โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

'ประยุทธ์' ไม่หวั่น ปชช.มาให้กำลังใจ 'ยิ่งลักษณ์' - ตร.เชิญ นปช.พะเยา ให้ข้อมูลเคลื่อนไหวเชียร์

Posted: 23 Aug 2017 09:13 AM PDT

ก่อนตัดสินคดีจำนำข้าวยิ่งลักษณ์ 'ประยุทธ์' ไม่หวั่น ปชช.มาให้กำลังใจ ผบช.ภาค 5 ตรวจยาเสพติดสถานีรถไฟเชียงใหม่ ปัดสกัดคนไปเชียร์ ตร.เชิญ นปช.พะเยา ให้ข้อมูลเคลื่อนไหวเชียร์ พร้อมเตือนให้หลีกเลี่ยง พร้อมคัดกรองรถผ่านแจ้งวัฒนะ แนะทางเลี่ยงบริเวณศาลฎีกาฯ วันตัดสิน

แฟ้มภาพ

23 ส.ค.2560 ความเคลื่อนไหวก่อนการตัดสินของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีโครงการรับจำนำข้าว ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วันที่ 25 ส.ค.นี้

ประยุทธ์ไม่หวั่น ปชช.มาให้กำลังใจ

วันนี้ (23 ส.ค.60) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า ว่า สั่งจับตา จนเจ็บตาไปหมดแล้ว (นายกเอามือมาจับตาตัวเองด้วย) เพราะสื่อถามถึงกรณีนี้มาหลายครั้งแล้ว ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องที่เสียเวลา เสียสมอง และเสียงบประมาณ โดยไม่ใช่เรื่อง

ต่อกรณีคำถามว่าเป็นห่วงสถานการณ์ในวันที่ 25 ส.ค.นี้ ที่ประชาชนจะเดินทางมาให้กำลังใจหรือไม่ นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่กังวล  เพราะเป็นเรื่องของประชาชนทั้งประเทศต้องช่วยกันรับมือ  หากเกิดอะไรขึ้น ประชาชนจะได้รับผลกระทบเอง ไม่ใช่ตนและรัฐบาล  ประชาชนจะต้องห่วงประชาชนด้วยกันเองด้วย เพราะรัฐบาลไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้อง และไม่ต้องการใช้กำลังหรือบังคับใช้กฎหมาย เพราะต้องการให้ประชาชนได้ห่วงตัวเอง

"แม้จะเคลื่อนไหวอย่างไร ก็คงไม่เปลี่ยนแปลงผลคำตัดสินได้ เพราะจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีใครทราบผลคำพิพากษา ขณะนี้องค์คณะผู้พิพากษาแต่ละคนมีเพียงคำพิพากษาส่วนตัว ซึ่งต้องนำมาร่วมกันในวันตัดสิน เพื่อทำออกมาเป็นคำพิพากษากลาง  แม้แต่ผมหรือใครก็ตาม ไม่มีใครรู้คำพิพากษาได้ ดังนั้น ขอให้ดูที่คำตัดสิน ซึ่งออกมาอย่างไร ก็มีกลไกลดำเนินการ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว 

ผบช.ภาค 5 ตรวจยาเสพติดสถานีรถไฟเชียงใหม่ ปัดสกัดคนไปเชียร์ยิ่งลักษณ์

ขณะที่วันเดียวกัน รายงานข่าวระบุว่า เมื่อเวลา 13.00 น. ที่สถานีรถไฟเชียงใหม่ พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธร (ผบช.) ภาค 5 เดินทางมาตรวจความเรียบร้อย โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 33 กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่ปิง ตำรวจรถไฟ และเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟ สนธิกำลังดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ของสถานีรถไฟ
 
พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ปฎิเสธว่า การเดินทางมาสถานีรถไฟครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการมาตรวจสอบประชาชนที่จะเดินทางไปให้กำลังใจยิ่งลักษณ์ ในวันที่ 25 ส.ค.นี้ แต่อย่างใด แต่มาตรวจดูเรื่องยาเสพติดเป็นหลัก เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการจับกุมผู้ต้องหาและยึดของกลางยาเสพติดได้จำนวนมาก อาทิ ยาบ้า ที่นาพูล 1.1 ล้านเม็ด อ.แม่สาย จ.เชียงราย 4 แสน และที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ อีก 1 แสนเม็ด ซึ่งจากการสอบสวนและขยายผลพบว่ารถไฟก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ขบวนการค้ายาเสพติดจะใช้เป็นช่องทางในการลำเลียงยาเสพติด จึงมาขอความร่วมมือกับนายสถานีรถไฟให้เพิ่มความเข้มงวดกวดขันมากขึ้น
สำหรับการเข้มงวดตรวจสอบประชาชนที่จะเดินทางไปให้กำลังใจอดีตนายกรัฐมนตรีในวันตัดสินคดีรับจำนำข้าว
 
พล.ต.ท.พูลทรัพย์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ก็ทำงานกันตามปกติ รัฐบาลก็ไม่ได้ปิดกั้น แต่ขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย เจ้าหน้าที่เองพยายามควบคุมดูแลให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย โดยได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงาน ให้หนักแน่น ใช้อดทนอดกลั้น ทำทุกอย่างภายใต้กฎหมายปกติที่ใช้กันอยู่เป็นพื้นฐานก่อน ส่วนด่านตรวจต่างๆก็เข้มงวดอยู่แล้วจะเห็นได้จากการสกัดกั้นยาเสพติดได้จำนวนมาก

ตร.เชิญ นปช.พะเยา ให้ข้อมูลเคลื่อนไหวเชียร์ พร้อมเตือนให้หลีกเลี่ยง

ศิริวัฒน์ จุปะมัดถา ผู้ประสานงานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พะเยา กล่าวว่า ช่วงเช้า ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจของ สภ.เมืองพะเยา ทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบมาหาตนที่บ้านถึงสองครั้ง โดยครั้งแรกเวลา 07.00 น. มาประมาณ 5 นาย สอบถามเรื่องการเดินทางเข้าร่วมให้กำลังนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 25 ส.ค.60 จากนั้นครั้งที่สองเวลาประมาณ 10.20 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.เมืองพะเยา จำนวน 5-6 นาย ครั้งนี้มาขอเชิญตัวไปให้ข้อมูลที่ สภ.เมืองพะเยา โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งนั่งประกบคู่ตนไปด้วย โดยตนขับรถไปเองมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่งประกบไปเป็นเพื่อน 1 นาย ที่เหลือก็ขับรถของตำรวจตามกันไปถึง สภ.เมืองพะเยา
 
ผู้ประสานงาน นปช.พะเยา กล่าวต่อว่า เมื่อมาถึง สภ.เมืองพะเยา เจ้าหน้าที่ตำรวจก็พาตนไปพบ ผกก.สภ.เมืองพะเยา และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกชุดหนึ่ง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงพะเยาที่จะเดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร พร้อมรายละเอียดด้านอื่นๆ เช่น การเดินทาง จำนวนคน เป็นต้น ซึ่งตนแม้จะเป็นผู้ประสานงาน นปช.พะเยา แต่เนื่องจากตนเองไม่สามารถเดินทางเข้าไปร่วมให้กำลังใจแก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในครั้งนี้ได้ เนื่องจากไม่สบายเป็นกระเพาะอาหารทะลุ และข้าวในนาจำนวน 5 ไร่ ที่เสียหายจากปูและศัตรูพืชกัดกินต้นข้าวต้องอยู่ซ่อมข้าว จึงออกนอกพื้นที่ไม่ได้ ดังนั้นการเดินทางของเสื้อแดงคนอื่นๆ ตนจึงไม่ทราบ ประกอบกับการเดินทางของแต่ละคนไม่มีการรวมกลุ่ม ต่างคนต่างเดินทางเอง ตนจึงไม่ทราบรายละเอียดมากกว่านี้
 
"อย่างไรก็ตามผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่บ้านเมืองทุกหน่วย ทั้งทหาร ตำรวจ กอ.รมน.พะเยา ปกครองจังหวัดพะเยา ที่ได้มีความเป็นห่วงว่าผมหรือคนเสื้อแดงจะเดินทางเข้าไปกรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมแสดงพลังเชียร์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในวันที่ 25 สิงหาคม 2560 นี้นั้น เจ้าหน้าที่ได้ให้เหตุผลว่าเกรงจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น จึงเตือนหลีกเลี่ยงหรืองดร่วมให้กำลังใจดังกล่าว เพราะการเดินทางอาจจะไม่สะดวก หรืออาจจะเป็นเป้าทางการเมืองด้วย ซึ่งผมขอบคุณทุกหน่วยงานที่ห่วงใย สำหรับตัวผมเองไม่ได้เข้ากรุงเทพมหานครดังที่ให้เหตุผลไว้แล้ว ส่วนเสื้อแดงคนอื่นๆ ผมไม่ทราบว่าใครเดินทางอย่างไรบ้าง แต่ที่รู้คือ ต่างคนต่างไป และจะเริ่มเดินทางวันนี้( 23 ส.ค. 60) เท่านั้นเอง" นายศิริวัฒน์ กล่าว
 
รายงานระบุด้วยว่า ศิริวัฒน์ ได้เดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพะเยา โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเชิญตัวจากที่บ้านในช่วงเช้า ขณะที่นายศิริวัฒน์ กำลังจะเข้าไปซ่อมข้าวในนา เมื่อให้ข้อมูลเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพะเยา เรียบร้อยก็กลับเข้าไปซ่อมข้าวในนาต่อ
 

ตร.คัดกรองรถผ่านแจ้งวัฒนะ แนะทางเลี่ยงบริเวณศาลฎีกาฯ วันตัดสิน

วันเดียวกัน (23 ส.ค.ุจ) พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(รองผบช.น.) และ พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผู้บังคับการตำรวจจราจร(ผบก.จร.) ออกประกาศประชาสัมพันธ์ว่าเนื่องจาก วันที่ 25 สิงหาคม เวลา 09.30 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าว ที่ ยิ่งลักษณ์ดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนเดินทางมาให้กำลังใจ และทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจะมีการตรวจค้นคัดกรอง รถที่ผ่านบริเวณดังกล่าว ซึ่งอาจจะทำให้การจราจรชะลอตัวและเกิดการสะสมของปริมาณรถบ้าง จึงขอประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนหลีกเลี่ยง ถนน แจ้งวัฒนะ บริเวณหน้าศูนย์ราชการ
 
1. เส้นทางเลี่ยง พื้นราบ
1.1 ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณ แยกหลักสี่ ทางแรก จากถนนวิภาวดี – เลี้ยวซ้ายแยกหลักสี่ ถนนกำแพงเพชร 6 – แยกบางเขน – เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนงามวงศ์วานขาออก อีกเส้นทาง จากถนนวิภาวดี – เลี้ยวขวาแยกหลักสี่ – ถนนกำแพงเพชร 6 ถนนสงประภา
1.2 ถนนแจ้งวัฒนะ ขาเข้า ทางแรก จากฝั่งอำเภอปากเกร็ดให้กลับรถใต้สะพานข้ามแยกคลองประปา – เลี้ยวซ้ายถนนประชาชื่น – เลี้ยวซ้ายเข้าถนนงามวงศ์วาน – มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อีกเส้นทาง จากฝั่งอำเภอปาเกร็ดให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนประชาชื่น – แยกศรีสมาน – เลี้ยวขวาไปสรงประภา ให้กลับรถใต้สะพานข้ามแยกคลองประปา
 
2. เส้นทางเลี่ยง ทางด่วน
ทางแรก ทางด่วนศรีรัช หรือ ทางด่วนขั้นที่ 2 แนะนำให้ใช้ทางลงด้านถนนงามวงศ์วานและ สรงประภาจะได้รับความสะดวกมากกว่า หรือ ทางยกระดับอุตราภิมุข หรือ ดอนเมืองโทลล์เวย์ แนะนำให้ใช้ทางลงงามวงศ์วาน,ดอนเมือง, อนุสรณ์สถานแห่งชาติ
 
จึงขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนได้รับทราบ เตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง หากต้องการสอบถามข้อมูลเส้นทาง แจ้งอุบัติเหตุจราจร และข้อมูลสภาพจราจรเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร(บก.02) หมายเลขโทรศัพท์ 1197 ได้ตลอด 24 หรือ ผ่านแอพพลิเคชั่น POLICE I LERT U และ WWW.TRAFFICPOLICE.GO.TH กองบัญชาการตำรวจนครบาล ประชาสัมพันธ์

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักศึกษาจำเลยคดีประชามติเผย ถูกเจ้าหน้าที่มหา’ลัย ค้นห้องพัก ช่วง ครม. สัญจร

Posted: 23 Aug 2017 08:00 AM PDT

เจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการนักศึกษา ม.เทคโนโลยีสุรนารี เข้าตรวจค้นห้องพักนักศึกษาจำเลยคดีประชามติ หลังพบรายชื่อนักศึกษาอยู่ในกลุ่มเฝ้าระวังช่วง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เพื่อประชุม ครม. สัญจร

23 ส.ค. 2560 วศิน พราหมณี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิศวะกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นหนึ่งในจำเลยคดีแจกเอกสารรณรงค์ประชามติ ร่วมกับจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (ไผ่ ดาวดิน) ได้เปิดเผยกับประชาไทว่า ในวันที่ 21 ส.ค. 2560 เวลาประมาณ 15.00 น. ได้มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการนักศึกษา เข้ามาในหอพักภายในมหาวิทยาลัย แล้วมายังห้องที่ตนเช่าพักอยู่ โดยเจ้าหน้าที่ได้เคาะห้องพัก เพื่อนร่วมห้องพักจึงได้เปิดประตูให้เจ้าหน้าที่ แต่ระหว่างนั้นตนไม่ได้อยู่ในห้องพัก เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเรียน

เพื่อนร่วมห้องพัก ได้เล่าให้วศิน ฟังว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการนักศึกษาได้ เข้ามาสอบถามว่า วศินยังอยู่ที่ห้องพักห้องนี้ไหม จากนั้นก็พยายามชวนคุยเรื่องอื่นๆ ทั่วไป แต่สังเกตได้ว่าเจ้าหน้าที่ได้เดินไปยังโต๊ะอ่านหนังสือของวศิน แล้วพยายามตรวจค้นหาเอกสารบางอย่าง หลังจากพบว่าไม่มีเอกสารที่ต้องการจึงได้ออกไปจากห้อง และฝากให้เพื่อนร่วมห้องพักบอกกับวศินว่า หากกลับมาที่ห้องพักแล้วให้ไปพบกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการนักศึกษาด้วย แต่หลังจากนั้นได้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของหอพักได้เดินทางเคาะประตูห้องพักอีกทั้ง 4 ครั้ง แต่ไม่พบตัววศิน เนื่องจากยังไม่ได้กลับมาที่ห้องพัก

ล่าสุดวันนี้ วศิน ได้เดินทางไปพบกับเจ้าหน้าฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เพื่อสอบถามว่าต้องการพบตนด้วยเหตุผลใด เนื่องจากในสถานการณ์ปกติไม่เคยเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวมาก่อน ทางเจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงว่า เพียงแค่มีความเป็นห่วงว่ามีความเป็นอยู่อย่างไร เนื่องจากเห็นว่าตนเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่หอพักในมหาวิทยาลัย จึงต้องการไปพูดคุยเพื่อสอบถาม

วศิน เล่าต่อว่า ได้ตั้งคำถามกับฝ่ายกิจการนักศึกษาว่า ก่อนหน้านี้ ตนเองเคยถูกจับกุมดำเนินคดีจากการทำกิจกรรมแจกเอกสารณรงค์ประชามติร่วมกับ ไผ่ ดาวดิน ซึ่งทางมหาวิทยาลัยเองก็รับรู้ จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยประกอบกับในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ลงพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เพื่อประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร จึงคาดว่าสองเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่กองกิจการนักศึกษาได้พยายามบ่ายเบี่ยงว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องทางการเมือง แต่สุดท้ายก็ยอมรับว่า จากการณีที่มีการประชุม ครม. สัญจร ได้มีเอกสารรายชื่อเฝ้าระวังออกมาโดยรายชื่อส่วนใหญ่เป็นนักพัฒนาเอกชน (NGOs) แต่ในรายชื่อดังกล่าวมีชื่อของ วศิน ด้วย

อย่างไรก็ตาม วศิน ระบุว่า ไม่ได้มีการเตรียมก่อความวุ่นวาย หรือทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เพื่อประท้วงต่อต้านการเดินทางลงพื้นที่ ครม. สัญจร ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่อย่างใด

สำหรับการลงพื้นที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ได้จัดขึ้นที่ จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ 21-22 ส.ค. 2560 ทั้งนี้ การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี หน่วยงานด้านการรักษาความปลอดภัยมีการวางกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองทั้งในและนอกเครื่องแบบ จำนวน 2,000 นาย กระจายกำลังทุกจุดที่นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีลงปฏิบัติภารกิจ รวมถึงจุดสูงข่มต่างๆ

สำหรับคดีของ วศิน และไผ่ ดาวดิน เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2559 ที่ตลาดสดเทศบาลภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ โดยเจ้าหน้าที่ ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง สนธิกำลังเข้าจับกุม 2 คน หลังจากเดินแจกเอกสารรณรงค์ประชามติได้เพียง 300 เมตร ทั้ง 2 คนถูกตั้งข้อกล่าวหา ตามพ.ร.บ.ประชามติ มาตรา 61 วรรคสอง โดยเวลานี้คดียังอยู่ในการพิจารณาของศาลจังหวัดภูเขียว ส่วนไผ่ ดาวดิน ถูกจองจำอยู่ที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดขอนแก่น จากคำพิพากษาศาลจังหวัดขอนแก่น ในคดีหมิ่นกษัตริย์ หรือฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากการแชร์รายงานข่าวจากเว็บไซต์ BBC Thai

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เพนกวินนำยื่น จม.ถึงผู้บริหาร จุฬาฯ แสดงกังวลกรณีสอบสวนเนติวิทย์และเพื่อน

Posted: 23 Aug 2017 06:58 AM PDT

พริษฐ์ ชิวารักษ์ นำรายชื่อแสดงความเป็นห่วงกรณีสอบสวนเนติวิทย์และเพื่อนสมาชิกสภานิสิต ยื่นผู้บริหารจุฬาฯ  พร้อมกำลังใจเนติวิทย์ ชี้เพื่อเป็นการปกป้องและสนับสนุนเสรีภาพทางการแสดงออก

23 ส.ค.2560 เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Fahroong Srikhao ฟ้ารุ่ง ศรีขาว' รายงานว่า พริษฐ์ ชิวารักษ์ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตเลขาธิการกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท เดินทางมาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพร้อมเพื่อนจาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เพื่อนำจดหมายและรายชื่อผู้แสดงความห่วงใย กรณีสอบสวน เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล  ประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเพื่อนสมาชิกสภานิสิต ไปยื่นให้กับผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากกรณีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะสอบสวนเนติวิทย์และเพื่อนสมาชิกสภานิสิต ในวันที่ 25 ส.ค.นี้ ด้วยข้อกล่าวหาแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม กรณีเดินออกจากแถวขณะประกอบพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนเป็นนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้เนติวิทย์ เป็นคนเดียวที่โดนอีกข้อกล่าวหาคือใช้สถานที่ราชการจัดประชุมโดยไม่ได้รับอนุญาต กรณีทำ Public Hearing รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของผู้ค้าสวนหลวงสแควร์ที่ห้องสภานิสิต

จากนั้นพริษฐ์ จะไปพบกับเนติวิทย์ เพื่อให้กำลังใจ และแสดงการสนับสนุนและปกป้องเสรีภาพทางการแสดงออกของเพื่อนนิสิต แม้อยู่ต่างมหาวิทยาลัย

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วัฒนาร้องอธิบดีศาลอาญา ขอให้ไต่สวนคำร้อง หลัง พนง.สส.ปอท.ข่มขู่ทนายในศาล

Posted: 23 Aug 2017 06:30 AM PDT

วัฒนายื่นหนังสือถึงอธิบดีศาลอาญา ขอให้ไต่สวนคำร้อง หลังถูก พนง.สส.ปอท.ข่มขู่ทนายในศาล "เอาปืนกรอกปาก"

ที่มาภาพ เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Banrasdr Photo

23 ส.ค. 2560 เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Banrasdr Photo' โพสต์ภาพพร้อมรายงานว่า วันนี้ (23 ส.ค.60) เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. วัฒนา เมืองสุข อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย พร้อม นรินทร์พงศ์ จินาภักดิ์ ทนายความ เข้ายื่นคำร้องต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เพื่อขอให้ไต่สวนกรณีพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เนืองจากในวันที่พนักงานสอบสวนนำตนมาฝากขังที่ศาลอาญา เมือวันที่ 21 ส.ค. ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนได้แสดงกิริยาก้าวร้าว ข่มขู่ทนายความของตน โดยใช้คำพูดทำนองว่าจะเอาปืนกรอกปาก ถือว่าเป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่และประพฤติตนไม่เหมาะสมในบริเวณศาล ทั้งนี้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นต่อหน้าทนายความหลายคนที่มาร่วมการไต่สวนในคดีของตน

"ผู้มีอำนาจได้ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ผมเป็นหนึ่งในคนที่ถูกเล่นงานและถูกเลือกปฏิบัติ ปกติหากผู้ต้องหามาแสดงตัวต่อพนักงานสอบสวนด้วยตนเองซึ่งถือว่าไม่มีเจตนาจะหลบหนี เมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา สอบปากคำและพิมพ์ลายนิ้วมือเสร็จก็จะอนุญาตให้ผู้ต้องหากลับโดยไม่ต้องประกันตัว คดีของทุกคนถูกปฏิบัติเช่นนี้รวมทั้งคดีที่เกิดกับผมก่อนหน้านี้รวม 3 คดี ก็ได้รับการปฏิบัติแบบนี้เช่นกัน แต่พอผมออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลมากขึ้นรวมทั้งให้กำลังใจนายกยิ่งลักษณ์ ผมกลับถูกแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มและถูกเลือกปฏิบัติโดยนำตัวผมมาขออำนาจศาลฝากขังทั้งที่ผมไปแสดงตัวกับพนักงานสอบสวนเอง ไม่มีเจตนาหลบหนี ไม่เคยยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและไม่มีพฤติกรรมก่ออันตราย ดังนั้น ผมจึงแถลงคัดค้านจนมาสู่การข่มขู่ดังกล่าว หลายคนเป็นห่วงและขอให้ผมอดทนเพราะไม่อยากให้มีคดีเพิ่มขึ้น เนื่องจากคู่กรณีของผมคือเจ้าหน้าที่ของ บก. ปอท. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบคดีที่เกิดจากการโพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊คโดยตรง แต่ผมเห็นว่าเป็นการทำหน้าที่เพราะเป็นการปกป้องสิทธิและเสรีภาพซึ่งเป็นของประชาชนด้วย อย่างไรก็ตาม โดยที่ผมได้ยื่นหนังสือต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาแล้วจากนี้ไปผมจะไม่มีความเห็นเรื่องนี้อีก ปล่อยให้เป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณาตามสมควร" วัฒนา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Watana Muangsook

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักวิชาการเปิดเส้นทางบทบาทศิลปะต่อต้านประชาธิปไตย-รบ.ทหาร ย้ำควรแสดงออกได้เสรี

Posted: 23 Aug 2017 06:20 AM PDT

ฉายวัฒนธรรมการใช้ภาพสื่อสารต่อต้านก่อน-หลัง คสช. ยึดอำนาจ หลายฝ่ายหยิบใช้ช่วงชิงพื้นที่รับรู้ ดราม่าไกลถึงเกาหลี ใต้รัฐประหารควรแสดงออกได้ตามสิทธิปกติ พิชญ์ตั้งคำถามบทบาทศิลปะ ศิลปินในขบวนต่อต้านประชาธิปไตย เส้นทางแนวคิดศิลปะกับสังคม มองและขับเน้นประวัติศาสตร์การเมืองไทยผ่านวงการศิลปะ ถาม-ตอบ ศิลปะกับพลังแฝงตามบริบท พลังแห่งการตีความ มาตรวัดลักษณะสังคมและมุมมองต่อหมุดคณะราษฎร

ผศ.บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ

22 ส.ค. 2560 มีงานเสวนา รัฐศาสตร์เสวนา ชุด ไทยศึกษากับการเมืองและสังคมไทย ครั้งที่ 1 หัวข้อ ทำการต่อต้านให้ปรากฎ : ศิลปะและการเมืองของการต่อต้านหลังรัฐประหาร 2557 โดย ผศ.บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ห้องมาลัย ชั้น 12 อาคารเกษม อุทยานิน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ โดยมี ผศ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ 

ฉายวัฒนธรรมการใช้ภาพสื่อสารต่อต้านก่อน-หลัง คสช. ยึดอำนาจ หลายฝ่ายหยิบใช้ช่วงชิงพื้นที่รับรู้ ดราม่าไกลถึงเกาหลี

บัณฑิตกล่าวว่า ในกรณีของไทย ศิลปะกับการเมืองก็ถูกใช้กันอย่างต่อเนื่อง อยากยกคำพูดของอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เขียนสุนทรพจน์สำหรับการรับรางวัล "ยังมีสถานที่มากมายที่การจดจำและแบ่งปันเรื่องราวเป็นเรื่องอันตราย ผมรู้เพราะผมมาจากที่แบบนั้น คำถามคือ เราจะทำอย่างไรให้เกิดการเข้าถึงและการสื่อความหมายด้วยความเห็นอกเห็นใจ ในเมื่อแต่ละแห่งดดำเนินไปด้วยเหตุผลตรรกะที่แตกต่างกัน ผมไม่รู้คำตอบนั้น แต่ผมเชื่อว่าการส่องสว่างไปที่สิ่งๆ หนึ่งอาจจะพาเราพ้นจากความมืดมนและไปสู่ความสว่าง และแสงสว่างนั้นก็ย่อมสะท้อนกลับไปที่คูุณ เพราะสิ่งที่เราทำล้วนกระทบกับเราทั้งสิ้น" จริงๆ ก็สะท้อนเรื่องราวร่วมสมัยเรื่องการส่งต่อข้อความ การแชร์สิ่งต่างๆ ในเฟซบุ๊กเป็นเรื่องอันตรายเพราะการที่รัฐเข้าถึงพื้นที่สื่อออนไลน์ทำให้การส่งข้อความต่างๆ เป็นอันตราย

ในรอบ 10 ปีมานี้ บทบาทศิลปินกับการเมืองก็มีไม่ใช่น้อย ในช่วงค้านกฎหมายนิรโทษกรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะเห็นว่าการต่อต้านการนิรโทษกรรมชัดเจนมาก วสันต์เขียนรูปไปไว้ที่หน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นอกจากนั้นยังมีไปเป็นคณะ เป็นมหาวิทยาลัย ที่กำแพงมหาวิทยาลัยศิลปากรก็มีการใช้โปสเตอร์ประชาสัมพันธ์แนวคิดทั้งสองฝ่ายทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยกับการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง และกลุ่มที่จะไปเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. 2557

ภาพการแสดงออกของแนวคิดที่มีต่อการเลือกตั้งที่มหาวิทยาลัยศิลปากร (ภาพจากสไลด์นำเสนอ)

ในท่ามกลางความพยายามที่จะปิดคูหาเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. ก็มีหลายคนที่ใช้ความสร้างสรรค์ เช่นภาพที่คุณป้าเดินเข้าไปชูไฟฉายบริเวณมวลชน กปปส. ปิดล้อมคูหาเลือกตั้ง มันสะท้อนแทนคนที่อยากพูด อยากแสดงออกและต้องอาศัยความกล้าอย่างมาก การเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองในส่วนหนึ่งมันสร้างการต่อต้านให้ปรากฏ เพราะในเวลาวิกฤติของสังคม การพูดด้วยเหตุผลมันอาจจะไม่สื่อหรือไม่พอ แต่การพูดด้วยภาพและสัญลักษณ์มันกลับส่งความหมายได้ดีกว่า ดังนั้นการใช้วัฒนธรรมการมองเห็นมาใช้นำเสนอจึงมีนัยทางการเมืองที่สำคัญที่จะนำไปสู่การสนับสนุนการต่อต้านอย่างใดอย่างหนึ่ง

ที่ ถ.ราชดำเนิน มีภาพปูแดงที่ทักษิณขี่ ที่ก้ามคว่ำประเทศไทยกลับด้าน บัณฑิตมองว่าสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของคนที่ไปร่วมกับ กปปส. เชื่อว่าถ้ากำจัดปูตัวยักษ์ตัวนี้และคนที่ขี่จะทำให้ประเทศไทยสงบสุข (ภาพจากสไลด์นำเสนอ)

ก่อนการรัฐประหารปี 2557 มีความพยายามจะจุดเทียนหน้าหอศิลปะและวัฒนธรรมกรุงเทพฯ แล้วก็โดนปรับ 2,000 บาทเพราะมีน้ำตาเทียนหยดบนพื้นที่ของหอศิลป์ฯ นอกจากจุดเทียนแล้วยังปล่อยลูกโป่ง เป็นอีกความพยายามที่ทำให้การต่อต้านปรากฎ จนการจุดเทียนและการติดป้ายไปใช้ตามที่ต่างๆ เช่นที่อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็มีการจุดเทียน

การแสดงออกด้วยลูกโป่งขาวที่อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน

การสร้างการต่อต้านให้ปรากฏนั้นสำคัญเพราะมันเป็นหมุดหมายที่ทำให้คนสื่อสารได้ในเวลาอันรวดเร็วผ่านภาษาภาพ (Visual Language) มีกรณีหนึ่งหลังรัฐประหารก็มีน้องคนหนึ่งไปยืนเป่าสากที่สะพานรถไฟฟ้าบีทีเอสพร้อมแปะป้ายที่ร่างกายกล่าวถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) เนื่องจากมีกรณีการเรียกคนเข้าปรับทัศนคติ จะเห็นว่าหลังรัฐประหารก็ยังมีคนที่พยายามทำให้การต่อต้านปรากฎ ในทางกลับกัน ความพยายามของรัฐบาลที่จะส่งคนไปแทรกซึมก็สามารถเห็นได้ เช่นการปรากฎตัวของทหารในงานรำลึกครบรอบ 40 ปี เหตุการณ์ 6 ต.ค. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

กิจกรรมยืนเป่าสาก (ภาพจากสไลด์นำเสนอ)

ความเป็นไทยร่วมสมัยก็ชวนให้เราตีความความเป็นไทย หลังการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์ หอศิลป์ กทม. กระทรวงวัฒนธรรม และรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมจัดงาน Imagine Peace ฝันถึงสันติภาพ และจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับกิจกรรมอื่นเช่น มีกิจกรรม Big Cleaning Day ที่สี่แยกราชประสงค์และวัดปทุมวนาราม สิ่งเหล่านี้ก็เป็นความพยายามใช้ศิลปะเป็นเครื่องเปลี่ยนมุมมองของสังคมที่มีต่อเรื่องใดๆ ก็มีมาอย่างต่อเนื่อง ทีนี้ถามว่าศิลปินที่เคยวิจารณ์สังคมอย่างวสันต์ เริ่มออกมาพูดอะไรหรือไม่ จนในที่สุดก็ออกมาทำงานชิ้นหนึ่ง แต่ไม่ใช่งานที่แสดงออกมาสาธารณะ แต่อัพเอาไว้ในเฟซบุ๊ก วสันต์ ระเบิดข้อความว่า "รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชาครองอำนาจมากว่า 3 ปีแล้ว ขอรวบรวมไว้ในโพสท์นี้ บอกเลยว่าทักษิณยังอาย" "เปรตบ้าทำรัฐประหารเพื่อตัวเองและทุนชั่วช้าสามานย์" และก็มีอีกรูปที่มีคำอธิบายว่า "เปรตบ้าเรือดำน้ำ อยากร่ำรวยจากการกินหัวคิว"

การเปลี่ยนท่าทีของวสันต์สำหรับผมไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่จากคนที่พยายามให้เกิดการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง แต่ตอนนี้ก็เริ่มออกมาพูดแล้ว ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากว่านี้ มันชวนให้เราคิดว่า การนำเสนอการต่อต้านการรัฐประหารไม่ได้มาจากรูปแบบงานศิลปะจากมุมเดียวอีกต่อไป คนที่เคยสนับสนุนก็ไม่ได้มีท่าทีเหมือนเดิม

ช่วงหลังรัฐประหารมีกรณีการนำงานศิลปะที่ใช้ในการชุมนุม กปปส. ไปแสดงที่หอศิลป์เมืองกวางจู เมืองกวางจูเป็นเมืองที่คนลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลทหารที่เกาหลีใต้เมื่อทศวรรษที่ 1980 คนกวางจูถูกสังหาร ถูกทำร้าย คนตายนับร้อย คนกวางจูถูกประณามว่าเป็นพวกแดงในความหมายคอมมิวนิสต์สมัยนั้น ในที่สุดกวางจูก็สามารถเรียกร้องและเรียกคืนความยุติธรรมได้ และต่อมาก็มีการตั้งหอจดหมายเหตุ การรำลึกเมืองกวางจู เปิดงานแสดงศิลปะปีละ 2 ครั้งและมีหอศิลป์ที่นำศิลปินชั้นนำของโลกมาแสดงเพื่อยกย่องสปิริตการต่อสู้ เลยเป็นคำถามว่า กวางจูเลือกผิดงานหรือเปล่าเพราะนี่เป็นงานต่อต้านประชาธิปไตยจนเป็นการถกเถียงใหญ่ เสียงสนับสนุนก็บอกว่า งานชิ้นนี้กระทำในช่วง กปปส. แต่ไม่ใช่งานที่ต่อต้านประชาธิปไตย แล้วถ้าคิดว่า กปปส. คือความพยายามหนึ่งที่จะปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง แล้วมันแยกความรับผิดชอบต่อสังคมออกจากกันได้หรือไม่ เป็นคำถามที่ตอบไม่ง่าย แต่ในพื้นที่ของกวางจูก็เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าสาธารณชนก็ต้องตอบ และคนที่กวางจูก็ต้องตอบว่าการเอางานที่สร้างสรรค์ในช่วง กปปส. มาแสดงในที่ๆ แสดงสปิริตต่อสู้กับรัฐบาลทหารอย่างกวางจูหรือไม่ จนเป็นการถกเถียงครั้งใหญ่ถึงขั้นที่กวางจูต้องจัดพื้นที่เสวนาสาธารณะให้แลกเปลี่ยนความเห็นกัน และสุดท้ายงานนี้ก็ไม่เคยถูกถอด

ศิลปินนิรนามกลุ่ม Guerrilla Boys โพสต์ภาพอยู่เบื้องหน้าผลงาน "Thai Uprising/มวลมหาประชาชน" ผลงานศิลปะของสุธี คุณาวิชยานนท์ เมื่อ 25 พฤษภาคม 2559 โดยศิลปินนิรนามผู้สวมหน้ากากกอริลลายังถือกระดาษเขียนข้อความว่า "This work still waiting 'Junta' create democracy for them!!!" หรือ "ผลงานนี้ยังคงรอ 'รัฐบาลทหาร' เนรมิตประชาธิปไตยให้พวกเขา" และลงชื่อ Guerrilllaboys ท้ายข้อความ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

นอกจากนั้นยังมีงานของ ตะวัน วัตุยา และกฤษดา ดุษดีวณิชย์ เป็นงานที่เหมือนภาพฟรานซิสโก โกยา ว่าด้วยการสังหารหมู่ แต่ตะวันพูดถึงนักโทษการเมือง ตอนนั้น ไผ่ จตุภัทร (จตุภัทร บุญภัทรรักษา' หรือ 'ไผ่ ดาวดิน') ถูกจับขังคุกแล้ว ในงานก็จะมีภาพเขียนที่เขียนโดยลูกเกด ชลธิชา แจ้งเร็ว นักกิจกรรมที่เคยถูกขังคุก ก็มาร่วมเขียนงาน condemned to be free (ถูกประณามเพื่อให้มีเสรีภาพ)

ภาพงาน Condemned to be Free (ภาพจากสไลด์นำเสนอ)

แล้วก็มีอีกภาพ แสดงเหตุการณ์ทางการเมืองในหลายปีที่ผ่านมา มีพรรคศิลปินของคุณวสันต์ มีการเคลื่อนไหวของ กปปส. มีศิลปินที่ห้อยนกหวีด และรายละเอียดอีกเยอะ แต่ที่น่าสังเกตคือมีมือที่ชูนิ้วกลางใส่ทุกคนในภาพ ที่ข้อมือประดับด้วยธงชาติไทย ภาพนิ้วกลางมาจากงานของอ้ายเหว่ยเหว่ย (ศิลปินและนักกิจกรรมผู้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับทางการจีน) ที่ชื่อ Never Sorry ที่ไปตามที่ต่างๆ แล้วชูนิ้วกลาง

ใต้รัฐประหารควรแสดงออกได้ตามสิทธิปกติ พิชญ์ตั้งคำถามบทบาทศิลปะ ศิลปินในขบวนต่อต้านประชาธิปไตย

บัณฑิตกล่าวว่า ในรอบหลายปีที่ผ่านมาสังคมไทยยังอยู่ในภาวะวิกฤติที่เราพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ในมุมมองการเมืองเรื่องสื่อภาพ มันมีภาพของการต่อต้านปรากฏมากขึ้น ทั้งในแบบทื่อๆ และแยบยล ในฝั่งผู้ที่เคลื่อนไหวทางการเมืองก็มีสีสันไม่น้อยไปกว่าฝั่งของศิลปินเช่นการรำลึกเหตุการณ์ปราบปรามประชาชนในปี 2553 ที่วัดปทุมวนารามที่แต่งตัวเหมือนผีไปเดินหาอะไรบางอย่าง ในวงการศิลปะก็คุยกันว่ามันสร้างสรรค์กว่างานศิลปะที่ผลิตโดยศิลปินจริงๆ เสียอีก

ภาพและวิดีโอกิจกรรมของญาติผู้เสียชีวิตในการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 

ภายใต้เงื่อนไขของรัฐขณะนี้ การเคลื่อนไหวการเมืองจำกัดแต่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แล้วทหารก็ไม่รู้อะไรก็ไปตั้งข้อหาเขา อย่างเช่นกรณีที่มีการดำเนินคดีกับนักวิชาการในงานไทยศึกษาที่ จ.เชียงใหม่ ผมเองก็อยู่งานกับอาจารย์พิชญ์ อาจารย์ปิ่นแก้ว แต่กลับไปตั้งข้อหากับ อ.ชยันต์ วรรธนะภูติ ธีรมล บัวงาม ภัควดี วีระภาสพงษ์ ชัยพงษ์ สำเนียง นลธวัช มะชัย ซึ่งคนเหล่านี้เป็นนักวิชาการจริงๆ เพียงแต่ว่าเขาคับข้องใจกับการปรากฏตัวของทหารที่เข้ามาแบบไม่จ่ายสตางค์ค่าลงทะเบียน แต่มาเดิน มากินกาแฟ มาขอฟังล่ามแปลภาษา ซึ่งค่าจ้างล่ามวันหนึ่งเป็นหมื่นบาท แล้วพี่เล่นส่งคนที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษมา มันก็ทำให้ทำให้บรรยากาศแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการในระดับนานาชาติไม่ค่อยรื่นหูรื่นตาเท่าไหร่ คนก็เลยออกมาเขียนป้ายว่าเวทีวิชาการ ไม่ใช่ ค่ายทหารเท่านั้นเอง ไม่ใช่การชุมนุมทางการเมือง แล้วเอาเข้าจริง จะเป็นอะไรไปถ้าเป็นการเมือง ผมคิดว่าเราควรจะมีสิทธิ์พูด มีสิทธิ์บ่น ผมไม่คิดว่าจะเป็นปัญหา ตราบเท่าที่ผมไม่จับปืนขึ้นมาสู้กับใคร ไม่จับไม้ขึ้นมาตีกบาลใคร มันเป็นสิทธิ์ที่มนุษย์ปกติคนหนึ่งในสังคมปกติมี ยกเว้นว่าสังคมนั้นไม่ปกติ แน่นอน นี่คือสิ่งที่เราอยู่ร่วมกันในสังคมแบบนี้ เราจะเห็นมากขึ้นและขอทิ้งประเด็นทางทฤษฎี การเคลื่อนไหว การใช้ภาษาผ่านการมองเห็นมันง่ายกว่าการใช้ตัวอักษร เพราะถ้ามานั่งอธิบายก็จะยาวมาก แต่ถ้าใช้แบบผ่านการมองมันย่นย่อข้อถกเถียงและมีพลัง แต่มันก็อาจจะไร้พลังก็ได้ มันมีขีดจำกัดบางประการเหมือนกัน ในกลุ่มของวัฒนธรรมการมองเห็นมีการตั้งคำถามในประเด็นการเมืองชัดเจนมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

พิชญ์ เสนอแนะว่าสิ่งที่อยากให้เพิ่มในเปเปอร์หน้าคือ การสร้างต่อต้านให้ปรากฏทำงานอย่างไรในภาพรวมของขบวนการต่อต้านประชาธิปไตย หน้าที่ของของกลุ่มศิลปินในขบวนการใหญ่คืออะไร ไม่ได้รู้สึกว่ามันทำแค่ทำการต่อต้านให้ปรากฏ แต่มันทำหน้าที่สร้างรสนิยมกับชุมชนนั้น ทำให้เหนือกว่าพวกเสื้อแดง พวกไพร่ ทำให้ฉันรู้สึกว่ามีรสนิยม เป็นการใช้สถานะการยอมรับทางสังคมมาใช้ในพื้นที่การเมือง มันมีหน้าที่ที่ทำงานกว่าการสอดประสานกัน เพราะสุดท้ายก็ต้องกลับไปอยู่ที่เดิมคือทุกคนผลิตงานศิลปะได้ แต่เขาไม่ใช่ศิลปิน การเมืองของการต่อต้านการเมืองก็น่าสนใจ ตรรกะของศิลปินหรือกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่บอกว่า "ถ้าไม่แย่จริงๆก็คงไม่ออกมาหรอก" เป็นหลักการเดียวกับทหารที่ทำรัฐประหารเลย

อาจารย์จาก จุฬาฯ เจ้าของเปเปอร์กล่าวว่า สิ่งที่ตนสนใจคือการฝึกการรับรู้วัฒนธรรมการมองเห็น นึกถึงทั้งสังคมที่ถูกกำกับ มีบทที่ต้องแสดง ต้องเล่น ต้องนึกถึงสังคมทั้งสังคมในฐานะโรงละครและเราคือผู้เล่นที่ถูกมือที่มองไม่เห็นกำกับ ถูกกระแสวัฒนธรรม สังคมเกาะเกลาอยู่ การทำการต่อต้านให้ปรากฎก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของสังคม แต่การทำความเข้าใจปรากฎการณ์ดังกล่าวจะทำให้เข้าใจว่ามนุษย์ไม่หยุดนิ่ง และตัวกรองไม่ได้มีตัวเดียว มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย พรมแดนสังคมจะเปลี่ยน สิ่งใหม่ๆ จะเกิดขึ้นในพื้นที่ของนิยาย กวีนิพนธ์ ศิลปะ ถ้าจับตัวนี้ได้ก็จะรู้ว่าสังคมจะเคลื่อนไปทางไหน วัฒนธรรมการมองเห็นสำคัญเพราะมันเป็นพื้นที่ที่ข่าวสารถูกตีความได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นมันมีความแยบยลบางอย่างที่เทคนิคของฺศิลปินทำให้เราใช้จินตนาการและความคิดเพื่อคิดต่อได้ แต่มนุษย์จะธำรงไว้ซึ่งความสามารถในการคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมการมองเห็นได้มากน้อยเพียงใด

เส้นทางแนวคิดศิลปะกับสังคม มองและขับเน้นประวัติศาสตร์การเมืองไทยผ่านวงการศิลปะ

บัณฑิตตั้งคำถามว่า เวลาศิลปินเข้าไปสู่ปริมณฑลสาธารณะ ศิลปินมีความรับผิดชอบอย่างไรและต้องทำอย่างไรบ้าง วสันต์ สิทธิเขตต์ ศิลปินชาวไทยเคยพูดถึงบทบาทนักการเมือง และหน้าที่ของศิลปินในการสร้างเสริมประชาธิปไตย เคยนำเสนอว่านักการเมืองควรรับโทษในนรกอย่างไร วสันต์นำเสนอภาพนักการเมืองรับโทษในนรกที่ถูกเฉือนเนื้อตัวเองเป็นริ้วๆ แล้วก็กินเนื้อตัวเองเรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นกรรม หรือการสร้างงานชื่อ Truth is Elsewhere ด้วยการทำตัวหนังตะลุง 50 ตัว ตั้งชื่อตามนักการเมืองไทยที่มีชื่อเสียงที่เขาเชื่อว่าทำให้การเมืองเสื่อมทราม และนำมาแสดงเป็นหนังตะลุง วสันต์พากย์หนังตะลุงว่า "ควรจะตายดีกว่าไร้ประชาธิปไตย เหตุไฉนเราจึงมีชีวิตอยู่เมื่อเราไร้ซึ่งเสรี" ปี 2544 วสันต์ตั้งพรรคเพื่อกู เป็นพรรคศิลปินที่ต่อต้านทุนนิยม แต่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนักการเมือง ในปี 2548 ก็ตั้งพรรคการเมืองจริงๆ ชื่อพรรคศิลปิน โดยมุ่งกระจายอำนาจ กวาดล้างอิทธิพลมืดมาเฟีย ยึดทรัพย์นักการเมืองโจร และยึดหลักปกครองตนเอง

วสันต์มีความตื่นตัวทางการเมืองและต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมอเมริกัน บทกวีชิ้นหนึ่งเขาเขียนว่า "ไม่มีรัฐซะดีกว่า ถ้าชอบทำแต่ความจัญไร จะมีรัฐไปทำไมถ้าเอาใจแต่นายทุน ไม่มีกองทัพเสียจะดีกว่าถ้ารังแกประชาชน ชอบเข่นฆ่าคนยากจน ต้องจับขุนพลมาลงทันฑ์ ไม่มีศาลเสียดีกว่า ถ้าไม่มีความยุติธรรม เงินและปืนคอยชี้นำ เมืองต้องมืดดำเพราะกฎหมาย ไม่มีตำรวจเสียดีกว่า ถ้ารีดไถเป็นมือปืน อำนาจของเราต้องเอาคืน ถ้าปืนปกครองตนเอง ไม่ต้องศึกษาเสียดีกว่าถ้าสอนคนให้เป็นควาย ล้างสมองคนเมามาย มอบใจกายให้นายทุน...ไม่มีชีวิตเสียดีกว่า ถ้าไม่มีประชาธิปไตย "จะมีชีวิตไปทำไม หากไร้ซึ่งอิสระเสรี"

ในการก่อตั้งพรรคศิลปิน วสันต์ มุ่งให้เกิดการปฏิรูปการเมือง เขาบอกว่าเราเหมือนอยู่ในโลกระบอบปีศาจประชาธิปไตยจอมปลอมที่ผู้แทนราษฎรที่ถืออำนาจอยู่หลังฉากไม่ได้ทำให้รัฐบาลเป็นของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน แต่เป็นรัฐบาลของนายทุน โดยนายทุนและเพื่อนายทุุน พรรคคุณวสันต์ถึงแม้ไม่ได้จดทะเบียนพรรคการเมือง แต่ใบปลิว ป้ายประชาสัมพันธ์ก็ถูกติดอยู่ตามท้องถนน ศิลปินคนอื่นๆ ก็ทำงานเกี่ยวกับการเมือง เช่น สุธี คุณาวิชยานนท์ ในนิทรรศการณ์กลุ่มชื่อประวัติศาสตร์และความทรงจำเมื่อปี 2544 ร่วมกับมานิต ศรีวานิชภูมิ และ หญิง กาญจนวนิช ตั้งห้องเรียนประวัติศาสตร์โดยสลักภาพนูนต่ำไว้กับโต๊ะเรียน 14 ตัว ทุกโต๊ะจะมีเรื่องราวต่างกันไป พูดถึงความสำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองในแต่ละช่วง ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของเสรีไทย เหตุการณ์ 6 ต.ค. 14 ต.ค. ทุกคนก็สามารถเอากระดาษมาทาบแล้วใช้สีทาถูบนกระดาษ แล้วก็จะได้ภาพนูนต่ำกลับบ้านเป็นที่ระลึก นอกจากห้องเรียนของสุธีแล้วยังมีวิดีโอชุดเดียวกัน เป็นห้องเรียนที่มีเรื่องราวบนกระดานดำเรื่องการเมืองสมัยใหม่ แต่บางสิ่งถูกลบไป ตอกย้ำความทรงจำทางการเมืองบางอย่างที่สูญหายและทำให้พร่าเลือนไปในสังคมไทย

นอกจากนี้ก็มีงานของมานิต ศรีวานิชภูมิ ปีศาจสีชมพู เอาภาพฉากการเมืองที่สำคัญเช่นเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 ไปตัดต่อภาพคนใส่เสื้อชมพูหรือ Pink man ปรากฏตัวในฉากการเมืองที่สำคัญและแสดงสีหน้าไม่สนใจไยดี  ในงานชิ้นเดียวกันก็มี หญิง กาญจนวนิช วาดภาพบุคคลสำคัญของไทยตั้งแต่ ร.4 ปรีดีพนมยงค์ และภรรยาของผู้ต้องหาคดีการสวรรคตของ ร.8 ทุกคนต่างมีน้ำตาไหลพราก แสดงความเสียใจ ศิลปินไทยจึงไม่ได้ปลอดไปจากการเมือง จะพบว่าศิลปินไทยก็ไม่ได้ปลอดจากการเมืองอย่างที่ได้ยกตัวอย่าง กรณีวสันต์ก็เป็นศิลปินคนหนึ่งที่มีบทบาทในทางการเมืองและการชุมนุมมาโดยตลอด

อีกกลุ่มหนึ่งผมเรียกว่า่เป็นแนวทางศิลปะอีกแบบมากกว่า สังคมไทยมีศิลปะสมัยใหม่ด้วยความพยายามของคอร์ราโด เฟโรชี ชาวอิตาลี หรือที่รู้จักกันในชื่อศิลป์ พีระศรี ผู้มาเป็นช่างประติมากรให้รัฐบาลไทยสมัย ร.6 ผู้มีส่วนสำคัญในการถ่ายทอดแนวคิด ทักษะการสร้างศิลปะตามแนวศิลปะสมัยใหม่ เมื่อโลกเคลื่อน ศิลปะก็เคลื่อน ศิลปะสมัยใหม่คือการมีเอกลักษณ์ของตัวเองและสะท้อนปัจจัยเบื้องลึก ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองที่มีต่อสังคมภายนอก ทำให้ ศิลปินมีความเป็นปัจเจกชน มีความเป็นเอกชนสูง ทำให้มนุษย์มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น สามารถสะท้อนประเด็นได้อย่างอิสระอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เมื่อพ้นยุคศิลปะสมัยใหม่มาก็เป็นศิลปะร่วมสมัยที่มาจากการที่มนุษย์ตั้งคำถามกับความเป็นสมัยใหม่ ที่หลายคนเรียกว่าโพสท์โมเดิร์น มันเคลื่อนตัวมาจากศิลปะสมัยใหม่ที่แต่เดิมศิลปินตั้งคำถามกับสังคมผ่านมุมมองของตนเอง แต่ศิลปะร่วมสมัยกระจายไปตามพื้นทีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย ภาพพิมพ์ หรือมีทีมงานผลิตผลงานแทนตัวศิลปินเองก็ได้ สิ่งที่สำคัญในศิลปะร่วมสมัยกลับกลายเป็นความคิดหรือ Conceptual Art และเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีขึ้นมาใหม่ทำให้ขีดความสามารถในการทำศิลปะเป็นไปอย่างไม่มีขอบเขต

ในช่วงหนึ่งก็มีคำถามเรื่องวัตถุประสงค์ของการมีหอศิลป์ว่าเป็นที่จัดปาร์ตี้ให้ผู้อุปถััมภ์และสมาชิกด้วยเงินภาษี ก็มีฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช ศิลปินที่ลงมือทำผัดไทยในพื้นที่หอศิลป์ให้คนกิน ทำให้งานของฤกษ์ฤทธิ์สัมผัสได้ กินได้ ลดระยะห่างระหว่างงานศิลปะกับผู้ชมผ่านผัสสะอื่นๆ นอกจากตา การข้ามพ้นสุนทรียศาสตร์ทำให้ฤกษ์ฤทธิ์และเพื่อนๆ มีอีกหลายคนเช่น เกเบรียล รอสโซ กลุ่มซูเปอร์เฟลกซ์ และกลุ่มอื่นๆ ถูกนักทฤษฎีศิลปะมองว่าเป็น Relational Aesthetic หรือสุนทรียศาสตร์เชิงสัมพันธภาพที่ไม่ได้สร้างระยะห่างระหว่างผู้ชมกับศิลปะ แต่สามารถสัมผัสเชื่อมโยงกันได้ แนวทางแบบนี้ทำให้เกิดกระแสของการทำศิลปะประเภท Participatory Art ให้ผู้ชมร่วมเขียน ร่วมโหวต ร่วมสร้างผลงานจากแต่เดิมที่ผู้ชมดูได้อย่างเดียว ศิลปะแนวนี้ถูกยกย่องเชิดชูในฐานะที่มันปลดปล่อยผู้ชมจากกฎเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติของหอศิลป์ ทำให้ศิลปะเคลื่อนตัวไปสู่ความหมายใหม่เข้าถึงประชาชน เข้าถึงคนดู ถ้าพูดอย่างนี้ก็จะคิดถึงเรื่องในสังคมไทยที่มีเรื่องงานศิลปะเพื่อมวลชน ศิลปะเพื่อชีวิต หรือศิลปะเพื่อศิลปะ เรื่องนี้ถกเถียงกันเมื่อจิตร ภูมิศักดิ์ เริ่มสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยศิลปากรแล้วเอาแนวคิดของลีโอ ตอลสตอย เอาความคิดศิลปะแบบสังคมนิยมมาเผยแพร่ ในขณะที่กลุ่มที่มองศิลปะเป็นศิลปะก็จะบอกว่างานศิลปะมีความบริสุทธิ์ อลังการ  

แนวคิดสองชุดดังกล่าวก็ปะทะกันในสังคมไทยจนกระทั่งมีเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 เป็นการปลดปล่อยงานศิลปะจากสถานศึกษา จากเดิมต้องเรียนศิลปะ แต่ตอนนั้นเริ่มมีศิลปินใหม่ที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ได้รับการยอมรับแม้ไม่มีความรู้อย่างเป็นทางการอย่างประเทือง เฮงเจริญและ จ่าง แซ่ตั้ง แต่พอเกิดเหตุการณ์ 6 ต.ค. ศิลปินที่ทำเรื่องการเมืองก็กระจัดกระจายหายไปจากเวที ที่ทำอยู่ก็ทำเงียบๆ ไม่ก็ทำแล้วก็ทำลายไป บทบาทศิลปินกับการเมืองหลัง 6 ต.ค. ก็ค่อยๆ ลดน้อยลง แต่พอมีแนวคิดศิลปะร่วมสมัยจำพวกศิลปะเชิงสัมพันธภาพที่ตั้งคำถามกับสังคม ทำให้บทบาทของศิลปินก็กลับมา

ช่วงถาม - ตอบ: ศิลปะกับพลังแฝงตามบริบท พลังแห่งการตีความ มาตรวัดลักษณะสังคมและมุมมองต่อหมุดคณะราษฎร

ถาม: ในแง่ศิลปะ ในช่วง กปปส. งานที่ฮิตส่วนมากจะเป็น hard copy งานเขียน งานวาดที่เก็บไ้ด้ แต่หลัง รัฐประหาร เป็นงาน performance art มันจะมาเร็วไปเร็วหรือเปล่า ไม่เกิดอิมแพคเท่างานแบบ Hard copy

บัณฑิต: ขึ้นอยู่กับบรรยากาศของสังคมด้วย อย่างเช่นภาพชูนิ้วกลางที่จตุรัสเทียนอันเหมินของ อ้ายเหว่ยเหว่ย มันแรงมาก และคนที่เข้าใจภาพนี้ได้ก็คงเข้าใจว่าเขาอยู่ในระบอบการเมืองแบบไหน เขาสู้กับใคร ถ้าศิลปะมันถูกอธิบายอย่างเหมาะสมในช่วงเวลาและถ้อยคำที่เหมาะสมมันจะมีพลังในตัวของมันเอง เพลงสู้ไม่ถอยในการชุมนุม กปปส กับม็อบ 14 ต.ค. ก็ให้ความรู้สึกต่างกัน

ถาม: เวลาที่งานศิลปะถูกเผยแพร่สู่สาธารณะแล้วคนเข้าไปเสพ ในฐานะของศิลปิน เขาจัดการการตีความของคนเสพอย่างไร ควบคุมเนื้อหาที่เขาจะสื่อหรือไม่ และเวลางานศิลปะออกไปก็จะมีผู้ชมที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย มันจะนำไปสู่การต่อต้านมากขึ้นหรือไม่

บัณฑิต: ผมคิดว่าการตีความเป็นเรื่องยากที่จะกำกับ แต่ศิลปินที่ฉลาดจะพยายามกำกับพื้นที่การตีความให้ผู้ชมได้รับสารที่ตัวเองอยากจะสื่อผ่านเทคนิคการนำเสนอ ผ่านเรื่องเล่า ที่เหลือก็เป็นสิทธิ์ของประชาชนที่จะตีความ แต่ท้ายที่สุดการตีความก็เป็นของผู้ชม ทั้งนี้ผู้ชมก็ต้องมีความรู้พอๆ กับศิลปิน เช่นเดียวกันกับภาพชูนิ้วกลางของอ้ายเหว่ยเหว่ย

ถาม: การเข้าถึงศิลปะที่แสดงให้เห็นถึงการขัดขืนมีข้อจำกัดอะไรหรือเปล่าสำหรับคนที่ไม่ใช่คนชั้นกลาง ไม่มีความเข้าใจเรื่องศิลปะและเข้าไม่ถึงโซเชียลมีเดีย

บัณฑิต: ขอเสนอไอเดียของ เรย์มอนด์ วิลเลียมที่บอกว่า ถ้าอยากรู้ว่าสังคมเปลี่ยนก็ต้องไปดูพื้นที่ cutting edge ของความรู้ก็คืองานเขียน ศิลปะ วรรณกรรม ดนตรี วรรณคดี ละคร เมื่อดูตอนแรกอาจจะไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อเวลาผ่านไปสังคมจะตกตะกอนแล้วเข้าใจ และสำหรับผู้ชมที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงภายในก็คงเป็นขีดจำกัดซึ่งคนทำศิลปะ ทำงานสายสื่อต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าถึง เพียงแต่เทคโนโลยีปัจจุบันมันทำให้คนเข้าถึงได้มากกว่าเดิมเช่นเฟซบุ๊ก เฟซบุ๊กไลฟ์ คนสมัย 14 ต.ค. ก็ไม่มี มันเปลี่ยนการมุมมองและลดช่องว่างของคนกับกคน เพียงแต่งานบางชิ้นต้องใช้เวลาถึงจะคิดได้ หรือบางทีก็เกิดฮีโร่โดยบังเอิญที่ไปคิดต่ออีกที แต่มันก็คืออำนาจของศิลปะที่มีพลังจากการตีความ

ถาม: หมุดคณะราษฎรเป็นหมุดสมัยใหม่หรือศิลปะร่วมสมัย

บัณฑิต: ให้ความเห็นว่าหมุดคณะราษฎรมีเป้าหมายคือเป็นหมุดหมายย้ำเตือนเหตุการณ์บางอย่าง ในแง่ศิลปะไม่คิดว่าจะมีความเป็นศิลปะอะไรแต่มันคือสารที่ต่ำต้อยและตรงไปตรงมาที่สุด

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประชุมนานาชาติพัฒนาชนบท ชูประชาธิปไตย-สิทธิมนุษยชน ขจัดยากจนเอเชีย

Posted: 23 Aug 2017 05:43 AM PDT

บังเกอร์ รอย จากวิทยาลัยเท้าเปล่า ร่วมถกผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ มธ. ถอดบทเรียน-พัฒนาชนบท ขจัดความยากจนและความเหลื่อมล้ำในเอเชีย ทำข้อเสนอถึงรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ชู 3 ปมทรัพยากรธรรมศาสตร์และสิ่งแวดล้อม ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน รวมทั้งคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี

23 ส.ค.2560 โครงการ 100 ปี ชาตกาล ศาสตราจารย์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 - 4 ส.ค. ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ร่วมกับภาคีเครือข่ายเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ เรื่อง "การพัฒนาชนบทเพื่อการขจัดความยากจนในเอเชีย" ณ โรงแรมเซ็นทารา จังหวัดอุดรธานี ในโอกาสที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ยกย่องให้ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นบุคคลสำคัญของโลก ผู้มีผลงานดีเด่นด้านการศึกษา สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ในวาระ 100 ปี ชาตกาล เมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2559  

การประชุมผู้เชี่ยวชาญนานาชาติครั้งนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจาก 19 ประเทศ จำนวนกว่า 200 คน มาร่วมกันถอดบทเรียน และหาแนวทางในการพัฒนาชนบท ขจัดความยากจนและความเหลื่อมล้ำในเอเชีย รวมถึงจัดทำข้อเสนอถึงรัฐบาลประเทศต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป  ในประเด็นหลัก 3 เรื่อง คือ (1) ทรัพยากรธรรมศาสตร์และสิ่งแวดล้อม  (2) ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน และ (3) คุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี

วีดีทัศน์เปิดการประชุม 

ประเด็นสำคัญของการประชุมครั้งนี้คือการชี้ให้เห็นความจำเป็นในการมีอยู่ของชนบท การทบทวนและแบ่งปันองค์ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาชนบทเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและขจัดความยากจนอย่างยั่งยืน รวมทั้งสร้างการตระหนักรู้ถึงปัญหาหลากมิติที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนชนบทในศตวรรษที่ 21 ผลลัพธ์ที่คาดหวังคือการตกผลึกความเห็นร่วมให้กลายเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อรัฐบาลและสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการพัฒนาชนบทในอนาคต

รายงานระบุด้วยว่า มีบุคคลสำคัญหลายท่านได้ให้เกียรติมากล่าวถึงประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อการพัฒนาชนบท  เริ่มจาก นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นประธานเปิดการประชุม ได้กล่าวถึงความสำคัญของการจัดประชุมครั้งนี้  อิทธิพลของอาจารย์ป๋วยต่อตนเอง  และบทบาทของอาจารย์ป๋วยต่อการพัฒนาชนบท  พร้อมทั้งนำเสนอนโยบายปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการเพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสถาบันการศึกษาของไทย  นพ.ธีระเกียรติ เน้นย้ำว่าในปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน รวมทั้งพยายามจัดสรรทรัพยากรให้กับโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกลและยากจนอย่างทั่วถึง     

บังเกอร์ รอย ซึ่งเป็น 1 ใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งปี 2010 ของนิตยสารไทมส์ ได้แสดงปาฐกถาพิเศษ โดยกล่าวถึงประสบการณ์การเปิด "วิทยาลัยเท้าเปล่า" (barefoot college) ณ รัฐราชาสถาน ประเทศอินเดีย อันเป็นสถาบันการศึกษาที่รับเฉพาะผู้หญิงยากจนและไร้การศึกษา (อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้) เพื่อนำมาฝึกสอนวิชาชีพในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะสอนให้พวกเธอสามารถเป็นวิศวกรพลังงานแสงอาทิตย์ได้ภายใน 6 เดือน โครงการดังกล่าวของรอยได้รับการขนานนามว่า "โซลาร์มามาส์"  วิทยาลัยของรอยไม่เพียงฝึกสอนวิชาชีพให้กับผู้หญิงยากจนชาวอินเดียเท่านั้น แต่ยังนำผู้หญิงจากประเทศยากจนและประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ มาฝึกอบรมร่วมกันและทำให้พวกเธอสามารถกลับไปสร้างพลังงานแสงอาทิตย์ที่หมู่บ้านของตนเองได้ วิทยาลัยของรอยได้รับการสนับสนุนจากทั้งรัฐบาลอินเดียและองค์กรด้านสตรีอีกหลายแห่ง  จนถึงปัจจุบันวิทยาลัยเท้าเปล่าแห่งนี้ได้ฝึกอบรมวิชาชีพให้กับผู้หญิงยากจนไปมากกว่า 3 ล้านคนแล้ว ข้อสำคัญคือ ที่นี่ไม่มีการแจกปริญญาบัตรหรือใบรับรองให้กับผู้สำเร็จการศึกษาเหมือนสถาบันการศึกษาทั่วไป เพื่อเปลี่ยนมุมมองต่อการศึกษาว่าคนที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ และไม่มีใบปริญญา ก็สามารถเรียนรู้การเป็นมืออาชีพได้เช่นกัน (อ่านบทสัมภาษณ์บังเกอร์ รอย ได้ที่ https://thestandard.co/barefoot-college-bunker-roy/)

เวทีที่สำคัญที่สุดในการประชุมครั้งนี้ คือการให้ผู้เชี่ยวชาญที่เข้าร่วมประชุมจากนานาประเทศได้ร่วมกันแบ่งปันบทเรียน ประสบการณ์และข้อคิดเห็นต่าง ๆ เพื่อสังเคราะห์ออกมาเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายแล้วให้แต่ละบุคคลสามารถนำกลับไปขับเคลื่อนผลักดันเข้าสู่วาระของภาครัฐ และอีกส่วนหนึ่งได้มีการเสนอแนวทางการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเกี่ยวกับการทำงานด้านการพัฒนาชนบทในอนาคต       

ข่าวน่ายินดีสำหรับประเทศไทย คือ ที่ประชุมของผู้เชี่ยวชาญจากหลายประเทศ มีมติร่วมกันว่าให้ใช้ชื่อของอาจารย์ป๋วย ในฐานะบุคคลสำคัญที่เป็นแรงบันดาลใจด้านการพัฒนาชนบท  ตั้งเป็นชื่อเครือข่ายความร่วมมือด้านการพัฒนาชนบทระดับนานาชาติที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยใช้ชื่อว่า "เครือข่ายการพัฒนาชนบท ป๋วย อึ๊งภากรณ์" (Puey Ungphakorn Rural Development Network)   

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ขวาจัดศึกษา: มองปรากฏการณ์ 'นีโอนาซี' อเมริกันในมุมจิตวิทยาและสังคมวิทยา

Posted: 23 Aug 2017 05:34 AM PDT

ปรากฏการณ์ 'นีโอนาซี' หรือกลุ่มเหยียดผิวขวาจัดในอเมริกันช่วงที่ผ่านมาทำให้นักวิทยาศาสตร์สนใจ มีการเผยแพร่งานวิจัยเชิงจิตวิทยาพบว่ากลุ่มขวาจัดที่ใช้ความรุนแรงเหล่านี้มีบุคลิกภาพเชิงลบแบบไม่สนใจผลกระทบต่อคนอื่น หลอกใช้คนอื่น และหลงตัวเอง ขณะเดียวกันก็ทำตัวเองเป็น 'เหยื่อ' โดยให้ผู้อพยพหรือคนนอกประเทศเป็น 'แพะ'

23 ส.ค. 2560 สื่อวิทยาศาสตร์สัญชาติสหรัฐฯ ไลฟ์ไซเอนซ์และสื่อ Vox เรียบเรียงขัอมูลศาสตร์แขนงต่างๆ อย่างจิตวิทยาและข้อมูลทางสถิติเพื่อพูดถึงปรากฏการณ์ที่กลุ่มเชื้อชาตินิยมคนขาวแบบสุดโต่งออกมาประท้วงและก่อเหตุรุนแรงจนมีคนเสียชีวิตในช่วงสัปดาห์ทีแล้ว อะไรที่ทำให้กลุ่มนีโอนาซีรวมตัวกันภายใต้ "ความเกลียดชัง"

สเตฟานี ปาปาส ผู้เขียนให้สื่อไลฟ์ไซเอนซ์ระบุว่ากลุ่มนีโอนาซีเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่จากการวิจัยทางสถิติจากโครงการศึกษากลุ่มหัวรุนแiงจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันพบว่าเมื่อเทียบระหว่างปี 2555 กับปี 2559 แล้ว มีกลุ่มขวาจัดหรือนีโอนาซีในอินเทอร์เน็ตเแสดงตัวออกมาจำนวนมาก วัดจากการติดตามองค์กรกลุ่มขวาจัดในทวิตเตอร์เมื่อปี 2555 มีผู้ติดตาม 3,542 ราย ในปี 2559 มีผู้ติดตามถึง 25,406 ราย เพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า

อะไรเป็นแรงจูงใจของกลุ่มขวาจัดเหล่านี้ มีงานวิจัยใหม่ๆ ที่เสนอออกมาในหลายมุมมอง มีงานวิจัยหนึ่งเน้นมองเรื่องบุคลิกภาพด้านมืดสามอย่าง (ชอบหลอกใช้หาผลประโยชน์, ไม่สนใจผลกระทบต่อผู้อื่น และหลงตัวเอง) มีอยู่ในหมู่นีโอนาซีทั้งหลาย บางครั้งก็ใช้ด้านมืดเหล่านี้มาหลอกชักจูงผู้คน อย่างไรก็ตามมีงานวิจัยอื่นที่ระบุว่าพวกสุดโต่งเหล่านี้มีความต้องการมีที่ทางในกลุ่มชุมชน (belonging) ทำให้แม้กระทั่งคนที่ไม่ได้มีบรรพบุรุษเป็นคนขาวก็เข้าร่วมกับกลุ่มเหล่านี้เพราะรู้สึกอยากได้รับการยอมรับเป็นส่วนร่วมกับชุมชน

จอห์น เฉิง ศาตราจารย์ด้านเอเชียและเอเชียอเมริกันศึกษาจากมหาวิทยาลัยบิงแฮมตันกล่าวว่า การเหยียดเชื้อชาติและความเชื่อเรื่องเชื้อชาติในตัวมันเองไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของตรรกะ อย่างน้อยก็ในเชิงวิทยาศาสตร์แบบวัตถุวิสัย เฉิงมองว่าสาเหตุที่ฝ่ายขวาจัดเป็นเช่นนี้มีสาเหตุที่มองได้ในมุมจิตวิทยาปัจเจกบุคคลและจิตวิทยารวมหมู่ "พูดอีกอย่างหนึ่งคือคนเราเชื่อในสิ่งที่ตนเองต้องการจะเชื่อ" เฉิงกล่าว

จากข้อมูลของนักวิจัยทำให้ปาปาสตั้งข้อสังเกตว่ากลุ่มขวาจัดเหล่านี้มาพร้อมกับความนิยมของโดนัลด์ ทรัมป์  ผู้นำพวกนีโอนาซีบางส่วนก็แสดงความชื่นชมทรัมป์ เดวิด ดุ๊ก หัวหน้ากลุ่มคูคลักซ์แคลน กลุ่มที่เคยก่อความรุนแรงกับคนผิวสีถึงขั้นพูดกล่าวหาฝ่ายต่อต้านฟาสซิสต์ว่าเป็นกลุ่มที่ใช้ความรุนแรง

กระนั้นในสหรัฐฯ ก็มีกลุ่มที่พยายามทำให้พวกเชื้อชาตินิยมคนขาวแบบสุดโต่งออกจากหนทางแบบนีโอนาซีพร้อมทั้งเรียนรู้คนเหล่านี้ไปด้วย แซมมี รังเกล ผู้ร่วมก่อคั้งกลุ่ม "ชีวิตหลังความเกลียดชัง" (Life After Hate) ที่บำบัดพวกขวาจัดเหล่านี้เปิดเผยว่ามีความเจ็บปวดทางการเมืองบางอย่างที่เป็นแรงจูงใจของพวกเขา

รังเกลเปิดเผยถึงความเปราะบางคนขาวเหล่านี้ว่า สิ่งแรกที่คนขาวนีโอนาซีไม่พอใจคือการนโยบายยืนยันสิทธิของกลุ่มคนที่ถูกกีดกันในสังคม (Affirmative action) ซึ่งคนขาวมองว่า "ไม่เป็นธรรม" สำหรับพวกเขา ประการที่สองคือพวกเขาไม่ชอบคำอย่าง "อภิสิทธิของคนขาว" ที่ทำให้พวกเขาอับอายหรือรู้สึกผิดกับการกระทำของบรรพบุรุษพวกเขา อย่างไรก็ตามการพูดถึงนโยบายยืนยันสิทธิคนด้อยโอกาสหรือเรื่องอภิสิทธิของคนขาวเป็นเรื่องปกติมากในการอภิปรายในสหรัฐฯ

รังเกลพูดถึงคนกลุ่มนี้ต่อไปว่าหลังจากที่พวกเขาเจ็บปวดจากเรื่องนี้แล้วพวกเขาก็จะหา "แพะ" รองรับความเจ็บปวดพวกนี้แทน จึงเข้าไปในเว็บของขวาจัดอย่างสตอร์มฟรอนต์ รวมถึงเชื่อคำพูดของคนที่ดูมีอิทธิพลที่กล่าวหาใส่ไฟ "พวกผู้อพยพ" นอกจากนี้ความเปราะบางของกลุ่มนีโอนาซีมาจากการที่คนพวกนี้รู้สึกขาดหายอะไรบางอย่างไปในทางอารมณ์หรือทางสังคม ทำให้การเข้าร่วมกับกลุ่มนีโอนาซีเป็นการทำให้พวกเขารู้สึกเหมืออนตัวเองได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอะไรที่ใหญ่กว่าหรือมีความหมายกว่าตัวพวกเขาเอง อย่างไรก็ตามจากการสำรวจของนักจิตวิทยา แพทริค ฟอร์ชเนอร์ พบว่าพวกขวาจัดมีจำนวนเพื่อนสนอทเท่าๆ กับคนทั่วไป พวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เหงาหรือโดดเดี่ยวเสมอไป

เรื่องเชื้อชาตินั้นเป็นแนวความคิดที่มีอิทธิพลในประวัติศาสตร์องสหรัฐฯ ตัวรังเกลเองเคยรอดชีวิตจากการก่อจลาจลของกลุ่มนีโอนาซีมาก่อนและเคยถูกจำคุกในช่วงต้นยุคคริสตทศวรรษ 1990s รังเกลบอกว่าเรื่องเชื้อชาติถูกนำมาอ้างใช้สร้างความเกลียดชังและความรุนแรงได้ง่าย การลดทอนความเป็นมนุษย์ของอีกเชื้อชาติหนึ่งก็ทำให้พวกนีโอนาซีเหล่านี้รู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าชาวอเมริกันคนอื่นๆ และแม้กระทั่งกับฝ่ายขวาอื่นๆ

มีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยอาร์คันซอ มีนักจิตวิทยา แพทริค ฟอร์ชเชอร์ และอาจารย์ด้านการจัดการ นูร์ คเทลลี สำรวจกลุ่มที่เรียกตัวเองเป็น "ขวาทางเลือก" ที่จริงๆ แล้วก็คือพวกเชื้อชาตินิยมคนขาวแบบสุดโต่ง ซึ่งคนเหล่านี้เองก็นิยามไม่ได้ชัดเจนกว่าขวาทางเลือกที่ว่าเป็นแบบใด พวกเขาค้นพบอีกว่าคนกลุ่มนี้มักจะลักษณะก้าวร้าว และมีบุคลิกด้านลบมากๆ ในแง่การไม่สนใจผลกระทบที่จะเกิดกับคนอื่น ต่อต้านสังคม และขาดการเอาใจเขามาใสใจเรา

นอกจากนี้งานวิจัยเชิงจิตวิทยายังค้นพบอีกว่าขวาจัดเหล่านี้มีนิสัยพร้อมที่จะล่อลวงคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง และมีความหลงตัวเองมากกว่าคนที่ไม่ใช่ขวาจัด พวกเขายังมักจะลดทอนความเป็นมนุษย์ของคนกลุ่มอื่นๆ รวมถึงกลุ่มทางการเมืองด้วย อย่างไรก็ตามมีบางเรื่องที่พวกนิยามตนเองว่า "ขวาทางเลือก" เหล่านี้แตกต่างกัน คือบางส่วนจะเน้นกังวลเรื่องการทุจริตของรัฐบาล แต่อีกส่วนหนึ่งจะเน้นไปในแนวทางเชื้อชาตินิยมจัดมากกว่า

ฟอร์ชเชอร์กล่าวอีกว่ากลุ่มขวาจัดเหล่านี้มักจะแสดงออกในเรื่องการคุกคามคนอื่น การล่าแม่มดคนอื่นในโลกออนไลน์ (เช่นการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของคนอื่น) โดยที่กลุ่มขวาจัดรายงานพฤติกรรมแย่ๆ เหล่านี้อย่างตรงไปตรงมา สิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงกับพฤติกรรมก้าวร้าว ฟอร์ชเชอร์จึงบอกว่าควรมีการจริงจังกับการป้องกันไม่ให้พวกขวาจัดก่อเหตุรุนแรงแบบในชาร์ล็อตต์สวิลล์อีก

ในแง่ที่ว่ากลุ่มขวาจัดพวกนี้จริงๆ แล้วเป็น "คนจน" หรือไม่ ผลการสำรวจวิจัยออกมาว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงกังวลอะไรทางเศรษฐกิจเลย อีกทั้งยังคงมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่สิ่งที่พวกเขากลัวมากกว่าคือ "กลัวว่าตัวเองจะถูกแทนที่" จากกลุ่มผู้อพยพและคนนอกประเทศ เรื่องหลังนี้ทำให้พวกเขามองตัวเองเป็น "เหยื่อ"

การจะนำกลุ่มขวาจัดออกมานั้นเป็นเรื่องยาก มีงานวิจัยพบว่าคนที่ค้นพบว่าตนเองก็ไม่ได้มีบรรพบุรุษเป็นคนขาวก็ยังคงเข้าร่วมกับกลุ่มเชื้อชาตินิยมคนขาวแบบสุดโต่งต่อไป เคยมีการตรวจสอบจากนักวิทยาศาสตร์ของสถาบันเพื่อสังคมและพันธุศาสตร์พบว่ามีคนที่เข้าร่วมเว็บบอร์ดขวาจัดอย่างสตอร์มฟรอนต์ที่ตั้งมาตั้งแต่ปี 2539 พบว่ามีหนึ่งในสามที่รู้สึก "ผิดหวัง" เมื่อพบว่าตนเองไม่ได้มีบรรพบุรุษเป็นชาวยุโรป อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับกลุ่มที่ให้คุณค่ากับความบริสุทธิ์ทางเชื้อชาติพวกเขาไม่ขับไล่คนที่ไม่ได้มีเลือดบริสุทธิ์ออกจากกลุ่มแต่พยายามปฏิเสธหรือต่อต้านการทดลองนี้มากกว่า บางครั้งถึงขั้นบอกว่าการทดลองทางพันธุกรรมเช่นนี้เป็น "การสมคบคบคิดของพวกยิว" ที่ทำให้คนขาวสงสัยในบรรพบุรุษทางพันธุกรรมของตนเอง

ในอีกมุมหนึ่ง นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แอรอน พานอฟสกี ก็ศึกษาพบว่าเว็บของพวกขวาจัดอย่างสตอร์มฟรอนต์ก็มีการสร้างความเป็นชุมชนและความรู้สึกใกล้ชิด มีการให้คำปรึกษาเรื่องการเดท เรื่องการจัดการปัญหากับครอบคัวที่อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับอุดมการณ์ของพวกเขาแต่ก็มีลักษณะแบบชุมชน

ทางด้านรังเกลให้คำแนะนำว่า เวลาเขาจะ "บำบัด" คนหลุ่มนี้เขาจะทำตัวให้ดูเหมือนว่า "ผมไม่ได้มาอยู่ตรงนี้เพื่อท้าทายคุณ ผมอยู่เพื่อรับฟังคุณ ผมอยู่ที่นี่เพื่อร่วมพื้นที่กับคุณ" พอถึงจุดหนึ่งแล้วรังเกลเองก็จะตั้งคำถามท้าทายความเชื่อของพวกเขาแต่ด้วยบรยากาศที่มีความเห็นใจและความจริงใจ อีกประการหนึ่งคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีการสนับสนุนทางสังคมและการเห็นคุณค่าความหมายในตัวเอง ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการมาแทนที่สิ่งที่พวกเขาได้รับจากการเข้าร่วมกับกลุ่มขวาจัดได้

เรียบเรียงจาก

Psychology of Hate: What Motivates White Supremacists?, Live Science, 17-08-2017 
https://www.livescience.com/60157-what-motivates-white-supremacists.html

Psychologists surveyed hundreds of alt-right supporters. The results are unsettling., Vox, 15-08-2017
https://www.vox.com/science-and-health/2017/8/15/16144070/psychology-alt-right

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

Timeline: ปั้นนโยบายช่วยชาวนา เป็น ‘อาชญากรรมจำนำข้าว’

Posted: 23 Aug 2017 04:49 AM PDT

ชวนสำรวจเส้นทางการปลุกปั้นนโยบายช่วยชาวนา เป็น 'อาชญากรรมจำนำข้าว' ไล่เรียงไทม์ไลน์ก่อนถึงวันพิพากษาคดีประวัติศาสตร์อีกหนึ่งคดี ซึ่งคำพิพากษาอาจส่งผลต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในอนาคต ใครบ้างที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ใกล้เข้ามาอีกเพียงไม่กี่อึดใจสำหรับคำพิพากษาคดีจำนำข้าว ซึ่งจะมีการชี้ขาดโดยคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่ 25 สิงหาคม 2560 โดยคดีดังกล่าวอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้อง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ในข้อหากระทำความผิดต่อตำแหน่งราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ประกอบกับฐานความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 จากกรณีปล่อยปละละเลยไม่ยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวซึ่งทำให้รัฐได้รับความเสียหายมูลค่า 5 แสนล้านบาท

ไม่ว่าผลของคำพิพากษาจะออกมาในรูปแบบใดก็ตาม แต่นัยสำคัญอย่างหนึ่งคือคดีนี้จะเป็นคดีที่ถูกจดจำในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย และอาจกลายเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินใจดำเนินนโยบายของรัฐบาลต่อไปในอนาคต ดังที่ อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เคยให้สัมภาษณ์กับประชาไทไว้ว่า

"ผมคิดว่า ในที่สุดแล้ว ไม่ว่าคดียิ่งลักษณ์จะออกมาอย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราต้องมองข้ามไปให้ไกลกว่านั้นก็คือว่า คดียิ่งลักษณ์เป็นตัวชี้อนาคตสังคมไทย คือท้ายสุดแล้ว รัฐพันลึกจะคุมสังคมไทย เขาอาจจะอยู่อีก 10 ปี 20 ปี หรืออย่างที่อาจารย์เสกสรรค์ (ประเสริฐกุล) บอกว่าคงอยู่อีกนาน สังคมไทยจะเผชิญหน้ากับกลุ่มคณาธิปไตยภายใต้ฉากประชาธิปไตย และคณาธิปไตยกลุ่มนี้คือคณาธิปไตยที่ครองอำนาจในสังคมไทยมาเนิ่นนาน และประสงค์ที่จะครองต่อไปให้ยาวนานที่สุด สังคมไทยควรต้องคิดเรื่องนี้กันให้มาก" (อ่านต่อที่นี่)

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นประชาไทชวนย้อนมองที่มาที่ไปที่เกิดขึ้นจากจุดเริ่มต้นโครงการจำนำข้าว สู่การนำเรื่องเข้าพิจารณากระบวนการยุติธรรม ก่อนจะถึงวันพิพากษา

คลิกดูภาพขนาดใหญ่ที่นี่

จากนโยบายที่ใช้หาเสียงสู่คดีความทางอาญา

หลังจากชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้เข้าแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ภารกิจหนึ่งที่รัฐบาลรับปากว่าจะทำให้สำเร็จเพราะเป็นหนึ่งในนโยบายที่ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งทั่วไปคือ การผลักดันโครงการรับจำนำข้าว ท่ามกลางกระแสการตั้งคำถามต่อความเสี่ยง และความเสียหายของรัฐ จากการดำเนินนโยบายดังกล่าว

ผ่านไปแค่ปีเดียวมีผู้ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ตรวจสอบคดีจำนำข้าว

ผ่านไปได้ราวปีเศษนับจากวันที่ 7 ตุลาคม 2554 วันแรกที่มีการเริ่มดำเนินนโยบาย ถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2555 สมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ได้ยื่นเรื่องต่อประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) ขอให้ไต่สวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล

โดยสมศักดิ์กล่าวว่า ที่ผ่านมา ป.ป.ช. ได้ติดตามนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล และมีข้อมูลว่าการดำเนินการก่อให้เกิดปัญหาอย่างมาก โดยเฉพาะการทุจริตเชิงนโยบาย ทั้งยังได้ให้ข้อเสนอแนะกับรัฐบาลไปแล้ว พรรคการเมืองใหม่เห็นว่า การใช้คำว่ารับจำนำเป็นนโยบายที่ไม่ถูกต้องตามความหมายที่แท้จริง นอกจากนี้ ยังขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 84 ว่าด้วยรัฐต้องสนับสนุนเศรษฐกิจแบบเสรีและเป็นธรรม นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ไต่สวนกรณีโครงการรับจำนำข้าวอีกคือ ประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) , นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากพรรคประชาธิปัตย์ ในช่วงเวลาห่างกันประมาณ 1 ปี

ป.ป.ช. เริ่มกระบวนการไต่สวนความผิด

จากการยื่นเรื่องไปยัง ป.ป.ช. ในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2555  กล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช.แถลงภายหลังการประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ว่า ที่ประชุมมีมติตั้งอนุกรรมการไต่สวนบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จากกรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ตามที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยื่นคำร้องมา เนื่องจากเห็นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอ โดยมีกรรมการ ป.ป.ช. 3 คน ประกอบด้วยตน วิชา มหาคุณ และ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง ร่วมกันรับผิดชอบ

20 ธ.ค. 2557 วิชา มหาคุณ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ได้แถลงความคืบหน้าในกระบวนการไต่สวนว่า นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ และรักษาการผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจรายสาขาด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมชนบท สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้นำข้อมูลที่ทีดีอาร์ไอ ลงพื้นที่เก็บข้อมูลทำวิจัยเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว แล้วพบความผิดปกติ โดยเฉพาะใบส่งมอบข้าว มามอบให้กับอนุกรรมการไต่สวน ตอนนี้ข้อมูลเกี่ยวกับทุจริตโครงการรับจำนำข้าว อยู่ในมือ ป.ป.ช. เป็นจำนวนมาก ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการไต่สวน และยังทำให้สามารถขยายผลได้ โดยหลังจากนี้ จะมีการไต่สวนผู้รับซื้อข้าวให้ครบ และคาดว่า ประมาณกลางเดือนมกราคม คณะทำงานคงสรุปได้ว่า จะสามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้หรือไม่

ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหา บุญทรง พร้อมลงมติให้ไต่สวน ยิ่งลักษณ์ เพิ่มเติม

ต่อมาเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2557 ป.ป.ช. มีมติแจ้งข้อกล่าวหากับ บุญทรง เตริยาภิรมย์ พร้อมพวกรวม 15 ราย ในข้อหาทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หลังจากไต่สวนพบว่า ไม่มีการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ กับทางประเทศจีนจริงตามที่สัญญากล่าวอ้าง ซึ่งไม่ปรากฏว่ารัฐวิสากิจของประเทศจีนที่เข้ามาทำสัญญาซื้อขายได้รับมอบหมายจากทางการประเทศจีน และไม่มีการส่งข้าวออกนอกราชอาณาจักรไทย

ทั้งนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังมีมติเห็นชอบตามอนุคณะกรรมการเสนอ ให้ไต่สวนเพิ่มเติมยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) โดยเห็นว่าได้ละเลย ไม่ระงับยับยั้ง การดำเนินการโครงการรับจำนำข้าว ทั้งที่ทราบข้อท้วงติงและความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจมีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

กปปส. ออกโรงกดดัน ปั่นกระแส 'ยิ่งลักษณ์ โกงข้าว' พร้อมกดดันออมสินไม่ปล่อยกู้เงินให้รัฐบาลจ่ายชาวนา

ในฝั่งความเคลื่อนไหวการเมืองบนท้องถนน เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2557 ถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส.เวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ได้นำมวลชนเดินทางมาถึงสำนักงานใหญ่ ธนาคารออมสิน ตามที่สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ประกาศบนเวทีเมื่อคืนวันที่ 19 มกราคม 2557

โดยเมื่อเดินทางไปถึง ลิขิต กลิ่นถนอม ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจธนาคารออมสิน และรองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาทรัพยากรบุคคล ออกแถลงการณ์กับผู้สื่อข่าวในนามของสหภาพฯ โดยระบุว่า ตามที่มีกระแสข่าวว่าธนาคารออมสินปล่อยกู้ในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลนั้น ทางสหภาพฯ ขอให้ประชาชนสบายใจได้ว่า หากมีการปล่อยกู้ดังกล่าวจริง ทางสหภาพแรงงานฯ และชาวออมสินพร้อมจะรวมพลังคัดค้านและต่อต้านอย่างถึงที่สุด เพราะพวกเรามีหน้าที่ปกป้ององค์กร และเงินฝากของประชาชน ด้วยชีวิต เกียรติและศักดิ์ศรี และหากมีใครมาคิดบ่อนทำลายธนาคารคนผู้นั้นจะต้องบรรลัยย่อยยับ

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ได้เตรียมน้ำ-กาแฟ-ขนม พร้อมโต๊ะหน้าอาคารไว้ให้ กปปส.พักผ่อนด้วย

ป.ป.ช. มีมติแจ้งข้อกล่าวหา ยิ่งลักษณ์

ต่อมา 28 มกราคม 2557 ป.ป.ช. มีมติให้ดำเนินการไต่สวน ยิ่งลักษณ์ ในกรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว ที่ก่อให้เกิดความเสียหายที่เห็นได้อย่างชัดเจน รวมทั้ง ป.ป.ช. เคยมีหนังสือเตือนไปแล้วถึง 2 ครั้ง โดยให้รวมสองกรณีไว้ในคราวเดียวกันคือ การไต่สวนเพื่อชี้มูลความผิดตามมาตรา 157 และการพิจารณาคำร้องกรณีที่ประธานวุฒิสภาส่งเรื่องที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 146 คน ร้องขอให้ถอดถอน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากตำแหน่ง จากการดำเนินการนโยบายรับจำนำข้าวที่ผิดพลาด ส่งผลขาดทุนกระทบต่อการส่งออกข้าว และถัดมา 21 วัน ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 ป.ป.ช. มีมติเรียก ยิ่งลักษณ์ มาเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 โดยระบุความผิดของผู้ถูกกล่าวหาว่า(โดยยิ่งลักษณ์ได้ส่งทนายความเข้ารับทราบข้อกล่าวหาแทน จากนั้น ป.ป.ช. มีมติขยายเวลาให้ยิ่งลักษณ์เข้าชี้แจงข้อกล่าวหาในวันที่ 31 มีนาคม 2557)

"ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการหรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และเป็นการจงใจใช้อํานาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 178 อันเป็นเหตุแห่งการถอดถอนออกจากตําแหน่งตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 270"

ผู้จัดการออนไลน์รายงานข่าว ชาวนาฆ่าตัวตาย เพราะไม่ได้รับเงินจำนำข้าว

18 กุมภาพันธ์ 2557 ผู้จัดการออนไลน์ รายงานข่าว พิเชษฐ์ เพชรรัตน์ ชาวนาอำเภอราชสาส์น จ.ฉะเชิงเทรา เกิดความเครียดกินยาฆ่าแมลงจนเกือบหมดถัง กว่าครอบครัวจะเห็นและนำส่งโรงพยาบาล พิเชษฐ์ ก็เสียชีวิตแล้ว

พี่ชายผู้ตาย เผยว่าพิเชษฐ์ ได้ไปกู้ยืมเงินจาก ธกส.เพื่อต่อทุนเกือบ 200,000 บาท หวังจะได้รับเงินจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล จำนวน 170,000 บาท มาใช้หนี้ แต่เกือบ 5 เดือน ยังไม่ได้เงิน ทำให้เงินที่กู้ยืมมาเริ่มหมด สุดท้ายหาทางออกให้กับชีวิตไม่ได้ จึงคิดสั้นฆ่าตัวตาย

ซึ่งศพได้นำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดจระเข้ตาย และได้ฌาปนกิจศพไปเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา นับเป็นรายที่ 8 แล้ว ที่ฆ่าตัวตายเพราะความเครียดจากโครงการรับจำนำข้าว

พญาราชสีห์แห่งเวทีแจ้งวัฒนะ พามวลชนกดดันอัยการสูงสุดให้ดำเนินคดีกับ ยิ่งลักษณ์

27 กุมภาพันธ์ 2557 พุทธะอิสระ แกนนำ กปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ พร้อมด้วย ระวี รุ่งเรือง ประธานเครือข่ายชาวนาไทย และณัฐวัฒน์ ชั้นอินทร์งาม ผู้ประสานงานชาวนา นำชาวนาจำนวนหนึ่งเดินทางมายังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อทวงถามความคืบหน้าในการดำเนินการทวงเงินค่าจำนำข้าวจากรัฐบาล รวมทั้งเอาผิดต่อ ยิ่งลักษณ์ กรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ภายหลังจากที่มายื่นเรื่องเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2557

ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการในหน้าที่เลขานุการอัยการสูงสุด และวินัย ดำรงค์มงคลกุล ผู้ตรวจการอัยการ มาให้คำตอบเรื่องดังกล่าว ว่าการดำเนินการขาดเอกสารจากชาวนา อาทิ ใบประทวนข้าว จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการคืบหน้าได้

เมื่อมวลชนได้รับคำตอบเช่นนี้ก็ไม่พอใจ ต่างส่งเสียงตะโกนด่า และเป่านกหวีดขับไล่ ทำให้พุทธะอิสระต้องขอให้เงียบเสียง พร้อมประกาศว่าการกระทำของ อัยการสูงสุดเหมือนไม่ให้ความสำคัญปัญหาชาวนาถูกโกง เพราะยื่นเรื่องไว้กว่า 2 สัปดาห์แล้ว

ยิ่งลักษณ์ ชี้แจงข้อกล่าวหา พร้อมระบุกระบวนการไต่สวนไม่เป็นธรรม

31 มีนาคม 2557 ยิ่งลักษณ์ เข้าชี้แจงข้อกล่าวหา โดยชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรมีความยาว 151 หน้า สาระสำคัญที่ได้ชี้แจงต่อ ป.ป.ช. คือ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมชี้ว่า กระบวนการรับคำร้องและการเริ่มต้นคดีของ ป.ป.ช. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีการใช้อำนาจเกินขอบเขต คณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงไม่ชอบด้วยกฎหมาย คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวนโดยไม่เป็นธรรม รวบรัด รีบร้อน เร่งรีบ อย่างเป็นพิเศษ ฯลฯ (อ่านสาระสำคัญฉบับเต็มที่นี่) ขณะเดียวกันยิ่งลักษณ์ ขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.สอบพยานเพิ่มเติมอีก โดยอ้างว่าแต่ละคนล้วนเป็นบุคคลที่เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวทั้งหมด สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการ ที่มาของโครงการ รวมไปถึงผลดีระหว่างดำเนินโครงการว่าเป็นอย่างไร รวมทั้งขอขยายเวลาส่งเอกสารเพิ่มเติม

หลังจากการยื่นขอให้ไต่สวนพยานเพิ่มเติม 11 ปาก ก็มีการยื่นขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. สืบพยานเพิ่มอีกถึงสองครั้ง รวมพยานที่ยิ่งลักษณ์มอบหมายให้ทนายความคือ บัญชา ปรมีศณาภรณ์ และนรวิชญ์ หล้าแหล่ง เข้ายื่นขอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีทั้งสิ้น 17 ปาก

ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาความเหมาะสม และมิติด้านข้อมูลที่พยานแต่ละคนจะมาให้ปากคำแล้ว เพื่อลดความซ้ำซ้อนด้านข้อมูลจึงมีมติอนุมัติให้มีการสืบพยานเพิ่มเพียง 4 ปาก คือ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รักษาการรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ ยรรยง พวงราช รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และมีมติไม่ลงตรวจสอบสต๊อกข้าวเพิ่มเติมตามคำร้องของยิ่งลักษณ์

ป.ป.ช. มีมติถอดถอนซ้ำ ยิ่งลักษณ์ หลังถูกศาล รธน. ถอดถอนเหตุย้ายถวิล เปลี่ยนศรี เพียง 1 วัน

ท้ายที่สุดวันที่ 8 พฤษภาคม 2557 หลังจากวันที่ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ตัดสินความผิดให้ถอดถอนยิ่งลักษณ์กรณีโยกย้ายถวิล เปลี่ยนศรี เพียงหนึ่งวัน ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ในการชี้มูลความผิดฐานละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี โดยมีมติเป็นเอกฉันท์ชี้มูลให้ถอดถอน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และถัดมาถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ายึดอำนาจการปกครอง

ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2557 ป.ป.ช. มีมติให้ดำเนินคดีอาญากับยิ่งลักษณ์

ก่อนจะถึงวันพิพากษา

สนช. ลงมติถอดถอน ยิ่งลักษณ์ กรณีจำนำข้าว ตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี

23 มกราคม 2558 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งได้มาจากการแต่งตั้งโดย คสช. ลงมติถอดถอนยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากการกรณีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายโครงการจำนำข้าว ด้วยคะแนนเสียง 190-8 เสียง และงดออกเสียง 8 เสียง บัตรเสีย 3 เสียง ส่งผลให้ยิ่งลักษณ์ โดนโทษตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี

อัยการสูงสุดยื่นเรื่องฟ้องคดียิ่งลักษณ์

สำหรับการดำเนินคดีความทางอาญากับยิ่งลักษณ์นั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2558 โดยอัยการสูงสุด ได้ยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ซึ่งละเลยไม่ยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท ต่อมาอีกหนึ่งเดือนองค์คณะผู้พิพากษา มีคำสั่งประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อม.22/2558 โดยองค์คณะผู้พิพากษาซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาประกอบด้วย

1.ไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานแผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกา

2.วิรุฬห์ แสงเทียน ประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา

3.ธนฤกษ์ นิติเศรณี ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา

4.ธนสิทธ์ นิลกำแหง ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา

5.ศิริชัย วัฒนโยธิน รองประธานศาลฎีกา

6.ชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา

7.วีระพล ตั้งสุวรรณ รองประธานศาลฎีกา

8.อุบลรัตน์ ลุยวิกกัย ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา

9.ธานิศ เกศวพิทักษ์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา

ศาลออกนั่งบัลลังก์ครั้งแรก ยิ่งลักษณ์ประกันตัว 30 ล้านบาท ศาลสั่งห้ามออกนอกประเทศ

ต่อมาวันที่ 19 พฤษภาคม 2558 ศาลออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีความครั้งแรก โดยยิ่งลักษณ์ ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และพร้อมสู้คดี วีระพล ตั้งสุวรรณ รองประธานศาลฎีกา ในฐานะผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้กับ ยิ่งลักษณ์ ฟัง มีใจความโดยสรุปว่า ระหว่างเดือนสิงหาคม 2554 – เดือนพฤษภาคม 2557 จำเลยดำรงตำแหน่งเป็นนายกฯ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและเจ้าพนักงานตามกฎหมาย มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 รวมถึงเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ คดีนี้จำเลยได้ดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวเปลือก รวม 5 โครงการ ได้แก่ ข้าวนาปี 2554/2555 ข้าวนาปรัง 2555 ข้าวนาปี 2555/2556 ข้าวนาปรัง 2556 และข้าวนาปี 2556/2557

ระหว่างดำเนินการตามนโยบายนี้ มีข้อทักท้วงทั้งก่อนและระหว่างดำเนินการจากหลายหน่วยงาน ทั้ง ป.ป.ช., สตง., กระทรวงการคลัง, สำนักงบประมาณ รวมไปถึงพรรคฝ่ายค้าน ว่านโยบายนี้มีแนวโน้มจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อคุณภาพข้าว บิดเบือนกลไกตลาด และเกิดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งจำเลยและคณะรัฐมนตรี จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบระมัดระวัง ทั้งในการกำหนดราคารับจำนำอย่างสมเหตุสมผล และมีมาตรการป้องกันความเสียหายจากการทุจริตและระบบเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ยิ่งลักษณ์ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยยื่นหลักทรัพย์เป็นบัญชีเงินฝาก 30 ล้านบาท ศาลอนุญาตให้ประกัน แต่มีเงื่อนไขห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล

ศาลยกคำร้องรอการพิจารณา หลังยิ่งลักษณ์ยื่นพิจารณาขอบเขตอำนาจศาล

31 สิงหาคม 2558 ศาลออกนั่งบัลลังก์ เริ่มกระบวนการตรวจหลักฐานและพยานบุคคล พยานเอกสารของฝ่ายโจทก์และจำเลย ทั้งนี้ศาลได้อ่านคำร้องของจำเลยขอให้ศาลรอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว เนื่องจากเห็นว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาฯ แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองและได้ทำความเห็นส่งไปให้ศาลปกครองพิจารณา ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10 แล้ว โดยโจทก์ได้รับสำเนาและคัดค้านว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาฯ ไม่ได้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง

องค์คณะฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ และพ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 9 (1) บัญญัติให้ศาลมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่มีมูลแห่งคดีเป็นการกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ตามกฎหมายอื่น แม้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 จะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 24/2557 ก็ยังให้ พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาฯ มีผลใช้บังคับต่อไป

เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้อง กล่าวหาจำเลยเกี่ยวกับความรับผิดในการปฏิบัติหน้าที่และขอให้ลงโทษทางอาญา ซึ่งตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 11 (1)-(9) ไม่มีกรณีใดเลยที่ให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา ดังนั้น กรณีที่จำเลยยื่นคำร้อง จึงไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดฯ มาตรา 10 วรรคหนึ่ง จึงไม่มีเหตุที่จะรอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว ให้ยกคำร้อง

ศาลยกคำร้อง หลังยิ่งลักษณ์ขอศาลไม่รับบัญชีพยานโจทก์ ซึ่งเห็นว่าเพิ่มเติมเข้ามาโดยไม่สุจริต

ส่วนที่ทนายจำเลย ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2558 คัดค้านพยานบุคคล 23 ปาก และพยานเอกสารของโจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์เพิ่มเติมพยานโดยไม่สุจริต มุ่งเอาเปรียบจำเลยโดยไม่เป็นธรรม เพราะเป็นพยานหลักฐานที่ไม่มีการไต่สวนมาก่อน จึงขอให้ศาลไม่รับบัญชีพยานดังกล่าวเข้าสู่สำนวน

องค์คณะฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาฯ มาตรา 5 ให้ศาลยึดรายงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เป็นหลักในการพิจารณาคดี แต่ก็ให้อำนาจศาลไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร โดยศาลมีอำนาจเรียกเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากบุคคล หรือเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำ และจำเลยก็มีสิทธิ์นำพยานเข้าไต่สวนเพื่อหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้อยู่แล้ว กรณีนี้จึงไม่มีเหตุที่จะไม่รับบัญชีพยานของโจทก์ตามที่จำเลยคัดค้าน ให้ยกคำร้องดังกล่าว

ต่อมาวันที่  29 ตุลาคม 2558 ศาลได้กำหนดให้อัยการโจทก์นำพยานไต่สวนทั้งหมด 14 ปาก ส่วนพยานจำเลยมีทั้งหมด 42 ปาก ขณะที่การไต่สวนพยานเริ่มต้นนัดแรกในวันที่ 15 มกราคม 2559 และสิ้นสุดลงในวันที่ 29 กรกฎาคม 2560

ศาลยกคำร้อง หลังยิ่งลักษณ์ขอศาลออกไปเผชิญสืบโกดังข้าว 16 แห่งในจังหวัดอ่างทอง

อย่างไรก็ตามในวันที่ 29 มิถุนายน 2560 ยิ่งลักษณ์ ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกไปเผชิญสืบโรงสีข้าว และคลังข้าวจังหวัดอ่างทอง 16 แห่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ได้เข้าไปตรวจแล้วไม่พบความเสียหาย เพื่อตรวจสอบให้พบความจริงว่า ข้าวเสียหรือไม่นั้น ศาลเห็นว่าข้าวเป็นธัญพืชชนิดหนึ่งที่เสื่อมได้ตามกาลเวลา ขณะนี้ผ่านมาเป็นเวลา 2 ปีเศษแล้ว เป็นปัญหาข้อเท็จจริง การเดินเผชิญสืบไม่จำเป็นแก่คดี จึงให้ยกคำขอของจำเลย

ศาลยกคำร้อง หลังยิ่งลักษณ์ขอศาลพิจาณาการเพิ่มเติมพยานเอกสาร 7 หมื่นของโจทก์ ซึ่งไม่อยู่ในสำนวน ของ ป.ป.ช.

7 กรกฎาคม 2560 ยิ่งลักษณ์ ยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามาตรา 5 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 ขัดหรือแย้งกับมาตรา 235 วรรค 6 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 หรือไม่ หลังโจทก์อาศัยช่องทางตามกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาฯ เพิ่มเติมพยานหลักฐานใหม่โดยเฉพาะพยานเอกสารเกือบ 7 หมื่นแผ่นเข้ามาในคดี ทั้งที่ไม่อยู่ในสำนวนของ ป.ป.ช. ขณะที่รัฐธรรมนูญที่เพิ่งประกาศใช้บัญญัติว่า "การพิจารณาของศาลฎีกาฯ ให้นำสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. เป็นหลักในการพิจารณา" และกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมว่า "เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ให้ศาลมีอำนาจไต่สวนข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้"

21 กรกฎาคม 2560 ศาลยกคำร้องขอส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่า การพิจารณาคดีนี้ศาลได้ให้โอกาสทั้งสองฝ่ายเต็มที่แล้ว ในการพยานหลักฐานเข้าไต่สวน จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญ 2560

ยิ่งลักษณ์ แถลงปิดคดี ระบุหมดใจถูกดำเนินคดีโดยไม่เป็นธรรม

1 สิงหาคม 2560 ยิ่งลักษณ์ แถลงปิดคดี โดยระบุตอนหนึ่งว่า ดิฉันขอใช้โอกาสนี้ กล่าวกับทุกท่านอย่างหมดใจในวันนี้ ในเรื่องที่ดิฉันถูกดำเนินคดีโดยไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรมและตลอดเวลาที่ดิฉันได้นั่งรับฟังการพิจารณาคดีนี้ นับตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2559 และสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2560 รวมการไต่สวนของศาลในคดีนี้ทั้งหมด 26 นัด เป็นเวลา 1 ปี 6 เดือนที่ดิฉันไม่เคยขาดนัดพิจารณาคดีของศาลแม้แต่สักครั้งเดียว ทั้งนี้เพราะดิฉันมั่นใจในความบริสุทธิ์ว่าไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาที่มีต่อดิฉัน

ด้วยความเคารพต่อทุกท่านที่เป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนี้ หากมีถ้อยคำใดที่ดิฉันเปิดใจกล่าวอย่างตรงไปตรงมานั้น ดิฉันไม่ได้มีเจตนาอื่นใดและไม่ได้ประสงค์จะใส่ร้ายหรือใส่ความผู้ใด ดิฉันเพียงต้องการให้การพิพากษาคดีที่ดิฉันถูกกล่าวหาในครั้งนี้เป็นไปโดยถูกต้อง เที่ยงธรรม ตามรัฐธรรมนูญกฎหมาย ภายใต้หลักนิติธรรมที่ดิฉันไม่เคยได้รับจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. และโจทก์ในคดีนี้มาก่อน

(อ่านคำแถลงปิดคดีของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่นี่)

25 สิงหาคม 2560 ศาลนัดฟังคำพิพากษา

........................................................................................................................................................................

 

หมายเหตุ: เจ้าของสำนวนคดีจำนำข้าว เดิมเป็นวีระพล ตั้งสุวรรณ รองประธานศาลฎีกา แต่แจ้งขอถอนตัวจากองค์คณะหลังได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นประธานศาลฎีกา จึงเปลี่ยนเจ้าของสำนวนใหม่เป็นชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สตั้น 10 วิ ทหารเบิกความยันชูป้ายค้านรัฐประหาร = ทำลายประชาธิปไตย ต้องรับโทษ

Posted: 23 Aug 2017 02:27 AM PDT

ผบ.ร้อย.สห.มทบ.23 พยานโจทก์คดี 'ไผ่' และ 'ดาวดิน' ชูป้ายต้านรัฐประหาร ระบุ การชูป้ายดังกล่าว เป็นการทำลายประชาธิปไตย ต้องรับโทษและถูกปรับทัศนคติ ด้านอัยการทหารขอแก้ฟ้องขอศาลนับโทษคดีนี้ต่อจากคดี 112 โดยไม่ให้หักวันขังที่ทับซ้อนกับหมายขังคดีนั้น

23 ส.ค. 2560 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลมณฑลทหารบกที่ 23 (มทบ.23) นัดสืบพยานคดีชูป้ายคัดค้านรัฐประหาร หมายเลขคดีดำที่ 61/2559 ซึ่ง จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ  'ไผ่ ดาวดิน' อดีตนักศึกษา/นักกิจกรรม เป็นจำเลย ในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ที่ 3/2558 ชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป 

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิฯ รายงานด้วยว่า ก่อนเริ่มสืบพยาน อัยการศาล มทบ.23 ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้อง (ครั้งที่ 2) ศาลรับไว้ โดยทนายจำเลยขอยื่นคำแถลงคัดค้านคำร้องดังกล่าวในนัดหน้า ศาลจึงยังไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องตามที่ยื่นคำร้องมา โดยขอดูคำคัดค้านของทนายจำเลยก่อน

โดยในวันนี้ (22 ส.ค.60) อัยการนำพยานโจทก์ ร.อ.อภินันท์ วันเพ็ชร ผู้บังคับกองร้อยสารวัตร มทบ.23 ซึ่งเป็นผู้ร่วมจับกุมจำเลยกับพวกในวันเกิดเหตุ เข้าตอบคำถามค้านของทนายจำเลย ต่อจากที่เคยเข้าเบิกความตอบโจทก์ไว้ในการสืบพยานนัดแรก เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา ทั้งนี้การพิจารณาคดีนี้ยังคงเหลือการสืบพยานโจทก์อีก 3 ปาก และพยานจำเลย 3 ปาก โดยนัดต่อไป โจทก์จะนำพยานที่เป็นนักข่าว ซึ่งบันทึกภาพเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ และพนักงานสอบสวนในคดีเข้าเบิกความ ในวันที่ 29 ก.ย.นี้

ร.อ.อภินันท์ เบิกความตอนหนึ่งว่า การรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 57 คสช. ได้ฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 แต่พยานไม่เห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย หรือเป็นกบฎในราชอาณาจักร แต่เป็นการกระทำที่น่าชื่นชมและสนับสนุน จำเลยจึงไม่ควรมาคัดค้าน การกระทำของจำเลยกับพวกที่ไปชูป้าย "คัดค้านรัฐประหาร" นั้น แม้จะเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต แต่เป็นการทำลายประชาธิปไตย สมควรได้รับโทษและปรับทัศนคติ

สำหรับบรรยากาศภายในศาล มทบ.23 มีศิลปินและประชาชนทั่วไปเดินทางมารอให้กำลังใจ จตุภัทร์ และร่วมฟังการพิจารณาคดีกว่า 60 คน โดยสารวัตรทหารจัดให้เข้าเยี่ยม 'ไผ่' ที่ห้องขังใต้ศาลรอบละ 5 คน และอนุญาตให้เข้าฟังการพิจารณาคดีได้เพียง 15 คน เนื่องจากห้องพิจารณามีขนาดเล็ก ทั้งนี้ มีตัวแทนของคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) เข้าร่วมสังเกตการณ์การพิจารณาคดีด้วย โดย จตุภัทร์มีสีหน้าสดชื่น และนั่งฟังการซักค้านพยานด้วยความสนใจ

ทั้งนี้ คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้อง (ครั้งที่ 2) ของโจทก์ ระบุว่า เนื่องจากขณะนี้จำเลยอยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง มีกำหนดโทษ 2 ปี 6 เดือน ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 1945/2560 ของศาลจังหวัดขอนแก่น ยังไม่พ้นโทษ โจทก์จึงมีความประสงค์ขอเพิ่มเติมคำบรรยายฟ้อง และคำขอท้ายฟ้อง เพื่อให้ถูกต้องตรงความเป็นจริง โดยในส่วนของคำขอท้ายฟ้อง โจทก์ได้ขอเพิ่มเติมจากเดิมที่ระบุว่า "กับขอศาลได้โปรดนับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีหมายเลขดำที่ 1370/2559 ของศาลจังหวัดภูเขียว และริบป้ายประท้วงของกลางด้วย" เป็น "กับขอศาลได้โปรดนับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีหมายเลขดำที่ 1370/2559 ของศาลจังหวัดภูเขียว และขอศาลได้โปรดนับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีหมายเลขแดงที่ 1945/2560 ของศาลจังหวัดขอนแก่น และมิให้หักวันคุมขังคดีนี้ออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษาเนื่องจากทับซ้อนกับวันรับโทษจำคุกในคดีดังกล่าว และริบป้ายประท้วงของกลางด้วย"

คำขอท้ายฟ้องที่โจทก์ขอเพิ่มเติมมาในส่วนของการนับโทษนี้ หากศาลอนุญาตจะมีผลให้ กรณีที่ศาล มทบ.23 ลงโทษจำคุกจตุภัทร์ในคดีนี้ จตุภัทร์จะต้องถูกขังต่อจาก 2 ปี 6 เดือน ซึ่งเป็นโทษในคดี 112 ไปอีก โดยไม่หักวันที่ถูกขังตามหมายขังของศาล มทบ.23 ในระหว่างพิจารณา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ศาลขอนแก่นขังจตุภัทร์ในคดี 112 (นับตั้งแต่วันที่นายประกันขอถอนประกัน คือ วันที่ 27 มี.ค. 60 จนถึงวันที่ศาล มทบ.23 จะมีคำพิพากษา) ซึ่งเท่ากับว่าอัยการทหารต้องการให้จตุภัทร์รับโทษยาวขึ้น ซึ่งทนายจำเลยจะได้ทำคัดค้านยื่นต่อศาลต่อไป

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดขอนแก่นอ่านคำพิพากษาเป็นการลับ พิพากษาให้จตุภัทร์มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมฯ มาตรา 14(3) ลงโทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน โดยให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 61/2559 ของศาล มทบ.23 ตามที่พนักงานอัยการจังหวัดขอนแก่นขอไว้ในคำฟ้องเช่นกัน

ปัจจุบันจตุภัทร์ถูกขังอยู่ที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดขอนแก่น ตามหมายขังระหว่างอุทธรณ์ในคดี 112 ของศาลจังหวัดขอนแก่น, หมายขังระหว่างพิจารณาของศาล มทบ.23 ในคดีชูป้ายคัดค้านรัฐประหารนี้ และหมายขังระหว่างพิจารณาในคดีประชามติของศาลจังหวัดภูเขียว

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้สรุปคำให้การพยานของ ร.อ.อภินันท์ ไว้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.tlhr2014.com/th/?p=4972

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ประยุทธ์' โอดคนไทยไม่เข้าใจ ชี้ต่อให้ตนออกไป นักลงทุนก็ไม่กลับมา เหตุต้นทุนมันสูง

Posted: 23 Aug 2017 01:04 AM PDT

พล.อ.ประยุทธ์ ชี้คนไทยยังไม่เข้าใจ เหตุนักลงทุนต่างชาติย้ายฐานไปต่างประเทศ เพราะต้นทุนสูงไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆ มาแข่ง ระบุต่อให้ตนเองออกไป เขาก็ไม่กลับมา ยันไม่ท้อคะแนนนิยมลดลง แม้ความนิยมเหลือศูนย์ก็จะอยู่ต่อ

ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. 2560 ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล (ที่มาเว็บไซต์ทำเนียบฯ) 

23 ส.ค. 2560 มติชนออนไลน์รายงานว่า วันนี้ (23 ส.ค.60) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ.2560 ซึ่งจัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมกล่าวมอบโอวาทให้ว่า เช้านี้รู้สึกเหนื่อย ก็น่าจะจากการลงไปปฏิบัติภารกิจในต่างจังหวัดตลอด 2 วันมานี้ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีงานต่อเนื่องมาหลายวัน แต่เมื่อเจอพวกเราทุกคนก็จะมีแรงฮึดขึ้นมา ซึ่งต้องทำงานกันต่อไป เหนื่อยไม่ได้อยู่แล้ว และยิ่งได้เห็นทุกคนมีรอยยิ้ม ก็ยิ่งดี

"เหตุที่นักลงทุนต่างชาติย้ายฐานการลงทุนไปต่างประเทศ คนไทยยังไม่เข้าใจว่าเขาย้ายทำไม กลายเป็นว่ามาว่าผม ถ้าผมไม่อยู่ แล้วเขาจะกลับมาหรือไม่ อ้าว ผมจะไปให้ แต่เขาไม่มาหรอกครับ เพราะต้นทุนมันสูง และการผลิตก็ยังไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆ มาแข่งขัน ดังนั้น จึงต้องเปลี่ยนแปลงทางโครงการสร้างทั้งหมด อย่าให้เขามาพูดได้ว่า แม้แต่คนไทยยังไม่ลงทุนเลย ซึ่งเป็นเพราะผมอยู่ ไหนใครบอกว่า ผมอยู่แล้วไม่มีใครมาลงทุน แล้วคิดว่าถ้ามีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นนักการเมืองเข้ามา การลงทุนจะดีขึ้นหรือไม่ ผมไม่อยากยุ่งกับการเมือง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว 

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวด้วยว่า ทุกหน่วยงานต้องมีธรรมาภิบาล หากมีการร้องเรียนเรื่องการทุจริตเข้ามา ตนจะให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) โดยมีหน่วยงานตรวจสอบของทางราชการให้เข้าไปตรวจสอบทันที ฉะนั้น อย่าทุจริต เพราะเงินมาจากภาษีเป็นเงินของท่าน ตายไปก็เอาไปบาทเดียว ทั้งนี้ ไม่ได้ดูถูกใคร แต่เห็นใจลูกน้องท่าน หากเกิดการทุจริตลูกน้องก็โดนตรวจสอบ เพราะเขาเป็นคนทำเอกสาร
 

ไม่ท้อคะแนนนิยมลดลง แม้ความนิยมเหลือศูนย์ก็จะอยู่ต่อ

ขณะที่วานนี้ (22 ส.ค.60) Voice TV รายงานด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ประทับใจการเดินทางลงพื้นที่ จ.นคาราชสีมา ทั้งเรื่องคน อาหาร สถานที่ และหายเหนื่อยเมื่อได้เจอประชาชน พร้อมชี้แจง เรื่องที่พูดกฎหมายห้ามมีกิ๊ก ว่าเป็นการพูดเล่น เพือไม่ให้ประชาชนที่มาฟังปราศรัยง่วง เพราะเป็นคนตลก ชอบสร้างความสนุก ขู่พ่อบ้านเล่น แต่สื่อกลับไปเสนอข่าวที่จริงจัง 

พล.อ.ประยุทธ์ ยังระบุ ว่าไม่ต้องเอาผลสำรวจความนิยมมาชี้วัด เพราะอย่างไรก็ไม่ท้อแท้ แม้จะเหลือศูนย์ก็จะอยู่ต่อตามกฎหมาย 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เอ็มพาวเวอร์' ขอรัฐยุติล่อซื้อชี้กระทบสิทธิ หลัง จนท.บุกจับกุม พนง.บริการที่นนทบุรี

Posted: 23 Aug 2017 12:11 AM PDT

มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ ออกแถลงการณ์ปม จนท.บุกทลายเพื่อได้จับผู้หญิงเอาผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี ที่โรงแรมศรีสุข จ.นนทบุรี ขอรัฐยุติการล่อซื้อโดยทันที ทบทวน ก.ม.ดังกล่าว ไม่ให้พนักงานบริการมีความผิด 

23 ส.ค.2560 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ว่า 21 ส.ค.60 มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ ออกแถลงการณ์ต่อกรณีที่เจ้าหน้าที่บุกจับกุมพนักงานบริการ สืบเนื่องจากวันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา การบุกทลายเพื่อได้จับผู้หญิงเอาผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี ที่โรงแรมศรีสุข จ.นนทบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเป็นการปฏิบัติการที่ร่วมมือกันของส่วนกำกับสืบสวนและปราบปราม กรมการปกครอง กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.นนทบุรี เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการ จ.นนทบุรี กอ.รมน.จ.นนทบุรี พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ อส.ตำรวจ ทหาร กว่า 50 นาย เพื่อเข้าจับกุมหญิงสาว 22 คน นั้น

มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ ระบุว่าการล่อซื้อและจับกุมดังกล่าวเป็นประเด็นที่ที่มีความห่วงใยในด้านสิทธิมนุษยชนกันมาอย่างช้านาน ด้วยเหตุที่เกิดขึ้นดังกล่าวนี้ โดยเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยุติการล่อซื้อโดยทันที ยุติการใช้กำลังรุนแรงบุกทลาย ในการตรวจสถานบริการ แก้ไขทำให้ไม่มีการรีดไถต่อไป บังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานกับพนักงานบริการ และ ให้มีการทบทวน พ.ร.บ.ปรามค้าประเวณี ไม่ให้พนักงานบริการมีความผิด 

รายละเอียดแถลงการณ์ : 

พนักงานบริการ ทวงถามให้รัฐบาลปฏิบัติตามอนุสัญญา CEDAW

วันที่ 21 สิงหาคม 2560

          ในกลางดึกของวันที่ 19 สิงหาคม 2560 มีการบุกทลายเพื่อได้จับผู้หญิงเอาผิดตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีที่โรงแรมศรีสุข จังหวัดนนทบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเป็นการปฏิบัติการที่ร่วมมือกันของส่วนกำกับสืบสวนและปราบปราม กรมการปกครอง กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนนทบุรี เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการจังหวัดนนทบุรี  กอ.รมน.จ.นนทบุรี พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ อส. ตำรวจ ทหาร กว่า 50 นาย เพื่อเข้าจับกุมหญิงสาว 22 คน ข้อมูลที่สื่อรายงานยังระบุอีกว่านี่เป็นการปฏิบัติการการล่อซื้อก่อนมีการจับกุม

          กฎหมายได้จำกัดปฏิบัติการการล่อซื้อไว้อย่างชัดเจน ระบุตามประมวลกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญา พ.2477 มาตรา 226 ระบุไว้ว่าพยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือพยานบุคคลซึ่งน่า จะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ แต่ต้องเป็นพยานชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่น

          การล่อซื้อพนักงานบริการเป็นประเด็นห่วงใยด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยมานาน ตั้งแต่ก่อน 2546
ปี 2559 พนักงานบริการสมาชิกมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ ได้ร้องขอให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม) [1]ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการล่อซื้อ  กสม.นำโดยคุณ อังคณา นีละไพจิตร ได้ทำการตรวจสอบ  ระหว่างที่มีการตรวจสอบนั้นก็มีการล่อซื้อ บุกทลาย กวาดจับพนักงานบริการที่สถานประกอบการ 'นาตารี อาบ อบ นวด'  ซึ่งกสม.โดยคุณ อังคณา นีละไพจิตร ได้มีการตรวจสอบการปฏิบัติต่อพยานและเหยื่อจากการล่อซื้อและบุกทลายสถานประกอบการนาตารี
          ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีได้ลงนามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) และมีผลบังคับใช้กับประเทศไทย  มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ ได้ส่งรายงานเงา[2] ต่อคณะกรรมการ CEDAW ในรายงานของเราได้ระบุการล่อซื้อและความรุนแรงที่เกิดจาการบุกทลายซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ห่วงใยประเด็นหนึ่งของผู้หญิงในประเทศไทย

          คณะกรรมการ CEDAW ได้ถามคำถามต่อรัฐบาลไทย ซึ่งรัฐไทยได้นำเสนอรายงาน CEDAW เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา คณะกรรมการ CEDAW ได้แสดงความห่วงใยการใช้การล่อซื้อและการบุกทลายซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิผู้หญิงที่ทำงานเป็นพนักงานบริการในประเทศไทย

          ในครั้งนี้มีตัวแทนรัฐบาล 31ท่านที่ได้เดินทางไปตอบคำถามของคณะกรรมการ  CEDAW นำโดยรองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  ปลัดกระทรวงมหาดไทย  เมื่อมีการถามเรื่องการล่อซื้อและการบุกทลาย ตัวแทนรัฐบาลไทยได้ตอบคำถาม นำโดยพล.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง ผู้บัญชาการสำนักยุทธศาสตร์ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบช.สยศ.ตร.)  ว่า"เรื่องกรณี ล่อซื้อ ปฏิบัติการนี้ เราใคร่ขอยืนยันให้ความมั่นใจว่าคณะกรรมการฝ่ายยุทธการตำรวจไม่เคยมี นโยบายปฏิบัติการเช่นนี้เลย และไม่สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้วิธีนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย ยินดีรับฟังข้อมูลหรือการร้องเรียนจากทุก ๆ คนเกี่ยวกับการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง และพร้อมเสมอที่จะทำการสอบสวนเอาผิดต่อเจ้าหน้าที่เหล่านั้น "[3]

          คณะกรรมการ CEDAW ได้ส่งข้อสรุปและสังเกตจากการรายงานของรัฐบาลไทยเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา [4] ซึ่งคณะกรรมการ CEDAW ได้แสดงความเห็นเน้นย้ำไปถึงผลกระทบด้านลบต่อสิทธิมนุษยชนของผู้หญิงจากกฎหมายพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีและการปฏิบัติการของเจ้าพนักงานของรัฐที่บังคับใช้กฎหมายโดยเฉพาะการล่อซื้อและบุกทลายสถานบริการ ประเด็นข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการ CEDAW [5] มีว่า

"ข้อ 26. คณะกรรมการกังวล…. คณะกรรมการยังมีข้อสังเกตด้วยความกังวลด้วยว่า พนักงานบริการหญิงมักถูกสันนิษฐานว่ากระทำความผิดฐานค้าประเวณีตามพระราชบัญญัตินี้และถูกจับกุมและปฏิบัติอย่างดูหมิ่น ในการใช้กำลังรุนแรงบุกเข้าตรวจค้นสถานบริการ และตกเป็นเป้าการล่อซื้อของตำรวจ คณะกรรมการยังกังวลอีกกับรายงานที่ว่า มีเจ้าหน้าที่ร่วมมือกับการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากผู้หญิง ….."

ข้อ 27. คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญเสนอแนะต่อรัฐไทย

 (d) ยุติการใช้กำลังรุนแรงในการตรวจค้นสถานบริการโดย ยุติการล่อซื้อ และการรีดไถทันที     ให้นำตัวเจ้าหน้าที่ดำรวจที่เกี่ยวข้องกับการกระทำเหล่านั้นมาลงโทษ

 (f) ประกันว่าจะมีการบังคับใช้กฎหมายแรงงานและสวัสดิการสังคมกับสถานบันเทิงทุกแห่ง โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่เป็นพนักงานของสถานบริการที่จดทะเบียนตามกฎหมาย

 

          เครือข่ายผู้หญิงและผู้หญิงเพศหลากหลายในประเทศไทยที่ติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญา CEDAW ซึ่งมูลนิธิ  เอ็มพาวเวอร์ และพนักงานบริการ รู้สึกยินดีที่ตัวแทนรัฐบาลไทยได้ให้หลักประกันอย่างจริงใจต่อคณะกรรมการ CEDAW ว่ารัฐไทยไม่เคยมีนโยบายการล่อซื้อ ฯ และการที่คณะกรรมการ CEDAW ให้ความสำคัญและแนะให้รัฐไทยตระหนักว่าพนักงานบริการมีสิทธิที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายแรงงานเท่าเทียมกับผู้หญิงที่ทำงานในอาชีพ  อื่น ๆ

          เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา ..ไหม จันตา ตัวแทนจากมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ ได้ร่วมแถลงข่าวที่สถานทูตเนเธอร์แลนด์  กับเครือข่ายผู้หญิงและผู้หญิงเพศหลากหลายในประเทศไทยที่ติดตาม CEDAW  ไหมได้แสดงออกถึงความรู้สึกเราเข้าถึงความยุติธรรม ของสังคมและความโล่งใจที่พนักงานบริการในประเทศไทยได้รู้ว่า คณะกรรมการ CEDAW ได้เสนอให้รัฐบาลยุติการล่อซื้อและบุกทลายโดยทันที ไหมกล่าวว่า "ไม่ว่าการค้าประเวณีจะมีความผิดหรือไม่ก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า เจ้าหน้าที่รัฐหรือใครจะ สามารถกระทำการหรือเลือกปฏิบัติกับพนักงานบริการยังไงก็ได้ เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เราเป็นผู้หญิงที่ทำงาน เราเป็นแม่และเป็นหัวหน้าครอบครัว เราสมควรได้รับสิทธิที่จะได้ความคุ้มครองตามกระบวนของกฎหมายอย่างเป็นธรรมเราต้องได้รับการปฏิบัติโดยการคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ "

          ผ่านมาแค่สามวัน ความรู้สึกที่เรายินดีก็กลับกลายเป็นความผิดหวังและสับสนแทน เราสับสนว่าทำไมการล่อซื้อและบุกทลายได้เกิดขึ้น  หลังจากไม่กี่อาทิตย์ที่ตัวแทนรัฐบาลไทยให้คำมั่นสัญญาต่อคณะกรรมการ CEDAW ว่า ไทยไม่มีนโยบายการล่อซื้อ บุกทลาย  และไม่สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีการนี้ ?  ซึ่งยังคงเกิดการล่อซื้อและบุกทลายโดยไม่คำนึงถึงการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเรา เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ยังคงไม่ให้การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามที่ได้ให้คำสัญญากับคณะกรรมการ CEDAW ไว้

          เราเรียกร้องให้รัฐบาลไทย โดยเฉพาะกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้กลับไปดูคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ต่อคณะกรรมการ CEDAW    ณ กรุงเจนีวา และให้ปฏิบัติตามข้อผูกพัน โดยเฉพาะที่ต้องทำตามข้อเสนอแนะ คือ
 

1.    ยุติการล่อซื้อ โดยทันที

2.    ยุติการใช้กำลังรุนแรงบุกทลาย ในการตรวจสถานบริการ

3.    แก้ไขทำให้ไม่มีการรีดไถต่อไป

4.    บังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานกับพนักงานบริการ

5.    ให้มีการทบทวน พ.ร.บ. ปรามค้าประเวณี ไม่ให้พนักงานบริการมีความผิด

 

มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์

                                                                                         322 เชียงใหม่แลนด์

                                                                ถ.ช้างคลาน อ.เมือง

จ.เชียงใหม่ 50100

               โทรศัพท์:แฟกซ์: 053-282504Email cm.empowerfoundation.org

 


[1] คำร้องการตรวจสอบหมายเลข 352/2559

[2] แรงงานเงาของมูลนิธิEmpower ต่อ CEDAW มิถุนายน 2560  June 2017 http://tbinternet.ohchr.org/_layouts/treatybodyexternal/Download.aspx?symbolno=INT%2fCEDAW%2fNGO%2fTHA%2f27511&Lang=en

[4] CEDAW Concluding Observations Thailand http://tbinternet.ohchr.org/_layouts/treatybodyexternal/Download.aspx?symbolno=CEDAW%2fC%2fTHA%2fCO%2f6-7&Lang=en

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยังไม่ลด ผู้ประกันตนว่างงาน ก.ค. 2560 สูงสุดในรอบ 11 เดือน

Posted: 22 Aug 2017 11:05 PM PDT

เดือน ก.ค. 2560 ที่ผ่านมา ผู้ประกันตนที่ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในระบบประกันสังคมพุ่ง 156,791 คน สูงที่สุดในปีนี้และสูงที่สุดตั้งแต่เดือน ก.ย. 2559

23 ส.ค. 2560 สำนักเศรษฐกิจการแรงงานเปิดเผยตัวเลข เศรษฐกิจแรงงาน ประจำเดือน ก.ค. 2560 พบในด้านสถานการณ์การจ้างงานจากข้อมูล ณ เดือน ก.ค. 2560 มีลูกจ้างที่มีนายจ้างในระบบประกันสังคม (ม.33) จำนวน 10,653,972 คน มีอัตราการขยายตัว 2.54% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา (เดือน ก.ค. 2559) ซึ่งมีจำนวน 10,389,934 คน หากพิจารณาอัตราการเปลี่ยนแปลง (YoY) ของเดือน ก.ค. 2560 เทียบกับ เดือน มิ.ย. 2560 พบว่าในเดือน ก.ค. 2560 มีอัตราการขยายตัว (YoY) อยู่ที่ 2.54% ขยายตัวจากเดือน มิ.ย. 2560 (YoY) ซึ่งอยู่ที่ 2.16% สถานการณ์การจ้างงานขยายตัวมากกว่า 1% จึงถือว่าสถานการณ์การจ้างงานอยู่ในภาวะปกติ

ด้านสถานการณ์การว่างงาน จากข้อมูล ณ เดือน ก.ค. 2560 มีผู้ว่างงานจำนวน 156,791 คน มีอัตราการขยายตัว (YoY) อยู่ที่ 2.04% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว (เดือน ก.ค.2559) ซึ่งมีจำนวน 153,661 คน และเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา (มิ.ย. 2560) พบว่ามีจำนวน 156,587 คน โดยมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 0.13% (MoM) ทั้งนี้จากข้อมูลอัตราการว่างงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เดือน ก.ค. 2560 อยู่ที่ 1.2% มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับอัตราการว่างงานของเดือน มิ.ย. ซึ่งอยู่ที่ 1.1% นอกจากนี้ยังพบว่า เดือน ก.ค. 2560 ที่ผ่านมา ผู้ประกันตนที่ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในระบบประกันสังคมยังสูงที่สุดตั้งแต่เดือน ก.ย. 2559 หรือสูงสุดในรอบ 11 เดือน

สถานการณ์การเลิกจ้าง อัตราการเลิกจ้างลูกจ้างในระบบประกันสังคมมาตรา 33 คิดจากจำนวนผู้ประกันตนที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสาเหตุเลิกจ้าง ต่อจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 33 เดือน ก.ค. 2560 ผู้ประกันตนที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสาเหตุเลิกจ้างมีจำนวนทั้งสิ้น 21,100 คน คิดเป็นร้อยละ 0.20 เท่ากับเดือน มิ.ย. 2560 ที่ร้อยละ 0.20 และลดลงจากปีที่แล้วที่ร้อยละ 0.27

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น