โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

โผทหารปี 60 ถึงมือ’ประยุทธ์’ 21 ส.ค. สาย ‘ประวิตร’ ขึ้นยกแผง

Posted: 19 Aug 2017 09:51 AM PDT

เปิดโผตั้งบิ๊กทหาร 3 เหล่าทัพ สื่อชี้เด็ก "ป๋าป้อม" พรึ่บยกแผง น้องรัก "บิ๊กอ้อม" ขึ้นผู้ช่วยผบ.ทบ. เบียด "แม่ทัพภาค2" หลุดทบ. ด้าน "บิ๊กนุ้ย" ขึ้นผบ.ทร.- "กู้เกียรติ" นั่งแม่ทัพภาค1และ "ศักดา" นั่งแม่ทัพอีสานคนใหม่

19 ส.ค.2560 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานความคืบหน้าในการจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารระดับสูง ประจำปี 2560 ว่า ขณะนี้รายชื่อที่ได้รับการตรวจทานและแก้ไขทั้งหมดหลังจากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้เรียกปลัดกระทรวงกลาโหม และผบ.เหล่าทัพ ร่วมพิจารณาจนเป็นที่น่าพอใจของทุกฝ่าย

โดยในวันที่ 21 ส.ค. รายชื่อทั้งหมดจะส่งถึงมือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. จากนั้นนายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯต่อไป

สำหรับรายชื่อนายทหารที่ได้รับการปรับย้ายในครั้งนี้ปรากฎว่าในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม "บิ๊กช้าง" พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่จะเกษียณอายุราชการ กองทัพบกได้เสนอชื่อ "บิ๊กเข้" พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ (ตท.18) ผู้ช่วยผบ.ทบ. ข้ามฝากมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งหลังจากดัน "บิ๊กลภ" พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ (ตท.18) ผอ.นโยบายและแผนกระทรวงกลาโหม ไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พร้อมเปิดทางให้น้องรัก "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม นั่นคือ "บิ๊กณัฐ"พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ (ตท.20) หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำ รมว.กลาโหม ขึ้นเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อจ่อเก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหมในปีหน้าโดยปราศจากคู่แข่ง

ทั้งนี้ พล.อ.อ.สุรศักดิ์ ทุ่งทอง เสธ.ทอ. ข้ามฝากมาเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม กับ "บิ๊กหรั่ง" พล.อ.วิสุทธิ์ นาเงิน เจ้ากรมเสมียนตรา (ตท.17) เป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม
กองบัญชาการกองทัพไทย "บิ๊กปุย" พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผบ.ทหารสูงสุด จะเกษียณอายุราชการ โดยเสนอ "บิ๊กต๊อก" พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ (ตท.17) เสนาธิการทหารขึ้นเป็นผบ.ทหารสูงสุด พร้อมขยับ "บิ๊กกบ" พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญจศรี (ตท.18 ) รองเสนาธิการทหาร ขึ้นเป็นเสนาธิการทหาร โดยมี "บิ๊กยอร์ช" พล.อ.ยศนันทน์ หร่ายเจริญ (ตท.16) ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษทบ. เป็นรองผบ.ทหารสูงสุด พล.อ.ธงชัย สาระสุข (ตท.19) หัวหน้านายทหารฝ่ายเสธ.ประจำผบ.ทหารสูงสุด ขึ้นเป็นผบ.หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา

ส่วนกองทัพบกปรากฏว่า "บิ๊กเจี๊ยบ" พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท (ตท.16) ยังครองเก้าอี้ผบ.ทบ.อีกหนึ่งปี จนกว่าเกษียณในปีหน้าเพื่อควบคุมสถานการณ์และการขับเคลื่อนการบริหารงานของรัฐบาลและคสช.ตามโรดแม็ปไปสู่การเลือกตั้ง โดยขยับ "บิ๊กต้อ" พล.อ.สสิน ทองภักดี (ตท.17) เสธ.ทบ.ขึ้นเป็นรองผบ.ทบ. ส่วน "บิ๊กแดง" พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ (ตท.20) แม่ทัพภาคที่ 1 น้องรักของ "นายกฯตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเป็นผู้ช่วยผบ.ทบ. โดยโยก "บิ๊กอ้อม" พล.ท.วีรชัย อินทุโสภณ (ตท.18) จากผบ.หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) ขึ้นมาเป็นผู้ช่วยผบ.ทบ. ซึ่งเป็นน้องรักของ "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในสายบูรพาพยัคฆ์คนหนึ่ง ทั้งนี้การขยับเอา "บิ๊กอ้อม" เข้ามาอยู่ในไลน์ 5 เสือทบ.นั้นมีเสียงวิจารณ์ถึงการเตะโด่ง "บิ๊กแช" พล.ท.วิชัย แชจอหอ (ตท.17) แม่ทัพภาคที่ 2 นักรบภาคอีสานที่ผ่านสมรภูมิการรบมาอย่างโชกโชนในการปกป้องชายแดน และเคยได้รับเหรียญรามาฯถูกย้ายข้ามห้วยจากกองทัพบกไปเป็นรองเสธ.ทหาร ซึ่งแต่เดิมคาดว่าจะได้ขยับขึ้นเป็น ผู้ช่วยผบ.ทบ. แต่ต้องถูกสกัดจากเด็กของ "บิ๊กป้อม" ไปอย่างน่าเสียดาย

ขณะที่ "บิ๊กเล็ก" พล.ท.ณัฐพล นาคพาณิชย์ (ตท.20) รองเสธ.ทบ. ขยับขึ้นเป็น เสธ.ทบ. ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าการจัดระดับนายทหาร 5 เสือทบ.ครั้งนี้ เป็นการวางทายาทผบ.ทบ.ในปีหน้า ไม่ว่าจะเป็น "บิ๊กแดง" พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่จะเกษียณปี 2563 "บิ๊กอ้อม" พล.ท.วีรชัย อินทุโสภณ ที่จะเกษียณปี 2562 รวมถึง "บิ๊กเล็ก" พล.ท.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ซึ่งเกษียณปี 2564 ซึ่งทั้ง 3 รายล้วนแต่เป็นแคนดิเดตเก้าอี้ผบ.ทบ.ได้ทุกคน

ส่วนกองทัพภาคที่ 1 หลัง พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ขยับไปเป็นผู้ช่วยผบ.ทบ.ปรากฎว่า ". บิ๊กตู่" พล.ท.กู้เกียรติ ศรีนาคา (ตท.20) แม่ทัพน้อยที่ 1 ในสายบูรพาพยัคฆ์น้องรัก "บิ๊กป้อม" ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ตามคาด ขณะที่น้องรักนายกฯตู่ อีกคน "บิ๊กติ่ง" พล.ต.สันติพงษ์ ธรรมปิยะ (ตท.22) รองแม่ทัพภาคที่ 1 ขึ้นเป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 พล.ต.เจริญชัย หินเธาว์ (ตท.23) ผบ.พล.2 รอ. เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1

กองทัพภาคที่ 2 พล.ท.ศักดา เปรุนาวิน แม่ทัพน้อยที่ 2 ขยับขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 พล.ต.สนธยา ศรีเจริญ รองแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นแม่ทัพน้อยที่ 2

สำหรับแม่ทัพภาคที่ 3 และแม่ทัพภาคที่ 4 ยังอยู่ที่เดิมไม่มีการขยับแต่อย่างใด

กองทัพเรือ "บิ๊กณะ" พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผบ.ทร.ที่จะเกษียณอายุราชการได้เสนอ "บิ๊กนุ้ย" พล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผู้ช่วยผบ.ทร (ตท.16) เป็นผบ.ทร.คนใหม่ตามคาด โดยขยับคู่แคนดิเดต "บิ๊กลือ" พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ เสธ.ทร. (ตท.18) ไปเป็นรองผบ.ทร. "บิ๊กตุ๋ย" พล.ร.ท.พิเชฐ ตานะเศรษฐ รองเสธ.ทร.เป็นเสธ.ทร. "บิ๊กจุ๋ม" พล.ร.อ.จุมพล ลุมพิกานนท์ หัวหน้าคณะฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา เป็นที่ปรึกษากองทัพเรือ อัตราจอมพล

ส่วนกองทัพอากาศ "บิ๊กจอม" พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ.ยังไม่เกษียณ แต่ได้ขยับ "บิ๊กต่าย" พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผู้ช่วย ผบ.ทอ. (ตท.18) ขึ้นเป็น รอง ผบ.ทอ. เพื่อจอคิวต่อจากบิ๊กจอมในปีหน้า พล.อ.อ.สุรศักดิ์ ทุ่งทอง เสธ.ทอ. และ พล.อ.อ.ชาญฤทธิ์ พลิกานนท์ (ตท.18) รองเสธ.ทหารขึ้นเป็นผู้ช่วยผบ.ทอ. "บิ๊กอ๊อด" พล.อ.ท.ภานุพงศ์ เสยยงคะ รอง เสธ.ทอ.ขึ้นเป็น เสธ.ทอ.

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เอ็นจีโอแถลงข่าวเชิญชมเครื่องใช้ประจำกายศาสดามูฮำหมัด (ซล.) อายุพันกว่าปี ที่ปัตตานี

Posted: 19 Aug 2017 06:46 AM PDT

เอ็นจีโอใต้ร่วมนักประวัติศาสตร์ แถลงข่าวเชิญชมวัตถุศิลป์อายุพันกว่าปี เสวนาประวัติศาสตร์อิสลาม 20 ส.ค.-19 ก.ย. นี้ที่ปัตตานี ย้ำทุกรายการเป็นของจริง มีเอกสารยืนยัน ผ่านการรับรองจากองค์กรเกี่ยวข้องหลายประเทศ แจงงาน Open เชิญต่างศานิกร่วมชม รายได้สมทบทุนเด็กกำพร้าชายแดนใต้

 

เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา เวลา 16.00 น. ที่สำนักงานอาคารปาตานีเซ็นเตอร์ ถ.กะลาพอ ต.อาเนาะรู อ.เมือง จ.ปัตตานี ศูนย์วัฒนธรรมอิสลามเพื่อการพัฒนา ร่วมกับสำนักงานอาคารปาตานีเซ็นเตอร์ มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ มูลนิธินูซันตาราเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา มูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้ และเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพ ร่วมกันจัดแถลงข่าวต่องาน "นิทรรศการพิพิธภัณฑ์เคลื่อนที่ ศิลปะวัตถุประวัติศาสตร์อิสลามและศาสดามูฮัมหมัด (ซล.)" ซึ่งเป็นการจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ประจำกายของศาสดามูฮำหมัด (ซล.) และบรรดาสหายที่มีอายุนานถึงพันกว่าปี

ชมวัตถุศิลป์อายุพันกว่าปี เสวนาประวัติศาสตร์อิสลาม (20 ส.ค.-19 ก.ย. ที่ปัตตานี)

อับดุลกอฮาร์ อาแวปูเตะ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี และประธานมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดเผยว่า งานนิทรรศการครั้งนี้จะมีการจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 ส.ค. ถึงวันที่ 19 ก.ย. 2560 ณ.ห้องประชุมปาตานีเซนเตอร์ หรือ สนง.คกก.อิสลามจังหวัดปัตตานีหลังเก่า ซึ่งประตูจะเปิดเวลา 10.00 น. และจะปิดในเวลา 22.00 น. ของทุกๆ วัน

กิจกรรมในงานนอกจากจะได้ชมวัตถุศิลป์สิ่งของเครื่องใช้ประจำกายของศาสดามูฮำหมัด (ซล.) และบรรดาสหายอายุนานถึงพันกว่าปีแล้ว ยังมีกิจกรรมสานเสวนา บรรยายถึงเรื่องราวความยิ่งใหญ่ของโลกอิสลามในอดีตตั้งแต่จุดสูงสุดจนถึงจุดต่ำสุด โดยวิทยากรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้/ปาตานี วิทยากรจากกรุงเทพฯ และต่างประเทศ กิจกรรมนี้เราจะจัดอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ภายใน 1 เดือน ของทุกๆ วันศุกร์และวันเสาร์ในเวลาค่ำคืน รับรองว่าเราจะได้รู้ถึงคุณค่าของประวัติศาสตร์อิสลามในอดีต ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ มองว่าเป็นโอกาสดีสำหรับทุกท่าน

มีเหตุผลอันใด - ทำไมต้องจัด

อาจารย์ฮัสนี ดอเลาะแล อาจารย์พิเศษด้านประวัติศาสตร์อิสลาม และประธานศูนย์วัฒนธรรมอิสลามเพื่อการพัฒนา ระบุถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ว่า เป็นกิจกรรมที่ชวนระลึกถึงจริยวัตรคุณงามความดีของศาสดามูฮำหมัด (ซล.) เรียนรู้ถึงประวัติของศาสดามูฮำหมัด (ซล.) และบรรดาสหาย ร่วมถึงผู้นำโลกอิสลามในอดีตกาล งานนี้ยังสามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ ศึกษา ค้นคว้า ความรู้ทางประวัติศาสตร์อิสลามให้กับผู้ที่สนใจ อีกทั้งยังสามารถสร้างความเป็นหนึ่งในหมู่ประชาชาติอิสลามผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วน อาทิ นักการเมือง โต๊ะครูศาสนา คณะใหม่ คณะเก่า ซีเอสโอ เอ็นจีโอ เจ้าหน้าที่ภาครัฐ และประชาชนในพื้นที่ด้วย

ขณะที่ อิบรอฮีม ยานยา ประธานมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้ เสริมเพิ่มเติมว่า เสมือนสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง หรือ เป็นแหล่งเรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์อิสลามอย่างใกล้ชิดโดยไม่ต้องจินตนาการถึงอีกต่อไป เมื่อก่อนเราเรียนประวัติศาสตร์อิสลามผ่านการสอนของโต๊ะครู อุสตาส อาจารย์ โดยไม่รู้ว่าวัตถุเครื่องใช้ของศาสดาและสหายมีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่วันนี้เราสามารถมาชมดูอย่างใกล้ชิดด้วยตัวของเราเอง

กว่าจะถึงปาตานี ความเป็นไป เป็นมา

ฮัสนี ได้อธิบายและสรุปถึงความเป็นมาในการจัดงานนิทรรศการครั้งนี้ว่า วัตถุโบราณทางประวัติศาสตร์ หรือสิ่งของเครื่องใช้ของศาสดาและสหายนั้น เดิมทีทั้งหมดกระจัดกระจายอยู่ในหลายๆ ประเทศ อาทิเช่น ประเทศซาอุดิอาระเบีย ซีเรีย เยเมน จอร์แดน อีหร่าน อียิปต์ ปากีสถาน และมาเลเซีย

กระทั้งอดีตจุฬาราชมนตรีประเทศจอร์แดน ฯพณฯ อามีน มูฮำหมัด ซัลเล็ม มันชะห์ ที่สืบเชื้อสายมาจากทศาสดา ได้ทำการรวบรวมเพื่อทำการตรวจสอบทางวิชาการ และได้ทำสนธิสัญญา (MOU) กับหอศิลป์ฮัสซานัลโบลเกียห์ (Gallery Hassanal Bolkiah) แห่งประเทศบรูไน ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ (Sultan Haji Hassanal Bolkiah Muizzadin waddaulah) โดยมีวิสัยทัศน์เป็นศูนย์รวมวิจัยประวัติศาสตร์อิสลามในปี ค.ศ. 2020

หนึ่งในที่ปรึกษาหอศิลป์ฮัสซานัลโบลเกียห์ คือ ศ.ดร.อับดุลมานาน อิมบง นักวิจัยด้านประวัติศาสตร์อิสลาม ชาวตรังกานู ประเทศมาเลเซีย เจ้าของหอศิลป์วารีซันมาร์ (Gallery Warisan MAR) แห่งประเทศมาเลเซีย ได้ทำสนธิสัญญาร่วมกับหอศิลป์แห่งชาติบรูไนดังที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อร่วมทำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ (Enternal achcology) ตรวจสอบว่าสิ่งของเครื่องใช้เหล่านี้เป็นของจริงหรือไม่ มีความเป็นมาอย่างไร รวมทั้งพิสูจน์ถึงเรื่องทามไลน์ทางประวัติศาสตร์ถึงช่วงเวลาต่างๆ ด้วย

หลังจากนั้น ศ.ดร.อับดุลมานาน ได้ทำเรื่องขอนำสิ่งของเครื่องใช้ทางประวัติศาสตร์เหล่านี้มาจัดแสดงนิทรรศการที่รัฐมะละกา ตรังกานู กลันตัน เคดาห์ สลังงอร์  และ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก ก็ได้นำไปจัดแสดงที่ปุตราจายา กัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศมาเลเซียอีกด้วย   

ฮัสนี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางศูนย์วัฒนธรรมอิสลามเพื่อการพัฒนาได้มีโอกาสเชื่อมสัมพันธ์กับหอศิลป์วารีซันมาร์แห่งประเทศมาเลเซียจึงได้ทำเรื่องขอนำมาจัดนิทรรศการที่จังหวัดชายแดนภาคใต้/ปาตานี แต่ด้วยความที่ต้องจ่ายค่าประกันเป็นเงินที่มากถึง 5 ล้านบาททางเราจึงหยุดความคิดนั้นไป เวลาผ่านไป ศ.ดร.อับดุลมานาน ติดต่อมาขออาสาจ่ายค่าประกันในจำนวนเงินดังกล่าวให้ เพราะเขาก็มีความคิดที่จะนำสิ่งของเหล่านี้ไปจัดในบ้านเราอยู่แล้ว โดยทางเราจะหาเงินในจำนวนดังกล่าวมาชดใช้ให้เขาอย่างเร็วที่สุด

จริง หรือ ปลอม คำถาม Popular

ในประเด็นของแท้หรือปลอมนั้นทางอับดุลกอฮาร์ได้ชี้แจงว่า "วัตถุศิลป์สิ่งของเครื่องใช้ทั้งหมด 27 รายการนี้ได้มีการยืนยันผ่านการศึกษาวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญมาแล้ว ซึ่งสามารถตอบได้ทางวิชาการ และมีการรับรองจากประเทศที่ครอบครองวัตถุแต่ละชิ้นเป็นลายลักษณ์อักษรอีกด้วย ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ก่อนจะมาถึงบ้านเราก็ได้มีการจัดแสดงมาแล้วในหลายๆ ประเทศโดยยังไม่มีข้อครหาต่อประเด็นนี้แม้แต่ครั้งเดียว" อับดุลกอฮาร์ ชี้แจง

อาจารย์ฮัสนีเสริมข้อมูลต่อประเด็นนี้เพิ่มว่า "ทุกชิ้นมีใบประกาศจากพิพิธภัณฑ์อีนาฟอิสลามี่ของประเทศซาอุดีอารเบีย มีหนังสือรับรองจากจุฬาราชมนตรีประเทศมาเลเซีย และมีหนังสือรับรองจากหอศิลป์ฮัสซานัลโบลเกียห์แห่งประเทศบรูไน รวมไปถึงหนังสือรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตนี ยะลา และนราธิวาส" อาจารย์ฮัสนี กล่าว

บัตรชม ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 60 บาทรายได้สมทบทุนเด็กกำพร้า

ฮัสนีระบุต่อว่า งานนี้ใช้งบประมาณค่อนข้างสูงทั้งในเรื่องการจัดการที่ต้องใช้เงินถึง 1.6 ล้านบาท ค่าประกัน 5 ล้านบาท และอื่นๆ อีกหลายรายการ ดังนั้นงานในครั้งนี้ปกติราคาบัตรเข้าชมในต่างประเทศสูงถึง 80 ดอลลาร์ หรือประมาณ 2,000 กว่าบาท แต่เราอยากจะขอสบทบทุนจากทุกท่านด้วยราคาบัตรเข้าเพียงแค่ 100 บาทสำหรับผู้ใหญ่ และ 60 บาท สำหรับเด็กอายุระหว่าง 6-12 ปี ส่วนเด็กอายุต่ำกว่านั้นสามารถเข้าชมได้ฟรีตลอดการจัดงาน

อาจารย์ฮัสนีระบุเพิ่มว่า ทางเราผลิตบัตรทั้งหมด 300,000 แผ่น แต่หวังเพียงแค่ 150,000 แผ่นก็เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายแล้ว และสำหรับรายได้ที่เหลือนั้นส่วนหนึ่งเราจะมอบให้กับเด็กกำพร้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในพื้นที่ในสังกัดมูลนิธินูซันตาราฯ  และอีกส่วนเราจะมอบให้กับองค์กรเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพ หรือ คปส. ผู้สนใจสามารถซื้อบัตรได้ที่สำนักงานศูนย์วัฒนธรรมอิสลามเพื่อการพัฒนา สำนักงานมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสหกรณ์ออมทรัพย์อิสลามปัตตานีทุกสาขา หรือจะซื้อผ่านตัวแทน หรือโทรไปตามหมายเลขโทรศัพท์ในโพสเตอร์ หรือจะซื้อหน้างานก้อได้

ทำไมต้องชม แจ้งงาน Open ต่างศาสนิกร่วมชมได้

"สิ่งของเหล่านี้มีอายุประมาณพันกว่าปีแน่นอนหาดูได้ยาก เพราะกว่าจะถึงทีนี้ไม่ใช้เรื่องง่าย ปกติถ้าต้องการชมเราต้องไปดูถึงต่างประเทศ แต่วันนี้มาถึงที่บ้านเราแล้ว ถือเป็นโอกาสดีสำหรับพวกเราทุกคน ผมอยากเชิญชวนทั้งมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมที่สนใจอยากจะเข้าใจอิสลามที่ถูกต้องในภาวะที่อิสลามถูกทำให้เข้าใจผิดๆ งานนี้เป็นงานที่เราเปิดกว้าง ทั้งมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมสามารถเข้าชมและศึกษาเรียนรู้ได้ ยืนยันว่าทางเราไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นมุสลิมและอิสลามเท่านั้น อีกทั้งหน้างานเรามีชุดสำหรับผู้หญิงต่างศาสนิกชนได้ใส่คลุมด้วย" อับดุลกอฮาร์ กล่าวเชิญชวนผู้สนใจทั้งในและนอกพื้นที่ 

อาจารย์มูฮำหมัดอาลาดี เด็งนิ ประธาน มูลนิธินูซันตาราเพื่อสิทธิมนุษยชนเพื่อการพัฒนา เชิญชวนเพิ่มเติมว่า เป็นนิมิตหมายอันดีและเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนในพื้นที่ทุกคน วัตถุเหล่านี้ถูกรวบรวมและมาถึงบ้านเราแล้ว เราสามารถให้ลูกหลานเรามาเรียนรู้เพื่อระลึกถึงศาสดาให้เกิดความอยากรู้ถึงประวัติ และประวัติศาสตร์อิสลาม เป็นเรื่องยากที่เราจะได้ชมวัตถุศิลป์เหล่านี้ หากเราไปชมที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย บางทีอาจจะได้ชมไม่หมด เพราะวัตถุเหล่านี้อยู่กระจัดกระจายในหลายๆ ประเทศ

"งานนนี้เราได้ประกาศเชิญชวนผ่านโพสเตอร์ เบรนเนอร์ สถานีวิทยุในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และภาคใต้ตอนบน ตั้งแต่จังหวัดสงขลาจนถึงจังหวัดกระบี่ รวมทั้งในกรุงเทพฯ ด้วย ล่าสุดก็ได้รับการต้อนรับจากประชาชนในพื้นที่ต่างๆ เป็นอย่างดี"มูฮำหมัดอาลาดี กล่าว

หอศิลป์บรูไนมอบที่นั่งไปอุมเราะห์ ณ ซาอุฯ ผู้เข้าร่วมมีโอกาสร่วมลุ้น

"งานนี้นอกจากทุกท่านได้มาชมและเรียนรู้แล้ว ยังมีโอกาสลุ้นรับบัตรเดินทางไปประกอบพิธีอุมเราะห์ 30 ที่นั่ง ณ ประเทศซาอุดีอาระเบีย และลุ้นรับอัลกุรอานดีจิตอล  200 เครื่องจากหอศิลป์ฮัสซานัลโบลเกียห์แห่งประเทศบรูไนอีกด้วย" ฮัสนี กล่าวทิ้งท้าย

ข้อมูลศาสดามูฮำหมัด (ซล.) เพิ่มเติม

สำหรับศาสดามูฮำหมัด หรือนบีมูฮำหมัด คือ ศาสดาคนสุดท้ายในศาสนาอิสลาม นามว่า "มูฮำหมัด" แปลว่า "ผู้ได้รับการสรรเสริญ" เกิดที่นครมักกะฮ์ แห่งประเทศซาอุดีอาระเบียในปี ค.ศ.570 เป็นผู้เผยแพร่ศาสนาอิสลามตามราชโองการของพระเจ้า เป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ของโลกคนหนึ่งที่ขนานนามเลื่องลือมาถึงวันนี้แม้เวลาผ่านไปถึงพันกว่าปี เป็นบุคคลที่คนในยุคสมัยเคารพรักในความประเสริฐหลายด้านๆ โดยเฉพาะบุคคลที่มีความยุติธรรม มีวาจาสัจจะและซื่อสัตย์จนได้ฉายานามว่า "อัลอามีน" แปลว่า "ผู้ที่มีความซื่อสัตย์" (อ่านต่อ)

หมายเหตุ : สามารถชมดูวีดีโอวัตถุศิลป์สิ่งของเครื่องใช้ของท่านศาสดาได้ที่เพจสำนักสื่อวาร์ตานี (คลิ๊ก)
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สภาคณาจารย์ ม.ราชภัฏราชนครินทร์ ร้อง 'มีชัย' ค้าน ม.44 ตั้งคนนอกบริหาร มหา'ลัย

Posted: 19 Aug 2017 06:38 AM PDT

ประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ยื่นหนังสือถึง มีชัย ฤชุพันธุ์ คัดค้านการใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งคําสั่งหัวหน้า คสช. ปมเปิดช่องตั้งบุคคลใดที่มิได้เป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา เป็นผู้บริหาร มหา'ลัย

ภาพจากเฟซบุ๊ก อาจิณโจนาธาน อาจิณกิจ 

19 ส.ค.2560 มติชนออนไลน์รายงานว่า ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ นพพร ขุนค้า อาจารย์สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ในฐานะประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการ พร้อมด้วย อาจิณโจนาธาน อาจิณกิจ อาจารย์สาขาวิชาศิลปกรรม ในฐานะรองประธานฯ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ยื่นหนังสือถึง มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานสภามหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ก่อนที่ มีชัย จะเข้าร่วมประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ โดยหนังสือดังกล่าวเป็นแถลงการณ์คัดค้านการใช้มาตรา 44 ในการออกคำสั่งคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 37/2560 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการบริหารงานของสถาบันอุดมศึกษา โดยให้สถาบันอุดมศึกษามีอํานาจแต่งตั้งบุคคลใดที่มิได้เป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา หรือเป็นพนักงานในสถาบันอุดมศึกษามาดํารงตําแหน่งอธิการบดี รองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี คณบดีหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะได้

อาจิณโจนาธาน กล่าวว่า คำสั่งดังกล่าวจะเป็นปัญหาในระยะยาว ที่เป็นการแทรกแซงระบบการบริหารงานในระดับอุดมศึกษา ทั้งที่ในระดับมหาวิทยาลัย มีระเบียบ ข้อบังคับ และพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)มหาวิทยาลัย ดูแลตัวเองอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีคำสั่งอื่นมาเพิ่ม ก่อนหน้านี้ได้มีการรวมรวมรายชื่อนักวิชาการจากทั่วประเทศยื่นหนังสือคัดค้านแล้ว 260 คน และในวันนี้เป็นยื่นแถลงการณ์พร้อมทั้งแนบรายชื่อเฉพาะในส่วนของมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ 21 คน จึงได้ยื่นหนังสือต่อนายมีชัย เนื่องจากนายมีชัย มีความใกล้ชิดกับรัฐบาล และคสช. อีกทั้งยังเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฎนครินทร์ ทั้งนี้ต่อจากนี้จะยังคงมีการเดินหน้ารวบรวมรายชื่ออาจารย์ทั่วประเทศเพื่อคัดค้านคำสั่งดังกล่าว เป็นเป็นคำสั่งที่กระทบต่อแวดวงวิชาการโดยตรง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ โวยสื่อ 'จะไปทำอะไรก็ทำ' หลังสมาคมนักข่าวฯประกาศไม่ใช่พีอาร์รัฐบาล

Posted: 19 Aug 2017 05:41 AM PDT

พล.อ.ประยุทธ์ ลั่นไม่คาดหวังอะไรจากพวกสื่ออยู่แล้ว หลังสมาคมนักข่าวฯ ประกาศ "ไม่มีหน้าที่พีอาร์ให้รัฐบาล" เหตุถูกรัฐบาลขอให้เกาะติดคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอข่าว

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

19 ส.ค.2560 ข่าวสดออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่ห้องบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ บี 2 ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอก คอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2560 โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งถึง สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์ เพื่อแสดงจุดยืนว่า หน้าที่ของสื่อมวลชนทำเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ ไม่ได้มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์ผลงานให้รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีท่านใดท่านหนึ่ง ด้วยว่า 

"วันนี้ผมก็ได้ยินคำพูดของนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์งานให้รัฐบาล เขามีหน้าที่ในการทำประโยชน์สาธารณะ ผมก็ไม่รู้ว่าที่ผมทำวันนี้นั้น มันทำเพื่อใครเหมือนกัน มันมีประโยชน์หรือเปล่ากับประเทศหรือต่อสาธารณะก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ผมชักไม่รู้ตัวแล้วนะ เพราะฉะนั้นผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากพวกสื่ออยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็เชิญเลยท่านจะไปทำอะไรของท่านก็ทำ ไม่ต้องไปตามสัมภาษณ์ผมอีกต่อไปก็ได้ แต่ผมก็จะพูดของผมอย่างน้อยผมก็พูดกับพวกท่านท่านคงไม่มีใครเบื่อจะฟังหรือมีใครจะลุกออกไปบ้างหรือไม่ ผมก็จะพูดของผมไปเรื่อยๆ เพราะผมต้องการให้ประเทศเดินไปข้างหน้า สิ่งสำคัญทุกคนต้องไม่เสียใจไม่ต้องน้อยใจผมเพราะบางครั้ง ครม. ก็จำเป็นต้องเสนอกฎหมายหลายฉบับออกมาก็เพื่อให้เกิดความไว้วางใจความไว้เนื้อเชื่อใจให้สังคมได้ถูกแถลง จะได้รู้ว่าสังคมคิดกันอย่างไร ไม่ได้หมายความว่าข้าราชการเป็นตัวกลางของการทุจริต เรามีคนดีมากมายแต่ต้องยอมรับว่าคนไม่ดีก็มีอยู่บ้างในทุกหน่วยงาน วันนี้เราต้องทำให้ทุกกระบวนการโปร่งใสมีประสิทธิภาพตรวจสอบได้ มีหลักธรรมาภิบาลและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ยืนยันว่าผมมีเจตนาดีและเจตนาบริสุทธิ์กับทุกคน ไม่เคยรังเกียจรังงอนใครทั้งสิ้นใครจะเกลียดผมก็ช่างเขา เพราะอย่างไรก็ไม่ทำให้ผมตายได้ ยกเว้นผมจะตายเอง เส้นโลหิตแตกไปเอง" พล.อ.ปรยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ในการตั้งคณะกรรมการรัฐวิสากิจไม่ทราบว่าใครมีปัญหาหรือไม่ ส่วนคนที่ไม่เข้าเกณฑ์ก็อยู่จนครบวาระและคัดสรรเข้ามาใหม่ ส่วนทหารเขาก็ชอบว่าว่าไม่ค่อยฉลาด เขาก็ว่าเราเยอะผมก็ต้องฟังด้วย เพราะผมเป็นทหารเก่า ตอนผมไปเรียนเพิ่มหลักสูตรไอโอดีมา 2-3 วัน ฟังเขารู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะว่าหลักสูตรยากสำหรับทหารแต่ผมก็พยายาม ก็ถือว่าทหารไม่โง่นัก เว้นแต่บางคนที่ชอบแกล้งโง่ ส่วนใหญ่ทหารฉลาดจะตาย แต่ด้วยระเบียบวินัย ทำให้ทหารไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็นมากนัก ในวันนี้เป็นทหารรุ่นใหม่แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปเชื่อบรรดาที่ออกมาด่าทหารทุกวัน ด่าจนรองนายกฯป่วยไปคนหนึ่งแล้ว

สำหรับแถลงการณ์ของสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยดังกล่าวออกขึ้นหลังจากที่ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ขอความร่วมมือสื่อมวลชน เกาะติดคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอข่าวและสกู๊ปข่าวพิเศษภารกิจของรัฐมนตรีแต่ละท่านระหว่างลงพื้นที่ในการประชุม ครม.สัญจร ระหว่างวันที่ 21-22 ส.ค. นี้ โดยไม่กำหนดว่าต้องรายงานอย่างไร ให้​ใช้ความสร้างสรรค์ของแต่ละช่องได้เต็มที่ในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากการฟังข้อมูลจริงๆ ไม่ใช่สร้างปมประเด็นปัญหาขึ้นมาใหม่นั้น (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มองรูปปั้นสมาพันธรัฐ วิธีรำลึกประวัติศาสตร์นาซีที่น่าอับอายในแบบเยอรมนี

Posted: 19 Aug 2017 05:04 AM PDT

มีข้อถกเถียงเรื่องการรื้อถอนรูปปั้นอนุสาวรีย์ทหารสมาพันธรัฐในประเทศสหรัฐฯ ว่าการรื้อถอนเป็นการลบเลือนประวัติศาสตร์หรือไม่ คำถามนี้มีขึ้นแม้ฝ่ายสนับสนุนการรื้อถอนจะมีจุดยืนว่ารูปปั้นเหล่านี้เป็นการยกย่องเชิดชูการเหยียดเชื้อชาติสีผิวและสนับสนุนการใช้ทาส แต่ในเยอรมนีมีตัวอย่างให้เห็นว่าพวกเขารำลึกประวัติศาสตร์ความโหดร้ายนี้อย่างไร

19 ส.ค. 2560 เยอรมนีเคยมีประวัติศาสตร์ที่น่าอับอายจากช่วงที่เผด็จการนาซีเรืองอำนาจมีคนที่ตกเป็นเหยื่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของพวกเขา สื่อ NPR ระบุถึงการรำลึกประวัติศาสตร์อันน่าอับอายนี้ไว้ด้วยการปักหมุดเป็นชื่อของเหยื่อที่ถูกสังหารไว้บนทางเท้า จนแทบจะเรียกได้ว่าถ้าหากคุณเดินไปในกรุงเบอร์ลินคุณก็อาจจะ "สะดุดประวัติศาสตร์ได้" หมุดที่ว่านี้ชาวเยอรมนีเรียกว่า "สโตลเปอร์ซไตเนอ" (Stolpersteine) หรือ "หินสะดุด" โดยหมุดเหล่านี้จะฝังไว้บนทางเท้าหน้าบ้านที่เหยื่อเคยอาศัยอยู่

NPR ระบุว่าวัฒนธรรมการ "รำลึก" ถึงช่วงสมัยนาซีและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุคนั้นเป็นสิ่งที่มีการบันทึกไว้อย่างดีและกลายเป็นส่วนสำคัญของความเป็นเยอรมนี อาจจะมีพรรคการเมืองบางพรรคที่พยายามท้าทายวัฒนธรรมการรำลึกประวัติศาสตร์เช่นนี้แต่ก็มักจะเป็นส่วนเล็กๆ ที่นับเป็น "พวกตกขอบ"

ผู้สื่อข่าวแม็กกี เพนแมน เล่าถึงประสบการณ์ตอนที่เธอไปยังเบอร์ลินแล้วพบว่าเยอรมนีมีการจดจำประวัติศาสตร์ที่ต่างจากสหรัฐฯ ที่สวนสาธารณะเทียการ์เทนในใจกลางกรุงเบอร์ลินเป็นพื้นที่ที่ทั้งคนหนุ่มสาวในเบอร์ลิน นักท่องเที่ยว หรือชาวต่างชาติ พากันมาพลอดรักกันอย่างไม่ค่อยมีใครมาจับผิด และมีคนดื่มเบียร์กันอย่างถูกกฎหมาย ห่างออกไปจากพื้นที่ตรงนี้ไม่มากก็มีอนุสรณ์สถานรำลึกการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อเต็มว่า "อนุสรณ์สถานของยิวแห่งยุโรปผู้ถูกสังหาร" อนุสรณ์แห่งนี้อยู่ในที่เปิดโล่งและอยู่ใจกลางเมืองจึงยากที่จะมองไม่เห็น

 

อนุสรณ์สถานของยิวแห่งยุโรปผู้ถูกสังหาร (ที่มา:วิกิพีเดีย)

เพนแมนระบุว่าเมื่อเธอเข้าไปในอนุสรณ์แห่งนี้มันเป็นเขาวงกตคอนกรีตที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อยิ่งเดินเข้าไป กำแพงชั้นนอกดูคล้ายโลงศพ ลึกลงไปกำแพงเริ่มเหมือนต้นไม้สูงๆ ในป่าที่ไม่สามารถเจาะเข้าไปได้อีก ทำให้เธอรู้สึกสับสนและเสียขวัญซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่อนุสรณ์แห่งนี้อยากให้ผู้เข้าชมรู้สึก

เพนแมนเล่าต่อไปว่าเมื่อเดินห่างออกไปก็จะเห็นลานจอดรถที่เคยเป็นหลุมหลบภัยของผู้นำนาซีที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เคยใช้ฆ่าตัวตายในตอนท้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 มีป้ายเล็กๆ เขียนไว้ว่าเคยมีอะไรเกิดขึ้นตรงจุดนี้ แต่ที่นั่นก็ยังคงเป็นที่จอดรถที่เต็มไปด้วยรถยนต์ของชาวเยอรมันอยู่ดี

แล้วเรื่องนี้มาเกี่ยวกับประเด็นอนุสาวรีย์สมาพันธรัฐได้อย่างไร เพนแมนะบุว่าถึงแม้การเทียบโรเบิร์ต อี ลี อดีตนายพลฝ่ายสมาพันธรัฐกับฮิตเลอร์จะดูขี้เกียจและมองประวัติศาสตร์ผิดๆ ไปหน่อย แต่เมื่อดูเหล่าผู้ชุมนุมประท้วงต่อต้านรื้อถอนรูปปั้นของลีพากันแสดงสัญลักษณ์สวัสดิกะและทำท่าเชิงเคารพผู้นำนาซีอย่างเปิดเผยแล้วก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้เกิดการเปรียบเทียบเช่นนี้

จริงอยู่ที่การเดินขบวนถือคบเพลิงของฝ่ายขวาจัดที่เป็นคนหนุ่มสาวในอเมริกันดูแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้น แต่สำหรับเยอรมนีแล้วเป็นภาพที่ยิ่งแปลกประหลาดเข้าไปอีก ในขณะที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกวิจารณ์เรื่องที่เขาไม่ได้ประณามกลุ่มเชื้อชาตินิยมสุดโต่งของคนขาวเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมาในการก่อเหตุรุนแรงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่โฆษกของผู้นำเยอรมนีแองเกลา แมร์เคิล ก็กล่าวประณามการเดินขบวนของฝ่ายขวาจัดนี้ว่า "น่ารังเกียจอย่างชัดเจน"

กลับมาที่เรื่องของอดีตบังเกอร์ผู้นำนาซีกลายเป็นที่จอดรถที่มีเกร็ดประวัติศาสตร์เขียนไว้ บทความใน NPR ระบุว่าหนึ่งในสาเหตุที่ไม่มีการอนุรักษ์อาคารหลบภัยของฮิตเลอร์ไว้เพราะกลัวว่าสถานที่นี้จะกลายเป็นแหล่ง "จาริกแสวงบุญ" ของพวกนีโอนาซี และเปรียบเทียบว่าการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ของลีในชาร์ล็อตส์วิลล์ก็กลายเป็นการจาริกแบบนี้

"สถานที่แห่งความรุนแรงและการเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์ที่น่าอัปยศควรจะเป็นเรื่องน่าอับอาย" เพนแมนระบุในบทความ

"ในการโต้แย้งว่าควรจะมีการรักษาอนุสาวรีย์สมาพันธรัฐและธงสมาพันธรัฐไว้เพื่อไม่ให้พวกเราลืมประวัติศาสตร์ ในเยอรมนี จะพบอาคารของนาซีอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่ถูกทำลายไปหมดแล้ว แต่เยอรมนีก็ไม่ได้ลืมประวัติศาสตร์ มีแค่การสำนึกรู้ได้ว่าการจดจำและการรำลึกถึงนั้นเป็นสองอย่างที่แตกต่างกัน" เพนแมนระบุในบทความ

เรียบเรียงจาก

How Charlottesville Looks From Berlin, NPR, August 16, 2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แม่ทัพภาค 3 ปัดจับแกนนำเกษตรกรเชียงใหม่-ลำพูน เซ็นสัญญาไม่ขนคนเชียร์ยิ่งลักษณ์

Posted: 19 Aug 2017 03:57 AM PDT

ประธานสมาพันธ์เกษตรกรเชียงใหม่-ลำพูน เผยถูกเจ้าหน้าที่ขอความร่วมมือแกมบังคับเซ็นยินยอมไม่ให้นำมวลชนไปให้กำลัง ยิ่งลักษณ์ ด้าน แม่ทัพภาค 3 ย้ำแกนนำ-แฟนคลับไปคนเดียวเชียร์ อย่าชวนชาวบ้าน-หลอกคนแก่ หวั่นละเมิดอำนาจศาล ยันทหารไม่มีเซ็นสัญญา

พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.กองทัพภาคที่ 3 )

19 ส.ค.2560 จากกรณีเมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา จำรัส ลุมมา ประธานสมาพันธ์เกษตรกรเชียงใหม่-ลำพูน ในฐานะแกนนำเกษตรกรผู้ปลูกข้าวออกมาเปิดเผยถึงกรณีเซ็นหนังสือยินยอม ให้ความร่วมมือเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ไม่ให้นำมวลชนไปให้กำลัง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนศาลตัดสินคดีจำนำข้าว วันที่ 24-25 ส.ค.นี้ ที่กรุงเทพฯ นั้น

ล่าสุดวันนี้ (19 ส.ค.60) กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงานว่า พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.กองทัพภาคที่ 3 ) กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนขอยันว่ากรณีดังกล่าวไม่เป็นความจริงแน่นอน เพราะเท่าที่ตรวจสอบแล้วพบว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ดำเนินการในลักษณะนั้น และยิ่งเป็นคนเมืองด้วยกันเขาพูดคุยกันด้วยวาจาก็รู้เรื่อง เข้าใจกันมากกว่าทำหนังสือตกลง  ขณะเดียวกันทางการข่าวในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 พบว่าจะมีแกนนำขนมวลชนไปให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ ด้วยเช่นกัน แต่ตนขอร้องว่าถ้าพวกท่านเป็นแกนนำ เป็นแฟนคลับตัวจริง รักใคร่ชอบคอกัน จะเดินทางไปกรุงเทพฯ ตนอยากให้ไปคนเดียว หรือสองคน เราก็ไม่ว่า ไม่ได้ห้ามปรามอะไร แต่ขอร้องอย่าชวนชาวบ้าน เด็กเล็ก คนเถ่าคนแก่ ไปด้วยเลย จะชวนเขาไปลำบากทำไม 

"ผมขอร้องพวกท่านอย่าไปแอบอ้าง หลอกลวงคนแก่ คนสูงอายุ ว่าไปโน่นไปนี่ แล้วให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์ที่กรุงเทพ อย่างนี้มันไม่ดี ผมกลัวว่าเดี๋ยวจะกลายเป็นไปละเมิดอำนาจศาล มันจะยุ่ง เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่ เพราะพื้นที่ตรงนั้นเป็นเขตพื้นที่อำนาจศาล จึงไม่อยากให้โดนข้อหารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งถ้าพวกแกนนำอยากไปก็ไปกันเอง จะนั่งเครื่องบินไป นั่งรถไฟ นั่งรถยนต์กันไป ก็ไม่เป็นไร แต่อย่าเอาลูกบ้านไปลำบากด้วยเลย เราไม่ได้ห้าม เพียงแค่ขอความร่วมมือ" พล.ท. วิจักขฐ์ กล่าว 

สำหรับการเปิดเผยของ ประธานสมาพันธ์เกษตรกรเชียงใหม่-ลำพูน ในฐานะแกนนำเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ดังกล่าวนั้น มติชนออนไลน์รายงานว่า จำรัส ยอมรับว่าเซ็นหนังสือจริง แต่เป็นการขอความร่วมมือแกมบังคับ ข่มขู่ ขืนใจเพราะมีตำรวจ (สารวัตรแม่แฝก) และทหาร 7-8 นาย พร้อมรถยนต์ 3 คัน บุกเข้ามาที่บ้าน โดยไม่มีหมายค้น พร้อมขอให้เซ็นหนังสือยินยอมดังกล่าว ตอนแรกตนขอให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้บันทึก แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมลงบันทึกเอง กลับบอกให้ตนเป็นผู้เขียนหนังสือดังกล่าวด้วยลายมือตนเอง ตามคำบอกของเจ้าหน้าที่ (สารวัตรแม่แฝก) เป็นการชี้นำ เพื่อให้ดูว่าตนเองยินยอมเซ็นหนังสือดังกล่าวด้วยความสมัครใจ ไม่มีการบังคับ ขู่เข็ญอย่างใด เหตุเกิดช่วงเวลา 11.00 น.วันที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันหวยออกพอดี

"แม้ว่าตนเองเซ็นหนังสือยินยอม แต่ไม่ได้สมัครใจ เพราะถูกบังคับ ขืนใจ ส่วนตัวไม่ต้องการเซ็นหนังสือดังกล่าว แต่ไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำดังกล่าวได้ จึงต้องยอม เพื่อให้เรื่องม้นจบเท่านั้น โดยเขียนหนังสือเพียงแผ่นเดียว และมอบให้เจ้าหน้าที่นายหนึ่ง (สารวัตรแม่แฝก) เก็บไว้ ส่วนตนเองได้ใช้มือถือถ่าย เก็บไว้เป็นหลักฐานเช่นเดียวกัน ซึ่งตนมองว่าหนังสือดังกล่าวเพียงขอความร่วมมือ ไม่น่ามีผลทางกฏหมาย ถ้ายินยอมจริง จะเอาตนเองไปเสี่ยง หรือผูกมัดทำไม เนื่องจากไม่ได้มีการบันทึกอย่างเป็นทางการ ไม่มีเจ้าหน้าที่เซ็นรับหนังสือดังกล่าวด้วย" จำรัส กล่าว

จำรัส กล่าวถึงสาเหตุที่ถูกขอความร่วมมือ ให้เซ็นหนังสือดังกล่าวว่า เพราะเคยนั่งรถตู้ไปให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตรวจค้น และทำบันทึกประวัติ ทำให้เจ้าหน้าที่ติดตามตัวถึงที่บ้าน และขอความร่วมมือแกมบังคับดังกล่าว ซึ่งไม่ได้วิตก หรือห่วงกังวลอะไรและไม่มีผลต่อการตัดสินใจไปให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่กรุงเทพฯ วันที่ 25สิงหาคมนี้ เพื่อฟังคำตัดสินของศาล เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคลตามรัฐธรรมนูญขั้นพื้นฐาน ตอนนี้รถตู้ที่ว่าจ้างเดินทางไปกรุงเทพฯ ได้ขอยกเลิกสัญญาแล้ว เพราะถูกเจ้าหน้าที่เรียกไปรายงานตัว และถ่ายรูปทำประวัติ จึงเกิดความเกรงกลัว ว่าอาจถูกกลั่นแกล้ง และดำเนินคดีอีก

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บอร์ด สปสช.เสียงข้างมากเห็นชอบข้อสรุปจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ปี 61 มอบ รพ.ราชวิถีทำหน้าที่จัดซื้อ

Posted: 19 Aug 2017 03:22 AM PDT

19 ส.ค.2560 รายงานข่าวจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แจ้งว่า เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา ณ สปสช. ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติวาระพิเศษ เพื่อพิจารณาวาระการจัดหายา เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ตามโครงการพิเศษปีงบประมาณ 2561

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี รองเลขาธิการ สปสช. รายงานต่อที่ประชุมว่า ข้อสรุปจากที่ประชุมกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม และ 15 สิงหาคม 2560 เห็นชอบแนวทางที่ 1 ตามที่ นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเสนอคือ ให้หน่วยบริการหนึ่งเป็นผู้จัดซื้อ ในที่นี้คือ รพ.ราชวิถี ในการดำเนินการคือ 1.การจัดทำแผน โดยคณะกรรมการจัดทำแผนการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น ตามโครงการพิเศษสำหรับปีงบประมาณ 2561 ที่มีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน และกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน

2. การจัดซื้อ ให้ สปสช.โอนเงินให้ รพ.ราชวิถี ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมอบหมายให้ดำเนินการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ตามโครงการพิเศษสำหรับปีงบประมาณ 2561 จากองค์การเภสัชกรรม โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 3. การกำหนดระเบียบเพื่อรองรับการดำเนินการจัดซื้อ เสนอให้ สธ. สปสช. และกระทรวงการคลังพิจารณากำหนดระเบียบ ข้อบังคับ และประกาศใหสอดคล้องกับการดำเนินการจัดซื้อในลักษณะดังกล่าว 4. การเบิก-จ่ายยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้ใช้โปรแกรมเดิม 5.การควบคุมกำกับ ติดตามและประเมินผล ให้ สธ.และ สปสช.ดำเนินการร่วมกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นที่ประชุมได้มีการอภิปรายกัน และมีการลงคะแนนเสียงเพื่อรับรองมติดังกล่าว โดยมีผู้เห็นด้วย 12 ราย ไม่เห็นด้วย 4 ราย งดออกเสียง 1 ราย โดยสรุปที่ประชุมเสียงข้างมากมีมติเห็นชอบดังนี้

1.รับทราบความก้าวหน้าผลการดำเนินการจัดหายาและเวชภัณฑ์ตามโครงการพิเศษ ปี 2560

2.ยกเลิกมติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ วาระพิเศษ ครั้งที่ 8/2560 วันที่ 22 ก.ค.60 โดยให้ สปสช.ยุติการดำเนินการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ตามโครงการพิเศษ ปี 2561

3.เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำแผนการจัดซื้อยาเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษ ประกอบด้วย กรรมการจากหน่วยบริการ/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน/สังกัด เพื่อเสนอประธานกรรมการหลักฯลงนามต่อไป

4.เห็นชอบให้มี "เครือข่ายหน่วยบริการ" ตามมาตรา 44 วรรคสอง เพื่อจัดหายา เวชภัณฑ์ อวัยวะเทียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษ  ซึ่งสำนักงานจะประกาศขึ้นทะเบียน "เครือข่ายหน่วยบริการโรงพยาบาลราชวิถี" ซึ่งประกอบด้วยโรงพยาบาลราชวิถี เป็นหน่วยแกนกลางหรือแม่ข่าย และหน่วยบริการอื่นทั้งหมดทุกประเภท เป็นเครือข่ายหน่วยบริการสำหรับจัดหายา เวชภัณฑ์  อวัยวะเทียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ตามมาตรา 44 วรรคหนึ่ง

5.เห็นชอบในหลักการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศหลักเกณฑ์...การบริหารจัดการกองทุน ตามมาตรา ๑๘(๔) และหลักเกณฑ์..การจ่ายค่าใช่จ่ายฯให้แก่ "เครือข่ายหน่วยบริการโรงพยาบาลราชวิถี"ตามมาตรา 46 เพื่อจัดหายา เวชภัณฑ์ อวัยวะเทียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษให้แก่หน่วยบริการในเครือข่าย

6.มอบ สปสช.รับข้อมูลการใช้จากหน่วยบริการ เพื่อให้อนุกรรมการฯใช้ในการทำแผนจัดซื้อและให้หน่วยบริการหลักเพื่อดำเนินการจ่ายยา ให้แก่หน่วยบริการอื่น

7.มอบ สปสช ตรวจสอบสินค้าคงคลังปีงบประมาณ 2560 เพื่อส่งมอบความรับผิดชอบให้กับเครือข่ายหน่วยบริการโรงพยาบาลราชวิถี ให้ทันสิ้นปีงบประมาณ 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรุงเทพโพลล์ระบุ 3 ปีรัฐบาลประยุทธ์ ได้ 5.27 ลดลงทุกด้าน

Posted: 19 Aug 2017 02:53 AM PDT

19 ส.ค.2560 กรุงเทพโพลล์ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง "ประเมินผลงาน 3 ปี รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ด้วยเหตุที่เดือนสิงหาคม 2560 นี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บริหารประเทศครบ 3 ปี  โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 1,216 คน จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ พบว่า

ประชาชนให้คะแนนความพึงพอใจในการบริหารงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วง 3 ปี เฉลี่ย 5.27 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ซึ่งลดลงจากการประเมินการทำงานรอบ 2 ปี 6 เดือนที่ได้ 5.83 คะแนน และรอบ 2 ปี  ที่ได้ 6.19 คะแนน โดยการสำรวจครั้งนี้รัฐบาลได้คะแนนลดลงทุกด้าน

สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วง 3 ปี ประชาชนให้คะแนนความพึงพอใจ เฉลี่ย 7.00 คะแนน ซึ่งลดลงจากการประเมินรอบ 2 ปี 6 เดือน ที่ได้ 7.40 คะแนน และรอบ 2 ปี  ที่ได้ 7.57 คะแนน  โดยการสำรวจครั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้คะแนนลดลงทุกด้าน

ส่วนเรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลปฏิรูปให้สำเร็จก่อนจัดให้มีการเลือกตั้งมากที่สุด พบว่า ร้อยละ 32.5 ระบุว่าทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นและมีความมั่นคงกว่านี้ รองลงมามาร้อยละ 12.8 ระบุว่าให้ปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นทั้งในวงราชการและการเมือง และร้อยละ 10.0 ระบุว่าให้ดูแลราคาสินค้าเกษตรเช่น ข้าว ยางพารา ไม่ให้ตกต่ำ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

การสารภาพผิดตามมาตรา 112 (หรือ The Winston Syndrome)

Posted: 19 Aug 2017 12:46 AM PDT

มรดกของวิธีพิจารณาความอาญาแบบเดิมที่อัปลักษณ์ที่สุดแต่ได้รับการยกระดับการทรมานให้เหมาะกับยุคสมัยใหม่คือ กรณีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 112   

วิกฤตการณ์ของระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เหนือการเมืองและของลัทธิหลงใหลเจ้า (Hyper-royalism) … ทำให้ความผิดตามมาตรา 112 กลายเป็นอาชญากรรมร้ายแรงยิ่งกว่าในยุคก่อนๆ ที่ผ่านมา แม้แต่ผู้ป่วยทางจิตก็ไม่ได้รับการยกเว้น เพราะรัฐและพวกหลงเจ้ามืดบอดตามัวไปกับความคิดของระบอบเก่า ไม่สามารถเข้าใจหรือยอมรับความคิดเรื่องสิทธิและสิทธิมนุษยชน หรือสามัญสำนึก (common sense) ของหลักการเหล่านั้น

ในบริบทนี้เองเราจึงเห็นการใช้กฏหมายอย่างไม่เป็นธรรมที่สะท้อนด้านลบทั้งหลายที่ตกค้างอยู่ในนิติรัฐแบบไทยๆ ดังที่กล่าวไปแล้ว นั่นคือ คำสั่งของผู้ปกครองคือกฎหมายอันชอบธรรม วิธีพิจารณาความแบบไทยๆ ที่สำคัญคือ ถือว่าผิดไว้ก่อน พิสูจน์ทีหลัง ได้แก่ การปฏิเสธไม่ยอมให้ผู้ต้องหาประกันตัวด้วยเหตุผลว่า "เป็นคดีร้ายแรง" ทั้งๆ ที่ มาตรา 112 เป็นเรื่องของความคิดและการแสดงออก ไม่มีการกระทำร้ายแรงเสียหายต่อทรัพย์สินหรือชีวิตของผู้อื่นแต่อย่างใด แถมมีตัวอย่างให้เห็นว่า ศาลอนุญาตให้ผู้ต้องหาคดีอาชญากรรมโหดเหี้ยมกว่าได้รับการประกันตัว การพิจารณาคดีเป็นความลับและห้ามเผยแพร่ให้ประชาชนรู้ถ้อยคำที่ถูกกล่าวหาด้วยเหตุผลประหลาด เสมือนยุคโบราณที่ ไม่ให้ประชาชนรับรู้กฎหมายว่าอนุญาตให้พูดอะไรหรือไม่ให้พูดอะไรบ้าง มีแต่ผู้พิพากษาเท่านั้นที่มีธรรมะสูงพอจึงมีความสามารถที่จะเจาะเข้าไปในใจของผู้ต้องหาจนค้นพบเจตนาที่แท้จริงของผู้ต้องหาได้ (Streckfuss 2011) รวมถึงมีสิทธิตีความกฎหมายอย่างน่าเกลียดว่าการกระทำใดหรือคำพูดใดผิด หรือใครบ้างอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมายนี้ และตัดสินลงโทษอย่างไม่สมเหตุสมผลได้

แต่มีอัปลักษณะอีกอย่างของการใช้กฎหมายนี้ที่เราควรสนใจอย่างจริงจัง นั่นคือ การสารภาพว่าทำความผิดตามมาตรา 112  ในระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ผู้ต้องหาคดี 112 แทบทุกกรณียอมรับสารภาพทำไม? คำตอบที่รู้กันดีก็คือ การสารภาพจะช่วยย่นระยะเวลาในการพิจารณาและลดระยะเวลาติดคุก การสารภาพแลกกับความหวังว่าจะได้ลดโทษ กล่าวได้ว่า คำสารภาพเป็นผลของการล่อลวงชักจูง หรือเป็นผลของการถูกบังคับกลายๆนั่นเอง ปรากฏการณ์นี้แสดงว่าทุก ๆ ฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่ ผู้พิพากษา และประชาชนทั่วไป ถือว่าผู้ต้องหา 112 มีความผิดแน่นอนโดยไม่ต้องพิสูจน์ และต่อให้ผู้ต้องหาสามารถพิสูจน์ได้ว่าเนื้อหาที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดมาตรา 112 นั้นเป็นความจริง ก็ยังถือว่าผิดอยู่ดี ดังที่ผู้พิพากษาคนหนึ่งได้กล่าวกับทนายความในคดีหนึ่งว่า "ยิ่งจริง ยิ่งหมิ่น ไม่จริง ก็ยิ่งโคตรหมิ่น"

กรณี 112 ได้ประมวลอัปลักษณะของกระบวนการยุติธรรมไทยเข้าไว้ด้วยกัน คือสุดยอดของความอยุติธรรมแบบไทยๆ  วิธีพิจารณาความอาญาแบบจารีตนครบาลได้กลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับวิธีพิจารณาความอาญากรณี 112 ไปแล้ว กล่าวอีกอย่างได้ว่า กรณี 112 เป็นส่วนหนึ่งของ "จารีตนครบาลแบบใหม่"  เป็นภูมิปัญญาแบบโบราณของรัฐ ผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมและประชาชนผู้สนับสนุนยุยงส่งเสริมการใช้มาตรา 112 ในแบบนี้ รวมถึงคนที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับความอยุติธรรมของจารีตนครบาลใหม่ด้วย กรณี 112 สะท้อนภาวะภูมิปัญญาและนิติวัฒนธรรมยุคปัจจุบันของสังคมไทยเป็นอย่างดี

ลักษณะอย่างหนึ่งของจารีตนครบาลแบบดั้งเดิมคือการทรมานให้สารภาพ เป็นวิธีการที่กฎหมายยอมรับ การลงโทษในวัฒนธรรมแบบเก่าก็เน้นการทรมานทางกาย  รวมทั้งการทรมานทางกายในที่สาธารณะ ในกระบวนการยุติธรรมสมัยใหม่ การทรมานให้สารภาพและการลงโทษทางกายถูกยกเลิกไปแล้ว แต่อาชญากรรมละเมิดต่อกษัตริย์ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดดังได้กล่าวข้างต้น กรณี 112 จึงต้องถูกจัดการด้วยวิธีพิเศษ จารีตนครบาลใหม่ที่ใช้กับผู้ต้องหา 112 จึงรวมการทรมานด้วย เพียงแต่ว่าสำหรับอาชญากรรมทางความคิดนั้น การสารภาพในตัวมันเองคือการทรมานอย่างหนึ่ง

เราอาจเข้าใจประเด็นนี้ได้ดีขึ้นจากเรื่องเทียบเคียง (allegory) นั่นคือชะตากรรมของวินสตัน สมิธ (Winston Smith) ในนิยายเรื่อง 1984 ของจอร์จ ออร์เวล ในเรื่องนี้รัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จบังคับให้ประชาชนคิดเหมือนๆ กัน ประพฤติปฏิบัติเหมือนๆ กัน และมีชีวิตอยู่ในแบบที่รัฐบงการโดยประชาชนไม่ต้องมีความคิดของตัวเอง เพื่อความสงบเรียบร้อยเป็นระเบียบและประโยชน์สุขของส่วนรวม สังคมนี้มี "พี่เบิ้ม" (Big Brother) ซึ่งเป็นอภิชนชนิดหนึ่ง ปรากฏกายอยู่ทุกที่ จ้องมองประชาชนทุกคนตลอดเวลา และรู้ทุกเรื่องไปหมด พี่เบิ้มจะคอยสั่งสอนประชาชนว่าจะคิดอะไรจะเชื่ออะไร ในสังคมเช่นนี้ ความคิดอิสระหรือปัจเจกภาพของปัจเจกชนเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดต่อรัฐ ปัจเจกภาพคือการขบถในสังคมต้องการสถาปนาเอกภาพแบบไม่ต้องคิด แต่วินสตันพัฒนาปัจเจกภาพขึ้นมา มีความคิดอิสระเป็นของตัวเอง รวมทั้งตกหลุมรักจูเลียตามความปรารถนาของตัวเอง ความรักและความคิดอิสระเป็นอาชญากรรมทางความคิด (Thought Crime) เขาถูกจับโดยตำรวจความคิด (Thought Police) ถูกทรมานให้เขาสารภาพความผิดที่คิดอิสระไม่สยบยอมตาม"พี่เบิ้ม"  แต่ที่โหดเหี้ยมที่สุดก็คือบังคับให้เขาทรยศต่อจูเลีย การทรมานที่ได้ผลทำให้เขายอมแพ้ยอมทรยศต่อจูเลียในที่สุด ไม่ใช่การทรมานทางกายแต่เป็นการทรมานทางจิตใจ หลังจากสารภาพไปแล้ว วินสตันสูญเสียสิ่งมีค่าที่สุดซึ่งเขาเคยมีในชีวิต คือปัจเจกภาพและความรัก พี่เบิ้มจึงยอมปล่อยตัววินสตันได้ หลังจากนั้นเขากลับไปมีชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ผู้คนคิดเหมือนๆ กัน จงรักภักดีต่อพี่เบิ้มเหมือนๆ กัน (แต่เขายังมีชีวิตอยู่หรือ?)

สำหรับวินสตันและผู้ต้องหา 112 การสารภาพในตัวมันเองคือการทรมานอย่างหนึ่ง เพราะมาตรา 112 เป็นอาชญากรรมทางความคิด การทำลายความคิดอิสระจึงเป็นการทรมานยิ่งกว่าทรมานกาย หากไม่นับคนที่เป็นเหยื่อเพราะถูกกลั่นแกล้งแล้ว ผู้ต้องหา 112 ส่วนใหญ่คือคนที่มีความคิดเป็นตัวของตัวเอง เชื่อในความคิดอิสระ ปกป้องยืนยันความคิดอิสระของตนอย่างมั่นคง แม้ต้องเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางก็ตาม พวกเขามีศักดิ์ศรีทะนงในอิสระทางความคิด เป็นเกียรติยศที่เขาหวงแหน ดังนั้น แม้ว่าการสารภาพจะเป็นทางเลือกซึ่งชาญฉลาดถูกต้องในสถานการณ์ที่เป็นจริงเพื่อมีชีวิตอยู่รอดในโลกอัปลักษณ์ที่มีมาตรา 112 และไม่ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนความคิดจริงหรือไม่ก็ตาม การสารภาพเป็นการทำร้ายจิตใจลงย่อยยับ เป็นการกระทำที่สุดแสนจะทรมานสำหรับพวกเขา เพราะเท่ากับเขาต้องทิ้งทำลายความคิดอิสระที่ทำให้เขามีความเป็นมนุษย์ลงอย่างย่อยยับ อิสระที่ได้รับหลังการสารภาพจึงเป็นเพียงอิสระทางกาย เพราะจิตใจ ศักดิ์ศรี ความภาคภูมิใจในตัวของตัวเอง ความเป็นมนุษย์ได้ถูกทำลายไปแล้ว

นี่คือเหตุผลที่รัฐและกระบวนการยุติธรรมของไทยต้อนผู้ต้องหาเหล่านี้เข้ามุมแล้วยื่นทางเลือกให้กับพวกเขาว่า จงสารภาพ จึงจะได้รับการปล่อยตัวเร็วขึ้น

นี่คือความโหดร้ายของการสารภาพผิดต่อมาตรา 112

 

หมายเหตุ: บางส่วนจากบทความของธงชัย วินิจจะกูล "อภิสิทธิ์ปลอดความผิด (impunity) และความเข้าใจสิทธิมนุษยชนในนิติรัฐแบบไทยๆ" ใน ฟ้าเดียวกัน ฉบับ 40 ปี 6 ตุลา, ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-ธันวาคม 2559, คัดมาจากหน้า 210-214

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น