โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

Posted: 29 Aug 2017 10:53 AM PDT

"ที่ใช้มาตรา 44 ในประเทศนี้ ผมไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น ผมทำได้หมด ส่วนกฎหมาย อนุญาโตตุลาการ กฎหมายระหว่างประเทศ ก็ต้องสู้คดีกันไป แต่เมื่อผมใช้มาตรา 44 ผมไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะคุ้มครองผม"
กล่าวถึงการใช้ ม.44 การแก้ไขปัญหาเหมืองแร่ทองคำ, 29 ส.ค. 2560

ป.ป.ช.เตรียมยื่นอุทธรณ์เฉพาะอดีต ผบช.น. คดีสลายการชุมนุม พธม. ปี 51

Posted: 29 Aug 2017 09:56 AM PDT

ป.ป.ช. เตรียมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาฯ เฉพาะ พล.ต.ท.สุชาติ อดีต ผบช.น. คดีสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ ปี 51 ชี้ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ไม่ได้มีคำสั่งระงับยับยั้งหรือปรับเปลี่ยนวิธีการใช้แก๊สน้ำตาต่อผู้ชุมนุม

สมชาย วงศ์สวัสดิ์ หนึ่งใน 4 จำเลยคดีนี้ (แฟ้มภาพ)

29 ส.ค.256 สุรศักดิ์ คีรีวิเชียร กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้แถลงข่าวการประชุมว่า ตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.2/2558 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 154/2560 ระหว่าง คณะกรรมการป.ป.ช. โจทก์ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ จำเลยที่ 1 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จำเลยที่ 2 พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ จำเลยที่ 3 พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว จำเลยที่ 4 กรณีจำเลยทั้งสี่สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธปราบปรามประชาชนที่กำลังชุมนุมในพื้นที่บริเวณหน้ารัฐสภา ถนนอู่ทองใน บริเวณถนนพิชัย บริเวณถนนสุโขทัย บริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล บริเวณหน้าลานพระบรมรูปทรงม้า และบริเวณใกล้เคียงในท้องที่เขตดุสิต โดยใช้อาวุธร้ายแรงปราบปรามประชาชนเป็นเหตุให้ประชาชนที่กำลังชุมนุมถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 6-7 ต.ค. 2551 ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสี่่นั้น

ด้วยความเคารพต่อคำพิพากษาดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ สำหรับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 (โดยที่ประชุมเสียงข้างมากจำนวน 7 เสียง เสียงข้างน้อยจำนวน 1 เสียง และงดออกเสียงจำนวน 1 เสียง) และไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ที่ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4 (ที่ประชุมเสียงข้างมากจำนวน 8 เสียงและงดออกเสียงจำนวน 1 เสียง) ดังนี้

การที่จำเลยที่ 4 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล มีอำนาจหน้าที่สั่งการและบังคับบัญชาข้าราชการตำรวจสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ผู้บัญชาการเหตุการณ์ตามแผนรักษาความสงบ (กรกฎ/48) ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีอำนาจหน้าที่สั่งการและบังคับบัญชานายตำรวจอื่นที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุม โดยในการทำหน้าที่ผู้บัญชาการเหตุการณ์ดังกล่าว จำเลยที่ 4 ย่อมทราบถึงสถานการณ์การใช้แก๊สน้ำตาโดยตลอดช่วงเวลาการสลายการชุมนุม ตั้งแต่ช่วงเช้า ช่วงบ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาพลบค่ำขณะรักษาความปลอดภัยให้แก่กองบัญชาการตำรวจนครบาลอันเป็นบริเวณเกิดเหตุ โดยเป็นผู้สั่งการหรือรู้เห็นยินยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาระดับรองลงไปสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติยิงหรือขว้างระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ทั้งที่จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์สมควรประเมินสถานการณ์และระงับยับยั้งเหตุการณ์ เพื่อบรรเทาหรือป้องกันมิให้เกิดอันตรายแก่ผู้ชุมนุมเพิ่มเติม การที่จำเลยที่ 4 ไม่ได้มีคำสั่งระงับยับยั้งหรือปรับเปลี่ยนวิธีการใช้แก๊สน้ำตาต่อผู้ชุมนุม จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ที่ประชุมจึงมีมติให้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาฯ เฉพาะจำเลยที่ 4 ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา ทั้งนี้ ตามมาตรา  195 วรรคสี่ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ มั่นใจปิดเหมืองมี ม.44 คุ้มครอง ไม่ต้องกลัว-รับผิดชอบอะไร

Posted: 29 Aug 2017 08:22 AM PDT

ประยุทธ์ แจงปมเหมืองทอง อัครา เผย ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นเจรจา บ.คิงส์เกตยันคำสั่งที่ออกมาทำเพื่อประชาชน มั่นใจมี ม.44 คุ้มครอง " ผมไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น" ไม่ต้องกลัวอะไร เสียใจ 'ยิ่งลักษณ์' หนี ฝ่ายความมั่นคงเป็นจำเลยสังคม

29 ส.ค. 2560 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ (29 ส.ค. 60) เวลา 14.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชา 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีการออกคำสั่ง ม.44 เรื่อง การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำ ภายหลังจากบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด จำกัด ผู้ประกอบการเหมืองแร่ ของออสเตรเลีย เป็นผู้ร่วมทุนใหญ่ของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส ยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยชดใช้ค่าเสียหายทางธุรกิจมูลค่า 750 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 30,000 ล้านบาท ว่า ขออย่านำคดีรับจำนำข้าวมาเทียบกับเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งกรณีของบริษัทอัครา รัฐบาล และ คสช. ดำเนินการเพราะมีการเรียกร้องจากประชาชน จึงจำเป็นต้องสั่งให้หยุดการทำงานเพื่อให้มีการตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนว่ามีผลอะไรหรือไม่

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ส่วนตัวมองว่าการทำเพื่อประชาชนแม้ในทางกฏหมายมีทางสู้มากมาย แต่ก็ควรจะเสี่ยง ขณะเดียวกันควรคำนึงถึงประชาชนเพราะส่วนตัวไม่ได้ประโยชน์จากการ เปิด - ปิดเหมืองแร่ พร้อมกล่าวยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนมากกว่า จะได้เงินหรือเสียเงินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะหากไม่ดำเนินการก็จะไม่เกิดความชัดเจน รวมถึงเกิดการเรียกร้องเดินขบวน ขณะที่ส่วนตัวทำตามคำเรียกร้องพอเกิดปัญหากลับให้รัฐบาลรับผิดชอบ จึงมองว่าเป็นคนละเรื่องกับคดีรับจำนำข้าวเพราะจำนำข้าวเป็นเรื่องของการทุจริตจึงขอให้แยกแยะด้วย อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวยังไม่ได้มีการเรียกร้องใด ๆ เพราะอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาและยังไม่ได้ตัดสินว่าใครผิดหรือถูกแต่หากเป็นเรื่องกฏหมายระหว่างประเทศก็ต้องสู้คดีต่อไป 

"ที่ใช้มาตรา 44 ในประเทศนี้ ผมไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น ผมทำได้หมด ส่วนกฎหมาย อนุญาโตตุลาการ กฎหมายระหว่างประเทศ ก็ต้องสู้คดีกันไป แต่เมื่อผมใช้มาตรา 44 ผมไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะคุ้มครองผม แต่ประเด็นนี้มันเป็นเรื่องของต่างชาติด้วย แยกแยะหน่อยผมทำเพื่อใคร การนำคดีมาเทียบกันแบบนี้เท่ากับไม่ให้ความเป็นธรรมกับผมเลย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว 

ด้าน เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ผู้ประสานโครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ด้านทรัพยากรแร่ กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษากล่าวว่า สำหรับเหมืองทอง ถ้าไม่เปิดเหมือง รัฐก็ยอมจ่ายค่าชดเชย ซึ่งตอนนี้อยู่ในกระบวนการไกล่เกลี่ย เจรจาว่าจะเปิดหรือไม่ ถ้าไม่เปิดต้องจ่าย คสช.จะชั่งใจว่าถ้าจะเสีย 3 หมื่นล้านบาท จะเอาที่ไหนมาเสีย ถ้ามีก็น่าเสีย เพื่อได้ช่วยเหลือประชาชนที่ทุกข์ร้อนจากกิจการเหมืองทอง ถึงแม้จะยังไม่มีการพิสูจน์ทางหลักวิทยาศาสตร์ แต่ผลกระทบหลักฐานเชิงประจักษ์มีสูง แต่ถ้า คสช.เห็นว่าไม่น่าจ่าย คสช.จะให้เปิดเหมืองทองแน่นอน

นอกจากนี้ เลิศศักดิ์ยังกล่างถึง พ.ร.บ.แร่ฯ ฉบับใหม่ที่ประกาศใช้เป็นวันแรกว่า พรบ. แร่ฉบับนี้ มีส่วนดี ถ้าต้องเทียบกับฉบับเก่า แต่ก็มีพัฒนาการที่ติดๆ ขัดๆ อยู่มาก มีประโยชน์ต่อการขอสัมปทานแร่บางชนิด แต่ไม่มีประโยชน์ต่อแร่บางชนิดที่มีการทำเหมืองแร่ที่แตกต่าง ที่น่าสนใจ คือตัวโครงการสร้างของ คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติหรือ คนร.  มีอำนาจกว้างขวาง มีอำนาจอนุมัติสัมปทานแร่ได้ เนื่องจากว่า คณะกรรมชุดนี้สามารถดุลอำนาจกับ กพร. ที่เคยเป็นหน่วยงานหลักในการ อนุมัติสัมปทานมาโดยตลอด แต่ตอนนี้มีกรมทรัพยากรธรณีที่ย้ายเข้าไปในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ทำหน้าที่ในการมองทรัพยากรแร่เไม่ใช่ป็นเพียงสิ่งที่ต้องอนุมัติสัมปทานเพียงอย่างเดียว แต่มองต้องดูพื้นที่ สงวนห่วงห้าม  เรื่องภัยพิบัติ ซึ่งแตกต่างจากการอนุมัติสัมปทาน คณะกรรมชุดนี้ที่มีอำนาจกว้างชวาง จึงน่าสนใจว่าจะสามารถหน้าที่อะไรได้บ้าง

"คนร. เริ่มมีบทบาทขึ้น เนื่องจากเกี่ยวข้องว่าจะเปิดหรือเหมืองทอง ตามคำสั่งของ คสช. 72/2559 ที่สั่งปิดเหมืองฟื้นฟู จนกว่า คนร.จะมีมติเป็นอย่างอื่น ขณะเดียวกันหน้าที่อีกคือการรับรองยุทธศาสตร์แร่ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ออก" เลิศศักดิ์ กล่าว

เสียใจ 'ยิ่งลักษณ์' หนี ฝ่ายความมั่นคงเป็นจำเลยสังคม

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวด้วยว่า ยอมรับ รู้สึกเสียใจ ที่ขณะนี้ฝ่ายความมั่นคงกลายเป็นจำเลยของสังคม กรณี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  ไม่เดินทางมารับฟังคำพิพากษาในคดีโครงการรับจำนำข้าว ทั้งๆ รัฐบาลนี้นำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และมุ่งหวังให้ทุกอย่างดำเนินการไปตามกระบวนการ  

"ประเด็นแรก ถ้าทุกคนย้อนกลับไปดู สมัยก่อนใครจะไปไหนก็ตาม ก็ออกคำสั่ง มาตรา 44 ใช่หรือไม่ ว่าจะต้องขออนนุญาต คสช. และที่ผ่านมาสื่อฯ นักสิทธิมนุษยชน ฝ่ายการเมือง ก็บอกว่าเป็นการละเมิด ผมก็ยกเลิกคำสั่งนั้นไปแล้ว  ฉะนั้นเขาไม่ต้องมาขอผม เข้าใจตรงนี้ด้วย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ประเด็นที่ 2 ในระหว่างนี้ ที่การตัดสินยังไม่เกิดขึ้น ศาลก็มีข้อตกลงกับผู้ถูกกล่าวหาว่า ให้มีเงินประกันตัว 30 ล้านบาท ว่าจะไม่หนีออกนอกประเทศ ซึ่งตอนนี้ก็ถูกยึดเงินประกันไปแล้ว นี่คืออีกขั้นตอน เป็นเรื่องของศาล และประเด็นที่ 3  เส้นทางการหายตัว  ได้สั่งการไปหลายวันแล้ว การดำเนินการต้องเช็คหลายทาง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ได้ประสานผ่านทางการทูต ทั้งประเทศในกลุ่ม CLMV  สิงคโปร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมถึง รอการตรวจสอบจากทุหน่วยงาน

"ผมก็ให้สอบถามไป และรอคำตอบอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง ผมก็ไม่ทราบว่าจะตอบมาว่าอย่างไร การเข้าการออก ไปตรงไหน ไปขึ้นเครื่องบินจากตรงไหน ไปยังไง ตอนนี้กำลังดำเนินการทั้งหมด ขึ้นอยู่กับต่างประเทศทั้งต้นทาง ปลายทาง ว่าจะตอบอย่างไร กระทรวงการต่างประเทศกำลังประสานอยู่ " พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว และว่า ยังไม่สามารถตอบได้ว่า ขณะนี้ ยิ่งลักษณ์ ยังอยู่ในประเทศ หรือหลบหนีไปในเส้นทางใด

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีความวุ่นวายสับสนพอสมควร  ในการไปติดตามอดีตนายกรัฐมนตรีทุกแห่ง เพราะจะถูกมองว่าเป็นการไปรังแกอดีตนายกรัฐมนตรี  จึงได้สั่งให้ฝ่ายความมั่นคงผ่อนปรนการติดตามออกมาเล็กน้อย มีจุดเฝ้าตรวจอยู่หน้าบ้าน ก่อนและหลังออกจากบ้าน  ซึ่งเมื่ออดีตนายกรัฐมนตรียังไม่ได้เป็นผู้ต้องหา ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มาก 

"อยากให้ทุกคนเข้าใจเหตุผล และการชี้แจงนี้ ไม่ได้เป็นคำแก้ตัว  อยากให้ทุกคนมีหลักคิดให้ถูกต้อง และยืนยันว่า  คสช.และฝ่ายความมั่นคง ไม่ได้ให้การช่วยเหลือในการหลบหนี เว้นแต่มีคนชั่วบางคนปล่อยปละละเลย และถ้าพบมีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือ หรือรับผลประโยชน์ ก็จะต้องหาจนเจอและถูกลงโทษ" พล.อ.ประยุทธ์  กล่าว พร้อมกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่เกินความสามารถ แต่ต้องขอเวลาระยะหนึ่ง เพราะเกี่ยวพันกับต่างประเทศ ไม่ต้องการให้วิพากษ์วิจารณ์ไปก่อน เกรงจะเป็นปัญหา  อย่าเอาเรื่องทุกเรื่องมาปนกัน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะเสียหาย  

"ถ้าไปต่างประเทศ ก็ต้องมีการขอความร่วมมือ  ขอส่งตัว อะไรต่างๆ ท่านแรกยังกลับไม่ได้เลย เพราะว่าท่านก็เคลื่อนไหวของท่านไปเรื่อย  เพราะฉะนั้นก็เป็นเคสเดียวกับทายาทกระทิงแดง นั่นขอตำรวจสากลไป 170 ประเทศ ยังกลับมาไม่ได้เลย แต่ผมยืนยันว่า ต้องลงโทษให้ได้  ต้องหาวิธีการทางกฎหมาย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า เป็นการไม่สมควร หากหลังจากนี้อดีตนายกรัฐมนตรีจะมีความเคลื่อนไหว เพราะเป็นผู้กระทำผิด ซึ่งขณะนี้มีความผิดเพียงเรื่องเดียว คือ การหลีกเหลี่ยงการไปศาล และถูกยึดเงินประกัน  ส่วนเรื่องคดียังไม่ถูกตัดสิน ต้องรอฟังผลเดือนกันยายน ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร 

หัวหน้า คสช. ยังยอมรับว่า มีความกังวลว่า กรณีของ ยิ่งลักษณ์ อาจจะซ้ำรอยกับกรณีของ ทักษิณ ชินวัตร และว่า  ถ้าหลบหนี ก็จะเป็นผู้ร้ายหนีคดี ก็ต้องลดการให้เกียรติ  ที่ผ่านมาให้เกียรติมาตลอด  

 "วันนี้ อย่ายกความรับผิดชอบทั้งหมดให้ผม และไม่อยากให้คิดว่า ฝ่ายความมั่นคงล้มเหลว  เพราะได้ทำเรื่องดีให้เกิดผลสัมฤทธิ์หลายเรื่อง ผมหนักอกนะ ถ้าเป็นผม ท่านจะรู้ว่า ท่านทำไม่ได้หรอก จะช่วยใคร ผมช่วยไม่ได้ อย่าเอาเรื่องนี้ไปพันเรื่องโน้น คลิปออกมาเต็มไปหมด มันคนละเวลา มันคนละเรื่อง  มันปิดไม่มิดหรอก เดี๋ยวหาเจอจนได้ ใจเย็นๆ อย่าให้อย่างอื่นพังไปด้วยเลย ผมขอร้อง อย่าให้สิ่งที่ผมพยายามทำมา 3 ปี มันล้มละลายไปด้วยคนๆเดียว ผมขอแค่นี้ได้หรือไม่ ถ้าท่านเชื่อมั่น ผมจะทำให้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว และยังไม่ขอตอบ กรณีหาก ยิ่งลักษณ์ จะขอลี้ภัย  โดยให้เหตุผลว่า  ยังไม่ชัดเจนว่าจะลี้ภัยเพราะเหตุใด และคาดว่าไม่น่าจะขอลี้ภัยได้     

 

ที่มา : เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล, สำนักข่าวไทย, มติชนออนไลน์ และอิศรา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิด 30 รายชื่อ “ผู้คุมยุทธศาสตร์ชาติ” นายทุน, ขุนนาง, ขุนศึก และหนึ่ง NGO

Posted: 29 Aug 2017 06:15 AM PDT

เผย 30 รายชื่อและประวัติการทำงาน คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ หลังคณะรัฐมนตรีเคาะรายชื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ พบหลายรายชื่อมีส่วนเกี่ยวข้อง-ทำงานร่วมกับรัฐบาลทหารอย่างต่อเนือง รายชื่อทหารตำรวจ 11 ส่วนที่เป็นรัฐมนตรีปัจจุบัน 5 รายชื่อ

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 เว็บราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 โดยในมาตรา 12 ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า "คณะกรรมยุทธศาสตร์ชาติ" โดยประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่ง 13 คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกิน 17 คน ซึ่งได้มาจาการตั้งแต่โดยคณะรัฐมนตรีภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลทหาร หรือรัฐบาล คสช.

โดยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2560 วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ถึงความคืบหน้ากรณีการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ 17 คน ว่ารายชื่อที่มีอยู่ในเวลานี้มีมากกว่าที่เป็นข่าวมีทั้งคนที่เป็นและไม่เป็นคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ที่สำคัญคือ ต้องมีความรู้ มีเวลา และเต็มใจทำงาน อย่างไรก็ตาม มีเงื่อนไขอีกจุดคือ เรื่องอายุ เพราะพ.ร.บ.จัดทำยุทธศาสตร์ชาติ กำหนดว่าผู้ที่จะมาเป็นกรรมการต้องมีอายุไม่เกิน 75 ปี หลายคนที่มีความพร้อมและสังคมยอมรับ แต่กลับมีอายุเกิน หรือบางคนอายุ 74 ปีแล้ว สามารถทำงานได้แค่ปีเดียว ขณะที่ภาคประชาชน 3 – 4 วัน ที่ผ่านมามีการส่งรายชื่อมาหลายสิบคน โดยจะรวบรวมและเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาว่า "เคยทำอะไร มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันอย่างไรที่โดนใจนายกฯ"

โดยมาตรา 15 กำหนดให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติมีอำนาจหน้าที่ดังนี้ 1.จัดทำร่างยุทธศาสตร์ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี 2.กำหนดวิธีการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และการมีส่วนร่วมในการติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ และมาตรการส่งเสริม และสนับสนุนให้ประชาชนทุกภาคส่วนให้ดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 3. เสนอความเห็นต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในเรื่องที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ 4.กำกับดูแลการปฏิรูปประเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยแผน และขั้นตอนการดำเนินการปฎิรูปประเทศ และ 5. ปฎิบัติหน้าที่อตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายอื่น นอกจากนี้ ยังสามารถแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ขึ้นคณะหนึ่งหรือหลายคณะ โดยแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิ มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ไม่เกิน 15 คน

ล่าสุดวันนี้ (29 สิงหาคม 2560) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบรองประธานคณะกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ โดยเมื่อรวมกับตำแหน่งกรรมการยุทธศาสตร์โดยตำแหน่ง จะมีรายชื่อดังต่อไปนี้ (ดูตาราง)

ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า ทั้ง 30 รายชื่อมีรายชื่อที่เป็นนายทหาร ตำรวจทั้งหมด 11 ราย และจำนวนมากเคยร่วมงานกับรัฐบาลภายใต้การนำของคณะรัฐประหารหรือ คสช. ขณะที่จำนวนหนึ่งเป็นกลุ่มนายทุนที่ร่วมงานกับรัฐบาลมาโดยตลอด พร้อมกันนี้ยังมี 5 รายชื่อที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างไรก็ตามพื้นที่ของภาคประชาชนนั้นมีเพียง 1 คน คือ พลเดช ปิ่นประทีป

30 รายชื่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ

กรรมการโดยตำแหน่ง ตาม พรบ.ยุทธศาสตร์ชาติ 2560

ตำแหน่ง

ชื่อ นามสกุล

1.นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

2.ประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานคนที่ 1

พรเพชร วิชิตชลชัย

3.ประธานวุฒิสภา รองประธานคนที่ 2

พรเพชร วิชิตชลชัย (ยังไม่มีตำแหน่งประธานวุฒิสภา)

4.รองนายกฯหรือรัฐมนตรีที่นายกฯมอบหมายเป็น รองประธานคนที่ 3

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ

5.ปลัดกระทรวงกลาโหม  

พลเอกชาญชัย ช้างมงคล

6.ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

พลเอกสุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์

7.ผู้บัญชาการทหารบก

พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท

8.ผู้บัญชาการทหารเรือ

พลเรือเอกณะ อารีนิจ

9.ผู้บัญชาการทหารอากาศ

พลอากาศเอกจอม รุ่งสว่าง

10.ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา

11.เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

พลเอกวัลลภ รักเสนาะ

12.ประธานกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา

13.ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ

ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์

14.ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

กสินทร์ สารสิน

15.ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

เจน นำชัยศิริ

16.ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

อิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก

17.ประธานสมาคมธนาคารไทย

ปรีดี ดาวฉาย

กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการแต่งตั้งจาก ครม.

ชื่อ – นามสกุล

ตำแหน่ง

1.กานต์ ตระกูลฮุน

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด มหาชน / หลังรัฐประหาร 2557 เป็นคณะกรรมการภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ(ประชารัฐ) - คณะทำงานด้านการยกระดับนวัตกรรมและผลิตภาพ  

2.ชาติศิริ โสภณพนิช

กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ / กรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ

3.เทียนฉาย กีระนันทน์

อดีตอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย / หลังรัฐประหาร 2557 อดีตประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปท.)

4.บัณฑูร ล่ำซำ

ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย / หลังรัฐประหาร 2557 เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ / ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ / คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน

5.พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง

หลังรัฐประหาร 2557 เป็นรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ / คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง

6.พลเดช ปิ่นประทีป

อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ / อดีตประธานกรรมการนโยบายองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ชั่วคราว) / หลังรัฐประหาร 2557 เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ / คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ / คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข

7.วิษณุ เครืองาม

หัวหน้าผู้ร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวให้กับคณะรัฐประหาร 2557 / ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ / คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง / รองนายกรัฐมตรีในรัฐบาล คสช.

8.ศุภชัย พานิชภักดิ์

เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ อังก์ถัด (UNCTAD) / หลังรัฐประหาร 2557 เป็นที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ

9.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์

รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา / คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง / ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติและอดีตสมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

10.สุวิทย์ เมษินทรีย์

เลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง / รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี /

11.พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา

สมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ / รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนปัจจุบัน / รองประธานคณะที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ / คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง / อดีตผู้บัญชาการทหารบก

12.อุตตม สาวนายน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม / ประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก / อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

‘สรยุทธ’ เข้าเรือนจำ หลังฎีกาไม่ให้ประกัน คดีไร่ส้ม โทษ คุก 13 ปี 4 เดือน

Posted: 29 Aug 2017 05:42 AM PDT

ศาลอุทธรณ์พิพากษาสั่งจำคุก 'สรยุทธ' เป็นเวลา 13 ปี 4 เดือน คดีไร่ส้มยืนตามศาลชั้นต้น ยื่นหลักทรัพย์ 4 ล้าน ประกันตัวแต่ศาลฎีกาปฏิเสธ

29 ส.ค.2560 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ (29 ส.ค.60) ที่ศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ฟ้อง พิชชาภา เอี่ยมสะอาด อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน), บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โดย อังคนา วัฒนมงคลศิลป์ และ สุกัญญา แซ่ลิ่ม ในฐานะ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม, สรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง และ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม และ มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่ บจก.ไร่ส้ม เป็นจำเลย 1-4 ในความผิดฐานเป็นพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่, เป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่องค์กร, เป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และสนับสนุนพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ม.6, 8 และ 11 กรณีการยักยอกเงินค่าโฆษณาเกินเวลาในรายการ "คุยคุ้ยข่าว" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 อสมท กว่า 138 ล้านบาท

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมานั้นชอบแล้ว จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ว่า พิชชาภา อดีต พนักงานบริษัท อสมท มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การของรัฐ จำคุก 20 ปี ส่วน สรยุทธ และมณฑา พนักงานบริษัทไร่ส้ม มีความผิดฐานสนับสนุน จำคุก 13 ปี 4 เดือน และปรับ บริษัท ไร่ส้ม รวม 80,000 บาท

ทั้งนี้ ปรากฏว่า หลังศาลมีคำพิพากษา และสรยุทธ ยื่นหลักทรัพย์จำนวน 4 ล้านบาท ขอประกันตัว เพื่อยื่นฎีกาตามขั้นตอน ภายใน 30 วัน ศาลฯพิจารณาแล้ว เห็นควรให้ศาลฎีกา เป็นผู้พิจารณาคำร้องขอประกันตัวของจำเลย จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำคำร้องขอประกันตัวของจำเลย ส่งศาลฎีกาพิจารณาเลยทันที ซึ่งปกติ ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 3 วัน แต่กรณีนี้ มีการดำเนินการภายในวันเดียว

อย่างไรก็ตาม ภายหลังศาลฎีกา พิจารณาคำร้องขอประกันตัวแล้ว ได้มีความเห็นไม่อนุญาตให้ประกันตัวจำเลย ศาลฯ จึงออกหมายขัง แล้วให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ นำ สรยุทธ กับพวก นั่งรถตู้ทะเบียน ฮข 4001 กรุงเทพมหานคร โดยมีรถเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ขับนำ เพื่อพาตัวไปจำคุกตามคำพิพากษาต่อไป
 
รายงานข่าวเพิ่มเติม ระบุว่า มนต์อนันต์ เรืองจรัส ทนายความของ สรยุทธ และคณะได้เข้าฟังคำสั่งของศาลฎีกา ซึ่งศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำร้องและหลักทรัพย์ในการประกันตัวของจำเลยทั้ง 3 รายเเล้ว มีคำสั่งยังไม่ให้ประกันตัวจำเลยในชั้นนี้ จึงให้ยกคำร้อง โดยรายงานระบุว่า เหตุผลที่ศาลฎีกามีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวในชั้นนี้ เนื่องจากคดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธผ่านญี่ปุ่น ข่าวกรองเกาหลีใต้คาดยิงใบ้สหรัฐฯ ว่าถล่มเกาะกวมได้

Posted: 29 Aug 2017 05:19 AM PDT

จรวดตกห่างจากชายฝั่งฮอกไกโด 1,180 กม. นายกฯ ญี่ปุ่นระบุ เป็นภัยคุกคามร้ายแรง รุนแรง ไม่เคยมีมาก่อน ประท้วงรัฐบาลโสมแดงแล้ว จ่อจี้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น นานาประเทศต่อ ข่าวกรองเกาหลีใต้เผย จะเกิดเหตุแบบนี้จนกว่าจะทดลองขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป และขีปนาวุธยิงจากเรือดำน้ำได้

การซ้อมยิงขีปนาวุธโดยหน่วยทหารปืนใหญ่ฮวาซ็อง กองทัพเกาหลีเหนือ (ที่มา: uriminzokkiri.com )

29 ส.ค. 2560 สำนักข่าวยอนฮัปของประเทศเกาหลีใต้รายงานว่า เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธผ่านประเทศญี่ปุ่น โดยจรวดถูกยิงมาจากบริเวณกรุงเปียงยางเมื่อเวลา 5.57 น. ไปทางทิศตะวันออกผ่านน่านฟ้าของญี่ปุ่นตามที่คณะเสนาธิการร่วม (JCS) รายงาน ในขณะที่ NHK องค์กรแพร่ภาพกระจายเสียงของญี่ปุ่นรายงานว่าขีปนาวุธบินผ่านอาณาเขตของรัฐ คณะเสนาธิการยังระบุว่าขณะนี้เกาหลีใต้กับสหรัฐฯ กำลังวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติม

เฟซบุ๊กเพจ NHK WORLD Thai รายงานว่าขีปนาวุธที่ถูกยิงแยกออกเป็น 3 ส่วนก่อนจะกระจายตกลงในน่านน้ำมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากแหลมเอะริโมะใน จ.ฮอกไกโดทางเหนือของญี่ปุ่นราว 1,180 กม. นายกรัฐมนตรีชินโซ อะเบะแห่งญี่ปุ่นระบุว่าการที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุดนี้เป็นภัยคุกคามในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน รุนแรง และร้ายแรงต่อญี่ปุ่น ทั้งยังกล่าวว่ารัฐบาลญี่ปุ่นได้ยื่นประท้วงอย่างรุนแรงต่อรัฐบาลเกาหลีเหนือ ทั้งยังจะเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเรียกประชุมฉุกเฉิน และเรียกร้องประชาคมนานาชาติให้กดดันเกาหลีเหนือมากขึ้น

ภาพวิถีของขีปนาวุธและจุดตกจากเฟซบุ๊ก NHK WORLD Thai

ท่าทียั่วยุครั้งนี้เกิดขึ้น 3 วันหลังจากเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธจำนวน 3 ลูก ที่ทางฝ่ายพันธมิตรมองว่าเป็นขีปนาวุธพิสัยใกล้ ทั้งนี้ หน่วยงานสายลับของเกาหลีใต้ระบุว่า การยิงจรวดผ่านญี่ปุ่นครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการคุกคามทางการทหารและท่าทียั่วยุเช่นนี้จะมีต่อไปจนกว่าเกาหลีเหนือจะประสบความสำเร็จในการทำขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีปและขีปนาวุธที่ยิงจากเรือดำน้ำได้

หน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (NIS) กล่าวในการรายงานต่อรัฐสภาว่าการออกแบบเส้นทางการยิงจรวดของรัฐบาลเกาหลีเหนือเป็นการบอกใบ้อย่างชัดเจนว่าสามารถยิงจรวดใส่อาณาเขตของสหรัฐฯ ที่เกาะกวมได้ตามคำขู่ทึี่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้

คิมบึงกี สมาชิกสภานิติบัญญัติจากพรรค Democratic Party พรรครัฐบาลที่เข้าฟังการรายงานกล่าวว่าการยิงจรวดครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ยิงจากลานบิน "ถ้าคุณยิงจรวดจากฐานยิงก็จะต้องใช้เวลาในการตั้งจรวด แต่ถ้าคุณยิงจากลานบิน ขีดความสามารถในการวางแผนก็เพิ่มขึ้นทำให้ต้องใช้เวลาในการตรวจจับการยิง" คิมกล่าว "จากจุดยืนของคิมจองอึนก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่กล้าหาญ"

อย่างไรก็ดี หน่วยข่าวกรองยังไม่ได้ยืนยันว่าเกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการทดลองขีปนาวุธพิสัยกลางในความสูงระดับชั้นบรรยากาศ และทางหน่วยข่าวกรองกำลังวิเคราะห์รายละเอียดเกี่ยวกับขีปนาวุธดังกล่าว

แปลและเรียบเรียงจาก

Yonhap, N. Korea fires ballistic missile over Japan: S. Korean military, August 29, 2017

Yonhap, N.K. launches missile over Japan to maximize effect of saber-rattling: spy agency, August 29, 2017

Facebook, NHK WORLD Thai, เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธข้ามเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่น ด้านผู้นำญี่ปุ่นระบุว่าจะเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเรียกประชุมฉุกเฉิน, August 29, 2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เพื่อไทย' ยันพรรคยังมุ่งมั่นในภารกิจต่างๆ อย่างแน่วแน่ต่อไป ไม่เปลี่ยนแปลง

Posted: 29 Aug 2017 05:14 AM PDT

พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์ เรื่อง "การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยในอนาคต" หลังจากเหตุการณ์วันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา ยันยังคงมุ่งมั่นในภารกิจต่างๆ อย่างแน่วแน่ ไม่เปลี่ยนแปลง
 

 
29 ส.ค.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์ เรื่อง "การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยในอนาคต" หลังจากเหตุการณ์วันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่มีฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าว และถูกออกหมายจับนั้น พรรคเพื่อไทย ระบุว่า ยืนยันว่าพรรคมีภารกิจหน้าที่ที่สำคัญที่สุด ซึ่งจะต้องดำเนินต่อไปอย่างมั่นคง การต่อสู้ให้สังคมเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ยอมรับในสิทธิมนุษยชนและสิทธิ เสรีภาพของประชาชนในการแสดงออกและตรวจสอบนั้น ต้องได้รับการคุ้มครอง และประชาชนต้องได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยความใส่ใจ เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ การทำให้พี่น้องประชาชนมีความอยู่ดีกินดี มีชีวิตที่มีคุณภาพมากขึ้น ประเทศได้รับความยอมรับนับถือและเชื่อมั่นจากนานาอารยประเทศ ยังคงถือเป็นภารกิจสำคัญที่พรรคจะยึดมั่นในการดำเนินการต่อไป และการยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี และการสร้างความสมานฉันท์ด้วยหลักเมตตาปรารถนาดีต่อกัน
 
โดยมีรายละเอียดดังนี้ : 
 

แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย เรื่อง "การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยในอนาคต"

 
         พรรคเพื่อไทยได้ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านมรสุมอย่างหนัก มาหลายครั้งตั้งแต่การรัฐประหาร พ.ศ. 2549 และ พ. ศ.2557 ทั้งการยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทย แต่สมาชิกพรรคทุกคนยังคงยึดมั่นในการรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และยังคงรักษาอุดมการณ์และพันธกิจในการสร้างประโยชน์สุขของประชาชนมาโดยตลอด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีอดีตนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรซึ่งเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าของพรรคนั้น พรรคเห็นว่าท่านอดีตนายกรัฐมนตรีคงจะมีคำชี้แจงต่อสาธารณชนเมื่อถึงเวลาอันควรต่อไป 
 
        สำหรับพรรคเพื่อไทยนั้น ขอยืนยันว่าพรรคมีภารกิจหน้าที่ที่สำคัญที่สุด ซึ่งจะต้องดำเนินต่อไปอย่างมั่นคง นั่นคือ
 
        ประการแรก การต่อสู้ให้สังคมเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ยอมรับในสิทธิมนุษยชนและสิทธิ เสรีภาพของประชาชนในการแสดงออกและตรวจสอบนั้น ต้องได้รับการคุ้มครอง และประชาชนต้องได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยความใส่ใจ เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ
 
        ประการที่สอง การทำให้พี่น้องประชาชนมีความอยู่ดีกินดี มีชีวิตที่มีคุณภาพมากขึ้น ประเทศได้รับความยอมรับนับถือและเชื่อมั่นจากนานาอารยประเทศ ยังคงถือเป็นภารกิจสำคัญที่พรรคจะยึดมั่นในการดำเนินการต่อไป
 
        ประการที่สาม การยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี และการสร้างความสมานฉันท์ด้วยหลักเมตตาปรารถนาดีต่อกัน
 
        พรรคเพื่อไทยเชื่อมั่นว่า จากนี้พรรคเพื่อไทยจะยังคงดำรงความเป็นพรรคการเมืองเพื่อประชาชน ที่จะสร้างความเข้มแข็ง และโอกาสในชีวิตให้แก่ประชาชนต่อไปอย่างไม่ย่อท้อปัญหาอุปสรรคอันหนักหนาที่พรรคกำลังเผชิญอยู่นั้น ยิ่งทำให้พรรค สมาชิก และผู้สนับสนุนมีความรัก ความสามัคคี และมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ที่จะมุ่งมั่นทำงาน เพื่อให้สังคมไทยมีสันติสุข ประชาชนมีเศรษฐกิจที่ดี และได้รับประโยชน์สุขต่อไปพรรคเพื่อไทยจะยังคงมุ่งมั่นในภารกิจต่างๆ อย่างแน่วแน่ ไม่เปลี่ยนแปลง. 
 
พรรคเพื่อไทย
29 สิงหาคม 2560 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กฎหมายหย่อนสมรรถภาพการบังคับใช้ เกิดลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม-สั่งปิด รง.ยาก

Posted: 29 Aug 2017 05:07 AM PDT

นักวิจัยเผยกฎหมายควบคุมของเสียอุตสาหกรรมไทยมีครบถ้วน แต่บังคับใช้ย่อหย่อน โทษปรับต่ำ ผู้ทำผิดไม่เกรงกลัว ซ้ำสั่งปิดโรงงานหรือเพิกถอนใบอนุญาตยาก แม้กระทำผิดซ้ำซาก แนะปรับปรุงกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ ชะลอตั้งโรงงานกำจัดกากจนกว่าจะจัดการปัญหาได้

ปัญหาการจัดการของเสียจากอุตสาหกรรมเป็นประเด็นสิ่งแวดล้อมที่เรื้อรังและสร้างผลกระทบต่อชุมชนในหลายพื้นที่ มีบทเรียนให้เห็นต่อเนื่องนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน การจะแก้ไขปัญหานี้ให้ลุล่วง แนวทางด้านกฎหมายและนโยบายเป็นปัจจัยสำคัญ มูลนิธิบูรณะนิเวศได้จัดสัมมนาในหัวข้อ 'การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อการบริหารจัดการของเสียอย่างยั่งยืน' เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ

กอบกุล รายะนาคร หัวหน้าโครงการวิจัยและการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อการบริหารจัดการของเสียอย่างยั่งยืน กล่าวสรุปสถานการณ์ว่า ณ สิ้นปี 2559 ประเทศไทยมีโรงงานทั้งสิ้น 138,083 โรง เป็นโรงงานจำพวกที่ 3 หรือโรงงานได้รับการพิจารณาว่าก่อมลพิษและต้องขออนุญาตก่อนเริ่มประกอบกิจการ 77,738 โรง ในจำนวนนี้เป็นโรงงานบำบัดและกำจัดของเสีย 1,962 โรง จากการประเมินของกรมโรงงานอุตสาหกรรมคาดว่าจะมีปริมาณกากอุตสาหกรรมอันตราย 3.35 ล้านตันต่อปี และกากอุตสาหกรรมไม่อันตราย 50.3 ล้านตันต่อปี โดยปัญหาที่พบคือกากอุตสาหกรรมจำนวนมากยังไม่เข้าสู่ระบบการรายงานข้อมูล มีการลักล้อบทิ้งขยะอุตสาหกรรม และการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ก่อกำเนินกากอุตสาหกรรม ผู้ขนส่ง และผู้รับบำบัดและกำจัดกากอุตสาหกรรม

"เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เรามีโรงงานรับกำจัดของเสียเพียงแห่งเดียวคือเจนโก้ แต่ต่อมารัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมโรงงานรับกำจัดของเสียเป็นจำนวนมาก ทำให้จำนวนเพิ่มขึ้นมาเกือบ 2,000 โรงอย่างที่เห็น อย่างในส่วนผู้รับกำจัดและบำบัดก็พยายามให้ได้กากมากที่สุดเพื่อให้ได้รายได้ บำบัดได้หรือไม่ได้ก็รับไว้ก่อน โรงงานรับกำจัดกากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่บางแห่งรับกากอุตสาหกรรมาแล้วก็นำไปทิ้งในบ่อขยะชุมชน เป็นกรณีที่เกิดขึ้นและมีเอกสารราชการยืนยัน" กอบกุล กล่าว

กอบกุลกล่าวอีกว่า กฎหมายเกี่ยวกับการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมของไทยถือว่ามีความครบถ้วนมาก ทั้งในด้านการกำกับควบคุม วิธีการกำจัด การกำหนดสถานที่ตั้งโรงงาน เป็นต้น แต่กลับมีปัญหาการบังคับใช้ กอบกุลได้ยกตัวอย่างมาตรา 37 ใน พ.ร.บ.โรงงานอุตสาหกรรม พ.ศ.2535 ที่ระบุเนื้อหาว่า

'เมื่อมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือการประกอบกิจการโรงงานมีสภาพที่อาจก่อให้เกิดอันตราย ความเสียหาย หรือความเดือดร้อนแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งให้ระงับการกระทำหรือแก้ไขปรับปรุงภายในระยะเวลาที่กำหนด'

"ถ้าประชาชนร้องเรียนโรงงาน ในกฎหมายก็กำหนดวิธีการแก้ปัญหาไว้ในมาตรา 37 บางกรณีเราพบว่าบางโรงงานถูกร้องเรียน กรมโรงงานฯ ก็เข้าไปตรวจ บางโรงงานถูกร้องเรียนตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปัจจุบันถึง 20 ครั้ง แต่ละครั้งส่วนราชการที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่จะออกคำสั่งตามมาตรา 37 คือออกคำสั่งให้ระงับการกระทำหรือแก้ไขปรับปรุงภายในระยะเวลาที่กำหนด โรงงานส่วนใหญ่ก็จะดำเนินการแก้ไขตามระยะเวลาที่กำหนด แล้วก็กลับมาประกอบกิจการเหมือนเดิม เราก็จะพบเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำซาก ไม่ว่าจะทำกี่ครั้งๆ ก็ออกคำสั่งตามมาตรา 37 คำถามที่เราได้รับบ่อยครั้งคือทำไมไม่ปิด ทำไมไม่เพิกถอนใบอนุญาต แต่เนื่องจากกฎหมายกำหนดไว้ ถ้าโรงงานแก้ไขตามระยะเวลาที่กำหนดก็ปิดไม่ได้ เราจึงต้องพิจารณาว่าควรมีมาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวดกว่านี้หรือไม่ ถ้าเป็นโรงงานขนาดใหญ่ ควรมีอะไรมากกว่ามาตรา 37 หรือไม่"

อีกประเด็นหนึ่งที่กอบกุลเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญคือการมีบทลงโทษที่ต่ำและกฎหมายอนุญาตให้เปรียบเทียบปรับได้ ซึ่งปัจจุบันโทษปรับสูงสุดคือ 2 แสนบาท หมายความว่าหากโรงงานยอมรับข้อกล่าวหาก็จะทำการเปรียบเทียบปรับ ซึ่งส่วนใหญ่จะปรับเพียงหลักหมื่นเท่านั้น มักไม่ค่อยมีการปรับถึง 2 แสนบาทแต่อย่างใด กอบกุลตั้งข้อสังเกตว่า ความผิดอย่างการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม ควรหรือไม่ที่จะอนุญาตให้เปรียบเทียบปรับได้

"ดิฉันคิดว่าถ้าวนเวียนอยู่อย่างนี้ ชำระค่าปรับแค่หลักหมื่นทุกๆ ครั้ง มันก็คุ้มค่าที่จะฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมากมาย ค่าปรับพวกนี้เล็กน้อยมาก"

จากงานศึกษาดังกล่าวทำให้มีข้อค้นพบดังนี้

1.แม้จะมีกฎหมายกำกับดูแลค่อนข้างครบถ้วน แต่กลับมีความย่อหย่อนในการบังคับใช้กฎหมาย

2.กฎหมายกำหนดบทลงโทษต่ำมาก ทำให้ผู้ฝ่าฝืนไม่เกรงกลัว

3.กลไกและมาตรการกฎหมายขาดประสิทธิภาพ การสั่งปิดหรือเพิกถอนใบอนุญาตทำได้ยาก

4.มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับและหน่วยงานที่ดูแลหลายหน่วย ไม่เกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกัน

5.ข้อกำหนดการควบคุมสถานที่ตั้งโรงงานขาดความรัดกุม เปิดช่องให้ตั้งโรงงานในสถานที่ไม่เหมาะสม เช่น ใกล้แหล่งน้ำสาธารณะหรือพื้นที่เกษตรกรรม เป็นต้น

6.เอกชนสามารถใช้ใบอนุญาตเก็บขนขยะมูลฝอยที่ได้รับจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เข้าไปเก็บขยะอุตสาหกรรมไม่อันตรายในเขตโรงงานได้ เป็นช่องทางให้เก็บขยะปนเปื้อนออกมาด้วย

7.หน่วยงานอนุญาตและกำกับดูแลเป็นหน่วยงานเดียวกัน ทำให้การป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเป็นไปได้ยาก

8.อปท. ไม่สามารถกำกับดูแลบ่อขยะชุมชนและกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

9.มีการนำเข้าของเสียอันตรายอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการยกเว้นอากรขาเข้าจากข้อตกลงการค้าเสรี

กอบกุลเสนอว่าให้แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.โรงงานอุตสาหกรรม พ.ศ.2535 กฎกระทรวง และประกาศกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โดยให้กำหนดโทษขั้นต่ำสำหรับการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมและการระบายมลพิษออกสู่สิ่งแวดล้อม และต้องไม่ให้เป็นความผิดที่เปรียบเทียบปรับได้ ปรับปรุงมาตรา 37 และ 39 ให้สามารถสั่งปิดหรือเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานที่กระทำผิดซ้ำซาก กำหนดให้โรงงานรับบำบัดและกำจัดกากอุตสาหกรรมต้องมีการตรวจสอบและรับรองการดำเนินงานจาก Third Party ที่เป็นสถาบันการศึกษาหรือเอกชนที่ได้รับการรับรองจากราชการและจัดทำรายงานส่งกรมโรงงานฯ และต้องกำหนดเรื่องสถานที่ตั้งโรงงานให้รัดกุมกว่าที่เป็นอยู่

นอกจากนี้ กอบกุลยังมีข้อเสนอเชิงนโยบายว่ารัฐบาลควรชะลอการส่งเสริมการตั้งโรงงานบำบัดและกำจัดกากอุตสาหกรรมไปก่อน จนกว่าภาครัฐจะสามารถแก้ปัญหากากอุตสาหกรรมที่ยังไม่เข้าระบบและการลักลอบทิ้งได้อย่างจริงจัง และยกเลิกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 4/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท กำหนดให้หน่วยงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกรมควบคุมมลพิษมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลโรงงาน

กอบกุลยังเสนออีกว่า รัฐควรส่งเสริมสมรรถนะของ อปท. ในการกำกับดูแลกิจการโรงงาน ร้านรับซื้อของเก่า และกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ อีกทั้งรัฐต้องติดตามสถานการณ์การนำเข้าของเสียอันตรายว่ามีการนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร และถูกจัดการในขั้นตอนสุดท้ายอย่างไร

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อนุ กก.หลักประกันสุขภาพ กทม. เผยชื่อ รพ.รัฐ-เอกชน รองรับ ปชช. หลัง รพ.ถอนตัวจากบัตรทอง

Posted: 29 Aug 2017 03:06 AM PDT

อนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขต กทม. ถกแนวทางรองรับการให้บริการประชาชน หลัง รพ.เอกชนถอนจากระบบบัตรทอง ประธาน อปสข.เผย ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจาก รพ.ในแต่ละสังกัดทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเข้ามาดูแลประชาชน ขอวางใจว่าจะได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานเดิม

29 ส.ค. 2560 รายงานข่าวแจ้งว่า วันนี้ (29 ส.ค.60) ที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร (อปสข.เขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า การประชุมในวันนี้ คณะอนุกรรมการฯ ได้หารือแนวทางการดูแลประชาชนเพื่อรองรับหลังจาก รพ.มเหสักข์ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้ลาออกจากการเป็นหน่วยบริการภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) และ รพ.แพทย์ปัญญา, รพ.บางนา 1, รพ.กล้วยน้ำไท และ รพ.วิภารามปากเกร็ด ซึ่งเป็นหน่วยบริการในระบบไม่ขอเป็นหน่วยรับส่งต่อให้คลินิกชุมชนอบอุ่นบางแห่ง ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้ เป็นต้นไป 

สมศรี กล่าวต่อว่า การหารือครั้งนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อร่วมให้บริการสุขภาพประชาชนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงกลาโหม, กระทรวงศึกษาธิการ, สำนักการแพทย์ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร และโรงพยาบาลเอกชน รวมถึงหน่วยบริการเอกชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครในการเข้ามาดูแลประชาชน จึงขอให้ประชาชนวางใจว่าจะได้รับบริการสุขภาพตามมาตรฐานเหมือนเดิม โดยมี รพ.แต่ละสังกัดได้ตอบรับการให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่องดังนี้

1. รพ.ในสังกัดสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ได้แก่ รพ.กลาง, รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ และ รพ.สิรินธร

2. รพ.ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ รพ.เลิดสิน, รพ.นพรัตนราชธานี และ รพ.ราชวิถี 

3. รพ.ในสังกัดกระทรวงกลาโหม ได้แก่ รพ.ภูมิพลอดุลยเดช, รพ.พระมงกุฎเกล้า

4. สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ได้แก่ ศูนย์บริการสาธารณสุขในพื้นที่

5. โรงเรียนแพทย์ ได้แก่ รพ.วชิรพยาบาล และ รพ.จุฬาลงกรณ์

6. รพ.เอกชน ได้แก่ รพ.มงกุฎวัฒนะ และ รพ.อนันต์พัฒนา 2

7. หน่วยบริการรับส่งต่อ และคลินิกอบอุ่นในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่เกี่ยวข้อง

"ประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองที่ รพ.มเหสักข์ และเครือข่ายของ รพ.มเหสักข์ สามารถเข้ารับบริการได้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 หลังจากนั้น สปสช.เขต 13 กทม.จะดำเนินการเปลี่ยนแปลงหน่วยบริการประจำให้ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป แต่หากประชาชนไม่สะดวก ก็สามารถขอเปลี่ยนแปลงหน่วยบริประจำได้ตามสถานที่ต่างๆ ได้ ในส่วนคลินิกชุมชนอบอึ่นที่ได้รับผลกระทบจากหน่วยบริการรับส่งต่อนั้น อปสข.เขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้ประสานงานกับ รพ.ต่างๆ ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยประชาชนไม่ต้องวิตกกังวล" สมศรี กล่าว

ทั้งนี้ สถานที่ที่สามารถขอเปลี่ยนแปลงหน่วยบริการประจำ ดังต่อไปนี้

1) จุดรับลงทะเบียนบัตรทองที่สำนักงานเขต 19 เขต ที่เปิดให้บริการ ให้บริการในวันจันทร์– วันศุกร์ เวลา 08.00 –16.00 น. (สอบถามเขตที่เปิดให้บริการ โทร.1330 หรือตรวจสอบข้อมูลได้ที่http://bkk.nhso.go.th คลิ๊กเลือก สำหรับประชาชน เลือกแผนที่จุดรับลงทะเบียน 27 เขต)

2) จุดรับลงทะเบียนบัตรทอง ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ชั้น 1 ด้านข้างประชาสัมพันธ์ ให้บริการทุกวันเวลา 08.00 – 19.00 น.

เอกสารประกอบการลงทะเบียน ได้แก่ สำเนาบัตรประชาชนเพียงใบเดียว กรณีที่เป็นเด็กใช้สูติบัตรเด็กและสำเนาบัตรประชาชนของผู้ปกครอง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คุยกับ 'ภาณุ - สมพจน์' คนทำหนัง นิยามและการเบลอเส้นความจริงของสารคดีปัจจุบัน

Posted: 29 Aug 2017 01:12 AM PDT

เล่าประสบการณ์-จริยธรรมคนทำหนัง ชี้สารคดีคือความจริงที่ต้องถกเถียงต่อ เหตุไม่มีรูปแบบตายตัว จากเรื่องราวภายนอกจนเรื่องส่วนตัว ชี้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำทุกชนชั้นเล่าเรื่องตัวเองได้ เปิดมุมหลากหลาย ทำเส้นแบ่งระหว่าง เรื่องแต่ง และ เรื่องจริง พร่าเลือน


ภาพจากเพจ DOC Forum

เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา DOC Forum โดยคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดงานเสวนาแลกเปลี่ยนทัศนะกับผู้ผลิตสารคดีชาวไทยถึงพัฒนาการและเทรนด์ของการผลิตงานสารคดีในไทย ณ ห้องออดิทอเรียม ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ร่วมพูดคุยโดยภาณุ อารี ผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อภาพยนตร์ต่างประเทศบริษัทสหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนลและผู้กำกับสารคดีขนาดสั้นและยาวหลายเรื่อง และสมพจน์ ชิตเกษรพงศ์ ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดี "หมอนรถไฟ" ดำเนินรายการโดย ญาณิน พงศ์สุวรรณ

สารคดีหมายถึงอะไร

ภาณุ: ถ้าจะให้สรุปเป็นเรื่องที่ยาก ในความคิดผมคือบทบันทึกความจริงที่ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยวิธีการตรงไปตรงมาหรืออาศัยเทคนิคการเล่าเรื่องแบบหนัง นำเสนอหลายรูปแบบ แต่โดยพื้นฐานคือความจริง ซึ่งความจริงนี้บริสุทธิ์แค่ไหนต้องมาพูดอีกที

สมพจน์: ตอบยากมากๆ ทุกวันนี้ความเป็นไปได้มันเยอะมาก เรามองกว้างมาก จึงมองว่าอะไรก็เป็นสารคดีเป็นศิลปะได้หมด อ.ที่เคยสอนก็มองว่าหนัง fiction ก็เป็นสารคดี เพราะมันคือการบันทึกการแสดงเรื่องที่จำลองขึ้นมา

คำว่า "สารคดี" จำเป็นต้องมีสาระรึเปล่า

ภาณุ: ประเด็นคือตัวเนื้อหา วิธีการนำเสนอมันเปลี่ยนแปลงไปมาก สารคดีบางเรื่องเป็นการบันทึกความเป็นมาเป็นไปวัฒนธรรมของสังคม สารคดีเกี่ยวกับลิตเติ้ลโพนี่ (Bronies, 2012) เล่าว่าทำไมคนอเมริกันชอบตัวการ์ตูนตัวนี้ วิธีการนำเสนอมันแค่การมีกล้องไปบันทึกเฉยๆ เราอาจสนุกกับพฤติกรรมซับเจคในหนัง คำว่าสาระอาจแทนว่าเราได้เรียนรู้อะไร และมันเปิดโลกทัศน์กับเรา

สมพจน์: คำว่าสาระเอาไปตีความได้อีกว่าแค่ไหนคือสาระ documentary documentation มันต่างยังไง เช่น หมาวิ่งเฉยๆ เป็นอะไร เราไม่ได้มองว่าสารคดีต้องมีสาระ แค่การบันทึกก็เป็นสาระได้แล้ว อย่างย้อนไปหกสิบปีมีคนมาบันทึกภาพในเมืองไทย พอเราดูในตอนนี้ก็จะรู้สึกมีคุณค่าบางอย่าง อาจดูเหมือนไม่มีคุณค่าในตอนนั้นแต่ถึงจุดหนึ่งมันจะมีคุณค่าบางอย่าง

ภาณุ อารี (ภาพจากเพจ DOC Forum)

เพราะอะไรถึงสนใจทำสารคดี

ภาณุ: ผมอยู่ในยุคที่เป็นยุคปลายของการใช้ฟิล์ม ถ้าฟิล์มยังนิยมผมคงไม่มีโอกาสได้ถ่าย เพราะฟิล์ม 16 มม. ราคาแพง ขั้นตอนยุ่งยาก ผมอยู่ในยุคกล้องซุปเปอร์ 8 (กล้องฟิล์ม 8 มม. ซึ่งมีขนาดเล็ก พกพาสะดวก) และคนที่มีอิทธิพลมากคือ คุณเจ้ย (อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล) มีโอกาสได้ดูหนังที่พี่เจ้ยทำแล้วเปิดโลกเรามาก มันเปลี่ยนโลกทัศน์เราเลย เพราะเมื่อก่อนเราติดภาพสารคดีตามทีวี เราตีค่าสารคดีไว้สูงส่งมากๆ เราเคยดูแค่สารคดีเรื่องของธรรมชาติ โลก วัฒนธรรม แต่หนังของพี่เจ้ยเป็นเรื่องส่วนตัว พ่อแม่พี่น้อง ความทรงจำ เป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ เป็นงานที่ผสมระหว่างความเป็นหนังทดลองและสารคดี งานพี่เจ้ยพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นงานที่ใครก็ทำได้ เพียงแต่เราจะพลิกมุมไหน

เช่น หนังสั้นที่ชื่อเรื่องเป็นเบอร์โทรศัพท์ยาวๆ (0016643225059, 1994) พี่เจ้ยบันทึกบทสนทนาระหว่างเขากับแม่ช่วงที่เขาเรียนอยู่ที่อเมริกา คุยกันมีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง แต่วิธีที่เขานำเสนอมีความแหวกแนว เราจึงรู้สึกว่าสารคดีไม่ต้องยึดฟอร์ม ไม่ต้องเขียนเสียงบรรยายภาพไปพร้อมกับภาพแบบที่เคยเรียน

ตอนเด็กที่บ้านชอบถ่ายหนัง 8 มม. บังเอิญมีหนังชุดหนึ่งถ่ายตอนเป็นเด็กแล้วไปเที่ยวแดนเนรมิต ปี 2000 แดนเนรมิตปิดตัว เลยคุยกับพี่เจ้ย เขาบอกว่าทำไมไม่เอาภาพฟุตเทจนี้มาทำ แล้วลองไปสัมภาษณ์คนนู้นคนนี้ เพราะตอนนั้นเราอายุ 4-5 ขวบ เราจำอะไรไม่ได้เลย ก็เลยต้องไปตามหาความทรงจำ สัมภาษณ์ผู้คน ลองเอาภาพที่มีอยู่มาผสมกัน พอทำแล้วรู้สึกมาถูกทาง ไม่จำเป็นต้องไปค้นคว้าอะไรมากมาย สมัยนั้นกล้อง ที่อัดเสียงก็ดีขึ้น สะดวกแก่การพกพา รู้สึกค้นพบทาง ออกมาเป็นหนังสารคดีเรื่อง "แดนเนรมิต"

สมพจน์ ชิตเกษรพงศ์ (ภาพจากเพจ DOC Forum)

สมพจน์: ตอนปริญญาตรีไม่ได้เรียนด้านหนัง แม่กับพ่อเป็นคนพาเข้าไปดูหนังตั้งแต่เด็ก จริงๆ อยากเป็นอนิเมเตอร์ เรียนสถาปัตย์จบแล้วก็ไม่อยากทำด้านนี้ มีกล้องวิดีโอตัวหนึ่ง ไปดูตามเทศกาลมูลนิธิหนังไทย ก็มีเรื่องแปลกๆ เราเลยทำหนังโดยถ่ายเพื่อนคนหนึ่งบ่นๆไปเรื่อยๆ เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม เทรนด์ของคนสมัยนั้น ฯลฯ เขาบ่นไปสักพักเสียงเขาก็เฟดไป กลายเป็นเสียงเราวิจารณ์เขาอีกที ทำเสร็จตัดเสร็จในวันเดียว แล้วก็ส่งมูลนิธิฯ ซึ่งก็ไม่ได้เข้ารอบอะไรหรอก

จากนั้นก็ไปฝึกงานกับพี่เจ้ย ได้ดูหนังพี่เจ้ยก็รู้ว่าความเป็นไปได้มันอะไรอีกเยอะมาก เลยอยากทำหนังที่จริงจังมากขึ้น ตอนนั้นมูลนิธิฯ มีโครงการทำหนังสั้นเรื่อง "ลอยฟ้า" ตีโจทย์ยังไงก็ได้ เพื่อนในกองถ่ายยืมกล้องไปถ่ายงานบุญบั้งไฟที่บ้านของเขาจังหวัดสุรินทร์ เราจึงขอฟุตเทจของเขามาทำเป็นหนังเรา แลกกับว่าเราจะตัดหนังให้เขาอีกเรื่องหนึ่งโดยใช้ฟุตเทจเดียวกันที่มี มันจึงเป็นหนังเราที่เราไม่ได้ถ่ายเอง แบ่งเป็นสองท่อนคล้ายกับหนังพี่เจ้ยในยุคนั้นเลย ครึ่งแรกพูดเรื่องการเดินทางไปอวกาศ กับฟุตเทจภาพคนมองฟ้า เราตัดภาพบั้งไฟออกทั้งหมด ท่อนสองพูดเรื่องวิถีชาวบ้านไม่มีการบรรยายแต่เป็น text วิ่งบนจอ คล้ายรายงานข่าว เราพยายามเล่นฟอร์มของความเป็นหนัง มันมีความเป็นสารคดี และการรายงานข่าว ย้อนแย้งระหว่างอนาคต ความก้าวหน้า และ อดีต วัฒนธรรมดั้งเดิม จึงอาจเป็นสารคดีทดลองในแง่ที่มันบันทึกชีวิตจริง แต่ขณะเดียวกันก็มีฟอร์มอย่างอื่นที่ไม่เชิง fiction แต่ก็ไม่ใช่สารคดีทั่วไป ออกมามันก็ประสบความสำเร็จ ได้ไปเทศกาลต่างๆ หลังจากนั้นก็ทำสารคดีเชิงทดลองมาตลอด

การเกิดสารคดีที่ผสมเรื่องแต่ง งานสารคดีไม่จำเป็นต้องยึดติดกับการเล่าตรงไปตรงมา สามารถพลิกแพลงได้ การพลิกแพลงมีประโยชน์อย่างไรบ้าง

สมพจน์: การมี fiction มาอยู่ในสารคดีจริงๆ เป็นขนบที่ทำมานานแล้ว อย่างการเป็นละครจำลองเหตุการณ์นั้นขึ้นมาเพราะไปถ่ายเหตุการณ์จริงไม่ได้ สารคดีเป็นภาพยนตร์อย่างหนึ่งเหมือนกัน มีศาสตร์การตัดต่อ ผสมเสียง มีการจัดวาง หนังเป็นความจริงล้วนๆ ไม่ได้อยู่แล้ว

เราไม่ได้เป็นนักข่าวที่ต้องนำเสนอความจริงทั้งหมด หลายคนก็พูดว่าความจริงมันมีหลายชุดอยู่แล้ว การทำสารคดีของเราจึงเป็นการถ่ายทอดความจริงในแบบของเรา แบบที่เราอยากสื่อสาร ดีหรือไม่ดีอาจเกี่ยวกับการเปิดพื้นที่ทางความคิด ความจริงไม่ได้มีชุดเดียว

แต่มันนำไปสู่คำถามว่าภาพข่าว เป็นสารคดีได้มั้ย แต่เราคงไม่นำภาพข่าวไปทำให้มัน abstract ถ้าเราเป็นนักข่าว แต่สารคดีเหมือนทำให้เราค้นหาตัวเองได้มากขึ้น

ภาณุ: อาจมีเส้นแบ่งระหว่าง fiction กับ non-fiction แต่ทุกวันนี้เส้นนี้มันบางลง แต่สุดท้ายตัวหนังจะบอกได้เองว่าน้ำหนักของมันไปอยู่ตรงไหน เช่น #BKKY (นนทวัฒน์ นำเบญจพล, 2016) การนำเรื่องสัมภาษณ์มาแต่งใหม่ มีนักแสดงมาแสดง ก็ยังอาจเป็นสารคดี แต่ก็มีหนังที่เห็นว่าการถ่ายแบบสารคดีอาจทำให้มีพลัง เช่น เปรตเดินดิน (Cannibal Holocaust, 1980) ตอนหนังเปิดตัวคนก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่สุดท้ายคือเทคนิคอย่างหนึ่ง

ตรงข้ามกับหนังปัจจุบันเช่น Cartel Land (2015) ที่เกี่ยวกับเรื่องค้ายา มันสนุกเหมือนเป็นหนังจริงๆ เลย คนทำอาจมองว่าวิธีเล่าแบบนี้มันอาจได้กลุ่มผู้ชมกว้างกว่า สนุกกว่า

ผมรู้สึกว่าถ้ามองในมุมหนึ่งมันคงมีเส้นแบ่ง แต่ในความคลุมเครือของเส้นแบ่งก็คงเป็นเรื่องความสนุกของคนดูและคนทำ คนดูหลอกคนทำสำเร็จ คนทำจับไต๋คนดูได้

สมพจน์: อยากเสริมว่าเทศกาลสารคดีเดี๋ยวนี้ไม่แบ่งอีกต่อไปแล้วว่าอันไหนคือสารคดีหรือเรื่องแต่ง อย่าง True/False Film Festival ชื่อเทศกาลก็บอกอยู่แล้วว่าอะไรจริงอะไรไม่จริงมันแยกยาก เช่น หนังที่เราชอบมากในเทศกาล เราพบว่ามันไม่ได้เป็นสารคดีเลย ยกตัวอย่างเช่น เรื่องหนึ่งตามถ่ายครอบครัวครอบครัวหนึ่งอยู่แต่ในบ้านแคบๆ เรื่องราวเข้มข้นดุเดือดมาก ลูกทะเลาะกัน แม่ร้องไห้ เรารู้สึกสุดยอดมาก ถ่ายได้ยังไง ตัวละครไม่ aware กล้องเลย แล้วพอมาคุยกับโปรแกรมเมอร์ เขาบอกว่าผู้กำกับ manipulate เหตุการณ์ทั้งหมดเลย เช่น ให้คุยเสียงดังขึ้น หรือบอกให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้สิ ไม่แน่ใจว่าดีกรีถึงตรงไหนแต่การมีผู้กำกับในบ้านหลังนั้นมีผลมากทำให้ตัวละครแสดงออกแบบนี้ เราไม่แน่ใจว่าเราชอบหนังน้อยลงไหม แต่เราได้ตั้งคำถามกับความเป็นสารคดีมากขึ้น

อีกเรื่องจิตแพทย์คุยกับแม่กับลูก ทุกคนเปิดใจ เข้มข้นมาก ตอนจบขึ้นว่าเนื่องจากเป็นเหตุผลทางศีลธรรม เราไม่สามารถถ่ายการบำบัดจริงๆ ได้ ทั้งหมดคือการแสดง แต่เราคิดว่าทุกอย่างมันจริงมาก จนเรามานั่งคิดว่าที่ขึ้นว่าเป็นการแสดงจริงๆ โกหกเรารึเปล่า เขาพยายามปิดบังเพื่อป้องกันซับเจคหรือเปล่า

สมัยก่อนอุปกรณ์มันใหญ่มาก ต้องมีอุปกรณ์บันทึกเสียงอีก แต่พอการมาถึงของกล้องฟิล์ม 16 มม. กล้องมันเล็ก เราเริ่มเข้าไปถ่ายที่ไหนก็ได้ ยุคนั้นก็มีคนที่เชื่อว่ากล้องนี่แหละทำให้ความจริงเปิดเผยขึ้น คนไม่เปิดเผยตัวตน แต่การมีอยู่ของกล้องทำให้คนเปิดเผย แสดงออกมากขึ้น แต่พอมายุคนี้คนรู้จักกล้องมากขึ้น เล่นกับกล้องได้มากขึ้น คนเริ่มรู้ว่ามีการเปิดเผยตัวตนผ่านกล้องเป็นอย่างไร รู้ว่าจะวางตำแหน่งตัวเองต่อหน้ากล้องอย่างไร เปิดเผยตรงไหนไม่เปิดเผยตรงไหน

อุปกรณ์การถ่ายทำมีผลต่อผลงานที่ทำหรือไม่ มีผลต่อแนวทางหนังหรือเปล่า

ภาณุ: อุปกรณ์มีผล แต่ที่สำคัญกว่าคือวิธีคิด เช่น เหตุการณ์พฤษภา 53 เราจะพบว่ามีฟุตเทจมากมายในเน็ต อาจจะไม่ต้องถ่ายเองก็ได้ เป็นยุคที่กล้องย่อขนาดเข้าไปอยู่ในมือถือ ทุกคนสามารถถ่ายได้หมด เราเห็นตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายของเหตุการณ์ ถ้าเราเล่าดีๆ อาจจะได้มุมมองที่น่าสนใจ อุปกรณ์กล้องอาจไม่ต้องดีที่สุดก็ได้

ขณะเดียวกันสารคดีบางประเภทกล้องดีก็อาจนำเป็น เช่น หนังของอุรุพงษ์ (อุรุพงษ์ รักษาสัตย์) ซึ่งต้องสวยงาม ขึ้นอยู่กับประเภทที่เราจะเล่า ที่สำคัญคือความคิดเราจะเล่าอะไร ช่องทางสารคดีมันไปได้ไกล การได้ดูเยอะๆ ช่วยสร้างความกระจ่างให้ความคิดเรา

สมพจน์: หมอนรถไฟถ่ายด้วยกล้อง Mini DV Canon XL2 เห็นได้ชัดว่าคุณภาพของภาพสู้ HD ไม่ได้ ตอนนั้นเราถอดใจว่ามันคงเป็นหนังโบราณๆ แต่ตอนนี้กลับชอบที่นอกจากบันทึกรถไฟโบราณๆ แล้วภาพก็ยังอยู่ในยุคสมัยนั้น

สมัยนี้เทคโนโลยีเข้าถึงมือคนได้มากขึ้น กล้องไม่แพงมากก็มีภาพและเสียงที่มีคุณภาพ ทำให้ชนชั้นไหนก็เล่าเรื่องของตัวเองได้ดีมากขึ้น สร้างวิสัยทัศน์ใหม่ๆ ได้มากขึ้น ยุคที่สารคดีไม่ได้อยู่ในรูปแบบหนังหรือรายการทีวี กลายเป็นทุกคนอยากถ่ายอะไรก็ถ่ายได้

โกโปร โดรน มันทำให้เราเห็นภาพในมุมมองใหม่ๆ เช่น มีการเอากล้องไปติดหัวเหยี่ยว ภาพที่ได้ก็จะแปลกตาเป็นมุมมองที่มนุษย์ไม่เคยเห็นถ้าไม่มีเทคโนโลยีแบบนี้

ภาณุ: แต่ผมยังคิดว่าการเล่า การนำเสนอ จะได้รับการยอมรับและพูดถึงหรือไม่ คนดูก็ตัดสินได้ บางทีไวรัลก็อาจดีก็ได้ แต่สุดท้ายคนดูจะบอกได้เองว่างานประเภทไหนที่ทรงพลัง หรืองานที่ดูจบตื่นเต้นแล้วสุดท้ายคนก็ลืมมันไป

ญาณิน พงศ์สุวรรณ (ภาพจากเพจ DOC Forum)

สุดท้ายคนดูจะแยกเรื่องจริงออกจากเรื่องไม่จริงอย่างไร เช่น ไวรัลต่างๆ

สมพจน์: สุดท้ายเราว่ามันก็ต้องแยก แต่ก็ยากที่จะบอกว่าอะไรจริงไม่จริง แต่อย่างเราไม่เคยเชื่อไวรัลพวกนี้เลย อาจเพราะเราเรียนภาพยนตร์มา เราจะมีเซ้นส์ว่า ทำไมเสียงดีกว่าปกติ อัดเสียงยังไง หรือการแสดงอันนี้ไม่เนียน แต่แน่นอนเราไม่สามารถเชื่อตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราห้ามเทรนด์นี้ไม่ได้ สุดท้ายเทคโนโลยีก็ดีขึ้นเรื่อยๆ คนดูก็จะถูกหลอกได้มากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นคนต้องตระหนักว่าไม่สามารถเชื่ออะไรได้ร้อยเปอร์เซ็นต์อีกแล้ว

อย่างสำนักข่าว CNN เขาเครียดมากเวลามีคนส่งคลิปข่าวมา เพราะเขาไม่สามารถยืนยันได้เลยว่าจริงไม่จริง เขาต้องพิสูจน์อย่างหนัก เขามีสำนักงานตรวจสอบคลิปพวกนี้ว่าจริงหรือไม่จริง แต่เขาก็บอกว่าตรวจจับได้ในระดับหนึ่ง อย่างเก่งก็ 30-40 เปอร์เซ็นต์ จึงอาจบอกได้ว่าเราอยู่ในยุคที่ไม่สามารถเชื่ออะไรแล้วว่าจริงหรือไม่จริง

หรือ Adobe เพิ่งออกโปรแกรมใหม่ ที่วิเคราะห์วิธีการเปล่งเสียง น้ำเสียง ยิ่งมีข้อมูลวิเคราะห์มากโปรแกรมก็ยิ่งแม่นยำ คุณสามารถพิมพ์ประโยคอะไรก็ได้  แล้วโปรแกรมก็จะพูดออกมาเป็นเสียงคนคนนั้น ประโยชน์ก็คือใช้งานในภาพยนตร์ คือการพากย์เสียงใหม่ ADR (Automated Dialogue Replace) โดยไม่ต้องเรียกนักแสดงตัวจริงซึ่งอาจค่าตัวแพงมาอัดเสียงใหม่ แต่ก็อาจมีความอันตรายที่จะเกิดขึ้น เช่น หากมีกรณีขึ้นโรงขึ้นศาลฟ้องร้องเรื่องการพูด คนอาจเคลมได้ว่า ไม่ได้พูด นี้เฟค ใช้โปรแกรม

ภาณุ: ผมมองว่าถ้าเรารู้แล้วว่านี่คือปัญหา มันอาจเป็นความสนุกที่จะค้นหาว่ามันคือความจริงหรือไม่จริง เช่น เราดูหนังเรื่องหนึ่งไม่แน่ใจว่าเรื่องจริงไหม เราก็ไปค้นคว้าดู เราก็ได้ความรู้

แต่ผมว่ามันก็เป็นความน่ากลัว เส้นระหว่างความจริงไม่จริงมันอาจกลายเป็นเส้นเสมือน สุดท้ายแล้วอาจไม่มี แต่เราก็ต้องหาแว่นขยายมาดูเพราะสุดท้ายผมเชื่อว่ามันก็มีความจริงไม่จริงอยู่ บางทีคนทำหนังก็อาจต้องมาเรียนรู้เรื่องจริยธรรม อันไหนควรทำไม่ทำ มันไม่ผิดแต่คนดูต้องตระหนัก ถ้าเขาไม่อยากเป็นเครื่องมือเขาก็ต้องมีการสืบค้น เรียนรู้ว่าความจริงคืออะไร

เรื่องจริยธรรม ทุกคนที่ถูกเราถ่ายต้องยินยอมไหม

ภาณุ: ต้องแบ่ง ถ้าเป็นซับเจคหลักก็ต้องมีการพูดคุยกับเขา ขึ้นอยู่กับว่าเราเข้าหาเขาอย่างไร หลอกเขามั้ย ถ้าเป็นส่วนเล็กๆ ที่กล้องแพนไปคงไม่จำเป็นต้องขออนุญาต

คนทำหนังต้องให้เกียรติให้ความเคารพต่อซับเจคด้วย เช่น เคยไปถ่ายหญิงมุสลิม มีอากัปกิริยาบางอย่างที่อาจไม่เหมาะกับความเป็นมุสลิม เราก็เอาไปให้เขาดู เขาโอเคให้ฉายได้ แต่พอฉายกลับโดนโจมตีจากกลุ่มมุสลิมที่เคร่ง เราจึงอาจต้องดูว่าฉายได้ที่ไหนบ้าง สุดท้ายต้องต่อรองกับตัวซับเจค เราเลือกทำสารคดีซับเจคก็เสี่ยงกับเราด้วย เช่น เรื่องการเมือง เราอาจได้หนังที่พูดแรงพูดตรง แต่ผลกระทบก็ต้องคำนึงด้วย

สมพจน์: ตอนถ่ายหมอนรถไฟ คำว่าจริยธรรมก็อยู่ในหัวตลอดเวลา หมอนรถไฟไม่ได้ตามตัวละครตัวไหนเป็นพิเศษ ทุกวันที่ไปถ่ายก็เจอคนแปลกหน้าตลอดเวลา เราต้องถามตัวเองตลอดตอนถ่าย ตอนตัด เราเลือกภาพที่รู้สึกโอเค ไม่ไปเสนอภาพที่เขาไม่ดีเกินไป แต่หนึ่งคือกล้องเราใหญ่ทุกคนรู้ เวลาหันหน้ากล้องไปทุกคนต้องรู้อยู่แล้ว เราจึงถือว่านั่นเป็นการขออนุญาตกลายๆ (หัวเราะ) สองคือเราพยายามไปขอชื่อทุกคนมาใส่ในเครดิต แต่สุดท้ายตัดต่อออกมาชื่อที่อยู่เครดิตก็อาจมีหรือไม่มีในหนัง

เราคิดว่าหนังเรื่องนี้ถ้าไปถ่ายในยุโรปคนยุโปต้องโวยวายแน่ๆ คนเอเชียเปิดกว้างในเรื่องนี้มากกว่า มีบางประเทศที่คุณอยู่ในพื้นที่สาธารณะคุณสามารถถูกถ่ายได้ไม่ผิดกฎหมาย หรือมันมีหนังบางเรื่องที่ไปถ่ายคนที่ชั่วร้ายมาก พอหนังฉายเขาฆ่าตัวตาย ไม่รู้เพราะแรงกดดันเกี่ยวกับหนังรึเปล่า หรือเรื่อง The Act of Killing (2012) ที่ตามถ่ายคนที่ฆ่าล้างคอมมิวนิสต์ในอินโดนิเซีย บางทีอาจเหมือนการไปถ่ายความชั่วร้ายของเขา บางครั้งมันอาจทำให้หนังกลายเป็นศาลเตี้ยรึเปล่า ซึ่งส่วนตัวเราดูหนังพวกนี้ได้ แต่ให้ทำคงทำไม่ได้

ข้อแนะนำ

ภาณุ: เมื่อก่อนเคยเชื่อว่าสารคดีไม่ต้องวางแผน แต่ถึงเวลาจริงๆ ยิ่งเราไม่วางแผนปัญหาจะมาอยู่ในตอนท้าย ยิ่งเรามีตัวเลือกเยอะความปวดหัวก็ยิ่งเยอะ ทำให้ยิ่งเกิดความขัดแย้ง  การวางแผนคือเราอยากเห็นอะไรอยู่ในสารคดีนั้นบ้าง แล้วเราค่อยเดินไปถ่าย เช่น รู้ว่าวันนี้ต้องไปถ่ายอะไร เราก็ต้องนั่งลิสต์ว่าอยากเห็นภาพไหนบ้าง แต่พอไปถ่ายในสถานการณ์จริงมันอาจไม่เป็นอย่างที่เราคิด แต่เรากำหนดได้คร่าวๆ ว่าจะโฟกัสที่ไหน ข้อดีคือไม่ต้องถ่ายเยอะ แต่รู้ว่าจะถ่ายอะไร ประหยัดงบมากขึ้น รู้ว่าเราจะเริ่มต้นและจบอย่างไร เขียนบทไว้ก่อนอาจไม่ใช่เรื่องผิด สมมติฐานอาจต้องตั้งไว้ก่อน การถ่ายไปก่อนแล้วค่อยไปตัดทีหลัง ถึงตอนนี้ผมว่าไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้อง

สมพจน์: การวางแผนสำคัญมาก แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะถ่ายทอดอะไร อย่างไรด้วย เช่น ทำสารคดีขอทุน ทุนบอกให้เขียนบทมาให้ดู สิ่งที่นักทำสารคดีจะทำคือจินตนาการเอาว่าซับเจคจะทำอะไรบ้าง เหมือนแต่ง fiction ขึ้นมา สำหรับเรามันประหลาดมาก

อย่างหมอนรถไฟมันทำอย่างนั้นไม่ได้ เราไม่ได้ตามตัวละครไหนเป็นพิเศษ สิ่งที่เกิดขึ้นคือสิ่งเล็กๆ น้อยๆ มาประกอบกัน เราเดาไม่ได้ว่าเขาจะทำอะไรเมื่อไหร่ อาจใช้แค่สิบวินาทีจากที่ถ่ายเขา 10-20 นาที สิ่งที่ทำได้คือ ดูว่าหนังขาดอะไร แล้วเราก็รู้สึกหนังยังขาดนักเรียน นักท่องเที่ยว เด็ก อยู่นะ เราไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรน่าสนใจตอนไหน เลยต้องถ่ายทิ้งไปเรื่อยๆ จึงเป็นปัญหา ใช้เวลามากในการตัดต่อ

จริงๆ ไม่แนะนำในการทำอย่างนี้ เพราะมันเหนื่อย การวางแผนมันช่วยได้เยอะ แต่บางครั้งก็ต้องอิมโพรไวซ์ แต่การมีอะไรให้เกาะเราก็จะไม่หลง ถ้ายึดการทำหนังสารคดีเป็นอาชีพมันจะมาล่องลอยแบบเราไม่ได้

แนวสารคดีไทยเพิ่มเติมที่อยากเห็น

ภาณุ: สารคดีที่พูดถึงประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ไม่ไกลมาก มีวัตถุดิบมากพอที่จะเอามาเล่า และยังไม่ถูกแต่งเติม น่าสนใจที่เอามาเล่าในมุมคนรุ่นใหม่ อีกประเภทคือสารคดีที่สามารถเชื่อมโยงโลกได้ ในเชิงพาณิชย์มันอาจขายได้ สารคดีอาจอยู่ได้นานกว่าหนัง fiction อีก ยุค Netflix หนังขนาดกลางหายไป แต่สารคดียังมีที่ทางของมัน เช่น สารคดีอาหารที่ดูแล้วสนุก เช่น Jiro Dreams of Sushi (2011) Tsukiji Wonderland (2016) หรือสารคดีดนตรี สารคดีที่พูดถึงวัฒนธรรมร่วมสมัย ไม่อยู่ในกรอบเดิม ถ้าบ้านเรามีอาจทำให้วงการมันคึกคัก รวมถึงตลาดโลก

สมพจน์: วงการหนังไทยมันมีแบบตลาดไปเลย กับศิลปะไปเลย อาจขาดสิ่งที่อยู่กึ่งกลาง สารคดีที่สนุกเข้าถึงแมสแต่ก็มีคุณค่าทางศิลปะ เรายังไม่มีคนทำสารคดีที่มาในเชิงวิชาการ เจอนัลลิสต์ สารคดีเมืองนอกมีเชิง investigate หรือเชิงวิชาการอย่างหนัง essay film คนทำหนังไทยสนใจศิลปะมากกว่าวิชาการลึกๆ แต่ส่วนหนึ่งประเทศไทยก็อาจมีข้อจำกัดเยอะ เจอตอที่อาจไปต่อไม่ได้แล้ว เป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่อยากเห็น

 

หมอนรถไฟ (Railway Sleepers)

คือ ภาพยนตร์สารคดีขนาดยาวเรื่องแรกของ สมพจน์ ชิตเกษรพงศ์ ใช้เวลาทำอยู่นานถึง 8 ปี ได้ฉายรอบเวิลด์ พรีเมียร์ที่ เทศกาลภาพยนตร์ปูซาน เมื่อปลายปี 2016 ตามมาด้วยการถูกคัดเลือกเข้าฉายในสายฟอรัม ของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน 2017

เกี่ยวกับการทำเสียงในเรื่องหมอนรถไฟ

หมอนรถไฟถือเป็นหนังสารคดีที่ทำเรื่องเสียงค่อนข้างดีมาก สมพจน์เล่าว่าใช้ไมค์ช็อตกัน หรือบางทีให้ผู้ช่วยช่วยถือไมค์บูมที่ต่อกับหัวกล้องบ้าง เสียงที่ลมตีก็มีเยอะ เสียงที่โอเคก็มี แต่ขั้นโพสต์ใช้เวลาตัดต่อและปรับแต่งเรื่องเสียงนานมาก

ทำไมเลือกรถไฟ

สมพจน์เล่าว่า เกิดจากตอนไปเรียนอเมริกาต้องขึ้นรถไฟไปเรียน เราเห็นเด็กถามพ่อ เราฟังไม่รู้เรื่องแต่เข้าใจว่าเขาถามอะไร เด็กมีความซื่อในการถาม ส่วนรถไฟมันพาเราไปทุกที่ในประเทศไทย ไอเดียตอนแรกของหนังจะถ่ายสิบครอบครัว สลับกับภาพวิว พอมาถ่ายจริงก็รู้สึกมีอย่างอื่นน่าสนใจไม่ใช่แค่เด็ก และอาจารย์เราเคยบอกว่านักศึกษาข้อเสียคือไม่มีเงิน แต่ข้อดีคือมีเวลา

ซีนทดลองตอนท้าย

สมพจน์กล่าวว่า พยายามหาวิธีเล่าประวัติศาสตร์รถไฟไทย รู้สึกมันสำคัญแต่ไม่แน่ใจว่าจะเอาไปอยู่ในหนังอย่างไร เราไม่อยากให้เป็นสารคดีประเภทการรถไฟไทยเกิดขึ้นเมื่อไหร่แบบมีเสียงบรรยาย

ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งที่เขียนโดยวิศวกรอังกฤษที่ทำงานการรถไฟไทยมาตั้งแต่เริ่มต้น เล่าด้วยคนจริงๆ เราอยากเอาคนๆนี้เข้าไปอยู่ในรถไฟ วิธีการคือเราก็สร้างเขาขึ้นมา แต่เราเอาเขาไปรวมกับผู้โดยสารทั้งหมด และให้เขาพูดสิ่งที่เรารีเสิร์ชขึ้นมา อยากเล่นกับฟอร์มของความเป็นสารคดีเป็นความสนใจส่วนตัว การที่มันเป็นความฝันๆ หลอนมันเป็นประวัติศาตร์ในแง่มุมของเรา

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บทเพลงการเมือง อาวุธทางปัญญาของนักรบวัฒนธรรมล้านนา: รำลึก 16 ปีการจากไปของจรัล มโนเพ็ชร

Posted: 29 Aug 2017 01:06 AM PDT

3 กันยายน 2560 เป็นวันครบรอบการเสียชีวิตครบ 16 ปี ของราชาโฟล์คซองคำเมือง คีตกวีล้านนา คีตกรของแผ่นดิน นกป่า นักรบวัฒนธรรม เพชรล้านนา ฯลฯ หลายต่อหลายคำเรียกขานเขาผู้นี้ "จรัล มโนเพ็ชร"

บทเพลงของเขาหลายต่อหลายเพลง ผลงานของเขาหลากหลายแขนง ถูกจารึกเป็นตำนานหน้าหนึ่งของวงการศิลปิน แม้ว่านักฟังเพลงทั้งหลายมักได้ยินเพลงของเขาที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวบนแผ่นดินล้านนา เป็นภาษาคำเมืองอันไพเราะ ละเมียดละไมในดนตรีที่หวานหู ชวนฟัง ทว่าเขาไม่เพียงแต่งเพลงที่เกี่ยวกับล้านนาเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้สร้างสรรค์ผลงานเพลงที่เกี่ยวกับด้านอื่น ๆ ด้วย

เนื่องในวาระครบรอบ 16 ปีการจากไปของเขา ซึ่งเป็นศิลปินในดวงใจของผู้เขียน และคงเป็นศิลปินในดวงใจของใครต่อใครมากมาย ผู้เขียนจึงอยากจะกล่าวถึงบทเพลงของเขาในอีกแง่มุมที่เกี่ยวกับด้านอื่น ๆ ที่มิใช่เรื่องราวบนแผ่นดินล้านนา เพื่อเป็นการรำลึกถึงเขาผู้นี้ แม้กายจากไป แต่ฝากผลงานไว้เป็นที่ประจักษ์ ประทับใจ มิรู้ลืม

หากมองในแง่ของอาวุธทางปัญญานั้น บทเพลง บทกวี หนังสือ ถือเป็นเครื่องมือทางวัฒนธรรมที่อาจส่งผลต่อความคิด ความรู้สึกของผู้ฟังได้ไม่มากก็น้อย แม้ว่าอ้ายจรัล มโนเพ็ชร จะเขียนเพลงที่เกี่ยวกับเรื่องราวบนแผ่นดินล้านนาไว้มากมาย เป็นการติดอาวุธทางวัฒนธรรม ทางปัญญาให้ผู้ฟังได้มีความรู้เข้าใจในสังคม วัฒนธรรมล้านนามากขึ้น แต่อ้ายจรัล ก็หาได้ละเลยเรื่องราวทางสังคม การเมือง เพราะในฐานะที่เป็นศิลปิน ผู้ส่งผ่านความคิดเรื่องราว ผ่านเนื้อหาในบทเพลงนั้น อ้ายจรัลก็ได้สร้างสรรค์บทเพลงที่เกี่ยวกับการเมืองไว้ด้วย

หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ผลงานเพลงที่ชื่อว่า "ใบไม้ไหว" ได้ถูกประพันธ์ขึ้น ในอัลบั้มเพลงชุด "อื่อ...จา...จา" ประมาณปลายปี 2526 เนื้อเพลงบางส่วนว่าไว้ดังนี้

"...เพียงแค่มือไม่ยอมจับต้องปืน คงมีทางคืนดีกันได้
เพียงแค่ยอมยับยั้ง ชั่งจิตใจ โดยไม่หลงใหลอำนาจตน
แล้วจะโทษใคร แล้วสิ่งไหนคือเหตุผล
ตายไปทีละคน เพียงคนสองคน
ฆ่าหลายคน ฆ่ากันอีกแล้ว
หรือไม่ตกใจ ไม่หวั่นไหว ไม่ผวา
ควรหรือทำเฉยชา หรือคิดว่าเพียงแค่ใบไม้ไหว"

สิเหร่ นักเขียน นักวิจารณ์เพลง เคยสัมภาษณ์อ้ายจรัล เกี่ยวกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเพลงใบไม้ไหว บทสัมภาษณ์ดังกล่าวตีพิมพ์ครั้งแรก ในหนังสือ "อื่อ...จา...จา" (เพื่อนเดินทาง กันยายน 2527) และพิมพ์ครั้งที่สองในหนังสือ "คือรางวัลแด่ความฝัน: จรัล มโนเพ็ชร" (สำนักพิมพ์ใบไม้ป่า กันยายน 2551) ซึ่งอ้ายจรัลได้สะท้อนถึงบรรยากาศของเชียงใหม่ขณะนั้น   บทบาทของศิลปินเพลง รวมถึงความรู้สึกต่อเหตุการณ์ดังกล่าวว่า

"สภาพทั่วไปที่เชียงใหม่ มีการชุมนุมที่สวนสาธารณะ ประตูท่าแพ มีการอธิบายโจมตีรัฐบาลชุดนั้น ประชาชนต่างก็สนับสนุนกันมาก...ผมอยู่ปี 5 พอดี เริ่มศึกษาด้านการเมืองเพราะอยู่ในกลุ่มนักศึกษาที่สนใจเรื่องนี้ ผมเองอยากจะรู้เรื่องราวของการเมืองว่าเป็นอย่างไร เริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับลัทธิการปกครอง การเมือง พออ่านแล้วก็เกิดความเห็นด้วย คิดว่าควรจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข อะไรต่อมิอะไรได้แล้ว แต่ที่ไม่เห็นด้วยก็เกี่ยวกับความรุนแรง ผมไม่ชอบความรุนแรงอย่างเด็ดขาด ทางด้านกิจกรรมที่ผมสามารถช่วยได้ ก็มีเพลง และเขียนรูป เขียนโปสเตอร์...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (ช่วงเช้าวันที่ 14 ตุลาคม 2516) การประชาสัมพันธ์ที่ออกข่าว ไม่ตรงความเป็นจริง ผมรู้สึกเสียใจมาก โดยส่วนตัวแล้ว หากตัวเองสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ ก็จะร่วมทำทันที เพียงรู้สึกอย่างหนึ่งว่า ฝ่ายรัฐบาลเขาทำไม่ถูก...ส่วนตัวผมเสียใจมากกับการฆ่ากันครั้งนั้น ผมนอนร้องไห้กับเพื่อน ๆ เมื่อได้ข่าวร้ายนั้น..."

นี่คือ บทบาท และความรู้สึกส่วนหนึ่งของศิลปินเพลงล้านนา ราชาโฟล์คซองคำเมืองผู้ยิ่งใหญ่ต่อเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และทำให้หลายปีต่อมา ภายหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว เขาจึงเขียนเพลง "ใบไม้ไหว" ขึ้นมา ซึ่งจากบทสัมภาษณ์เดียวกันนี้ เขายังได้แสดงความคิดเกี่ยวกับการทำเพลงที่นอกเหนือไปจากเพลงคำเมืองว่า "... ผมมีความคิดมากขึ้น คิดว่าดนตรี ไม่ใช่ทำให้เรามีความสุขเพียงอย่างเดียว แต่เนื้อหาของบทเพลง ควรมีอิทธิพลต่อผู้ฟังด้วย..." ในแง่นี้จึงถือได้ว่าบทเพลงคืออาวุธทางปัญญา คืออาวุธทางวัฒนธรรม นักรบวัฒนธรรมล้านนาผู้นี้มิเพียงแต่ติดอาวุธทางปัญญา ในเรื่องราว เรื่องเล่าเกี่ยวกับแผ่นดิน ถิ่นเหนือ แต่ได้ติดอาวุธทางปัญญาในเรื่องความคิด สังคม การเมือง ผ่านมาทางบทเพลงของเขาด้วย

ก่อนที่จะจบบทความชิ้นนี้ ผู้เขียนขอนำบทกวีของราชาโฟล์คซองคำเมืองผู้นี้ ที่มีเนื้อหาแฝงความคิดทางการเมือง ที่เขาเคยแต่งไว้มานำเสนอ ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร "มติชน สุดสัปดาห์" ประจำอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม 2527 ปีที่ 7  ฉบับที่ 2339 (3/204) บทกวีนี้ชื่อว่า "เขา"

ครั้งหนึ่งเขาเคยสว่างไสว
เขาปลูกดอกไม้ทุกหนแห่ง
ครั้งหนึ่งเขาเคยแข็งแกร่ง
ผาดแผลงไม่พรั่นหวั่นใคร

ดอกไม้ที่เขาปลูกฝัง
เปล่งปลั่งสุดสวยสดใส
แต่เขาเล่าหายไปไหน
ให้ใครต่อใครอาวรณ์

บัดนี้แสงแดดแผดกล้า
อสุราเผ่นผาดสลอน
บดดินบังฟ้าเบียดบอน
ดัสกรกรีฑามากราย

ดอกไม้ที่เขาปลูกไว้
กึ่งใบเสื่อมโทรมสลาย
รอวันดินถมล้มตาย
เขาหายไปไหนไม่มา

หรือเขาไม่เคยห่วงหวง
หรือควงข้างใครอยู่หนา
หรือลืมแล้วหรือสัญญา
บุปผาร่วงโรยโหยครวญ

ทิ้งคนให้คอยชะเง้อ
ทิ้งเกลอที่เคยปลอบขวัญ
ทิ้งไฟไม่เหลือเถ้าควัน
สมควรแล้วฤา...วีรชน
 
จรัล มโนเพ็ชร

ปีนี้ ครบรอบ 16 ปี การจากไปของอ้าย แม้กายจากไปแต่ผลงานที่ฝากไว้มากมายเหลือคณา คิดถึงอ้ายจรัล มโนเพ็ชร เพชรล้านนา เสมอไป


เอกสารประกอบการเขียน
สิเหร่ (เรียบเรียง). (2551). คือรางวัลแด่ความฝัน: จรัล มโนเพ็ชร" (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ใบไม้ป่า.
 

เกี่ยวกับผู้เขียน: พงศธร นัทธีประทุม เป็นอาจารย์ผู้สอนประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สภาผู้แทนฯ เมียนมาร์ปัดข้อเสนอเร่งด่วนกรณีเหตุจู่โจมที่ยะไข่ ยอดตายนับร้อย พลัดถิ่นนับหมื่น

Posted: 28 Aug 2017 11:58 PM PDT

ความรุนแรงในรัฐยะไข่จากเหตุจู่โจมโดยกลุ่มมุสลิมโรฮิงญาหัวรุนแรงทวีความระอุหลังรัฐบาลตอบโต้ด้วยกำลังทหาร อัลจาซีราระบุ ประชาชนเสียชีวิตนับร้อย พลัดถิ่นอีกนับหมื่น ล่าสุดสภาผู้แทนราษฎรปัดข้อเสนอเร่งด่วนในกรณีการจู่โจม ผู้แทนจากพรรคแห่งชาติอารากันหนุนประกาศภาวะฉุกเฉินบนหนึ่งในพื้นที่ปะทะ อัดรัฐบาลพรรค NLD ไม่จริงจัง หนุนทหารขึ้นปกครองแทนพลเรือน

 
บังคลาเทศผลักดันผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญากลับ แม้จะถูกกระทำรุนแรงในเมียนมาร์ (ที่มา: แฟ้มภาพ)
 
สืบเนื่องจากคืนวันที่ 24 และเช้าวันที่ 25 ส.ค. ที่ผ่านมาในประเทศเมียนมาร์ เกิดเหตุกลุ่มกองกำลังติดอาวุธชาวมุสลิมโจมตีจุดตรวจบริเวณชายแดน สถานีตำรวจและฐานทัพในเขตชุมชน  Maungdaw, Buthidaung และ Rathedaung บริเวณภาคเหนือของรัฐยะไข่ตามการรายงานของ พล.อ.อาวุโสและผู้บัญชาการทหารสูงสุด มินอ่องเหลง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตอย่างน้อย 10 นาย ผู้ที่คาดว่าเป็นกลุ่มติดอาวุธเสียชีวิต 15 ราย และมีอาวุธปืน 5 กระบอกถูกผู้ก่อเหตุขโมยไป 
 
เมื่อวานนี้ (28 ส.ค.) สำนักข่าว อิระวดี ของเมียนมาร์ รายงานว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือสภาล่าง อูวินมิน ปัดข้อเสนอเร่งด่วนจากพรรคฝ่ายค้าน USDP (Union Solidarity and Development Party) ในประเด็นรัฐยะไข่
 
อูลาธายวิน สมาชิกสภานิติบัญญัติของพรรคยูเอสดีพี ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกองเสนาธิการทหารบก เรือ อากาศแห่งกองทัพเมียนมาร์พยายามผลักดันข้อเสนอให้ทางสภาล่างมีมาตรการประณาม "การกระทำอย่างทารุณเยี่ยงผู้ก่อการร้ายในเมือง Maungdaw ที่เป็นภัยกับอธิปไตยแห่งรัฐ หลักนิติธรรมและความมั่นคงในภูมิภาค" อูอองทองซเว สมาชิกสภานิติบัญญัติจากพรรคแห่งชาติอารากัน หรือเอเอ็นพี ที่เป็นตัวแทนของเขตชุมชน Buthidaung หนึ่งในพื้นที่เกิดเหตุกล่าวกับอิระวดีว่าตนมีแผนที่จะสนับสนุนข้อเสนอดังกล่าว แต่ว่าประธานรัฐสภาไม่อนุญาตให้ข้อเสนอดังกล่าวเข้ารับการพิจารณา
 
อูอองทองซเว แนะนำให้รัฐสภาประกาศภาวะฉุกเฉินบนพื้นที่เขตชุมชน Maungdaw ทั้งยังระบุเพิ่มว่าควรให้มีการปกครองโดยทหารแทนการปกครองโดยพลเรือน และรัฐบาลพรรค NLD หรือ National League for Democracy ไม่ได้จัดการกับความไร้เสถียรภาพในเมือง Maungdaw ได้ดีพอ "มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ภาวะฉุกเฉินและการปกครองโดยทหาร ไม่มีการปกครองโดยพลเรือนในตอนนี้เพราะว่ามันได้พังทลายลงไปพร้อมกับหลักนิติธรรม" อูอองทองซเว กล่าว 

กองกำลังอารากันโรฮิงญาออกมาแสดงความรับผิดชอบ ทหารตอบโต้เข้าจู่โจมชุมชน ยอดตายนับร้อย พลัดถิ่นนับหมื่น 

การโจมตีครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นถือเป็นการโจมตีจากกลุ่มมุสลิมชาวโรฮิงญาครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่การโจมตีจุดตรวจชายแดนเมื่อเดือน ต.ค. ปี 2559 หลังการโจมตี กลุ่มกองกำลัง  Arakan Rohingya Salvation Army (ARSA) ออกมาแสดงความรับผิดชอบการโจมตีดังกล่าวโดยระบุว่า การโจมตีเป็นผลจากการปิดล้อมเส้นทางขนส่งอาหารและความรุนแรงจากทหารที่มีต่อชาวโรฮิงญาอย่างต่อเนื่อง และจะสู่ต่อไปจนกว่าข้อตกลงด้านสิทธิพลเมืองที่ชาวโรฮิงญาเรียกร้องกับรัฐบาลเมียนมาจะได้รับการตอบรับ
 
การโจมตีเกิดขึ้นภายหลังคณะกรรมการที่ปรึกษารัฐยะไข่ที่นำโดยอดีตเลขาธิการสหประชาชาติ โคฟี อันนัน ส่งรายงานเสนอแนวทางแก้ไขความขัดแย้งในรัฐยะไข่ที่ให้คำแนะนำแก่ทางการเมียนมาร์ให้ทหารออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเร่งให้เกิดแผนการสร้างพลเมืองโดยเร็ว
 
จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในคืนวันพฤหัสบดีและเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้รัฐบาลเมียนมาระบุให้กลุ่มกองกำลัง ARSA เป็นองค์กรผู้ก่อการร้ายไปแล้ว สำนักข่าวอัลจาซีราของกาตาร์ รายงานว่าทหารได้ประกาศสงครามกับการก่อการร้ายโดยปิดล้อมเมือง Maungdaw Buthidaung และ Rathedaung ที่มีประชากรอาศัยอยู่รวมกันราว 8 แสนคนและประกาศเคอร์ฟิวตั้งแต่ 18.00 - 6.00 น. ทางการเมียนมาระบุว่ามีผู้เสียชีวิตหลังเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเช้าวันศุกร์กว่า 100 คนแล้ว ทั้งนี้ ผู้สนับสนุนชาวโรฮิงญากลับบอกกับอัลจาซีราว่ามีชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมเสียชีวิตกว่า 800 คน ในจำนวนนี้ได้รวมไปถึงสตรีและเด็กด้วย 
 
อาซิซ ข่าน ผู้พำนักอยู่ในเขตชุมชน Maungdaw กล่าวว่าทหารเข้าจู่โจมหมู่บ้านในเช้าวันศุกร์และเริ่ม "ยิงบ้านและรถของผู้คนอย่างไม่เจาะจง"
 
"กองกำลังของรัฐบาลและตำรวจชายแดนฆ่าคนในหมู่บ้านไปอย่างน้อย 11 คน พวกเขามาถึงแล้วก็ยิงทุกอย่างที่เคลื่อนไหว ทหารบางคนได้ทำการวางเพลิงด้วย"
 
"ในหมู่คนที่ตายมีผู้หญิงและเด็ก" เขากล่าว "แม้แต่เด็กก็ไม่ได้รับการละเว้น"
 
ในขณะที่โรเนซาน-ลวิน นักกิจกรรมและบล็กเกอร์ชาวโรฮิงญาในยุโรปได้ข้อมูลจากเครือข่ายในพื้นที่ว่า การโจมตีดังกล่าวทำให้ประชาชนกว่า 5,000 - 10,000 คน ต้องพลัดถิ่นที่อยู่ มัสยิดและมาดราซาส หรือสถาบันศาสนาอิสลามถูกเผาทำลาย และมีชาวมุสลิมหลายหมื่นคนขาดแคลนอาหารและที่อยู่ 
 
เหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อปี  2559 กลุ่ม "การเคลื่อนไหวแห่งศรัทธา" หรือ Harakah al-Yaqin ซึ่งเป็นชื่อเดิมของกลุ่ม ARSA ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อการโจมตีจุดตรวจชายแดนและสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจไป 9 นาย หลังเหตุการณ์ดังกล่าว ตำรวจและทหารตอบโต้ด้วยปฏิบัติการกวาดล้างในพื้นที่ตอนเหนือของรัฐยะไข่ เป็นผลให้ชาวโรฮิงญาถึง 7 หมื่นคนต้องอพยพไปประเทศบังคลาเทศ ปฏิบัติการกวาดล้างดังกล่าวได้รับการกล่าวหาจากองค์กรสิทธิมนุษยชนจากต่างประเทศว่าเกิดการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม การทรมานและการข่มขืน และท่ามกลางความรุนแรง รัฐบาลเมียนมายังคงปฏิเสธให้วีซาเจ้าหน้าที่ค้นหาข้อเท็จจริงจากสหประชาชาติ
 
แปลและเรียบเรียงจาก
 
The Irrawady, Urgent Rakhine Proposal Blocked in Lower House, August 28, 2017
The Irrawady, Muslim Militants Stage Major Attack in Rakhine, August 25, 2017
 
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชวนมองเลือกตั้งเยอรมนีปลายเดือน ก.ย. กับระบบเลือกตั้งแบบผสม

Posted: 28 Aug 2017 10:28 PM PDT

เดอะการ์เดียนนำเสนอบทวิเคราะห์การเลือกตั้งในเยอรมนี ที่จะมีขึ้นในเดือน ก.ย. นี้ ชี้แม้พรรคขวากลางของ "ขุ่นแม่" แองเกลา แมร์เคิล จะยังได้รับความนิยมสูง แต่ระบบการเลือกตั้ง และการจัดตั้งพรรคแนวร่วมอาจให้พรรคฝ่ายซ้ายมีโอกาสจัดตั้งแนวร่วมในสภา ขณะที่พรรคขวาจัดไม่มีใครอยากเป็นแนวร่วมรัฐบาลด้วยเลย

29 ส.ค. 2560 เยอรมนีกำลังจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 ก.ย. ที่จะถึงนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้นอกจากจะได้รัฐสภาเยอรมนีที่เรียกว่า "บุนเดสถาก" ใหม่แล้วยังจะเป็นการตัดสินว่า แองเกลา แมร์เคิล ผู้นำหญิงที่ได้รับฉายาว่า "ขุ่นแม่" หรือ "มุตติ" (Mutti) แห่งเยอรมนีจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่ 4 หรือไม่

แองเกลา แมร์เคิล ถูกมองว่าเป็นผู้นำประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของยุโรปนับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา อีกทั้งยังถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางพลังอำนาจแห่งเสถียรภาพของภูมิภาคยุโรป ท่ามกลางยุคสมัยที่การเมืองเต็มไปด้วยข้อถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์

เดอะการ์เดียนนำเสนอบทวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ระบุว่า ความนิยมของแมร์เคิลกลับมาดีขึ้นหลังจากที่เคยลดลงในช่วงวิกฤตผู้ลี้ภัยยุโรปปี 2558 จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และประเด็นน่าตื่นตัวในต่างประเทศอย่างการโหวตออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักรและการที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในสหรัฐฯ โดยมีผู้หวังว่าถ้าหากแมร์เคิลจากพรรคคริสเตียนเดโมแครตยูเนียนหรือซีดียู (CDU) ชนะการเลือกตั้งก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ดีหลังจากที่เอ็มมานูเอล มาครง นักปฏิรูปชนะการเลือกตั้งฝรั่งเศส อาจจะเปิดโอกาสให้มีการปฏิรูปสหภาพยุโรปซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นได้

ในแง่นี้แมร์เคิลยังดูมีแต้มต่อหลังจากการสำรวจโพลล์ล่าสุดพบว่า พรรคซีดียู มีคะแนนนิยมถึงร้อยละ 40 พรรคนี้ และพรรคคริสเตียนโซเชียลยูเนียนหรือซีเอสยู (CSU) ซึ่งเป็นพรรคส่วนย่อยในรัฐบาวาเรียได้รับความนิยมในหมู่คนสูงอายุ อยู่ในชนบท เป็นชาวคริสต์ และอนุรักษ์นิยม จุดยืนของพรรคซีดียูถูกมองว่าเป็นพรรคการเมืองที่มีแนวคิดแบบขวากลาง

อีกหนึ่งพรรคใหญ่ในเยอรมนีคือโซเชียลเดโมเครติคหรือเอสพีดี (SPD) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายซ้ายกลางที่มักจะกลายเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับซีดียูด้วย พรรคนี้มีฐานที่เหนียวแน่นในเยอรมนีตะวันตกที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรม พรรคนี้ในปัจจุบันนำโดยมาร์ติน ชูลซ์ ที่เคยเป็นประธานสภายุโรปมาก่อนในปี 2555-2560 และเพิ่งได้มาเป็นหัวหน้าพรรคเอสพีดีในปีนี้

อย่างไรก็ตามความนิยมของชูลส์หลังช่วงที่ออกจากสภายุโรปใหม่ๆ ก็เริ่มจางลงแล้ว พรรคเอสพีดีเสียฐานที่มั่นคะแนนเสียงสำคัญไปในการเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา โดยมีการประเมินว่าพวกเขาจะได้รับคะแนนเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปร้อยละ 23-25

พรรคเล็กๆ ล่ะ

ในะบบการเลือกตั้งของเยอรมนียังมีการกำหนดให้พรรคการเมืองต้องมีคะแนนเสียงอย่างน้อยร้อยละ 5 ถึงจะมีโอกาสได้ที่นั่งในสภาถ้าหากชนะการเลือกตั้งระดับเขตได้ ซึ่งมีพรรคเล็ก 4 พรรคที่ถูกประเมินว่ามีโอกาสจะได้รับคะแนนเสียเกินร้อยละ 5 รวมถึงพรรคฝ่ายซ้ายจัดที่ตั้งขึ้นในปี 2550 มีฐานเสียงหลักๆ อยู่เยอรมนีตะวันออก เป็นพรรคที่ไม่เคยเข้าเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และเป็นพรรคฝ่ายค้านมาโดยตลอด มีการประเมินว่าพรรคฝ่ายซ้ายจัดจะได้คะแนนเสียงในครั้งนี้ร้อยละ 9-10

อีก 3 พรรคคือพรรคฟรีเดโมแครตหรือเอฟดีพี (FDP) ที่เป็นสายสนับสนุนธุรกิจก็กำลังเติบโตขึ้นภายใต้ผู้นำพรรคคนใหม่คือคริสเตียน ลินด์เนอร์ มีการประเมินว่าน่าจะได้รับคะแนนเสียงร้อยละ 8-9 พรรคกรีนส์ของเยอรมนีก็มีฐานเสียงจากเมืองมหาวิทยาลัยทางฝั่งตะวันตก มีการประเมินว่าจะได้รับคะแนนเสียงร้อยละ 7-8 ซึ่งอ่อนกำลังลงมากเมื่อเทียบกับช่วงคริสตทศวรรษที่ 2000s ที่พวกเขาทำงานบริหารร่วมกับเอสดีพี ส่วนพรรคสายชาตินิยมกังขาต่ออียูอย่างเอเอฟดี (AfD) ที่มีแนวคิดต่อต้านผู้อพยพต่อต้านอิสลามก็ขยายตัวมากขึ้นและมีโอกาสได้เข้าสู่สภาเป็นครั้งแรก แต่มีการทะเลาะกันภายในพรรคและความนิยมลดลงจากร้อยละ 15 ตั้งแต่ช่วงวิกฤตผู้ลี้ภัยมาเป็นร้อยละ 8-9

ระบบเลือกตั้งของเยอรมนีเป็นอย่างไร

เยอรมนีเพิ่มปรับระบบการเลือกตั้งใหม่เมื่อไม่นานมานี้ซึ่งการ์เดียนระบุว่า "มีความซับซ้อนอย่างมหันต์" โดยการผสมกันระหว่างตัวแทนโดยตรงและตัวแทนแบบสัดส่วน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะต้องกาสองช่องในบัตรลงคะแนนเดียว กาแรกกาให้กับผู้สมัครในท้องถิ่น และกาที่สองให้กับพรรคการเมืองที่พวกเขาจะเลือก

คะแนนในการกาช่องแรกที่เรียกว่า "เอียสชติมเม" (Erststimme) จะนำไปใช้เลือกผู้แทนสภา 299 ที่นั่งจากแต่ละเขตเลือกตั้งคิดเป็นราวครึ่งหนึ่งของที่นั่งในสภาทั้งหมด 

ที่เหลือจะมีการจัดสรรจากคะแนนโหวตทั้งประเทศจากทุกพรรคที่ได้คะแนนร้อยละ 5 ขึ้นไปในการกาโหวตช่องที่สองที่เรียกว่า "ชไวต์ชติมเม" (Zweitstimme) นอกจากนี้การโหวตช่องที่สองยังจะนำมาคำนวนหาสัดส่วนที่นั่งในสภาที่พวกเขาควรได้รับ เช่น ถ้าพรรคหนึ่งได้รับคะแนนโหวตร้อยละ 25 พวกเขาก็ควรได้ที่นั่งในสภาร้อยละ 25

แต่ถ้าหากว่าเกิดกรณีที่การโหวตช่องที่ 1 ทำให้บางพรรคได้ ส.ส. มากเกินกว่าสัดส่วนในการโหวตช่องที่ 2 ก็จะมีการชดเชยด้วยการให้พรรคอื่นๆ ได้ที่นั่งในสภาเพิ่มเติม ทำให้รัฐสภาบุนเดสถากของเยอรมนี ซึ่งอาจจะทำให้ที่นั่งในสภาขยายจาก 598 ที่นั่งออกไปมากสุดถึง 800 ที่นั่ง (ในปัจจุบันมีผู้แทนอยู่ 631 ที่นั่ง)

หลังจากเลือกตั้งและนับผลเสร็จแล้วหลังจากนั้นก็จะมีการจัดตั้งพรรคแนวร่วมรัฐบาล ต่อด้วยการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีโดยประธานาธิบดี ซึ่งตำแหน่งประธานาธิบดีในเยอรมนีส่วนใหญ่จะมีบทบาทแค่ในเชิงพิธีการเท่านั้น ส่วนใหญ่ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งมักจะเป็นหัวหน้าพรรคที่ใหญ่ที่สุดในสภาซึ่งจะได้รับการโหวตลงคะแนนลับผ่านสภาเมื่อยืนยันผู้เป็นนายกอีกครั้ง

แต่ละพรรคมีจุดยืนอย่างไร

เดอะการ์เดียนระบุว่า แองเกลา แมร์เคิล มีภาพลักษณ์เป็นที่เคารพและน่าเชื่อถือในความเป็นผู้นำโลกและผู้นำทางเศรษฐกิจ ก่อนหน้านี้เธอมีนโยบายแบบที่ไม่คิดว่าเธอจะทำคือการรับผู้ลี้ภัยและผู้อพยพเข้าประเทศราว 900,000 คนในปี 2558 ทำให้เธอเสียการสนับสนุนจากฐานเสียงไปบางส่วน แต่ก็อาจจะได้รับคะแนนเสียงมากขึ้นจากคนหนุ่มสาวบางกลุ่ม ในเรื่องความมั่นคงแม้จะเคยมีเหตุโจมตีด้วยการขับรถพุ่งชนคนในกรุงเบอร์ลินเมื่อต้นปีที่ผ่านมาแต่ในตอนนี้แมร์เคิลก็กลับมาได้รับความนิยมแล้ว

ในด้านเศรษฐกิจนั้นแมร์เคิลสัญญาว่าจะให้มีการปรับลดภาษีและทำให้การจ้างงานอย่างเต็มที่ภายในปี 2568 ส่วนพรรคซ้ายกลางเอสพีดีเน้นที่การกระจายความมั่งคั่งและประเด็นความเป็นธรรมในสังคม นอกจากนี้ยังต่อต้านการเพิ่มงบระมาณกลาโหมให้นาโตจากร้อยละ 2 ของจีดีพี ขณะที่ซ๊ดียูสนับสนุนการเพิ่มงบประมาณดังกล่าว

พรรคฝ่ายซ้ายจัดของเยอรมนีต้องการให้มีการกำกับดูแลตลาดมากขึ้นและปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ พรรคสนับสนุนกลุ่มธุรกิจอย่างเอฟดีพีมุ่งจะปรับลดภาษีและเพิ่มบูรณภาพกับอียูมากขึ้น ส่วนพรรคฝ่ายขวาจัดอย่างเอเอฟดีเน้นแต่ที่เรื่องอนุรักษ์ "ประเพณี" แบบเยอรมนี และมีมาตรการต่อต้านผู้อพยพ

แนวโน้มการจัดตั้งพรรครัฐบาล

เดอะการ์เดียนประเมินว่าในทางการเมืองแล้วพรรคซีดียูอยากได้แนวร่วมเป็นพรรคเอฟดีพีที่เป็นสายปรับลดภาษีเหมือนกัน ซึ่งพรรคแนวร่วมเช่นนี้เคยปกครองเยอรมนีมานาน 16 ปีในสมัย เฮลมุท โคห์ล แต่จากโพลแล้วการตั้งแนวร่วมรัฐบาลสองพรรคนี้อาจจะทำให้ไม่ได้เสียงข้างมากในสภา 

ฝ่ายพรรคซ้ายกลางเอสพีดีก็มีโอกาสเป็นแนวร่วมกับพรรคกรีนส์แต่ก็มีโอกาสน้อยที่จะได้ที่นั่งรวมกันเกิดครึ่งหนึ่ง และถ้าหากจะรวมเอาพรรคเอฟดีพีไปด้วยก็อาจจะต้องแสวงหาการยอมรับจากพรรคกรีนส์ด้วย ขณะเดียวกันถ้าหากซีดียูได้คะแนนเสียงน้อยกว่าที่คาดไว้ก็มีโอกาสที่ซ้ายกลางจะจัดตั้งพรรคแนวร่วมกับซ้ายจัดและพรรคกรีนส์ได้ซึ่งในตอนนี้เป็นกลุ่มพรรคแนวร่วมสภาปกครองกรุงเบอร์ลิน

ถึงแม้ทั้งสองพรรคอยากจะจับมือกับพรรคเล็กอื่นๆ ที่มีแนวทางใกล้เคียงกันมากเพียงใด แต่ประชาชนผู้เลือกตั้งในเยอรมนีคงเลือกผู้แทนออกมาในแบบที่เอื้อให้เกิด "พรรคแนวร่วมใหญ่" คือขวากลางซีดียูกับซ้ายกลางเอสพีดีจับมือเป็นพรรคแนวร่วมกันอีกครั้ง แม้จะขัดใจแต่ก็จะกลายเป็นแนวร่วมทางการเมืองด้วยความจำเป็น

แต่ที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ ไม่มีพรรคใดเลยที่อยากเป็นแนวร่วมกับขวาจัดอย่างเอเอฟดี

 

เรียบเรียงจาก

Germany's general election: all you need to know, The Guardian, 24-08-2017

https://www.theguardian.com/world/2017/aug/24/germanys-general-election-all-you-need-to-know

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

https://en.wikipedia.org/wiki/Electoral_system_of_Germany

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เครือข่ายคณาจารย์-ศิษย์เก่าไทยศึกษาจุฬาฯ เรียกร้องกองทัพยุติคดี 5 ผู้ร่วมงานไทยศึกษา

Posted: 28 Aug 2017 06:31 PM PDT

เครือข่ายนักวิชาการ-ศิลปิน ศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบัน และผู้อำนวยการศูนย์ไทยศึกษาจุฬาฯ กังวลกรณีกองกำลังรักษาความสงบฯ/ตำรวจเชียงใหม่- ดำเนินคดีพลเมือง-นักวิชาการ 5 รายข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. 3/2558 เรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดีและข่มขู่คุกคามนักวิชาการทุกรูปแบบ

29 ส.ค. 2560 เมื่อวานนี้ (28 ส.ค.) คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ และเครือข่ายนักวิชาการและศิลปินเพื่อนไทยศึกษา ตลอดจนนิสิตปัจจุบันและศิษย์เก่าของศูนย์ไทยศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 42 ราย ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนพลเมือง-นักวิชาการที่ร่วมงานไทยศึกษาครั้งที่ 13 (ICTS13) ที่ถูกกองกำลังรักษาความสงบฯ เชียงใหม่ ดำเนินคดีข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. 3/2558 โดยเรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดีและข่มขู่นักวิชาการทุกรูปแบบ

"ถ้าแม้นว่าประเทศแห่งนี้ไม่อาจแม้แต่จะจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติในศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องประเทศตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องเกิดเหตุจับกุมตั้งข้อหาและข่มขู่คุกคามคณะผู้จัดงานได้แล้ว จะยังมีเสรีภาพทางวิชาการใดๆ เหลืออยู่ให้ชาวต่างชาติเชื่อมั่นได้หรือไม่หากแม้ว่าเขายังคิดจะมาแลกเปลี่ยนทางวิชาการในศาสตร์ใดๆ ในประเทศไทยอีกในอนาคต?" แถลงการณ์ตอนหนึ่งระบุ

โดยรายละเอียดแถลงการณ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมทั้งรายชื่อแนบท้ายแถลงการณ์มีดังนี้

000

คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ และเครือข่ายนักวิชาการและศิลปินเพื่อนไทยศึกษา ตลอดจนนิสิตปัจจุบันและศิษย์เก่าของศูนย์ไทยศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พวกเรารู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับการแจ้งความดำเนินคดีกับนักวิชาการ นักศึกษา และนักวิชาการอิสระทั้งห้าคน อันสืบเนื่องมาจากงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านไทยศึกษาครั้งที่ 13 การที่ ดร. ชยันต์ วรรธนะภูติ (อาจารย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่), นายชัยพงษ์ สำเนียง (นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) นายธีรมล บัวงาม (นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) นายนลธวัช มะชัย (นักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) และนางภัควดี วีระภาสพงษ์ (นักแปลและนักวิชาการอิสระ) ถูกแจ้งข้อหาชุมนุมทางการเมืองนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นการละเมิดเสรีภาพทางวิชาการอย่างร้ายแรง ยังนับเป็นการส่งสัญญาณอันตรายจากรัฐบาลไทยไปสู่วงวิชาการนานาชาติอีกด้วย

ในนามผู้อำนวยการศูนย์ คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ และเครือข่ายนักวิชาการและศิลปินเพื่อนไทยศึกษา ตลอดจนนิสิตปัจจุบันและศิษย์เก่าของศูนย์ไทยศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พวกเรารู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับการแจ้งความดำเนินคดีกับนักวิชาการ นักศึกษา และนักวิชาการอิสระทั้งห้าคน อันสืบเนื่องมาจากงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านไทยศึกษาครั้งที่ 13 การที่ ดร. ชยันต์ วรรธนะภูติ (อาจารย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่), นายชัยพงษ์ สำเนียง (นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) นายธีรมล บัวงาม (นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) นายนลธวัช มะชัย (นักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) และนางภัควดี วีระภาสพงษ์ (นักแปลและนักวิชาการอิสระ) ถูกแจ้งข้อหาชุมนุมทางการเมืองนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นการละเมิดเสรีภาพทางวิชาการอย่างร้ายแรง ยังนับเป็นการส่งสัญญาณอันตรายจากรัฐบาลไทยไปสู่วงวิชาการนานาชาติอีกด้วย

ศูนย์ไทยศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนับเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นนำที่ผลิตและส่งเสริมงานวิจัยด้านไทยศึกษาในประเทศไทยอันเป็นจุดกำเนิดดั้งเดิมของศาสตร์แขนงนี้ ศูนย์ของเราได้เปิดทำการเรียนการสอนหลักสูตรปริญญาโทด้านไทยศึกษาที่ประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนานมากที่สุดหลักสูตรหนึ่ง และยังเป็นสถาบันเดียวในโลกที่เปิดการเรียนการสอนด้านไทยศึกษาในระดับปริญญาเอก เราได้มีส่วนร่วมสนับสนุนการจัดการประชุมวิชาการนานาชาติด้านไทยศึกษามานานหลายปีและได้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวมาหลายต่อหลายครั้ง ในการประชุมนานาชาติด้านไทยศึกษาครั้งที่ 13 ที่เชียงใหม่ครั้งล่าสุดนี้ก็ได้มีสมาชิกเครือข่ายของศูนย์ไทยศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยหลายคนเข้าร่วมการประชุมทั้งในฐานะผู้นำเสนอบทความ ผู้วิจารณ์บทความ และผู้สังเกตการณ์ที่ลงทะเบียนเข้าฟัง เรามีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าการประชุมดังกล่าวนี้เป็นประเพณีปฏิบัติทางวิชาการที่สำคัญ ซึ่งช่วยส่งเสริมและพัฒนางานวิจัยด้านไทยศึกษา อีกทั้งยังช่วยพัฒนาเครือข่ายความมือและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างวงวิชาการไทยกับนักวิชาการนานาชาติทั่วโลกที่ยังมีความสนใจในประเทศเล็กๆ ที่มีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาอันน่าทึ่งของเราอีกด้วย

การจะดำเนินการวิจัยที่มีคุณค่าทางวิชาการหรือจัดงานประชุมวิชาการที่จะเป็นที่ยอมรับเชื่อถือในศาสตร์ภูมิภาคศึกษาใดๆ โดยไม่ข้องเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยโดยสิ้นเชิง ในวงวิชาการไทยศึกษาก็เช่นเดียวกัน เราไม่อาจคงอยู่ต่อไปได้ในฐานะสถาบันการศึกษาที่ให้บริการทั้งด้านงานวิจัยและเปิดสอนหลักสูตรบัณฑิตศึกษาด้านไทยศึกษาที่ได้รับการยอมรับนับถือในระดับนานาชาติถ้าแม้นว่าเราจะต้องถูกจำกัดไม่ให้ข้องเกี่ยวกับประเด็นด้านการเมืองใดๆ ในการดำเนินการด้านวิชาการทุกรูปแบบของเรา การแจ้งความดำเนินคดีกับเพื่อนนักวิชาการของเราทั้งห้าคนอันสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการนานาชาติด้านไทยศึกษาครั้ง 13 ที่จังหวัดเชียงใหม่นั้นนับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่ออนาคตการคงอยู่ของศาสตร์ไทยศึกษา การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดความคลางแคลงสงสัยในวงวิชาการนานาชาติว่าการจัดประชุมวิชาการนานาชาติในประเทศไทยนั้นยังเป็นสิ่งที่เป็นไปได้อีกหรือไม่ในอนาคต ถ้าแม้นว่าประเทศแห่งนี้ไม่อาจแม้แต่จะจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติในศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องประเทศตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องเกิดเหตุจับกุมตั้งข้อหาและข่มขู่คุกคามคณะผู้จัดงานได้แล้ว จะยังมีเสรีภาพทางวิชาการใดๆ เหลืออยู่ให้ชาวต่างชาติเชื่อมั่นได้หรือไม่หากแม้ว่าเขายังคิดจะมาแลกเปลี่ยนทางวิชาการในศาสตร์ใดๆ ในประเทศไทยอีกในอนาคต?

ในนามแห่งอนาคตอันมืดมนของไทยศึกษาซึ่งเราห่วงกังวลกันหนักหนา ณ เวลานี้ เราขอประนามการกล่าวหาและดำเนินคดีกับ ดร. ชยันต์ วรรธนะภูติ, นายชัยพงษ์ สำเนียง, นายธีรมล บัวงาม, นายนลธวัช มะชัย, และนางภัควดี วีระภาสพงษ์ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภอ.ช้างเผือก จังหวัดเชียงใหม่ และขอเรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดีและการข่มขู่คุกคามกลุ่มนักวิชาการดังกล่าวในทุกรูปแบบทันที ศูนย์ไทยศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขอแสดงจุดยืนสนับสนุนเพื่อนนักวิชาการผู้ร่วมในงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านไทยศึกษาครั้งที่ 13 เราขอเป็นอีกเสียงหนึ่งที่เรียกร้องเสรีภาพทางวิชาการในสังคมไทย

000

Statement in support of Dr. Chayan Vaddhanaphuti & colleagues (ICTS13)
Thai Studies Center, Chulalongkorn University

As director, faculty, staff members and affiliates of the Thai Studies Center, as well as students, both current and graduates, from the MA and PhD programs in Thai Studies of Chulalongkorn University, we are deeply concerned by the charges brought upon our colleagues involved in the organization of the 13th International Conference on Thai Studies (ICTS13) by the Royal Thai Police. The charges of illegal political assembly filed against the five academics—Dr. Chayan Vaddhanaphuti, Chiang Mai University Lecturer, Chaipong Samnieng, PhD candidate, Teeramon Bua-ngam, graduate student, Nontawat Machai, undergraduate student, and Pakavadi Veerapaspong, independent writer and translator—are not only a gross infringement of academic freedom, but also send a seriously damaging message from the Thai government to the international academic community.

The Thai Studies Center, Chulalongkorn University, is a leading academic institution providing and promoting research in Thai Studies in the very home-base of this field of inquiry—Thailand. Our center operates one of the longest standing MA programs in Thai Studies and the one and only PhD program in Thai Studies in the world. We have continuously contributed to the International Conference on Thai Studies for many years and many conferences prior to the most recent one in Chiang Mai. Many members and former members of the Thai Studies Center, Chulalongkorn University, have also contributed to ICTS13, as paper presenters, discussants, and registered observers. We strongly believe that this conference is a crucial intellectual tradition that not only encourages and improves research in Thai Studies, but also enhances much needed connections and exchanges between the academic community in Thailand and the wider circle of academics around the world who remain interested in this relatively small yet greatly important and intriguing country and culture of ours.

It is impossible to conduct serious research or hold a respectable conference on a certain area studies without touching—however lightly—on matters relating to politics. Thai Studies is no exception. We cannot continue as an internationally recognized provider of research and graduate programs in Thai Studies if all aspects of Thai politics are to be omitted from all our academic endeavors. The persecution of our five colleagues in Chiang Mai related to ICTS13 endangers the very existence of the academic field of Thai Studies. It also casts foreboding doubts among the international academic community of any possible future international academic conferences in Thailand. If this country cannot even host a conference on its own area studies without its organizers being harassed and persecuted, what sort of academic freedom could foreigners expect should they even consider coming to Thailand for academic exchanges in any other field?

In the name of the dim future of Thai Studies that we are apprehensive of, we condemn the persecution of Dr. Chayan Vaddhanaphuti, Chaipong Samnieng, Teeramon Bua-ngam, Nontawat Machai, and Pakavadi Veerapaspong by the Royal Thai Police and demand that the intimidation and charges put forth against them be dropped immediately. The Thai Studies Center, Chulalongkorn University, unreservedly supports the stance of our colleagues at ICTS13. We, too, stand for academic freedom.

Chalermsiripinyorat, Rungrawee (Alumna, Thai Studies Program, Chulalongkorn University)
Chotirawe, Carina PhD (Assistant Professor, English, Chulalongkorn University)
Cummings, Robert PhD (Alumnus, Thai Studies Program, Chulalongkorn University)
Dania Maya (Lecturer, English, Mae Fah Luang University)
Dort, Lois Ann (Alumna, Thai Studies Program, Chulalongkorn University)
Farmer, Brett PhD (Lecturer, School of Communication and Creative Arts, Deakin University)
Fuhrmann, Arnika PhD (Assistant Professor, Asian Studies, Cornell University)
Han, Enze PhD (Professor, International Relations, Hong Kong University)
Hanwong, Lalita PhD (Lecturer, History, Kasetsart University)
Harrison, Rachel PhD (Professor, Southeast Asian Studies, SOAS University of London)

Hongladarom, Soraj PhD (Professor, Philosophy, Chulalongkorn University)
Kang, Dredge PhD (Assistant Professor, Anthropology, UC San Diego)
Kencana, Linda (PhD candidate, Thai Studies Program, Chulalongkorn University)
Kesboonchoo-Mead, Kullada PhD (Associate Professor, Political Science, Chulalongkorn U)
Khangpiboon, Kath (Independent scholar)
McDaniel, Justin PhD (Professor, Religious Studies, University of Pennsylvania)
Meedet, Aphirada (Openworlds Publishing House)
Nguyen, Tan Hoang PhD (Associate Professor, Literature, UC San Diego)
Nopsuwanchai, Tossapol (Alumnus, Thai Studies Program, Chulalongkorn University)
Pananond, Pavida PhD (Associate Professor, Thammasat Business School, Thammasat U)

Pansittivorakul, Thunska (Film Director, Silpathorn Award Winner 2007)
Pathmanand, Ukrist (Researcher, Asian Studies, Chulalongkorn University)
Pinthongvijayakul, Visisya PhD (Lecturer, Faculty of Humanities and Social Sciences, Chandrakasem Rajabhat University)
Ramirez, Pablo PhD (Alumnus, Thai Studies Program, Chulalongkorn University)
Ratanawaraha, Apiwat PhD (Assistant Professor, Urban&Regional Planning, Chulalongkorn U)
Reader, Matt (PhD candidate, Asian Studies, Cornell University)
Sinnott, Megan PhD (Associate Professor, Asian Studies, Georgia State University)
Siriyuvasak, Ubonrat PhD (Associate Professor, Communication Arts, Chulalongkorn U)
Thapchumpon, Naruemon PhD (Assistant Professor, Political Science, Chulalongkorn U)
Thien-orn, Panisara (Staff, Thai Studies Center, Chulalongkorn University)

Treerat, Nualnoi PhD (Associate Professor, Asian Studies, Chulalongkorn University)
Uabumrungjit, Chalida (Film Archivist)
Wangaeo, Surichai (Professor, Political Science, Chulalongkorn University)
Wantanasombat, Akkanut (Doctoral student, Thai Studies, Chulalongkorn University)
Waradhammo, Ven. Shine (Wat Khean Khet, Pathumthani)
Warning, Christina (Doctoral Student, Thai Studies Program, Chulalongkorn University)
Wongsurawat, Wasana PhD (Assistant Professor, History, Chulalongkorn University)
Worachaiyut, Siriwan PhD (Assistant Professor, Chinese, Thammasat University)

Yodhong, Chanan (PhD candidate, History, Thammasat University)
Yunyasit, Suphatmet PhD (Lecturer, Human Rights&Peace Studies, Mahidol University)
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น