โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

แรงงานมอลลิเก้ร้องกระทรวง นายจ้างตัดสวัสดิการ อ้างเหตุขึ้นค่าแรง 300

Posted: 31 May 2012 11:25 AM PDT

 

30 พ.ค. 55 สหภาพแรงงานโรงงานมอลลิเกสหภาพแรงงานมอลลิเก้เฮลท์แคร์ มีการประชุมปรึกษาหารือ ในกรณีที่ผู้บริหารโรงงานออกมาตรการปรับเปลี่ยนสภาพการจัดจ้างหรือโบนัส ซึ่งส่งผลกระทบต่อคนงานเป็นจำนวนมาก โดยได้ข้อสรุปว่า จะรวมตัวกันไปยื่นหนังสือให้รัฐบาลรับทราบความเดือดร้อนในวันที่ 31 พ.ค. 55 เวลา 9.00 น.

ณัฐปภัสร์ แก้วทอง ประธานสหภาพแรงงาน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ในวันที่26 มี.ค. 55 บริษัทได้ออกประกาศขอปรับเปลี่ยนสภาพการจัดจ้างมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ทางสหภาพก็ได้เจรจาและขอให้ยกเลิกไปตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย. 55 ทว่าเมื่อถึงวันที่  2  พ.ค. 55 บริษัทก็ได้ออกประกาศใหม่อีกรอบหนึ่ง โดยอ้างเหตุผลว่า บริษัทได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐบาลที่ให้ปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นอีกถึง40%  เมื่อนำมาตรการมาใช้ก็มีการปรับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งคนงาน ลดสวัสดิการ คนงานได้รับความเดือดร้อนมากขึ้น เนื่องจากมีรายได้ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เป็นแรงงานที่ทำงานมานาน เช่น บางคนได้ค่าแรงเกือบ 300 บาท เมื่อบริษัทขึ้นค่าแรงให้ถึง 300 บาทตามนโยบายรัฐ แต่กลับไปตัดโบนัสลงมากๆ เช่น เคยได้โบนัส 6000 บาท ถูกตัดเหลือ 1000 บาท ก็ถือว่าไม่ได้อะไรเพิ่ม แล้วยังเสียประโยชน์อีกด้วย แต่ทางด้านแรงงานที่เพิ่งเริ่มงาน และมีรายได้น้อยกว่าเมื่อได้ขึ้นค่าแรงถึง 300 บาท ก็จะได้ประโยชน์ กลายเป็นว่า แรงงานใหม่หรือเก่าก็ได้ค่าจ้างเท่ากัน

อย่างไรก็ตาม ณัฐปภัสร์เห็นว่านโยบายค่างแรงขั้นต่ำ 300 บาทของรัฐบาลนั้นเป็นสิ่งที่น่าพอใจแล้ว ซึ่งทางบริษัทไม่ควรจะนำมาเป็นข้ออ้างในการตัดลดสวัสดิการคนงานด้านอื่นๆ ไม่เช่นนั้นก็เท่ากับว่า คนงานไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเพิ่มขึ้นมาเลย

ณัฐปภัสร์กล่าวว่า การหารือของทางสภาพในระยะนี้ยังเป็นไปด้วยความลำบากพอสมควร เนื่องจากถูกแทรกแซงจากบริษัทโดยตลอด บริษัทใช้วิธีการเจรจาแบบรายบุคคล เรียกพนักงานไปพูดคุยเป็นการส่วนตัว มีการบังคับข่มขู่คนงาน บังคับให้เซ็นยอมรับเงื่อนไขที่ทางบริษัทเสนอ ถ้าไม่เซ็นก็จะโยกย้าย หรือพักงาน โดยไม่มีการบังคับให้ออก แต่ก็มีพนักงานหลายคนที่ทนไม่ไหวลาออกไปเอง  นอกจากนี้บริษัทยังยื่นข้อเสนอว่าให้ทางสหภาพยอมรับเงื่อนไขที่กำหนดขึ้นมา เพราะไม่สามารถหามาตรการที่ดีกว่านี้  ดังนั้นทางสหภาพแรงงานจึงจะไปยื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือไม่ให้บริษัทเปลี่ยนแปลงสภาพการจัดจ้าง เพราะก่อนหน้านี้เคยยื่นหนังสือกับทางแรงงานจังหวัดแล้วก็ไม่มีความคืบหน้า

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อภิสิทธิ์ หนุนเคลื่อนไหวนอกสภาตามกฎหมาย รับยอมเสียภาพ หวังสกัดกั้นทำลายชาติ

Posted: 31 May 2012 08:15 AM PDT

"ขอขอบคุณประชาชน ที่รักความถูกต้องจำนวนมาก ที่ออกมาแสดงออกทางความคิดภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ และพรรคประชาธิปัตย์อยากให้ประชาชนทุกคนที่รักความถูกต้องออกมาใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ภายใต้กรอบของกฎหมาย เพื่อแสดงให้เสียงข้างมากและรัฐบาลได้รับทราบว่า ประชาชน คนไทย และสังคมไทย ไม่ต้องการกฎหมายทั้ง 4 ฉบับ"

31 พ.ค.  เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า ภายหลังจากที่มีการปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในเวลา 17.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกประชุม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ห้องอาหาร ชั้น 2  อาคารรัฐสภา 1 เพื่อกำหนดท่าทีหลังจากที่สภาฯ มีมติเรื่องร่างพ.ร.บ.ปรองดองฯ ขึ้นพิจารณา วาระ 1 ในวันที่ 1 มิ.ย. โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง จากนั้นนายอภิสิทธิ์ ได้แถลงผลการประชุมว่า พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่า ร่างพ.ร.บ.ทั้ง 4ฉบับ ไม่ควรเป็นกฎหมายปรองดอง จะเห็นได้ว่าเป็นการสร้างความแตกแยกในสังคม โดยเฉพาะเนื้อหาของกฎหมายเป็นการล้มล้างอำนาจตุลาการ  ล้างให้คนโกง ฉะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันจะเดินหน้าต่อสู้กับความไม่ถูกต้องและคัดค้านในสภาฯ อย่างถึงที่สุด ขณะเดียวกันพร้อมให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวคัดค้านนอกสภา และเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวกับพ.ร.บ.ดังกล่าวกับประชาชนอย่างเต็มที่

“ขอขอบคุณประชาชน ที่รักความถูกต้องจำนวนมาก ที่ออกมาแสดงออกทางความคิดภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ และพรรคประชาธิปัตย์อยากให้ประชาชนทุกคนที่รักความถูกต้องออกมาใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ภายใต้กรอบของกฎหมาย เพื่อแสดงให้เสียงข้างมากและรัฐบาลได้รับทราบว่า ประชาชน คนไทย และสังคมไทย ไม่ต้องการกฎหมายทั้ง 4 ฉบับ ดังนั้นการเดินหน้าในการคัดค้านก็จะเริ่มต้นในวันที่ 1 มิ.ย. ในขั้นตอนรับหลักการ ขณะเดียวกันเราพร้อมสนับสนุนเคลื่อนไหวต่อต้านที่ชอบด้วยกฎหมายทุกรูปแบบ เพื่อไม่ให้กฎหมายทั้ง 4 ฉบับผ่าน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ตนทราบดีว่า 2 วันที่ผ่านมาอาจมีพฤติกรรมในสภาที่ทำให้ประชาชนไม่สบายใจ แต่ขอบอกว่าถ้าภาพลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ต้องเสียหาย แต่สามารถสกัดกั้นกฎหมายที่ทำลายชาติได้ เราก็ยอมรับที่จะเสียภาพลักษณ์ และต้องขอโทษประชาชนในขณะนี้ว่าเราไม่สามารถสกัดกั้นการใช้อำนาจโดยไม่ชอบและผลักดันกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภาโดยไม่ถูกต้อง ขอยืนยันว่าสิ่งที่ทำไม่ได้มุ่งล้มล้างรัฐบาล หรือให้กระทบต่อระบบรัฐสภา แต่มุ่งรักษาประโยชน์ของประเทศ คัดค้านในกรอบของกฎหมาย ไม่มีประโยชน์แอบแฝงในเรื่องนี้ ตรงข้ามกับผู้ที่ผลักดันกฎหมาย ทั้งผู้มีส่วนร่วมในการก่อการจลาจล การก่อการร้าย การทำผิดกฎหมายต่างๆ การทุจริตจนถึงขั้นถูกยึดทรัพย์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะคนที่ถูกยึดทรัพย์ แต่มีตั้งแต่คนในครอบครัว และหัวหน้ารัฐบาล ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงกับกฎหมายนี้ จึงเป็นเหตุให้รวบรัดไม่ให้เป็นกฎหมายการเงินเพื่อให้นายกฯ ซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียต้องเข้ามาเซ็นรับรอง ที่ผ่านมาเสียงข้างมากพยายามเอาเรื่องเล็กมาบดบังเรื่องใหญ่ ทั้งที่ความจริงคนสุดท้ายที่ควรจะเรียกร้องเรื่องนี้คือพรรคเพื่อไทย เพราะสิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องผลักดันกฎหมายนี้เนื่องจากได้กระทำผิดไว้มากมายทั้งแผ่นดิน จึงต้องขอนิรโทษกรรมให้กับตนเอง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของยื่นตีความพ.ร.บ.ปรองดองฯ ว่าขัดรัฐธรรมนูญนั้นคงต้องรอให้กฎหมายผ่านสภาในวาระที่ 3เสียก่อน เรียกร้องให้นายกฯ เข้ามานั่งฟังการพิจารณากฎหมายนี้และขอให้ตอบว่า ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลที่มีนโยบายชูธงให้มีความปรองดองหมายความว่าอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นในสภาช่วง 2วันที่ผ่านมา ไม่ใช่ความรุนแรงแต่พฤติกรรมหลายอย่างเกิดจากบรรยากาศที่เกิดขึ้น หากประธานฯทำหน้าที่ตามปกติก็จะไม่เกิดปัญหาที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐสภา ส่วนใครจะรับผิดชอบในความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนั้น ตนคิดว่าคนที่ทำอะไรลงไปต้องรับผิดชอบ พรรคก็ระวังให้สมาชิกได้แสดงออกอย่างเหมาะสม ในการกระทำของตนเอง ใครที่เป็นต้นตอของปัญหาต้องรับผิดชอบ

เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์มีพฤติกรรมเข้าข่ายเป็นกบฏ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยากถามว่าพรรคเพื่อไทยอยากให้พวกตนออกไปยืนข้างนอกและตะโกนให้เผาบ้านเมืองเลยใช่หรือไม่ มาตรฐานของตนไม่ต่ำอย่างนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการปิดกั้นทุกวิถีทาง เราจึงต้องปกป้องบ้านเมือง ซึ่งอาจจะมีอะไรที่กระทบกระทั่งเกินเลยไปบ้างแต่ไม่ถึงขั้นกบฏ เพราะไม่มีใครเผาบ้านเผาเมือง ตั้งกองกำลังติดอาวุธ พรรคเพื่อไทยน่าจะย้อนดูพฤติกรรมของตนเองมากกว่า ส่วนที่ระบุว่ามีการขัดขวางการทำหน้าที่ของประธานสภานั้น ไม่ทราบว่าขัดขวางอย่างไร เพราะขณะนี้เห็นอยู่ว่าสามารถเลื่อนร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ได้แล้ว ส่วนกรณีการสนับสนุนมวลชนในการคัดค้านนั้น พรรคประชาธิปัตย์ได้สนับสนุนมาตั้งแต่แรกแล้ว โดยขอให้ทุกฝ่ายดำเนินการตามกรอบรัฐธรรมนูญ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประเด็นที่พรรคประชาธิปัตย์จะใช้ในการอภิปรายในวาระ 1 ส่วนใหญ่จะเน้นประเด็นในเรื่องของความไม่ชอบด้วยกฎหมาย การขัดรัฐธรรมนูญ การขัดหลักนิติรัฐ นิติธรรม การใช้อำนาจของฝ่ายบริหารโดยมิชอบ และพ.ร.บ.นี้มีเนื้อหาที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เป็นต้น และจะเปิดโอกาสให้ส.ส.ทุกคนในพรรคได้มีสิทธิในการอภิปรายอย่างเต็มที่  

 

...........................
ที่มา: เว็บไซต์ข่าวสด

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ละเมิด/ไม่ละเมิดงานดนตรี 101: ตอน 2 ...ในโลกที่มีโน้ต 12 ตัว แต่มีเพลง 39 ล้านเพลง

Posted: 31 May 2012 06:19 AM PDT

 

มีการกล่าวกันบ่อยๆ ทำนองว่า “โน้ตดนตรีมีแค่ 7 ตัว มันมีโอกาสใช้ซ้ำกันได้” การกล่าวเช่นนี้ดูจะเป็นข้ออ้างที่ง่ายไปและไม่ตรงกับความจริงเท่าใดนัก เพราะจริงๆ แล้วระบบโน้ตดนตรีตะวันตกมีโน้ตดนตรีอยู่ 12 ตัวด้วยกัน ไม่ใช่แค่ โด เร มี ฟา ซอล ลา และ ที หรือ C, D, E, F, G, A และ B เท่านั้น (หากจะเขียนตัวโน้ตพวกนี้ในระบบที่นิยมกันในโลกภาษาอังกฤษ) แต่จริงๆ แล้วตัวโน้ตในระบบตัวโน้ตตะวันตก นั้นมี C, C#, D, D#, E, F, F#, G, G#, A, A# และ B โน้ต 12 ตัวนี้เกิดจากการแบ่งเสียงคลื่นความถี่ต่างๆร ะหว่างคลื่นที่ความถี่ต่างกัน 2 เท่า เท่าๆ กัน เป็น 12 ช่วง ดังนั้น โน้ตทั้ง 12 ตัวจึงมีเสียงที่ห่างกันอย่างสมมาตรและนำมาสู่ความเป็นไปได้ของการประสานเสียงอย่างเป็นสัดเป็นส่วนของดนตรีตะวันตกซึ่งเชื่อมโยงกับคณิตศาสตร์

ผู้เขียนคงจะไม่บรรยายทฤษฎีดนตรีอย่างละเอียดยิบย่อยในที่นี้ แต่อยากจะชี้ให้เห็นว่าในเชิงความน่าจะเป็นแล้วหากจะลองคิดเล่นๆ เราจะพบว่าถ้ามีตัวโน้ต 12 ตัวอยู่ในสารบบดนตรีตะวันตก ความเป็นไปได้ของการที่ตัวโน้ตเรียงกัน 7 ตัวมันคือ 12 x 12 x 12 x12 x 12 x 12 x12 แบบ หรือ 2,985,984 แบบ หรือจะกล่าวอีกแบบก็คือความน่าจะเป็นที่จะเอาโน้ตดนตรี 7 ตัวมาเรียงให้ซ้ำกันหมดนั้นมีเพียง 1 ใน 2,985,984

อันที่จริงแล้วสุ้มเสียงดนตรีที่เราได้ยิน มันก็ไม่ได้เรียบง่ายแบบเอาโน้ตมาเรียงต่อๆ กัน 7 ตัวด้วยซ้ำ เพราะมันจะมีเรื่องของความสูงต่ำของโน้ตแต่ละตัว (หรือโน้ตตัวเดียวกันที่ความถี่ต่างกัน 1 เท่า หรือที่เรียกกันว่าความต่างเสียง 1 ออคเทฟ) ความสั้นยาวของโน้ตเพลงแต่ละตัว ความเงียบระหว่างโน้ตเพลงแต่ละตัวด้วย ซึ่งก็ยังไม่ต้องพูดถึงการประสานเสียง การใช้เทคนิคบนเครื่องดนตรีเพื่อให้ตัวโน้ตเดียวกันมีสุ้มเสียงที่ต่างกัน ไปจนถึงการใช้เอฟเฟคในการปรับแต่งเนื้อเสียงให้เปลี่ยนไปอีก ถ้าจะนับปัจจัยเหล่านี้ว่าจะทำให้โน้ตแต่ละตัวแตกต่างกันด้วยแล้ว โอกาสที่ชุดของโน้ต 7 ตัวจะเหมือนกันก็คงจะน้อยเสียยิ่งกว่ากว่า 1 ในร้อยล้านด้วยซ้ำ

จะเห็นได้ว่าในทางทฤษฎีนั้น โอกาสที่โน้ตดนตรีที่จะซ้ำกันเพียงแค่ 7 ตัว มันมีน้อยมากๆ อย่างไรก็ดี เราก็จะเห็นเช่นกันว่าท่วงทำนองเพลงสมัยนิยมนั้นส่วนใหญ่ก็จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันไปหมด เหตุผลของความคล้ายคลึงก็คือ มันมีโน้ตเพลงบางชุดเท่านั้นที่ผู้คนร่วมสมัยจะฟังแล้วระรื่นหู และไอ้โน้ตที่ว่านี่ก็คือ “โน้ตแค่ 7 ตัว” ที่ผู้คนชอบกล่าวถึงกัน นี่คือสิ่งที่เรียกในทฤษฎีตะวันตกว่า Diatonic Scale หรือสเกล 7 เสียง ซึ่งสเกลที่ผู้คนรู้จักดีในตระกูลนี้ก็คือ เมเจอร์สเกล (Major Scale) และไมเนอร์สเกล (Minor Scale) การประกอบท่วงทำนองตามชุดตัวโน้ตของสเกลเหล่านี้จะมีแนวโน้มที่จะสามารถสร้างเสียงที่ระรื่นหูมากกว่าการประกอบท่วงทำนองจากตัวโน้ตทั้ง 12 อย่างไรก็ดีหากจะพิจารณาความเป็นไปได้แล้วโอกาสที่โน้ต 7 ตัวจะซ้ำกันมันก็ยังมีสูงถึง 1 ใน 823, 543 (ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของ 77) อยู่ดี

อย่างไรก็ดีการเอาโน้ตที่ซ้ำกัน 7 ตัวมาเรียงกันอย่างไม่มีกฎเกณฑ์มันไม่ได้จะทำให้เกิดท่วงทำนองที่ผู้ฟังฟังแล้วจะรู้สึกระรื่นหูแต่อย่างใด เงื่อนไขทั่วไปที่จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกระรื่นหูก็คือตัวโน้ตที่เป็นท่วงทำนองจะต้องมีความสอดคล้องกับคอร์ดที่เป็นตัววางพื้นฐานของการเคลื่อนไหวของตัวโน้ตเสียงในเพลง เพื่อให้การคำนวณง่ายขึ้น โดยทั่วไปแล้ว คอร์ดที่ใช้ในบทเพลงทั่วไปจะเป็นคอร์ดที่มีแค่ 3 ตัวโน้ต หรือเป็นเพียงคอร์ดเมเจอร์หรือไมเนอร์ธรรมดาเท่านั้น ไม่มีการใส่โน้ตตัวอื่นๆ มาเพิ่มแบบดนตรีแจ๊ส ดังนั้นท่วงที่ประกอบทำนอง 7 ตัวโน้ตภายใต้ชุดคอร์ดเดียวกันที่ระรื่นหูจึงเป็นไปได้ 37 แบบ หรือ 2,187 แบบ ด้วยกัน

รูปแบบการเอาโน้ตเพลงมาเรียงกัน 7 ตัวจำนวน 2,187 แบบ ก็ยังดูเหมือนจะไม่ใช่รูปแบบการเรียงตัวโน้ตที่จะเกิดขึ้นได้ซ้ำง่ายๆ อยู่ดี อย่างไรก็ดีหากจะพิจารณาว่าทั้ง 2,187 รูปแบบนั้นเป็นรูปแบบตัวโน้ตที่เกิดขึ้นปกติในเพลงป๊อบที่มีการบันทึกเสียงกันมากว่าศตวรรษแล้ว [1] ซึ่งเพลงป๊อบเหล่านี้ก็เป็นประชากรส่วนใหญ่ของบทเพลงทั้งหมดในโลกที่เคยบันทึกเสียงกันมากว่า 97 ล้านเพลง [2] แล้ว เราก็จะพบว่าโอกาสที่ท่วงทำนองของบทเพลงหนึ่งๆ จะไปละม้ายคล้ายคลึงบทเพลงอื่นๆ ที่มีมาก่อนแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะแปลกประหลาดพิสดารอะไรเลย

แน่นอนว่าความเป็นไปได้ที่งานดนตรีจะมีความซ้ำซ้อนนี้เป็นสิ่งทีส่วนทางกับการคุ้มครองของกฎหมายลิขสิทธิ์ร่วมสมัยที่มุ่งจะคุ้มครองบทประพันธ์ทางดนตรีอันมี “เอกลักษณ์เฉพาะตัว” (originality) ความเป็นไปได้ของการซ้ำของท่วงทำนองนี้ ทำให้งานดนตรีชิ้นหนึ่งๆ มีแนวโน้มที่จะเป็นเป็นเพียงการสร้างผลงานตามจารีตทางดนตรีที่มีต่อกันมาแทนที่จะเป็นงานอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ฉีกออกมาจากงานชิ้นอื่นๆ (ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในบทความก่อนหน้านี้) อย่างไรก็ดีท่วงทำนองงานดนตรีจำนวนหนึ่งที่สถาปนาความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และ 20 ก็มักจะเป็นสิ่งที่มีลิขสิทธิ์ทั้งสิ้นโดยอัตโนมัติตามมาตรฐานกฎหมายลิขสิทธิ์ที่คุ้มครองโดยไม่จำเป็นต้องผ่านการกลั่นกรองใดๆ ว่างานเหล่านั้นมี เอกลักษณ์จริงหรือไม่ (ซึ่งเป็นแนวทางคุ้มครองต่างจากสิทธิบัตรพอสมควร) นี่ทำให้จริงๆ แล้วเพลงที่เราไม่คิดว่ามีลิขสิทธ์ที่ถูกแต่งขึ้นมาในช่วงนี้ก็อาจมีลิขสิทธิ์อยู่ ตัวอย่างที่ดีที่สุดก็น่าจะได้แก่เพลงภาษาอังกฤษที่รู้จักกันดีที่สุดอย่าง Happy Birthday To You ซึ่งทุกวันนี้ลิขสิทธิ์ก็ยังเป็นของ Warner อยู่ [3]

อย่างไรก็ดี ดังที่กล่าวมาแล้วว่าลำพังแค่ตั้งแต่ที่มนุษย์มีการบันทึกเสียงกันมา 100 กว่าปี มันก็มีบทเพลงที่ได้รับการบันทึกเสียงไว้ 90 กว่าล้านเพลงแล้ว มันมีความเป็นไปได้เสมอที่บทเพลงหนึ่งๆ ที่แต่งขึ้นมาใหม่จะไปซ้ำกับบทเพลงที่มีมาก่อน และหากการที่บทเพลงไปเหมือนกันโดยบังเอิญเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์วิถีการสร้างสรรค์งานดนตรีของผู้คนก็คงจะยากลำบากน่าดู เพราะต้องคอยมาพะวงตลอดเวลาว่าเพลงที่ตนแต่งมาจะไปซ้ำกับใครหรือไม่ และการไล่ฟังเพลงให้หมดโลกมันก็ดูจะไม่น่าเป็นไปได้ง่ายๆ

ลองคำนวณเล่นๆ ก็ได้ครับ สมมติว่าแต่ละวันฟังเพลงได้ 100 เพลงไม่ซ้ำกันเลย 1 ปีเราก็จะฟังได้ 36,500 เพลง ในอัตรานี้ ถ้าในโลกมีเพลงอยู่ 39 ล้านเพลง ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ เราก็จะใช้เวลาเพียง 1,068 ปีกว่าๆ เท่านั้นในการฟังเพลงที่มีอยู่ทั้งหมดในโลกให้หมด

แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่เกินขีดจำกัดของมนุษย์ในปัจจุบันจะทำได้ นี่เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ในการพิจารณาคดีละเมิดลิขสิทธิ์นั้น การที่ตัวโน้ตในบทเพลงซ้ำกันยังก็ยังไม่ใช่เงื่อนไขที่เพียงพอกับการตัดสินว่าเกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ขึ้น แต่เงื่อนไขที่จำเป็นอีกประการก็คือ ผู้ต้องหาละเมิดลิขสิทธิ์จะต้องเคยได้ยินได้ฟังบทเพลงที่เขาละเมิดมาแล้ว

หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องหาละเมิดลิขสิทธิ์เคยได้ยินได้ฟังบทเพลงที่เขาลอกมาโดยทั่ว เขาก็น่าจะถือว่าบริสุทธ์จากความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ และการพยายามหาความเชื่อมโยงของความคล้ายคลึงกันของบทเพลงสองเพลงแบบลอยๆ มันก็ดูจะเป็นการกล่าวหาซึ่งไม่มีมูลเพียงพอด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ดี นี่ก็ไม่ได้เป็นการเปิดช่องว่างให้เกิดการ “ลอกเพลง” ได้ตามใจชอบภายใต้ข้ออ้างว่า “ไม่เคยฟังมาก่อน” ในกรณีของบทเพลงที่มีความโด่งดัง (รวมถึงเพลงจำพวก “ดังอยู่เพลงเดียว” แล้วหายไปจากความทรงจำของผู้คนหรือ One Hit Wonder) การกล่าวอ้างแบบนี้ก็มีน้ำหนักน้อย เพราะถึงที่สุดศาลอเมริกันก็เคยตัดสินมาแล้วว่าคนอย่าง George Harrison ได้ลอกเพลงของ The Chiffons วงเกิร์ลกรุ๊ปผิวดำผ่านจิตใต้สำนึกของเขา เนื่องจากเจาเคยฟังบทเพลงนี้มาก่อนละมันก็อยู่ในจิตใต้สำนึกของเขา

เพลงของ George ที่โดนฟ้องคือเพลงดังอย่าง My Sweet Lord ซิงเกิลที่ขายดีที่สุดในอังกฤษในปี 1971 อันนี้ถูกฟ้องฐานมีท่วงทำนองคล้ายคลึงกับเพลง He's So Fine ของเกิร์ลกรุ๊ปผิวดำจากต้นทศวรรษที่ 1960 นาม The Chiffons [4] ในชั้นศาล George บอกว่าเขารู้จักเพลงดังจากต้นปี 1963 เพลงนี้ของ The Chiffons แต่เขาไม่ได้คิดถึงมันเลยตอนเขาแต่ง My Sweet Lord สุดท้ายภายหลังจากการพิจารณาคดีผ่านการวิเคราะห์องค์ประกอบเพลง ศาลก็ลงความเห็นว่า George ได้ลอก (plagiarize) เพลงนี้จริง เพราะถึงแม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจจะลอกแต่เขาก็ทำมันในระดับจิตใต้สำนึก (subconscious)

นี่ดูจะเป็นบทเรียนที่สำคัญว่าเจตนาในการลอกเพลงดูจะเป็นประเด็นรองในการพิจารณาการละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะประเด็นที่สำคัญกว่าก็คือว่าผู้ต้องหาเคยฟังเพลงที่ลอกมาหรือไม่ ซึ่งในกรณีของ George เขาก็ยอมรับชัดเจนว่าเคยฟังเพลงที่เขาถูกกล่าวหาว่าลอก ซึ่งก็น่าสนใจอยู่ว่าถ้าเขาปฏิเสธไปผลการตัดสินจะเป็นเช่นไร

ในอีกด้านหนึ่ง ในกรณีของการถูกกล่าวหาว่าลอกบทเพลงที่ตอนไม่ได้เป็นเจ้าของ การพิสูจน์ว่าเจ้าของบทเพลงก็ไม่ได้เป็นเจ้าของบทเพลงเช่นกันก็สามารถใช้ได้ ดังจะเห็นการสู้คดีแบบนี้ในกรณีการที่ John Fogerty ถูกฟ้องฐานลอกเพลงตัวเองที่เขาแต่งมากับมือสมัยอยู่กับวง Creedence Clearwater Revival [5] ซึ่งเขาก็พิสูจน์ในศาลว่าส่วนที่เขาถูกกล่าวหาว่าลอกนั้นจริงๆ ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เขามีอย่างเป็นเอกลักษณ์ด้วยซ้ำในงานต้นฉบับ เพราะทางโน้ตกีต้าร์แบบนี้พวกนักดนตรีบลูส์ก็ได้ใช้มานมนานแล้ว เขาชนะคดีในที่สุด และเหนือกว่านั้นก็คือเขาสามารถจะฟ้องเอาเงินค่าทนายได้ด้วย ซึ่งเป็นกรณีแรกที่จำเลยคดีละเมิดลิขสิทธิ์สามารถฟ้องเช่นนี้และได้ค่าทนายมาในที่สุด (ปกติมีแต่ฝ่ายโจทย์เท่านั้นที่จะทำได้สำเร็จ)

กรณี Fogerty ชี้ให้เห็นปัญหาที่ซับซ้อนกว่านั้น เพราะในทางตรรกะแล้วเขากำลังอ้างว่าเขาทำตาม “จารีต” เพื่อจะอ้างว่าเขาไม่ได้ละเมิดงานของตัวเอง แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ถ้างานของเขาเป็นงานตามจารีต เขาจะอ้าง “ความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว” ที่เป็นเงื่อนไขของการคุ้มครองลิขสิทธิ์ได้อย่างไร? อย่างไรก็ดีไม่ว่ากฏหมายทรัพย์สินทางปัญญาจะก้าวหน้าแค่ไหนการนำการละเมิด “ลิขสิทธิ์” ของสาธารณะชนด้วยการนำภูมิปัญญาสาธารณะมาแปรรูปเป็นทรัพย์สินทางปัญญาส่วนบุคคลก็ยังคงเป็นเรื่องปกติ ในแง่นี้ภูมิปัญญาของชนเผ่าในแอฟริกา หรือสาธารณะชนอเมริกันมันก็ล้วนไม่ได้รับการคุ้มครองไม่ให้ถูกละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาได้ เพราะถึงที่สุด “ชุมชน” และ “สาธารณชน” ก็ไม่ได้มีสถานะทางกฎหมายที่จะสามารถฟ้องปัจเจกบุคคลที่มา “ละเมิด” ภูมิปัญญาร่วมของพวกเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นสูตรยาพื้นบ้านหรือจารีตของท่วงทำนองดนตรีบลูส์ และสุดท้ายบ่อแห่งจารีต (pool of tradition) ก็ดูจะไม่ใช่บ่อน้ำที่สรรพสัตว์ในบริเวณใกล้เคียงได้มาอาศัยใช้อย่างเท่าเทียม เพราะน้ำของมันถูกระบบทุนนิยมทำให้เป็นสินค้าเสียมากกว่า

นี่คือสถานะของบทเพลง 39 ล้านเพลงที่ได้รับการบันทึกเสียงมาในโลก ไม่ว่าโอกาสที่ท่วงทำนองจะซ้ำมันจะมีมากแค่ไหน ทั้ง 39 ล้านเพลงก็ดูจะได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ทั้งสิ้นและจนทุกวันนี้งานบันทึกเสียงน้อยชิ้นนักที่จะไม่มีเจ้าของ [6] มันเป็นเรื่องชวนหัวที่บทเพลงเหล่านี้จำนวนมากก็มีความซ้ำซากด้านท่วงทำนอง แต่ในทางกฎหมายมันก็ถือว่าเป็นงานอันมีเอกเทศที่ได้รับการคุ้มครองด้านลิขสิทธิ์ทั้งสิ้น สถานการณ์มันก็ดูจะคล้ายกับการสูบน้ำจากทะเลสาบที่ไม่เคยมีเจ้าของมาบรรจุขวดขาย นี่ทำให้ของที่เคยไร้มูลค่าอย่างน้ำกลายมาเป็นสินค้า การใช้น้ำในโลกทุนนิยมต่างจากการใช้น้ำในชุมชนดั้งเดิมเช่นใด สถานการณ์ที่นักดนตรีฮิปฮอปต้องเผชิญก็ต่างจากสถานการณ์ของนักดนตรีบลูส์เช่นนั้น และนี่คือเรื่องราวของตอนต่อไป

 

อ้างอิง

  1. เทคโนโลยีการบันทึกเสียงเกิดปลายศตวรรษที่ 19 แต่การบันทึกเสียงเชิงพาณิชย์เริ่มขึ้นตอนต้นศตวรรษที่ 20
  2. นี่เป็นการคำนวณง่ายๆ จากฐานข้อมูลงานบันทึกเสียงที่มีในโลกของทาง Grace note เท่านั้นเพื่อให้เห็นภาพ ดู http://www.digitalmusicnews.com/stories/100611supersaturation
  3. นี่ทำให้การนำบทเพลงนี้แสดงในที่สาธารณะอย่างซี้ซั้ว เช่นการร้องเพลงอวยพรวันเกิดในร้านอาหารก็อาจนำมาสู่การถูกฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์ได้ ดู http://en.wikipedia.org/wiki/Happy_birthday_to_you
  4. ลองฟังทั้งสองเพลงเปรียบเทียบกันได้ที่ http://youtu.be/kfxx3scAKS8 (The Chiffons - He's So Fine) และ http://youtu.be/9qdKZBXMX5E (George Harrison - My Sweet Lord)
  5. หากจะกล่าวโดยสั้นๆ แล้ว โดยทั่วไปลิขสิทธิ์งานดนตรีของนักร้องนักดนตรีดังๆ ในโลกมักจะไม่ได้เป็นของเขา ในกรณีของ Fogerty เขาโดนฟ้องว่าลอกเพลง Run Through The Jungle ของ Creedence Clearwater Revival ในเพลง The Old Man Down The Road ในงานเดี่ยวของเขา ซึ่งแม้ว่าจะฟังดูตลกในการ “ถูกฟ้องฐานลอกเพลงตัวเอง” เช่นนี้ แต่ในทางกฎหมายลิขสิทธิ์แล้ว เจ้าของลิขสิทธิ์ใหม่ที่ไม่ใช่ผู้แต่งก็มีสิทธิ์ตามกฎหมายทุกประการในการฟ้องผู้แต่งเพลงที่ไม่ได้เป็นเจ้าของงานตัวเองแล้ว ฟัง 2 เพลงเทียบกันได้ที่ http://youtu.be/EbI0cMyyw_M (Creedence Clearwater Revival - Run Through The Jungle) กับ http://youtu.be/JbSGMRZsN4Q (John Fogerty - The Old Man Down The Road) และอ่านข้อมูลเกี่ยวกับคดีได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Fogerty_v._Fantasy
  6. นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่ทางเหล่าหอจดหมายเหตุในสหรัฐก็เคยโวยวายมาแล้ว เพราะแม้แต่งานบันทึกเสียงต้นศตวรรษที่ 20 ที่ไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจใดๆ แล้วก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของจดหมายเหตุไม่ได้ เพราะมันยังไม่หมดลิขสิทธิ์ และการที่มันยังไม่หมดลิขสิทธิ์ก็เกิดจากแนวโน้มของกฏหมายลิขสิทธิ์อเมริกันที่ยืดอายุการคุ้มครองไปเรื่อยๆ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภาคภูมิ แสงกนกกุล: การรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ในที่สาธารณะมีอะไรมากกว่าที่คิด

Posted: 31 May 2012 05:48 AM PDT

เกร็ดเล็กน้อยเนื่องในวันงดสูบบุหรี่โลกแน่นอนละว่าการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่เป็นสิ่งดี แต่ไม่ใช่ว่าการทำดีสิ่งหนึ่งแล้วจะเป็นใบอนุญาตให้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่นๆได้

 

ในประเทศฝรั่งเศสที่มีความชุกของผู้สูบบุหรี่ในเพศชาย36.6% และเพศหญิง 26.7% [1] เป็นความพยายามมานานแล้วของสมาคมสิทธิผู้ไม่สูบบุหรี่ (l’association Droits des non fumeurs) ที่ยื่นคำร้องให้ศาลตีความกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะที่ปิดเช่นภายในตัวตึกนั้น ว่าให้รวมถึงลานกว้างที่มีที่กำบังด้วยเช่นกัน ซึ่งตามปกติแล้วในร้านอาหารหรือร้านคาเฟ่ บาร์ต่างๆจะมีลานกว้างภายนอกร้านเพื่ออนุญาตให้สูบบุหรี่ได้ และบางร้านนั้นที่ลานกว้างก็มีกันสาดเพื่อปิดไม่ให้ฝนหรือแดดเข้ามาได้ ส่วนในที่สาธารณะที่เป็นที่เปิดเช่นในส่วนสาธารณะต่างๆนั้นไม่มีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ ดังนั้นสภาพของลานกว้างที่มีกันสาดจึงเป็นเสมือนสภาพกึ่งปิดและกึ่งเปิดที่เปิดช่องให้สมาคมสิทธิผู้ไม่สูบบุหรี่ยืนคำร้องได้

อย่างไรก็ตามวันที่ 11 พฤษภาคม 2012 ศาลอุทธรณ์ของฝรั่งเศสยืนยันคำตัดสินของศาลชั้นต้นให้มีคำพิพากษาไม่รับคำฟ้องของสมาคมสิทธิผู้ไม่สูบบุหรี่ และยังคงถือว่าอนุญาตให้ประชาชนสามารถสูบบุหรี่ได้ในที่สาธารณะที่เป็นที่เปิดรวมถึงลานกว้างที่มีกันสาดด้วย ถึงแม้คำตัดสินไม่ได้เป็นอย่างที่ต้องการ ทางสมาคมสิทธิผู้ไม่สูบบุหรี่ก็ยังคงไม่ลดละความพยายามและจะยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาในภายภาคหน้า

หัวข้อข่าวนี้อาจเป็นหัวข้อที่ไม่น่าสนใจแต่ในประเทศฝรั่งเศสแล้วกลับปรากฏบนหนังสือพิมพ์หลายฉบับและในอินเตอร์เนต การรณรงค์ไม่สูบบุหรี่มีอะไรมากกว่าที่คิด

ยาสูบเป็นพืชในตระกูล Nicotiana ใบของยาสูบไว้ใช้สำหรับบริโภคเช่น การเผาสูดสารระเหยหรือควัน มีการใช้ยาสูบกันมานานแล้วโดยเฉพาะในทวีปอเมริกาและจีน ซึ่งบ้างใช้เป็นยารักษาโรค บ้างบริโภคในเทศกาลสำคัญงานฉลองต่างๆ ยาสูบเริ่มแพร่เข้ามาในทวีปยุโรปในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 เมื่อโคลัมบัสนำมาจากทวีปเมริกา การบริโภคยาสูบเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในฐานะสินค้าบริโภคอย่างหนึ่ง โดยไม่มีมาตรการทางกฎหมายห้ามปรามการบริโภค แต่เนื่องด้วยจากฤทธิ์ของยาสูบต่อสมองที่ส่งผลให้คนสูบมีอาการอยากมากขึ้นเรื่อยๆและขาดไม่ได้ รวมถึงการผลิตเป็นอุตสาหกรรมจำนวนมากๆ และการศึกษาที่พบว่ามีผลเสียต่อสุขภาพหลายๆประการ ทำให้ปัจจุบันทุกๆประเทศจึงมีกฏหมายและมาตรการการควบคุมการผลิต นำเข้า จำหน่าย และบริโภคยาสูบ

อย่างไรก็ตามมาตรการทางกฎหมายเพื่อควบคุมยาสูบเพิ่งจะริเริ่มในช่วงทศวรรษ 1960-1970 และเป็นที่นิยมในปัจจุบัน โดยเริ่มในประเทศทวีปยุโรป ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากการศึกษาค้นพบทางวิทยาศาสตร์ถึงผลเสียของยาสูบต่อสุขภาพ เช่นปัญหาเรื่องโรคหัวใจ โรคปอด โรคมะเร็ง ซึ่งล้วนเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่แพงหูฉี่ และส่งผลกระทบต่อภาครัฐในการจ่ายค่ารักษาพยาบาล และจากการศึกษาถพบผลกระทบสุขภาพของผู้ที่ไม่สูบบุหรี่แต่ได้รับมาจากควันบุหรี่ของคนรอบข้าง ทำให้มีการเข้มงวดการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะและมีการแบ่งแยกกันมากขึ้น

สำหรับประเทศฝรั่งเศสได้มีกฎหมายที่ควบคุมยาสูบเมื่อปี 1976 โดยกฎหมาย loi Veil(1976) และบัญญัติเพิ่มเติม ในกฎหมาย loi Evin(1992) สาระสำคัญของกฎหมายคือ การห้ามการแจกจ่ายบุหรี่โดยให้เปล่า การห้ามขายบุหรี่แก่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี การห้ามโฆษษาสินค้ายาสูบ การห้ามให้บริษัทยาสูบเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินการกุศลกับสมาคมต่างๆ และการกำหนดที่ห้ามสูบบุหรี่ โดยกำหนดให้สถานที่สาธารณะที่เป็นที่ปิด รวมถึงสถานที่ทำงาน สถานีรถ สถานที่ทำงาน ภายในร้านอาหารหรือคาเฟ่ โรงเรียน และในปี 2007 ได้มีการเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นโดยกำหนดให้ทุกพื้นที่สาธารณะที่เป็นที่ปิด เช่น พิพิธภัณฑ์ต่างๆ เป็นที่ห้ามสูบบุหรี่ แต่เฉพาะบางที่เท่านั้นที่ยังสามารถสูบบุหรี่ได้ เช่นคาสิโน สำหรับห้องที่สูบบุหรี่ต้องมีการกำหนดพื้นที่แยกชัดเจน โดยให้มีพื้นที่มากสุด 35 ตารางเมตร และมีช่องระบายอากาศ

เมื่อทุกคนทราบผลเสียของควันบุหรี่ทางตรงและทางอ้อมต่อสุขภาพแล้ว หลายคนอาจเห็นด้วยและสนับสนุนมาตรการเชิงรุกเพื่อรณรงค์การไม่สูบบุหรี่เพื่อให้สังคมปลอดบุหรี่ร้อยเปอร์เซนต์ อย่างไรก็ตามการเลือกใช้มาตรการโดยไม่ระมัดระวัง อาจส่งผลอื่นที่ไม่คาดคิดตามมา โดยเฉพาะในระบบเสรีประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรมในสังคมและสิทธิมนุษยชน

ย้อนไปเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2010 ทางสมาคมเพื่อสิทธิผู้ไม่สูบบุหรี่ไม่ได้ระวังและได้ออกแผ่นป้ายรณรงค์การไม่สูบบุหรี่ที่อื้อฉาวต่อสังคม แผ่นป้ายนี้ทำการปิดได้แค่เพียงหนึ่งวันและทนต่อกระแสต่อต้านทางสังคมไม่ไหว ต้องทำการเก็บทำลายหมด

ภาคภูมิ แสงกนกกุล: การรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ในที่สาธารณะมีอะไรมากกว่าที่คิด

คอนเซปต์ของแผ่นป้ายคือเพื่อรณรงค์ให้ลดจำนวนเด็กอายุน้อยที่สูบบุหรี่ โดยชี้ให้เห็นว่าการสูบบุหรี่เหมือนเป้นการยอมอยู่ใต้อำนาจอะไรบางอย่างเหมือนเด็กอยู่ใต้อำนาจของผู้ใหญ่ แต่ทว่าในแผ่นป้ายโฆษณากลับสื่อออกมาถึงการกดขี่ทางเพศมากกว่า เมื่อปรากฏรูปของเด็กชายและเด็กหญิงก้มลงต่อหน้าผู้ใหญ่ในขณะที่ภายในปากคาบบุหรี่อยู่ซึ่งตำแหน่งของบุหรี่ดันอยู่ตรงอวัยวะเพศชายพอดิบพอดี

และในปัจจุบันจากคำตัดสินของศาลอุททรณ์ที่กำหนดให้ลานกว้างที่มีกันสาดเป็นที่ที่สูบบุหรี่ได้ ก็สะท้อนถึงการสร้างความสมดุลย์ระหว่างพื้นที่ของผู้ที่สูบบุหรี่กับพื้นที่ของผู้ที่ไม่สบบุหรี่ ให้มีพื้นที่ยืนในสังคมได้อย่างเท่าเทียมกัน และรักษาการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุขของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ในทางกลับกันการรณรงค์อย่างหรักหน่วงให้ลดเหลือการบริโภคบุหรี่ศูนย์เปอร์เซนต์ก็อาจเป็นการทำลายความหลากหลายวัฒนธรรมและเป็นการพยายามผลักดันให้ผู้ที่สูบบุหรี่กลายเป็นเผ่าพันธุ์อื่นที่น่ารังเกียจในสังคม

แน่นอนละว่าการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่เป็นสิ่งดี แต่ไม่ใช่ว่าการทำดีสิ่งหนึ่งแล้วจะเป็นใบอนุญาตให้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่นๆได้

เมื่อพูดถึงการเหยียดชนเผ่าแล้ว มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแถมท้ายก่อนจบ ในเรื่องการรณรงค์การไม่สูบบุหรี่นั้นถึงแม้เป็นที่นิยมในทศวรรษ 1960-1970ก็ตาม แต่ผู้ที่ริเริ่มการรณรงค์การไม่สูบบุหรี่อย่างจริงจังคนแรกคือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งฮิตเลอร์แต่ก่อนเป็นคนที่สูบบุหรี่จัดมากแต่วันหนึ่งพบว่าสุขภาพตัวเองแย่ลงเรื่อยๆเมื่อให้หมอตรวจพบว่าเป็นเพราะสาเหตุจากการสูบบุหรี่จัดและหมอให้ฮิตเลอร์งดบุหรี่ลง เมื่อท่านผู้นำมิดำริจะงดบุหรี่เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว ก็อยากเผยแพร่ความคิดนี้ให้กับลูกหลานชาวอารยันทุกคน เพื่อจะได้มีสุขภาพดีกันถ้วนหน้า เพื่อให้ชาวอารยันมีสุขภาพร่างกายที่บริสุทธิ์ แต่ทว่าการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ของฮิตเลอร์เต็มไปด้วยความโหดร้ายและเหยียดเชื้อชาติ ฮิตเลอร์เชื่อว่ายาสูบเป็นผลผลิตของคนแดง(อินเดียนแดง)เพื่อจะมาทำลายคนขาว และยังกล่าวหาว่าพวกยิวที่เป็นตัวชั่วร้ายนำยาสูบเข้ามาเผยแพร่ในยุโรป นอกจากนี้การรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ยังสัมพันธ์กับนโยบายเจริญพันธุ์ของชาวอารยันด้วย (reproductive policies) การสูบบุหรี่ส่งพิษร้ายระดับยีนที่จะทำให้เชื้อสายอารยันที่บริสุทธิ์ต้องมีอันแปดเปื้อน การสูบบุหรี่ของมารดาขณะตั้งครรภ์จะส่งผลให้เด็กในครรภ์มีปัญหาสุขภาพ ความชั่วร้ายของการสูบบุหรี่ร้ายแรงพอๆกับการเกิดมาแล้วพิการในสังคมเยอรมันสมัยนั้นทีเดียว

 

อ้างอิง:

  1. http://www.who.int/tobacco/mpower/mpower_report_prevalence_data_2008.pdf
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"เวยปั๋ว" ไมโครบล็อกจีน ออกกฎหักแต้มผู้ใช้ คะแนนหมดลบแอคเคาท์

Posted: 31 May 2012 03:13 AM PDT

เวยปั๋ว เว็บไซต์ไมโครบล็อกของจีน ซึ่งมีลักษณะคล้ายทวิตเตอร์ เริ่มระบบหักคะแนนผู้ใช้หากมีการละเมิดกฎ โดยหากผู้ใช้ถูกหักคะแนนเหลือศูนย์ แอคเคาท์จะถูกลบทันที


weibo.com
 

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา เวยปั๋ว เว็บไซต์ไมโครบล็อกของจีน ซึ่งมีลักษณะคล้ายทวิตเตอร์ ได้เริ่มระบบให้คะแนนผู้ใช้ หลังทางการจีนวิจารณ์ว่า มีผู้โพสต์ข่าวลือที่ "ไม่มีมูล" ในเว็บดังกล่าว ทั้งนี้ ซินา คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ระบุว่า ขณะนี้ เวยปั๋วมีผู้ใช้มากกว่า 300 ล้านรายแล้ว

เริ่มต้น ผู้ใช้จะได้รับ 80 คะแนน และจะได้คะแนนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขาย แต่จะถูกหักคะแนนเมื่อละเมิดกฎใดๆ ที่ตั้งไว้ โดยหากคะแนนลดลงต่ำกว่า 60 คะแนน จะมีการแจ้งเตือน "low credit" บนหน้าของผู้ใช้ เพื่อชี้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะถูกลบบัญชีผู้ใช้ (แอคเคาท์) หากคะแนนเหลือศูนย์ แต่หากผู้ใช้ยังปฏิบัติตามกฎได้ในสองเดือนต่อมา คะแนนจะกลับไปที่ 80

แครี่ บราวน์ หัวหน้าโครงการเอเชียของ Chatham House think tank กล่าวว่า นี่เป็นสัญญาณของทางการจีน ในการพยายามควบคุมอินเทอร์เน็ตในจีน แต่กลุ่มฮาร์ดคอร์ก็จะยังคงหาทางหลีกเลี่ยงการควบคุมนั้น

"มันเป็นเรื่องปกติของการวิจารณ์ทางอ้อม ที่ผู้คนจะกล่าวถึงประเด็นต่างๆ โดยใช้รหัสลับ ผมสงสัยมากว่ากฎเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงอะไร" บราวน์กล่าว

ข่าวเรื่องการเพิ่มกฎนี้ถูกรายงานในสื่อตะวันตกเป็นที่แรก โดย the Next Web อ้างอิงจากเวอร์ชั่นที่แปลโดยกลุ่มอาสาสมัครนิรนาม

"ข้อตกลงของชุมชน" ระบุว่า สมาชิกจะต้องไม่ใช่บริการของเว็บเพื่อปล่อยข่าวลือ เผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จ โจมตีผู้อื่นด้วยการดูหมิ่นในเรื่องส่วนตัวหรือแสดงความเห็นหมิ่นประมาท ต่อต้านหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญจีน เปิดเผยความลับของชาติ คุกคามเกียรติของจีน สนับสนุนลัทธิหรือความเชื่อผิดๆ หรือเรียกร้องให้เกิดการประท้วงที่ผิดกฎหมายหรือการรวมตัวของมวลชน นอกจากนี้ ยังระบุด้วยว่า สมาชิกจะต้องไม่ใช้การแสดงออกทางอ้อม หรือวิธีอื่นใดเพื่อเลี่ยงกฎเหล่านี้

ที่ผ่านมา ในบางครั้ง มีการใช้ชื่อย่อหรือรหัสลับ เพื่อหลบเลี่ยงการถูกตรวจพบ

บทวิเคราะห์ใน The Tech in Asia เว็บข่าวเทคโนโลยีตั้งข้อสังเกตว่า ซินาไม่ได้ตั้งกฎนี้ขึ้นเอง

"กฎเหล่านี้เกิดจากการกดดันโดยตรงจากกฎหมายจีนและมีผลบังคับใช้กับเวยปั๋ว ไม่ว่าซินาจะระบุไว้ในข้อตกลงการใช้บริการหรือไม่ก็ตาม" อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์ดังกล่าวระบุว่า ระบบให้คะแนนของซินานี้ก็ถือเป็นนวัตกรรม

ซินา และคู่แข่งอย่าง ไป่ตู้ (Baidu) และเท็นเซ็นต์ (Tencent) ถูกสั่งให้ให้สมาชิกต้องลงทะเบียนด้วยชื่อจริงภายในเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตาม ต่อมา ซินาได้ยอมรับว่ายังไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้ทั้งหมด

เมื่อเดือนที่ผ่านมา ทางการจีนได้สั่งให้ซินาและเท็นเซ็นต์ระงับการโพสต์แสดงความเห็นของผู้ใช้เป็นเวลา 3 วันหลังมีการปล่อยให้ข่าวลือแพร่ออกไป โดยซินหัว สำนักข่าวของทางการจีนรายงานว่า เว็บไซต์เหล่านี้ "ให้คำมั่นว่าจะมีการจัดการที่เข้มงวดขึ้น"

ทางการจีนวิจารณ์การรายงานที่ผิดพลาดที่แพร่กระจายทั่วไมโครบล็อก อาทิ ข่าวการลอบสังหาร คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และเรื่องของการรัฐประหารโดยกองทัพ เพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี หู จิ่นเทาของจีน

นอกจากนี้ โซเชียลมีเดียของจีนยังถูกกดดันให้มีการกรองข้อความที่มีคำที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่กำลังเป็นที่โต้แย้งด้วย และเมื่อครั้งที่ ปั๋ว ซีไหล อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์นครฉงชิ่งถูกปลดจากคณะกรรมการบริหารสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์ เว็บไซต์จำนวนมากก็ไม่แสดงผลการค้นหาที่มีชื่อของเขา

 


ที่มา:

China's Weibo microblog introduces user contracts
http://www.bbc.com/news/technology-18208446


Sina Weibo’s User Contract is Not a Big Deal

http://www.techinasia.com/sina-weibos-user-contract-big-deal/

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พธม.ขอส่งตัวแทน 200 คนเข้าสภา-ร่วมฟังการถก พ.ร.บ.ปรองดอง

Posted: 31 May 2012 12:34 AM PDT

โฆษกพันธมิตรขอตอบใน 1 ชม. ขู่ยกระดับชุมนุมไล่ "ยิ่งลักษณ์" หากไม่ได้คำตอบ ชี้หากมีความรุนแรงเกิดขึ้นจะเกิดเพราะรัฐบาลเป็นผู้กำหนดให้เกิด ด้านอภิสิทธิ์รับเหตุการณ์ในสภาส่งผลต่อภาพลักษณ์พรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่จำเป็นต้องขอโทษเพราะไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แนะประธานรัฐสภาเปลี่ยนท่าทีจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก

วอยซ์ทีวี [1][2] รายงานวันนี้ (31 พ.ค.) ว่า นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 โดยระบุว่า กลุ่มพันธมิตรฯ จะอาศัยรัฐธรรมนูญ มาตรา 56 ที่บัญญัติให้บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสาธารณะในครอบครองของหน่วยราชการและหน่วยงานของรัฐ ตลอดจนรัฐธรรมนูญ มาตรา 87 (2) และ 87 (3) ได้บัญญัติให้รัฐต้องดำเนินการตามนโยบายด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวขสอบการใช้อำนายรัฐทุกระดับ จึงจะขอส่งตัวแทนกลุ่มเข้าร่วมรับฟังการพิจารณาเรื่องดังกล่าวในที่ประชุมสภาฯอาคารรัฐสภา จำนวน 200 คน

ทั้งนี้ จะให้เวลาในการพิจารณาเรื่องดังกล่าว 1 ชั่วโมง และจะต้องแจ้งให้กลุ่มพันธมิตรฯทราบ แต่หากเลยจาก 1 ชั่วโมงไปแล้ว กลุ่มพันธมิตรฯยังไม่ได้รับคำตอบใด ๆ ทางกลุ่มจะประกาศยกระดับการชุมนุมทันที และต่อจากนี้ไปหาก พ.ร.บ.ปรองดองทั้ง 4 ฉบับ ผ่านเข้าสู่วาระการพิจารณาของที่ประชุมสภา ซึ่งอาจจะมีการเลื่อนไปพิจารณาต่อในวันที่ 5-7 มิ.ย.นี้ และอาจจะเป็นการลงมติแบบ 3 วาระรวด ทางกลุ่มพันธมิตรฯ จะยกระดับการชุมนุมเป็นการขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทันที

"เพราะถือว่าเป็นผู้ดูและฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ตอนนี้กลับทำลายกระบวนการยุติธรรมจดหมดสิ้น และทุกคนก็รู้ดีอยู่แล้วว่านายกฯ เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง ส่วนจะเป็นการชุมนุมที่ยืดเยื้อหรือไม่นั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ความรุนแรงไม่ได้เกิดขึ้นจากลุ่มพันธมิตร แต่จะเกิดขึ้นหากรัฐบาลเป็นผู้กำหนดให้เกิด" นายปานเทพกล่าว

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเหตุการณ์ความวุ่นวาย ระหว่างเสนอเลื่อนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปรองดอง 4 ฉบับ เมื่อวานนี้ (30 พ.ค.)ว่า ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และภาพที่ปรากฏออกมาไม่เหมาะสม แต่ไม่จำเป็นต้องขอโทษ เพราะไม่ได้ทำผิดกฏหมาย

ประกอบกับฝ่ายค้านต้องการให้ระงับการพิจารณาร่าง พรบ.ปรองดอง เพื่อความถูกต้อง จึงต้องการให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบ โดยการถอนร่าง พรบ.ทั้ง 4 ฉบับ ออกจากการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฏรก่อน เพราะมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเงิน อีกทั้งยังสร้างความขัดแย้งในสังคม ซึ่งนายกรัฐมนตรี ไม่สามารถหลีกหนีความรับผิดชอบได้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ของบ้านเมือง และการสร้างความปรองดอง เป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรง ดังนั้นยืนยันว่าฝ่ายค้านจะเดินหน้าคัดค้านให้ถึงที่สุด อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าฝ่ายค้านสามารถทำงานร่วมกับประธานสภาผู้แทนได้ ในฐานะ ส.ส. แต่ประธานต้องเปลี่ยนท่าที ไม่ใช้อำนาจอย่างไม่เหมาะสมอีก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นมาอีก

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "ปรองดอง"

Posted: 30 May 2012 08:25 PM PDT

ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "ปรองดอง"

อองซาน-อภิสิทธิ์ ภาพที่ต้องให้คำแนะนำ

Posted: 30 May 2012 08:07 PM PDT

(ภาพจาก Facebook: Abhisit Vejjajiva)

 

คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรกับภาพที่เกิดขึ้น หญิงหนึ่งชายหนึ่งจับมือกันในห้องรับรอง  หากแต่ภาพดังกล่าวคือนาง อองซาน ซูจี กับผู้ชายนายหนึ่งที่มีนามว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

อาทิตย์นี้คงเป็นบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของประเทศไทยและของโลก เป็นความภาคภูมิใจของประชาชนผู้รักและศรัทธาในประชาธิปไตยกับการที่นางอองซาน ซูจี ตอบรับเข้าร่วมการประชุมระดับโลกอย่าง World Economic Forum ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ในช่วงวันที่ 30-31 พฤษภาคม 2012 การเยือนประเทศไทยครั้งนี้ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งต่อประชาชนคนไทย เพราะนี่ไม่ใช่เพียงการเข้าร่วมการประชุมเวทีผู้นำระดับโลกธรรมดา แต่นี่เป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกในรอบ 24 ปี ของนางอองซาน ซูจี เลยทีเดียว เป็นเหตุการณ์ที่สื่อทั่วโลกจับตามอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ไม่ว่านางอองซาน ซูจี จะไปที่ไหนจะมีสื่อมวลชนมากมายตามไปทุกที่

เพียงย่างก้าวแรกที่เท้าเธอสัมผัสผื่นแผ่นดินไทย นางอองซาน ซูจี ก็ได้สร้างรอยยิ้มและความประทับใจให้กับคนไทยและผู้สื่อข่าวที่รอต้อนรับเธอที่สนามบินสุวรรณภูมิในทันทีด้วยรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ จริงใจ พร้อมกับการโบกมือทักทายอย่างเป็นกันเอง

ยิ่งกว่านั้น ภารกิจแรกที่เธอเลือกที่จะทำ คือ การไปพบปะแรงงานพม่าในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครในเช้าวันรุ่งขึ้น จากข้อเท็จจริงคงจะมีผู้นำระดับโลกไม่น้อยที่ต้องการนัดพบปะเธอเป็นการส่วนตัว แต่เธอเลือกที่จะไปพบกับประชาชนผู้เป็นที่รัก ประชาชนชาวพม่าที่หลายคนเคยเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแต่ปัจจุบันเป็นเพียงผู้พลัดถิ่น ด้อยเกียรติ ด้อยศักดิ์ศรี เป็นคนขายแรงงานในพื้นที่อุตสาหกรรม แม้แต่คนไทยเองหลายต่อหลายคนยังเหยียดถึงความด้อยค่าความเป็นมนุษย์ต่อแรงงานต่างด้าวเหล่านี้ ดังนั้น ภารกิจแรกนอกประเทศครั้งนี้ได้สะท้อนถึงความห่วงใยประชาชนชาวพม่าพลัดถิ่นในฐานะมนุษย์ที่มีคุณค่ายิ่งในสายตาของคนบางคนจนก่อให้เกิดกระแสในหมู่คนไทยเอง กระทั่งมีคำกล่าวว่า "ถ้าไม่ใช่ผู้นำที่คิดถึงแต่ประชาชนคงคิดไม่ได้เช่นนี้" 

อองซาน ซูจี บุตรีคนสุดท้องของนางดอว์ ขิ่นจี มารดา กับนายพลอู ออง ซาน บิดา ผู้ซึ่งเป็นผู้นำการต่อสู้ต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นและปลดแอกอาณานิคมจากอังกฤษจนพม่าได้รับเอกราชในวันที่ 4 มกราคม 1948 

ซูจีเกิดและใช้ชีวิตอยู่ที่พม่าจวบจนบิดา นายพลออง ซาน ถูกสังหารในปี 1947 ก่อนที่พม่าจะได้รับเอกราช หลังจากนั้นมารดาได้ย้ายไปทำงานที่อินเดียซึ่งซูจีก็สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาที่นั่น ก่อนที่จะเดินทางไปศึกษาต่อในสาขาปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ที่เซนต์ฮิวจ์คอลเลจ  มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ในช่วงเวลาดังกล่าวเธอได้พบกับนายไมเคิล อริส (Michael Aris) ซึ่งเป็นนักวิชาการชาวอังกฤษ ทั้งสองแต่งงานกันและมีบุตรชายด้วยกันสองคน

ในปี 1988 ด้วยวัย 43 ปี ซูจี เดินทางกลับพม่าเพื่อมาดูแลมารดาที่กำลังป่วยหนัก ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่พม่าตกอยู่ในภาวะวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่เกิดจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศของนายพลเนวิน ผู้นำประเทศในขณะนั้น การเรียกร้องประชาธิปไตยโดยกลุ่มนักศึกษาและประชาชนเรือนแสนเริ่มขยายจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไป และในวันที่ 26 สิงหาคม 1988 นี้เอง ซูจีได้กล่าวปราศัยครั้งแรกต่อหน้ามวลชนกว่า 5 แสนคน ประมาณหนึ่งเดือนต่อมา เธอได้ร่วมจัดตั้งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ NLD โดยพรรคของเธอชนะการเลือกตั้งทั่วไปอย่างถล่มทลายในปี 1989 

ในขณะที่ประชาชนเรียกร้องให้มีรัฐบาลประชาธิปไตย แต่ผู้นำทหารกลับสั่งปราบปรามการชุมนุมโดยใช้กองกำลังติดอาวุธ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนหลายพันคน

ในปี 1989 เผด็จการทหารใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกสั่งกักตัวซูจีที่บ้านพักเป็นเวลา 3 ปี และภายหลังได้ขยายเป็น 5 ปี เนื่องจากซุจีปฏิเสธการออกนอกประเทศเพื่อไปใช้ชีวิตที่เรียบง่ายกับสามีและบุตรที่ประเทศอังกฤษ เหตุสืบเนื่องมาจากการที่พรรค NLD ชนะการเลือกตั้งในปีดังกล่าว แต่รัฐบาลเผด็จการทหารปฏิเสธที่จะโอนถ่ายอำนาจให้ และต่อมายังเพิ่มโทษอีก 1 ปีโดยไม่มีข้อกล่าวหา หลังจากนั้นเธอยังถูกกักบริเวณและจำกัดสิทธิอย่างไม่เป็นธรรมอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเรื่อยมา

การต่อสู้กับเผด็จการทหารเพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างยาวนาน แม้ช่วงชีวิตการต่อสู้ของเธอจะต้องพรากจากสามีและบุตรชายทั้งสอง กระทั่งเธอได้ทราบว่าสามีผู้เป็นที่รักป่วยด้วยโรคมะเร็งแต่เธอก็ไม่มีโอกาสดูแลจนนายไมเคิลสามีได้เสียชีวิตลงในปี 1999 แต่การต่อสู้ของเธอเพื่อประชาธิปไตยไม่ได้จบลงไปพร้อมกับการเสียชีวิตของสามีเธอแต่อย่างใด

บรรยากาศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในพม่าและการคุมคามต่อผู้คัดค้านทั้งที่เสียชีวิตและถูกจับกุมคุมขัง แม้การข่มขู่เอาชีวิตทั้งต่อกลุ่มที่ร่วมขบวนการและต่อตัวเธอเอง แต่ใบหน้าที่มุ่งมั่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงปรารถนาเพื่อประชาธิไตยกับการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการทหารได้ปรากฎเด่นชัดอีกครั้ง ด้วยภาพถ่ายใบหน้าที่นิ่งไม่สะทกสะท้านต่อความกลัวและความเจ็บปวดที่รายล้อม ท่ายืนแผ่ฝ่ามือขวาพร้อมเขียนชื่อนักโทษการเมือง Soe Min Min (นักโทษการเมืองผู้ถูกจับกุมและคุมขังเป็นเวลา 8 ปี เนื่องจากการอฐิษฐานให้นางซูจีได้รับการปล่อยตัว) ในการเรียกร้องให้รัฐบาลเผด็จการทหารปล่อยตัวนักโทษการเมืองจนเป็นกระแสทั่วโลก ท่าเลียนพระพุทธรูปปางประทานอภัยหรือปางห้ามญาติ (Abhaya) เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายของการปกป้อง สินติสุข และการขับไล่ความกลัว เป็นลักษณะเดียวกันกับที่คนไทยนำมาใช้เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวอากงในคดีหมิ่นฯ

(ภาพจากเว็ปไซต์ http://thuctu.blogspot.com)

 

ซูจีถูกจองจำหลายต่อหลายครั้งจากการใช้อำนาจของเผด็จการทหาร ทั้งห้ามเธอปราศัย พบปะฝูงชน แต่เธอก็ยังต่อสู้ด้วยสันติวิธีด้วยการเขียนจดหมาย ภาพถ่าย และการบันทึกวีดีโอเพื่อสื่อสารต่อรัฐบาลทหารพม่าตามข้อเรียกร้องของเธอ แต่การกระทำทั้งปวงไม่ได้รับการตอบรับจากผู้นำทหารแต่อย่างใด ตลอดการถูกจองจำได้มีกระแสการเรียกร้องจากนักเคลื่อนไหวทั่วโลกเพื่อให้เกิดประชาธิปไตยในพม่าและเรียกร้องให้ปล่อยตัวเธอเป็นอิสระเป็นเวลานานกว่าสองทศวรรษ การเรียกร้อง แทรกแซง และการคว่ำบาตรจากผู้นำประเทศต่างๆ เช่น ประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และการเข้าพบผู้นำทหารพม่าของเลขาธิการสหประชาชาติ นายบัน คี มุน 

ในปี 2010 เริ่มมีการผ่อนปรนมาตราการต่างๆ ตามนโยบายใหม่ของรัฐบาลพม่า กระทั่งปลายปีเดียวกันนี้เองเธอได้รับการปล่อยตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมกับบรรยากาศใหม่ของการเปิดประเทศและการตอบรับต่อการปรับตัวต่อสังคมประชาธิปไตยทั่วโลกจนนำมาสู่การเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปีของเธอในวันนี้ 

อองซาน ซูจี กับพรรค NLD ผู้มีชัยเหนือการเลือกตั้งทั่วไปในปี 1989 และชัยชนะล่าสุดเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาในการเลือกตั้งซ่อม โดยพรรค NLD ของเธอได้ที่นั่งในสภาถึง 43 ที่นั้งจากที่มีการเลือกตั้งทั้งหมด 45 ที่นั่งซึ่งถือเป็นการเตรียมความพร้อมของเธอที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำของพม่าในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในปี 2015 ซึ่งอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของพม่าอีกครั้ง

แม้การต่อสู้กับเผด็จการทหาร เธอจะต้องถูกข่มเหง ข่มขู่ จนบางครั้งถึงขั้นเสียงต่อการเสียชีวิต แต่เมื่อเธอได้รับอิสระภาพ เธอไม่เพียงไม่คิดที่จะแก้แค้นแต่เธอยังมุ่งทำหน้าที่ “เพื่อให้เกิดการปรองดอง” ของคนในชาติพม่าอย่างจริงใจ

อองซาน ซูจี สตรีผู้เปี่ยมไปด้วยเกียรติยศที่ล้วนมาจากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่าอย่างยาวนาน นักสู้ต่อผู้ต่อต้านอำนาจเผด็จการทหารอย่างไม่เกรงกลัว เธอไม่เคยย่อท้อแม้จะถูกกดขี่อย่างไม่เป็นธรรมมาเป็นเวลายาวนาน คำว่า สิทธิ เสรีภาพ และประชาธิปไตย คือสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ยืนหยัดต่อสู่อย่างกล้าหาญ การเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอจนได้รับการเสนอชื่อให้้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในปี 1991 ซึ่งเธอจะเดินทางไปรับรางวัลดังกล่าวที่เมืองออสโล ประเทศนอรเวย์ ในวันที่ 16 มิถุนายนที่จะถึงนี้

สำหรับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชื่อนี้คงไม่ต้องบรรยายถึงสรรพคุณสำหรับบุคคลที่คร่ำหวอดในวงการการเมือง ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนของไทย แม้ว่าทั้งสองคนจะสำเร็จการศึกษาจากสถาบันเดียวกัน แต่เมื่อกล่าวถึงบทบาทของศิษย์เก่าสถาบันอันทรงเกียรตินี้ คงจะอดตั้งคำถามต่อจุดยืนของศิษย์เก่าสัญชาติไทย(?)คนนี้ไม่ได้

นับแต่เกิดการทำรัฐประหารโดยอำนาจทหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2006 หรือ 19 กันยา 49 มีการกระทำและการออกกฎหมายแบบเผด็จการหลายต่อหลายฉบับ แต่นายอภิสิทธิ์คนนี้ไม่เคยออกมาตอบโต้การล้มล้างระบอบประชาธิปไตยและความไม่ชอบธรรมของเผด็จการทหารเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งกว่านั้น การจัดตั้งรัฐบาลเนื่องจากความร่วมมือของฝ่ายตุลาการและการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองของพรรคเล็กอันก่อคุณูปการใหญ่หลวงยิ่งต่อการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะคนนี้ให้ได้เป็นนายกฯ สมใจ ก็โดยการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารนั่นเอง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้แพ้การเลือกตั้งจากพรรคประชาธิปัตย์ที่รักษาความเสมอต้นเสมอปลายในรูปแบบการขับเคลื่อนทางการเมืองมากว่า 66 ปี กับสไตล์การเล่นการเมืองที่มุ่งทำลายฝ่ายตรงข้ามในทุกรูปแบบ การกลับคำแบบไม่มีจุดยืนเป็นที่ประจักษ์ นี่ยังไม่รวมหลายต่อหลายกรณีที่ตนออกมาโจมตีพรรคฝ่ายตรงข้ามว่าใช้นโยบายประชานิยม ในขณะที่ตนเองเมื่อคราวได้มีโอกาสเป็นรัฐบาลก็มีนโยบายอภิมหานิยมแจกแถมอย่างทั่วหน้า นี่ยังไม่รวมกรณี(เกือบจะ)ล่าสุดที่ลูกพรรคใช้ข้อมูลที่พิสูจน์ไม่ได้ดูหมิ่นเหยียดหยามต่อการเป็นสตรีเพศของ นายกฯนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และกรณีที่ นายณัฎฐ์ บรรทัดฐาน ลูกพรรคอีกคนดูภาพโป้กลางสภาอันทรงเกียรติซึ่งเป็นการลดทอนเกียรติยศและศักดิ์ศรีของสตรีเพศในที่สาธารณะที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนอย่างน่าละอาย แต่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบในฐานะผู้นำหรือหัวหน้าพรรคแต่อย่างใด ล่าสุด(จริงๆ)จากกรณีการแสดงมารยาทคัดค้านการเลื่อนร่าง พรบ.ปรองดองฯ ขึ้นมาพิจารณาของสภาทำให้เกิดความวุ่นวายที่ได้รับการประณามว่าเป็นความ “ถ่อย” นี่ถือว่าเป็นจุดต่ำสุดของพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือยัง

แม้ว่าปัจจุบันทั้งอภิสิทธิ์และซูจีจะมีจุดยืนทางการเมืองร่วมกันในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน แต่สำหรับอนาคตนั้นคงเดาได้ไม่ยากว่าทั้งคู่จะยืนอยู่บนจุดที่แตกต่างกันเพียงไรบนเส้นทางการเมืองของทั้งสองประเทศ

ทั้งนี้ ผู้เขียนคงไม่มีเจตตนาที่จะถากถางหรือดูหมิ่นเพื่อให้คุณอภิสิทธิ์หรือพรรคประชาธิปัตย์ต่ำต้อยด้อยค่าประการใด เพียงแต่อยากทวงถามถึงจุดยืนทางการเมืองในฐานะประชาชนคนหนึ่งว่า โดยมโนธรรมสำนึกของคุณอภิสิทธิ์ที่เล่นการเมืองนั้น มีจุดยืนเพื่อ สิทธิ เสรีภาพ และประชาธิปไตย ดังเช่นที่นางอองซาน ซูจี ยืนหยัดและพร้อมที่จะแลกมาด้วยชีวิตหรือไม่ หากคำตอบคือ “ไม่” ผู้เขียนจะขอยกย่องหากคุณอภิสิทธิ์จะยอมรับว่าคุณไม่สามารถทำหน้าที่เช่นนั้นได้และเลือกที่จะเดินออกจากเส้นทางอาชีพนักการเมืองเพื่อไปทำอาชีพอื่นที่เหมาะสมยิ่งกว่า ไม่ใช่เอาตัวเองมาอยู่บนหน้าสื่อเคียงคู่กันบุคคลที่คนทั่วโลกยกย่องในความศรัทธาต่อสิทธิ เสรีภาพ และประชาธิปไตยเช่นนี้

การเป็นผู้นำทางการเมืองที่ดีไม่ใช่คนที่จะต้องสะอาดบริสุทธิ์ไร้มลทินอย่างที่คุณอภิสิทธิ์พยายามที่จะเป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ผู้นำที่ดีคือบุคคลที่ถ่อมตัวลงยอมรับความผิดพลาดและเรียนรู้เพื่อที่จะแก้ไข และมุ่งทำงานเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างจริงใจ ผู้นำคือผู้ที่ยืนหยัดเคียงข้างประชาชนอย่างกล้าหาญเพื่อความถูกต้องชอบธรรมในทุกๆ สถานการณ์ คำถามวันนี้ต่อคุณอภิสิทธิ์ คือ ท่ามกลางความขัดแย้งของสังคม การมีอำนาจแทรกแซงจากภายนอก กฎหมาย กฎเกณฑ์ที่ยังไม่เป็นธรรมและไม่เป็นประชาธิปไตย “อะไรคือจุดยืนทางการเมืองของคุณอภิสิทธิ์”

แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองคนได้พบกัน เพราะนายอภิสิทธิ์และคณะเคยบินไปพบกับนางอองซาน ซูจี ที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่าเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง เช่นนี้ผู้เขียนก็แอบหวังลึกๆ ว่า ในโอกาสที่ดีที่คุณอภิสิทธิ์ได้พบปะพูดคุยกับผู้นำระดับโลกอย่างนางอองซาน ซูจี ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งประชาธิปไตย (Democracy icon) อย่างที่ผู้นำระดับโลกหลายต่อหลายคนอยากมีโอกาสเช่นนี้บ้างแต่ไม่มีโอกาส ก็หวังว่าการพบปะถึงสองครั้งนี้คงจะทำให้คุณอภิสิทธิ์ได้เรียนรู้ ซึมซับถึงอุดมการณ์ ความกล้าหาญ จิตใจที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง จิตสำนึกความรักต่อประชาธิปไตย และความรักที่มีต่อประชาชนของหญิงเหล็กผู้นี้บ้าง หรือว่าคุณอภิสิทธิ์อาจจะไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่

ก็ยังหวังอีกว่านี่คงไม่ใช่การเข้าพบเพื่อให้มีพื้นที่สื่อทั่วโลกเพื่อประชาสัมพันธ์ตัวเองของนายอภิสิทธิ์แต่อย่างใด เพราะหากเป็นเช่นนั้นอาจจะก่อให้เกิดคำถามที่ตอบลำบากสำหรับคนไทยหากถูกชาวต่างชาติถามว่า “Who is this guy?”

หากเป็นเช่นนั้น ภาพที่ปรากฏนี้อาจจะต้องเป็นภาพที่ผู้ปกครองของอนุชนรุ่นหลังจะต้องให้คำแนะนำและทำความเข้าใจในการชมภาพดังกล่าวอย่างระมัดระวังยิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสำคัญผิดในสาระสำคัญจากภาพที่จะให้มองอย่างไรก็ไม่เข้ากันในองค์ประกอบ ซึ่งผู้เขียนก็ได้แต่ภาวนาว่าคงจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริง เพราะผู้นำทางการเมืองของไทยนั้นให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ของประชาชนชาวสยาม โดยคำนึงถึงสิทธิ เสรีภาพ และประชาธิปไตยอย่างดียิ่ง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวบ้าน นักวิชาการ ถกปัญหา '15 ปี คดีที่ดินลำพูน อาชญากร และกระบวนการยุติธรรม'

Posted: 30 May 2012 07:42 PM PDT

 

เป็นที่รับรู้กันดีว่า คดีที่ดินลำพูน กลายเป็นปัญหาตัวอย่างระหว่างรัฐ กระบวนการยุติธรรม นายทุนและชาวบ้าน มาอย่างยาวนานหลายสิบปี และกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากเป็นคดีพิพาทระหว่างเกษตรกรกับนายทุนและรัฐที่มีความขัดแย้งมายาวนาน จนมีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับเกษตรที่ไร้ที่ดิน ซึ่งเข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินที่ถูกทิ้งร้างเป็นจำนวน 125 คน ที่ผ่านมา ทำให้ชาวบ้านในหลายๆ พื้นที่ของ จ.ลำพูน ได้มีการฟ้องร้องและมีการดำเนินคดี ตัดสินจำคุกไปแล้วเป็นจำนวน 22 ราย ได้แก่ ชาวบ้านบ้านท่าหลุก ต.หนองล่อง กิ่ง อ.เวียงหนองล่อง จ.ลำพูนจำนวน 20 ราย  ในจำนวนนี้เสียชีวิตไปแล้ว 2 ราย โดยเสียชีวิตในคุกจำนวน 1 ราย  และเสียชีวิตนอกคุก 1 ราย  และที่บ้านดงขี้เหล็ก ต.ศรีเตี้ย อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูนจำนวน 2 ราย  ทั้งหมดได้รับการอภัยโทษเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2553  

กระนั้น คดีที่ดินลำพูน ยังคงเป็นปัญหาไม่จบสิ้น โดยในวันที่ 6 มิถุนายน 2555 นี้ จะมีการพิจารณาตัดสินคดีในชั้นศาลฎีกา โดยครั้งนี้เป็นกรณีของบ้านพระบาท อ.ป่าซาง จ.ลำพูน  จะมีการตัดสินทั้งสิ้น 3 คนคือ 1.นายประเวศน์ ปันป่า แกนนำชาวบ้าน ซึ่งศาลชั้นต้นลง 6 ปี ต่อมาศาลอุทธรณ์ยืนตามนั้น  2.นายรังสรรค์ แสนสองแคว แกนนำชาวบ้านในการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปที่ดินชุมชนโดยชุมชน ปัจจุบันเป็นประธานสหกรณ์การเกษตรโฉนดชุมชนป่าซาง จำกัด และ 3.นายสืบสกุล กิจนุกร เจ้าหน้าที่องค์กรพัฒนาเอกชน สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ(สกน.) โดยกรณีของนายรังสรรค์ แสนสองแคว และนายสืบสกุล กิจนุกร นั้น ก่อนหน้า ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ต่อมา ศาลอุทธรณ์พลิกคดี ตัดสินลงโทษ 4 ปี

และในวันที่ 6 มิถุนายน 2555 นี้ จะมีการพิจารณาตัดสินคดีทั้ง 3 คนในชั้นศาลฎีกา  

นั่นทำให้หลายฝ่ายหันกลับไปศึกษาวิเคราะห์ถึงกรณีพิพาทเรื่องที่ดินลำพูน ระหว่างรัฐ นายทุนกับชาวบ้าน ว่าทำไมถึงเกิดปัญหาความขัดแย้งกันมายานนาน ทำไมที่ดินจึงตกกลายเป็นของนายทุน ทำไมชาวบ้านถึงเข้าไปยึดครอง และทำการปฏิรูปที่ดินชุมชนโดยชุมชน และทำไมกระบวนการยุติธรรมจึงมักตัดสินลงโทษเอาผิดชาวบ้านมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน จนกลายเป็นที่มาของคำว่า คดีของคนจน คนจนล้นคุก แต่ทว่านายทุนกลับฮึกเหิมและรัฐกลับนิ่งเฉย?!

ล่าสุด ในบ่ายวันที่  31 พฤษภาคม 2555 นี้ ที่ ร้าน Book Re : public ริมคลองชลประทาน จะมีการจัดเวที Tea Talk  “15 ปี คดีที่ดินลำพูน อาชญากร  และกระบวนการยุติธรรม” ขึ้นโดยมีแกนนำชาวบ้านได้มาร่วมบอกเล่า ย้อนรอย 15 ปี  ที่ดินลำพูน : จุดเริ่มต้นการปฏิรูปที่ดินในปัจจุบัน โดย นายสุแก้ว ฟุงฟู นายรังสรรค์  แสนสองแคว และนายประยงค์  ดอกลำไย

หลังจากนั้น จะมี 4 นักวิชาการนำโดย อานันท์ กาญจนพันธ์  / ชยันต์ วรรธนะภูต/ฉลาดชาย รมิตานนนท์ และ ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี มาร่วมกันถกเสวนาเรื่อง “คดีที่ดินกับความเป็นอาชญากรในกระบวนการยุติธรรม”

ภายในงาน จะร่วมกันหารือเรื่องการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องขังและครอบครัวคดีที่ดิน เนื่องจากที่มาปัญหาคดีที่ดินนั้นกระทบต่อการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวอย่างหนัก และการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือครั้งนี้  เป็นการนำเงินกองทุนไปช่วยเหลือทั้งผู้ต้องขังและครอบครัว  ซึ่งคนเหล่านี้ได้มีส่วนช่วยผลักดันนโยบายสาธารณะที่ดินและป่าไม้  ทั้งนี้เพื่อเป็นการประทังความเดือดร้อนของเกษตรกร แกนนำ และครอบครัว  ระหว่างที่การแก้ไขทางนโยบายยังดำเนินไป  โดยแผนการระดมทุนระยะเริ่มต้น จะนำเงินที่ได้ส่วนหนึ่งมาจัดทำสินค้าเพื่อการรณรงค์และเป็นการระดมทุนเพิ่ม เช่น เสื้อยืดรณรงค์ กระเป๋าผ้า หมวก และสินค้าที่จะเป็นสัญลักษณ์แห่งการให้กำลังใจ รวมทั้งร่วมขับเคลื่อนการต่อสู้  การผลักดันการแก้ไขปัญหาการกระจายการถือครองที่ดินแก่เกษตรกรที่เป็นธรรมต่อไป

ทั้งนี้ มีรายงานว่า หากท่านใดอยากมีส่วนร่วมในการระดมทุนได้ โดยการโอนเงินสมทบกองทุนช่วยเหลือคดีที่ดิน ชื่อบัญชี ช่วยเหลือคดีที่ดิน เลขที่ 521-0-43383-8  ธนาคารกรุงไทย สาขาถนนสุเทพ ประเภท ออมทรัพย์ หรือติดต่อที่ กป.อพช. ภาคเหนือ  เฉิดฉันท์ ศรีพานิช 086-9158704

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผู้เชียวชาญชาวเกาหลีเป็นห่วง ชะตากรรมอักษรญาวี (Jawi)

Posted: 30 May 2012 07:38 PM PDT

ผู้เชียวชาญทางด้านการเขียนตัวอักษรญาวีเชื้อสายเกาหลี เริ่มเป็นกังวลกับตัวเขียนญาวี ที่นับวันเริ่มจางหายไปในกลุ่มคนรุ่นใหม่มาเลเซีย

 

Bernama - ผู้เชียวชาญทางด้านการเขียนตัวอักษรญาวีเชื้อสายเกาหลี เริ่มเป็นกังวลกับตัวเขียนญาวี ที่นับวันเริ่มจางหายไปในกลุ่มคนรุ่นใหม่มาเลเซีย

ศาสตราจารย์ ดร.กัง กยอง โซก จากมหาวิทยาลัยแห่งเมืองปูซาน ต่างประเทศศึกษา เริ่มศึกษาวิจัยตัวเขียนญาวีตั้งแต่ปี 1974 (พ.ศ.2517) ถือว่าเป็นจุดเด่นของมาเลเซีย

ปัจจุบันตัวเขียนญาวีถือได้ว่าอยู่ในขั้น “ป่วย” และหากว่ายังคงสภาพต่อไป ในอนาคตอาจสูญหายไปได้

“ผู้เชียวชาญหลายต่อหลายท่านที่ผมรู้จักอยู่ในวัยเกษียณแต่กลับไม่มีใครสามารถที่จะมาทดแทนได้ หากว่าผู้เชียวชาญเหล่านี้เสียไป ใครจะมาสามารถดูแลรักษาตัวเขียนญาวีนี้ได้?” เขากล่าวอย่างชัดเจนด้วยภาษาเมอลายู

เขายังเป็นผู้บรรยายที่มหาวิทยาลัยการศึกษาสุลต่านอิดริส หวังต่อหนังสือพิมพ์ที่พิมพ์โดยอักษรญาวี อย่าง Utusan melayu ที่สามารถต่อลมหายใจใหม่แก่ประชาชนที่สนใจในประเทศนี้ได้

นอกจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเช่น สถาบันการแปลประเทศมาเลเซีย (Institut Terjemahan Negara Malaysia และ Dewan Bahasa dan Pustaka จำเป็นที่จะต้องมีบทบาทในการแปลหนังสือหลากหลายเล่มให้เป็นอักษรญาวี ศาสตราจารย์กล่าว

“ในประเทศเกาหลี เราทำการแปลหนังสือหลายเล่มเป็นภาษาเกาหลีเพื่อให้ประชาชนของเรามีความชำนาญมากกว่าภาษาอื่นๆ

ประชาชนชาวมาเลเซียจำเป็นที่จะต้องเรียนการเขียนด้วยตัวอักษรญาวี เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขามีภาคภูมิใจในความเป็นมาเลเซียที่แท้จริง” กล่าวเมื่อตอนเดินทางมามาเลเซียเมื่อ เพื่อวิจัยเก็บข้อมูลเกี่ยวกับอักษรญาวี

หากกล่าวไปแล้วชาวมาเลเซียสมัยนี้มีความคุ้นชินกับการเขียนด้วยตัวอักษรรูมี(โรมัน) และนี่นับได้ว่าเป็นปัจจัยแรกที่ทำให้การเขียนด้วยตัวอักษรญาวีถูกลืมไป

ศาสตราจารย์กยอง โซก กล่าวว่า ระบบการสะกดคำของญาวีปัจจุบันจำเป็นต้องนำกลับมาใช้ด้วยระบบการเขียนญาวีแบบซะบา (Sistem ejaan Jawi Za’ba) ที่สะดวกและง่ายต่อการเรียนการสอน

นี้เป็นพื้นฐานของระบบการเขียนญาวีแบบซะบา ที่มีพื้นฐานเดียวกันกับการเขียนญาวีโบราณ(Jawi Kuno) ที่มาจากตัวอักษรในอัล-กุรอาน

“ตัวเขียนญาวีปัจจุบันเป็นฐาน ส่วนตัวเขียนรูมีนั้น “วิ่ง” มาจากฐานเดิมที่เป็นญาวีโบราณ” เขากล่าว

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ข้อสงสัยหลังกรณีขับไล่เลดี้กาก้า หรืออินโดนีเซียยอมรับความต่างน้อยลง?

Posted: 30 May 2012 07:33 PM PDT

อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการยอมรับความหลากหลาย แต่กรณีทีมงานของเลดี้กาก้าประกาศยกเลิกทัวร์ ก็ไม่ใช่กรณีเดียวเท่านั้นที่ทำให้คนกลัวว่า อินโดฯ จะเปลี่ยนไป

 
จากกรณีที่ผู้จัดทัวร์คอนเสิร์ทของเลดี้กาก้าสั่งยกเลิกการแสดงคอนเสิร์ตในอินโดนีเซีย เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความไม่ปลอดภัย หลังจากที่มีกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงขู่จะออกมาก่อความวุ่นวายหากเลดี้กาก้าเข้ามาในประเทศอินโดนีเซีย
 
ล่าสุดในเว็บไซต์ของสำนักข่าว BBC มีรายงานเรื่องนี้ในชื่อ "อินโดนีเซียเริ่มยอมรับต่อความต่างได้น้อยลงจริงหรือ?"
 
ปูตรี นูรายนี ผู้จัดการแผนกขายอายุ 28 ปีชาวอินโดนีเซีย หลังว่าการแสดงของเลดี้กาก้าจะจัดขึ้นในอินโดนีเซียตามแผน แต่เมื่อวันอาทิตย์ (27) ที่ผ่านมา ทางผู้จัดก็สั่งยกเลิกด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยหลังจากที่กลุ่มอิสลามสุดขั้วขู่จะก่อความวุ่นวาย
 
ปูตรี บอกว่าเธอไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนกลุ่มนี้ถึงต่อต้านเลดี้กาก้ามากนัก
 
"ฉันก็เป็นชาวมุสลิมคนหนึ่ง แต่ไม่เข้าใจว่าพวกเขาต้องการอะไร" ปูตรีกล่าวอย่างเผ็ดร้อน "มันไม่มีเหตุผลเลย เลดี้กาก้าได้ขึ้นไปทำรักบนเวทีเสียที่ไหน ไม่เลย เธอแค่มาแสดง มันน่าตลกจริงๆ"
 
แต่เอฟฟีและลูกชายอายุ 9 ชวบของเธอ อาเดดูจะไม่เห็นด้วยกับปูตรี
 
ในขบวนผู้ชุมนุมชาวมุสลิมอนุรักษ์นิยมที่ต่อต้านเลดี้กาก้า เจ้าหนูอาเดก็ยุ่งอยู่กับการถือป้ายโปสเตอร์ขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวเขา ป้ายที่เขียนไว้ว่า "จงปฏิเสธปีศาจเลดี้กาก้า"
 
เอฟฟีเล่าว่า เธอพาลูกชายของเธอมาในการประท้วงเช่นนี้ตั้งแต่เขายังอยู่ในครรภ์แล้ว มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับมุสลิมคนหนุ่มสาวที่จะลุกขึ้นปกป้องความเชื่อของตน
 
ผู้สื่อข่าว BBC ถามว่าเหตุใดเธอถึงไม่พอใจดารานักร้องผู้นี้นัก หากเธอไม่ชอบดนตรีก็แค่ไม่ต้องไปคอนเสิร์ทก็ได้ ทำไมถึงไม่ยอมให้ชาวอินโดนีเซียคนอื่นๆ ได้เข้าร่วมคอนเสิร์ท
 
"ทุกคนมักจะบอกว่าชาวมุสลิมในอินโดนีเซียเป็นคนที่อดทนต่อความต่างได้" เอฟฟีกล่าวอย่างหนักแน่น "พวกเราเป็นเช่นนั้นจริง แต่พวกเราก็ไม่ได้อยากถูกเหยียบย่ำอยู่ตลอดเวลา พวกเราต้องลุกขึ้นเรียกร้องเพื่อศาสนาอิสลามแล้ว"
 
กรณีทำร้ายนักสตรีนิยม
กรณีของเลดี้กาก้าเป็นเพียงแค่หนึ่งในกรณีที่แสดงให้เห็นถึงความอดทนอดกลั้นต่อความแตกต่างมีน้อยลงในกลุ่มศาสนาของอินโดนีเซีย
 
อินโดนีเซียเป็นประเทศมุสลิมที่มีประชากรมากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นรัฐฆราวาสด้วย
 
อินโดนีเซียมีประวัติศาสตร์ยาวนานด้านการยอมรับต่อความต่างทางศาสนาที่มีระบุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ และถูกทางชาติตะวันตกนำไปใช้เป็นพิมพ์เขียวแบบอย่างชาติมุสลิมที่เป็นประชาธิปไตย เพื่อนำไปใช้กับชาติตะวันออกกลาง
 
แต่ในช่วงไม่นานมานี้กลุ่มมุสลิมฝ่ายสุดขั้วก็เริ่มออกมาเรียกร้องมากขึ้น มีความกังวลว่ารัฐบาลจะไม่ได้หาทางหยุดยั้งพวกเขา
 
มีความกลัวว่า อินโดนีเซียกำลังมีความอดทนอดกลั้นต่อความต่างน้อยลงเรื่อยๆ และพวกสุดขั้วจะเริ่มฉวยโอกาสได้เปรียบ
 
อรีชาด แมนจิ มุสลิมนักปฏิรูปนิยมและนักสตรีนิยมเชื่อเช่นนี้
 
เธอและทีมงานของเธอถูกกลุ่มมุสลิมสุดโต่งโจมตีขณะที่ออกงานเสวนาเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ของเธอชื่อ "องค์อัลเลาะห์ เสรีภาพ และความรัก" ในประเทศอินโดนีเซีย มีเพื่อนร่วมงานของเธอคนหนึ่งถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลจากการบาดเจ็บที่แขน
 
"พวกเขา (กลุ่มมุสลิมสุดโต่ง) เข้ามาพร้อมกับหมวกเหล็กและหน้ากากซ่อนหน้าตา ใช้ไม้เหล็กและไม้กระบองทุบตีคน" อรีชาดกล่าว "พวกเขาไม่เพียงแค่ทำลายทรัพย์สิน แต่ทำให้มีคนเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาลหลายคน มีเพื่อนของฉันรวมอยู่ด้วย"
 
"พวกเราไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ จากเจ้าหน้าที่เลย" เธอเล่าต่อ แสดงความขุ่นเคืองใจออกมาให้เห็น "มีชาวอินโดนีเซียจำนวนมากบอกฉันว่า พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถรายงานเรื่องการข่มขู่คุกคามและการใช้กำลังแบบอันธพาลได้ เพราะจะไม่มีคนระดับสูงคนไหนทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้"
 
"หากพวกเขารายงานเรื่องนี้ พวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่ถูกกระทำรุนแรงในท้ายที่สุด หากพวกเขาไม่ ความรุนแรงก็ยังจะดำเนินต่อไป ดังนั้นพูดตรงๆ เลยคือ สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นกับรัฐพหุนิยมนี้ กำลังเดินไปตามรอยทางของปากีสถาน แทนที่จะไปในทิศทางเดียวกับประชาธิปไตยที่แท้จริง"
 
กลัว 'การไม่ยอมรับความต่าง' กลายเป็นเรื่อง 'ตกสำรวจ' 
ผู้สังเกตการณ์การเมืองในอินโดนีเซียหลายคนเป็นห่วงในเรื่องนี้
 
"ในเดือน ส.ค. 2011 มีเหตุเผาโบสถ์ 3 แห่งในสุมาตรา" แอนเดรีย ฮาร์โซโน จากฮิวแมนไรท์วอทช์ เขียนไว้ในบทบรรณาธิการล่าสุดของนิวยอร์กไทม์
 
"ไม่มีใครถูกตั้งข้อหาเลยสำหรับกรณีนั้น... ต่อมาเกิดการจู่โจมที่โหดเหี้ยมที่สุดในเดือนก.พ. ชายชาวอาเมดิส 3 คนถูกสังหาร ศาลได้ดำเนินคดีกับกลถ่มติดอาวุธ 12 คนในกรณีนี้ แต่ก็ตัดสินคดีแบบโทษไม่หนักมากเพียงแค่จำคุก 4-6 เดือน"
 
นักสิทธิมนุษยชนกลัวว่า การไม่ยอมรับความต่างทางศาสนาในอินโดนีเซียกำลังกลายเป็นเรื่องที่ตกสำรวจ
 
"ในตอนนี้มีกรณีการไม่อดทนยอมรับความแตกต่างเกิดขึ้นในอินโดนีเซียเกือบทุกวัน" โบนาร์ ไนโปโปส นักวิจัยจากสถาบันเซทารากล่าว
 
"มีการเพิ่มขึ้นของกรณีแบบนี้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ได้ทำอะไรกับมันเลยเพราะว่าพวกเขากลัวว่าจะเสียคะแนนเสียงของชาวมุสลิม แม้ว่าชาวมุสลิมส่วนมากในอินโดนีเซียจะเป็นสายกลาง เป็นพลังเงียบที่เป็นเสียงข้างมาก ถ้าหากพวกเราไม่แก้ไขตรงนี้ พวกเราอาจจะแปรสภาพจากประเทศสายกลางกลายเป็นประเทศที่ถูกควบคุมโดยพวกหัวรุนแรง"
 
แต่รัฐบาลอินโดนีเซียก็ปฏิเสธคำวิจารณ์นี้
 
รัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์ตี นาตาเลกาวา กล่าวปกป้องจุดยืนของรัฐบาลอย่างแข็งขัน
 
"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหตุหนึ่งก็ถือว่ามากเกินไป" มาร์ตีกล่าว "แต่สถานการณ์มันไม่ได้ย่ำแย่หนักขาดที่คุณพูดถึง อินโดนีเซียในตอนนี้เป็นประชาธิปไตยและเป็นสังคมที่เปิดกว้างมาก... พวกเรามีพันธกิจในการส่งเสริมการยอมรับความแตกต่างทางศาสนา"
 
"และในเหตุการณ์ที่อ้างพูดถึงนั้น ผมจะกล่าวอย่างชัดเจนและเด็ดขาดว่า การกระทำเหล่านี้ไม่มีพื้นที่ให้กระทำแน่ พวกเราจะประณามมันอย่างเต็มที่ให้ถึงที่สุด"
 
แต่นักวิจารณฺ์ก็บอกว่า แค่การประณามไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นนัก
 
อินโดนีเซียเป็นประเทศที่สร้างตัวขึ้นมาจากปรัชญาของพหุนิยม คำขวัญประจำชาติของประเทศนี้คือ "มีเอกภาพในความหลากหลาย" (Unity in Diversity)
 
แต่การที่รัฐบาลไม่ทำอะไรเลย ทำให้ประเทศนี้ ซึ่งเคยเป็นประเทศแห่งการยอมรับความแตกต่างหลากหลายในภูมิภาคนี้ เริ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียคุณค่าตรงจุดนี้ และขณะเดียวกันก็ได้ทำลายรากฐานที่ใช้สร้างประเทศนี้ขึ้นมา
 
 
 
 
ที่มา
Is Indonesia becoming less tolerant?, Karishma Vaswani, BBC, 29=05-2012
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประมวลภาพ: ออง ซาน ซูจี เยือนชุมชนชาวพม่าที่มหาชัย

Posted: 30 May 2012 04:17 PM PDT

เมื่อวานนี้ (30 พ.ค.) ชาวพม่าที่ย่านมหาชัย ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร รวมตัวรอต้อนรับนางออง ซาน ซูจี ส.ส.ฝ่ายค้าน ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ เอ็นแอลดี ที่มีกำหนดเดินทางไปยังย่านมหาชัยเพื่อเยี่ยมชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การทำงานของแรงงานพม่าและครอบครัว

ทั้งนี้การเยือนมหาชัยนับเป็นภารกิจแรกสุดในเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี ของนางออง ซาน ซูจี โดยนับตั้งแต่ที่นางออง ซาน ซูจี กลับเข้าไปในพม่าเมื่อปี 2531 ก็ไม่เคยเดินทางออกจากประเทศพม่าอีกเลย โดยระหว่างปี 2531 ถึงปี 2553 นางออง ซาน ซูจี ถูกรัฐบาลทหารพม่าสั่งกักบริเวณอยู่แต่ในบ้านพักที่ย่างกุ้งหลายครั้งเป็นเวลากว่า 15 ปี และเพิ่งได้รับการปล่อยตัว ภายหลังที่รัฐบาลทหารได้จัดการเลือกตั้งในเดือน พ.ย. 2553

ชาวพม่ารอต้อนรับนางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี ที่ตลาดกุ้ง ย่านมหาชัย จ.สมุทรสาคร เมื่อ 30 พ.ค. โดยมหาชัยนับเป็นย่านอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารทะเลที่สำคัญ โดยมีแรงงานข้ามชาติซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศพม่าทำงานอยู่ราว 3 แสนคน (ที่มาของภาพ: ปาลิดา ประการะโพธิ์)

 

สำหรับพื้นที่แรกที่นางออง ซาน ซูจี เดินทางมาเยี่ยมชาวพม่า คือที่ตลาดกุ้ง ถ.พระราม 2 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับคณะของนางออง ซาน ซูจี ได้ใช้วิธีขับรถนำขบวนพาขบวนรถของนางออง ซาน ซูจี แล่นผ่านเข้าไปในซอกซอยของตลาดกุ้ง โดยไม่ได้ให้คณะนางออง ซาน ซูจี หยุดจอดเพื่อลงจากรถแต่อย่างใดเนื่องจากเหตุผลด้านการรักษาความปลอดภัย ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นของชาวพม่าที่มหาชัย ซึ่งมารอพบนางออง ซาน ซูจีตั้งแต่เช้าตรู่ อย่างไรก็ตามมีอยู่ช่วงหนึ่งที่รถของนางออง ซาน ซูจีได้หยุดจอด และนางออง ซาน ซูจีได้เปิดประตูออกมาโบกมือทักทายและจับมือกับผู้สนับสนุน

ออง ซาน ซูจี เปิดประตูรถออกมาทักทายและจับมือกับผู้สนับสนุน ระหว่างการเยือนตลาดกุ้ง ย่านมหาชัย เมื่อ 30 พ.ค. (ที่มาของภาพ: คัดลอกจากวิดีโอของประชาไท)

 

จากนั้นคณะของนางออง ซาน ซูจี ได้เดินทางมายัง ศูนย์เรียนรู้แรงงานข้ามชาติ ของเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ หรือ MWRN ที่มหาชัยวิลล่า ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวแทนแรงงานชาวพม่าเข้าพบและเสนอปัญหาของแรงงานข้ามชาติที่ทำงานในประเทศไทย จากนั้นได้ออกมาปราศรัยกับผู้ที่มาต้อนรับโดยแจ้งว่าได้รับทราบปัญหาของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยแล้ว และจะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และขอให้แรงงานข้ามชาติรวมตัวในชุมชนเพื่อเผยแพร่ความรู้ แลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อให้รู้หน้าที่และปกป้องสิทธิของตนเอง โดยนางออง ซาน ซูจีจะคอยสนับสนุนอีกทางหนึ่ง (คลิกเพื่ออ่านรายละเอียดของการปราศรัย)

ออง ซาน ซูจี กล่าวปราศรัยจากระเบียงชั้น 3 ของสำนักงานเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ หรือ MWRN ที่มหาชัยวิลล่า ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ท่ามกลางผู้สนับสนุนนับพันคนที่มารอต้อนรับ เมื่อ 30 พ.ค. (ที่มาของภาพ: ปาลิดา ประการะโพธิ์)

ออง ซาน ซูจี กล่าวปราศรัยจากระเบียงชั้น 3 ของสำนักงานเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ หรือ MWRN ที่มหาชัยวิลล่า ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร (ที่มาของภาพ:  K.THADCHAPONG PHOTOGRAPHY)

ออง ซาน ซูจี ภายหลังจากหารือกับกลุ่มแรงงานข้ามชาติ ที่สำนักงานเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ หรือ MWRN ที่มหาชัยวิลล่า ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เมื่อ 30 พ.ค. (ที่มาของภาพ:  K.THADCHAPONG PHOTOGRAPHY)

 

ทั้งนี้ในเดือนหน้า นางออง ซาน ซู จี หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านวัย 66 ปี ของพม่า ยังมีแผนที่จะเดินทางเยือนยุโรป ซึ่งเธอจะเข้ารับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่เธอได้รับประจำปี 2534 ที่กรุงออสโล เมืองหลวงของนอร์เวย์ และจะกล่าวปราศรัยต่อรัฐสภาสหราชอาณาจักร รวมทั้งเข้าร่วมประชุมทางด้านแรงงานที่จัดโดยองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ที่กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

บันทึกนักศึกษา-อาสาสมัคร ครก.112: จากกระดาษ 3 แผ่นสู่เบื้องหลังงานรณรงค์

Posted: 30 May 2012 01:06 PM PDT

 

ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ความว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามถึงสิบห้าปี” กลายเป็นที่รู้จักสนใจของประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค.55 ครก.112 หรือ คณะรณรงค์แก้ไขม.112  เปิดตัวคณะรณรงค์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีการรณรงค์ ลงพื้นที่ตามจังหวัดต่างๆเรื่อยมา เพื่อ ให้ประชาชนร่วมกันเสนอชื่อแก้ไขเพิ่มเติมม.112 ตามข้อเสนอของนิติราษฎร์  จนมาถึงวันที่5 พ.ค.55 ครบ 112 วันของการรณรงค์ มีผู้เสนอชื่อมากกว่าสามหมื่นคน และในวันที่ 29 พ.ค.55 ครก.112 นำรายชื่อที่สมบูรณ์เรียบร้อยทั้งหมด 26,986 ชื่อ ไปยื่นต่อรัฐสภา

ย้อนกลับไปช่วงเดือนมีนาคมของปีนี้ ฉันยังอยู่ที่มหาวิทยาลัยและเป็นเวลาช่วงสอบ วันหนึ่งในเดือนนั้นหลังทำข้อสอบเก็บคะแนนเสร็จ ฉันนำเอกสารลงชื่อขอแก้ไขกฎหมายนี้ไปส่งยังห้องพักอาจารย์ผู้เป็นตัวแทนรับ ระหว่างทางเดินไปห้องนั้น ฉันก้มมองเอกสารในมือเห็นข้อความในวงเล็บเขียนชัดเจนว่า “แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 ตามข้อเสนอของนิติราษฎร์” ฉันอ่านซ้ำไปมาหลายรอบและคิดไปต่างๆนานา ไม่ใคร่แน่ใจนักว่าการกระทำของตัวเองครั้งนี้ จะส่งผลต่อใคร แค่ไหนอย่างไร รู้เพียงว่า “อากง” “สมยศ” และคนอื่นๆ ที่ฉันไม่รู้จักนักกำลังอยู่ในคุกเพราะกฎหมายข้อนี้  ฉันรู้ว่ากฎหมายนี้มีโทษรุนแรงอย่างเหลือเชื่อและยังไม่มีบรรทัดฐานที่แน่นอนในการตีความ ส่วนนิติราษฎร์ก็เป็นกลุ่มนักวิชาการที่ออกมาเสนอให้แก้ไขกฎหมายนี้ ฉันเห็นว่าข้อเสนอของพวกเขาน่าสนใจ  คิดว่ามันน่าจะช่วย”อากง”คนนี้และคนอื่นๆ ได้ โดยไม่ยากเย็นนัก แค่เขียนเอกสารสามแผ่นและส่ง ณ จุดรับ ซึ่งเป็นสิทธิที่ประชาชนทั่วไปสามารถทำได้ เมื่อคิดจนได้ข้อสรุปฉันก็เดินถึงห้องอาจารย์ วางเอกสารเรียบร้อยก็เดินออกมา ความคิดสุดท้ายก่อนจะหันเหไปหาข้อสอบ ฉันรู้สึกดีใจที่ได้มีส่วนร่วมช่วยเหลือผู้อื่นแม้ว่าจะน้อยนิดเพียงเท่านี้ก็ตาม แต่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้ทำอะไรมากไปกว่าการลงชื่อเช่นนี้อีกแล้ว กระทั่งได้มาทำงานอาสาสมัครให้กับครก.112

โดยหลักการแล้ว ประชาชนที่จะร่วมผลักดันร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 ต้องใช้เอกสาร3ฉบับ ประกอบด้วย หนึ่ง แบบ ขก.1 หรือแบบแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อที่อยู่และลายมือชื่อของผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมาย สองสำเนาบัตรประชาชนหรือหลักฐานอื่นๆของทางราชการที่มีรูปถ่ายสามารถแสดงตนได้ และสาม สำเนาทะเบียนบ้าน เมื่อผู้เสนอฯกรอกรายละเอียดและรับรองสำเนาถูกต้องเรียบร้อยแล้ว จะต้องส่งมายังตู้ปณ.112 ปณฝ.ราชดำเนิน กรุงเทพฯ 10200 หรือส่ง ณ จุดรับลงชื่อเพื่อให้ส่งต่อมายัง ครก.112 จึงจะเห็นได้ว่า ครก.112เป็นคณะที่ทำงานโดยตลอดกระบวนการเสนอชื่อ หากจะแบ่งงานของ ครก.112 ออกเป็นฝ่ายๆ อย่าง่ายที่สุดน่าจะแบ่งได้ 2 ฝ่ายคือส่งออกและรับเข้า ส่งออกหมายถึงส่งออกข้อมูลและความรู้เรื่องกฎหมาย ส่วนรับเข้า หมายถึง รับเอกสารที่ประชาชนลงชื่อแล้วนำมาจัดการตามกระบวนการให้เป็นระเบียบ 

ฉันเข้าใจว่าเป็นโอกาสโอกาสอันดีประกอบกับความตั้งใจที่จะช่วย จึงเริ่มร่วมงานกับครก.112 ตั้งแต่ก่อนกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นโค้งสุดท้ายของการรณรงค์ แต่กลับเป็นช่วงเวลาอันหนักหน่วงสำหรับกลุ่มผู้รับเข้า หรือแรงงาน หากจะแบ่งการทำงานของส่วนรับเข้าออกเป็นขั้นๆ ฉันคงแบ่งได้แค่สองขั้น ซึ่งแต่ละขั้นนั้นมีความแข็งไม่แพ้กัน ขั้นที่หนึ่ง หลังแข็ง คือเราต้องนั่งตรวจความเรียบร้อยของเอกสารว่า มีเอกสารครบสามแผ่นหรือไม่ เอกสารทั้งสามแผ่นเป็นชื่อเดียวกันหรือไม่  มีลายมือชื่อรับรองครบถ้วนถูกต้องหรือไม่  หรือแม้กระทั่งการเรียงเอกสารก็จะต้องมีแบบแผนที่ชัดเจนว่า ใบปะหน้าคือ ขก.1 ตามด้วยบัตรประชาชนและปิดท้ายด้วยทะเบียนบ้าน ขั้นตอนนี้ดูจะไม่ยากและใช้เวลาไม่นานนัก หากผู้ลงชื่อได้อ่านเงื่อนไขและรวบรวมมาเรียบร้อยแล้ว กระนั้นก็ตาม ฉันเพิ่งประจักษ์กับตาว่ากฎหมายก็ยังเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ทำให้คนธรรมดาที่ไม่รู้จักมันต้องตื่นเต้นประหม่าอยู่เสมอ เราจึงได้พบว่ามีผู้ลงชื่อบางคนเซ็นเอกสารไม่ครบ ส่งหลักฐานไม่ครบ เรียงเอกสารผิด ส่วนนี้เราต้องแกะลวดเย็บออกและจัดการเย็บใหม่ และการทำงานในขั้นหลังแข็งก็ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ หากเราจะต้องแยกเอกสารว่าผู้ลงชื่อนั้นมีที่อยู่ตามทะเบียนบ้านที่จังหวัดใด เมื่อจัดแยกเรียบร้อยแล้วก็จะต้องนับจำนวน ให้ได้ปึกละ 100 ชุด พอดิบพอดี เพื่อให้การทำงานในขั้นต่อไปง่ายขึ้น และเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ฟังดูเหมือนไม่ยากนัก แต่ขั้นหลังแข็งนี้แรงงานหลายคนนั่งทำตั้งแต่สายๆ จนดึกดื่น เป็นเวลากว่าสามวันเราจึงนับเอกสารเกือบสี่หมื่นชุดได้หมด

ขั้นแข็งขั้นที่สอง คือ ตาแข็ง เพราะต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ต้อง “คีย์” รายชื่อลงในคอมพิวเตอร์ หรือจะเรียกว่ากรอกรายละเอียดของผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายให้เป็นระเบียบ รายละเอียดนั้นประกอบไปด้วย วันที่ลงชื่อ ชื่อนามสกุลที่บอกเพศ และที่อยู่อย่างละเอียด จะให้ผิดไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เลขประจำตัวประชาชน สำหรับผู้ลงชื่อคนเดียวก็มีมากถึง 13 ตัว นี่ยังไม่นับเลขที่บ้าน วันที่ลงชื่อ รวมๆ กันแล้ว 1 รายชื่อ ต้องใช้ตัวเลขมากกว่า 20 ตัว และการคีย์แต่ละครั้งเราจะต้องทำให้เสร็จ100ชุดที่นับไว้ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน นั่นก็หมายความว่า ตัวเลขกว่า 2000 ตัวจะได้ผ่านประสาทสัมผัสเราไปในการคีย์แต่ละปึก ซึ่งก็แน่นอนว่าในหนึ่งวันอาสาสมัคร 1 คน ต้องคีย์ให้ได้มากกว่า 1 ปึก ส่วนจะมากขึ้นไปแค่อีกไหนก็เป็นไปตามความถนัดและความตั้งใจ ตั้งแต่วันที่นับเสร็จเราก็คีย์กันมาเรื่อยๆ ผู้ต้องการเสนอชื่อก็ส่งชื่อเข้ามาเรื่อยๆ กระทั่งใกล้ถึงวันงานบันทึก112วัน แก้ไขม.112 เราก็ยังคงคีย์กันอยู่

 

ทว่า งานของครก.112 ก็ไม่ได้มีแค่หลังแข็งและตาแข็งเท่านั้น  หากยังมีหน้าที่จัดเวที เตรียมห้องประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้พร้อมสำหรับการรองรับประชาชนที่จะมาร่วมงานบันทึก 112 แก้ไขม.112 วัน ในวันที่27 ดังนั้น ในช่วงสายๆ ของวันที่ 26 อาสาสมัครจึงทยอยเดินทางไปสถานที่จริง เพื่อร่วมกันจัดเวที สิ่งที่เราจะต้องตั้งบนเวทีประกอบด้วยตัวเลขใหญ่ยักษ์ 5 ตัว กับตู้ไปรษณีย์อีก1ตู้  แน่นอนว่ามันไม่มีขาย เราจึงต้องสร้างขึ้นเอง งานนี้ใช้กระดาษลังไปนับร้อยใบ ประกอบขึ้นเป็นตัวเลขและตู้ไปรษณีย์ หากไม่คิดเป็นเด็กจนเกินไป ฉันรู้สึกว่าการทำงานในวันนี้สนุกมาก เหมือนเป็นช่วงเวลาของการทำความรู้จักกันระหว่างอาสาสมัครที่เคยคุ้นอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์ เหมือนเป็นการทำละครเวทีสักเรื่องหนึ่ง เหมือนเป็นสนามเด็กเล่นเพราะเราแอบทำไปเล่นไป แกล้งเพื่อนไป เถียงกันไป ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก การทำงานร่วมกันต้องมีความขัดแย้ง มีการใช้เหตุผลและตกลงกันได้ แต่อย่างไรก็ตามการเตรียมเวทีก็เสร็จสิ้นลงทันเวลา เราสามารถ ประกอบ ติด ต่อ ตัด แปะ ตั้ง กล่องทั้งหมด ให้เป็นเลข 3 9 1 8 5 พร้อมกับตู้ไปรษณีย์สีแดงสดใสได้เรียบร้อยสมบูรณ์ก่อนที่เจ้าหน้าที่หอประชุมจะมาปิดประตู

งานหนักชิ้นต่อมาของครก.112 ก็อยู่ตรงที่การรวบรวมรายชื่อทั้งหมด ขนไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า ที่บริเวณหมุดหมายของคณะราษฎรเพื่อจะเดินขบวนไปยังรัฐสภาในวันที่ 29 และก็เช่นเคย 1วันก่อนนั้น เราเหลืองานที่จะต้องทำ คือ คีย์รายชื่อที่เหลือให้เสร็จ จัดเอกสารลงกล่องดำ จัดทำเอกสาร ขก.2 และขนเอกสารทั้งหมดไปยังจุดนัดหมายในเวลา 9.00 น. ก่อนจะเริ่มงานวันนี้ ฉันเข้าใจว่า งานคงจะเหลือน้อยเต็มที หรือ เรียกว่าไม่มีไรมากนัก แต่เอาเข้าจริง แต่เมื่อถึงเวลาทำงาน อาสาสมัครที่เคยมาช่วยทุกวันๆกันต่างก็เหนื่อยนักอยากพักหน่อย คราวนี้การเกณฑ์แรงงานจึงต้องข้ามไปยังองค์กรเพื่อนบ้าน ฉันรู้สึกว่าเมื่องานเดินมาจนถึงวันสุดท้าย เราจะต้องทำงานทุกกระบวนการที่เคยทำมาในวันนี้วันเดียวเพื่อตรวจทาน จัดทำทุกอย่างให้ครบถ้วนสมบูรณ์ คืนวันที่ 28 เราจึงต้อง ทั้งนับ แยก คีย์ แปะกล่อง ฯลฯ จนดึกดื่น และสุดท้ายงานทั้งหมดก็สำเร็จลุล่วงลงด้วยดี

เช้าวันที่ 29 เป็นวันสุดท้ายของทีมแรงงานครก. 112 เราก็ยังคงติดตามส่งเอกสารจนถึงสถานที่เก็บ เช้าของวันนี้ฉันไปถึงหมุดหมายคณะราษฎร การแบกหามนั้นดูจะเหลือกำลังเกินไปฉันจึงมีหน้าที่เพียงแค่ถ่ายรูป รอดูการจัดเรียงกล่องดำ รอดูการตั้งขบวน และคอยตรวจตราว่ากล่องที่เราขนกันมานั้นยังอยู่ในสภาพดีหรือไม่ มีรอยถลอกฉีกขาดหรือไม่ ส่วนพี่ๆทีมงานครก.112 ที่เป็นผู้ดูแลกล่องก็ยังต้องทำหน้าที่ประสานงานกับเจ้าหน้าที่สภา ยกกล่องลงรถ ขนกล่องขึ้นรถ กระทั่งกล่องทุกใบถูกขนไปเก็บ ถึงตอนนี้ ฉันเองก็อยู่ร่วมด้วย ครั้งสุดท้ายที่กล่องดำใบใหญ่ถูกหามเข้าห้องเก็บเอกสาร ฉันนึกไปถึงวันแรกที่เดินไปส่งเอกสาร3แผ่นนั้นตามลำพัง วันนั้นฉันคิดถึงหลายๆ เรื่อง แต่ไม่ได้คิดเลยว่าจะได้คัดแยกเอกสารนานถึงสามวัน ไม่คิดว่าจะได้เห็นรายชื่อของผู้ร่วมเสนอเป็นพันๆ ชื่อ ไม่คิดว่าจะได้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการรณรงค์ และไม่คิดว่าจะว่าจะมีคนอีกมากมายที่เห็นความสำคัญของการปรับเปลี่ยนกฎหมายข้อนี้ ท้ายที่สุดฉัน การทำงานหนักและสนุกที่ผ่านมาก็ทำให้ฉันได้ตระหนักว่า มีประชาชนอีกมากมายที่เห็นความสำคัญถึงสิทธิเสรีภาพของตัวเองตามระบอบประชาธิปไตย แวบหนึ่งก่อนกล่องดำทั้งหมดจะลับตาไป ไม่ว่าจะเพราะทำงานหนักมาหลายวันหรือเพราะยังเชื่อในความมีเหตุผลของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ฉับแอบคิดอยู่คนเดียวว่า มันจะต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างสิน่า

             

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บรรยากาศ พธม.ชุมนุม ยื่นสภาถอน 4 ร่างกฎหมายปรองดอง

Posted: 30 May 2012 10:38 AM PDT

 
 
 
"สนธิ" ประกาศลั่นจะสู้จนกว่าได้ชัยชนะ
 
30 พ.ค.55 เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่า เมื่อเวลา 13.53 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ได้ขึ้นเวทีปราศรัยระบุว่าจุดเริ่มต้นของพันธมิตรฯ เริ่มเมื่อ ก.พ.2549 มีการเคลื่อนขบวนจากสวนลุมพินีมายังลานพระบรมรูปทรงม้าแต่ระหว่างนั้นเจอพวกกุ๊ยรังแก จากประชาชนที่มาฟังความรู้ จึงแปรรูปมาเป็นมวลชนสู้แบบพันธมิตรครั้งแรก จากนั้น 6 ปีที่ผ่านมา พธม. ย้อนมาที่นี่อีกครั้ง ซึ่งรูปแบบจะไม่ยืดเยื้อเหมือนปี 2549 แต่บอกว่าไม่มีพลังใดจะชนะพลังศีลธรรมได้ นอกจากนี้ ตอนพ่อของตนได้ตั้งชื่อ สนธิ ก็ไม่เชื่อว่ามีอีกคนตั้งชื่อสนธิ เหมือนกัน "สนธิ" คนหนึ่งเป็นลูกเจ๊ก แต่อีกคนเป็นลูกแขก ซึ่งคนหนึ่งขายสมบัติเพื่อชาติ อีกคนกลับขายชาติเพื่อสมบัติ คนหนึ่งเติบโตมาเพื่อทำงานประจำ อีกคนเรียนโรงเรียนที่สาบานต่อธงชัยเฉลิมพล แต่สุดท้ายก็มาขายชาติ ใช่หรือไม่
 
นายสนธิ กล่าวว่า วันนี้มีข่าวลือว่า สนธิ รับเงิน จึงอยากรู้ว่า สนธิ ไหนกันแน่ การชุมนุมครั้งนี้จะทิ้งข้อบาดหมาง 1 ปี ที่ผ่านมาเพื่อจับมือเดินหน้าต่อไปสำหรับเวทีพันธมิตรฯ เท่านั้น ให้ทุกคนให้สัจจะว่าใครมาทำลายสถาบันได้เจอกันแน่ และเมื่อใดมีการออกกฎหมายให้พ้นผิดจะได้เจอกัน ซึ่งพันธมิตรจะไม่เคยถอยจากสองเรื่องนี้อย่างแน่นอน ขณะเดียวกันภายหลังการตั้งรัฐบาล เมื่อเดือน ก.ค. ปีที่แล้วจนถึงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พธม. ถูกถามว่าทำไมไม่ยอมออก แต่ตอนนี้ยืนยันได้ว่า พธม. คือทัพหลวง จะออกมาเมื่อมีการผิดสัจจะ จะสู้จนกว่าจะได้ชัยชนะ การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้เพื่อส่วนตัวแต่เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดิน
 
 
“การยกเลิกคำพิพากษาเป็นการละเมิดพระราชอำนาจของในหลวง เพราะศาลได้ตัดสินภายใต้พระปรมาภิไธย งานนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องบ้านเมืองล้วนๆ เพราะนักการเมืองไม่มีศีล ไม่มีจริยธรรมกันแล้ว ส่วนจะชุมนุมกี่วันจะเป็นวันนี้วันพรุ่งนี้หรือจนกว่าจะได้ชัยชนะ ขอให้ฟังแกนนำ ทั้งสี่คนเท่านั้น หากแกนนำให้เคลื่อนขบวนก็ขอให้เคลื่อน เพื่อบอกว่าจะขอเข้าไปใช้ห้องนำ แต่ถ้าขอใช้ห้องน้ำ ก็ขอให้ฉี่กลางถนนได้เลย”
 
นายปานเทพ พัวพงศ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวว่า ขณะนี้แกนนำรับทราบมติวิปรัฐบาลที่จะให้เลื่อนวาระพิจารณาร่าง พรบ.ปรองดอง เป็นพรุ่งนี้ว่า เบื้องต้นจะเคลื่อนไปหน้าสภาอย่างแน่นอน ส่วนท่าทีการเคลื่อนไหวจะเป็นอย่างไร ขอให้แกนนำหารือกันอีกครั้งว่าจะปักหลักค้างคืนชุมนุมต่อพรุ่งนี้หรือไม่
 
 
สำหรับบรรยากาศการชุมนุมมีมวลชนทยอยมาร่วมชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก เต็มลานพระบรมรูปทรงม้าที่ร้อนอบอ้าว เพื่อเตรียมเคลื่อนขบวนไปยังหน้าสภา เวลา 15.00 น. ขณะเดียวกันมีเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนรักษาความปลอดภัยบริเวณแยกต่างๆ อย่างเข้มงวด
 
 
ม็อบ พธม.เริ่มทยอยเข้าพื้นที่ชุมนุม
 
ผู้สื่อข่าวรายงานการชุมนุมของกลุ่มผู้คัดค้าน พ.ร.บ.ปรองดอง บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มทยอยเดินทางเข้ามามากขึ้นแล้ว ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนระอุ ส่วนบริเวณรอบๆ ลานพระบรมรูปกลายเป็นที่จอดรถของกลุ่มผู้ชุมนุมเต็มพื้นที่ ทำให้การจราจรบนถนนศรีอยุธยา เริ่มชะลอตัวและยังส่งผลกระทบไปยังถนนราชดำเนินนอก โดยเฉพาะเส้นคู่ขนานเป็นที่จอดรถของกลุ่มผู้ชุมนุม ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณดังกล่าวก็ไม่มีมาดำเนินการตรวจสอบแต่อย่างใด มีเพียงคนของกลุ่มพันธมิตรหรือการ์ด พธม.เท่านั้นที่จัดการ ส่วนการรักษาความปลอดภัยที่รัฐสภา ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 7 กองร้อยดูแลทั้งภายในและรอบนอกรัฐสภา
 
 
 
“พันธมิตร” เคลื่อนขบวนไปหน้ารัฐสภาแล้ว “จำลอง” ลั่น “ยิ่งลักษณ์” อยู่ต่อยาก
 
เมื่อเวลา 14.25 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ขึ้นเวทีปราศรัย โดยระบุว่าครั้งแรก พธม. ชุมนุมเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ ปี 2550 รวมทั้งเรียกร้องให้ นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ซึ่งก็สำเร็จ เราจึงเป็นนักไล่นายกฯมืออาชีพ ดังนั้นขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ฟังไว้ เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ คือนายกฯหุ่นเชิดคนที่ 4 หากจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปคงทำได้ยากเพราะ พธม.มาแล้ว นอกจากนี้ การชุมนุมครั้งนี้ เพื่อคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ทั้งสี่ฉบับเพราะถือว่าเป็นกฎหมายทำลายชาติ พธม.จึงยอมไม่ได้ ซึ่งวันนี้มีข่าวจากสภา เรายืนยันจะชุมนุมต่อไปและสู้ให้ถึงที่สุด
 
 
พล.ต.จำลอง กล่าวต่อว่า การชุมนุมจะสำเร็จหรือไม่ขอให้ผู้ร่วมชุมนุมทำตามประกาศการชุมนุมดังนี้ 1.ขอให้ผู้ชุมนุมยึดมั่นในสิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 63 โดยให้ผู้ชุมนุมเข้าร่วมโดยปราศจากอาวุธ 2.ให้ผู้ชุมนุมยึดแนวทางเคลื่อนไหวตามเวทีหลักแห่งเดียวเท่านั้นและระมัด ระวัง ไม่เชื่อผู้ที่ไม่ประสงค์ดี มาชวนผู้ชุมนุมไปก่อเหตุความวุ่นวายนอกแนวทางเวทีชุมนุมหลัก และ 3.พธม. จะเคลื่อนมวลชนจากลานพระบรมรูปทรงม้าไปยังหน้ารัฐสภาเท่านั้น ส่วนพื้นที่อื่นไม่ใช่พื้นที่และความรับผิดชอบของ พธม. หากมีความเปลี่ยนแปลงอย่างใดขอให้ฟังมติจากแกนนำเท่านั้น
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้น นายปานเทพ พัวพงศ์พันธ์ โฆษก พธม. ได้ประกาศว่าขณะนี้มติวิปรัฐบาลได้เลื่อนวาระพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ขึ้นมาเป็นพรุ่งนี้เช้า ดังนั้นขอให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนไปยังหน้าสภาในทันที โดยทันทีที่ประกาศก่อมีการตั้งขบวน และเริ่มเดินหน้าไปยังรัฐสภาทันที
 
 


พธม. รื้อแผงเหล็กประชิดรั้วสภา ตร.แตกกระเจิง
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.52 น.หัวขบวนกลุ่ม พธม.ได้เคลื่อนมาถึงหน้าอาคารรัฐสภาเพื่อสมทบกับกลุ่มเสื้อหลากสี ที่มี น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เป็นแกนนำ โดยขณะนี้มวลชนทั้งสองกลุ่มยืนแน่นเต็มพื้นที่ถนนอู่ทองใน ซึ่งผู้ชุมนุมรื้อแผงเหล็กรั้วเหล็กเพื่ออยู่ประชิดกำแพงรัฐสภา ทำให้ตำรวจที่ยืนรักษาการอยู่ถึงกับแตกกระเจิง
 
 
ขณะเดียวกัน รถเครื่องเสียงที่ใช้เป็นเวทีปราศรัย ได้นำมาตั้งขวางถนน ติดทางเข้าสวนสัตว์ดุสิต ซึ่งมีการปราศรัยว่าจะไม่ให้มวลชนปีนเจ้าไปในสภาแน่นอน ขณะเดียวกันกลุ่มผู้ชุมนุมได้ตะโกนส่งเสียงเป็นระยะๆ
 
ขณะที่ด้านในอาคารรัฐสภามีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตรึงกำลังด้านในชิดกับรั้วกำแพงรัฐสภา ท่ามกลางข้าราชการของสภาได้มายืนดูการชุมนุมเป็นจำนวนมาก
 
 
 
 
“จำลอง” ท้าอย่าถอน พ.ร.บ.ปรองดอง จะได้จบไวๆ
 
เมื่อเวลา 15.10 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่าไม่มีกฎหมายฉบับใดเป็นกฎหมายทำลายชาติเท่าร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ตนขอให้ สส. ในสภาอย่าถอนร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกขอให้ทำถึงที่สุดจะได้จบไว และขอให้รีบเร่งพิจารณาออกมาโดยเร็ว พธม. จะสู้ให้ถึงที่สุด เป็นอย่างไรเป็นกัน ส่วนการชุมนุมจะเป็นอย่างไรแกนนำจะพิจารณาเป็นขั้นตอน แต่จะต่อสู้ไม่หยุดชะงักแต่จะมีจังหวะรอขั้นตอน ซึ่งมีวันเผด็จศึกแน่นอน ส่วนจะเป็นวันไหน อาจจะเป็นวันนี้วันพรุ่งนี้หรือไม่ก็ได้ แกนนำนำจะพิจารณาอย่างรอบคอบ
 
 
 
พันธมิตรฯ บุกยื่นหนังสือล้มกฏหมายปรองดอง
 
เว็บไซต์เดลินิวส์ รายงานว่า เมื่อเวลา 16.10 น. ที่รัฐสภา แกนนำ พธม.โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และนายประพันธ์ คูณมี ได้เข้ายื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้หยุดยั้งการตรากฎหมายล้างความผิดให้กับนักการเมือง
 
ทั้งนี้นายเจริญ ได้เดินทางออกมายังบริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อรับหนังสือดังกล่าว โดยระหว่างที่ยืนรอรอแกนนำพันธมิตรฯ อยู่นั้นปรากฏว่าได้ถูกกลุ่มพันธมิตรโห่ไล่ พร้อมต่อว่านายเจริญ อยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามเมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่าเหตุใด ไม่ไปรับหนังสื่อภายในอาคาร เพราะปลอดภัยกว่า นายเจริญ กล่าวว่า เป็นเงื่อนไขของแกนนำพันธมิตรฯ ต้องการให้รับหนังสือตรงจุดดังกล่าว โดยมีกลุ่ม 40 ส.ว. นำโดย นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา น.ส.สุมล สุตวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี นายสาย กังกะเวคิน ส.ว.ระยอง เป็นผู้ประสานงาน
 
 
สำหรับหนังสือดังกล่าวระบุว่า จากการที่พันธมิตรตรวจสอบร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง พบว่ามีปัญหาในหลายประเด็น คือ 1.เป็นร่างกฎหมายที่มุ่งหวังแต่จะลบล้างความผิดของบุคคลต่างๆ ในอดีต ทั้งที่บางคดีมีคำพิพากษาของศาลฎีกาจนถึงที่สุดแล้วจะตอกลิ่มสร้างความแตก แยกในหมู่คนในชาติให้เลวร้ายลงไปยิ่งกว่าเดิม 2.กฎหมายฉบับนี้ มีสภาพบังคับที่ไร้ขอบเขต ไม่มีคำนิยามที่ชัดเจนเกี่ยวกับการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับการชุมนุมทางการ เมือง นอกจากนี้ การบัญญัติที่ให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับประกาศหรือคำสั่งของคณะปฏิรูป ก็มีความไม่ชัดเจน และกินความกว้าง ครอบคลุมกระทบไปถึงองค์กรต่างๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว อย่างไม่มีข้อจำกัด
 
3.มีการก้าวล่วงไปถึงการล้มล้างคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทำลายระบบการถ่วงดุลตรวจสอบของศาลเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง 4.ส.ส.และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลหลายคนยัง ได้รับประโยชน์โดยตรงจาก พ.ร.บ.ดังกล่าว และ 5.พ.ร.บ.ปรองดองเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหลายมาตรา จึงขอให้ระงับ หยุดยั้งการพิจารณาหรือการให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติทุกฉบับ
 
 
นายเจริญ กล่าวภายหลังรับข้อเรียกร้องว่า ขณะนี้ ส.ส.ได้ยื่นร่าง พ.ร.บ.ปรองดองมาแล้วและจะต้องบรรจุเป็นวาระ ส่วนจะมีการเลื่อนวาระการประชุมหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสมาชิกรัฐสภา เพราะหากพวกตนไม่นำ พ.ร.บ.ปรองดอง เข้าสู่การประชุม ตามที่ได้มีผู้เสนอก็จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้นในการประชุมในวันที่ 30 พ.ค. ใครเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร ก็จะมีการอภิปรายในที่ประชุม
 
เมื่อถามว่า หากที่ประชุมเห็นว่าควรที่จะเลื่อนวาระการประชุมขึ้นมาเป็นวาระที่ 1 ในวันที่ 31 พ.ค. จะทำให้ผู้ชุมนุม ไม่พอใจและบักหลักค้างคืน และยังจะประชุมต่อหรือไม่ นายเจริญ กล่าวว่า การประชุมยังคงต้องเดินต่อไป เพราะในสภา ยังมีการประชุมหลายเรื่อง ไม่เฉพาะเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดอง เท่านั้น และยังมีทางที่สามารถเข้าออกสภาได้อยู่ ซึ่งไม่ได้วิตกกังวลอะไร เพราะยังถือว่าผู้ชุมนุมอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ตามระบอบประชาธิปไตย จึงเชื่อว่าจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น
 
 
เสื้อหลากสี-บลูสกาย ยันค้านถึงที่สุด ชี้ พ.ร.บ.ปรองดองเอื้อทักษิณ
 
ทั้งนี้ในช่วงเวลาประมาณ 16.00 น.น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ได้นำกลุ่มเสื้อหลากสีและผู้สนับสนุนช่องโทรทัศน์ดาวเทียมบลูสกาย เคลื่อนย้ายไปชุมนุมบริเวณหน้าประตูประสาทเทวริทธิ์ โจมตี พ.ร.บ.ปรองดอง อย่างต่อเนื่อง แม้ต่อมาจะมีฝนตกลงมาโปรยปรายก็ตาม
 
น.พ.ตุลย์ กล่าวบนเวที่ปราศรัยว่า เนื้อหาใน พ.ร.บ.ปรองดองมีการช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวกพ้อง จึงขอคัดค้าน พ.ร.บ.ปรองดอง และจะปักหลักชุมนุมให้ถึงที่สุดจนกว่าจะมีการถอนร่างฯ ออกไป และหากมีการลงมติผ่านร่างในวาระ 2 จะชุมนุมยึดพื้นที่บริเวณ ถ.ราชวิถี ชิดกับรั้วรัฐสภาเพื่อชุมนุมกดดัน
 
น.พ.ตุลย์ ยังได้กล่าวยกย่องการทำหน้าที่ของ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่มาร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อหลากสีด้วย 
 
 
 
ม็อบ พธม.สลายตัว ชุมนุมใหม่วันพรุ่งนี้ 9 โมงเช้า
 
เนชั่นทันข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 20.00 น. ภายหลังที่ประชุมแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ได้ทราบว่า สภาผู้แทนราษฎรไม่ได้มีการลงมติเรื่อง การพิจารณาร่างพ.ร.บ.ปรองดอง เป็นวาระแรก ในวันที่ 31 พ.ค. ส่งผลให้ท่าทีการชุมนุมของ พธม.มีการเปลี่ยนแปลงไป
 
นายปานเทพ พัวพงศ์พันธ์ โฆษกพธม. กล่าวให้สัมภาษณ์ภายหลังที่ทราบผลประชุมสภาว่า ทางกลุ่มแกนนำพธม.เห็นว่าควรให้ผู้ชุมนุมที่สามารถกลับบ้านได้ก็ขอให้กลับ และกลับมาร่วมชุมนุมกันใหม่ในวันพรุ่งนี้(31 พ.ค.2555) เวลา 09.00 น. ซึ่งเป็นเวลาการเปิดประชุมสภาฯ ส่วนผู้ที่สมัครใจนอนค้างสามารถอยู่ได้ โดยขอให้เดินทางไปยังสวนสันติชัยปราการ ซึ่งที่นั้นจะมีการจัดเตรียมเต็นท์ที่พัก และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เอาไว้ อย่างไรก็ตามในช่วงสายของวันพรุ่งนี้จะมีการประชุมของแกนนำเพื่อสรุปท่าทีของกลุ่มพธม.อีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการประชุมแบบวันต่อวัน โดยในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้จะมีประชาชนจากต่างหวัดมาร่วมชุมนุมด้วย
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่บนเวทีปราศรัยยังคงมีการปราศรัยโจมตีเน้นเนื้อหา พ.ร.บ.ปรองดอง ที่ล้มล้างกระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมาเป็นการทำลายระบบศาลที่เปรียบเสมือนการทำหน้าที่แทนภายใต้พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งขอให้ผู้ชุมนุมให้เดินทางกลับมาร่วมชุมนุมพร้อมกันพรุ่งนี้ เนื่องจากมีรายงานข่าวออกมาว่าในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ปรองดองวันพรุ่งนี้ พรรคเพื่อไทยเตรียมที่จะหักดิบผ่านร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง 3 วาระรวด ดังนั้นพี่น้องประชาชนจะต้องออกร่วมกันคัดค้าน
 
อย่างไรก็ตามบนเวทียังคงมีการสลับการเล่นดนตรีบนเวทีอยู่ตลอดเวลาและมีส่วนการรักษาความปลอดภัยเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงปักหลักกระจายกำลังดูแลกันในหลายจุด แต่ที่เข้มงวดมากเป็นพิเศษจะเป็นบริเวณพื้นที่ภายในอาคารรัฐสภา ขณะเดียวกัน กทม.ได้มีการนำรถสุขาอีกจำนวนหลายคันมาจอดให้บริการกับผู้ชุมนุมด้วย
 
 
 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รอส ลาเจอร์เนส หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กูเกิล

Posted: 30 May 2012 06:41 AM PDT

บริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์ไม่ถูกลงโทษจากบทสนทนาของผู้ใช้โทรศัพท์ ในขณะเดียวกันเจ้าของเว็บไซต์ที่มีความรับผิดชอบไม่ควรได้รับการลงโทษจากความเห็นของผู้ใช้ที่ไปโพสต์บนเว็บไซต์นั้นๆ แต่พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์กำลังถูกใช้เพื่อการนี้

 

ความเห็นต่อการบังคับใช้กฏหมาย พรบ.คอมฯ ต่อ ผอ.ประชาไท วันที่ 30 พ.ค. 2555

'กูเกิล' หวั่น พ.ร.บ.คอมฯ คุกคามเศรษฐกิจอินเทอร์เน็ตไทย

Posted: 30 May 2012 04:22 AM PDT

กูเกิล โดย รอส ลาเจอร์เนส หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลถึงทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทยจากกรณีที่ได้มีการบังคับใช้กฏหมาย พรบ.คอมฯ ต่อ ผอ.ประชาไท ว่าอาจยับยั้งการเกิดของนวัตกรรมและตัดโอกาสการลงทุนในประเทศได้

รายละเอียดมีดังนี้ ...

 

 

 

รอส ลาเจอร์เนส
หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ที่มา: http://googlethailand.blogspot.com/2012/05/threat-to-potential-of-thailands.html

 

 

ธุรกิจนับล้านไม่ว่าจะขนาดเล็ก กลางหรือขนาดใหญ่ทั่วประเทศไทยเติบโต เจริญรุ่งเรืองและมีความหวังจากการทำให้ธุรกิจออนไลน์ เรื่องราวความสำเร็จจากอินเตอร์เน็ตของประเทศไทยที่ผมได้พบเห็นเป็นการบันดาลใจอย่างแท้จริง - จากนักตกแต่งบ้านที่ใช้เว็บไซต์ฟื้นฟูธุรกิจที่เสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วม ไปจนถึงผู้ผลิตชุดกีฬาและอุปกรณ์กีฬามวยไทยที่สร้างปรากฎการณ์เผยแพร่วัฒนธรรมที่โดดเด่นของไทยไปสู่ตลาดโลกได้อย่างงดงาม

มีเรื่องราวดีๆ อีกมากมายของคนไทยและธุรกิจไทยที่ประสบความสำเร็จจากโลกออนไลน์ในลักษณะนี้ ซึ่งนี่เป็นแค่ตัวอย่างเพียงหยิบมือของศักยภาพที่มีอยู่ในประเทศไทย แต่น่าเสียดายที่อนาคตของอินเตอร์เน็ตในประเทศไทยกำลังมีการคุกคามอย่างร้ายแรงอันหนึ่งเกิดขึ้น

วันนี้มีการประกาศคำพิพากษาของคดีหนึ่งที่เกิดขึ้นในศาลไทยที่กำลังวิ่งสวนทางกับความน่าตื่นเต้นของประเทศและบทบาทที่สำคัญที่จะนำมาซึ่งเสรีภาพ การเปิดกว้างและความรุ่มรวยของอินเตอร์เน็ตมาสู่ชีวิต เรื่องย่อๆ ของกรณีนี้คือการที่ผู้หญิงไทยคนหนึ่งที่เปิดเว็บไซต์ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 8 เดือน โดยให้รอลงอาญาเป็นเวลา 1 ปี ด้วยข้อหา มีเจตนาจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีข้อความที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาที่มีผู้โพสต์ไว้ ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ ซึ่งเธอได้ลบข้อความนั้นออกหลังจากที่เธอรับรู้ การตัดสินจำคุกเธอจากสิ่งที่เธอไม่เคยเขียนส่งสาส์นถึงผู้ประกอบการและนักธุรกิจชั้นนำที่ทำธุรกิจบริการอินเตอร์เน็ตแพลต์ฟอร์มในประเทศไทยว่าพวกเขาอาจหรือถูกลงโทษอย่างรุนแรงจากการกระทำของผู้ใช้

การตัดสินครั้งนี้เป็นแบบอย่างที่น่ากังวลอย่างมากเพราะว่าอินเตอร์เน็ตแพลตฟอร์มหรือที่อ้างถึงบ่อยๆ ว่า “ตัวกลาง” เป็นเครื่องมือและเว็บไซต์ที่พวกเราหลายๆ คนใช้อยู่ทุกวันเพื่อเชื่อมโยงกับเพื่อนฝูง ครอบครัว และลูกค้าทั่วโลก เช่น เครือข่ายสังคม ตลาดออนไลน์และเว็บสนทนาต่างๆ เหล่านี้เป็นฐานรากของเว็บทั้งสิ้น

ลองจินตนาการดูว่าหากพรุ่งนี้บริการออนไลน์ทั้งหลายที่คุณใช้อยู่ปิดลงเพราะว่าเจ้าของบริการเหล่านั้นเกรงการถูกจำคุกเพราะเห็นความเสี่ยงที่มีมากกว่าสิ่งที่จะได้กลับมา เราไม่เพียงแต่จะเสียบริการที่เราชอบหรือต้องใช้งาน เราอาจต้องเสียความสามารถที่จะมีส่วนร่วมกับบทสนทนากับคนทั่วโลก และนั่นเป็นหัวใจและวิญญาณของอินเตอร์เน็ต เชื่อมโยงกับคนทั้งโลก สร้างสรรค์นวัตกรมและรับประสบการณ์จากโอกาสที่มีอยู่ในหลายๆ ประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจดิจิตอลประกอบอยู่อย่างแนบแน่น

อินเตอร์เน็ตเชื่อมเราเข้ากับความคิดของเรา เสรีภาพและการเปิดกว้างของอินเตอร์เน็ตทำให้เรามั่นใจว่าความคิดที่ยอดเยี่ยม ความคิดที่จุดประกายให้เกิดนวัตกรรมและมีศักยภาพในการเปลี่ยนโลกของเราไปสู่โลกที่ดีกว่าจะมีพื้นที่ให้คนได้เห็น ให้ได้ยินและให้ได้แบ่งปัน

บริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์ไม่ถูกลงโทษจากบทสนทนาของผู้ใช้โทรศัพท์ ในขณะเดียวกันเจ้าของเว็บไซต์ที่มีความรับผิดชอบไม่ควรได้รับการลงโทษจากความเห็นของผู้ใช้ที่ไปโพสต์บนเว็บไซต์นั้นๆ แต่พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์กำลังถูกใช้เพื่อการนี้

พ.ร.บ. คอมพ์ฯ​ ยับยั้งการเกิดของนวัตกรรมและตัดโอกาสการลงทุนในประเทศที่มีคนที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ เราเข้าใจดีว่าเรื่องนี้ไม่่ใช่เรื่องธรรมดาๆ เรื่องนี้ซับซ้อนและหลายๆ ครั้งก็ไม่อาจชี้ชัดไปได้ว่าผิดหรือถูก แต่หากมีความโปร่งใสในกฏระเบียบเกี่ยวกับการระบุให้ชัดเจนและการดำเนินการกับเนื้อหาที่ไม่ถูกกฎหมายประเทศไทยจะก้าวไปข้างหน้าสู่เสรีภาพและการเปิดกว้างของอินเตอร์เน็ต และนั่นเป็นการช่วยให้คนไทยหลายล้านคนตั้งแต่เจ้าของกิจการขนาดเล็ก นักเรียน นักศึกษาไปถึงข้าราชการเชื่อมโยงกับคนทั้งโลกได้ และช่วยระบบเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไป

Google มุ่งมั่นกับประเทศไทยและผู้ใช้ชาวไทย เราปรารถนาที่จะอยู่ในประเทศไทยในระยะยาว และเราหวังที่จะเห็นอนาคตอันสดใสที่ให้เราทั้งหมดได้เชื่อมโยงกัน

----------------------------------

Millions of small, medium and large businesses across Thailand have found growth, prosperity and hope by going online.  The Internet success stories I have seen from Thailand have been truly inspiring - from the home decorator who used the web to rebuild his business after the floods, to the maker of customized Muay Thai gear that found a global market for one-of-a-kind pieces of Thai culture.

There are many more stories just like these, of Thai people and businesses finding success online, and this is just the tip of the iceberg of Thailand’s potential - but, unfortunately, a serious threat has emerged to the future of the Internet in Thailand.

Today, a decision was made in a Thai courtroom that runs counter to the country's exciting and important role in bringing a free, open and prosperous Internet to life.  To summarise the case quite simply - a Thai woman who runs a website has been fined and sentenced to eight months in prison (though that sentence has been suspended) for offensive comments left on her site by users, comments that she removed once notified.  Though she was only convicted on one of ten counts, convicting her for something she never wrote sends a clear message to the entrepreneurs and business leaders who run Internet platforms in Thailand that they can and will be penalized for the independent actions of users.

The precedent set by this decision is deeply concerning because Internet platforms, often referred to as ‘intermediaries’ - basically, the tools and sites many of us use every day to connect with friends, family and customers around the world, such as social networks, online marketplaces and web forums - are the foundation of the web. 

Imagine if tomorrow your favorite online services decide to shut down because their owners, fearing prison time, start seeing the risks as far outweighing potential returns.  We would not just lose the services we love or rely on, we would lose our ability to connect with the world, to innovate and to experience the opportunities available in countries that embrace the digital economy. The Internet connects us and our ideas.  A free and open Internet ensures that great ideas, the ones that spark innovation and have the potential to change our world for the better, have a platform to be seen, heard and shared.

Telephone companies are not penalized for things people say on the phone and responsible website owners should not be punished for comments users post on their sites.  Unfortunately, Thailand’s Computer Crimes Act is being used in this case to do just that.

The Computer Crimes Act stifles innovation and deters investment in a country and a people full of potential.  We understand this is not simple.  It is complicated and it is often not black and white.  But if there were transparent rules about how to identify and react  to unlawful content,  Thailand will have a more free and open Internet and in doing so, allow millions of Thais, from small business owners to students to civil servants, to connect with the world and grow the Thai economy. 

Google is committed to Thailand and our Thai users.  We are here for the long term.  And we look forward to a future that keeps all of us connected.

Posted by Ross LaJeunesse, Head of Public Policy, Asia Pacific

 

 

ที่มา: Official Google Thailand Blog

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

การใช้กฎหมายอย่างคึกคะนอง

Posted: 30 May 2012 04:00 AM PDT


 " มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี    
รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี "


ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

ผมรู้สึกปรี๊ดขึ้นสมองขึ้นมาทันทีพลันที่เห็นข่าวนายวิพุธ สุขประเสริฐ หรือไอแพด ร้องทุกข์กล่าวโทษนายประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น และคอลัมนิสต์ของเว็บไซต์ประชาไท ด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา  112 ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองร้อยเอ็ด โดยอ้างบทความจำนวน 7 ชิ้น โดยที่ผ่านมานายวิพุธ ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษผู้เขียนบทความและผู้แสดงความเห็นในเว็บไซต์ประชาไทไปแล้วทั้งสิ้น 15 ราย รวมบรรณาธิการและผู้ดูแลเว็บไซต์ประชาไท และในกรณีนี้หลังจากร้องทุกข์แล้วยังไปโพสต์ข้อความใน   เฟซบุ๊กโอ้อวดผลงานของตนเองเสียอีกด้วย

หลังจากที่สงบสติอารมณ์แล้วความคุกรุ่นยังคงดำรงอยู่ ความคิดอันชั่วร้ายเริ่มผุดขึ้นมาว่าในเมื่อการกระทำของนายวิพุธนั้นเป็นการกระทำที่ทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศอันเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทพระองค์ท่าน เข้าข่ายกระทำการอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  เช่นกัน จึงสมควรที่จะต้องไปแจ้งความดำเนินคดีนายวิพุธเสียให้เข็ด

แต่เมื่อความคุกรุ่นหายไปแล้วความรู้สึกสำนึกรับผิดชอบชั่วดีเริ่มกลับคืนมาเพราะเห็นว่าการดำเนินการใดๆที่เกี่ยวข้องกับ มาตรา  112  เพื่อแก้แค้นเอาคืนกันนี้ รังแต่จะทำให้ความชั่วร้ายเผยแพร่หนักขึ้นไปยิ่งกว่าเก่า และแทนที่จะดีกลับจะตกเป็นผลร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เสียอีก ไว้ให้เป็นเรื่องของผู้ที่ถูกกล่าวหาพิจารณาแจ้งความกลับด้วยข้ออื่นที่ไม่ใช่ มาตรา 112  ดีกว่า เช่น ข้อหาแจ้งความเท็จ เป็นต้น

การใช้กฎหมายมาตรา 112 อย่างคึกคะนองเช่นนี้เป็นผลเนื่องมาจากการเปิดโอกาสให้ใครๆก็ฟ้องได้ ทำให้เป็นการเปิดช่องให้มีการใช้กฎหมายนี้ไปกลั่นแกล้งผู้อื่น ส่งผลให้คดีเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูง จะเห็นได้ว่าสถิติในการดำเนินคดีในปี 2553 สูงถึง 478 คดี ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมีไม่ถึง 10 คดีต่อปี

กอปรกับความไม่สมเหตุสมผลในอัตราโทษที่รุนแรงโดยมีโทษขั้นต่ำ 3 ปี และสูงสุด15ปี ขณะที่ความผิดฐานก่อการร้ายซึ่งร้ายแรงต่อมวลมนุษยชาติ กฎหมายกำหนดโทษจำคุกเพียง 2 ปี ถึง 10 ปี สะท้อนถึงความไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เมื่อเปรียบเทียบการกระทำโดยวาจาตามมาตรา  112  กับ  การกระทำความผิดฐานก่อการร้ายซึ่งอาจมีผลร้ายแรงถึงกับอาจสูญสิ้นความเป็นรัฐหรืออธิปไตยของรัฐได้

เมื่อพิจารณาถึงกระบวนการนำคดีขึ้นสู่ศาลจนมีคำพิพากษาออกมานั้นเล่า ผู้ต้องกล่าวหาซึ่งผิดหรือไม่ผิดยังไม่รู้(แม้ว่าตามรัฐธรรมนูญจะสันนิษฐานว่าตราบใดที่คำพิพากษายังไม่ถึงที่สุดว่ากระทำความผิด จะปฏิบัติต่อเขาเหมือนผู้กระทำความผิดมิได้ก็ตาม) ต้องเผชิญกับความยุ่งยากตั้งแต่การเตรียมตัวต้องไปพบพนักงานสอบสวนซึ่งอาจอยู่ห่างไกลออกไปเป็นร้อยเป็นพันกิโลเมตร และภาระค่าใช้จ่าย ความยุ่งยากในชีวิตทั้งร่างกายและจิตใจซึ่งถูกกระทบอย่างแน่นอนสำหรับคนที่ถูกฟ้องคดี บางรายถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ ฟุ้งซ่านและวิตกกังวล  

เมื่อคดีถึงพนักงานสอบสวนแล้วอาจจะได้ประกันตัวหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคดีแบบนี้เป็นเผือกร้อน พนักงานสอบสวนตั้งแต่ชั้นตำรวจและพนักงานอัยการน้อยรายที่จะกล้าหาญชาญชัยสั่งไม่ฟ้อง ร้อยละเกือบทั้งร้อยต่างก็ใช้บริการส่งต่อกันไปเป็นลำดับ เหมือนกับโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรคเสียกระนั้น ยกเว้นกรณีผังล้มเจ้าที่มูลคดีอ่อนปวกเปียกจนไม่รู้จะเข็ญอย่างไรให้มีมูลพอสั่งฟ้องได้ ซึ่งก็ต้องรอดูผลการร้องเรียนดีเอสไอของคุณสุเทพต่อ ปปช.ว่าผลจะออกมาอย่างไรในกรณีนี้

เมื่อคดีถึงอำนาจการพิจารณาของศาลนอกจากกรณีคุณสนธิ ลิ้มทองกุลแล้วผมยังไม่เคยได้ยินว่าใครได้รับการประกันตัวหรือปล่อยชั่วคราวเลย บางรายจนถึงต้องกับตายในคุก เช่น กรณีอากง เป็นต้น และคงมีการตายในคุกกันต่อไปอีกเรื่อยๆ ว่าแต่จะมีข่าวหรือไม่มีข่าวเหมือนกรณีอากงเท่านั้นเอง แต่ที่แน่ๆกรณีอากงนี้ปรากฎเป็นข่าวไปทั่วโลกและในรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนขององค์กรระหว่างประเทศต่างๆเรียบร้อยแล้ว

ที่น่าเศร้าอีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อคดีอยู่ในชั้นการพิจารณาคดีของศาล จำเลยก็ไม่สามารถพิสูจน์ความจริงเพื่อเป็นเหตุยกเว้นโทษได้ดังเช่นกรณีทั่วไปตามมาตรา 330 ของประมวลกฎหมายอาญาที่ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงก็ไม่ต้องรับโทษ เว้นเสียแต่ว่าเป็นการส่วนตัวและไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

ซ้ำร้ายหากศาลพิจารณาว่าจำเลยมีความผิดจริงก็ไม่สามารถได้รับการยกเว้นโทษได้ เนื่องเพราะโทษปัจจุบันได้รับการบัญญัติขึ้นใหม่โดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน(จริงๆก็คือคณะรัฐประหารนั่นแหล่ะ)ยกเลิกมาตรา  112 เดิม ซึ่งมีโทษสูงสุดจำคุก7 ปี โดยไม่มีโทษขั้นต่ำ แล้วบัญญัติขึ้นมาใหม่เป็นสูงสุด 15 ปีและเป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดโทษขั้นต่ำ คือ ตั้งแต่ 3 ปีเอาไว้ด้วย ซึ่งก็หมายความว่าหากศาลเห็นว่ามีความผิดก็ต้องพิพากษาลงโทษจำคุกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมีการกำหนดโทษขั้นต่ำเอาไว้

ผมจะไม่กล่าวถึงว่าควรหรือไม่ควรแก้ไข ควรหรือไม่ควรยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา  112  นี้ เพราะได้กล่าวไว้เยอะแล้ว แต่จะชี้ให้เห็นว่าผลร้ายจากการที่กฎหมายนี้เปิดโอกาสให้ใครก็ได้เป็นผู้เสียหายสามารถร้องทุกข์กล่าวโทษได้นั้น ได้สร้างความทุกข์ ความยุ่งยาก สับสน แก่ผู้ถูกกล่าวหาและสังคมเป็นอย่างยิ่ง

ความบกพร่องของมาตรา  112 ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อผู้ที่จงรักภักดีต่อสถาบันอย่างจริงใจ การนำมาตรา  112 มาใช้กลั่นแกล้งกันย่อมเป็นเหตุให้เสียพระเกียรติยิ่งกว่าเชิดชูพระเกียรติ ผู้ที่ขาดความจงรักภักดีหรือผู้ไม่ยอมรับประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้นที่ยินดีกับข้อบกพร่องของมาตรา  112 

แทนที่กฎหมายจะถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อรักษาความสงบสุขในสังคมตามหลักปรัชญาของการมีกฎหมายในสังคมมนุษย์ กลับกลายเป็นว่ากฎหมายกลายเป็นตัวสร้างความไม่สงบสุขขึ้นมาเสียเอง ด้วยเหตุแห่งความบกพร่องของตัวกฎหมายเอง และความคึกคะนองของคนบางคน ดังเช่นกรณีที่ผมได้ยกตัวอย่างมาแล้วข้างต้น

ถึงเวลาแล้วล่ะครับที่จะต้องมีการแก้ไขปรับปรุงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา  112   เพราะกฎหมายเกิดจากมนุษย์สร้างขึ้น เมื่อใช้ไปแล้วมีปัญหา มนุษย์เองก็ย่อมที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นหรือแม้กระทั่งยกเลิกไปเสีย หากเห็นว่ามีไว้ไม่เกิดประโยชน์อันใด รังแต่จะเป็นโทษต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์และต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ยกเลิกเสีย เช่น ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือการไม่จงรักภักดีแต่อย่างใด  

---------------  

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2555  

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดคำพิพากษา ผอ.ประชาไท: มาตรฐาน ตัวกลาง-เสรีภาพ-ความมั่นคง

Posted: 29 May 2012 11:42 PM PDT

 

 

ย่อคำพิพากษา

คดีหมายเลขดำที่ อ.๑๑๖๗/๒๕๕๓

                                                            ศาลอาญา

            วันที่ ๓๐ เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

 

ระหว่าง    พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด                                            โจทก์

            นางสาวจีรนุช   เปรมชัยพร                                                                 จำเลย

เรื่อง      ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

 

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ให้บริการเว็บไซต์โดยเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ (Web master) ชื่อว่า ประชาไท (www.prachatai.com) จำเลยจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการดำเนินการนำข้อความอันเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่มีเนื้อหาเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์  พระราชินี  รัชทายาท อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร จำนวน ๑๐ กระทู้ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในความควบคุมของจำเลย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ , ๑๕ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทย์จำเลยแล้วเห็นว่า ข้อความตามกระทู้ทั้งสิบมีลักษณะเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และมีการนำเข้าสู่ในเว็บบอร์ดของเว็บไซต์ประชาไท แต่โจทย์ไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยจะเป็นผู้นำข้อความตามกระทู้ทั้งสิบดังกล่าวเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ หรือ จงใจ สนับสนุน ให้มีการกระทำความผิดดังกล่าว ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ (๓) และฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจ หรือสนับสนุน ให้มีการกระทำความผิดดังกล่าว ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย ส่วนจะเป็นการ ยินยอม ให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลยหรือไม่นั้น เนื่องจากพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๕ มิได้บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งเกี่ยวกับระยะเวลานับแต่เกิดการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ความควบคุมของผู้ให้บริการว่า ควรมีระยะเวลานานเพียงใด กับมิได้กำหนดระยะเวลาในการแจ้งเตือนให้ผู้ดูแลเว็บไซต์ดำเนินการแก้ไขกรณีที่มีการนำเข้าข้อความที่ไม่เหมาะสมสู่ระบบอินเตอร์เน็ตของผู้ให้บริการ ซึ่งมีฐานะตัวกลางระหว่างผู้ใช้บริการในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เพื่อให้ผู้ให้บริการเว็บไซต์ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลที่ไม่เหมาะสมที่ผู้ใช้บริการโพสต์หรือนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้บริการรับผิดชอบดูแลอยู่ หรือระงับการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวไว้เพียงใด กรณีจะถือว่าผู้ให้บริการยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ ที่อยู่ในความควบคุมของตน และต้องรับผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ โดยทันทีหลังจากมีการนำเข้าข้อความที่ไม่เหมาะสมสู่ระบบอินเตอร์เน็ตของตัวกลางนั้นนับว่าไม่เป็นธรรมแก่ผู้ให้บริการในฐานะตัวกลางระหว่างผู้ใช้บริการในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต แต่ผู้ให้บริการเองจะอ้างว่าไม่ทราบว่ามีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตนโดยมิได้คำนึงถึงภาระหน้าที่และความรับผิดชอบในฐานะเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ หรือ Web master ของผู้ให้บริการเองเพื่อให้หลุดพ้นจากความผิดดังกล่าว และทำให้บทบัญญัติตามกฎหมายไม่มีสภาพบังคับนั้น ย่อมไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่บัญญัติไว้ดังกล่าว


ศาลเห็นว่าหากจำเลยมีความใส่ใจดูแลและตรวจสอบตามหน้าที่และความรับผิดชอบของจำเลยแล้ว ควรจะใช้เวลาในการตรวจสอบและพบเห็นตลอดจนนำข้อมูลที่ไม่เหมาะสมตามที่บัญญัติในมาตรา ๑๔ ดังกล่าวออกจากระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลยภายในระยะเวลาอันสมควรที่อาจจะพึงคาดหมายได้ว่าจำเลยรู้อยู่ว่ามีการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่นำเข้าสู่ระบบโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เพราะหากปล่อยเวลาให้เนินนานไปกว่านี้อาจมีการนำข้อความที่มีลักษณะเป็นการไม่เหมาะสมเผยแพร่ต่อไปไม่จบสิ้นจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศชาติได้ เมื่อปรากฏว่ากระทู้จำนวน ๙ กระทู้ ตามเอกสารหมาย จ.๒๓ ถึง จ.๓๑ อยู่ในกระดานสนทนาหรือเว็บบอร์ดที่จำเลยเป็นผู้ดูแล เป็นเวลา ๑๑ วัน ๑ วัน ๓ วัน ๒ วัน ๒ วัน ๑วัน ๓ วัน ๒ วัน และ ๑ วัน ตามลำดับ ซึ่งอยู่ภายในกรอบเวลาอันสมควรในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยในฐานะเป็นผู้ควบคุมเว็บบอร์ด จึงมิอาจฟังได้ว่าจำเลยได้รู้ถึงการนำกระทู้ตามเอกสารหมาย จ.๒๓ ถึง จ.๓๑ ดังกล่าวเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย อันจะถือว่าเป็นการยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย ส่วนกระทู้ตามเอกสารหมาย จ.๓๒ นั้น ปรากฏว่าอยู่ในกระดานสนทนาหรือเว็บบอร์ดที่อยู่ในความควบคุมของจำเลยเป็นเวลาถึง๒๐วัน ซึ่งศาลเห็นว่า  เกินกำหนดเวลาอันควรที่จำเลยจะตรวจสอบพบตลอดจนนำข้อมูลที่ไม่เหมาะสมดังกล่าวออกจากระบบคอมพิวเตอร์ที่จำเลยเป็นผู้ดูแล จึงเป็นการงดเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ของผู้ให้บริการภายในเวลาอันสมควร กรณีย่อมถือได้ว่าจำเลยให้ความยินยอมโดยปริยาย ในการนำข้อมูลที่ปรากฏในเอกสารหมายเลข จ.๓๒ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย เมื่อข้อมูลที่นำเข้าดังกล่าว มีลักษณะเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๔(๓) จำเลยในฐานะผู้ให้บริการในการนำเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต ย่อมมีความผิดฐานเป็นผู้ยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย

ที่จำเลยนำสืบว่าหลังจากรัฐประหารมีผู้เข้าไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นบนเว็บบอร์ดของเว็บประชาไทมากขึ้น จึงได้เพิ่มมาตรการในการควบคุมดูแล โดยให้มีการตรวจสอบข้อมูลโดยเจ้าหน้าที่ของประชาไทกับให้มีอาสาสมัครที่เป็นสมาชิกที่ใช้บริการเว็บบอร์ดประชาไทเข้าไปตรวจสอบข้อมูลที่นำเข้าของเว็บประชาไท เมื่ออาสาสมัครท่านใดตรวจพบว่ามีข้อมูลที่สุ่มเสี่ยงหรือไม่เหมาะสมก็สามารถนำออกได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากจำเลยก่อนนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำหน้าที่ของจำเลยในฐานะผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ท แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ภาระหน้าที่ของจำเลยในการควบคุมดูแลมิให้มีการกระทำคงวามผิดตามมาตรา๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลยมีอยู่เช่นใดก็ยังคงมีอยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง

และส่วนที่ว่าเว็บไซต์ประชาไทเป็นโครงการหนึ่ง ภายใต้มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน จุดประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง มุ่งเน้นเรื่องสิทธิมนุษยชนและส่งเสริมประชาธิปไตยนั้น ศาลก็ยอมรับว่า สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองซึ่งให้การรับรองและคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ เพราะเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นสะท้อนถึงธรรมาภิบาลและความเป็นประชาธิปไตยของประเทศหรือองค์กรนั้นๆ การวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนทั้งด้านบวกและด้านลบแล้ว ย่อมเป็นโอกาสในการนำไปปรับปรุงประเทศ องค์กร และตนเองให้ดียิ่งๆขึ้น แต่เมื่อจำเลยเปิดช่องทางให้มีการแสดงความคิดเห็นในระบบคอมพิวเตอร์ที่จำเลยเป็นผู้ให้บริการและอยู่ในความดูแลของจำเลย จำเลยย่อมมีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อคิดเห็นหรือข้อมูลที่อาจกระทบกระเทือนถึงความมั่นคงของประเทศรวมทั้งเสรีภาพของผู้อื่นที่ต้องเคารพเช่นกัน เมื่อปรากฏว่าจำเลยยินยอมให้มีการนำข้อคิดเห็นหรือข้อมูล ตามที่ปรากฏอยู่ในเอกสารหมาย จ.๓๒ ลงในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลยดังที่วินิจฉัยมาข้างต้น จำเลยจึงมิอาจอ้างถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นดังกล่าวเพื่อให้หลุดพ้นจากความรับผิดได้

พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๕ ประกอบมาตรา ๑๔ (๓) ตามฟ้องข้อ ๑.๑๐ ลงโทษจำคุก ๑ ปีและปรับ ๓๐,๐๐๐ บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่ การพิจารณา นับว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุก ๘ เดือน และปรับ ๒๐,๐๐๐ บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เพื่อให้จำเลยมีโอกาสเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ข้อหาและคำขออื่นให้ยก./

 


 

 

 

 

อ่านรายละเอียดคดีได้ที่
http://freedom.ilaw.or.th/th/case/112

 

AttachmentSize
ย่อคำพิพากษาคดีจีรนุช หน้า1.pdf611.65 KB
ย่อคำพิพากษาคดีจีรนุช หน้า2.pdf768.62 KB
ย่อคำพิพากษาคดีจีรนุช หน้า3.pdf807.97 KB
ย่อคำพิพากษาคดีจีรนุช หน้า4.pdf370.33 KB
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

This posting includes an audio/video/photo media file: Download Now

ซูจีปราศรัยที่มหาชัย ยันต่อสู้เพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ

Posted: 29 May 2012 11:02 PM PDT

โดยการเยี่ยมชุมชนแรงงานข้ามชาติเป็นภารกิจแรกในการเยือนต่างประเทศของนางออง ซาน ซูจีในรอบ 24 ปี ก่อนจะเข้าร่วมในงานเวิร์ลด์ อิโคโนมิค ฟอรั่ม ในวันพรุ่งนี้ 

ทันทีที่นางออง ซาน ซูจีได้เดินทางมาถึงตลาดกุ้ง ย่านมหาชัย ในช่วงเช้าวันที่ 30 พ.ค. ชาวพม่าในมหาชัยนับพันคนที่มารอต้อนรับนางออง ซาน ซูจี ได้ตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดี และเปล่งเสียงอวยพรให้นางออง ซาน ซูจีสุขภาพแข็งแรง (ที่มาของภาพ: สุลักษณ์ หลำอุบล)

"วันนี้มารอรับแม่ซู มารอตั้งแต่ตีห้า" "พี่ตัน" อายุ 42 ปี ชาวเมืองเมาะละแหม่ง รัฐมอญ ประเทศพม่า เขากล่าวว่าเคยร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในปี 2531 หรือเหตุการณ์ 8888 ก่อนที่จะออกมาทำงานในมหาชัยจนถึงตอนนี้ นับเป็นเวลา 20 ปีแล้ว

หล้า หล้า วิน (ขวา) จากเมืองมะละแหม่ง รัฐมอญ ประเทศพม่า มาทำงานเป็นแม่บ้านที่กรุงเทพฯ มาแล้ว 4 ปี เช่นเดียวกับ รวย อู (ซ้าย) ทำงานที่กรุงเทพได้ 9 ปี ทั้งคู่เดินทางมาที่มหาชัย จ.สมุทรสาครวันนี้นอกจากเพื่อต้องการพบกับนางออง ซาน ซูจีแล้ว เขาทั้งสองยังมาที่นี่เพื่อ "ต้องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย" และเพื่อเป็นการสนับสนุนพรรคเอ็นแอลดี

 

ขบวนรถของนางออง ซาน ซูจี เดินทางต่อไปยังตลาดมหาชัยวิลล่า ซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยของชุมชนแรงงานพม่า โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น

ชาวพม่าที่มหาชัยวิลล่า รอต้อนรับนางออง ซาน ซูจี

ต่อมานางออง ซาน ซูจี ได้กล่าวปราศรัยกับชาวพม่า จากระเบียงของอาคารสำนักงานของเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ ระหว่างการเยือนมหาชัย ซึ่งเป็นย่านของชุมชนแรงงานพม่าที่มาทำงานในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารทะเล และย่านประมง (ที่มาของภาพ: ปาลิดา ประการะโพธิ์)

30 พ.ค. 55 - เมื่อเวลาราว 9.00 น. นางออง ซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านของพม่าจากพรรคสันนิบาตชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี ได้เดินทางเยือนตลาดกุ้ง ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร และตลาดมหาชัยวิลลา เพื่อเยี่ยมชุมชนแรงงานพม่าในประเทศไทย โดยหลังจากกล่าวปราศรัยกับชุมชนในบริเวณนั้น นางซูจีได้เข้าพูดคุยกับตัวแทนแรงงาน ณ ศูนย์เรียนรู้แรงงานข้ามชาติ โดยมีประชาชนต้อนรับอย่างคับคั่งราวสามพันคน

หลังจากที่นางออง ซาน ซูจี เดินทางมายังประเทศไทยเป็นวันแรกราว 22.00 น. เมื่อวันที่ 29 พ.ค. และในเช้าวันนี้ นางได้เดินทางเข้าเยี่ยมชุมชมแรงงานพม่าในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งนับเป็นชุมชนแรงงานพม่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยเยือนตลาดกุ้งเป็นที่แรก ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักและแน่นขนัด มีประชาชนชาวพม่านับพันคน ตะโกนโห่ร้องยินดีต้อนรับ "อะเหม่ซู" ในภาษาพม่าหรือ "แม่ซู" อย่างกระตือรือร้น

ต่อมานางออง ซาน ซูจีได้เดินทางต่อไปยังตลาดมหาชัยวิลลาซึ่งเป็นบริเวณที่พักอาศัยของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดสมุทรสาคร และเข้าเยี่ยมศูนย์เรียนรู้แรงงานข้ามชาติ ของเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ และได้ปราศรัยกับประชาชนที่มารอต้อนรับราว 2 พันคน ก่อนที่จะเข้าพูดคุยหารือกับตัวแทนแรงงานข้ามชาติ

เธอปราศรัยจากชั้นสามของอาคารของเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ โดยกล่าวว่า เธอต้องการมาเยี่ยมแรงงานที่มหาชัย เพราะอยากเห็นสภาพความเป็นอยู่ที่นี่ และที่นี่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนอยู่พม่า เธอกล่าวต่อว่า แรงงานที่นี่อย่ารู้สึกน้อยใจหรือรู้สึกถูกทิ้ง เพราะนางจะยังต่อสู้เพื่อกฎหมายคุ้มครองแรงงานพม่า และแรงงานต่างชาติอื่นๆ ในประเทศไทยด้วย

สุดท้าย เธอกล่าวว่า อยากให้ทุกคนรอโอกาสดีๆ ดูแลตนเอง และให้รอวันกลับไปทำงานที่พม่า แต่ตอนนี้ให้ทำตัวให้เรียบร้อย มีความสามัคคี อย่าสร้างปัญหาให้เจ้าบ้าน และถ้ามีปัญหาอะไรก็ขอให้บอก จะช่วยประสานกับทางการไทยให้ 

ส่วนในวันพรุ่งนี้เช้า นางมีกำหนดการกล่าวปาฐกถาในงานเวิร์ลด์ อีโคโนมิค ฟอรั่ม ที่โรงแรมแชงกรีล่า กรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังมีกำหนดการเยือนค่ายผู้ลี้ภัยจากรัฐกะเหรี่ยง ที่ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ในวันที่ 2 มิ.ย. นี้ด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

[คลิป] ออง ซาน ซูจีจับมือทักทายผู้สนับสนุนที่มหาชัย

Posted: 29 May 2012 10:33 PM PDT

คลิปนางออง ซาน ซูจี เปิดประตูรถออกมาทักทายผู้สนับสนุน (ที่มา: ประชาไท)

เมื่อเวลาประมาณ 9.30 น. วันนี้ (30 พ.ค.) นางออง ซาน ซูจี ส.ส. และ ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี พร้อมคณะได้เดินทางเยือนย่านอุตสาหกรรมที่ ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เพื่อเยี่ยมชมสภาพความเป็นอยู่ของแรงงานชาวพม่า โดยมีผูู้สนับสนุนหลายพันคนออกมาต้อนรับนางออง ซาน ซูจี

ทั้งนี้ระหว่างการเยี่ยมชมตลาดกุ้ง ที่ ต.มหาชัย ระหว่างที่ขบวนรถของนางออง ซาน ซูจี เคลื่อนผ่านผู้สนับสนุน รถของนางออง ซาน ซูจี ได้หยุดและนางออง ซาน ซูจี ได้ยื่นตัวออกมาจากรถ พร้อมโบกมือและจับมือทักทายผู้สนับสนุน

ทั้งนี้ตามกำหนดการเยือนเดิมที่ตลาดกุ้ง เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง ได้ขอให้นางออง ซาน ซูจี อย่าลงจากรถเพื่อเยี่ยมชมตลาด แต่ให้อยู่ภายในรถยนตร์แทนด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย โดยการยื่นตัวออกจากรถเพื่อทักทายผู้สนับสนุนของนางออง ซาน ซูจีครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย และสร้างความยินดีให้กับผู้สนับสนุนชาวพม่านับพันคนที่มารอต้อนรับ

แรงงานชาวพม่าหลายรายให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวประชาไทว่า วันนี้ได้ลางานมาเพื่อรอต้อนรับนางออง ซาน ซูจีโดยเฉพาะ และรู้สึกดีใจมากที่จะได้พบกับนางออง ซาน ซูจี

ทั้งนี้ระหว่างเข้าเยี่ยมสำนักงานด้านสิทธิแรงงานข้ามชาติที่มหาชัย นางออง ซาน ซูจี ได้ปราศรัยผ่านระเบียงชั้น 3 ของอาคารโดยกล่าวว่า ต้องการมาเยี่ยมแรงงานที่มหาชัย เพราะอยากเห็นสภาพความเป็นอยู่ที่นี่ ที่นี่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนอยู่พม่า นางออง ซาน ซูจีกล่าวด้วยว่าขอให้พี่น้องที่นี่อย่าน้อยใจหรือรู้สึกว่าถูกทิ้ง เพราะนางจะยังต่อสู้เพื่อกฎหมายคุ้มครองแรงงานพม่า และแรงงานต่างชาติอื่นๆ ในประเทศไทยด้วย

ทั้งนี้ประชาไทจะนำเสนอข่าวการเยือนมหาชัย ของนางออง ซาน ซูจี โดยละเอียดต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลตัดสิน “ผอ.ประชาไท” ผิดคดีตัวกลาง สั่งจำคุกแต่ให้รอลงอาญา

Posted: 29 May 2012 10:15 PM PDT

ศาลพิพากษาลงโทษ ผอ.ประชาไท ตาม ม.15 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จำคุก 1 ปี ปรับ 30,000 บาท ให้ความร่วมมือลดโทษเหลือ 8 เดือน ปรับ 20,000 บาท รอลงอาญา 1 ปี 

 

วันนี้ (30 พ.ค.55) เมื่อเวลา 10.50 น.ที่ศาลอาญารัชดา ห้องพิจารณาคดีที่ 704 ศาลพิพากษาคดี จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท (prachatai.com) ในความผิดตามมาตรา 14 และ 15 พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ จำคุก 1 ปี ปรับ 30,000 บาท จำเลยให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 8 เดือน ปรับ 20,000 บาท และจำเลยไม่เคยกระทำความผิดให้รอลงอาญา 1 ปี  ก่อนหน้านี้ ศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่ในวันดังกล่าว ผู้พิพากษาขึ้นบัลลังก์แจ้งขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาไปเป็นวันที่ 30 พ.ค.55 โดยให้เหตุผลว่า เอกสารคดีนี้มีจำนวนเยอะมาก
 
สำหรับบรรยากาศในการเข้าฟังคำพิพากษาวันนี้ มีผู้เข้าร่วมฟังกว่า 100 คน โดยมีตัวแทนจากสถานทูตประจำประเทศไทยจากประเทศต่างๆ กว่า 11 ประเทศ อาทิ อเมริกา อังกฤษ แคนาดา สวีเดน ฟินแลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ เยอรมนี ตัวแทนจากสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย
 
//////////////////////////////////
 
ศาลได้อ่านคำพิพากษา น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการประชาไท จากข้อกล่าวหาว่าจำเลยได้มีการปล่อยให้มีการนำเข้าข้อมูลที่มีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศอยู่ในเว็บบอร์ดโดยที่ข้อความส่วนใหญ่ปรากฏอยู่นาน 1-3,10วัน และมีข้อความหนึ่งปรากฏอยู่ในเว็บบอร์ดนานถึง20วันนั้น

ศาลถือว่าเป็นเวลาที่ควรจะรู้และควรที่จะทำการลบข้อความที่เป็นปัญหาแล้ว จึงถือเป็นการการงดเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามเวลาอันสมควร จึงถือเป็นการยินยอมโดยปริยายให้มีการนำเข้าข้อมูลที่มีความผิดเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์จริง

ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าเหตุเกิดจากมีการแสดงความคิดเห็นตามเว็บบอร์ดมากขึ้นหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549 และทางเว็บได้เพิ่มมาตรการในการตรวจสอบมากขึ้นตามลำดับนั้น ถือว่าเป็นการกระทำตามหน้าที่แต่ยังไม่ถือว่าเพียงพอ

ในส่วนที่จำเลยยกเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นนั้น ศาลยอมรับว่ามีความสำคัญและถูกระบุอยู่ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ การมีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ได้สะท้อนถึงหลักธรรมาภิบาลและประชาธิปไตยขององค์กรและของประเทศนั้นๆ

แต่เมื่อจำเลยเปิดช่องทางให้มีการแสดงความคิดเห็นก็ต้องดูแลตรวจสอบข้อความที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศและสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเคารพเช่นกัน

ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า การให้บริการทางเว็บบอร์ด ข้อความที่ผู้ใช้บริการโพสต์ได้ปรากฏขึ้นทันที โดยไม่สามารถตรวจสอบได้ล่วงหน้า ซึ่งตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา15 ว่าด้วยความรับผิดชอบของผู้ใช้บริการไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในเรื่องเวลา ว่าจะต้องให้จัดการกับข้อความที่ผิดกฎหมายภายในระยะเวลาเท่าไหร่ และไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการแจ้งเตือน

แต่หากจะถือว่าผู้ให้บริการยินยอมและต้องรับผิดชอบโดยทันที ก็ถือว่าไม่ได้ให้ความเป็นธรรมต่อผู้ให้บริการ แต่หากผู้ให้บริการจะอ้างว่าไม่ทราบว่ามีการโพสต์ข้อความดังกล่าว โดยไม่คำนึงถึงหน้าที่ความรับผิดชอบเพื่อให้พ้นจากความผิด ย่อมไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

ศาลพิจารณาว่า ข้อความตามฟ้องที่ปรากฏในเว็บบอร์ดในระยะเวลา 1-3,10วัน ยังอยู่ในกรอบเวลาที่ฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้รับรู้ถึงการนำเข้าของข้อมูลดังกล่าว แต่สำหรับข้อความที่ถูกนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เป็นเวลา20วัน ไม่อาจรับฟังได้ว่าไม่ได้รับรู้ถึงการนำเข้าของข้อมูล จึงถือว่าเป็นการยินยอม จงใจ หรือ สนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิด

ศาลจึงพิพากษาให้มีความผิดตามกฎหมาย มาตรา 15 ประกอบ มาตรา4(3) ให้จำคุกเป็นเวลา1ปี ปรับเป็นเงิน 30,000 บาท แต่เนื่องจากไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนและเพื่อให้จำเลยได้มีโอกาสเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ จึงมีเหตุให้บรรเทาโทษให้จำคุก 8 เดือน ปรับ 20,000บาท โทษจำให้รอลงอาญา 1ปี

ลงชื่อผู้พิพากษา กำพล รุ่งรัตน์ และนิตยา แย้มศรี

/////////////////////////

 
 

หลังฟังคำพิพากษา จีรนุช ให้สัมภาษณ์ว่า ค่อนข้างพอใจกับคำพิพากษาที่เรียบเรียงได้อย่างมีเหตุมีผล อย่างไรก็ตามในกระทู้ที่มีความผิด คงเป็นจุดที่ยังไม่พอใจนักและคงต้องปรึกษาทนายว่าจะอุทธรณ์ต่อหรือไม่ เนื่องจากเป็นหนึ่งกระทู้ที่นำไปสู่ประเด็นว่าในฐานะผู้ให้บริการไม่ตรวจตราข้อมูลในเว็บอย่างดีพอ ทำให้มีความผิดฐานยินยอมให้มีข้อความดังกล่าว ซึ่งในทางสากลก็ยังเป็นที่ถกเถียงว่า บทบาทของผู้ให้บริการที่ต้องทำหน้าที่ตำรวจตรวจตราเนื้อหา ถูกต้องชอบธรรมแค่ไหน และหากจะพูดถึงเรื่องเสรีภาพอินเทอร์เน็ตในบ้านเรา หรือโครงสร้างพื้นฐานของการสื่อสาร คงต้องถกเถียงกันต่อไป เพราะจะทำให้การทำงานในลักษณะเซ็นเซอร์ตัวเองไว้ก่อนเกิดมากขึ้น

ส่วนคดีที่ขอนแก่นนั้น จีรนุชกล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่รู้ว่าตำรวจจะสั่งฟ้องหรือไม่

สำหรับข้อเสนอในการแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นั้น จีรนุช มองว่า ไม่ควรมีการผนวกรวมการควบคุมเนื้อหาไว้ใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เนื่องจากมีกฎหมายอาญาอยู่แล้ว ขณะที่ในส่วนของผู้ให้บริการนั้น ควรมีระเบียบและข้อบังคับใช้กฎหมายที่ชัดเจน ซึ่งคำพิพากษาในวันนี้ก็พูดถึงการที่ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ไม่ได้กำหนดรายเอียดไว้ว่าระยะเวลาเท่าใดจึงเท่ากับจงใจ

ธีรพันธุ์ พันธุ์คีรี ทนายความจำเลย ให้สัมภาษณ์ว่า คำพิพากษาครั้งนี้ โดยรวมถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ เพราะศาลได้พิจารณาเรื่องระยะเวลาด้วย คือ กรณีของข้อความบางข้อความที่ปรากฏอยู่ในเว็บบอร์ดในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ศาลก็ได้วินิจฉัยว่า จำเลยได้จัดการลบข้อความออกในระยะเวลาอันสมควรแล้ว

อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังมีความเห็นต่างในกระทงที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษโดยวินิจฉัยว่าการที่ข้อความในกระทู้ดังกล่าวปรากฏอยู่เป็นระยะเวลา 20 วัน แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้มีการตรวจตราตรวจสอบเท่าที่ควรจะเป็น ถือเป็นการงดเว้นสิ่งที่จะต้องกระทำ จึงวินิจฉัยว่าจำเลยยินยอมโดยปริยาย

“กรณีที่จำเลยตรวจสอบไม่พบหรือไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเพียงพออย่างที่ศาลกล่าว เช่นนั้นแล้วการกระทำของจำเลยก็น่าจะเป็นเพียงความบกพร่องหรือผิดพลาดเท่านั้นเอง ในขณะที่กฎหมายกำหนดไว้ว่า การจะเป็นความผิดได้ ผู้ให้บริการต้องจงใจ สนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดหรือให้มีการโพสต์ข้อความที่ผิดกฎหมาย ผมเห็นว่ากรณีที่จะเป็นการจงใจสนับสนุนหรือยินยอมต้องเป็นกรณีที่มีพยานหลักฐานรับฟังได้โดยแน่ชัด ว่าตัวจำเลยได้รับทราบถึงข้อความที่มีผู้โพสต์ลงในเว็บบอร์ดแล้ว เมื่อทราบแล้วกลับเพิกเฉยไม่จัดการลบออกในทันทีหรือในเวลาอันควร เช่นนี้จึงจะเป็นการจงใจสนับสนุนยินยอม นี่เป็นประเด็นที่คิดว่าถ้าจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์ ศาลสูงก็น่าจะวินิจฉัยประเด็นนี้”

ธีรพันธุ์กล่าวว่า คำพิพากษาลักษณะนี้จะเป็นบรรทัดฐานให้กับคดีอื่นๆ เพราะตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ยังไม่เคยมีคดีที่เป็นแบบอย่างเป็นบรรทัดฐานมาก่อน แม้ว่าคำพิพากษาในคดีนี้จะเป็นเพียงคำพิพากษาของศาลชั้นต้น แต่ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่หรือการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เช่นกระทรวงไอซีที หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 

พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

มาตรา 14 ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

(1) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบาง ส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
(2) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความ ตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(3) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการ ก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(4) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามก และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)

มาตรา 15 ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอม ให้มีการกระทําความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทําความผิดตาม มาตรา 14

 

 

หมายเหตุ: ติดตามรายละเอียดคำตัดสินเร็วๆ นี้
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยูโร 2012: บางแง่มุมเกี่ยวกับ 16 ทีมที่คุณควรรู้ (กลุ่ม A)

Posted: 29 May 2012 04:10 PM PDT

สำหรับคอกีฬา เราลองมารู้จักบางแง่มุมของ 16 ประเทศที่จะร่วมโม่แข้งในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปนอกเหนือจากเรื่องฟุตบอล โดยตอนแรกขอนำเสนอเกร็ดเล็กๆ ของประเทศในกลุ่ม A เจ้าภาพร่วมโปแลนด์, กรีซ, รัสเซีย และเช็ก

 

โปแลนด์


ปัญหาการเหยียดผิว - ความกลัวเรื่องการเหยียดผิวในการแข่งขันครั้งนี้ที่โปแลนด์ก็มาจากฐานความจริงที่ในประเทศที่เคยเป็นสังคมนิยมนี้กลับสวิงมาเป็นชาติที่มีปัญหาความรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อย่างสุดขั้ว โดยไม่นานมานี้สถานีโทรทัศน์ BBC ของอังกฤษเพิ่งนำเสนอรายงานพิเศษเกี่ยวกับกลุ่มนิยมลัทธินาซีใหม่ (Neo-Nazism) ในยูเครนและโปแลนด์ซึ่งมักแสดงท่าทีหยามเหยียดนักเตะผิวสี รวมถึงเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา องค์กรชาวยิวในโปแลนด์ ได้เปิดเผยว่าพวกหัวรุนแรงได้บุกทำลายสุสานชาวยิว ในเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของโปแลนด์ พร้อมมีการพ่นสีสเปรย์เป็นสัญลักษณ์สวัสดิกะบนหลุมศพ และบางข้อความเขียนว่า "ที่นี่คือโปแลนด์ ไม่ใช่อิสราเอล"

ฟุตบอลกับชาวสีรุ้ง - นอกจากนี้ยังมีการถกเถียงกันในเรื่องการเมืองเกี่ยวกับเพศสภาพและเกมฟุตบอล โดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2011 กลุ่มสิทธิเกย์และเลสเบียนกลุ่มหนึ่งในโปแลนด์บางกลุ่มได้ออกมาเรียกร้องให้ผู้จัดการแข่งขัน จัดที่นั่งสำหรับกลุ่มเกย์และเลสเบี้ยน เพื่อป้องกันการถูกล่วงละเมิดและความรุนแรงจากแฟนบอลหัวรุนแรง แต่กระนั้นก็มีกลุ่มเกย์และเลสเบียนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดนี้ เนื่องจากว่าแนวคิดนี้สร้างความ “แปลกแยก” และ “แบ่งแยก” กลุ่มเกย์และเลสเบียนออกไปอย่างชัดเจนจนอาจเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายมากขึ้น และมีเกย์กับเลสเบียนอีกจำนวนมากในโปแลนด์ที่ก็ไม่ต้องการให้เรียกร้องความสนใจในตัวพวกเขาด้วยวิธีการแบบนี้

ในขณะที่สนามแข่งขันบางสนามยังปฏิเสธที่จะแบ่งพื้นที่สำหรับกลุ่มรักร่วมเพศโดยเฉพาะด้วย โดยให้เหตุผลว่าอาจเป็นการล่อเป้ามากเกินไป โดยสนามแข่งแห่งหนึ่งในเมือง Gdansk ได้ปฏิเสธคำร้องของกลุ่มดังกล่าวแล้ว โดยให้เหตุผลว่า การดำเนินการดังกล่าวน่าจะเป็นประทับตราความเป็นเกย์-เลสเบี้ยนพวกเขา

อนึ่งเมื่อปี 2011 ที่ผ่านมา โปแลนด์ก็มี ส.ส. ที่ผ่าตัดแปลงเพศคนแรกของประเทศ คือ Anna Grodzka วัย 57 ปี เธอได้รับการผ่าตัดแปลงเพศในประเทศไทย จากนั้นจึงลงเลือกตั้งและได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนตุลาคม 2011 โดยเธอสาบานตนเข้ารับตำแหน่งพร้อมกับ  Robert Biedron ซึ่งเป็น ส.ส. คนแรกของโปแลนด์ที่เปิดเผยตนเองต่อสาธารณะชนว่าตนเองเป็นเกย์

ประเด็นรุมกระหน่ำยูเครน – แม้จะเป็นเจ้าภาพร่วมและเป็นมิตรประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงกับยูเครน แต่โปแลนด์ก็อดไม่ได้ที่จะเล่นการเมืองระหว่างประเทศถล่มยูเครนที่กำลังติดหล่มเรื่องการละเมิดสิทธิของนาง Yulia Tymochenko อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของยูเครน (ซึ่งจะขออภิปรายถึงกรณียูเครนต่อไปในกลุ่ม D)

ประธานาธิบดี Bronisław Komorowski ของโปแลนด์ เป็นหนึ่งในผู้นำประเทศในยุโรปที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยูเครน ยอมผ่อนปรนปรับเปลี่ยนกฎหมายบางมาตราเพื่อเป็นการคำนึงถึงสภาพร่างกาย และให้มีการรักษาอาการป่วย และบาดเจ็บที่เกิดจากการอดอาหารประท้วง ของนาง Tymochenko อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของยูเครน ที่ถูกตัดสินลงโทษจำคุก 7 ปี ในข้อหาใช้อำนาจในทางมิชอบขณะดำรงตำแหน่ง แต่กระนั้น Komorowski  ก็มิได้เรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรการจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (ยูโร 2012) ครั้งนี้ แต่เขาหวังว่าการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 น่าจะเป็นสื่อกลางช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างยูเครนกับประเทศต่างๆ ในกลุ่มสหภาพยุโรปได้

ป้องกันเอดส์ช่วงบอลยูโร - กระทรวงสาธารณสุขของโปแลนด์ มีนโยบายแจกถุงยางอนามัยให้กับแฟนบอลหลายแสนคนที่เดินทางเข้ามาชมยูโร 2012 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย โดยจะมีการแจกถุงยางอนามัยจำนวน 150,000 ชุด และใบปลิวต่างๆ ในบริเวณแฟนโซน

 

กรีซ


คนป่วย (หนัก) แห่งยุโรป – ในประเทศที่ซึ่งเภสัชกรกินเงินบำนาญยังต้องฆ่าตัวตาย หญิงมีครรภ์ไม่มีค่าทำคลอดบุตร และอีกสาระพันปัญหาที่รุมเร้า กรีซอาจจะเป็นประเทศที่กำลังย่ำแย่หนักที่สุดของยุโรปในขณะนี้

วิกฤตการเงินของกรีซเริ่มจากการที่รัฐบาลขาดวินัยการคลังประกอบกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทำให้งบประมาณภาครัฐขาดดุลสูงถึง 14.5% ของมูลค่าเศรษฐกิจ (GDP) และมีหนี้สาธารณะสูงมากถึง 113% ของ GDP ตั้งแต่ในปี 2009 ได้ส่งผลต่อเนื่องมาให้รัฐบาลต้องพยุงเศรษฐกิจของประเทศด้วยนโยบายรัดเข็มขัด ตัดสวัสดิการต่างๆ ของประชาชน อันทำให้เกิดการประท้วงเรื่อยมาทั้งจากประชาชนทั่วไปและองค์กรสหภาพแรงงาน

และกรีซก็ไม่สามารถพลิกฟื้นแก้ปัญหาได้ถึงแม้จะมีการการอัดฉีดเม็ดเงินกู้จากต่างประเทศ ทั้งนี้มีความกลัวที่ว่ากรีซอาจจะต้องถอนตัวออกจากการใช้ค่าเงินยูโร ที่อาจจะฉุดยุโรปทั้งทวีป โดยความเสี่ยงที่กรีซจะกลับไปใช้สกุลเงิน Drachma มีสูงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ เมื่อสถานการณ์การเมืองในประเทศถึงทางตัน เพราะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้ หลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพิ่มความกังวลว่าวิกฤตหนี้สาธารณะอาจลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ในยูโรโซน

นอกจากนี้กรีซยังประสบกับปัญหาจำนวนคนว่างงานโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 15-24 ปี ที่มีสูงเป็นอันดับสองในประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ (ดู: ยูโร 2012: ว่าด้วยเกร็ดตัวเลขนอกเหนือเรื่องฟุตบอลของทั้ง 16 ทีม) รวมถึงจำนวนคนที่คิดจะฆ่าตัวตายที่พุ่งสูงกว่าเดิมถึง 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ โดยจากข้อมูลขององค์กรสายด่วนรับฟังปัญหาเพื่อป้องกันคนฆ่าตัวตายแห่งหนึ่งในกรีซ พบว่าจำนวนคนที่โทรเข้ามาขอรับคำปรึกษา มีมากกว่า 100 สายต่อวัน และในสัดส่วน 3 ใน 4 พบว่ามีความเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ

ขาดแคลนยา - ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ การตัดลดสวัสดิการ ส่งผลทำให้กรีซขาดแคลนยา 250 ชนิด รัฐบาลกรีซเป็นผู้กำหนดราคายาโดยสำนักงานประกันสังคมของรัฐดูแลค่าใช้จ่ายเกือบทั้งหมดของใบเรียกเก็บเงินที่ออกโดยบริษัทผู้ผลิตยาและผู้ค้าส่งที่ส่งยาให้กับโรงพยาบาลและร้านขายยา วิกฤตเศรษฐกิจทำให้เกิดการตัดลดสวัสดิการในกรีซ ในช่วงครึ่งปีของปี 2011 รัฐบาลกรีซที่สามารถกำหนดราคายาได้ได้ลดราคายาลงเพื่อหวังที่จะลดรายจ่ายด้านสวัสดิการสุขภาพของประเทศ ที่มีมูลค่ารวมในปี 2010 มากกว่า 1.3 หมื่นล้านยูโร (5% ของ GDP) แต่ผลที่ตามมาก็คือการผ่องถ่ายผลิตภัณฑ์ยาจากบริษัทยาจากกรีซสู่ที่อื่นๆ มีมากขึ้น

 

รัสเซีย


เสียอำนาจในภูมิภาค – รัสเซียซึ่งเคยเป็นมหาอำนาจในแถบยุโรปตะวันออก ต้องโคจรมาอยู่กลุ่มเดียวกับโปแลนด์และเช็ก ซึ่งทั้งสามประเทศนี้เคยจะมีข้อขัดแย้งกันเมื่อไม่นานมานี้ โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นอีกหนึ่งตัวชูโรง เมื่อปี 2008 นาง Condoleezza Rice อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐได้ลงนามและ NATO ได้ให้การรับรองแผนการติดตั้งสถานีเรดาร์ในเช็ก และติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธทางตอนเหนือของโปแลนด์ในปีเดียวกัน โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะสกัดการโจมตีด้วยจรวดจากประเทศที่เป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐ โดยครั้งนั้นได้สร้างความไม่พอใจและเกิดการจุดกระแสการประท้วง อันได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับระหว่างทั้งโปแลนด์และเช็กกับรัสเซียมีปัญหาขึ้น เพราะว่าข้อตกลงนี้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัสเซียโดยตรง แต่ในปี 2009 หลังเปลี่ยนรัฐบาล ทางสหรัฐก็ได้มีการการยกเลิกโครงการนี้ไป

ประท้วงเลือกตั้ง – ในต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Vladimir Putin แห่งพรรค United Russia ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ด้วยคะแนนเสียงสนับสนุนอันท่วมท้นถึง 63.60% ตามมาด้วย Gennady Zyuganov จากพรรค Communist ได้คะแนนเสียง 17.18% และผู้สมัครอิสระอย่าง Mikhail Prokhorov ที่ได้คะแนนเสียง 7.98%  

อย่างไรก็ดีหลังจากที่ Putin ชนะเลือกตั้ง ก็ต้องเจอการประท้วงจากกลุ่ม “ขาประจำ” นั่นคือกลุ่มชนชั้นกลางที่เริ่มมองว่าความจริงแล้ว Putin นั้นเป็นอุปสรรคของการพัฒนาหลังการล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียต ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน กลุ่มนักเคลื่อนไหว ศิลปิน ผู้สื่อข่าวและบล็อคเกอร์ ฯลฯ โดยข้อกล่าวหาคลาสสิคก็คือ Putin ทุจริตในการเลือกตั้ง และมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเป็นแค่พิธีการสืบทอดเก้าอี้กันระหว่าง Dmitry Medvedev สลับสู่ Putin อีกครั้งเท่านั้น

เศรษฐกิจนอกระบบใหญ่ที่สุดในโลก – ประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีมาเฟียยุบยับแห่งนี้ จากข้อมูลของ Bloomberg Businessweek พบว่ามูลค่าของเศรษฐกิจนอกระบบที่ไม่จ่ายภาษีให้แก่รัฐในรัสเซียนั้นเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยคิดเป็น 44% ต่อสัดส่วนของ GDP เลยทีเดียว (อันดับ 2 ได้แก่บราซิล 39% อันดับ 3 ปากีสถาน 36% อันดับ 4 อียิปต์ 35% และอันดับ 5 คือตุรกี 31%)

 

เช็ก

ผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจ – ถึงแม้จะไม่มีอะไรให้พูดถึงเช็กมากนัก แต่เช็กเองก็หนีไม่พ้นปัญหาเกี่ยวเนื่องจากการติดหล่มของยุโรปและส่งผลถึงเสถียรภาพของรัฐบาล โดยเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมารัฐบาลเช็กก็ถูกรัฐสภาเปิดการอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ แต่ก็สามารถได้รับความไว้วางใจด้วยคะแนนเฉียดฉิว 105 ต่อ 93 หลังการอภิปราย 9 ชั่วโมง โดยนายกรัฐมนตรี Petr Nečas ประกาศจะเดินหน้าปฏิรูปและตัดลดค่าใช้จ่ายต่อไป หลังที่ชาวเช็กราว 100,000 คนชุมนุมประท้วงในกรุงปรากเมื่อกลางเดือนเมษายนเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก เพราะไม่พอใจที่ขึ้นภาษีรายได้อีก 7% ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรคประกาศถอนตัวจากรัฐบาลผสม

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai