไพศาล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ คำว่า "เกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพทั "หากไม่พบว่าทำให้เสื่อมเสียก็ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก : แอมเนสตี้ฯ ย้ำ 'การนำเสนอข่าวไม่ใช่อาชญากรรม' Posted: 02 May 2018 09:56 PM PDT 3 พฤษภาคมของทุกปีถูกกำหนดให้เป็น ภาพประกอบ โดย ประชาไท (10 วิธีปราบปรามสื่อมวลชนทั่วโลก) ดูภาพขนาดใหญ่ 3 พ.ค. 2561 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย รายงานว่า วันที่ 3 พ.ค.ของทุกปีถูกกำหนดให้เป็น วั โดยองค์กร Reporters Without Borders ได้รายงานว่า "การเคารพ ทั้งนี้ ข้อมูลของหน่วยงาน The International News Safety Institute ยังระบุอีกว่า ในปี 2561 นี้มีประเทศที่มีนักข่าวเสียชี ทุกๆ วันนักข่าวทั่วโลกต้องเผชิญกั ทั้งนี้ในปี 2556 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เคยรวบรวม 10 วิธีการที่ทั่วโลกใช้ปราบปรามผู้ ต้นกำเนิดวันเสรีภาพสื่ | |
Posted: 02 May 2018 08:00 PM PDT |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น