โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

'เพจสุเทพ' แพร่ภาพเด็กนักเรียนแสดงความชื่นชอบและขอจับมือ

Posted: 20 Dec 2013 12:16 PM PST

เพจ 'สุเทพ เทือกสุบรรณ' โพสต์รูปเด็กๆ เข้ามาจับมือ ทักทาย และขอถ่ายรูประหว่างเคลื่อนขบวนรอบกรุงเป็นวันที่ 2 ผ่านสีลม-เยาวราช โดยปราศรัยในช่วงค่ำแสดงความมั่นใจ 22 ธ.ค. จะมีคนชุมนุมมากเป็นประวัติศาสตร์ และเตือนนายกรัฐมนตรีหากยืนยันจัดเลือกตั้ง เท่ากับท้าทายประชาชน และจะได้เห็นฤทธิ์ประชาชน

เพจสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. มีการเผยแพร่ภาพเด็กนักเรียนจำนวนมากเข้ามาขอจับมือและระบุข้อความว่า "เด็กๆ กับลุงกำนัน" (ที่มาของภาพ: เพจ Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ))

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

การเคลื่อนขบวนชุมนุมของสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2556 ผ่านย่านสีลม เยาวราช (ที่มาของภาพ: เพจเวทีราชดำเนิน)

 

21 ธ.ค. 2556 - ภายหลังจากที่เมื่อวานนี้ (20 ธ.ค.) กปปส. นำโดยสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. นำผู้ชุมนุมเดินขบวนรอบกรุงเทพฯ เป็นวันที่สองผ่านย่านสีลม และเยาวราชเพื่อเชิญชวนประชาชนมาร่วมชุมนุมใหญ่ 22 ธ.ค. 56 เมื่อช่วงกลางวันนี้ โดยมีประชาชนออกมาให้การต้อนรับเป็นจำนวนมาก รวมทั้งในเพจสุเทพ เทือกสุบรรณ มีการเผยแพร่ภาพเด็กนักเรียนจำนวนมากเข้ามาขอจับมือและระบุข้อความว่า "เด็กๆ กับลุงกำนัน" นั้น

ล่าสุดหลังการเดินขบวน เมื่อเวลา 22.00 น. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สุเทพได้ปราศรัยว่า เดิน 10 ชั่วโมงวันนี้ ไม่เหนื่อยเลย ไม่เมื่อยขาเลย แต่ปวดไหล่เพราะรับเงินมาก ที่ไม่เหนื่อยเพราะเห็นหัวใจของคนไทยทุกระดับชั้น พี่น้องมอเตอร์ไซค์ออกมาเชียร์เราอย่างเปิดเผยและยืนหยัดสู้กับพวกเรา ซึ่งไม่เคยคาดมาก่อน ร้านค้าขาย ห้องแถว เจ้าของร้าน ลูกจ้าง ออกมายืนนอกร้านหมด เป่านกหวีดกันใหญ่ คนแก่ก็ออกมาเป่านกหวีด ผ่านชุมชนไหนก็มีตัวแทน คณะกรรมการชุมชนออกมายืนให้กำลังใจเราทุกถนนที่เราผ่าน ผ่านร้านอาหาร รถเข็น คนขาย เจ้าของร้านออกมาขอจับไม้จับมือให้กำลังใจ อย่างนี้เหนื่อยไม่ได้ ต้องขอบคุณอย่างเดียว

ส่วนเงินที่บริจาคใส่ถุง เราก็ไม่นึกว่าจะมีคนให้เงินเรามาก ตอนแรกใส่กระเป๋า หนักเข้ากระเป๋าเต็ม ก็เปลี่ยนเอาถุงขยะใส่ เดินไปก็มีคนเอาถุงให้ เปลี่ยนไม่รู้กี่ถุง ในชีวิตไม่เคยมีใครให้เงินเยอะอย่างนี้มาก่อน นี่เป็นความดีของธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่อายัดบัญชีของพวกเรา ประชาชนเขาก็กลัวคนที่ราชดำเนินจะอดข้าว คาดคร่าวๆ ว่าประมาณ 7 ล้านเศษ ผมเรียนจริงๆ ว่าไปเดินมาวันนี้ ผ่านสีลมไม่ได้มีใครทำงาน ลงมาอยู่บนถนนหมด เดินไม่ได้ ขยับไม่ได้เลย เดี๋ยวซ้ายเรียก เดี๋ยวขวาเรียก ได้ยินเสียงที่พี่น้องพูดใครก็ไม่เหนื่อย จริงจัง จริงใจ ทุกคนพูดเหมือนกันว่ากำนันสุเทพสู้เขา และเราจะร่วมต่อสู้ด้วย วันที่ 22 ธ.ค. นี้จะไปกันหมดทุกคน แล้วบอกเป็นคำมั่นเลยว่าจะร่วมต่อสู้กับมวลมหาประชาชนจนขจัดระบอบทักษิณหมดสิ้นจากแผ่นดินไทย

"พี่น้องกรุงเทพฯ ตื่นตัว แสดงออกถึงความรักชาติ รักแผ่นดิน มุ่งมั่น เปิดเผย ไม่มีใครถามผมเลยว่าเมื่อไหร่จะจบ บอกแต่ว่าให้สู้ให้ชนะ อย่ายอมแพ้ จำนวนมากบอกว่าพี่น้องประชาชนทุ่มเทใจให้กำนัน อย่าทำให้ประชาชนผิดหวัง อย่าถอย อย่าทิ้งประชาชน สู้ให้ถึงที่สุด ผมได้ยินได้ฟังแล้วก็ตั้งใจเลยว่าไม่ว่าจะเป็นจะตายอย่างไรเที่ยวนี้ต้องสู้ให้ถึงที่สุด ไม่ให้ผิดหวัง ไม่มีวันที่จะแยกทางจากพี่น้องประชาชนอีกแล้ว และขออนุญาตกราบขอบพระคุณพี่น้องทุกถนนที่เดินผ่านที่ออกมาเป็นกำลังใจ และขอบพระคุณเป็นพิเศษ พี่น้องที่สีลม และเยาวราชที่ต้อนรับด้วยความอบอุ่น ด้วยน้ำใจไมตรี จะไม่มีวันลืมเลยทั้งชาติ ขอกราบขอบพระคุณจริงๆ"

โดยสุเทพระบุด้วยว่ามั่นใจว่ายิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจะไม่สามารถอยู่ประเทศไทยได้ เพราะไม่ว่าจะไปร้านอาหารไหนก็เห็นแต่นกหวีด

ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีแถลงข่าวไม่ลาออก และจะจัดเลือกตั้ง 2 ก.พ. นั้น สุเทพกล่าวว่าก็เชิญอยู่ต่อไป จนกระทั่งคนไทยลุกขึ้นไล่ทุกคน แล้วก็ออกมาพูดว่าเลื่อนเลือกตั้งไม่ได้ "ไม่ต้องเลื่อน เดี๋ยวจะจัดการเอง เชิญเลือกตั้งต่อไปแล้วจะเห็นฤทธิ์ประชาชน ถ้าอยากจะเดินทางนรกก็จะได้พบกับฤทธิ์เดชของประชาชนว่ามันขนาดไหน ผมเห็นเลยว่าเขาตั้งใจท้าทายประชาชนทั้งประเทศ ก็ขอให้ประชาชนทั้งประเทศรับคำท้าและจัดการให้เขารู้ จะได้รู้ฤทธิ์ประชาชนซะที ไม่อย่างนั้นก็จะอวดดีไม่สิ้นสุด และทำคราวนี้ทำเต็มที่จะได้ไม่มีทรราชรายไหนมาทำให้ช้ำใจกันได้อีกแล้ว ผมเชื่อแน่นอนว่าเราชนะอย่างเดียว ไม่มีเสมอด้วยซ้ำไป อย่าพูดถึงแพ้เลย"

"และเรียนกับพี่น้องว่าไม่มีการต่อรองกับระบอบทักษิณอีกต่อไป ไม่ขอร้อง ไม่ต้องไปบอกว่าออกเสียเถอะ อยากจะอยู่ก็อยู่ไป อยู่จนกว่าไม่มีแผ่นดินอยุ่นั่นแหละ และพี่น้องระวังให้ดีว่ามันจะมาใหม่ บอกว่าคนไทยจะปฏิรูปประเทศใช่ไหม เมื่อสิ้นหนทางจัดเลือกตั้งไม่ได้ ก็จะมาเสนอว่าให้เราตั้งสภาปฏิรูป ไม่ต้องมาตั้งให้พวกเรา เราตั้งของเราเอง ขอให้เราตั้งเข็มทิศให้แน่วแน่ว่าทิศทางการต่อสู้ของเราเป็นแนวนี้ตลอดไป จนกว่าจะชนะ ไม่มีเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น เชื่อว่าภาพการต่อสู้ของพลเมืองดีอย่างพวกเราจะทำให้พี่น้องประชาชนที่เขาอยู่เฉยๆ อยู่ ลังเลอยู่จะมีความเข้าใจในวิถีทางการต่อสู้ของเรามากขึ้นทุกวัน เชื่อว่าทุกครั้่งที่เราระดมเพื่อแสดงพลังครั้งใหญ่แต่ละครั้งจะมีคนเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นทุกครั้ง"

ทั้งนี้สุเทพกล่าวว่า ในการเดินขบวนวันนี้ มีพนักงานลูกจ้างร้านอาหาร พนักงานห้างร้าน ซึ่งเป็นคนต่างจังหวัดจากภาคต่างๆ มาต้อนรับคณะเดินขบวน และร่วมบริจาคค่าอาหาร และเชื่อว่าผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดเหล่านี้จะโทรศัพท์ไปเล่าให้พ่อแม่พี่น้องที่อยู่ต่างจังหวัดฟัง และแม้แต่คนเสื้อแดงต่างจังหวัดก็จะได้รับการบอกเล่าจากลูกหลาน เชื่อว่าคนเสื้อแดงในต่างจังหวัดจะมาร่วมกับ กปปส. "เชื่อผมเถอะ เพราะผมเห็นสายตาด้วยตัวของผมเอง กราบเรียนไปถึงชาวต่างจังหวัดที่มาทำงานในกรุงเทพฯอย่ารอนาน รีบโทรศัพท์บอกพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดว่าการต่อสู้ของมวลมหาประชาชนทำเพื่อทุกคนไม่แยกสี ไม่แยกฝ่าย"

สุเทพปราศรัยทิ้งท้ายว่าการชุมนุมวันที่ 22 ธ.ค. นี้จะมีประชาชนมาชุมนุมมากเป็นประวัติศาสตร์ และจะมากกว่าวันที่ 9 ธ.ค.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ไทม์' ยกช่างภาพเอพีในเกาหลีเหนือ 'ช่างภาพอินสตาแกรมแห่งปี'

Posted: 20 Dec 2013 10:44 AM PST

21 ธ.ค.2556 นิตยสารไทม์ มอบตำแหน่งช่างภาพอินสตาแกรมแห่งปี ให้กับ เดวิด กัตเตนเฟลเดอร์ หัวหน้าช่างภาพประจำภูมิภาคเอเชียของสำนักข่าวเอพี ผู้ถ่ายทอดภาพจากเกาหลีเหนือ ลงในอินสตาแกรม dguttenfelder

อินสตาแกรมของกัตเตนเฟลเดอร์ มีภาพทั้งสิ้น 804 ภาพ มีผู้ติดตาม 244,489 ราย (สำรวจเมื่อ 21 ธ.ค.)

กัตเตนเฟลเดอร์ เป็นช่างภาพ-นักข่าว ซึ่งเคยได้รับรางวัลในการประกวดภาพถ่ายสื่อมวลชนโลก (World Press Photo Awards) มาแล้ว 7 ครั้ง เขาทำงานให้กับสำนักข่าวเอพี โดยเดินทางไปทำข่าวสงคราม การเลือกตั้งและภัยธรรมชาติกว่า 75 ประเทศทั่วโลก เขาเป็นหนึ่งในช่างภาพต่างชาติกลุ่มแรกที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในเกาหลีเหนือ ซึ่งไทม์บรรยายว่าเป็นประเทศปิด ที่มีภาพที่โดดเด่นที่คนจะนึกถึงเป็นการจัดแสดงแนวโฆษณาชวนเชื่อยิ่งใหญ่อลังการแบบสตาลินนิสต์ เช่น การแสดง Mass Games (การแสดงที่เน้นผู้แสดงจำนวนมากๆ มีทั้งการเต้นรำ แปรอักษรและยิมนาสติก) โดยภาพเหล่านี้สะท้อนถึงความเป็นชาติของผู้คนที่มีเลือดเนื้อน้อยกว่าภาพของระบอบเผด็จการที่เต็มไปด้วยตำนานและการบูชาตระกูลคิมผู้ปกครอง

ไทม์ระบุว่า ผู้ดูแลของรัฐบาลนั้นตามกัตเตนเฟลเดอร์ไปทุกที่ แต่การปรากฏตัวของเขาในเกาหลีเหนือเท่ากับเป็นการยอมให้มีมุมมองที่แตกต่างออกไป "ไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ และไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร" กัตเตนเฟลเดอร์ให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์ผ่านสไกป์จากโรงแรมในกรุงเปียงยาง "ผมรู้สึกเหมือนว่านี่เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่และความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ด้วย"

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่สิ่งที่เขาทำในเกาหลีเหนือส่วนใหญ่เกิดจากการแนะนำโดยไกด์ของรัฐ เขาแสดงความเห็นว่า ประเทศนี้ไม่ใช่ที่ที่จะช่างภาพ-นักข่าวจะผลิตสิ่งที่เรียกว่า "ภาพที่ดี" ได้ง่ายๆ ในทางกลับกัน เขามองว่า มันเหมือนเป็นผลรวมของส่วนต่างๆ

"เมื่อคุณเติมชิ้นส่วนเพิ่มเข้าไป บางอย่างที่น่าสนใจก็บังเกิดขึ้น" เขากล่าวและว่าภาพที่ถ่ายนั้นเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ของปริศนาซึ่งเขากำลังรวมมันเข้าด้วยกัน

 












เรียบเรียงจาก David Guttenfelder Is TIME's Pick for Instagram Photographer of the Year 
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

การใช้สิทธิชุมนุมประท้วงบริเวณสถานทูตสหรัฐอเมริกากับความคุ้มกันทางการทูต

Posted: 20 Dec 2013 09:08 AM PST

การที่มีผู้ชุมประท้วงได้กล่าวโจมตีเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยที่บริเวณสถานทูตสหรัฐอเมริกา ถนนวิทยุนั้น มีข้อสังเกตดังนี้

ประการแรก ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยนั้น การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง การชุมนุมสาธารณะหรือการเดินขบวนประท้วงเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพที่กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองและกฎหมายรัฐธรรมนูญรับรองไว้ สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมประท้วงเป็นสิทธิเสรีภาพที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี สิทธิเสรีภาพดังกล่าวเป็นสิทธิที่อาจถูกจำกัดได้ตามกฎหมาย กล่าวอีกนัยหนึ่งสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมประท้วงไม่ใช่สิทธิเด็ดขาด (absolute right) ที่รัฐไม่อาจจำกัดได้เลย แต่เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะ (รวมถึงการเดินประท้วง) มีเพียงบทบัญญัติกว้างๆในรัฐธรรมนูญที่รับรอง "เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ" เท่านั้น แต่ไม่มีกฎเกณฑ์รายละเอียดเกี่ยวกับกรอบกติกาของการชุมนุมเลย ที่ผ่านมาเราจึงเห็นผู้ชุมนุมเข้าไปใน "สนามบิน"  "สถานที่ทำการของหน่วยราชการ"  "สี่แยกต่างๆในกรุงเทพ" และล่าสุดคือ "บริเวณสถานทูต" คำถามมีว่า สังคมไทยจะปล่อยให้ผู้ชุมนุมอ้างคำว่า "ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ" แล้วก็ "เข้าไป" สถานที่สำคัญต่างๆหรือแม้ไม่เข้าไปก็ชุมนุมบริเวณรอบๆสถานที่ทำการต่างๆ อันจะก่อให้เกิดการกีดขวางต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือก่อความวุ่นวายต่อไปหรือ

ประการที่สอง แม้การชุมนุมปราศรัยของผู้ประท้วงจะยังมิได้ "เข้าไป" ในสถานทูตสหรัฐอเมริกาก็ตามแต่การชุมนุมปราสัยโจมตีบริเวณรอบๆสถานทูตผ่านลำโพงก็อาจเข้าข่ายเป็น "การรบกวนใดๆต่อความสงบสุขของคณะผู้แทน" ได้ โดยปกติแล้ว การประท้วงชุมนุมบริเวณสถานทูตเป็นเรื่องปกติที่สังคมประชาธิปไตยทำกัน ซึ่งมักจะอยู่ในรูปของการชูป้ายประท้วง การใช้โทรโข่งวิพากษ์วิจารณ์ ฯลฯ แต่การประชุมที่มีลักษณะเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ หรือเป็นการรบกวน หรือการปราศรัยที่ใช้ถ้อยคำรุนแรงเป็นสิ่งต้องห้าม ประเทศไทยในฐานะรัฐผู้รับ (Receiving state) มีหน้าที่จะต้องให้ความคุ้มครองป้องกันมิให้มีการรบกวนใดๆอันเป็นการขัดต่อความสงบสุขหรือเป็นการทำให้เสื่อมเสียเกียรติของคณะผู้แทนอันเป็นการละเมิดข้อบทที่ 22 (2) ของอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 นอกจากนี้ กฎหมายภายในบางประเทศให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสถานทูตเป็นพิเศษ กฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะของบางประเทศอย่าง ประเทศเนเธอร์แลนด์ ห้ามมิให้มีการชุมนุมบริเวณศาลโลก สถานทูต และสถานกงสุล อันมีลักษณะเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่[1] ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออก  Joint Resolution ในปี 1938 ห้ามมิให้มีการชุมนุมบริเวณสถานทูตต่างประเทศของรัฐผู้ส่งภายในรัศมี 500 ฟุต[2] ส่วนประเทศออสเตรเลียได้ออกกฎหมายชื่อว่า " The Public Order (Protection of Persons and Property) Act 1971 โดยในหมวดที่ 3 ของกฎหมายนี้ได้กำหนดกฎเกณฑ์รายละเอียดเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะบริเวณสถานทูตและสถานกงสุลไว้อย่างละเอียดไมว่าจะเป็นเรื่องของการห้ามการชุมนุมบริเวณสถานทูตและสถานกงสุลอันอาจจะก่อให้เกิดความรุนแรงหรือความเสียหายได้ การบัญญัติความผิดทางอาญาเกี่ยวกับการทำร้าย การก่อกวน หรือการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะผู้แทนทางการทูตรวมทั้งการรับรองการสลายการชุมนุม (Dispersal of assemblies) ด้วย

ประการที่สาม การที่ผู้ชุมนุมปราศัยโจมตีเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย อย่างรุนแรงนั้น ประเทศไทยในฐานะรัฐผู้รับ (Receiving state) มีพันธกรณีที่จะต้องดำเนินการตามความเหมาะสมที่จะต้องปกป้องเกียรติของตัวแทนทางทูตตามข้อบทที่ 29 แห่งอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 ที่รับรองหลัก "ความละเมิดมิได้ในตัวบุคคล" (Personal Inviolability) โดยตามกฎหมายระหว่างประเทศ เอกอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มถือว่าเป็น "ตัวแทนของรัฐผู้ส่ง" และรัฐผู้รับจะต้องปฏิบัติต่อเอกอัครราชทูต (รวมทั้งคณะผู้แทนทางทูต) อย่างสมเกียรติด้วย นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายอาญาของไทย ยังมีบทบัญญัติคุ้มครองเกียรติยศของผู้แทนของรัฐต่างประเทศเป็นการเฉพาะอีกด้วย โดยประมวลกฎหมายอาญา หมวด 4 ว่าด้วยความผิดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ มาตรา 134 บัญญัติว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้แทนรัฐต่างประเทศซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาสู่พระราชสำนัก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีหรือปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ"[3]

ประการสุดท้าย สำหรับประเด็นเรื่องการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐผู้รับนั้น ตามอนุสัญญากรุงเวียนนาข้อบทที่ 41 บัญญัติว่าตัวแทนทางทูตมีหน้าที่ที่จะไม่แทรกแซงหรือยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของรัฐผู้รับ ประเด็นก็คือ อนุสัญญานี้ไม่ได้ให้คำนิยามว่า "กิจการภายใน" มีความหมายแคบกว้างเพียงใด  ตัวอย่างที่น่าสนใจในอดีตคือ กรณีที่รัฐบาลสิงคโปร์เคยขับเลขานุการเอก (First Secretary) ของประเทศสหรัฐอเมริกาประจำประเทศสิงคโปร์ออกจากประเทศ (ภาษาทางการทูตเรียกว่า การประกาศให้เป็นบุคคลที่ไม่พึงปรารถนา หรือ persona non grata) เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1988 ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามว่า "Hendrickson affair" โดยรัฐบาลสิงคโปร์เห็นว่า เลขานุการเอกท่านนี้เกี่ยวข้องกับการจัดตัวผู้รับสมัครเลือกตั้งของประเทศสิงคโปร์[4] แต่การแสดงความเห็นในเชิงสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งตามวิถีทางระบอบประชาธิปไตยไม่ถือว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐผู้รับ

บทส่งท้าย

ประเทศไทยในฐานะ "รัฐผู้รับ" มีหน้าที่พิเศษที่จะต้องปกป้องคุ้มครอง "สถานทูตสหรัฐอเมริกา" (รวมถึงที่พักส่วนตัวของคณะผู้แทนทางทูต) และเกียรติยศของตัวแทนทางทูตของประเทศสหรัฐอเมริกาในฐานะรัฐผู้ส่ง (Sending State) มิให้มีการละเมิดได้ อันเป็นพันธกรณีที่ประเทศไทยในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด




[1] PUBLIC ASSEMBLIES ACT 1988, Section 9

[2] Eileen Denza, Diplomatic Law, (USA: Clarendon Press, 1998), p. 115

[3] นอกจากนี้โปรดูฎีกาที่ 785/2501 ซึ่งศาลฎีกาได้ตัดสินความผิดฐานหมิ่นประมาทเอกอัครราชทูตต่างประเทศว่าเป็นความผิดตามาตรา 134 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

[4] ดู Eileen Denza, หน้า 377 Eileen Denza ได้อ้างนิตยสาร Time ลงวันที่  24 พฤษภาคม 1988

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: เลี่ยงสงครามกลางเมืองด้วยการเลือกตั้ง

Posted: 20 Dec 2013 08:56 AM PST

การรุกครั้งล่าสุดของพวกเผด็จการที่กระทำต่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ดูจากภายนอกแล้ว ก็ยังคงดำเนินไปตาม "สูตรเดิม" คือ มีกองหน้าประกอบด้วยกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลือง ซึ่งคราวนี้ได้ผัดหน้าทาแป้งใหม่เป็น "คณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" (กปปส.) และเปลี่ยนตัวผู้นำขบวนมาเป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำพรรคประชาธิปัตย์

ส่วนแนวรบในสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ได้สั่ง สส.ทั้งหมดของตนลาออกเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 เพี่อตัดหนทางมิให้พรรคเพื่อไทยสามารถใช้กลไกทางสภาได้ รวมทั้งเป็นการกดดันให้นายกรัฐมนตรียอมยุบสภา

ตระกูลชินวัตรและแกนนำพรรคเพื่อไทยยังคงเดินแนวทางประนีประนอมกับพวกจารีตนิยม แม้จะตระหนักดีว่า ศึกครั้งนี้ ฝ่ายจารีตนิยมหมายมุ่งถึงขั้นทำลายตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย แต่เมื่อได้รับ "คำสัญญา" ว่า จะให้มีการเลือกตั้งอย่างแน่นอน นายกรัฐมนตรีก็ได้ยอมต่อแรงกดดัน ประกาศยุบสภา กลายเป็นรัฐบาลรักษาการที่ไม่มีรัฐสภาและไร้อำนาจบริหาร รอความหวังแต่เพียงว่า พวกจารีตนิยมจะรักษาคำมั่นสัญญา และหวังว่า แรงกดดันจากนานาชาติจะทำให้ฝ่ายเผด็จการยอมให้มีการเลือกตั้งในที่สุด

นาทีนี้ จึงเหลือแต่จังหวะเวลาที่ฝ่ายจารีตนิยมจะใช้ตุลาการ ปปช. และท้ายสุดคือ แรงกดดันจากกองทัพ เพื่อจัดการกับตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยเป็นขั้นสุดท้ายเท่านั้น

การรุกครั้งล่าสุดของพวกจารีตนิยมแม้จะดำเนินตาม "สูตรเดิม" เหมือนปี 2549 ที่โค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และปี 2551 ที่โค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชน แต่ในครั้งนี้ ก็มีลักษณะพิเศษกว่าสองครั้งแรกอย่างเห็นได้ชัด

ประการแรก การรุกครั้งนี้มีลักษณะปฏิกิริยาถอยหลังอย่างชัดเจน มุ่งที่จะล้มเลิกการเมืองแบบเลือกตั้ง นี่เป็นการเปลี่ยนไปจากแนวทางเดิมที่พวกจารีตนิยมเคยใช้มาตั้งแต่รัฐประหาร 2549 ซึ่งในเวลานั้น พวกเขายังต้องการใช้เปลือกนอกของระบบรัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 มาเคลือบคลุมเนื้อในที่เป็นเผด็จการของตนไว้ แต่การเลือกตั้งทั่วไปปี 2550 และ 2554 พิสูจน์ว่า ทั้งรัฐธรรมนูญ 2550 และกลไกตุลาการอันบิดเบี้ยวที่พวกเขาบรรจงสร้างขึ้น ก็ยังไม่ช่วยให้สามารถเอาชนะพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในสนามเลือกตั้ง แล้วจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นหุ่นเชิดของพวกเขาได้ แต่กลับได้มาซึ่งรัฐบาลพรรคพลังประชาชนและรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งสามารถฉวยใช้กลไกของรัฐธรรมนูญ 2550 มาแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อบ่อนเซาะอำนาจของพวกเขาอีกด้วย

นัยหนึ่ง รัฐธรรมนูญ 2550 ได้กลายเป็น "หอกทมิฬแทงทมิฬ" สำหรับพวกจารีตนิยมไปเสียแล้ว! การเคลื่อนไหวของเผด็จการในวันนี้จึงมีเป้าหมายที่อยู่นอกกรอบของรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งก็คือ แทนที่สภาผู้แทนฯและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยฝ่ายนิติบัญญัติและรัฐบาลที่แต่งตั้งโดยพวกจารีตนิยม!

ประการที่สอง การรุกของพวกต่อต้านประชาธิปไตยครั้งนี้ได้เผยธาตุแท้ที่เป็นเผด็จการล้าหลังออกมาจนหมดสิ้น สะท้อนออกมาเป็นการเคลื่อนไหวของ กปปส. ที่ชูธงนำทางความคิดว่าด้วย "สภาประชาชน" และ "นายกฯคนกลาง" ที่ถูกนำเสนอออกมาอย่างเป็นเอกภาพพร้อมกันถึง 4 กลุ่มคือ กปปส. กลุ่มอธิการบดีมหาวิทยาลัย กลุ่มนักวิชาการที่นิยมกษัตริย์และนิยมทหาร แล้วโหมกระพือให้เป็นกระแสสังคมคนชั้นกลางด้วยสื่อมวลชนกระแสหลักที่เลือกข้างเผด็จการ

ทั้งหมดนี้ได้รวบยอดขึ้นเป็นวาทกรรม "ปฏิรูปประเทศไทย" ปลุกปลั่นกระแสปฏิเสธการเลือกตั้ง เรียกร้องให้ "ปฏิรูปก่อน เลือกตั้งทีหลัง" ไม่เอาการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 โดยอ้างว่า ถ้าไม่ "ปฏิรูป" แล้วรีบเลือกตั้ง "ระบอบทักษิณ" ก็จะหวนกลับมาเถลิงอำนาจอีกอยู่ดี ฉะนั้น จึงต้อง "ปฏิรูปก่อน" ซึ่งก็คือ ฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 ทำลายตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ปราบปรามประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยให้หมดสิ้นก่อน แล้วปกครองด้วยเผด็จการอย่างเปิดเผยอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะหวนคืนสู่ระบบการเมืองแบบเลือกตั้งอีกครั้ง

การโหมกระแส "ปฏิรูปก่อน เลือกตั้งทีหลัง" จึงเป็นยุทธวิธีที่มุ่งขัดขวางไม่ให้มีเลือกตั้ง และเปิดช่องให้ใช้วิธีการนอกรัฐธรรมนูญโดยผ่านตุลาการและทหาร เพื่อนำเอาระบอบเผด็จการเข้ามานั่นเอง

ประการที่สาม ในการรุกของพวกจารีตนิยมครั้งนี้ ดารานักร้องนักแสดง นักเคลื่อนไหวเอ็นจีโอ นักวิชาการ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย ปัญญาชนทุกแขนง สื่อมวลชนกระแสหลัก ล้วนได้เผยระบบความคิดที่เป็นอุดมการศักดินานิยมออกมาอย่างหมดเปลือก ซึ่งก็คือ ความคิดพื้นฐานที่ว่า "คนเราเกิดมา ไม่เท่ากัน" มีชนชั้นศักดินาที่ "เหนือคน เหนือเทวดา" ผูกขาดทั้งอำนาจ โภคทรัพย์ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมชั้นสูง กับชนชั้นไพร่ที่ "ต่ำชั้นกว่า" ทั้งโภคทรัพย์ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ความคิดนี้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในหมู่ผู้ปกครองไทย และได้ถูกมอมเมา แพร่ระบาดไปยังชนชั้นกลางในเมืองที่เป็นหางเครื่องศักดินาในปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้ ความคิดศักดินาดังกล่าวถูกแสดงออกโดยดารานักแสดงนักร้องตัวตลกที่ปราศจากสมองมนุษย์ ซึ่งผรุสวาทออกมาแล้วก็เป็นที่สมเพชของสังคม แต่ในการรุกครั้งล่าสุด ชนชั้นกลางในเมืองจำนวนหนึ่งได้ประสานเสียงร่วมกันแพร่ความคิดดังกล่าวออกมาอย่างเป็นระบบ ในรูป "คนชนบทนั้นโง่และไร้การศึกษา ไม่ควรมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง คนเหนือ-อีสาน ลาวนั้นโง่ เลว ซื้อสิทธิ์ขายเสียง" ไปถึงขนาดผู้บริหารมหาวิทยาลัยและนักวิชาการใหญ่ที่นิยมกษัตริย์-นิยมทหารเอาความคิดดังกล่าวมาวิเคราะห์ ปั้นแต่งอุปโลกน์ให้เป็น "ข้อคิดทางวิชาการ" อภิปรายกันเป็นคุ้งเป็นแควบนเวทีเสวนาในหอประชุมอันทรงเกียรติ์

ผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักวิชาการ และชนชั้นกลางในเมืองที่ช่วยกันสำแดงความคิดดังกล่าวออกมานั้น ลืมรากเหง้ากำพืดของตัวเองเสียสิ้นว่า ถ้าย้อนหลังเวลาไปสักร้อยหรือสองร้อยปี ต้นตระกูลของคนพวกนี้ ทั้งปู่ย่าตายายและพ่อแม่ ก็ล้วนเป็นไพร่เลกไร้ศึกษา ถูกสักข้อมือ ขูดรีดเกณฑ์แรงงานโดยพวกศักดินาด้วยกันทั้งสิ้น แม้แต่คนชั้นกลางกรุงเทพฯที่มีเชื้อสายจีนและมีการศึกษาสูงในวันนี้ ก็สืบมาจากไพร่ชาวนาที่ยากจนบนแผ่นดินจีน จากกรรมกรจับกังทำงานแบกหามตามโกดังและโรงสีริมแม่น้ำเจ้าพระยา หรือคนจีนอันต่ำต้อยที่ค้าขายเบ็ดเตล็ดอยู่ทั่วไปในกรุงเทพและหัวเมืองในอดีต เพียงแต่คนชั้นกลางรุ่นปัจจุบันที่เป็นลูกหลานได้รับการศึกษา อาชีพการงาน สถานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และการอุ้มชูโดยพวกศักดินา ก็ทำให้คนพวกนี้ลืมกำพืดเดิมของตัวเอง ยกตนเทียบชั้นเป็นศักดินาเสียเองในวันนี้! กระทั่งหลายคนยังลืมไปว่า บรรพบุรุษของตนก็มีเชื้อสายคนเหนือ อีสาน ลาว เขมร ปะปนกันมาทั้งสิ้น

การรุกของพวกเผด็จการที่มีคนชั้นกลางในเมืองเป็นหางเครื่องครั้งนี้จึงเป็นอันตรายที่คุกคามต่อฝ่ายประชาธิปไตยมากที่สุดนับแต่ปี 2549 เป็นต้นมา แต่ก็เป็นการรุกในสภาพที่มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยได้เข้มแข็งเติบใหญ่ทั่วประเทศ และได้รับแรงสนับสนุนอย่างล้นหลามจากเพื่อนมิตรนานาประเทศทั่วโลก ซึ่งจะไม่ยอมให้พวกจารีตนิยมหมุนนาฬิกาย้อนกลับไปสู่เผด็จการเบ็ดเสร็จอีก หากพวกจารีตนิยมจะดันทุรังไม่ให้มีเลือกตั้ง ก็สุ่มเสี่ยงที่จะนำไปสู่ "สงครามกลางเมืองที่หลั่งเลือด" ในที่สุด

ฝ่ายประชาธิปไตยมีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะนองเลือดได้ ซึ่งก็คือ เคลื่อนไหวมวลชนทั่วประเทศ ประสานกับเพื่อนมิตรนานาชาติ ก่อกระแสรณรงค์ให้มีการเลือกตั้งตามกำหนดให้จงได้ รวมทั้งปรามตุลาการและทหาร เพื่อสกัดแผนการของพวกเผด็จการที่จะอ้าง "การปฏิรูป" มาทำลายขบวนประชาธิปไตย

 

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน "โลกวันนี้วันสุข"
ฉบับวันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2556

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เผยเบื้องหลังความสำเร็จ 'แคนดี้ครัช' เกมยุคสมาร์ทโฟนที่คนติดกันทั่วโลก

Posted: 20 Dec 2013 08:45 AM PST

เกมเรียงลูกกวาดสีสวย Candy Crush Saga เป็นเกมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2556 และมีคนจำนวนหนึ่งถึงขั้นยอมรับว่า 'ติด' เกมนี้ สื่อบีบีซีเจาะลึกเบื้องหลังความสำเร็จจากการจับกระแสผู้เล่นในยุคที่แท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนกำลังเฟื่องฟู


20 ธ.ค. 2556 สำนักข่าวบีบีซีรายงานเรื่องเกมแอพพลิเคชั่น  แคนดี้ครัช ซาก้า (Candy Crush Saga) ซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดในปี 2556 โดยตั้งคำถามว่าอะไรที่เป็นสิ่งดึงดูดให้เกมนี้มีผู้เล่นมากถึง 500 ล้านคน

คริส สโตเคล-วอลเกอร์ นักข่าวประจำบีบีซีกล่าวในรายงานว่าเกมนี้มีผู้คนให้ความสนใจอย่างมากในหลายประเทศ โดยตามรถไฟฟ้าใต้ดินทั้งในเมืองนิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน โตเกียว หรือเบอร์ลิน ต่างก็มีคนใจจดใจจ่อกับเกม แคนดี้ครัช ซาก้า  ซึ่งสามารถเล่นได้ทั้งในมือถือไอโฟนและไอแพด

เกม แคนดี้ครัช ซาก้า มีรูปแบบลักษณะการเล่นแบบเรียงวัตถุแบบเดียวกันให้ได้สามชิ้นในแถวเดียว (match-three) โดยวัตถุในเกมมีรูปลักษณ์เป็นลูกกวาดสีสันและรูปร่างต่างๆ เช่นเยลลี่รูปเมล็ดถั่วสีแดงหรือยาอมสีส้ม โดยเกมนี้ได้รับความนิยมมากผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กเฟซบุ๊ก จนถึงขั้นมีการตั้งกลุ่มให้ความช่วยเหลือผู้ที่ยอมรับว่าตัวเองติดเกมนี้

จากข้อมูลของ Appdata เปิดเผยว่า แคนดี้ครัช ซาก้า สร้างรายได้จากผู้ใช้ทั่วโลกวันละราว 610,000 ปอนด์ (ราว 32 ล้านบาท) โดยมีลักษณะให้ดาวน์โหลดฟรี แต่มีการให้ผู้เล่นจ่ายเงินเพื่อรับสิทธิพิเศษต่างๆ ในเกม เช่น การผ่านด่านหรือการเพิ่มชีวิต ซึ่งเกมในรูปแบบนี้กำลังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน

ถึงแม้ว่าจะมีคนวิจารณ์การจ่ายเงินเพื่อให้ได้ของภายในเกมแบบที่เรียกว่า microtransactions แต่บริษัทคิงแห่งประเทศอังกฤษผู้ผลิตเกมนี้เคยบอกว่าในกลุ่มผู้ที่สามารถผ่านไปถึงด่านสุดท้ายในเกมได้ มีอยู่เกินครึ่งที่ไม่ได้อาศัยวิธีการจ่ายเงินซื้อสิทธิพิเศษเลย ซึ่งการที่บริษัทสามารถสร้างรายได้จำนวนมากก็มีคนคาดการณ์ว่าทางบริษัทกำลังเล็งจะเปิดให้มีการขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ในประเทศสหรัฐฯ

รายงานในบีบีซีกล่าวถึงการจับกลุ่มลูกค้าผู้เล่นเกมนี้โดยบอกว่าบริษัทคิงใช้กลยุทธ์ในช่วงที่แท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน เข้ามาเปลี่ยนวิธีการเล่นเกมและทำให้เกิดกลุ่มผู้เล่นใหม่ ในขณะที่ก่อนหน้านี้กลุ่มคนเล่นเกมมักจะเป็นผู้ชายวัยหนุ่มที่เล่นผ่านเครื่องเกมคอนโซล แต่สำหรับ แคนดี้ครัช ซาก้า มีกลุ่มผู้เล่นส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงในช่วงอายุ 25-45 ปี

บีบีซีเปิดเผยว่ามีบางคนถึงขั้นใช้วิธีการปรับเวลาในสมาร์ทโฟนเพื่อให้ได้รับชีวิตเพิ่ม เนื่องจากปกติแล้วต้องรอเวลา

รายงานของบีบีซียังได้กล่าวถึงการที่คนนิยมเล่นเกมนี้ขณะโดยสารอยู่บนรถไฟ โดยในอังกฤษ 6 ใน 10 ของผู้เล่นทั้งหมดเล่นเกมนี้ในระหว่างเดินทางไปทำงาน ด้วยรูปแบบของเกมที่สามารถเข้าไปเล่นได้ในช่วงสั้นๆ หลายครั้งต่อวันมีผู้เล่นบางคนบอกว่ามันเป็นการคลายเครียดได้ดี แต่บางคนก็กลัวว่าตัวเองจะเล่นแล้วติดเกมนี้ มีเกมเมอร์บางรายที่คอยติดตามผลงานผู้ผลิตอย่างต่อเนื่องซึ่งตอนนี้มีด่านในเกมออกมามากกว่า 500 ด่านแล้ว

"พวกเขาสามารถเริ่มเล่นเกมได้ในช่วงทานอาหารเช้าระหว่างกำลังเช็คเฟซบุ๊กผ่านแล็ปท็อป พวกเขาสามารถเล่นผ่านโทรศัพท์ระหว่างนั่งรถไฟไปทำงาน และมาเล่นต่อบนไอแพดได้ บริษัทคิงเชื่อว่าการสามารถเล่นเกมต่อได้อย่างลื่นไหลเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ" บีบีซีระบุในรายงาน

เกมแนวแคนดี้ครัชไม่ใช่แนวใหม่ แต่เป็นการพัฒนาแนวเกมพัซเซิลซึ่งมีมาก่อนหน้านี้แล้วเช่น เกม Tetris, Puzzle Bobble หรือ Bust-a-move ซึ่งเป็นที่นิยมในอดีต เกมแคนดี้ครัช มีการเล่นคล้ายคลึงกับเกม Bejeweled ที่พัฒนามาก่อนหน้านี้ 12 ปี และในปัจจุบันก็มีหลายเกมที่ทำออกมาคล้ายกับแคนดี้ครัช แต่มีการปรับปรุงเพิ่มเติมสิ่งใหม่ๆ เข้าไป

เซบาสเตียน คนุทซัน หัวหน้าแผนกครีเอทีฟและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทคิงกล่าวว่า ในช่วงที่ทีมงานของเขากำลังพัฒนาเกม แคนดี้ครัช ซาก้า ลงบนเว็บไซต์ของตนเอง ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่ามันจะประสบความสำเร็จ

คนุทซัน เองก็เป็นนักเล่นเกมตัวยง เขาชื่นชอบเกมตู้อาเขตช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 เป็นพิเศษ เนื่องจากมีสีสันสว่างสดใส คนุทซันเปิดเผยว่าพวกเขาเริ่มทำงานกับศิลปินและดีไซนเนอร์ในสตูดิโอเล็กๆ จนกระทั่งสามารถผลิตเกมแนวเรียงวัตถุสามชิ้น (match-three) ที่มีความโดดเด่นต่างจากเกมอื่น เขาบอกว่าเหตุผลที่เลือกขนมหวานมาเป็นวัตถุในเกมเพราะต้องการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายหลักที่ต่างจากนักเล่นเกมทั้วไป

คนุทซันกล่าวว่าก่อนหน้านี้พวกเขาออกแบบเกมโดยเน้นสไตล์อาร์ดเดคโค (Art Deco) หรือ 'อลังการศิลป์' แบบฝรั่งเศส โดยมีเสียงภาษาฝรั่งเศสคอยแสดงความชื่นชมเวลาที่ผู้เล่นเล่นได้ดี แต่คนุทสันก็บอกว่ามันดูไม่เข้าท่าเท่าไหร่ คนไม่ชอบสำเนียงเสียงพากย์ในเกมคิดว่ามันดูตลกเกินไป จึงนำเสียงผู้ชายที่ดูนุ่มลึกมาใช้แทน

บีบีซีระบุอีกว่า ระบบชีวิต (lives) ที่มีจำกัดและเพิ่มเติมกลับมาตามเวลาก็ดึงดูดให้คนกลับเข้าไปเล่นได้เรื่อยๆ มีผู้เล่นบางคนมักจะกลับเข้าไปดูการนับเวลาถอยหลังในเกมรอจนกระทั่งได้ชีวิตเติมกลับมาเพื่อเล่นต่อ ซึ่งระบบนี้เป็นสิ่งที่ชวนให้ผู้เล่น 'ติดเกม'

เอมี โบลตัน นักศึกษาอายุ 21 ปี ผู้ชื่นชอบเกมนี้บอกว่า ถ้าหากเกมให้คุณมีชีวิตหรือด่านต่างๆ ไม่จำกัด มันจะไม่ท้าทายเท่านี้ โดยโบลตันบอกอีกว่าเธอมักจะเล่นแข่งขันเปรียบเทียบกับคู่แข่งของเธอ ขณะเดียวกันโบลตันก็เป็นคนที่ติดเกมนี้หนักมากถึงขั้นบอกว่าเธอเห็นภาพรูปทรงวัตถุของแคนดี้ครัชอยู่ในหัวขณะที่พยายามนอนหลับ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแคนดี้ครัชจะได้รับความนิยมและทำรายได้ให้กับบริษัทคิงจำนวนมาก แต่คนุทซันก็กล่าวว่าเขาไม่ต้องการให้บริษัทคิงมีชื่อแต่เฉพาะกับเกมนี้

ข้อมูลจาก Appdata ระบุว่า แคนดี้ครัชเปิดให้เล่นในเฟซบุ๊กเป็นครั้งแรกในเดือน เม.ย. 2555 ก่อนที่จะมีการปล่อยให้ดาวน์โหลดผ่านระบบไอโอเอส และแอนดรอยด์ ในช่วงปลายปี 2555 และกลายเป็นเกมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเฟซบุ๊กเมื่อเดือน ก.พ. 2556

ขณะเดียวกันข้อมูลจากการสำรวจของเว็บ Ask Your Target Market ระบุว่า มีร้อยละ 67 ของผู้ทำแบบสำรวจกล่าวว่าเกมนี้ส่งผลต่อชีวิตของพวกเขา ร้อยละ 30 ยอมรับว่าติดเกม ร้อยละ 25 ของผู้เล่นในกลุ่มสำรวจเคยใช้เงินซื้อของในเกมมาก่อน โดยบางคนใช้เงินเพียงไม่ถึง 1 ดอลลาร์ (ราว 30 บาท) ขณะที่ส่วนหนึ่งยอมรับว่าใช้เงินซื้อของในเกมมากกว่า 20 ดอลลาร์ (ราว 600 บาท)



เรียบเรียงจาก

What is the appeal of Candy Crush Saga?, BBC, 18-12-2013
http://www.bbc.co.uk/news/magazine-25334716

Candy Crush Survey: Nearly Half Have Played Popular Game, Aytm, 26-11-2013
http://aytm.com/blog/daily-survey-results/candy-crush-survey

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คุกตลอดชีวิตการ์ด นปช.ยิง M79 กู้ภัยอุตรดิตถ์ ครอบครัวไม่เชื่อหู ไม่มีประจักษ์พยาน

Posted: 20 Dec 2013 07:42 AM PST

วันนี้ (ศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2556) เวลาประมาณ 10 นาฬิกา ศาลจังหวัดอุตรดิตถ์นัดฟังคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 630/56 ซึ่งมีนายวัลลภ พิธีพรม อายุ 29 ปีตกเป็นจำเลยเพียงคนเดียว  ในข้อหาพกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ (อาวุธสงคราม) ไปในที่สาธารณะ  ทำให้เสียทรัพย์ และพยายามฆ่าผู้อื่น  จากกรณีเหตุลอบยิงอาวุธสงคราม M79 ใส่สำนักงานสมาคมกู้ภัยอุตรดิตถ์สงเคราะห์ บริเวณศาลหลวงปู่ไต้ฮงกง ต.ป่าเซ่า อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2553  เป็นผลให้ประตูกระจก ผนังปูน และหลังคา รวมทั้งป้ายชื่อมูลนิธิแตกเสียหาย  แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

ศาลพิพากษาว่านายวัลลภมีความผิดจริง  จึงลงโทษจำคุกตลอดชีวิตตามข้อหาหนักที่สุด

นายวัลลภเคยตกเป็นจำเลยในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการยิง M79 ที่เชียงใหม่และศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษายกฟ้องไปเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2555 ก่อนที่จะถูกอายัดตัวมาเป็นจำเลยในคดีของศาลจังหวัดอุตรดิตถ์นี้  แต่ได้รับสิทธิประกันตัวไปด้วยการวางหลักทรัพย์เป็นเงินสด 300,000 บาทหลังจากถูกขังระหว่างพิจารณามากว่า 2 ปี

แหล่งข่าวรายงานว่าขณะนี้กำลังดำเนินเรื่องขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์โดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 500,000 บาท มีมารดานายวัลลภเป็นนายประกัน  แต่ศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ได้ส่งเรื่องไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 เป็นผู้สั่งอีกทั้งวันนี้เป็นวันทำการวันสุดท้ายของสัปดาห์  นายวัลลภจึงต้องถูกควบคุมตัวเข้าสู่เรือนจำในทันที

ส่วนข้อต่อสู้ของนายวัลลภในคดีนี้ตั้งประเด็นหลักคือไม่ได้อยู่ที่สถานที่เกิดเหตุในเวลาที่เกิดเหตุ  และรถยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุไม่ใช่ของจำเลยเนื่องจากได้เปลี่ยนสีรถไปก่อนหน้านั้นแล้ว  อีกทั้งคดีนี้ก็ไม่มีประจักษ์พยานยืนยัน  ไม่พบอาวุธของกลาง  อีกทั้งไม่พบรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ  แต่เป็นการใช้ภาพจากเอกสารพิมพ์ออกจากกล้องโทรศัพท์มือถือ  โดยพยานโจทก์ในคดีนี้เป็นภรรยาเก่าของนายวัลลภขึ้นเบิกความว่าเคยซื้อรถยี่ห้อและสีเดียวกับรถต้องสงสัยที่ไม่มีการยืนยันป้ายทะเบียน

ภรรยาคนปัจจุบันของนายวัลลภ (ขอสงวนชื่อและนามสกุล) เปิดเผยว่า ทางครอบครัวไม่ได้เตรียมใจมาก่อนเพราะเชื่อว่าศาลจะยกฟ้องเนื่องจากไม่ได้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์และไม่มีพยานหลักฐานอะไรเลย  แต่ที่ถูกดำเนินคดีน่าจะเนื่องจากมีกระแสเรื่องคนเสื้อแดง และนายวัลลภเป็นการ์ดนปช.  อาจเป็นเพราะว่าอาวุธที่ใช้ก่อเหตุเป็น M79 เหมือนกับคดีก่อนและมีบ้านเกิดอยู่อุตรดิตถ์  อีกทั้งยังเป็นอาสาสมัครกู้ภัยด้วย  นายวัลลภจึงต้องมาตกเป็นจำเลยในคดีนี้
นายวัลลภเพิ่งจะได้รับการปล่อยตัวมาสัมผัสอิสรภาพภายนอกมาเพียงปีเศษ  ทางทนายความเชื่อว่าน่าจะได้ประกันตัวเพราะจริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเสื้อแดงเลย  และกำลังเตรียมจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อไป.

 

 


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ดีเอสไอ ออกหมายเรียกแกนนำ กปปส. อีก 20 คน

Posted: 20 Dec 2013 07:14 AM PST

ดีเอสไอ ออกหมายเรียกแกนนำและนักวิชาการขึ้นเวทีชุมนุมที่ถูกกล่าวหากระทำผิดเกี่ยวเนื่องจากการชุมนุมเพิ่มเติมอีก 20 คน



20 ธ.ค. 2556 - สำนักข่าวแห่งชาติกรมประชาสัมพันธ์รายงานว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนในคดีพิเศษประชุมคณะพนักงานสอบสวน กรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพวกถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด เกี่ยวเนื่องจากการชุมนุม ที่ประชุมได้มีมติให้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพิ่มเติม (แกนนำแถวที่สอง) และแจ้งธนาคารให้ตรวจสอบบัญชีและอายัดบัญชีทั้งสิ้น 20 คน โดยมี นางสาวจิตต์ภัสร์ ภิรมย์ภักดี , นายสาธิต ปิตุเตชะ , นายสกลธี ภัททิยกุล , นายทศพล เพ็งส้ม , ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ , นายแก้วสรร อติโพธิ , ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง , ดร.เสรี วงษ์มณฑา , นายรัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี หรือนายอมร อมรรัตนานนท์ , ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ , นายถนอม อ่อนเกตุพล , นายชาญวิทย์ วิภูศิริ , นายพิชิต ไชยมงคล , นายไพบูลย์ นิติตะวัน , พล.อ.ปฐมพงษ์ เกสรสุขี , นายสุริยะใส กตะสิลา , นายพิภพ ธงไชย , นายบุญยอด สุขถิ่นไทย , นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ และนายพิจารณ์ สุขภารังษี
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผบ.ทบ.ระบุเลือกตั้งต้องเป็นไปตามกระบวนการ กองทัพพร้อมสนับสนุนกำลังพล

Posted: 20 Dec 2013 06:01 AM PST

พล.อ.ประยุทธ์ หวังให้มีการลดความขัดแย้ง ในอนาคตอาจตั้งสภาประชาชนได้ แต่ไม่เกี่ยวกับสภาประชาชนแบบสุเทพ และไม่ออกความเห็นว่าควรปฏิรูปก่อนเลือกตั้งหรือไม่ โดยการเลือกตั้งต้องเป็นไปตามกระบวนการ และกองทัพพร่อมส่งกำลังสนับสนุน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (แฟ้มภาพ/วิกิพีเดีย)

20 ธ.ค. 2556 - สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า ได้ยืนยันกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า ทหารยึดการทำหน้าที่ของทหาร และอยู่ภายใต้หลักการ ส่วนตัวมีความห่วงใยการปลุกระดมประชาชนของทุกกลุ่ม เพราะเกรงว่าจะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรง ควรต้องลดความขัดแย้ง โดยการทำความเข้าใจกับประชาชนก่อน และในอนาคตอาจจะตั้งเป็นสภาประชาชนที่มาจากประชาชนอย่างแท้จริง แต่อย่านำไปโยงกับแนวคิดสภาประชาชนของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำการชุมนุม เพราะความหมายต่างกัน ทั้งนี้ไม่ขอแสดงความเห็นว่า ควรจะปฏิรูปประเทศไทยก่อนการเลือกตั้งหรือไม่ แต่เห็นว่า หากเป็นเรื่องที่ดีและเป็นไปตามกรอบกติกาควรดำเนินการไปอย่างเหมาะสม โดยเสนอว่า หากจะมีการปฏิรูปควรพิจารณาหาบุคคลที่ทุกฝ่ายไว้วางใจมาเป็นผู้ขับเคลื่อน พร้อมร่วมกันกำหนดรูปแบบ วางกรอบที่เหมาะสม ส่วนหากจะเสนอพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ มาช่วยทำหน้าที่เป็นคนกลางผลักดันการปฏิรูปนั้น มองว่าพลเอกเปรม เป็นห่วงบ้านเมือง แต่สถานการณ์ขณะนี้มีความขัดแย้งมากเกินไป

ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวอีกว่า สำหรับการเลือกตั้งต้องเป็นไปตามกระบวนการ และเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่วนกองทัพพร้อมส่งกำลังพลสนับสนุน และดูแลความเรียบร้อย ซึ่งยืนยันว่ากองทัพสนับสนุนให้การดำเนินการแก้ปัญหาต่างๆ ยึดตามกติกาและกฎหมาย แต่ต้องอาศัยหลักรัฐศาสตร์และสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ประกอบด้วย พร้อมย้ำว่าทหารไม่มีความคิดในการทำรัฐประหาร

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มีเดียมอนิเตอร์ระบุช่อง 11 เข้าข่ายสื่อรับใช้รัฐบาล TPBS เปิดพื้นที่สมดุล

Posted: 20 Dec 2013 05:19 AM PST

มีเดียมอนิเตอร์ศึกษาทีวีเพื่อสาธารณะในการรายงานสถานการณ์การชุมนุมพบช่อง 5 ยังทำหน้าที่สื่อสาธารณะไม่เต็มที่ ช่อง 11 อาจเข้าข่ายเป็นสื่อเพื่อรับใช้รัฐบาล ส่วน TPBS เปิดพื้นที่ให้แหล่งข่าวที่มีความสมดุล มีมุมมองในการรายงานที่รอบด้าน หลากหลาย



20 ธ.ค. 2556 - การชุมนุมทางการเมืองเพื่อต่อต้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่เริ่มจากช่วงต้นเดือน พฤศจิกายน 2556  ที่ต่อมายกระดับเป็นการชุมนุมใหญ่ที่เรียกว่า"การชุมนุมของมวลมหาประชาชน" ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ตามด้วยครั้งที่ 2 ในวันที่ 9 ธันวาคม ปีเดียวกัน สิ่งที่น่าสนใจคือ มีการตั้งคำถามกับสื่อมวลชน โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ ในเรื่องการให้พื้นที่กับวิธีการนำเสนอ รวมทั้งมีเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุมไปแสดงความเห็น ความต้องการต่อสื่อโทรทัศน์ โดยเฉพาะช่อง TPBS  ที่เป็นสื่อเพื่อสาธารณะ  ดังนั้น ในสองเหตุการณ์สำคัญของการชุมนุมใหญ่ องค์กรวิชาชีพสื่อจึงได้ออกแถลงการณ์ เพื่อขอให้สื่อมวลชนทุกแขนง ทำหน้าที่อย่างไม่มีการเซ็นเซอร์ตัวเอง (self - censorship) และขอให้ผู้ชุมนุมทุกกลุ่มให้สื่อได้ทำหน้าที่อย่างอิสระและไม่ทำให้สื่อถูกเข้าใจว่าเป็นฝ่ายเดียวกับผู้ชุมนุม

ด้วยเหตุนี้ มีเดียมอนิเตอร์จึงสนใจศึกษาการรายงานสถานการณ์การชุมนุมใหญ่ในวันที่ 25 พ.ย. และวันที่ 9 พ.ย. 2556  ระหว่างช่วงเวลา 00.00-24.00 น. ของฟรีทีวีประเภทบริการสาธารณะทั้ง 3 ช่อง ได้แก่ ช่อง ททบ. 5  สทท. 11 และ ช่อง TPBS  

โดยภาพรวม พบว่า ช่อง TPBS เป็นช่องที่ให้ความสำคัญกับการรายงานสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง โดยมีการเปิดพื้นที่ให้แหล่งข่าวที่มีความสมดุล มีมุมมองในการรายงานที่รอบด้าน หลากหลาย มุ่งเน้นการให้ความรู้ความเข้าใจ หาทางออก/แนวทางการคลี่คลายของสถานการณ์  ในขณะที่พบว่า ช่อง 11 มีสัดส่วนการรายงานสถานการณ์การชุมนุมใกล้เคียงกับช่อง TPBS แต่ขาดความสมดุล รอบด้าน ในการให้พื้นที่แหล่งข่าว ด้านมุมมองการรายงานข่าวก็เน้นแหล่งข่าวฝ่ายรัฐบาล สำหรับช่อง 5 พบว่า มีสัดส่วนการรายงานสถานการณ์การชุมนุมน้อยกว่าช่องอื่นๆ ทั้งยังเน้นการรายงานเหตุการณ์ตามสถานการณ์  ขาดการนำเสนอเหตุการณ์ในเชิงลึก  

เมื่อศึกษาในเชิงปริมาณเวลา พบว่า เวลาทั้งหมดที่ ช่อง  5, 11, และ TPBS  เสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการชุมนุม คือประมาณ 35 ชั่วโมง เมื่อวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ พบว่า  TPBS เป็นช่องที่มีการนำเสนอข่าวการชุมนุมทางการเมืองมากที่สุด  (16 ชั่วโมง 37 นาที  คิดเป็นร้อยละ 48 ของเวลารวมทั้งสามช่อง)  ตามด้วยช่อง  11 (14 ชั่วโมง 30 นาที  คิดเป็นร้อยละ  41 )  และช่อง 5 (3 ชั่วโมง 45 นาที  คิดเป็นร้อยละ  11)   และพบว่า มีการรายงานสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 9 ธ.ค. 2556 ในสัดส่วนเวลาที่มากกว่าวันที่ 25 พ.ย. 2556 ในทุกช่อง  

เมื่อพิจารณาการทำหน้าที่สื่อสาธารณะของฟรีทีวีทั้ง 3 ช่อง พบว่า

ช่อง 5

เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนเวลาการรายงานสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองในการชุมนุมใหญ่  2 วัน พบว่า มีการรายงานสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 9 ธ.ค. (2 ชั่วโมง 58 นาที) ในสัดส่วนเวลาที่มากกว่าวันที่ 25 พ.ย. 56 (46 นาที)   

ในส่วนรูปแบบรายการ พบว่า ช่อง 5 มีรายการพิเศษนอกผังรายการ ได้แก่ รายการฝ่าวิกฤติการณ์เมืองไทย 2556 และแถลงการณ์อื่นๆ (40 นาที)  

สำหรับรูปแบบการนำเสนอนั้น  ช่อง 5 เน้นการรายงานข่าวการชุมนุมตามสถานการณ์ เช่น บรรยากาศการชุมนุม เส้นทางการเคลื่อนขบวน มาตรการรักษาความปลอดภัย ฯลฯ (2 ชั่วโมง 15 นาที)  
ด้านแหล่งข่าว พบว่า แหล่งข่าวที่ช่อง 5 ให้พื้นที่มากที่สุด 3 อันดับแรก คือ 1) กลุ่มรัฐบาล (38 นาที)  2) กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล (37 นาที)  3) หน่วยงานด้านความมั่นคง (15 นาที) แต่ไม่พบแหล่งข่าวที่เป็นตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชน  ประชาชนทั่วไป รวมทั้ง อดีตนักการเมือง
 
เมื่อพิจารณาการทำหน้าที่สื่อมวลชน พบว่าทั้งผู้ประกาศ พิธีกรรายการ และผู้สื่อข่าวภาคสนาม มีความระมัดระวังในการใช้ภาษา และการตั้งคำถาม แต่ส่วนใหญ่เป็นการเน้นตั้งคำถามเพื่อรายงานเหตุการณ์ตามสถานการณ์ เช่น บรรยากาศการชุมนุม มาตรการการรักษาความปลอดภัย  มีการตั้งประเด็นสัมภาษณ์แหล่งข่าว และการนำเสนอรายงานที่จำกัดกว่าช่องอื่นๆ  เพราะมีสัดส่วนการรายงานสถานการณ์การชุมนุมที่ค่อนข้างน้อย  

เมื่อพิจารณาการทำหน้าที่ของสื่อเพื่อสาธารณะ พบว่า ถึงแม้ช่อง 5 จะมีการนำเสนอข่าวการชุมนุมในประเด็นที่ค่อนข้างหลากหลาย แต่ขาดรายละเอียด และความลึกของเนื้อหา โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหา และ การหาทางออกของสถานการณ์ทางการเมือง ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจากสัดส่วนเวลาในการนำเสนอข่าวการชุมนุมทที่น้อยกว่าช่องอื่นๆ เน้นการเสนอข่าวในลักษณะการรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับเหตุการณ์เป็นส่วนใหญ่ จึงอาจถูกตั้งคำถามได้ในเรื่องการเซ็นเซอร์ตัวเอง รวมทั้งการแสดงบทบาทสำคัญของทีวีสาธารณะเพื่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยสาธารณะ    

ช่อง 11

เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนเวลาการรายงานสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง พบว่า ในวันที่ 9 ธ.ค. 2556 ช่อง 11 ให้สัดส่วนเวลามากกว่าวันที่ 25 พ.ย. 2556   กล่าวคือ วันที่ 9 ธ.ค. (9 ชั่วโมง 59 นาที) วันที่ 25 พ.ย. (4 ชั่วโมง 31 นาที)   

ในส่วนรูปแบบรายการ พบว่า ช่อง 11 มีรายการพิเศษนอกผังรายการ ได้แก่ รายการทันสถานการณ์บ้านเมือง และแถลงการณ์อื่นๆ (8 ชั่วโมง 44 นาที)    

สำหรับรูปแบบการนำเสนอ พบว่าช่อง 11 เน้นการรายงานสถานการณ์การชุมนุมในรูปแบบการสนทนา/วิเคราะห์ (7 ชั่วโมง 37 นาที)   

สำหรับแหล่งข่าว ที่พบมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) กลุ่มนักวิชาการ (3 ชั่วโมง 55 นาที) 2) กลุ่มรัฐบาล (2 ชั่วโมง 33 นาที) 3) หน่วยงานด้านความมั่นคง (2 ชั่วโมง 15 นาที) แต่ ไม่พบแหล่งข่าวที่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชน  แม้ว่าในภาพรวม ช่อง 11 จะมีสัดส่วนแหล่งข่าวที่เป็นนักวิชาการมากกว่าช่องอื่นๆ โดยเฉพาะในวันที่ 9 ธ.ค. 56 แต่นักวิชาการส่วนใหญ่นำเสนอมุมมองต่อสถานการณ์ทางการเมือง และทางออกของปัญหาไปในทิศทางเดียวกัน คือ มองว่าข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส. เป็นเรื่องที่ไม่มีกฎหมายรองรับ

สำหรับ การทำหน้าที่สื่อมวลชน  พบว่า ทั้งผู้ประกาศ พิธีกรรายการ และผู้สื่อข่าวภาคสนาม ของช่อง 11 มีความระมัดระวังในการใช้ภาษาในการรายงานสถานการณ์ทั่วไป แต่พบว่ามีลักษณะการใช้ภาษาสอดแทรกความคิดเห็น / ชี้นำ ในรายงานพิเศษ เช่น ชื่อพาดหัวข่าว/รายงานพิเศษ (ตัวอย่างพบในวันที่ 25 พ.ย. 2556 เช่น "นักวิชาการห่วงม็อบคนดียิ่งทำสังคมแตกแยก"  "เศรษฐกิจเสียหายจากม็อบยืดเยื้อ")

เมื่อพิจารณาการทำหน้าที่ของสื่อสาธารณะในการรายงานสถานการณ์การชุมนุมอย่างรอบด้าน พบว่า   แม้ช่อง 11 จะมีสัดส่วนรายการแบบสนทนา/ วิเคราะห์มากที่สุด  โดยเฉพาะในวันที่ 9 ธ.ค. 2556   แต่เป็นการให้น้ำหนักจากมุมมองและทัศนะที่มาจากฝ่ายรัฐบาล นักวิชาการ หน่วยงานความมั่นคง ที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ การเน้นเรื่องความถูกต้องชอบธรรมของคณะรัฐมนตรีในการทำหน้าที่เป็นรัฐบาลรักษาการ การยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ถือเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย และการจัดตั้งสภาประชาชนของกลุ่ม กปปส. เป็นเรื่องที่ไม่มีกฎหมายรองรับ ทั้งขัดรัฐธรรมนูญ รวมถึงการนำเสนอผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมทางการเมืองในด้านต่างๆ เช่น ปัญหาการจราจร ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว เป็นต้น  เมื่อประกอบกับสัดส่วนแหล่งข่าวของช่อง 11 ที่เน้นการให้พื้นที่แหล่งข่าวฝ่ายรัฐบาลมากกว่ากลุ่มผู้ชุมนุม และ ประเด็นในการสัมภาษณ์ /การรายงานแล้ว อาจทำให้ช่อง 11 ถูกตั้งคำถามจากสังคมมากกว่าช่องอื่นๆ ในแง่จริยธรรมและมาตรฐานความเป็นสื่อโดยเฉพาะสื่อเพื่อสาธารณะในการรายงานสถานการณ์ความขัดแย้ง

ช่อง TPBS

การให้พื้นที่เชิงปริมาณเวลา พบว่า TPBS เป็นช่องที่มีการรายงานสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองมากที่สุด (16 ชั่วโมง 37 นาที) โดยมีสัดส่วนการรายงานสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง ในวันที่ 9 ธ.ค. 2556 (10 ชั่วโมง 47 นาที) มากกว่าวันที่ 25 พ.ย. 2556 (5 ชั่วโมง 49 นาที)

สำหรับรูปแบบรายการ พบว่า ช่อง TPBS ให้ความสำคัญกับรายการพิเศษนอกผังรายการ  ได้แก่ รายการทางออกประเทศไทย และ แถลงการณ์อื่นๆ (6 ชั่วโมง 46 นาที)  

สำหรับรูปแบบการนำเสนอ  พบว่า ช่อง TPBS เน้นการรายงานสถานการณ์การชุมนุมในรูปแบบการรายงานสดจากผู้สื่อข่าวภาคสนาม  และการสนทนา/ การวิเคราะห์  ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน  (4 ชั่วโมง 49 นาที และ 4 ชั่วโมง ตามลำดับ) โดยรูปแบบการสนทนา/ การวิเคราะห์  มีการใช้แหล่งข่าวหลากหลายกลุ่ม เช่น นักวิชาการ เครือข่ายภาคประชาชน ผู้ชุมนุมจากคู่ขัดแย้งกลุ่มต่างๆ ฯลฯ ผ่านมุมมองที่หลากหลาย และรอบด้าน ทั้งฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการเลือกตั้ง ฝ่ายที่สนับสนุนให้มีสภาประชาชน ฝ่ายที่มองว่าการตั้งสภาประชาชนเป็นเรื่องที่ทำได้ กับผ่ายที่เห็นว่าทำไม่ได้ รวมไปถึงการนำเสนอทางออกด้วยวิธีอื่นๆ ทั้งนี้ ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน

สำหรับแหล่งข่าว พบว่า ช่อง TPBS มีแหล่งข่าวทุกกลุ่ม โดยที่พบมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) กลุ่มนักวิชาการ (2 ชั่วโมง 9 นาที) 2) กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล (1 ชั่วโมง 46 นาที) 3) กลุ่มรัฐบาล (1 ชั่วโมง 10 นาที)   ที่พบน้อยที่สุดคือ กลุ่มสำนักโพล (38 วินาที) โดยมีการเปิดพื้นที่ให้แหล่งข่าวอย่างมีความสมดุล

ในส่วนการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน พบว่าทั้งผู้ประกาศ พิธีกรรายการ และผู้สื่อข่าวภาคสนาม มีความระมัดระวังในการใช้ภาษา  เช่น  การใช้คำว่า  "สิ่งที่ผู้ชุมนุมเรียกว่าระบอบทักษิณ"  แทนคำว่า "ระบอบทักษิณ" หรือ "กลุ่มผู้ชุมนุมที่เรียกตนเองว่า กลุ่ม กปปส." แทนการเรียกว่า "กลุ่ม กปปส." ซึ่ง แตกต่างจากการรายงานของช่องอื่นๆ

นอกจากนี้ยังพบว่า พิธีกรและผู้ประกาศ มีการตั้งคำถามสัมภาษณ์แหล่งข่าวที่ค่อนข้างรอบด้าน และมุ่งหาแนวทางในการลดความขัดแย้ง หรือทางออกของปัญหาความขัดแย้ง และการให้แต่ละฝ่ายได้

แสดงทัศนะและความคิดเห็นมากกว่าการเน้นตั้งคำถามเพื่อรายงานเหตุการณ์ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ในส่วนบทบาทของสื่อสาธารณะ พบว่า ช่อง TPBS มีการนำเสนอประเด็นที่หลากหลาย รอบด้านจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะในประเด็นการจัดตั้งสภาประชาชน ที่มีการนำเสนอทั้งจากมุมมองของฝ่ายที่เห็นว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และฝ่ายที่มองว่าเป็นเรื่องที่ขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ  รวมถึงการให้ข้อเสนอแนะว่าการเจรจาร่วมกันของฝ่ายการเมืองคือทางออกของปัญหาที่สำคัญ  ทั้งมุ่งเน้นการให้ความรู้  ความเข้าใจ การหาทางออก/แนวทางการคลี่คลายสถานการณ์  

ข้อเสนอแนะ   

จากการศึกษาครั้งนี้ มีดียมอนิเตอร์ มีข้อเสนอต่อหน่วยงาน องค์กร รวมทั้งสื่อ และภาคส่วนต่าง ๆ ดังนี้

1. ข้อเสนอต่อทีวีสาธารณะ

ช่อง 5 ควรให้ความสำคัญกับการรายงานสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองให้มากขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ เช่น การเพิ่มพื้นที่ข่าว และรายงานพิเศษ เพื่อรายงานข้อเท็จจริง นำเสนอความคิดเห็นที่หลากหลาย  รวมทั้งข้อเสนอทางออก หรือการคลี่คลายปัญหาให้กับสังคมอย่างรอบด้าน  ตามลักษณะสื่อสาธารณะประเภท 2 ที่มีบทบาทหน้าที่เพื่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยสาธารณะ

ช่อง 11 ควรรายงานสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง หรือความขัดแย้งใดๆ ด้วยมุมมองที่หลากหลาย รอบด้าน ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด  ทั้งควรทำหน้าที่เป็นสื่อเพื่อสะท้อนความคิดเห็นและความต้องการที่หลากหลาย มากกว่าเป็นสื่อเพื่อรับใช้รัฐบาล ตามลักษณะสื่อสาธารณะประเภทที่ 3 ที่มีบทบาทหน้าที่เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างรัฐบาลกับประชาชนและรัฐสภากับประชาชน ส่งเสริมสนับสนุนการเผยแพร่และให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข บริการข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์สาธารณะ    

2. ข้อเสนอต่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ  (กสทช.)

ควรกำหนดบทบาทหน้าที่ พร้อมกลไกการติดตาม กำกับดูแลการทำหน้าที่สื่อสาธารณะในแต่ละประเภทให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะข้อบังคับจริยธรรม และแนวทางปฏิบัติในการรายงานสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง

อนึ่ง ในสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองในครั้งนี้  พบว่า แต่ละกลุ่มขั้วความคิดทางการเมืองต่างมีสื่อวิทยุโทรทัศน์ของกลุ่มซึ่งเน้นการสื่อสารตามแนวคิดและปฏิบัติการของกลุ่ม  กสทช. จึงควรกำหนดกรอบเกณฑ์การกำกับดูแลสื่อประเภทนี้อย่างชัดเจน  โดยคำนึงถึงการใช้สื่ออย่างไม่สร้างความขัดแย้ง ความแตกแยก อันอาจนำไปสู่ความรุนแรง
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กองทัพเรือฟ้องคดีหมิ่นประมาท-พ.ร.บ.คอมพ์ นักข่าว phuketwan

Posted: 20 Dec 2013 04:31 AM PST

ฐานนักข่าวเว็บไซต์ phuketwan.com รายงานเรื่องการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญาที่จนท.ทหารเรือมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยอ้างรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ นักข่าวเตรียมให้ปากคำ 24 ธ.ค. นี้ 

 
20 ธ.ค. 2556 กองทัพเรือ ได้ฟ้องร้องนักข่าวเว็บไซต์ท้องถิ่นของภูเก็ต Phuketwan สองคน ด้วยข้อหาหมิ่นประมาท และพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เนื่องจากได้รายงานเกี่ยวกับธุรกิจการค้ามนุษย์ในจังหวัดพังงา ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารเรือมีส่วนได้ประโยชน์ 
 
รายงานดังกล่าวของเว็บ Phuketwan.com ซึ่งตีพิมพ์เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 56 เขียนโดย อลัน มอร์ริสัน และชุติมา สีดาเสถียร ซึ่งได้อ้างอิงรายงานพิเศษของสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อวันเดียวกัน โดยย่อหน้าที่กองทัพเรือระบุว่ามีปัญหา มีข้อความว่า ''The Thai naval forces usually earn about 2000 baht per Rohingya for spotting a boat or turning a blind eye, said the smuggler, who works in the southern Thai region of Phang Nga [north of Phuket] and deals directly with the navy and police.
 
ซึ่งแปลเป็นไทยว่า "ปกติแล้วเจ้าหน้าที่ทหารเรือไทย จะได้รับเงิน 2,000 บาทต่อโรฮิงญาหนึ่งคน หากว่าพบเห็นเรือ [ผู้อพยพ] หรือทำเป็นไม่รู้เรื่อง [ต่อการค้ามนุษย์] ผู้ลักลอบค้ามนุษย์คนหนึ่งกล่าว เขาทำงานในจังหวัดพังงาทางภาคใต้ และตกลงธุรกิจโดยตรงกับกองทัพเรือและตำรวจ" 
 
ทั้งนี้ Phuketwan.com เป็นเว็บไซต์ข่าวท้องถิ่นในจังหวัดภูเก็ต และได้รับรางวัลด้านการรายงานสืบสวนสอบสวนด้านสิทธิมนุษยชนระดับนานาชาติแล้วหลายรางวัล
 
น.อ. พัลลภ โกมโลทก ผู้รับมอบอำนาจจากกองทัพเรือ ได้กล่าวหารายงานดังกล่าวว่า มีเนื้อหาไม่เป็นความจริง และเป็นการให้ร้ายต่อกองทัพเรือ ส่งผลให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและเกิดความเสียหาย จึงได้ฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นประมาทและพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ตามมาตรา 14 วรรค 1 ซึ่งระบุความผิดจากการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
 
หากผู้สื่อข่าวทั้งสองคนถูกตัดสินว่ามีความผิด อาจได้รับโทษสูงสุดคือจำคุก 5 ปี และ/หรือปรับเป็นเงินหนึ่งแสนบาท 
 
ในเบื้องต้น ผู้สื่อข่าว Phuketwan ทั้งสองคนได้เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้วที่สภ.วิชิต จ.ภูเก็ต เมื่อวันพุธที่ผ่านมาและให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และจะเดินทางไปให้ปากคำในวันที่ 24 ธ.ค. นี้
 
ชุติมากล่าวว่า ตนเองรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่งที่ทางกองทัพเรือได้แจ้งข้อกล่าวหาหมิ่นประมาท เพราะไม่คิดว่ากองทัพเรือจะใช้วิธีการฟ้องร้องทางกฎหมายในการจัดการกับภาพลักษณ์ของกองทัพ แทนที่จะใช้วิธีแถลงข่าวชี้แจง หรือโทรมาสอบถามทางเว็บไซต์ Phuketwan ในรายละเอียด เพราะก่อนหน้านี้ เว็บไซต์ phuketwan ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทางกองทัพเรือโดยร่วมมือในการประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ มาตลอด
 
เธอยังกล่าวว่า การรายงานข่าวของเว็บไซต์ phuketwan ได้อ้างรายงานข่าวจากสำนักข่าวซึ่งมีความน่าเชื่อถืออย่างรอยเตอร์ และไม่มีเจตนาให้ร้าย หรือดูหมิ่นกองทัพเรือ เพราะในรายงานไม่ได้ระบุถึงกองทัพเรือในฐานะหน่วยงาน เพียงแต่ใช้คำว่าเจ้าหน้าที่ทหารเรือ ซึ่งในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา มีการแปลคำดังกล่าวคลาดเคลื่อน
 
"มันเป็นการคุกคามสื่อที่แรงมาก ไม่เข้าใจว่าทำไมบ้านเราถอยหลังลงคลองได้ขนาดนี้" ชุติมากล่าว "อยากเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐ หรืองค์กรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ยุติการคุกคามสื่อในการปฏิบัติหน้าที่และการทำงาน"
 
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา องค์กรสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอทช์ ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้กองทัพเรือถอนข้อกล่าวหาทันที และให้รัฐบาลยกเลิกกฎหมายหมิ่นประมาท ซึ่งฮิวแมนไรท์วอทช์มองว่าเป็นข้อจำกัดต่อเสรีภาพการแสดงออกและเสรีภาพสื่อ
 
เช่นเดียวกับองค์กรพันธมิตรเพื่อสื่อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asian Press Alliance - SEAPA) ก็ได้ประณามการกระทำของกองทัพเรือ และแสดงความกังวลต่อการใช้พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ที่มีการเอาผิดตัวกลาง รวมถึงเรียกร้องให้กองทัพเรือถอนฟ้องข้อกล่าวหาต่อนักข่าวทันที 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คงค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทถึงปี 58 เพิ่มค่าจ้างฝีมือแรงงาน 5 กลุ่มประกาศใช้ปี 57

Posted: 20 Dec 2013 03:34 AM PST

20 ธ.ค. 2557 - ที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง เห็นชอบอัตราค่าจ้างมาตรฐานฝีมือใน 5 กลุ่ม 13 สาขาอาชีพ โดยคาดว่าเริ่มประกาศใช้ได้ต้นปี 2557 ซึ่งประกอบด้วย

1. กลุ่มช่างอุตสาหการ คือ ช่างเชื่อมท่อพอลิเอทีลีนความหนาแน่นสูง อัตราค่าจ้างไม่น้อยกว่าวันละ 460 บาท ช่างประกอบท่อ 400 บาท ช่างทำแม่พิมพ์ฉีดโลหะ 480 บาท

2. กลุ่มช่างอุตสาหกรรมศิลป์ คือ ช่างสีเครื่องเรือน ฝีมือระดับ 1 ค่าจ้าง 350 บาท ฝีมือระดับ 2 ค่าจ้าง 450 บาท

3. กลุ่มช่างก่อสร้าง คือ ช่างหินขัด 400 บาท ช่างฉาบยิมซัม 400 บาท ช่างมุงหลังคากระเบื้อง ฝีมือระดับ 1 ค่าจ้าง 400 บาท ฝีมือระดับ 2 ค่าจ้าง 510 บาท และฝีมือระดับ 3 อยู่ที่ 620 บาท

4. กลุ่มช่างเครื่องกล คือ ช่างบำรุงรักษาเครื่องยนต์ ฝีมือระดับ 1 ค่าจ้าง 340 บาท และฝีมือระดับ 2 อยู่ที่ 400 บาท ช่างซ่อมเครื่องยนต์ดีเซล ฝีมือระดับ 1 ค่าจ้าง 360 บาท ฝีมือระดับ 2 ค่าจ้าง 445 บาท และฝีมือระดับ 3 อยู่ที่ 530 บาท ช่างเครื่องปรับอากาศรถยนต์ขนาดเล็ก ฝีมือระดับ 1 ค่าจ้าง 360 บาท ฝีมือระดับ 2 ค่าจ้าง 445 บาท และฝีมือระดับ 3 อยู่ที่ 530 บาท

5. กลุ่มภาคบริการ คือ นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมสปาตะวันตก (สุคนธบำบัด) ฝีมือระดับ 1 ค่าจ้าง 540 บาทและฝีมือระดับ 2 อยู่ที่ 715 บาท นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมสปาตะวันตก (วารีบำบัด) ฝีมือระดับ 1 ค่าจ้าง 565 บาทและฝีมือระดับ 2 อยู่ที่ 750 บาท นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมสปาตะวันตก (โภชนบำบัด) ฝีมือระดับ 1 ค่าจ้าง 615 บาทและฝีมือระดับ 2 อยู่ที่ 815 บาท

สำหรับค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาทนั้น บอร์ดค่าจ้างยืนยันมติบอร์ดค่าจ้างเดิมเมื่อเดือน ต.ค.ปี 2554 ที่จะให้คงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไว้วันละ 300 บาทไปจนถึงปี พ.ศ.2558 ยกเว้นหากภาวะเศรษฐกิจผันผวนที่กระทบต่อการครองชีพของผู้ใช้แรงงาน อาจจะมีการเสนอให้พิจารณาทบทวนและปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งกระทรวงแรงงานก็ได้ติดตามภาวะเศรษฐกิจและผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างอย่างสม่ำเสมอ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หนุนร่าง พ.ร.บ.การบริหารจังหวัดปกครองตนเองปฏิรูปประเทศ

Posted: 20 Dec 2013 03:11 AM PST

เครือข่ายประชาชนเพื่อการขับเคลื่อนจังหวัดปกครองตนเอง (คปป.) ได้ออกคำแถลงการณ์สนับสนุนร่าง พรบ.การบริหารจังหวัดปกครองตนเอง ระบุเครือข่ายฯ จะขับเคลื่อนเรื่องการปฏิรูปประเทศไทยโดยใช้ "พื้นที่เป็นตัวตั้ง" ยกระดับ "การจัดการตนเองเพื่อการปกครองตนเอง" ให้เข้มข้นทุกพื้นที่



20 ธันวาคม 2556 -  เครือข่ายประชาชนเพื่อการขับเคลื่อนจังหวัดปกครองตนเอง (คปป.) ได้ออกคำแถลงการณ์สนับสนุนร่าง พ.ร.บ.การบริหารจังหวัดปกครองตนเอง  ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้


แถลงการณ์ สนับสนุนร่าง พ.ร.บ.การบริหารจังหวัดปกครองตนเอง


ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้วังวนแห่งความขัดแย้ง การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เกิดการปะทะกันด้วยกำลังและอาวุธ อันนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดทำให้สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของพรรคการเมืองใดขึ้นมาบริหารประเทศ  ฝ่ายอันเป็นปฏิปักษ์จะก่อการเพื่อโค่นล้มขับไล่รัฐบาลนั้นๆ มาโดยตลอดตกอยู่ภายใต้วังวนไม่จบสิ้น  จนบางครั้งก็นำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารอันไม่พึงประสงค์

ปัญหาของประชาชนในพื้นที่ท้องถิ่น ไม่ได้รับการแก้ไข หรือการแก้ไขก็ไม่ตรงกับปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่-ท้องถิ่น เพราะรัฐบาลขาดความรอบรู้และละเลยในความเป็นอัตลักษณ์อันแตกต่างกันของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งความแตกต่างอันงดงามนี้ถือเป็นหัวใจของความเป็นท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ ดังนั้นอำนาจรัฐส่วนกลางยิ่งแก้ปัญหายิ่งกลับทำให้เกิดปัญหา เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับประชาชนในพื้นที่ท้องถิ่นต่อเนื่องยาวนานสะสมมาเป็นลำดับ ส่งผลให้การพัฒนาประเทศหยุดชะงัก ในขณะที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่เวทีการแข่งขันทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลกในอนาคต

นับตั้งแต่เกิดการรวมศูนย์อำนาจ โอนอำนาจการตัดสินใจเข้าสู่ส่วนกลางทั้งหมด ลดทอนอำนาจของประชาชน ลดทอนอำนาจของท้องถิ่น เพิ่มอำนาจของส่วนกลาง นับเป็นเวลาร้อยกว่าปีแล้ว  ปัญหาทั้งหลายทั้งมวลก็ก่อตัวและสั่งสมมาเป็นลำดับ กฎหมายทุกฉบับที่รัฐประกาศใช้ ยิ่งกลับสร้างปัญหาและเป็นเครื่องมือของการรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลางทั้งสิ้น   ชุมชนท้องถิ่นที่เมื่อก่อนมีความเป็นเจ้าของท้องถิ่นตนเอง เป็นเจ้าของปัญหา มีสำนึกร่วมกันในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง แต่ถูกลดทอนบทบาทและอำนาจต่อเนื่องเสมอมา ในที่สุดท้องถิ่นตกอยู่ในสภาพผู้ร้องขอที่อ่อนแอ

การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางเสมือนหลุมดำที่เพิ่มขนาดจนมหึมา  ทำให้การเมืองเป็นแหล่งธุรกิจการเมืองมีการคอร์รัปชั่นมากมาย สุดท้ายก็ก่อวิกฤตทุกเรื่องราวและได้กลายเป็น "รัฐรวมศูนย์ที่ไร้ประสิทธิภาพ"และเป็น "รัฐเหตุแห่งความขัดแย้ง" ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง การทำให้รัฐใหญ่ขึ้น แต่สังคมชุมชนท้องถิ่นกลับเล็กลง จึงเป็นโครงสร้างอำนาจที่ผิดทิศทาง ขาดความสมดุลเป็นอย่างยิ่ง

ตลอดระยะเวลานับสิบปีที่ผ่านมาเครือข่ายประชาชนได้ขับเคลื่อนว่าด้วย การพึ่งตนเอง การจัดการตนเอง และการปกครองตนเองตามรัฐธรรมนูญมาโดยตลอด จนเกิดพื้นที่รูปธรรมหลายพื้นที่เช่น พรบ.เชียงใหม่มหานคร ภูเก็ตมหานคร อำนาจเจริญจัดการตนเอง เป็นต้น

สถานการณ์ปัจจุบันเครือข่ายประชาชนเพื่อการขับเคลื่อนจังหวัดปกครองตนเองจึงเห็นพ้องร่วมกันว่า  ถึงเวลาแล้วที่จะต้องปฏิรูปประเทศไทยอย่างแท้จริง   เราจึงขอประกาศว่า

1. พวกเราจะร่วมกันสานพลังทุกภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ในทุกพื้นที่ทุกภาคทุกจังหวัดเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยเรื่องจังหวัดปกครองตนเอง

2. พวกเราจะร่วมกันสนับสนุนและผลักดัน(ร่าง)พรบ.การบริหารจังหวัดปกครองตนเอง (ตามรัฐธรรมนูญ)ที่ยกร่างโดยคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย(คปก.) และเครือข่ายฯ โดยมีสาระสำคัญให้จังหวัดบริหารจัดการตนเอง  มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการฯ จัดเก็บภาษีด้วยตนเอง วางแผนการพัฒนาบนความหลากหลายของพื้นที่ด้วยตนเองและมีสภาพลเมืองเป็นดุลอำนาจที่สำคัญ

3. ขอเรียกร้องให้นักการเมืองทุกฝ่ายดำเนินการปฏิรูปประเทศไทยอย่างจริงจัง ด้วยความจริงใจให้ทุกภาคส่วนเป็นเจ้าของกระบวนการร่วมกัน และอย่าได้นำประเด็นนี้ไปเป็นประเด็นทางการเมืองเพื่อตนเองและพวกพ้อง

นับแต่นี้ไปเครือข่ายประชาชนเพื่อการขับเคลื่อนจังหวัดปกครองตนเอง  จะขับเคลื่อนเรื่องการปฏิรูปประเทศไทยโดยใช้ "พื้นที่เป็นตัวตั้ง" ยกระดับ "การจัดการตนเองเพื่อการปกครองตนเอง" ให้เข้มข้นทุกพื้นที่ อันถือเป็นวาระสำคัญสืบเนื่องต่อไป
                        
เครือข่ายประชาชนเพื่อการขับเคลื่อนจังหวัดปกครองตนเอง (คปป.)
20 ธันวาคม 2556
กรุงเทพมหานคร

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พรรคประชาธิปัตย์ทำหนังสือชวนทุกพรรค "เลื่อนเลือกตั้ง"

Posted: 20 Dec 2013 02:35 AM PST

โฆษกประชาธิปัตย์สนับสนุนให้เลื่อนเลือกตั้ง 2 ก.พ. ออกไปก่อน เรียกร้องทุกพรรคการเมืองแสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน เพื่อปลดเงื่อนเวลา แล้วหันมาหารือเรื่องการปฏิรูป ยันไม่ปฏิเสธเลือกตั้ง แต่บรรยากาศขณะนี้จัดเลือกตั้งเรียบร้อยไม่ได้

องอาจ คล้ามไพบูลย์และคณะ เป็นตัวแทนจากพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือเพื่อให้พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคชาติพัฒนา เลื่อนการเลือกตั้ง (ที่มา: พรรคประชาธิปัตย์)

 

สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่าวันนี้ (20 ธ.ค.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า พรรคต้องการหาคำตอบ เพื่อลดความขัดแย้งให้ประเทศ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 อาจไม่ใช่กลไกบรรเทาความขัดแย้งให้ประเทศได้ ที่สำคัญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้แสดงจุดยืนแล้วว่า การเลือกตั้งสามารถเลื่อนได้ แต่ต้องมีการแสดงเจตนารมณ์จากพรรคการเมือง ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง หากแสดงเจตนารมณ์ว่า การเลือกตั้งอาจเร็วเกินไป หรือเป็นวันที่ไม่สามารถเป็นทางออก หรือคำตอบให้ประเทศได้ และทุกฝ่ายมีเจตนารมณ์ร่วมกันว่า ขอให้มีการเลื่อนวันเลือกตั้ง ซึ่ง กกต.เสนอว่า สามารถพิจารณาข้อกฎหมายและระเบียบ เพื่อขยายวันเลือกตั้งให้ยาวออกไป

ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ สนับสนุนให้มีการแสดงเจตนารมณ์เลื่อนการเลือกตั้ง วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ออกไปก่อน และขอเรียกร้องทุกพรรคการเมือง แสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน เพื่อให้กระบวนการด้านอื่นของสังคม ปลดเงื่อนไขกรอบเวลา แล้วหันมาหารือเรื่องการปฏิรูปประเทศ โดยบ่ายวันนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรค นายจุฤทธิ ลักษณวิศิษฎ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และตนเอง จะไปพรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา และพรรคพลังชล ยื่นจดหมายถึงผู้บริหารพรรค เห็นประโยชน์ของส่วนรวม ประเทศชาติ ก่อนประโยชน์พรรคการเมืองและนักเลือกตั้ง และขอยืนยันว่า การดำเนินการครั้งนี้ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ขอร้องให้ถอดความเป็นนักการเมืองออก เพื่อร่วมกันหาทางออกให้ประเทศและประชาชน เพราะไม่มีใครปฏิเสธการเลือกตั้ง แต่บรรยากาศขณะนี้ นำไปสู่การเลือกตั้งที่เรียบร้อยไม่ได้

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าในวันที่ 21 ธ.ค. เวลา 15.00 น. พรรคประชาธิปัตย์จะนัดประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่และชุดเก่ารวมถึงอดีต ส.ส. เพื่อหารือสถานการณ์ทางการเมือง โดยให้สาขาพรรคทั่วประเทศประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ เพื่อรับทราบสิ่งที่คนไทยอยากให้พรรคขับเคลื่อนต่อไป หลังจากได้รับข้อมูลวันพรุ่งนี้ จะประเมินตัดสินใจในวันที่ 21 ธ.ค. และยืนยันว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 จะมีขึ้นหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับพรรคจะส่งผู้สมัครรับเลือกหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับรัฐบาล ที่ไม่สนองข้อเรียกร้องของประชาชนที่มีช่องทางดำเนินการได้ตามกฎหมาย และพรรคอยากเห็นการเลือกตั้ง ที่เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย หรือหากไม่มีการเลือกตั้ง ควรเกิดจากความเห็นที่สอดคล้องกัน

ขณะที่เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ที่ผ่านมา ข่าวสด รายงานว่า นายเชน เทือกสุบรรณ พร้อมด้วยนายธานี เทือกสุบรรณ นางโสภา กาญจนะ นายสินิตย์  เลิศไกร และนายธีรภัทร พริ้งศุลกะ อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี ร่วมกันเเถลงมติจากการประชุมกรรมการสาขาพรรคประชาธิปัตย์ จ.สุราษฎร์ธานี ระบุว่าอดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี ทั้งหมดจะไม่ส่งผู้สมัครลงรับการเลือกตั้ง และจะแจ้งอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคทราบ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทยแนะเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57

Posted: 20 Dec 2013 02:17 AM PST

20 ธ.ค. 2557 - โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย ออกแถลงการณ์ "ปกป้องประชาธิปไตย เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57" โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


แถลงการณ์
ปกป้องประชาธิปไตย เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57
โดย โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย


จากสถานการณ์การเมืองที่กำลังขัดแย้งกันระหว่างสองฝ่ายคือ ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จากพรรคประชาธิปัตย์เป็นเลขาธิการ จนนำไปสู่การยุบสภานั้น โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย เห็นว่า ความขัดแย้งทางการเมืองนี้กำลังทำลายวิถีการเลือกตั้งที่ดำรงคู่กับระบอบประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา พ.ศ.2475 โดยคณะราษฎร เนื่องด้วยจุดยืนของ กปปส.ไม่ยอมรับการเลือกตั้งแต่ใช้วิธีการเรียกหาการสนับสนุนจากทหารและอำนาจพิเศษที่ไม่ได้มาจากอำนาจของประชาชนเข้ามาแทรกแซงทางการเมือง และข้อเสนอสภาประชาชนมุ่งเอาชนะเครือข่ายทักษิณ ชินวัตร มากกว่าการปฏิรูปสังคม เพราะสภาดังกล่าวไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนที่มีความคิดแตกต่างหลากหลายอย่างแท้จริง จำกัดวงเฉพาะสาขาอาชีพ มีท่าทีดูถูกเหยียดหยามประชาชนคนเสื้อแดงที่เลือกพรรคเพื่อไทยและคัดค้านการทำรัฐประหารปี  49   ตัดตอนกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตย เบียดขับคนจำนวนมากออกไปจากการแก้ไขวิกฤตความขัดแย้งทางการเมือง โดยเรียกร้องเอานายกรัฐมนตรีที่มาจากการแต่งตั้ง

อีกทั้งข้อเสนอของกปปส.ยังทำลายเจตนารมย์ของวันรัฐธรรมนูญ 10 ธ.ค. ที่ต้องการให้สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคระหว่างคนธรรมดากับอภิสิทธิชน ให้เท่ากัน 1 เสียง ที่ในอดีตคนจนไม่เคยมีอำนาจตัดสินใจทางการเมือง และไม่ได้รับความเป็นธรรมในหลายๆเรื่อง  แต่ปัจจุบันประชาชนทั่วไปมีสิทธิมีเสียงผ่านการตัดสินใจลงคะแนนเสียง ต่อรองอำนาจกับนักการเมือง ให้ความสำคัญกับนโยบายที่กลไกรัฐและรัฐบาลต้องมีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของประชาชนมากขึ้น  ซึ่งนั่นคือ การที่ประชาชนเป็นเจ้าของอธิปไตย ใช้สิทธิพลเมืองอย่างเต็มที่  และประชาชนส่วนใหญ่นั้นคือผู้ใช้แรงงาน ชาวนา ผู้ผลิตรายเล็ก คนจนผู้ด้อยโอกาส

การปกป้องสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคของผู้ใช้แรงงานจึงสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย องค์กรสาธารณะประโยชน์ เนื่องจากเสรีภาพของผู้ใช้แรงงานคือสิ่งที่จะประกันให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์และความชอบธรรมต่างๆ  พึงระลึกว่า ผู้ใช้แรงงานมีจำนวนถึง 39 ล้านคน แบ่งเป็นคนทำงานในสถานประกอบการ 14 ล้านคน นอกสถานประกอบการ 25 ล้านคน ทำงานวันละ 10 กว่าชั่วโมง สัปดาห์ละ 60 ช.ม.เหมือนกัน แต่รับสวัสดิการไม่เท่ากัน ทั้งเมื่อเทียบกับคนรวย นายจ้างของตัวเอง ก็ยังเหลื่อมล้ำอยู่มาก รายได้และสวัสดิการยังต่ำ การจ้างงานไม่มั่นคง เข้าไม่ถึงทรัพยากรต่างๆ ของรัฐ และยังถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ อำนาจการต่อรองในสถานที่ทำงาน การรวมกลุ่มเป็นสหภาพแรงงาน  
ด้วยเหตุนี้ วิธีการหนึ่งที่จะได้มาซึ่งผลประโยชน์ของแรงงาน คือ การที่สมาชิกส่งตัวแทนไปเจรจากับนายจ้าง กับเจ้าหน้าที่รัฐ กับนักการเมืองทุกระดับผ่านระบบเลือกตั้ง หรือสร้างพรรคการเมืองของแรงงานขึ้นมาแข่งขันทางนโยบายกับพรรคที่มีอยู่ ดังนั้นการเลือกตั้งที่เปิดให้สมาชิกทุกคนเข้าร่วมอย่างเสมอหน้า จึงเป็นประชาธิปไตยของผู้ใช้แรงงาน โดยผู้ใช้แรงงานและเพื่อผู้ใช้แรงงาน

อีกประการหนึ่ง  หากไม่มีบรรยากาศของประชาธิปไตย การเคารพความเป็นมนุษย์ เคารพเสียงของประชาชน ปัญหาความไม่ยุติธรรมต่างๆ ก็ไม่สามารถแก้ไขได้เช่นกัน  เพราะนอกจากจะมีปัญหาปากท้อง ยังมีปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน ได้แก่ การกักขังนักโทษในคดีการเมืองตั้งแต่หลังการทำรัฐประหาร 2549 การปราบปรามประชาชนผู้ชุมนุมปี 2553 ด้วยอาวุธของเจ้าหน้าที่รัฐ  การทำลายเสรีภาพในการแสดงความเห็นด้วยกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ก.ม.อาญา มาตรา 112)  ที่โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทยและเครือข่ายแรงงานทั้งในและต่างประเทศร่วมกันรณรงค์มาก่อนหน้านี้ แต่อดีตรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและศาลเพิกเฉยสิทธิมนุษยชน แม้แต่สิทธิการประกันตัวตามกฎหมายร.ธ.น. และเลือกปฏิบัติให้ต่างจากอีกฝ่ายที่สนับสนุนการทำรัฐประหาร 49

หากองค์กรด้านแรงงาน สหภาพแรงงานจะต่อรองทางการเมืองกับนักการเมือง ต้องไม่ขัดกับหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย 1 คน 1 เสียง ไม่ใช่ใช้ยุทธวิธี (tactics) ทางการเมือง เอาชนะเครือข่ายทักษิณ ชินวัตรที่คอรัปชั่น แล้วลิดรอนสิทธิของประชาชนที่สนับสนุนเครือข่ายทักษิณ  ที่ผ่านมารัฐบาลที่มาจากคณะผู้ก่อการรัฐประหารก็ไม่ได้ช่วยขจัดปัญหาคอรัปชั่นทุกวงการไปได้จริง แต่กลับมุ่งทำลายคนที่คิดต่าง ด้วยระบบเซ็นเซอร์ สอดส่อง จับกุมคุมขัง ใช้ความรุนแรงเพิ่มขึ้น  ดูถูกคนจนที่ต้องการประโยชน์จากนโยบายประชานิยม  ซึ่งเป็นการทำลายพลังการต่อรองของประชาชนเอง แล้วประชาชนจะเข้มแข็งทางความคิด ตรวจสอบพรรคการเมือง ระบบราชการ สถาบันการปกครองทุกสถาบันให้โปร่งใส่ได้อย่างไร

สิ่งที่น่าสงสัยคือ การที่คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ได้เข้าไปทำแนวร่วมกับกปปส. และพรรคประชาธิปัตย์ ที่นำโดยสุเทพ เทือกสุบรรณ หนึ่งในคณะบุคคลที่สั่งสลายการชุมนุมด้วยอาวุธสงครามปี 53 นั้นลิดรอนสิทธิของประชาชนผู้ใช้แรงงานคนอื่นๆ หรือไม่    เมื่อพิจารณาข้อเรียกร้องขององค์กรแรงงานสององค์กรนี้คือ  รัฐบาลต้องลงนามรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 และ 98 ให้แรงงานมีอำนาจในการเจรจาต่อรองร่วมกับนายจ้างและมีเสรีภาพในการรวมกลุ่มเป็นสหภาพแรงงานมากขึ้น  แต่ทว่าปฏิเสธการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น และปฏิเสธการแก้ไขรัฐธรรมนูญข้อที่สมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดมาจากการเลือกตั้งของประชาชน  เช่นนี้แล้วผู้ใช้แรงงานจะมีอำนาจในการต่อรองเชิงนโยบายกับนักการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อย่างไรหากเสียงลดลง   การแยกเสรีภาพในการเจรจา/รวมกลุ่มในที่ทำงานออกจากการเมืองระดับชาติเพื่อที่จะตัดสิทธิการเลือกตั้งของประชาชนนั้นทำได้ด้วยหรือ   การต่อสู้ แก้ไขกฎหมายประกันสังคมขยายประโยชน์สมาชิก โดยไม่คำนึงวิถีประชาธิปไตย ทำได้หรือไม่

จึงเป็นเรื่องน่าผิดหวัง ที่การเข้าร่วมชุมนุมกับกปปส. ขององค์กรแรงงานสององค์กรมุ่งเอาชนะพรรคเพื่อไทยมากกว่าการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ใช้แรงงาน    ทั้งไม่คัดค้านการนิรโทษกรรมคนสั่งฆ่าประชาชนปี 53 ที่ระบุไว้ในร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่งตามที่องค์กรแรงงานดังกล่าวออกแถลงการณ์ไว้  แต่เลือกแสดงออกคัดค้านการนิรโทษกรรมทักษิณ ชินวัตร ปกป้องรัฐธรรมนูญปี 50  และสนับสนุนสภาประชาชนที่มีลักษณะเผด็จการ  ไม่ได้เสนอสิ่งที่เป็นทางออกที่ก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่ ด้วยเหตุผลดังกล่าว  ผู้ใช้แรงงานจึงไม่ได้ประโยชน์จากการทำงานทางการเมืองขององค์กรแรงงานสององค์กรนี้  แต่กลับสูญเสียสิทธิเสรีภาพ และอำนาจไปให้แก่คนเพียงหยิบมือเดียว  

ดังนั้น โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทยจึงขอเรียกร้องรัฐเคารพกติกาประชาธิปไตยและสร้างความเป็นธรรม 5 ประการ  คือ

1. ยุติความขัดแย้งโดยสันติ ให้ประชาชนตัดสินใจทางการเมือง เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง
2. ไม่เอาอำนาจพิเศษ การแทรกแซงของทหาร มาตัดสินปัญหาแทนประชาชน
3. ปล่อยนักโทษการเมืองทุกคนโดยไม่มีเงื่อนไข
4. ยกเลิกก.ม. อาญา มาตรา 112 ปฏิรูประบบยุติธรรม ให้เคารพสิทธิแห่งความเป็นมนุษย์
5. เจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบต่อการสลายการชุมนุมด้วยอาวุธเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปี 53  คณะบุคคลเหล่านี้ต้องถูกนำมาขึ้นศาลและรับผิด

เพราะระบอบประชาธิปไตย คือระบอบที่ประชาชนมีวุฒิภาวะพอที่จะตัดสินใจกำหนด แก้ไข เปลี่ยนแปลงและปกครองตัวเองได้

แถลงการณ์ออก ณ วันที่ 20 ธ.ค. 56

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ThaiCERT เตือนเล่น LINE เวอร์ชั่นเก่าผ่านคอม เสี่ยงถูกดักฟัง

Posted: 20 Dec 2013 02:08 AM PST

20 ธ.ค.2556 วานนี้ ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย (ThaiCERT) ออกรายงานการวิเคราะห์การเข้ารหัสข้อความของแอพพลิเคชั่น LINE พบว่า ในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย 2G/3G นั้น LINE จะไม่เข้ารหัสดังที่เป็นข่าวไปก่อนหน้านี้ แต่ที่สำคัญคือบนเครือข่าย Wi-Fi นั้น LINE เวอร์ชั่นเดสก์ทอปทั้งวินโดวส์และแมคต่างก็ไม่มีการตรวจสอบใบรับรองทั้งคู่ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ man-in-the-middle

ทาง ThaiCERT ได้ติดต่อ NAVER หลังจากพบช่องโหว่นี้ และตอนนี้เวอร์ชั่น 3.2.1.93 บนวินโดวส์ ก็แก้ไขช่องโหว่นี้แล้ว พร้อมแนะนำว่าผู้ใช้งานควรอัพเดทแอพพลิเคชันของตนเองด้วย

อนึ่ง ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย (ThaiCERT) เป็นหน่วยงานของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ภายใต้สังกัดของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

 

 

ที่มา: Blognone 
ดูเพิ่มเติมที่ ThaiCERT

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

พิภพ อุดมอิทธิพงศ์

Posted: 19 Dec 2013 09:23 AM PST

"ไม่มีใครอยากเห็นเผด็จการรัฐสภาหรอกครับ ผมอยากเห็นเหมือนในหลายประเทศที่ฝ่ายค้านเข้มแข็งและมีเสียงใกล้เคียงกับพรรครัฐบาล เหมือนในตลาด ผมไม่อยากเห็นใครผูกขาด เพราะถ้ามีคู่แข่งหลายราย สินค้าและบริการราคาจะถูกลง และคุณภาพจะดีขึ้น แต่ทำอย่างไรได้ ในสนามการเมืองหรือในระบบตลาด เราทำได้แค่เรียกร้องให้กำหนดกติกา และดูแลให้มีการบังคับใช้กติกา เพื่อประกันว่าทุกฝ่ายมีสิทธิเท่าเทียมกันในการแข่งขัน เป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านที่จะต้องเสนอสินค้าและบริการที่ราคาถูกกว่าและมีคุณภาพดีกว่า ไม่ใช่พอขายของสู้เขาไม่ได้ ก็มาเรียกร้องให้ปิดตลาด ห้ามใครขายสินค้าและบริการ มันไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภคครับ"

19 ธ.ค.56

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: เอาเลือกตั้ง ไม่เอาเทือกตั้ง

Posted: 19 Dec 2013 09:18 AM PST

สถานการณ์หลังการประกาศยุบสภาของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปรากฏว่า การชุมนุมของม็อบ กปปส. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ยังไม่ยุติ ด้วยข้ออ้างว่าการชุมนุมของตนมีความชอบธรรมเพราะได้รับการสนับสนุนจาก"มวลมหาประชาชน" และ ทิศทางการเคลื่อนไหวของม็อบสุเทพและกลุ่มนักวิชาการผู้สนับสนุนในขณะนี้มีธงชัดเจนว่า ต้องการที่จะล้มการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ดังนั้น จึงได้เสนอในเชิงหลักการว่า จะต้องมีการปฏิรูปการเมืองก่อนเลือกตั้ง โดยให้เลื่อนการเลือกตั้งไปก่อน

ด้วยความพยายามในการหาทางล้มการเลือกตั้ง ฝ่ายคุณสุเทพและนักวิชาการที่สนับสนุน ได้อธิบายว่า ขณะนี้ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤต จึงไม่สามารถใช้กระบวนการกฎหมายตามปกติได้ ต้องใช้วิธีการพิเศษ คือจะต้องเว้นวรรคการเลือกตั้ง 1-2 ปี จากนั้นตั้ง "สภาประชาชน" ขึ้นมาปรับเปลี่ยนโครงสร้างประเทศขนานใหญ่ สภาประชาชนนี้จะมีสมาชิกราว 400 คน โดยมาจากเลือกตั้งในกลุ่มวิชาชีพ 300 คน และ และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ กปปส.สรรหาอีก 100 คน และเพื่อนำไปสู่การปฏิรูป รัฐบาลรักษาการของยิ่งลักษณ์ ชินวัตรจะต้องลาออกโดยทันที แล้วให้วุฒิสภาเลือกนายกรักษาการจากคนที่เป็นกลาง และเป็นคนดี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ข้อเสนอลักษณะนี้เอง จึงทำให้สภาประชาชนที่เสนอมานี้ถูกเรียกอย่างเสียดสีว่า "ระบอบเทือกตั้ง"

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้อธิบายเหตุผลสนับสนุนระบอบของตนว่า ประเทศไทยต้องมีการปฏิรูปให้พัฒนาไปอย่างยั่งยืน ซึ่งจะไม่มีวันทำได้เลยถ้าไม่ขจัดระบอบทักษิณออกจากแผ่นดินไทยเสียก่อน นายสุเทพจึงยืนยันว่ามวลมหาประชาชนจะไม่ไปเลือกตั้งอย่างแน่นอนถ้าไม่มีการปฏิรูปก่อน และย้ำว่า การต่อสู้จะดำเนินต่อไป เพราะ "มวลชนที่ลุกขึ้นมาวันนี้ไม่มีวันหมดแรง และสู้ได้เป็นปี" และได้อธิบายกับกองทัพว่า นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างประชาชนกับระบอบทักษิณ ดังนั้น ทหารต้องเลือกว่าจะอยู่ข้างใคร ข้างประชาชนหรือระบอบทักษิณ

ประเด็นของปัญหาก็คือ คงจะต้องอธิบายเป็นเบื้องแรกก่อนว่า ประเทศไทยนั้นไม่มีวิกฤติ จนกระทั่ง เกิดการชุมนุมของกลุ่มนายสุเทพเอง ที่นำเอามวลชนมาปิดถนนปิดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจนชาวบ้านเดือดร้อน แล้วผัดวันประกันพรุ่ง ยกระดับต่อสู้ครั้งสุดท้ายครั้งแล้วครั้งเล่ามานานนับเดือน จากนั้นก็ข่มขู่ว่าจะเข้ายึดสถานที่ราชการ สถานทูต หรือได้เข้าไปยึดสถานที่ราชการหลายแห่ง จนก่อให้เกิดความตึงเครียด ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจมากมาย คำถามก็คือภาวะวิกฤติที่สร้างกันเองเช่นนี้ จะใช้เป็นข้ออ้างไปสู่การยกเลิกการใช้กฎหมายปกติเพื่อการปฏิรูปประเทศได้อย่างไร

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงหลักการของการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยก็คือ การคืนอำนาจให้ประชาชน เพื่อให้ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 47 ล้านคน เป็นผู้กำหนดชะตากรรมของประเทศ และนี่คือเสียงของประชาชนทั่วประเทศที่เป็นจริงไม่ใช่หรือ ขณะที่อำนาจมวลมหาประชาชนของนายสุเทพมาจากการม็อบ และสภาประชาชนก็มาจากการแต่งตั้งกันเองจะถือว่าเป็นเสียงของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร ความจริงแล้ว ถ้าฝ่ายนายสุเทพมั่นใจว่า "มวลมหาประชาชน"ที่แท้จริงสนับสนุนฝ่ายของตน ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปกลัวการเลือกตั้ง เพราะถ้านายสุเทพมาเสนอตัวเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แล้วมวลมหาประชาชนสนับสนุนก็จะชนะเลือกตั้ง แล้วก็จะผลักดันการปฏิรูปประเทศได้ตามต้องการ ความจริงการกลัวการเลือกตั้งของฝ่ายนายสุเทพก็เป็นการฟ้องว่า ระบอบสภาประชาชนที่ตั้งกันเองเป็นเผด็จการเสียงข้างน้อยเท่านั้น

ในกรณีนี้ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ได้อธิบายอย่างชัดเจนว่าการเลือกตั้งนั่นเอง ที่ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศอย่างสันติวิธี ไม่ต้องให้คนที่คิดต่างกันเอาปืนมาต่อสู้กัน และยังเป็นหนทางที่จะนำประเทศไปสู่การปฏิรูปอย่างชอบธรรมด้วยฉันทานุมัติของปวงชนชาวไทย โดยการที่ผลักดันให้พรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้งสามารถเสนอแผนปฏิรูปของตนสู่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ให้ประชาชนพิจารณาตัดสินใจ

ประการต่อมา คงต้องอธิบายว่า การปฏิรูปการเมืองจะหมายถึงการขจัดตระกูลชินวัตรออกจากแผ่นดินคงไม่ได้ เพราะการกระทำเช่นนั้นไม่ถูกต้องตามหลักการของการเมืองสมัยใหม่ และไม่มีกฎหมายใดรองรับ ถือเป็นการใช้อำนาจตามอารมณ์เกลียด แต่ในอีกด้านหนึ่ง การปฏิรูปอันแท้จริงจะต้องเริ่มจากการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ โดยกระบวนการแก้ไขทั้งฉบับ มีกระบวนการทำให้โครงสร้างพรรคการเมืองเป็นประชาธิปไตย ให้อำนาจสูงสุดเป็นของสภาผู้แทนราษฎร ยกเลิกวุฒิสภาแต่งตั้ง ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ ในสมัยที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยพยายามจะทำแล้ว แต่ถูกขัดขวางจากศาลรัฐธรรมนูญ จนไม่อาจดำเนินการได้ ซึ่งเป็นการสะท้อนว่า การปฏิรูปการเมืองที่สมบูรณ์ คงจะต้องดำเนินการไปถึงการปฏิรูประบบตุลาการ ปฏิรูปที่มาองค์กรอิสระทั้งหมด หมายถึงการยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญ และน่าจะต้องรวมถึงปฏิรูปหมวดพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญเพื่อการยกเลิกองคมนตรีอีกด้วย

ดังนั้น เมื่อย้อนไปพิจารณาเนื้อหาของการ"ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง" ที่นักวิชาการฝ่ายสนับสนุนนายสุเทพพยายามเสนอ ก็คือ การชิงเอาอำนาจของประชาชนส่วนข้างมากที่จะผ่านการเลือกตั้ง มายกให้แก่เสียงข้างน้อยของสภาประชาชนที่ตั้งโดยฝ่ายนายสุเทพ ข้อหนึ่งของการปฏิรูปแบบนี้ คือ ความกลัวการทุจริตคอรับชั่นที่ดำเนินการโดยฝ่ายนักการเมือง ซึ่งในกรณีนี้ เกษียร เตชะพีระ ได้อธิบายอย่างชัดเจนแล้วว่า ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องทุจริตคอรับชั่นต้องแก้ด้วยระบอบประชาธิปไตย จึงจะเป็นไปตามมาตรฐานสากล ถ้าการแก้ปัญหาทุจริตโดยการล้มเลิกประชาธิปไตย แล้วใช้อำนาจอื่นที่ตรวจสอบไม่ได้เข้ามาแทน จะยิ่งเป็นอันตรายและไร้หลักประกันสำหรับประเทศไทยมากยิ่งกว่า

ข้อเสนออีกประการหนึ่ง ที่เสนอให้ปฏิรูปการเมืองแบบขวาจัด โดยล้มเลิกหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง เพราะเสียงประชาชนในชนบทเป็นเสียงไม่มีคุณภาพ ไม่ควรมีเสียงมากเท่าผู้ดีและชนชั้นกลางที่จบปริญญา นี่ถือว่าเป็นข้อเสนออันไร้สาระ และมีลักษณะแบ่งแยกมวลชน และทำลายหลักความเสมอภาคระหว่างมนุษย์ คงไม่ต้องหยิบมาพิจารณา

ประเด็นต่อมา ก็คือ ถ้าหากล้มเลิกหรือเลื่อนการเลือกตั้งในขณะนี้ ปัญหาของประเทศไทยจะบานปลายไปมากยิ่งกว่า เพราะประชาชนอีกฝ่ายหนึ่งต้องรู้สึกว่าอำนาจของตนเองถูกช่วงชิง ยิ่งกว่านั้น ประเทศไทยคงจะก้าวไปกับนานาประเทศได้ยาก จะเอาเหตุผลอะไรไปอธิบายว่า เหตุใดประเทศไทยจึงต้องล้มเลิกการเลือกตั้งตามเสียงการข่มขู่ของฝูงชน

และนี่คือสิ่งที่เราจะต้องยืนยันในวันนี้ว่า "เอาเลือกตั้ง ไม่เอาเทือกตั้ง"

 

 

 

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกที่ โลกวันนี้วันสุข 21 ธันวาคม 2556

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนจำคุก 10 ปี อดีตตำรวจคูคต ครอบครองกระสุน M79 ปี 53

Posted: 19 Dec 2013 08:10 AM PST

19 ธ.ค. 2556 สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย รายงานว่า ศาลอาญา อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง จ่าสิบตำรวจปริญญา มณีโคตม์ อดีตผู้บังคับหมู่งานป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรคูคต จังหวัดปทุมธานี เป็นจำเลย ในความผิดฐาน มีกระสุน เครื่องกระสุน และอาวุธสงครามที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง จากกรณีเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 จำเลยมีลูกระเบิดยิงขนาด 40 ม.ม. แบบเอ็ม 79 ชนิดระเบิดเจาะเกราะ และชนวนแบบเอ็ม 403 สภาพพร้อมใช้งาน รวม 62 นัด ไว้เพื่อจำหน่ายราคาลูกละ 1,200 บาท เหตุเกิดที่แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธโดยตลอด คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 10 ปี

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมพร้อมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานเป็นตำรวจ 2 ปาก และทหาร เบิกความสอดคล้องกัน โดยพยานจดจำใบหน้าของจำเลยได้ ขณะขับรถฝ่าด่านตรวจ และจำเลยได้ทำถุงพลาสติกตกลงพื้น เจ้าหน้าที่จึงตรวจดูพบกระเป๋าสตางค์มีบัตรประชาชนระบุชื่อจำเลย รวมทั้ง พบกระสุนปืนของกลางด้วย และเมื่อนำหมวกกันน็อกไปตรวจหาสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) เปรียบเทียบกับจำเลยผลตรวจพิสูจน์ก็ออกมาตรงกัน แต่จำเลยให้การต่อสู้ว่า สาเหตุที่จำเลยต้องไปบริเวณด่านตรวจนั้น เพราะได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ให้เข้าไปแฝงตัวกับกลุ่ม นปช. แต่จำเลยไม่ได้นำคำสั่งของผู้บังคับบัญชามาแสดงให้ทราบ พยานหลักฐานและคำเบิกความของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ เห็นพ้องด้วย พิพากษายืนให้จำคุกจำเลย 10 ปี

ด้านเว็บไซต์หนังสือพิมพ์บ้านเมือง รายงานว่า จ.ส.ต.ปริญญา ซึ่งถูกคุมขังอยู่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ กล่าวว่า จะปรึกษากับทนายความก่อนว่าจะดำเนินการยื่นฎีกาต่อไปหรือไม่ โดยขณะนี้ถูกจำคุกมาแล้ว 3 ปีเศษ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กกต.ชี้ช่องเลื่อนวันเลือกตั้ง แนะรัฐบาลคุย กปปส.

Posted: 19 Dec 2013 08:00 AM PST

กกต.เสนอฝ่ายการเมืองหาข้อตกลงเลื่อนวันเลือกตั้ง ย้ำหากให้มีการเลือกตั้งต่อไปก็ยังคงมีความวุ่นวาย ด้านยิ่งลักษณ์ขอหารือกฤษฎีกาก่อน ส่วนอภิสิทธิ์หนุน กกต. คุยหาทางออกก่อนเลือกตั้ง

19 ธ.ค.2556 สำนักข่าวไทย รายงานว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้ง 5 คน ประกอบด้วย นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กตต. นายสมชัย ศรีสิทธิยากร กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง นายธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์ กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ นายบุญส่ง น้อยโสภณ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวน นายประวิช รัตนเพียร กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม แถลงหลังการประชุม พร้อมออกแถลงการณ์ว่า เพื่อป้องกันปัญหาความขัดแย้งและไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง จึงอยากให้ทุกฝ่าย ทั้งรัฐบาลและ กปปส. พูดคุยร่วมกัน โดยไม่ต้องยึดวันเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นข้อจำกัด แต่หากตกลงกันไม่ได้ กกต.พร้อมจัดการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557

นายธีรวัฒน์ กล่าวว่า กกต.เป็นห่วงบ้านเมืองในขณะนี้ จึงได้หารือว่าการเมืองในปัจจุบันหลังจากที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาและกำหนดให้มีเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ซึ่งกลายเป็นประเด็นนำไปสู่ความเห็นที่แตกต่างรุนแรง ที่ฝ่ายหนึ่งเห็นว่ารัฐบาลมีความชอบธรรมในการรักษาการและจัดการเลือกตั้ง อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า รัฐบาลไม่ควรรักษาการ ควรมีคนกลางเข้ามาทำหน้าที่ เลื่อนการเลือกตั้ง 6-8 เดือน ตั้งสภาประชาชนแก้กฎหมาย และค่อยมีการเลือกตั้ง หากปล่อยให้ขัดแย้งจนเกิดการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 อาจเกิดความไม่สงบ จนถึงการไม่รับผลการเลือกตั้ง
   
นายธีรวัฒน์ กล่าวต่อว่า กกต.เห็นว่าหนทางที่ดีในการคลี่คลายในปัจจุบัน ทุกฝ่ายต้องประนีประนอมทางความคิด ลดความต้องการของแต่ละฝ่ายให้อยู่ในจุดที่ยอมรับได้เพราะไม่มีฝ่ายใดแพ้ หรือชนะ แต่จะเป็นทางออกให้ประเทศไทย กกต.พร้อมทำหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 อย่างเต็มความสามารถ แต่ก็มีความเห็นว่า แม้สถานการณ์จะเป็นเช่นไร เราไม่ควรให้วันที่ 2 กุมภาพันธ์ เป็นตัวจำกัดโอกาสให้คนไทยเข้าใจ ทำความปรองดองกันไม่ได้ กกต.หวังว่าปรองดองจะเกิดขึ้น

จากนั้นนายสมชัยกล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบัน การจัดการเลือกตั้งที่มีความเรียบร้อยเป็นไปได้ยาก จากาการประเมินทุกฝ่ายที่แสดงออกอาจทำให้เกิดความวุ่นวายมากพอสมควร เพราะนี่คือสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา เราคิดว่าฝ่ายต่างๆ มีโอกาสได้คุยกันเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นการเลือกตั้งที่ไม่มีปัญหา
รัฐบาลและ กปปส. ถ้ามีโอกาสพูดคุยกันเพื่อให้การเลือกตั้งสงบ เป็นไปได้ อย่าเอาเงื่อนไขว่าจะจัดการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นข้อจำกัดในการเลือกตั้งเท่านั้น แต่อาจมีกลไกที่ทำให้เกิดคนกลางมาพูดคุยว่าวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 จะเลือกตั้งหรือไม่ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่คุยกันต้องไปหาช่องทางทางกฎหมาย แต่หากที่สุดไม่สามารถคุยกันได้ หรือจะยืนยันให้จัดการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 ต่อ กกต.พร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ แต่เราคาดการณ์ไว้ว่าการเลือกตั้งจะมีปัญหาพอสมควร

อย่างไรก็ตาม จากที่ได้มีการศึกษาข้อกฎหมายเราเห็นว่ามีช่องทางในทางกฎหมายที่จะสามารถดำเนินการได้ ถ้าฝ่ายการเมืองเห็นตรงกันว่า วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นวันที่ไม่เหมาะสม

"ข้อเสนอของ กกต.วันนี้ เราไม่ได้เสนอให้เลื่อนการเลือกตั้ง แต่เราสะท้อนต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เมื่อเราสะท้อนแล้วท่านที่อยู่ในฐานะผู้มีหน้าที่ มีกลไกทางกฎหมายที่ทำได้ ก็ต้องไปพิจราณา ซึ่งเรายืนยันว่า มีช่องทางกฎหมายที่จะเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปได้ ส่วนช่องทางจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับผู้มีหน้าที่จะพิจารณา ซึ่งผมขอยกตัวอย่างว่า ถ้าเกิดภัยพิบัติ เราสามารถเลื่อนการเลือกตั้งในบางหน่วยบางแห่งได้ แต่ขณะนี้มีปรากฏการณ์ทางสังคม แล้วมันจะเลือกตั้งไม่ได้เลย มันก็เลื่อนการเลือกตั้งทั้งหมดได้ แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ กกต.ต้องเดินจัดการเลือกตั้ง" นายสมชัยกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากแถลงข่าวเสร็จแล้วประธาน กกต.พยายามตัดบทไม่ให้มีการซักถาม แต่เมื่อถามว่า การเลื่อนเลือกตั้งจะทำให้ฝ่ายหนึ่งได้เปรียบเสียเปรียบ ถ้าฝ่ายการเมืองไม่มีการเลือกตั้งจะทำอย่างไร นายศุภชัยกล่าวว่า กกต.ไม่สามารถเลื่อนวันเลือกตั้ง กฎหมายกำหนดให้ กกต.มีหน้าที่เพียงจัดการเลือกตั้งที่สุจริต เที่ยงธรรม เราเพียงสะท้อนสถานกาณ์ถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น และ กกต.ไม่มีหน้าที่ประสานงานกับรัฐบาล เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็จะถูกมองว่าวางตัวไม่เป็นกลาง ซึ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 229 ได้กำหนดลักษณะพิเศษต้องวางตัวให้เป็นกลาง เราไม่ได้เสนอให้เลื่อนการเลือกตั้ง แต่เราเสนอให้กลับไปคิด

นายธีรวัฒน์กล่าวว่า ที่ กกต.มาแถลงเพราะเรามีจุดยืนที่ห่วงใยบ้านเมือง ถ้าเรื่องนี้เป็นอำนาจหน้าที่ ของ กกต.โดยตรงเราชี้ขาดไปแล้ว แต่กฎหมายไม่เปิดช่องให้ กกต.ทำเองได้

เมื่อถามว่า สถานการณ์ขณะนี้ไม่เหมาะสมที่จะมีการเลือกตั้งหรือไม่ นายธีรวัฒน์กล่าวว่า เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม คิดว่าทุกคนรู้อยู่แก่ใจ ประเด็นนี้อย่าถาม กกต.เพราะเราไม่อยากถูกดึงไปยังวังวนทางการเมือง และเมื่อถามว่า กกต.อึดอัดใจใช่หรือไม่ นายธีรวัฒน์ระบุว่าเราห่วงใยประเทศ และอยากให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้

เมื่อถามว่า มีการเสนอหาทางออกหลายครั้งจากหลายเวที แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ นายประวิชกล่าวว่า ทุกเวทีที่จัดขึ้น เวทีที่ฝ่ายหนึ่งไปอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ไป ซึ่งเราอยากให้ก่อนการเลือกตั้งมีการคุยกันของ 2 ฝ่าย เรามั่นใจว่าเสียงสะท้อนของ กกต.ในวันนี้ทำให้คนต้องฟังบ้าง


ยิ่งลักษณ์ขอหารือกฤษฎีกาก่อน
ขณะเดลินิวส์ออนไลน์ รายงานว่า วันเดียวกัน ที่ศาลากลางเมืองร้อยเอ็ด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเสนอของ กกต. ว่า จากที่ได้รับทราบข่าว ก็ไม่แน่ใจ ว่า ในส่วนของรัฐบาลจะเอาอำนาจหน้าที่ ที่ไหนเพราะรัฐบาลได้ยุบสภาไปแล้ว ขณะนี้มีหน้าที่ฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งพระราชกฤษฎีกา กำหนดการเลือกตั้ง ก็ได้มีการประกาศออกมาเรียบร้อยแล้ว หน้าที่หลักวันนี้ในเรื่องของการเลือกตั้งเป็นเรื่องของ กกต. รัฐบาลมีหน้าที่อำนวยความสะดวกร่วมกับ กกต. เพื่อให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นตามพระราชกฤษฏีกา ตามเวลาที่กฏหมายกำหนด เราจึงไม่ทราบ ว่า จะเอาอำนาจหน้าที่จากไหนมาทำตามข้อเสนอของ กกต. คงต้องศึกษาและปรึกษากับฝ่ายกฏหมาย คือ คณะกรรมการกฤษฎีกา

"รัฐบาลไม่แน่ใจว่า ตัวเองมีอำนาจตรงไหน ก็ต้องหารือกับทางกฤษฎีกา เพราะเมื่อพระราชกฤษฏีกาประกาศใช้ออกมาแล้วก็เป็นหน้าที่ของ กกต.ที่จะต้องดำเนินการเลือกตั้ง ดังนั้นการที่จะส่งคืนมาให้รัฐบาลอีก เราก็ไม่รู้ว่า เรามีอำนาจหน้าที่ตรงไหน ปัญหาอยู่ที่ตรงจุดนี้มากกว่า วันนี้เรามีหน้าที่ทำตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่ให้มีการเลือกตั้ง รัฐบาลก็ให้นำเรื่องกราบบังคมทูลฯ เป็นที่เรียบร้อยไปหมดแล้ว ก็ต้องถือว่า เป็นหน้าที่ของ กกต. วันนี้ดิฉันคงต้องถามนักกฏหมาย โดยทางคณะกรรมการกฤฏีษกาให้คำตอบที่ดีกว่า โดยรัฐบาลเองยินดีและพร้อมให้ความร่วมมือ แต่ต้องหารือกับฝ่ายกฏหมายก่อนเพราะเป็นเรื่องใหม่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย " น.ส.ยิ่งลักษณ์ และว่า ถ้าหากไม่มีกติกาประเทศชาติจะเดินต่อไปได้อย่างไร วันนี้ประเทศเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยมีรัฐธรรมนูญ เพื่อออกกติกาให้คนทั้งประเทศได้ปฏิบัติ ดังนั้นถ้าเราไม่ยึดกติกาอะไรเลย ยกเลิกทั้งหมดแล้วเราจะตอบคำถามต่างประเทศได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่เป็นคำถาม วันนี้ไม่ใช่จะมาตั้งคำถามว่ารัฐบาลจะเดินหน้าเลือกตั้งหรือไม่ สิ่งที่ควรถามคือเราจะนำกฏหมายอะไรมายึดเป็นหลักและใช้สำหรับประเทศ วันนี้เราต้องหารือกันเพื่อหาทางออก เราเข้าใจข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม แต่ต้องขอกรุณา ว่า ต้องอยู่บนหลักที่เราสามารถปฏิบัติได้ ก็คือข้อกฏหมายเวทีขอฝ่ายวิชาการเองก็หารือ ก็อยากให้เวลากับเวทีดังกล่าวด้วย

เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคภูมิใจไทยเสนอว่า ให้ทุกพรรคการเมืองไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค. เพื่อจะได้มีเวลาให้ กกต.มีอำนาจในการขยายวันเลือกตั้งออกไปนั้น ก็คงต้องไปถามทางพรรคการเมือง เพราะตามหลักเป็นหน้าที่ของพรรคการเมือง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อมีพระราชกฤษฏีกาการเลือกตั้งทุกคนก็ต้องไปเลือกตั้ง ถ้าทุกคนไม่ไปเลือกตั้ง แสดงว่าทุกคนไม่ปฏิบัติหน้าที่ ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ อาจจะไม่ลงสมัครเลือกตั้งครั้งนี้โดยอ้างว่าไม่ต้องการให้การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นนั้น ก็คงต้องถามหาความชอบธรรมว่ามีการยึดตามหลักรัฐธรรมนูญหรือไม่



อภิสิทธิ์หนุน กกต. คุยหาทางออกก่อนเลือกตั้ง
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี กกต. เสนอให้พรรคการเมืองร่วมหาทางออก ก่อนการเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 ว่า พรรคประชาธิปัตย์ขอเป็นพรรคการเมืองหนึ่งที่แสดงเจตจำนงสอดคล้องกับความเห็นของ กกต.และหลายฝ่าย รวมถึงพรรคภูมิใจไทย ที่เห็นว่า หากปล่อยให้มีการเลืองตั้งในวันที่ 2 ก.พ. 2557 ไม่ทำอะไรเลย จะทำให้เกิดปัญหากับประเทศอย่างแน่นอน บ้านเมืองจะอยู่ในภาวะขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ดังนั้นหากนักการเมืองทุกคนไม่ปฏิเสธความจริง ก็น่าจะหันมาสนับสนุนแถลงการณ์ของ กกต. โดยขอให้ถอดหมวกของการเป็นรัฐบาลและฝ่ายค้าน และไม่กล้ายืนยันว่า การเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.2557 แล้วทุกอย่างจะเดินหน้า ก็ควรมาคุยกัน มาช่วยป้องกัน เพราะ กกต.ชี้ให้เห็นถึงปัญหาแล้วว่าถ้าพวกเราในฐานะนักการเมืองถ้าเห็นตรงกันก็เปรียบเหมือนเป็นฉันทามติ จะทำให้รัฐบาลและกกต.รับฟังเหตุผลและพิจารณาต่อไปว่าสมควรจะทำอย่างไร ถ้าเห็นพ้องแล้วก็ต้องช่วยกันในวิธีการและรายละเอียด อย่าเอาอะไรมาเป็นตัวตั้งว่าทำอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น จะทำให้ชาติไปสู่ความเสียหาย

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า วันนี้ไม่ใช่เรื่องของการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ส่ง แต่ทุกคนเห็นตรงกันว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.จะไม่ราบรื่น จึงควรคุยกันว่าจะเดินอย่างไร ไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์ไปสู่จุดไม่พึงประสงค์ ซึ่งการทำให้เกิดฉันทามติทำได้หลายรูปแบบ แต่อย่างน้อยพรรคการเมืองที่มีอดีต ส.ส.จะต้องแสดงเจตจำนงก่อน ซึ่งขอพูดแทนพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีความเห็นคล้ายกับพรรคภูมิใจไทยว่าควรจะแสดงจุดยืนในการแก้ปัญหาก่อน โดยได้คุยกับพรรคภูมิใจไทยแล้วเมื่อคืนวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา ดังนั้นพรรคอื่นก็ควรออกมาแสดงเจตนารมณ์เร็วที่สุด ควรจะทำก่อนวันที่ 23 ธ.ค.ซึ่งเป็นวันสมัครรับเลือกตั้ง ส่วนที่พรรคเพื่อไทยยังเดินหน้าส่งผู้สมัครนั้น ก็ต้องไปถามพรรคเพื่อไทย เพราะล่าสุดได้มีอดีตรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยบางคน ยอมรับว่าจะเกิดปัญหาจนอาจจะไม่ลงเลือกตั้ง หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งคนลง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุเทพระบุเดินรอบกรุง 2 วันเหมือนแจกการ์ดเชิญถึงบ้านให้มาร่วมชุมนุม 22 ธ.ค.

Posted: 19 Dec 2013 07:49 AM PST

เลขาธิการ กปปส. เชื่อเดินรอบกรุง 2 วัน ผลตอบรับดี เหมือนแจกการ์ดเชิญถึงบ้าน-สนง. ให้มาร่วมชุมนุมใหญ่ 22 ธ.ค. พรุ่งนี้เยือนสีลม เยาวราช ขณะที่สาทิตย์-ขวัญสรวงกางแปลน 22 ธ.ค. ตั้ง 10 เวทีย่อย 5 เวทีใหญ่ อนุสาวรีย์ชัยฯ หอศิลป์ กทม. ราชประสงค์ อโศก สวนลุมฯ หวังรับรองผู้ชุมนุม 2.4 ล้านคน

บรรยากาศการชุมนุมช่วงที่สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ปราศรัย เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 56 (ที่มา: Blue Sky Channel) 

เมื่อเวลา 20.30 น. สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ได้ขึ้นปราศรัยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หลังจากในช่วงกลางวันได้เคลื่อนขบวนผู้ชุมนุมจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไปตาม ถ.เพชรุบรี แยกอโศก และเดินขบวนผ่าน ถ.สุขุมวิท และกลับมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อเชิญชวนประชาชนมาร่วมการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 22 ธ.ค. นี้

โดยเริ่มต้นการปราศรัย สุเทพได้นัดหมายกับผู้ชุมนุมในการเดินขบวนย่อยในวันที่ 20 ธ.ค. ว่า ขอนัดหมายตั้งแต่เวลา 9.00 น. จะมีการเดินขบวนออกจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมุ่งไปทาง ถ.พระราม 4 เพื่อไปสีลม สี่พระยา สาทร วกกลับมาเยาวราช แล้วก็กลับมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ระยะทาง 13-14 กม.

"ถือโอกาสกราบเรียนพี่น้องที่ไม่ได้ไปร่วมเดินวันนี้ วันนี้อากาศที่กรุงเทพฯ ดีมาก คนที่เดินมาด้วยกันไม่มีใครเป็นลมเลยสักคน คึกคักกันมากเดินเร็วกว่าที่คาดไว้ ทำเวลาได้ดีมาก"

นอกจากนี้สุเทพ ได้ตอบโต้ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช. กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จะมีการประชุมในวันที่ 21 ธ.ค. ว่า ขอเรียนให้เลขา สมช. เข้าใจว่าเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์และมวลมหาประชาชนที่นี่เป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองย่อมมีสิทธิตัดสินใจตามที่พรรคเห็นสมควร เป็นเรื่องของพรรค และมวลมหาประชาชนจะตัดสินใจอะไรก็เป็นเรื่องของมวลมหาประชาชน ไม่ต้องคำนึงถึงพรรคการเมืองไหนทั้งสิ้น เราต่างเคารพในการตัดสินใจแต่ละฝ่ายไม่ก้าวก่ายกัน คุณภราดรเข้าใจด้วย แถมคุณภราดรยังพูดอีกว่าการนัดชุมนุม 22 ธ.ค. คนคงไม่เยอะเท่า 9 ธ.ค. เพราะขณะนี้มีเวทีปฏิรูปขึ้นมากมาย คุณภราดรจะรู้ได้อย่างไรว่าวันที่ 22 ธ.ค. คนจะไม่เยอะ อยากให้ซื้อปิ๊บไว้หนึ่งใบ เอาไว้คลุมหัว เพราะวันที่ 22 ธ.ค.มวลชนจะออกมามากกว่าที่คิดอีกเยอะ เพราะวันนี้เราไปเดินเชิญชวนมาเอง เขาเรียกว่าเรียกแขก ไม่เกี่ยวกับพรรคการเมืองเลย เกี่ยวกับเราจะไล่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เรื่องนี้เท่านั้น การที่เราออกไปเดินเชื้อเชิญด้วยตัวเอง เขาก็สามารถจะตัดสินได้ และเราก็พบความจริงว่าน้ำใจของพี่น้องกรุงเทพฯเหลือเฟือ มากล้นจริงๆ

สุเทพกล่าวด้วยว่าในการเดินขบวนวันนี้ มีประชาชนจากทุกสาขาวิชาชีพเอาข้าวเอาน้ำมาเลี้ยงจำนวนมาก และประกาศว่าจะมาร่วมชุมนุมในวันที่ 22 ธ.ค. มีคนยืนข้างทางส่งเสียงเชียร์ให้ขับไล่ยิ่งลักษณ์ให้สำเร็จ โดยวันนี้ได้เงินบริจาค 543,830 บาท มีพี่น้องชุมชนอโศก บริจาคผ่านทางคุณสมเกียรติ หอมละออ ที่ไปตั้งรับบริจาคค่าข้าวได้ทั้งหมด 348,510 บาท นอกจากนั้นยื่นให้ผมกับมือได้อีกกว่า 1 แสนบาท

"เหตุผลที่เราไปเดิน 2 วันเหมือนส่งการ์ดเชิญพี่น้องประชาชนคนไทย ที่แต่ละท่านมีภารกิจอาจไม่ได้ฟังปราศรัยเวทีนี้ ไม่รู้ว่าเรานัดหมายกันอย่างไร  ก็เป็นข้อตกลงกันว่าวันที่ 22 ธ.ค.ต้องมาร่วมกันเพราะเราไปเชิญถึงบ้าน เชิญถึงสำนักงาน"

สุเทพกล่าวด้วยว่าในวันที่ 22 ธ.ค. มีการนัดหมายกันหลายสถาบันอุดมศึกษาแล้ว เช่นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีการนัดรวมตัวในเวลา 12.30 น.ที่หน้าอนุสาวรีย์ 2 รัชกาล ให้ใส่เสื้อสีชมพู และจะมีการเดินขบวนไปที่สยามแสควร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่มธรรมศาสตร์อภิวัฒน์ประเทศไทย นัดหมายเวลา 11.30 น. ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเชื่อว่าสถาบันการศึกษาอื่นๆ จะมีการทยอยนัดหมายศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบัน และเชื่อว่าจะมีผู้ชุมนุมออกมาจำนวนมาก

ทั้งนี้เขาย้ำว่ายิ่งลักษณ์ ชินวัตรควรทำความดีด้วยการลาออกจากรักษาการนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีลาออกให้หมด ไม่มีการตั้งรักษาการนายกรัฐมตรี เพื่อที่คนดีๆ จะได้ตั้งนายกรัฐมนตรีมาแก้วิกฤตชาติ

หลังจากนั้น ขวัญสรวง อติโพธิ และสาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำ กปปส. ได้ขึ้นมาชี้แจงจุดนัดหมายชุมนุมในวันที่ 22 ธ.ค. โดยระบุว่าจะมีการชุมนุมรอบกรุงเทพมหานครต่อเนื่องกันกินพื้นที่ 6 แสนตารางกิโลเมตร โดยอ้างว่าจะมีผู้ชุมนุม 1.8 - 2.4 ล้านคน หรืออาจถึง 5 ล้านคน ทั้งนี้มีการเตรียม 10 จุดชุมนุมย่อย และ 5 เวทีใหญ่ตามสี่แยกสำคัญ ได้แก่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หอศิลป์ กทม. ราชประสงค์ อโศก สวนลุมพินี และจะตั้งจอฉายถ่ายทอดสดเชื่อมโยงกับเวทีชุมนุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยด้วย

ทั้งสาทิตย์ประกาศว่า จะเริ่มเวทีในวันที่ 22 ธ.ค. ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เวลา 14.00 น. จะมีผู้ชุมนุมมาสมทบมากขึ้นๆ แต่ละเวทีจะมีกิจกรรม จากนั้นเวลา 18.00 น. ทุกเวทีจะถ่ายทอดจากเวที ถ.ราชดำเนิน "มีการเคารพธงชาติพร้อมกัน เสียงกระหึ่มไปทั้งกรุงเทพ และต่างจังหวัด สุเทพ เทือกสุบรรณ จะปราศรัยครั้งสำคัญในวันที่ 22 ธ.ค. เวลา 18.40 น. เมื่อปราศรัยเสร็จ สามารถมาสมทบที่เวทีราชดำเนิน เพราะจะมีกิจกรรมค้างคืน" สาทิตย์ระบุ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปูตินหนุนโครงการสอดแนมสหรัฐฯ แจงใช้ต้านก่อการร้าย แต่ต้องมี กม. ควบคุม

Posted: 19 Dec 2013 07:27 AM PST

ปธน.วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ระบุโครงการสอดแนมมีความจำเป็นเพื่อต่อต้านก่อการร้าย ขณะเดียวกัน ควรออกกฎควบคุมการทำงานของหน่วยงานสอดแนม ทั้งนี้ยังกล่าวปฏิเสธด้วยว่าทางการรัสเซียไม่ได้ควบคุมตัวหรือทำงานร่วมกับสโนว์เดนแต่อย่างใด

19 ธ.ค. 2556 ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียกล่าวในที่ประชุมแถลงข่าวประจำปีว่า เขาสนับสนุนโครงการสอดแนมของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (NSA) เนื่องจากมีความจำเป็นในการต่อต้านการก่อการร้าย แต่ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้สหรัฐฯ ตั้งกฎข้อกำจัดการสอดแนมให้ชัดเจนเพื่อ "จำกัดความทะเยอทะยาน" ขององค์กรข่าวกรอง

การกล่าวถึงเรื่องโครงการสอดแนมโดยประธานาธิบดีรัสเซีย มีขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้บริษัทไอทีต่างพากันเรียกร้องให้ทางการสหรัฐฯ ปฏิรูปโครงการสอดแนม และเมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา  จอห์น เคอร์รี่ รมว.ต่างประเทศของสหรัฐฯ ระบุว่า เขาจะทำงานร่วมกับประธานาธิบดีโอบามา เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการกระทำที่ไม่เหมาะสมจากองค์กร NSA อีก หลังจากที่เกิดกรณีสหรัฐฯ ถูกเปิดโปงเรื่องดักฟังโทรศัพท์ของนายกรัฐมนตรี แองเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนี

ประธานาธิบดีปูติน ผู้เคยทำงานเป็นสายลับเคจีบีและเป็นหัวหน้าหน่วยงานจารกรรมของรัสเซียกล่าวว่า โครงการของ NSA "ไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องสำนึกผิด" เพราะเป็นโครงการที่มีความจำเป็นต่อการต่อสู้กับการก่อการร้าย

ปูตินกล่าวอีกว่าโครงการสอดแนมจำเป็นต่อการตรวจสอบประชาชน เพื่อเผยให้ทราบถึงการติดต่อสื่อสารกันระหว่างผู้ก่อการร้าย แต่ในระดับการเมืองแล้วก็มีความจำเป็นที่ต้องจำกัดความทะเยอทะยานของหน่วยงานพิเศษของรัฐด้วยกฎข้อบังคับบางอย่าง

เมื่อมีคนถามถึงเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตคนทำงานข่าวกรองผู้เปิดโปงข้อมูลโครงการสอดแนมของสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันได้รับอนุญาตให้พำนักลี้ภัยทางการเมืองในรัสเซีย ปูตินยืนยันว่าทางการรัสเซียไม่ได้เป็นผู้ควบคุมสโนว์เดน ตัวเขาเองไม่เคยพบปะกับสโนว์เดนและหน่วยงานความมั่นคงของรัสเซียก็ไม่ได้ทำงานร่วมกับสโนว์เดนหรือสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการของ NSA ที่เป็นการต่อต้านรัสเซียแต่อย่างใด

ปูตินกล่าวว่า สิ่งที่สโนว์เดนเปิดโปงเป็นข้อมูลที่เขาได้รับมาตั้งแต่ก่อนหน้าเดินทางเข้าไปในรัสเซีย และยังย้ำว่าทางการรัสเซียให้ที่อยู่แก่สโนว์เดนภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเขาจะไม่กระทำสิ่งที่ "ต่อต้านอเมริกา" มากไปกว่านี้

 


เรียบเรียงจาก

President Putin backs NSA surveillance as 'necessary' to fight terrorism, The Independent, 19-12-2013
http://www.independent.co.uk/news/world/europe/president-putin-backs-nsa-surveillance-as-necessary-to-fight-terrorism-9014896.html

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลอาญายกฟ้อง 'จตุพร' คดีแถลงข่าวปี 53 หมิ่น 'รสนา'

Posted: 19 Dec 2013 07:18 AM PST

ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง จตุพร พรหมพันธุ์ คดีหมิ่นประมาท กรณีระบุรสนา โตสิตระกูล พยายามโยกคดียึดสนามบินของ พธม.ไปอยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอ

19 ธ.ค.2556 มติชนออนไลน์ รายงานว่า ที่ห้องพิจารณา 911 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีดำ อ.3982/2553 ที่ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 กรณีเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2553 จำเลยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนทำนองว่า มีความพยายามจะให้คดีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งบุกยึดท่าอากาศสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง ให้ไปอยู่ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยโจทก์เป็นตัวตั้งตัวตี

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยเป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้แถลงข่าว ณ ที่ทำการพรรค ซึ่งถ้อยคำที่กล่าวใช้คำว่าพยายาม ซึ่งไม่ใช่การยืนยันว่ามีการโอนคดีไปแล้วแต่อย่างใด และไม่ได้ระบุว่าความพยายามนั้นมีวิธีการอย่างไร ลักษณะเป็นการตั้งคำถาม โดยยังปรากฏตามรายงานด้วยว่า คณะกรรมาธิการ ส.ว.ก็ได้มีการเชิญ ผบ.ตร. และ ผช.ผบ.ตร.พูดคุยนอกรอบ แต่ไม่ได้เดินทางมาคงมีตัวแทนมา ส่วนที่จำเลยระบุว่า พบนายธาริต อธิบดีดีเอสไอ นั่งอยู่ในห้องด้วยนั้น ก็ไม่ได้เป็นการยืนยันว่า โจทก์จะเป็นผู้ดำเนินการแทรกแซงข้าราชการ ใช้อำนาจไม่ชอบ หรือรับคำสั่งรัฐบาลที่จะผลักดันทำให้คดี กลุ่ม พธม.ไปอยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอ อีกทั้งข้อเท็จจริงปรากฏว่า ทางปฏิบัติ ส.ว.ไม่อาจสั่งโยกคดีใดๆ ไปอยู่ในความดูแลของดีเอสไอได้ ประกอบกับโจทก์ยังยอมรับว่าช่วงที่กลุ่ม พธม.ชุมนุมได้เชิญโจทก์ไปยังเวทีปราศรัย ย่อมทำให้จำเลยเข้าใจได้ว่าโจทก์กับกลุ่ม พธม.เป็นพวกเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตด้วยความเป็นธรรม ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท จึงพิพากษายกฟ้อง
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เครือข่ายสิทธิแรงงานข้ามชาติเชียงใหม่ ร้องผู้ว่าฯ เร่งสร้างนโยบายคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ

Posted: 19 Dec 2013 06:42 AM PST

19 ธ.ค.2556 เนื่องในวันแรงงานข้ามชาติสากล ซึ่งตรงกับวันที่ 18 ธ.ค.ของทุกปี เครือข่ายสิทธิแรงงานข้ามชาติเชียงใหม่ ออกจดหมายเปิดผนึก ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ สำเนาถึง สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่ โดยระบุว่า ในฐานะที่เชียงใหม่มีชายแดนติดกับพม่า และมีแรงงานข้ามชาติเข้ามาอาศัยและทำงาน เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อย่างต่อเนื่อง จึงมีข้อเรียกร้อง ดังนี้

  1. ให้ผู้ว่าฯ เร่งออกระเบียบอย่างเร่งด่วน เพื่อให้แรงงานข้ามชาติทุกกลุ่มในจังหวัดเชียงใหม่สามารถอยู่ทำงานต่อไปได้โดยไม่ต้องเผชิญกับการตรวจจับกุมและการอยู่ทำงานแบบลักลอบ
  2. ให้แรงงานข้ามชาติทุกกลุ่มทั้งแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบ ไม่ว่าจะเป็นแรงงานภาคเกษตร แรงงานทำงานบ้าน แรงงานในภาคอุตสาหกรรมบันเทิงทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นแรงงานบริการนวด หรือพนักงานร้านคาราโอเกะ เข้าถึงประกันสังคมได้อย่างทั่วถึง
  3. ให้แรงงานข้ามชาติสามารถดำเนินการได้เองเพื่อการมีเอกสารอยู่ทำงานและอยู่อาศัยในประเทศไทยโดยไม่ต้องขึ้นกับนายจ้างหรือนายหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นการขอทำบัตรประจำตัวประเภทต่างๆ รวมถึงหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ต การทำบัตรอนุญาตทำงานและการขอเปลี่ยนนายจ้าง เป็นต้น โดยเฉพาะกรณีการเปลี่ยนนายจ้างควรกำหนดระยะเวลาให้ยาวนานขึ้นเป็น 3 เดือน เพื่อให้สอดคล้องกับการสามารถเลือกสภาพการทำงานที่ยุติธรรมไม่ถูกเอาเปรียบ
  4. ลดอัตราค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่แรงงานต้องจ่านเพื่อการมีเอกสารอยู่อาศัยและทำงาน ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอย่างสัมพันธ์กับค่าจ้างที่แรงงานได้รับ
  5. กำหนดให้บัตรอนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติ ในเงื่อนไขพื้นที่การทำงานให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัดอย่างสอดคล้องกับลักษณะธรรมชาติการทำงาน เช่น แรงงานก่อสร้างต้องย้ายสถานที่ทำงานเป็นประจำ
  6. ให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานอย่างเคร่งครัดจากทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง

อนึ่ง เครือข่ายสิทธิแรงงานข้ามชาติเชียงใหม่ ประกอบด้วย กลุ่มแรงงานสามัคคี (WSA) สหพันธ์คนงานข้ามชาติ (MWF) กลุ่มพลังเยาวชนไทใหญ่ (Shan Youth Power) เครือข่ายปฏิบัติงานสตรีไทใหญ่ (SWAN) มูลนิธิส่งเสริมโอกาสผู้หญิง (EMPOWER) มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF) มูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ (MAP) และเครือข่ายการย้ายถิ่นในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (MMN)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผู้ชุมนุม คปท. เตรียมเสาธงไปเองเพื่อชักธงชาติไทยหน้าสถานทูตสหรัฐ

Posted: 19 Dec 2013 05:34 AM PST

นิติธร ล้ำเหลือ นำผู้ชุมนุม คปท. แยกจากขบวน กปปส. ไปชุมนุมหน้าสถานทูตสหรัฐ ปราศรัยขับไล่ทูตคริสตี้ เคนนีย์ เพราะไม่เป็นกลาง จากนั้นได้ร้องเพลงชาติ ชักธงชาติไทยขึ้นเสาธงที่เตรียมมาเอง และระบุว่าถ้ายังหนุน รบ.ยิ่งลักษณ์จะกลับมาใหม่และจะเผาธงสหรัฐ

ภาพจากคลิปของเอเอสทีวีช่วงที่ผู้ชุมนุม คปท. ชักธงชาติไทยและร้องเพลงชาติ หน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา ถ.วิทยุ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2556 ที่มา: สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี

 

19 ธ.ค. 2556 - ตามที่สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. นัดผู้ชุมนุมหลายพันคนเคลื่อนขบวนจาก ถ.ราชดำเนิน มุ่งหน้า ถ.เพชรบุรี และแยกอโศก ถ.สุขุมวิทวันนี้เพื่อเชิญชวนประชาชนมาร่วมชุมนุมใหญ่ในวันที่ 22 ธ.ค. นั้น

ต่อมาในเวลา 13.00 น. หลังพักรับประทานอาหารกลางวันที่แยกอโศก ผู้ชุมนุม กปปส. ได้เคลื่อนขบวนไปตาม ถ.สุขุมวิท มุ่งหน้าไปแยกราชประสงค์ เข้าสู่ ถ.พระราม 1 เพื่อกลับไปยังที่ชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ผู้ชุมนุมจากกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำโดยนิติธร ล้ำเหลือ ได้เลี้ยวซ้ายจาก ถ.สุขุมวิท เข้าสู่ ถ.วิทยุ มุ่งหน้าไปยังสถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย

ทั้งนี้ในการชุมนุมหน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีด้วยนั้น มีรายงานว่า แกนนำผู้ชุมนุม คปท. ได้สลับกันขึ้นปราศรัย มีการตะโกนคำขวัญต่อต้านสหรัฐอมริกา โจมตีว่าสหรัฐอเมริกาเข้ามาแสวงหาทรัพยากร และมีการปราศรัยด้วยว่าทูตสหรัฐอเมริกา คริสตี้ เคนนี่ย์ มีพฤติกรรมไม่เป็นกลาง โดยเรียกร้องให้ทูตสหรัฐอเมริกาต้องเคารพกฎกติกามารยาทบนผืนแผ่นดินไทย ไม่ใช่ของระบอบทุนนิยมสามานย์ทักษิณจากประเทศไทย และต้องมีการแถลงว่าสหรัฐอเมริกาสนับสนุนการปฏิรูปประเทศไทยก่อนการเลือกตั้งด้วย

ทั้งนี้มีการเตรียมยื่นแถลงการณ์ประท้วงสถานทูตสหรัฐอมริกาด้วย แต่ทางสถานทูตไม่ยอมส่งตัวแทนออกมารับจดหมาย

ต่อมาในเวลาประมาณ 14.30 น. ผู้ชุมนุมได้ทำพิธีเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา โดยเตรียมเสาธงมาเอง และมีการร้องเพลงชาติ จากนั้น นิติธร ได้ขึ้นปราศรัยตอนหนึ่งระบุว่าประเทศไทยตั้งมาแล้ว 700 ปี สหรัฐอเมริกาตั้งมาได้แค่ 200 ปี การชุมนุมที่ประเทศไทยเป็นไปอย่างสันติอหิงสา อยากให้ทูตคริสตี้ เคนนี่ย์ ไปเยี่ยมชมการชุมนุมบ้าง ในแถลงการณ์ระบุด้วยว่า แม้พื้นที่ของสถานทูตเป็นของสหรัฐอเมริกาตามกฎหมาย แต่ในความเป็นจริงนั้เป็นดินแดนของไทย และท่านต้องทำความเข้าใจวัฒนธรมไทย ที่เคารพประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

นิติธรประกาศด้วยว่าจะคัดค้านข้อตกลงตั้งฐานทัพเรือสหรัฐอย่างถึงที่สุด หากมีการเดินหน้าต่อจะมีการรณรงค์ให้คนไทยขับไล่ทูตสหรัฐอเมริกาออกนอกประเทศ นิติธรอ้างด้วยว่าเขานั้นเคยไปดูงานด้านสิทธิมนุษยชนและการปกครองที่สหรัฐอเมริกามาแล้ว และวันนี้จะขอนำความรู้มาอบรมให้กับสถานทูต

"วันนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์มีสถานะเป็นทรราช สภาไทยเป็นเผด็จการ ผู้ชุมนุมเองพร้อมรับการเลือกตั้งแต่ต้องไม่ใช่การเลือกตั้งที่มีโจรเป็นผู้กำหนดกติกา ไทยไม่ต้องการความช่วยเหลือด้านประชาธิปไตยจากสหรัฐอมริกา คปท. ขอแจ้งว่าสถานทูตสหรัฐอเมริกาไม่ใช่เป้าหมายเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสถานทูตอังกฤษ นิวซีแลนด์ รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่สนับสนุนรัฐบาลชุดนี้ซึ่งคอร์รัปชั่น เราก็พร้อมทะเลาะด้วย สุดท้ายอย่างให้ประธานาธิบดีโอบามา ย้ายทูตคนนี้ออกจากประเทศไปโดยเร็ว"

ทั้งนี้ คปท. ได้ยุติกิจกรรมไปในเวลา 15.00 น. โดยประกาศด้วยว่าหากยังให้การสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้จะกลับมาใหม่และจะมีการเผาธงชาติสหรัฐอเมริกา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เกษม เพ็ญภินันท์: มายาคนดีในการเมืองไทย

Posted: 19 Dec 2013 05:03 AM PST

กลับไปอ่าน เมื่อ 'ความดี' และ 'คนดี' ทำให้ประชาธิปไตยถอยหลัง (ตอน 1)

คุณจิรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็ปไซท์หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ประชาไท นำบทสัมภาษณ์ของผมเมื่อ 7 ปีที่แล้ว "คุยกับนักปรัชญา: เมื่อ 'ความดี' และ 'คนดี' ทำให้ประชาธิปไตยถอยหลัง" สัมภาษณ์โดยคุณพิณผกา งามสม ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2549 หนึ่งเดือนหลังจากเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาโพสต์บนหน้า Facebook และเขียนข้อความว่า "อ่านซ้ำอีก ประชาไทคุยกับเกษม เพ็ญภินันท์เมื่อ 7 ปีที่แล้ว" . . .  

แม้ว่าบทสัมภาษณ์ดังกล่าวจะเป็นการเรียบเรียงเนื้อหาของการสัมภาษณ์ โดยที่ผมไม่มีโอกาสได้ตรวจทานก็ตาม แต่สาระสำคัญที่กล่าวถึงก็ครบถ้วน แม้ว่าเนื้อหาบางส่วนจะกระท่อนกระแท่นไม่ปะติดปะต่อ แต่คุณพิณผกาพยายามเก็บความให้ครบถ้วนที่สุด แม้ว่าบทสัมภาษณ์นี้จะเก่าจนผมเองก็ไม่ได้นึกถึง แต่คุณจีรนุชยังเขียนข้อความต่อไปอีกด้วยว่า "บทสัมภาษณ์ก็ยังทันสมัย หรือสังคมเราเป็นสังคมที่หยุดนิ่งไม่ไปไหน"

ขอบคุณคุณจีรนุชทีนำบทสัมภาษณ์นี้กลับมา จนทำให้ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้ใหม่ และอยากวิวาทะต่อในสภาพการณ์ที่สังคมไทยยังอยู่ในวังวนของวาทกรรมคนดีและความดีจนไม่ยอมเคลื่อนไปไหน

-------------------------------------------

ความเข้าใจในเรื่องคนดีถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นทางการเมืองในสังคมไทย ก็เพราะว่า ความปรารถนาที่อยากได้คนดีมาเป็นนักการเมือง ผู้บริหารหรือผู้ปกครองประเทศ ในสภาวการณ์ที่การเมืองไทยเต็มไปด้วยปัญหาคอร์รัปชั่น การประพฤติมิชอบในอำนาจหน้าที่ ผลพวงของระบอบทักษิณและการผลิตซ้ำของ "ชุดวาทกรรมนักการเมืองมันชั่ว มันเลว มันโกงกินบ้านเมือง"

คนดีคือใคร? คำถามทางปรัชญานี้เป็นโจทย์ทางจริยศาสตร์เกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินชีวิต (a conduct of life) ที่เกี่ยวข้องเฉพาะกับบุคคลหรือคนแต่ละคนเป็นหลัก ที่เรียนรู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรบนพื้นฐานและความเข้าใจต่อความดี รวมทั้งการวางตนและการปฏิบัติตนที่มีเป้าหมายไปสู่การมีชีวิตที่ดีและมีความสุขตามครรลองของคุณธรรมความดีที่ตนเองยึดถือ

คนดีคือใคร? จึงเป็นใครก็ได้ที่วางตนและการปฏิบัติตนที่มีเป้าหมายไปสู่การมีชีวิตที่ดี เป็นคุณธรรมส่วนบุคคล ซึ่งไม่มีมาตรฐานหรือบรรทัดฐานใดมาเป็นตัวชี้วัดในการเป็นคนดีที่แน่นอนและตายตัว นอกจากการประพฤติตนของบุคคลนั้นๆ เองที่จะได้นับการยอมรับว่าเป็นคนดี แต่ในการดำเนินชีวิตในสังคมหรือการอยู่ร่วมกัน คุณธรรมของการเป็นคนดีก็ไม่สามารถขยายขอบเขตไปเป็นคุณธรรมของสังคมได้ นั่นคือ การเป็นคนดีไม่ได้หมายความว่าคุณธรรมของการเป็นคนดีจะทำให้สังคมดีหรือสงบสุขได้ เพราะ ในการอยู่ร่วมกันในสังคม คุณค่าที่เป็นพื้นฐานและสำคัญที่สุดคือ ความยุติธรรม

ทำไมต้องเป็นความยุติธรรม? ทำไมคุณค่าของความยุติธรรมจึงสำคัญกว่าคุณค่าของความดี เมื่อกล่าวถึงการอยู่ร่วมกันในสังคม? ก็เพราะว่า ความยุติธรรมเป็นคุณค่าที่ก่อให้เกิดความถูกต้องเที่ยงธรรมที่แต่ละคนพึงปฏิบัติต่อกัน และยังเป็นหลักประกันความเสมอภาค (equality) และความเท่าเทียม (equity) ของทุกคนในสังคม ด้วยกฎเกณฑ์ ระเบียบ หรือกฎหมายเพื่อให้ทุกคน (1) ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ กติการ่วมกัน (2) คุ้มครองเสรีภาพ สิทธิต่างๆ ของทุกคนอย่างเสมอภาคกันโดยปราศจากข้อยกเว้นใดๆ 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าความดีคือคุณค่าพื้นฐานของการเป็นคนดี ความยุติธรรมต้องเป็นคุณค่าพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันในสังคม

ถ้าคุณธรรมในการดำเนินชีวิตคือการปฏิบัติตนเป็นคนดีตามความคิดความเข้าใจต่อ 'ความดี' ในแนวทางของแต่ละคน นั่นย่อมหมายความต่อไปว่า ความดีไม่สามารถนิยามได้อย่างชัดเจน ก็เพราะว่า ถ้าเราสามารถจับความดีให้มั่นคั้นให้ตายหรือแช่แข็งความหมายให้เป็นรูปธรรม และมีเกณฑ์กำกับที่ชัดเจน สิ่งที่ตามมาคือ การปฏิบัติตนเป็นคนดีต้องเป็นไปตามเกณฑ์ดังกล่าวเท่านั้น อะไรที่นอกเหนือจากความหมายและเกณฑ์จึงไม่ใช่ความดี

สิ่งนี้จะนำไปสู่ปัญหาการกีดกันความเข้าใจต่อความดีในความหมายอื่นๆ รวมทั้งการกดทับรูปแบบในการดำเนินชีวิตตามเกณฑ์ว่าด้วยความดีให้มีเพียงแนวทางปฏิบัติเพียงบางแนวทางเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ นักปรัชญาจึงทำให้ความดีเป็นสิ่งที่ไม่มีคำนิยามที่สมบูรณ์ เพราะว่า การสร้างนิยามที่สมบูรณ์ย่อมนำไปสู่ความลีบเรียวทางความคิดและหลักปฏิบัติที่ย้อนกลับมาจำกัดแนวทางหรือรูปแบบในการดำเนินชีวิต ยิ่งกว่านั้น ถ้าจำกัดแนวทางปฏิบัติหรือรูปแบบในการดำเนินชีวิตให้ลดน้อยลง สิ่งนี้จะนำมาซึ่งอันตรายและการทำลายคุณค่าของความดีโดยไม่รู้ตัว

ปัญหายุ่งยากกว่านั้นก็คือ ทำไมคนเราไม่ได้ปฏิบัติตามเกณฑ์ความดีเหล่านั้นอย่างสม่ำเสมอ ถ้ายึดถือในความดีและเกณฑ์ปฏิบัติที่ชัดเจน คำตอบสั้นๆ ก็คือ ความดีไม่ใช่สิ่งที่นำมาครอบให้ยึดถือและปฏิบัติ ความดีไม่ใช่สิ่งที่สั่งให้จดจำตามเกณฑ์ปฏิบัติ หรือการสอนสั่งที่พร่ำสอนด้วยหลักคำสอน แต่เกิดจากการเรียนรู้ ที่ทุกคนต่างเรียนรู้คุณค่าของความดีตามเท่าที่ดำเนินชีวิตอยู่และเรียนรู้การมีชีวิต ต่อไปเช่นเดียวกับความดีจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมาจากกระบวนการเรียนรู้

เราเรียนรู้ความดีจากอะไร เราเรียนรู้จากการดำเนินชีวิตของเราเอง จากผู้อื่น จากตำรา จากคำสอนที่แต่ละคนต้องทำความเข้าใจและนำปฏิบัติด้วยตนเอง เวลาที่ทำความดีหรือวางตนตามคุณธรรมความดีในแต่ละสถานการณ์ที่ประสบพบเจอในชีวิตของแต่ละคน ซึ่งแตกต่างหลากหลายต่อกัน แต่ทุกคนย่อมมีความเข้าใจบางอย่างร่วมกันเกี่ยวกับความดีและคุณธรรมในการครองตนและปฏิบัติตนตามคุณค่าของความดี

แน่นอนว่า ทุกสังคมต้องการคนดี แต่คนดีเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุข เพราะว่า คุณธรรมของการเป็นคนดี กับ คุณธรรมของการอยู่ร่วมกันในสังคม คือคนละชุดคุณธรรม ยิ่งในสังคมประชาธิปไตยด้วยแล้ว นอกเหนือจากความยุติธรรม คุณค่าอื่นๆ ของการอยู่ร่วมกันในสังคมที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ก็คือ

(1) การเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กล่าวคือ การยอมรับในความเป็นคนเหมือนกันและเท่ากันตั้งแต่กำเนิด และไม่สามารถกีดกันด้วยฐานันดร ชาติพันธุ์ เพศ วัย คุณวุฒิ อาชีพ ความเป็นอยู่ หรือแม้แต่ความแตกต่างหลากหลายทางเพศสภาพ 

(2) การเคารพในสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และกฎกติกาของสังคม กล่าวคือ การยอมรับในความเป็นอิสระทางคิดและการแสดงออกบนพื้นฐานของความเสมอภาคของสิทธิของแต่ละบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองด้วยกฎกติกาที่ละเมิดต่อกันไม่ได้  

รูปธรรมที่ยืนยันในของคุณค่าทั้งสองอย่างชัดเจนที่สุดก็คือ 1 สิทธิ 1 เสียง

1 สิทธิ 1 เสียง บ่งบอกถึงอะไรบ้าง อันดับแรกคือการบ่งบอกถึงความเป็นคนที่เท่ากัน อันดับต่อมาคือการยอมรับในความเป็นสมาชิกของสังคมเหมือนกัน ไม่ว่าแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันในเรื่องใดก็ตาม อันดับสุดท้ายก็คือ แต่ละคนล้วนแสดงสิทธิในการกำหนดทิศทางของสังคมร่วมกัน ไม่มีใครที่มีสิทธิที่เหนือกว่าหรือมากกว่า ตราบเท่าที่ทุกคนยังเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเหมือนกัน

ในสังคมไทย ความพยายามที่จะนำเอาคุณค่าของความดีให้มีความสำคัญและเหนือกว่าคุณค่าอื่นๆ ทั้งหมดนี้มาจากแนวคิดที่เชื่อว่า การเมืองจะทำให้สังคมที่ดีเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อการเมืองได้บรรจุคุณค่าของความดีให้เป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมทางการเมือง แนวคิดนี้จึงวางแนวทางที่ทำให้ความดีเป็นรากฐานของการเมือง ด้วยการสร้างศีลธรรมทางการเมืองให้เกิดขึ้นภายใต้เจตจำนงให้คนดีเป็นผู้ปกครองประเทศ

แต่ นี่คือมายาคติ

เจตจำนงให้คนดีเป็นผู้ปกครองประเทศ เกิดจากความคิดที่ว่า ถ้ามีคนดีมาเป็นผู้ปกครองแล้ว ประเทศชาติจะดี สงบสุขและเจริญก้าวหน้า เพราะผู้ปกครองที่ดีจะคำนึงถึงประโยชน์สุขของประชาชนเป็นที่ตั้ง ดังนั้น จึงควรส่งเสริมให้คนดีเป็นผู้ปกครอง

ความคิดนี้อาจย้อนรอยถอยหลังกลับยังแนวคิดเรื่องราชาปราชญ์ (Philosopher King) ในหนังสือ อุตมรัฐ (Republic) ของเพลโต ซึ่งประเด็นดังกล่าวเป็นความพยายามของเพลโตที่แสวงหาผู้ปกครองที่ดีในโลกสมมติที่สมมติว่า เมื่อมีราชาปราชญ์มาปกครอง สังคมที่เป็นอยู่จะสงบสุขและเกิดความเป็นธรรมขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา เพลโตก็ปฏิเสธแนวคิดดังกล่าวและนำเสนอรูปแบบผู้ปกครองในบทสนทนา ผู้ปกครอง (Stateman) ว่า ผู้ปกครองที่ดีควรต้องอยู่ใต้ธรรมนูญการปกครอง ก็เพราะว่า ไม่มีหลักประกันอันใดต่อผู้ปกครองจะครองตนเป็นผู้ปกครองที่ดีได้หากปราศจากระเบียบและกฏเกณฑ์ที่กำกับแนวทางในการเป็นปฏิบัติตนเป็นผู้ปกครองที่ได้

เสียดายที่ความรู้เกี่ยวกับเพลโตในสังคมไทยจำกัดอยู่เพียงแค่ความคิดเรื่องราชาปราชญ์จนมองไม่เห็นว่า ข้อบกพร่องของความคิดนี้ และยังยึดเป็นแนวทางในการแสวงหาคนดีดังกล่าวที่มาจากโลกสมมติ

กล่าวอย่างสั้นๆ ก็คือ ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันอันใดที่จะยืนยันว่า คนดีซึ่งเป็นผู้ปกครองจะดำรงตนเป็นผู้ปกครองที่ดีได้เมื่อมีอำนาจ นอกจากกฎเกณฑ์ที่กำกับและตรวจสอบการใช้อำนาจนั้นๆ

 

 

 

หมายเหตุ:  เกษม เพ็ญภินันท์ เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กปปส.รุดแจง คสรท.แนวทางปฏิรูปประเทศ แนะอย่าเป็นบันไดให้พรรคการเมือง

Posted: 19 Dec 2013 04:46 AM PST

สมานฉันท์แรงงานไทยจัดเวทีแสดงความเห็น "การปฏิรูปประเทศไทย" ตัวแทน กปปส.แจงการเมืองภาคประชาชนตื่นตัวต้านนักการเมืองฉ้อฉลจนยกระดับเป็นการปฏิรูปประเทศไทย เห็นว่าพลังกรรมกรเป็นหลักในการต่อสู้เพื่อสังคมมาในอดีต วันนี้แม้รัฐบาลขึ้นค่าแรงแต่ชีวิตแรงงานก็ยังไม่ดีขึ้น จึงต้องเข้าร่วมปฏิรูปประเทศไทย ขณะแรงงานเห็นว่า นโยบายเศรษฐกิจแบบเอาใจนายทุนทำให้นายทุนเข้ามาครอบงำการเมืองเพื่อหาประโยชน์ พรรคการเมืองต่างๆ ไม่เคยสนใจปัญหาแรงงาน รัฐบาลนี้ก็ไม่รับกฎหมายของแรงงาน ทำผิดข้อตกลงกับแรงงานจึงต้องเข้าร่วมการปฏิรูปประเทศ แต่มีบางส่วนที่ยังต้องการความชัดเจนเรื่อง ม.3 กับการตั้งสภาประชาชน โดยเห็นว่าแรงงานก็แตกแยกกันมากเรื่องปัญหาการเมืองจึงควรรับฟังความเห็นต่างในจุดยืนของแรงงาน และครั้งนี้ถ้าถูกหลอกอีกต่อไปก็ไม่ต้องมาชวนเข้าร่วม

คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) จัดเวทีแสดงความเห็นเรื่อง "การปฏิรูปประเทศไทย" เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2556 ที่ห้องประชุมศุภชัยศรีสติ พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย มักกะสัน โดยเชิญตัวแทนจาก "คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" (กปปส.) ประกอบด้วย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย และนางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท มาร่วมชี้แจงแนวทางของ กปปส.ต่อสมาชิก คสรท.พื้นที่ต่างๆ จำนวนกว่า 40 คน พร้อมขอการสนับสนุนจากแรงงาน

โดยตัวแทน กปปส.กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นการเมืองภาคประชาชนที่เริ่มจากคนหลายกลุ่มออกมาร่วมกันต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง แล้วยกระดับเป็นการโค่นล้มระบอบทักษิณที่เข้าไปรวบอำนาจการเมือง ครอบงำระบบราชการและธุรกิจแล้วทุจริตคอร์รัปชันโกงกินประเทศ จึงต้องมีการปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้งเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเดิมๆ อีก และเห็นว่าพลังของแรงงานเคยเป็นกำลังหลัก 3 ประสานในการต่อสู้เพื่อสังคม แต่วันนี้ถูกแบ่งแยกทำลายจนอ่อนแอ กฎหมายต่างๆ ที่ไม่เป็นธรรมก็ยังไม่ถูกแก้ จึงอยากให้แรงงานเข้าร่วมการปฏิรูปประเทศมากๆ ต่อไปก็ต้องทำงานกับพรรคการเมือง แต่อย่าเป็นบันไดให้พรรคการเมือง

ขณะที่เสียงสะท้อนจากแรงงานเห็นว่า นโยบายเศรษฐกิจแบบเอาใจนายทุนทำให้นายทุนเข้าไปควบคุมครอบครองพรรคการเมืองต่างๆ แล้วออกกฎหมายออกนโยบายที่เอื้อต่อนายทุน ขณะที่กดขี่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบแรงงาน ปัญหาแรงงานจึงไม่เคยได้รับความสนใจจากทุกพรรคการเมือง จึงเห็นด้วยว่าต้องแก้ปัญหาการเมืองด้วยการปฏิรูปประเทศ

โดยข้อเสนอของแรงงานเพื่อการปฏิรูปประเทศก็เช่น อยากใช้สิทธิเลือกตั้งในเขตที่ทำงาน มีระบบค่าจ้างและสวัสดิการที่ดีตามมาตรฐานสากล รับรองสิทธิการรวมตัวและเสนอกฎหมายของแรงงาน ปฏิรูประบบยุติธรรมด้านแรงงาน รวมทั้งยังมีผู้เสนอเรื่องการเก็บภาษีก้าวหน้าเพื่อนำมาสร้างสวัสดิการสังคมลดความเหลื่อมล้ำ และเสนอยกเลิกนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจและยึดคืนรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริการประชาชน

แต่การเข้าร่วมกับ กปปส.ก็มีปัญหามากในองค์กรแรงงาน เพราะแรงงานก็แบ่งฝ่ายในเรื่องการเมือง มีความคิดเรื่องประชาธิปไตยกันคนละแบบ การชวนให้สมาชิกสหภาพเข้าร่วมก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป หลายแห่งต้องเข้าร่วมกับ กปปส.แบบส่วนตัว แต่ก็เห็นตรงกันว่าไม่อยากให้นักการเมืองเข้ามากอบโกยผลประโยชน์เพื่อตน และครั้งนี้หากถูกหลอกอีก คราวหลังก็อย่ามาขอให้เข้าร่วม

ขณะที่เสียงเรียกร้องที่ให้แรงงานเข้าร่วมกับ กปปส.บอกว่าถ้าใครไม่มั่นใจก็ไม่ต้องเข้ามา ใครอยากได้ก็ต้องออกมาร่วมอย่านั่งเป็นนักวิชาการ แต่ก็มีผู้เห็นว่าไม่ควรตัดสิทธิข้อเสนอของคนที่ไม่เข้าร่วมชุมนุมเพราะอาจยังต้องการทำความเข้าใจกับแนวทางประชาธิปไตยของ กปปส.ว่าใครได้ประโยชน์

ซึ่งตัวแทนของ กปปส.ก็กล่าวว่าการต่อสู้ต้องสร้างแนวร่วม ไม่สร้างศัตรู อย่างคนเสื้อแดงที่ไม่ใช่แกนนำก็มาร่วมได้ และตอบคำถามเรื่องมาตรา 3 กับสภาประชาชนว่า ยังไม่ชัดและไม่ควรชัด ยังไม่มีพิมพ์เขียวเพราะมีหลายฝ่ายอาจมีการตกหล่น บอกได้เพียงว่า ประชาชนต้องการอำนาจคืนและเป็นประชาชนจากหลายสาขาอาชีพ เฉพาะหน้าจึงต้องสู้กับรัฐบาลก่อน

นายชาลีกล่าวสรุปว่า ให้ยึดระบบประชาธิปไตยที่ต้องยอมรับความเห็นต่าง แต่เสียงส่วนใหญ่อยากให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง และต้องเสนอประเด็นของแรงงานเข้าไปด้วย
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักปรัชญาชายขอบ: ต้องคัดค้าน ‘ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง’

Posted: 19 Dec 2013 04:46 AM PST

ข้อเสนอของ กปปส.ที่ว่า "ต้องปฏิรูประเทศก่อนการเลือกตั้ง "  โดยให้นายกฯและคณะรัฐมนตรีรักษาการลาออกเพื่อให้เกิด "สุญญากาศทางอำนาจรัฐ" ซึ่ง กปปส.ตีความว่าเป็นการคืนอำนาจให้แก่ประชาชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 แล้วตั้งสภาประชาชนที่เลือกตั้งจากตัวแทนสาขาวิชาชีพต่างๆ 300 คน และ กปปส.สรรหาอีก 100 คน แล้วเลือก "คนดี" มาเป็นนายกฯ เพื่อตั้งรัฐบาลคนกลางตามรัฐธรรมนูญมาตรา 7

แต่มีข้อโต้แย้งจากนักวิชาการกลุ่มสมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) และนักวิชาการอื่นๆ จำนวนมากว่า ตามกฎหมายที่มีอยู่ขณะนี้ นายกฯและรัฐมนตรีรักษาการลาออกทั้งคณะไม่ได้ และการอ้างมาตรา 3 และมาตรา 7 ก็เป็นการตีความเพื่อสนับสนุนเป้าหมายของ กปปส.อย่างขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและหลักการประชาธิปไตย

นอกจากนี้นิวยอร์คไทม์ยังวิเคราะห์ว่า ข้อเรียกร้องดังกล่าวของ กปปส.เป็นการเรียกร้อง "ประชาธิปไตยที่น้อยลง" เนื่องจากปฏิเสธการเลือกตั้งผู้แทนปวงชนตามกติกาประชาธิปไตย เพื่อตั้งสภาประชาชนที่เป็นตัวแทนสาขาวิชาชีพและมาจากการสรรหา (ถ้าบอกว่าสื่อไทยเลือกข้างจึงไม่น่าเชื่อถือ ถามว่ามีสื่อต่างชาติสนับสนุนข้อเรียกร้องของ กปปส.หรือไม่?)

ถามว่าการปฏิรูปประเทศมีความจำเป็นหรือไม่?  ตอบว่ามีความจำเป็นมากที่สุด แต่ข้อเสนอปฏิรูประเทศของ กปปส.ที่ต้องการล้างระบอบทักษิณ ปฏิรูปองค์กรตำรวจ เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเป็นต้นนั้น ยังไม่ครอบคลุม "ปัญหาระดับรากฐาน" ของความเป็นประชาธิปไตย หากจะแก้ปัญหาระดับรากฐานจริงๆ ต้องปฏิรูปการเมือง สถาบันกษัตริย์ กองทัพ ศาลหรือระบบยุติธรรมทั้งระบบด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ฉะนั้น การรวบรัดเพื่อยึดนาจรัฐไปทำการปฏิรูปประเทศตามโมเดลของ กปปส.เอง ย่อมทำให้ประชาชนทั้งประเทศเสียโอกาสในการเลือกโมเดลอื่นๆ ที่ดีกว่า แนวทางที่เป็นธรรมแก่ประชาชนทุกฝ่ายจึงควรปฏิรูปประเทศหลังการเลือกตั้ง 2 ก.พ.2557 เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองต่างๆ และภาคส่วนต่างๆ ของสังคมได้เสนอแนวคิดและโมเดลปฏิรูปประเทศแก่ประชาชน จากนั้นจึงจัดให้มีการลงประชามติ เสียงข้างมากเลือกอย่างไรก็ดำเนินการไปตามนั้น

เมื่อมองในแง่เป้าหมายของการปฏิรูปประเทศ, การมีแนวคิดหรือโมเดลที่เป็นตัวเลือกที่หลากหลาย และความแฟร์ต่อการมีสิทธิร่วมตัดสินใจของประชาชนทั้งประเทศ การรวบรัดเพื่อยึดอำนาจรัฐไปปฎิรูปประเทศของ กปปส.จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลและความชอบธรรมที่อาจยอมรับได้

ลองพิจารณาข้ออ้างต่างๆ ที่ต้องปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้งของ กปปส. เช่น

1. อ้างว่า "สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้อยู่ในภาวะไม่ปกติ จะใช้วิธีการปกติมาแก้ปัญหาไม่ได้" แต่ความเป็นจริงคือ การที่รัฐบาลกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องจนมีประชาชนจำนวนมากออกมาประท้วงขับไล่ แล้วรัฐบาลใช้วิธียุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจในการเลือกตั้งใหม่ ย่อมเป็นสถานการณ์ปกติของประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก

การแก้ปัญหาด้วย "วิธีนอกระบบ" ต่างหากที่เป็น "ความไม่ปกติ" ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของบรรดาภิสิทธิชนในสังคมไทยที่ประกอบด้วยอำนาจนอกระบบ เครือข่ายอำมาตย์ กองทัพ พรรคประชาธิปัตย์ ราชนิกูล นายทุน ผู้บริหาร, อาจารย์มหาวิทยาลัยบางส่วน คนชั้นกลางการศึกษาดีบางส่วน ที่ยึดอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์" และสวมเสื้อคลุมคุณธรรมจริยธรรม อ้างความเป็น "คนดี" เพื่อปกป้องอภิสิทธิ์ของ "เสียงที่ดังกว่า" ของคนส่วนน้อย บรรดาอภิสิทธิชนเสียงข้างน้อยทำสิ่งที่ "ผิดปกติ" จนกลายเป็นเอกลักษณ์ประชาธิปไตยไทยๆ ที่แปลกประหลาดที่สุดในโลกมาโดยตลอดมิใช่หรือ

2. อ้างว่า "การเลือกตั้งไม่ใช่ทางออกของปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง" คำถามคือ มีหลักประกันอะไรให้สังคมเชื่อมั่นได้ว่า แนวทางการรวบรัดยึดอำนาจรัฐมาจัดการปฏิรูปประเทศของ กปสส.จะเป็นทางออกของความขัดแย้งได้จริง ในเมื่ออีกฝ่ายก็ประกาศแล้วว่า หาก กปปส.ยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จพวกเขาก็จะออกมาชุมนุมต่อต้าน

3. อ้างว่า "ระบบการเลือกตั้งแบบปัจจุบันไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม เพราะมีการทุจริตซื้อเสียง ทำให้ได้นักการเมืองพรรคเดิมๆ หน้าเดิมๆ เข้ามาโกงชาติอีก" คำถามคือ แม้เจตนาจะขจัดทุจริตเป็นเรื่องดี แต่มีหลักประกันอะไรให้สังคมมั่นใจได้ว่าหลังปฏิรูปประเทศแล้ว จะไม่มีพรรคการเมืองเดิมๆ นักการเมืองหน้าเดิมๆ ซื้อเสียง หรือทุจริตเลือกตั้งได้อีก การอ้างเพียงว่าจะปฏิรูปกติกาให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรม นั่นเป็นเพียงจินตนาการที่ไม่แน่ว่าจะเป็นจริงตามนั้นหรือไม่ กปปส.มีความชอบธรรมอะไรที่จะยัดเยียดจินตนาการของพวกตนให้ประชาชนทั้งประเทศต้องยอมรับโดย "วิธียึดอำนาจรัฐ" หรือปฏิเสธสิทธิที่จะเลือกของประชาชน (โดยการลงประชามติก่อน เป็นต้น)

4. อ้างว่าต้องมี "นายกฯคนกลาง หรือรัฐบาลคนกลาง และสภาประชาชนที่เป็นกลาง" มาจัดการปฏิรูปประเทศ ถามว่า  นายกฯ, รัฐบาล และสภาประชาชนที่มาจากการผลักดันของ กปปส.ที่เป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชนเสียงข้างมากที่สนับสนุนรัฐบาล (และประชาชนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดๆ อีกจำนวนมากที่เขาอาจไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีการรวบรัดยึดอำนาจรัฐ ของ กปปส.) จะมีคุณสมบัติเป็น "นายกฯคนกลาง หรือรัฐบาลคนกลาง และสภาประชาชนที่เป็นกลาง" ได้อย่างไร (ยกเว้นจะผูกขาดการนิยามว่า "เป็นกลาง หมายถึงต้องเป็นไปตามความต้องการของ กปปส.เท่านั้น")

และที่ชอบพูดๆ กันว่า ในเมื่อเวลานี้ "จุดร่วม" ของทุกฝ่ายคือ "การปฏิรูปประเทศ" ทำไมจึงไม่ปฏิรูประเทศก่อนจึงเลือกตั้ง ถามว่าแล้วเป้าหมายของการปฏิรูปประเทศคือ "ความเป็นประชาธิปไตย" ใช่หรือไม่ ฉะนั้น ความเป็นประชาธิปไตยจึงเป็น "จุดร่วมหลัก" ที่สำคัญที่สุด แต่ความเป็นประชาธิปไตยจะได้มาด้วยวิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยหรือ เมื่อจุดร่วมหลักคือความเป็นประชาธิปไตย การปฏิรูประเทศเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยจึงต้องเดินตามกติกาประชาธิปไตยที่เรามีอยู่ก่อน แม้กติกานั้นยังบกพร่อง แต่มันไม่ถึงกับทำลายความเป็นประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง

การยึดอำนารัฐโดย กปปส.ต่างหากที่ทำลายความเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่แรกที่อ้างว่ากลุ่มตนจะเข้ามาใช้อำนาจรัฐปฏิรูปประเทศในนามประชาชนทั้งประเทศ แต่ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนทั้งประเทศลงประชามติก่อนว่าจะเอาด้วยหรือไม่ เมื่อวิธีการเป็นเผด็จการ เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเป้าหมายที่บอกว่าเพื่อสร้าง "ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์" นั้น จะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ขึ้นหรือเป็นประชาธิปไตยที่น้อยลง ดังที่นิวยอร์คไทม์ตั้งข้อสังเกต

ฉะนั้น ในเมื่อแนวทางของ กปปส.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐ ปล้นสิทธิในการเลือกของประชาชนทั้งประเทศ และไม่มีหลักประกันใดๆ ว่าวิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยจะก่อให้เกิดประชาธิปไตยได้ (ซึ่งสังคมเรามีบทเรียนการปฏิรูปโดยวิธียึดอำนาจของอภิสิทธิชนมามากเกินพอแล้ว)

ประชาชนทุกคน และเครือข่ายที่รักประชาธิปไตยทุกเครือข่าย จึงต้องร่วมกันคัดค้านการยึดอำนาจรัฐมาจัดการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้งอย่างถึงที่สุด

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วไง(อีกที)

Posted: 19 Dec 2013 04:36 AM PST

ผลพวงของการชี้มูลทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอของ ปปช.และข่าวลือเรื่องการใช้เงินเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดผ่านนักการเมืองที่กระหน่ำประโคมข่าวกันถี่ยิบในช่วงหลัง ทำให้กระแสการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเริ่มมีการหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันอีกด้วยเหตุที่ว่าไหนๆตอนนี้ตำแหน่งดังกล่าวก็ผูกพันกับการเมืองอยู่แล้ว เรามาเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกันเสียเลยไม่ดีกว่าหรือ

แต่ก่อนที่จะไปถึงข้อสรุปว่าควรหรือไม่ควร เรามาดูนานาอารยประเทศทั้งหลายว่ามีรูปแบบการปกครองกันอย่างไรบ้าง

ฝรั่งเศส

ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปยุโรป มีรูปแบบของรัฐเป็นรัฐเดี่ยว (Unitary State) วิวัฒนาการของการปกครองประเทศมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่รัฐบาลหรือส่วนกลางมาอย่างยาวนาน ซึ่งเน้นหลักการรวมอำนาจและเอกภาพแห่งรัฐโดยถือว่ารัฐบาลมีอำนาจเต็มในการปกครองและบริหารประเทศ
ส่วนการปกครองและการบริหารท้องถิ่นเกิดจากการกระจายอำนาจของรัฐบาล โดยรัฐบาลมอบอำนาจบางประการให้แก่ท้องถิ่น ดังนั้น ท้องถิ่นจะมีอำนาจในการปกครองตนเองและมีความเป็นอิสระมากน้อยเพียงใดจึงขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก ซึ่งประเทศไทยเราได้ลอกเลียนแบบการปกครองของฝรั่งเศสมาอย่างยาวนานแต่ไทยเราแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงดังเช่นของฝรั่งเศสที่เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของฝรั่งเศสอยู่ที่การออกกฎหมายว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของเทศบาล จังหวัดและภาค 2 มีนาคม  ค.ศ. 1982 (The Law on the Rights and Liberties of Communes, Departments and Regions 2 march 1982) ในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีฟรังชัวส์ มิตเตอร็องด์ (Francois Mitterrand) การออกกฎหมายฉบับนี้นำมาสู่การออกกฎหมายอื่น ๆ ตามมาอีกหลายฉบับ เพื่อให้การปรับปรุงการปกครองท้องถิ่นมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
เดิมจังหวัดจัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1789 ในฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลาง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของรัฐบาลกลาง เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1830 จังหวัดได้กลายเป็นองค์กรปกครองที่มี 2 สถานะ คือ สถานะหนึ่งเป็นตัวแทนจากรัฐบาลกลาง โดยเป็นส่วนราชการในการบริหารราชการส่วนภูมิภาค และอีกสถานะหนึ่งเป็นเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยผู้บริหารยังคงมาจากการแต่งตั้งจากส่วนกลาง

ต่อมาเมื่อมีการปฏิรูปการกระจายอำนาจครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษ ปี 1980 โดยเฉพาะเมื่อมีการออกกฎหมายว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของเทศบาล จังหวัดและภาคเมื่อ 2 มีนาคม  ค.ศ. 1982  จังหวัดเปลี่ยนสถานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเดิมได้กลายเป็น"ผู้ตรวจการแห่งสาธารณรัฐ" (Commissioner of the Republic) อำนาจหน้าที่ซึ่งแต่เดิมเป็นของผู้ว่าราชการจังหวัดถูกถ่ายโอนไปเป็นของประธานสภาจังหวัดซึ่งเป็นตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหาร

สมาชิกสภาจังหวัดมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน มีจำนวนตั้งแต่ 14 คน จนถึง 76 คน ขึ้นอยู่กับจำนวน "กังต็อง" หรือเขตเลือกตั้งในแต่ละจังหวัดว่าจะมีจำนวนเท่าใด โดยแต่ละกังต็องมีสิทธิเลือกสมาชิกสภาจังหวัดได้ 1 คน มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 6 ปี จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดใหม่จำนวนกึ่งหนึ่งของสภา สภาชิกสภาจังหวัดจะคัดเลือกสมาชิกคนหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาจังหวัด และรองประธานสภาฯ อีก 4 – 10 คน มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 3 ปี โดยประธานสภาฯ ยังดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหารด้วยในคราวเดียวกัน ทั้งนี้ สภาจังหวัดมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบกิจการต่าง ๆ ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของจังหวัด

ญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปเอเชีย มีรูปแบบของรัฐเป็นรัฐเดี่ยว และปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีองค์พระจักรพรรดิทรงเป็นประมุข โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำในการบริหารประเทศ เช่นเดียวกับประเทศไทย ญี่ปุ่นจัดโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 2 ส่วน คือ การบริหารราชการส่วนกลาง และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น

การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นของญี่ปุ่นได้รับการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับปี ค.ศ. 1947 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นโดยคณะผู้ยึดครองของสหรัฐฯ ที่เข้ามาจัดระเบียบทางการเมือง การบริหาร และระบบเศรษฐกิจ หลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร

กฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น จัดระดับชั้นการปกครองท้องถิ่นของญี่ปุ่นออกเป็น 2 ชั้น (Two-Teir System) คือ ระดับบน (Upper Tier) ได้แก่ จังหวัด (Prefecture) และ ระดับล่าง (Lower Tier) ได้แก่ เทศบาล (Municipal) จึงมีผลทำให้จังหวัดมีพื้นที่ในการดำเนินงานครอบคลุมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับเทศบาลทั้งหมดที่ขึ้นตรงต่อจังหวัด อย่างไรก็ตาม จังหวัดและเทศบาลมีสถานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เท่าเทียมกัน ไม่ได้หมายความว่าเทศบาลเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่ภายใต้สังกัดจังหวัด ดังนั้น จังหวัดจึงมีอำนาจเพียงให้คำแนะนำและแนวทางแก่เทศบาลเท่านั้น ไม่สามารถใช้อำนาจสั่งการเทศบาลได้

ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นมาจากการเลือกตั้งโดยอำนาจหน้าที่ที่สำคัญก็คือบริหารงานของจังหวัดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้  เสนอร่างกฎหมายต่างๆเพื่อให้สภาจังหวัดพิจารณา  เสนอร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อให้สภาจังหวัดอนุมัติและบริหารงบประมาณตามที่ได้รับการอนุมัติอย่างมีประสิทธิภาพ  จัดเก็บภาษี ค่าธรรมเนียม และค่าปรับต่างๆ(โดยมีหลักการว่าท้องถิ่นเก็บภาษีแล้วนำบางส่วนส่งส่วนกลางตามอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งตรงกันข้ามกับของไทยที่ส่งส่วนกลางก่อนแล้วจึงแบ่งบางส่วนมาให้ท้องถิ่น)  แต่งตั้งและปลดรองผู้ว่าราชการจังหวัด   อำนาจในการยุบสภาจังหวัดที่สำคัญคืออำนาจหน้าที่ในฐานะเป็นตัวแทนรัฐบาลกลางเพื่อดำเนินกิจการบางอย่างแทนให้สำเร็จลุล่วงตามกฎระเบียบและแนวทางที่รัฐบาลกลางวางไว้

เกาหลีใต้

ประเทศเกาหลีใต้เป็นประเทศที่อยู่ในทวีปเอเชีย มีรูปแบบของรัฐเป็นรัฐเดี่ยวเช่นเดียวกับไทย มีการแบ่งการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 2 ระดับ คือ รัฐบาลกลางในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น แต่ประเทศเกาหลีได้กลับทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเข้มแข็งเพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศ

การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นในเกาหลีใต้ เพิ่งจะมีการปฏิรูปกันอย่างจริงจังเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง โดยรัฐธรรมนูญของเกาหลีใต้มีบทบัญญัติรองรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของเกาหลีใต้แปรเปลี่ยนตามสถานการณ์ทางการเมืองในระดับชาติ ไม่ว่าจะเป็นช่วงสงครามเกาหลีทีทำให้การปกครองท้องถิ่นของเกาหลีใต้ต้องหยุดชะงักลง หรือจะเป็นการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลเผด็จการของปัก จุง ฮี ก็ตาม

แต่อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้ก็มีกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ฉบับแรกตั้งแต่ปี ค.ศ.1949 (Local Autonomy Act in 1949) และได้มีการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้หลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้การการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นมีความเข้มแข็งและกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันมีการแก้ไขปรับปรุงเมื่อปี ค.ศ. 1995 ซึ่งมีเนื้อหาสาระที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 เป็นต้นมา ซึ่งถือว่ามีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นมากขึ้น กล่าวคือเปิดโอกาสให้ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง

อังกฤษ

อังกฤษเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปยุโรป มีรูปแบบเป็นรัฐเดี่ยว (Unitary State) เช่นเดียวกับฝรั่งเศส แต่มีความแตกต่างจากฝรั่งเศส ในขณะที่ฝรั่งเศสมีการจัดระบบบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 3 ระดับ คือ การบริหารราชการส่วนกลาง การบริหารราชการส่วนภูมิภาค และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น  แต่อังกฤษจัดระบบบริหารราชการเพียง 2 ระดับเท่านั้น คือ การบริหารราชการส่วนกลาง และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น โดยไม่มีการบริหารราชการส่วนภูมิภาค
จากที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นโดยมิได้กล่าวถึงสหรัฐอเมริกาซึ่งมีรูปแบบการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นที่หลากหลายรูปแบบโดยไม่มีการบริหารราชการส่วนภูมิภาคแต่ว่าเป็นรูปแบบของรัฐรวมหรือสหรัฐซึ่งแตกต่างจากไทยเราซึ่งเป็นรัฐเดี่ยว โดยผมยกตัวอย่างเฉพาะที่เป็นรัฐเดี่ยวเช่นเดียวกับไทยเพราะเมื่อใดที่มีการยกประเด็นการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดขึ้นมา ก็จะถูกยกประเด็นการเป็นรัฐเดี่ยวและการมีกษัตริย์เป็นประมุขของประเทศขึ้นมาโต้แย้งอยู่เสมอ และแน่นอนว่าผมมิได้ยกตัวอย่างประเทศพม่า ลาว กัมพูชา หรือประเทศในแถบอาฟริกาที่ยังคงมีการบริหารราชการส่วนภูมิภาคอยู่เช่นเดียวกับไทยอยู่แล้ว

ประเทศไทยถึงเวลาเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดแล้วหรือยัง

คำตอบของผมก็คือหากอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดของไทยเรายังเป็นเสมือนบุรุษไปรษณีย์ที่ไม่มีอำนาจและงบประมาณเป็นของตนเอง การตัดสินใจต่างๆ ล้วนแล้วแต่รวมศูนย์อำนาจอยู่แต่ในส่วนกลางคือตัวปัญหา การเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดโดยยังคงมีการบริหารราชการส่วนภูมิภาคจึงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเพราะผลที่ได้มาภายหลังการเลือกตั้งก็ยังคงเหมือนเดิม

การบริหาราชการส่วนภูมิภาคนั้นนอกจากจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทางด้านการเมืองและการปกครองเพราะแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยังไม่ไว้วางใจประชาชนในท้องถิ่นแล้ว ยังทำให้เกิดความล่าช้าในการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะเป็นการเพิ่มขั้นตอน อีกทั้งยังก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อท้องถิ่น เพราะถูกบริหารจัดการจากเจ้าหน้าที่ที่มาจากที่อื่น ซึ่งไม่มีทางที่จะเข้าใจปัญหาของท้องถิ่นเท่ากับคนท้องถิ่นเอง

ฉะนั้น การมีการบริหารราชการส่วนภูมิภาคนั่นเองที่เป็นตัวปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน การยกเลิกเสียซึ่งการบริหารราชส่วนภูมิภาคต่างหากคือคำตอบที่ถูกต้อง ไม่ว่าตำแหน่งหัวหน้าผู้บริหารราชการส่วนท้องถิ่นจะเรียกชื่อว่าอะไรก็ตาม

 

 

หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 19 ตุลาคม 2553

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

3 องค์กรวิชาชีพสื่อร่วมแถลงจุดยืนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง

Posted: 19 Dec 2013 04:23 AM PST

19 ธ.ค.2556 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์ร่วมองค์กรสื่อต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง โดยเรียกร้องต่อรัฐบาลรักษาการ ให้บังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ไม่เลือกปฏิบัติและไม่ใช้กลไกรัฐไปซ้ำเติมความขัดแย้งให้รุนแรงยิ่งขึ้น ขณะ กปปส. ต้องยึดมั่นและรักษาแนวทางการชุมนุมเรียกร้องโดยสงบ สันติอหิงสา ปราศจากอาวุธ พร้อมเสนอว่าแนวทางพูดคุยเจรจากับฝ่ายต่างๆ เพื่อหาทางออกร่วมกันเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ต้องพิจารณา เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปให้ได้

นอกจากนี้ แถลงการณ์เรียกร้องต่อผู้ปฏิบัติงานข่าวในองค์กรสื่อต่างๆ ด้วยว่า ต้องยึดมั่นในจริยธรรมวิชาชีพปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เช่นเดียวกับสื่อของรัฐ ผู้มีอำนาจสั่งการจะต้องไม่ใช้อำนาจเข้าไปแทรกแซงกองบรรณาธิการ และควรให้พื้นที่ในการเสนอข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นของทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม

 

แถลงการณ์ร่วมองค์กรสื่อต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง

สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงแม้ว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะเกิดขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนตัดสินใจในอนาคตของประเทศ แต่บรรยากาศความขัดแย้งยังไม่มีการผ่อนคลายลงเลย และก่อความวิตกกังวลร่วมในสังคมของเรา องค์กรวิชาชีพสื่อ ประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ขอแถลงการณ์ต่อสถานการณ์ดังกล่าว ดังนี้

1.องค์กรวิชาชีพสื่อตระหนักดีถึงความสำคัญของการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งการยุบสภาเพื่อคืนอำนาจการตัดสินใจให้กับประชนเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติทางการเมือง หรือวิกฤติของประเทศก็เป็นวิถีทางปกติของระบอบประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งที่ถูกกำหนดไว้ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นการเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ขัดแย้ง และยังมีความแตกแยกในสังคมอย่างกว้างขวาง เต็มไปด้วยแรงกดดันทางการเมือง ซึ่งอาจกระทบต่อการตัดสินใจของประชาชนในวันเลือกตั้งได้

องค์กรวิชาชีพสื่อ มีความเป็นห่วงว่าการเลือกตั้งในบรรยากาศดังกล่าว อาจจะไม่ช่วยนำพาประเทศออกจากความขัดแย้งตามที่คนไทยส่วนใหญ่ต้องการ ในทางกลับกันจะทำให้เกิดเป็นวิกฤติของประเทศอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  ความขัดแย้งยิ่งทวีความรุนแรง ดังนั้นเพื่อให้การเลือกตั้งนำประเทศออกจากความขัดแย้งให้ได้ จึงจำเป็นต้องมีกระบวนการสร้างความเข้าใจร่วมกันของทุกฝ่าย ผ่านกลไกการหารือและตัดสินใจร่วมกันเพื่อร่วมสร้างกติกาการเลือกตั้งที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันได้ โดยมีเป้าหมายร่วมคือหาทางออกให้ประเทศเดินหน้าต่อไปให้ได้  เพื่อไม่ความขัดแย้งที่รุนแรงกลับมาอยู่ในวังวนเดิมอีก

อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่ดี วิกฤติของประเทศในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นวิกฤติที่เป็นโอกาสของประเทศไทย ที่กำลังก้าวข้ามความเป็นประชาธิปไตยแบบตัวแทนไปสู่ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ดังนั้นทุกฝ่ายต้องร่วมสร้างหลักประกันที่จะเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทยในทุกๆ ด้าน เพื่อให้ประเทศของเราสามารถปลดเงื่อนไขของความขัดแย้งที่ยืดเยื้อได้อย่างแท้จริง  ทั้งนี้อะไรที่จำเป็นต้องปฏิรูปทันทีก็ต้องลงมือทำเช่นเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน และควรเร่งดำเนินการปรึกษาหารือเพื่อให้การเลือกตั้งที่ทุกภาคส่วนในสังคมพอใจเกิดขึ้นโดยเร็ว

2. รัฐบาลรักษาการ มีหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อย โดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ไม่เลือกปฏิบัติและต้องไม่ใช้กลไกรัฐไปซ้ำเติมความขัดแย้งให้รุนแรงยิ่งขึ้น รวมทั้งต้องยึดมั่นในการดำเนินการใดๆ ต่อการชุมนุมให้เป็นไปโดยปราศจากความรุนแรงในทุกกรณี ไม่ว่าด้วยวิธีการใด ต้องไม่ดำเนินการ หรือสั่งการใดๆ ทั้งทางตรงทางอ้อมที่จะทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียโดยเฉพาะการนำมวลชนมาเผชิญหน้ากัน

3. สำหรับ กปปส. ต้องยึดมั่นและรักษาแนวทางการชุมนุมเรียกร้องโดยสงบ สันติอหิงสา ปราศจากอาวุธ ให้เป็นแนวทางที่มั่นคงต่อไป การไม่ใช้ความรุนแรงเป็นแนวทางที่ถูกต้อง รวมทั้งการใช้จำนวนมหาประชาชนจำนวนมากชุมนุมกดดันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมืองก็เป็นสิทธิที่จะดำเนินการได้ แต่องค์กรวิชาชีพสื่อเห็นว่าแนวทางพูดคุยเจรจากับฝ่ายต่างๆ เพื่อหาทางออกร่วมกันเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ต้องพิจารณา เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปให้ได้ เราเชื่อมั่นว่าพลเมืองไทยจำนวนมหาศาลต้องการเดินไปด้วยกันบนเส้นทางปฏิรูปประเทศ พลังของพลเมืองไทยต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างบ้านหลังใหม่เพื่อคนไทยอยู่ร่วมกันด้วยความอบอุ่น

4.ผู้ปฏิบัติงานข่าวในองค์กรสื่อต่างๆ ต้องยึดมั่นในจริยธรรมวิชาชีพปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เช่นเดียวกับสื่อของรัฐ ผู้มีอำนาจสั่งการจะต้องไม่ใช้อำนาจเข้าไปแทรกแซงกองบรรณาธิการนำเสนอข่าวหรือเผยแพร่รายการที่มีเนื้อหาสร้างความแตกแยกในสังคม และควรให้พื้นที่ในการเสนอข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นของทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม

ขณะเดียวกันทางด้านผู้ประกอบธุรกิจสื่อต้องตระหนักถึงสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนและต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าประโยชน์ทางธุรกิจ องค์กรสื่อจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจบานปลายกลายเป็นความรุนแรง ทั้งสวัสดิภาพของนักข่าว ช่างภาพ ผู้ปฏิบัติงานในสนามข่าวทุกคน และการปฏิบัติหน้าที่ของกองบรรณาธิการ ทั้งนี้สื่อต้องไม่เป็นเป้าหมายการคุกคาม กดดันของฝ่ายใด เพราะการข่มขู่ คุกคาม กดดันสื่อ ด้วยการหวังผลใดๆ ก็ตามจะกระทบต่อข้อเท็จจริงที่สังคมควรได้รับรู้อย่างตรงไปตรงมาโดยเฉพาะในสถานการณ์ไม่ปรกติ ซึ่งจะส่งผลกระทบตามมาอีกมากมาย
               
สุดท้ายนี้ องค์กรวิชาชีพสื่อขอเรียกร้องประชาชนทุกฝ่ายได้ใช้ความอดทน อดกลั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าซึ่งอาจจะทำให้สถานการณ์มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และต้องร่วมกันเรียกร้อง ผลักดันให้เกิดการสร้างบรรยากาศของความปรองดอง เพื่อการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้ประเทศของเราลุกยืนอย่างเข้มแข็งต่อไป

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
19 ธันวาคม 2556
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุภิญญา แนะวางแผนเปลี่ยนผ่านการรับส่งวิทยุดิจิตอลให้ชัด

Posted: 19 Dec 2013 04:16 AM PST

19 ธ.ค.2556 สุภิญญา กลางณรงค์ กสทช. หนึ่งในกรรมการ กสท. ระบุว่า ภายหลังมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบวาระ บันทึกความเข้าใจ เรื่อง ความร่วมมือในการรับส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียงในระบบดิจิตอล ร่วมกับหน่วยงานรัฐ และกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ที่มีความสามารถในการติดตั้งเครื่องรับวิทยุในระบบดิจิตอล ตนเองมีความเห็นแตกต่างจากกรรมการเสียงข้างมาก เนื่องจากการดำเนินโครงการจัดทำความร่วมมือในการรับส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียงในระบบดิจิตอล ควรดำเนินการหลังจากที่ กสทช.มีแนวทางและแผนการเปลี่ยนผ่านการรับส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียงในระบบดิจิตอลอย่างเป็นทางการ และมีการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบการเปลี่ยนผ่านการรับส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียงในระบบดิจิตอลเผยแพร่ต่อสาธารณะ เพราะหากดำเนินโครงการจัดทำความร่วมมือซึ่งจะมีผลต่อการกำหนดแผนการรับส่งสัญญาณวิทยุกระจายเสียงในระบบดิจิตอลก่อนโดยมิได้ประกาศแผนที่ชัดเจนต่อสาธารณะ อาจก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องการยอมรับของสาธารณะ ตลอดจนลำดับขั้นตอนกระบวนการที่สอดคล้องกับกฎหมาย เนื่องจากเป็นกรณีที่ผลกระทบต่อสาธารณะไม่แตกต่างจากการเปลี่ยนผ่านการรับส่งสัญญาณโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล ที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ อีกทั้งในรายละเอียดของโครงการฯ ควรเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการจากหลายภาคส่วนมีส่วนร่วม อาทิ สถาบันการศึกษา หน่วยงานเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร ตลอดจนผู้ประกอบการภาคธุรกิจ โดยมีการจัดทำเกณฑ์การคัดเลือกที่โปร่งใสและเปิดเผยต่อสาธารณะ

"การดำเนินการวิทยุดิจิตอลเป็นเรื่องใหม่ เรื่องใหญ่ที่ซับซ้อน เพราะเกี่ยวพันกับการให้สิทธิหน่วยงานรัฐเดิมก่อน ควรมีความชัดเจนและเป็นธรรมกับรายเล็กด้วย รวมทั้งการทำวิทยุระบบดิจิตอลจะเป็นการขยายพื้นที่ภาคธุรกิจ หรือแก้ปัญหาเดิมของวิทยุเอฟเอ็มในภาคธุรกิจ ต้องตอบสังคมและให้ข้อมูลด้วย สำคัญที่สุด สำนักงานควรจัดทำบทวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายดิจิตอล ผลดี – ผลเสีย การจัดทำ Road Map การเปลี่ยนผ่านในครั้งนี้ และกระบวนการมีส่วนร่วมกับผู้เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน แม้จะเป็นเพิ่งเป็นปีแรกของการเริ่มต้นก็ตาม" สุภิญญา กล่าวว่า
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai