ประชาไท | Prachatai3.info |
- ผลเบื้องต้นชี้พรรคสังคมนิยมชนะเลือกตั้งปธน.ฝรั่งเศส
- รองประธานาธิบดีพม่า "สายแข็ง" ยื่นใบลาออกแล้ว เชื่อ "สัญญาณดี" ต่อการปฏิรูป
- สุรพศ ทวีศักดิ์: ความมั่นคงของพุทธศาสนาที่ (อาจ )ไม่ใส่ใจ ‘สัจจะ’ และ ‘เสรีภาพ’
- ประสบการณ์(เลือด) ของนักข่าวในเหตุชุมนุม Bersih 3.0
- เปิดกำหนดการผู้แทนโอไอซีเยือนชายแดนใต้
- ตายกี่ศพสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯถึงจะเกิด
- นักข่าวพลเมือง: ข้อสังเกตอาหารแพง อะไรแพง
- เม้าท์มอย : ค่าแรง 300 แพงไหม และคุณภาพการศึกษาไทยทำไมต่ำจัง
ผลเบื้องต้นชี้พรรคสังคมนิยมชนะเลือกตั้งปธน.ฝรั่งเศส Posted: 06 May 2012 01:15 PM PDT ผลการเลือกตั้งเบื้องต้น ชี้ “ฟร็องซัวส์ ฮอลลองด์” ผู้สมัครจากพรรคสังคมนิยมเป็นปธน.ฝรั่งเศสคนใหม่ โดยได้คะแนนนำในการเลือกตั้ง 52% ในขณะที่ "นิโคลาส ซาร์โกซี" จากพรรคขวากลางได้คะแนน 48% 7 พ.ค. 55 - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการของศึกชิงชัยประธานาธิบดีฝรั่งเศสเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ผู้สมัครจากพรรคสังคมนิยม (Parti Socialiste) “ฟร็องซัวส์ ฮอลลองด์” ได้เป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนใหม่ โดยได้คะแนนเสียงราวร้อยละ 52 ในขณะที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน "นิโคลาส ซาร์โกซี" จากพรรคสหภาพเพื่อการเคลื่อนไหวของปวงชน หรือ อูแอมเป (Union pour un mouvement populaire - UMP) ได้คะแนนร้อยละ 48 ชัยชนะครั้งนี้ ทำให้ฮอลลองด์เป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่มาจากพรรคสังคมนิยมคนแรกในรอบ 17 ปี หรือตั้งแต่ปี 1995 นักวิเคราะห์มองว่า ผลการเลือกตั้งที่ออกมานี้จะมีนัยสำคัญต่อยูโรโซน โดยก่อนหน้านี้นายฮอลลองก์ได้ให้คำมั่นว่าจะแก้ไขปัญหาหนี้ัรัฐบาลในหลายประเทศสมาชิก สื่อฝรั่งเศสได้ประมาณการณ์ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ หลังจากที่หีบนับคะแนนปิดลงราว 20 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่นในฝรั่งเศส ผู้สนับสนุนนายฮอลลองด์จำนวนมากได้รวมตัวกันบริเวณจตุรัสบาสติลล์เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะในการเลือกตั้ง โดยบริเวณดังกล่าวเป็นสถานที่ประจำในการชุมนุมกันของฝ่ายซ้าย สื่อต่างประเทศมองว่า ชัยชนะของฮอลลองด์ได้ตอกย้ำความสำคัญของปัญหาเศรษฐกิจในฝรั่งเศสและความนิยมของซาร์โกซีที่ลดลง โดยตัวแทนจากพรรคสังคมนิยมได้สัญญาในการหาเสียงว่า จะเพิ่มการเก็บภาษีบรรษัทขนาดใหญ่และบุคคลที่ได้รายได้สูงกว่า 1 ล้านยูโรต่อปี นอกจากนี้ ฮอลลองด์ยังต้องการใช้นโยบายที่เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ เพิ่มการจ้างงานครูอีก 6 หมื่นคนและลดการเกษียณอายุจาก 62 ปี ให้เหลือ 60 ปีสำหรับบางวิชาชีพด้วย ในขณะที่สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ระหว่างซาร์โกซีกล่าวสุนทรพจน์ยอมรับความพ่ายแพ้ เขากระตุ้นให้พรรคอูแอมแปยังคงความสามัคคีไว้เพื่อชัยชนะในการเลือกตั้งส.ส.ที่จะมาถึงในเดือนมิถุนายน อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าตนจะไม่นำการหาเสียงดังกล่าว การพ่ายแพ้การเลือกตั้งของซาร์โกซี ผู้เป็นประธานาธิบดีจากพรรคขวากลางตั้งแต่ปี 2007 นับเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์สาธารณรัฐที่ 5 ของฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 1958 ที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบันไม่ได้รับเลือกตั้งให้มาดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง สำหรับประวัติของนายฮอลลองด์นั้น เขาได้ทำกิจกรรมทางการเมืองมาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา ต่อมาเข้าร่วมกับพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศสในปี 1979 และได้เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจในสมัยประธานาธิบดีมิตเตอรองด์ ในปี 1988 ฮอลลองด์ได้เป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรในเขตกอร์เรซ์ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส และกลายมาเป็นประธานพรรคสังคมนิยมในปี 1997 ก่อนจะลงจากตำแหน่งในปี 2008 เนื่องจากความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีหนึ่งปีก่อนหน้าให้แก่ซาร์โกซี จนเมื่อปีที่แล้ว ฮอลลองก์กลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดจากพรรคสังคมนิยมในการชิงชัยการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ หลังจากที่โดมินิค สเตราส์ คาห์น สมาชิกพรรคเดียวกัน ถูกจับกุมในข้อหาพยายามข่มขืน แต่ถูกยกฟ้องในภายหลัง ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก Socialist Francois Hollande 'wins French presidency'. BBC, 6/05/55 http://www.bbc.co.uk/news/world-europe-17975660 Profile: Francois Hollande. BBC, 6/05/55 http://www.bbc.co.uk/news/world-europe-15311645 สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
รองประธานาธิบดีพม่า "สายแข็ง" ยื่นใบลาออกแล้ว เชื่อ "สัญญาณดี" ต่อการปฏิรูป Posted: 06 May 2012 12:16 PM PDT "ทิน อ่อง มินต์ อู" อดีตที่ปรึกษา พล.อ.อาวุโส ตาน ฉ่วย ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรองประธานาธิบดีคนที่ 1 แล้ว โดยให้เหตุผลด้านสุขภาพ โดยก่อนลาออก ไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนหลายวัน และไม่ไปส่งประธานาธิบดี "เต็ง เส่ง" ขึ้นเครื่องบินไปญี่ปุ่น รองประธานาธิบดีพม่า ทิน อ่อง มินต์ อู ได้ลาออกแล้ว หลังจากไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณชนเป็นเวลาหลายวัน ทั้งนี้สื่อมวลชนในพม่าให้ข้อมูลด้วยว่า ทิน อ่อง มินต์ อู ยังไม่ปรากฏตัวในช่วงที่ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง เดินทางไปที่สนามบินเนปิดอว์ เพื่อเดินทางไปเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการด้วย และประชาชนต่างรู้สึกสับสนกับการที่จู่ๆ รองประธานาธิบดีก็ไม่ยอมปรากฏตัวต่อสาธารณะ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า เขาได้ยื่นใบลาออกตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ หลังจากที่เขาเพิ่งกลับมาจากการรักษาตัวที่สิงคโปร์ ทั้งนี้ทิน อ่อง มินต์ อู ปัจจุบันอายุ 61 ปี เป็นที่ทราบว่าเขาเป็นหนึ่งใน "สายฮาร์ดคอร์" ในรัฐบาลเต็งเส่ง ทั้งนี้เขาถือเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะรัฐบาลที่ไม่ต้องการให้นางออง ซาน ซูจี ขึ้นมามีอำนาจและเข้มแข็งบนเวทีการเมืองพม่า ทั้งนี้ในการเลือกตั้งทั่วไปในพม่าเมื่อปี 2010 เขาชนะการเลือกตั้ง ส.ส. หรือ Pyithuhluttaw และได้รับการแต่งตั้งเป็นรองประธานาธิบดีคนที่ 1 เมื่อ 30 มี.ค. ปี 54 พร้อมด้วย นพ.จายหมอกคำ รองประธานาธิบดีคนที่ 2 โดยทิน อ่อง มินต์ อู ถือเป็นหนึ่งในผู้ร่วมคณะรัฐบาลเผด็จการทหาร สมัยสภาเพื่อสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ หรือ SPDC ด้วย และยังเคยเป็นที่ปรึกษาด้านการทหารให้กับ พล.อ.อาวุโส ตาน ฉ่วย อดีตประธาน SPDC โดยนักวิเคราะห์ทางการเมืองเชื่อว่าการลาออกจากตำแหน่งรองประธานาธิบดีของเขา จะส่งสัญญาณที่ดีต่อการปฏิรูปในพม่า ทั้งนี้ ข่าวการลาออกของนายทิน อ่อง มิ้นต์ อู เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับที่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (2 พ.ค.) ผู้นำพรรคฝ่ายค้านพม่านางออง ซาน ซูจี เข้าทำงานในสภาเป็นวันแรกและทำพิธีสาบานตน พร้อมด้วยสมาชิกสภาคนอื่นๆ ที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งซ่อมเมื่อ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา
ทีมา: Myanmar Vice President Tin Aung Myint Oo resigns after disappearing for a few days, by Thin09, Groundreport, May 06, 2012 สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
สุรพศ ทวีศักดิ์: ความมั่นคงของพุทธศาสนาที่ (อาจ )ไม่ใส่ใจ ‘สัจจะ’ และ ‘เสรีภาพ’ Posted: 06 May 2012 10:43 AM PDT เวลาเราพูดถึง “ความมั่นคงของพุทธศาสนา” คำถามที่ตามมาคือ พุทธศาสนาที่เราต้องการให้มีความมั่นคงนั้น คือพุทธศาสนาในความหมายใดกันแน่? คือพุทธศาสนาในความหมายของเนื้อหาสาระ วิถีชีวิต หรือพุทธศาสนาในความหมายของพิธีกรรม สถาบัน หรืองค์กรสงฆ์? หากเป็นพุทธศาสนาในความหมายของเนื้อหาสาระ วิถีชีวิต ที่พุทธะค้นพบและนำมาเผยแผ่ ก็ได้แก่ “สัจจะ” และ “เสรีภาพ” สัจจะคืออริยสัจสี่ที่เป็นความจริงของทุกข์และความดับทุกข์ ส่วนเสรีภาพนั้นเป็นทั้ง “วิถี” (means) และ “เป้าหมาย” (end) อยู่ในตัวเอง เป็น “วิถี” หมายความว่า เราต้องมีเสรีภาพในการแสวงหาสัจจะ จึงจะค้นพบสัจจะหรือความจริงได้ และเป็น “เป้าหมาย” หมายความว่า ความจริงที่ค้นพบทำให้เรามีเสรีภาพ (วิมุติ-freedom) จากกิเลสและความทุกข์ได้ เช่น สิทธัตถะต้องมีความกล้าหาญในการสลัดพันธนาการต่างๆ เพื่อใช้เสรีภาพแสวงหาความจริง และเมื่อค้นพบความจริงแล้วจึงมีเสรีภาพจากกิเลสและความทุกข์ ในทำนองเดียวกัน ถ้าเป็นความจริงเกี่ยวกับปัญหาทางสังคม เช่น ความจริงเบื้องหลังรัฐประหาร เป็นต้น ผู้คนในสังคมก็ต้องมีเสรีภาพในการแสวงหาความจริงดังกล่าว จึงจะค้นพบความจริงนั้นได้ และความจริงที่ค้นพบนั้นก็จะนำไปสู่การแก้ปัญหาของสังคมนั้นๆ ได้ ฉะนั้น “เสรีภาพ” กับ “สัจจะ” จึงมีความสัมพันธ์ในลักษณะที่เป็นเงื่อนไขแก่กัน คือเราจะค้นพบความจริงไม่ได้ถ้าปราศจากเสรีภาพ ในขณะเดียวกันเมื่อเราใช้เสรีภาพแสวงหาความจริงที่จำเป็นแก่การดับทุกข์ทางจิตวิญญาณ ความจริงที่ค้นพบนั้นก็ทำให้ปัจเจกบุคคลมีเสรีภาพจากกิเลสและความทุกข์ และเมื่อเราใช้เสรีภาพแสวงหาความจริงที่จำเป็นแก่การแก้ปัญหาหรือทุกข์ทางสังคม ก็จะช่วยให้สังคมนั้นมีเสรีภาพจากปัญหาหรือความทุกข์ที่กดทับอยู่ เช่น ความอยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำของอำนาจต่อรองทางการเมือง เป็นต้น จึงกล่าวได้ว่า ความมั่นคงของพุทธศาสนาในส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระก็คือ ความมั่นคงของ “สัจจะ” และ “เสรีภาพ” ที่แสดงให้เห็นผ่านวิถีชีวิตของผู้คนและวัฒนธรรมของชาวพุทธที่ส่งเสริมเสรีภาพในการแสวงหาสสัจจะเพื่อดับทุกข์ในมิติต่างๆ ของชีวิตและสังคมนั่นเอง แต่ดูเหมือนว่า พุทธศาสนาในความหมายของการใช้เสรีภาพในการแสวงหาสัจจะเพื่อดับทุกข์ในมิติต่างๆ ของชีวิตและสังคมจะไม่ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมเท่าที่ควรจะเป็น พุทธศาสนาที่กลายเป็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวพุทธปัจจุบันคือ พุทธศาสนาเชิงพิธีกรรมและเชิงสถาบัน จริงๆแล้ว พุทธศาสนาเชิงพิธีกรรมและเชิงสถาบันมีความจำเป็นในแง่ว่าเป็น “รูปแบบ” หรือระบบรองรับการแสดงออกของพุทธศาสนาเชิงเนื้อหาสาระ เช่น พุทธะก่อตั้งสังฆะขึ้นเพื่อให้เป็นชุมชนฝึกฝนตนเองตามแนวทาง “ไตรสิกขา” หรือมรรคมีองค์ 8 เพื่อค้นพบสัจจะและเสรีภาพจากกิเลสและความทุกข์ ฉะนั้น สังฆะจึงเป็นชุมชนที่สละพันธนาการแบบโลกย์ๆ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เบาสบาย เพื่อให้มีเสรีภาพมากที่สุดในการแสวงหาสัจจะ สังฆะที่พุทธะก่อตั้งขึ้นจึงไม่มีระบบชนชั้นแบบพราหมณ์ (วรรณะ 4) พุทธะสละฐานันดรศักดิ์ และทุกคนที่เข้ามาบวชไม่ว่าจะมาจากชนชั้นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร หรือจัณฑาล เมื่อมาเป็นส่วนหนึ่งของสังฆะสถานะทางชนชั้นถือว่าสิ้นสุดลง คงมีอยู่เพียงสถานะของพระภิกษุ หรือสมณะที่มีความเสมอภาคกันภายใต้ธรรมวินัยอันเป็นธรรมนูญหรือ “ธรรมาธิปไตย” ของสังฆะที่ต้องยึดถือร่วมกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อมองกว้างออกไป ความมั่นคงของพุทธศาสนา (ธรรมวินัย) ย่อมขึ้นอยู่กับพุทธบริษัท 4 คือ กลุ่มชาวพุทธ 4 ฝ่าย ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ที่เอาใจใส่ในการศึกษาปฏิบัติ บรรลุผล (ปฏิเวธ) และการเผยแผ่ธรรมวินัย พูดง่ายๆ คือ ชาวพุทธทุกฝ่ายมีความสามารถที่จะดำรงไว้ซึ่งวิถีชีวิตแห่งการใช้เสรีภาพในการแสวงหาสัจจะเพื่อดับทุกข์ในมิติต่างๆ ของชีวิตและสังคมนั่นเอง คำถามคือ เวลานี้เมื่อเราพูดถึงความมั่นคงของพุทธศาสนาในเชิงพิธีกรรมและในเชิงสถาบัน เรากำลังพูดกันในความหมายของความมั่นคงที่รองรับการแสดงตัวของวิถีชีวิตที่ใช้เสรีภาพในการแสวงหาสัจจะเพื่อดับทุกข์ในชีวิตของปัจเจก และทุกข์ทางสังคมหรือไม่? หรือพูดอีกอย่างว่า ความมั่นคงของพุทธศาสนาเชิงพิธีกรรมและสถาบันสงฆ์ในแบบปัจจุบัน เป็นความมั่นคงที่สนับสนุนส่งเสริมวิถีชีวิต และ/หรือวัฒนธรรมทางความคิดความเชื่อที่มุ่งใช้เสรีภาพแสวงหาสัจจะเพื่อความดับทุกข์ในมิติต่างๆ ของชีวิตและสังคมหรือไม่? เพราะในขณะที่สังฆะที่พุทธะก่อตั้งขึ้น เป็นสังฆะที่สละฐานันดรศักดิ์ แต่สังฆะปัจจุบันมีฐานันดรศักดิ์ สังฆะในอดีตเป็นสังฆะที่เน้นความเรียบง่าย ปล่อยวาง มีทรัพย์สินส่วนตัวเพียงไตรจีวร หรืออัฐบริขารที่จำเป็นแก่การดำรงชีพเพื่อแสวงหาสัจจะเท่านั้น แต่สังฆะในปัจจุบันมีทั้งทรัพย์สินของวัด มีที่ดินวัดให้เช่า มีผลประโยชน์ต่างๆ ที่เป็นรายได้ของวัด บางวัดมีทรัพย์สินหลายพันล้าน บางวัดก่อสร้างใหญ่โตเสมือนเป็นอาณาจักรทางศาสนามีเงินกว่าแสนล้าน ขณะที่พระบางรูปมีบัญชีเงินฝากส่วนตัวเป็นหลักล้าน หรือหลายสิบล้าน ทั้งๆ ที่ข้อหนึ่งในวินัย 227 ข้อของพระนั้น “ห้ามภิกษุรับเงินและทอง” แต่สังฆะปัจจุบันก็อ้างความจำเป็นว่า โลกยุคนี้ต้องใช้เงินในทุกๆ เรื่อง ทว่าพระและวัดครอบครองเงิน “ตามความจำเป็น” จริงๆ หรือ? เหตุใดคณะสงฆ์ปัจจุบันจึงไม่มีระบบบริหารจัดการที่กระจายรายได้ระหว่างวัดต่างๆ เพื่อช่วยเหลือกันและกันตามความจำเป็น ทำไมบางวัดจึงใหญ่โต ร่ำรวยมหาศาล ขณะที่บางวัดขาดแคลนไปเสียทุกด้าน ทำไมสถาบันสงฆ์ซึ่งเป็นสถาบันที่รักษาธรรมวินัย เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมวินัยมากกว่าฆราวาส และต่างโปรโมทอยู่ตลอดเวลาว่า “ธรรมะแก้ปัญหาทุกอย่างได้” แต่ปัญหาเรื่องการกระจายรายได้และผลประโยชน์ของวัด หรือการจะจัดการให้วัดทั่วประเทศอยู่อย่างมั่นคงภายใต้ความเมตตาเอื้ออาทรสนับสนุนช่วยเหลือกันและกันกลับใช้ธรรมะมาแก้ไม่ได้ พูดตรงๆ คือถ้าธรรมะแก้ปัญหาทุกอย่างได้จริง ทำไมสังฆะปัจจุบันไม่ใช้ธรรมะแก้ปัญหาเรื่องการกระจายรายได้ การเติบโตอย่างผิดรูปของบางวัด ความไม่สมดุลในด้านต่างๆของวัดโดยรวมๆ เป็นต้นเองก่อน หากธรรมะแก้ปัญหาของสังฆะเองยังไม่ได้ สังฆะจะนำธรรมะมาแก้ปัญหาของสังคมโลกที่ซับซ้อนยิ่งกว่าได้อย่างไร ปัจจุบันทราบว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้งบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลปีละประมาณ 4,000 ล้านบาท และยังต้องการงบประมาณเพิ่มอีกมากในการอุปถัมภ์คุ้มครองพุทธศาสนา ซึ่งส่วนใหญ่อุปถัมภ์คุ้งครองพุทธศาสนาด้วยการจัดงบสนับสนุนวัดต่างๆ ถามว่า 4,000 ล้านบาท ที่เอาไปสนับสนุนวัดทั่วประเทศ (ซึ่งมีพระภิกษุสามเณรรวมทั้งสิ้นประมาณ 250,000 รูป และมีแนวโน้มลดลงทุกปี) ในการศึกษาปฏิบัติธรรมนั้น ก่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อการปกป้องพุทธศาสนาในเชิงเนื้อหาสาระที่เป็นรูปธรรมอย่างไรบ้าง ที่เราเห็นๆ กันอยู่ มีเพียงความมั่นคงของพุทธศาสนาเชิงพิธีกรรม เชิงสถาบัน ที่เน้นเรื่องการหารายได้ ผลประโยชน์ ฐานันดรศักดิ์ของพระ มากกว่าที่จะเป็นความมั่นคงของพุทธศาสนาเชิงเนื้อหาสาระที่สนับสนุนส่งเสริมวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการใช้เสรีภาพในการแสวงหาสัจจะเพื่อดับทุกข์ในมิติต่างๆ ของชีวิตและสังคม ดังที่พุทธะเคยทำเป็นแบบอย่าง! สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ประสบการณ์(เลือด) ของนักข่าวในเหตุชุมนุม Bersih 3.0 Posted: 06 May 2012 10:17 AM PDT เสรีภาพสื่อ? - สภาพของนักข่าวที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมและถูกทำร้ายร่างกายในเหตุการณ์ชุมนุม Bersih 3.0 ณ จัตุรัสเมอร์เดก้า กลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย (ที่มา: Freemalaysiatoday)
..........................................................................................................................
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา(28 มีนาคม 2555) เกิดเหตุการณ์ชุมนุม BERSIH 3.0 (ครั้งที่3) โดยที่มีผู้ชุมนุมมาจากทั่วสารทิศของประเทศมาเลเซียและเป็นที่ทราบกันมาก่อนล่วงหน้าว่าจะมีการชุมนุมครั้งนี้เกิดขึ้น การชุมนุมครั้งนี้นำโดยซามัด ซาอิด และอัมพิกา สะรีนาวาซัน ที่เคยนำการชุมนุม BERSIH 2.0 (ครั้งที่ 2.0) เป็นครั้งแรกที่ผมได้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านงานเขียนปกติแล้วผมจะเป็นคนทำสื่อวีดีโอ ผมต้องขออภัยหากงานเขียนชิ้นนี้มันแย่และหวังว่าผู้อ่านจะสละเวลาเพื่ออ่านบทความชิ้นนี้จนจบ ผมรู้สึกเหมือนถูกเรียกร้องให้เขียนงานชิ้นนี้ แต่ไม่ได้เพื่อเข้าข้างฝ่ายใด จะเป็นฝ่ายตำรวจ กลุ่มผู้ชุมนุม Bersih3.0 หรือ DBKL (พนักงานเทศบาลกรุงกัวลาลัมเปอร์) ผมหวังว่าผู้อ่านคงเข้าใจในสถานะของผมที่ทำหน้าที่สื่อวีดีโอคนหนึ่ง ผมพยายามเขียนให้มันเป็นกลางมากที่สุด เมื่อเวลา 08.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ผมไปถึงหน้ามัสยิดจาเม็ก โดยนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของเพื่อนนักข่าวชาวต่างชาติ เมื่อไปถึงที่หมายสิ่งที่ผมเห็นคือเต็มไปด้วยกลุ่มเยาวชนจากหลายเชื้อสายกำลังทยอยเข้าประตูของจัตุรัสเมอร์เดก้า ผมเห็นทั้งกลุ่มวัยกลางคนและผู้สูงวัยนั่งพักอยู่ตามไหล่ทางและริมฟุตบาทของธนาคาร OCBC ผมใช้เวลา 20 นาทีนั่งอัพโหลดวีดีโอแรกเพื่อให้แฟนฟรีมาเลเซียทูเดย์ (FTM) และชาวยูทูบทั่วโลกได้ชมและติดตามความเคลื่อนไหวการเมืองในประเทศมาเลเซีย หลังจากวีดีโอชิ้นแรกได้ยูทูบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมได้ย้ายการถ่ายทำจากมัสยิดจาเม็ก ไปยังจัตุรัสเมอร์เดก้าโดยหวังว่าจะได้ภาพและข่าวที่สนใจมากขึ้น พูดจากใจจริง ผมและเพื่อนนักข่าวทุกบางคนรู้สึกเครียด เพราะปกติการชุมนุมทุกครั้งเราต้องเดินตามขบวนผู้ชุมนุมตลอดทาง แต่ครั้งนี้มันแตกต่างผู้ชุมนุมแค่นั่ง ถ้าผู้อ่านที่มาร่วมกับการชุมนุมครั้งนี้จะสังเกตเห็นว่าช่างภาพทั้งภาพนิ่งและวีดีโอแต่ละคนพยายามหามุมเพื่อให้ได้ภาพที่ดีและน่าสนใจ หลังจากเสร็จสิ้นการถ่ายทำ ถึงเวลาที่ต้องอัพโหลดวีดีโอล่าสุดในเวลา 13.00 น.(ตามเวลาท้องถิ่น) ขณะที่ผมกำลังนั่งตัดต่อวีดีโอ ได้โอกาสพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้น เจ้าหน้าที่ทุกนายอัธยาศัยดีและเป็นมิตร บางนายยังบ่นเลยว่าพวกเขาดูหนัง "The Avengers Assemble" ไม่ทันจบถูกเรียกมาปฏิบัติหน้าที่ซะก่อน ขณะกำลังอัพโหลดไฟล์วีดีโอขึ้นยูทูบ ทันใดนั้นเห็นตำรวจที่กำลังทานข้าวและพักผ่อนอยู่ต่างรีบวิ่งกรูไปยังถนนตุนเปรัค และมีหน่วยปราบจลาจล (Federal Reserve Unit หรือ FRU) เข้าประจำที่และพร้อมปฏิบัติการ ผมจำเป็นต้องระงับการอัพโหลดไว้และมุ่งตรงเข้าไปประจำที่ตรงหน้าแถวของตำรวจ สถานการณ์ในเวลานั้นก็อยู่ในภาวะตึงเครียดและแดดก็ร้อนจัด ผมและเพื่อนนักข่าวเลยตัดสินใจไปเก็บภาพในจัตุรัสเมอร์เดก้าดีกว่า หลังจากที่พวกเราเข้าไปอยู่เข้าในแล้ว ต่างก็แยกย้ายเพื่อหามุมของตนเอง เวลาขณะนั้นใกล้เข้า 3 โมงเย็น เพื่อไม่ให้เสียเวลาผมลองอัพโหลดวีดีโออีกครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จเหมือนเดิมเมื่อได้ยินเสียงจากผู้ชุมนุมกำลังโห่ร้องใส่ตำรวจและกำลังฝ่าลวดหนามที่ทาง DBKL และตำรวจกั้นไว้ นักข่าวที่กำลังทำหน้าที่อยู่แถวนั้นก็รีบคว้าอุปกรณ์และรีบหนีเพื่อความปลอดภัย ตำรวจที่ประจำการแถวหน้าต่างก็วิ่งกระเจิง
ตำรวจปราบจลาจลปฏิบัติการ จากเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นอย่างวันนี้ ทางหน่วย FRU เริ่มปฏิบัติการฉีดน้ำและปล่อยแก๊สน้ำตาอย่างไม่ยั้ง และมีบางกลุ่มที่เป็นผู้ชายใส่เสื้อเหลืองก็ตอบโต้ด้วยการขว้างปาก้อนหินมายังทางตำรวจ โดยฐานะคนที่ทำหน้าเป็นสื่อก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดและต้องบันทึกทุกเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เวลาก็ย่างเข้า 4 โมงเย็นแล้ว ตำรวจสามารถควบคุมตัวผู้ชุมนุมได้แล้วบางส่วน แต่น่าเสียดายทุกครั้งที่มีการจับกุมเราไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการบันทึกภาพ และตอนที่ผมกำลังวิ่งไล่เพื่อตามตำรวจที่กำลังลากผู้ชุมนุมคนหนึ่งที่ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยเลือดและผมก็ไม่เลิกที่จะบันทึกเหตุการณ์นั้นตลอดทาง ทันใดนั้นผมโดนตำรวจนายหนึ่งเข้าจู่โจมและบังคับให้ผมยุติการบันทึก ยังไม่พอแค่นั้นมีนายตำรวจอีกคนเข้ามาแล้วเอาน้ำมาราดใส่กล้อง ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ แปลกใจมากเพราะในช่วงเจ็ดปีที่ทำหน้าที่เป็นสื่อที่ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัธยาศัยที่ดี ความเป็นมิตรที่เคยมีให้เมื่อตอนกลางในมันหายไปไหนหมด? ไม่ต้องคิดไกลอะไรมาก ผมจึงตัดสินใจย้ายจากจุดนั้นไปยังที่ที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด ผมเข้าไปหานักข่าวคนอื่นๆ และเล่าว่าผมเจออะไรมาบ้าง และทุกคนก็พูดเสียงเดียวกันว่าก็ได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ไม่แพ้ผม ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าสิ่งที่ผู้หน้าที่สื่อเป็นภัยคุกคามต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเช่นกันหรือ? ทางพนักงานของเทศบาลกัวลาลัมเปอร์ ก็ไม่เว้นที่จะปฏิบัติตัวเสมือนตำรวจและพยายามทำร้ายผม เข้าตะคอกใส่ผมอย่างแรง “มึงยังไม่ย้ายไปจากที่นี่ กูจับแน่! ” แล้วก็ตบกระเป๋าเป้ของผม ชัดเจนว่ามันเป็นข่มขู่สื่อที่กำลังทำหน้าที่ ผมกำลังสงสัยว่าพนักงานเทศบาลกัวลาลัมเปอร์มันมีอำนาจในการควบคุมตัวด้วยเหรอ? ถ้าเขามีอำนาจควบคุมตัว จับแล้วจะพาไปที่ไหน? ในห้องเก็บอุปกรณ์จัดสวนของเทศบาลกัวลาลัมเปอร์ เหรอ? ผมไม่ได้สงสัยในหน้าที่ของตำรวจและพนักงานเทศบาลกัวลาลัมเปอร์ แต่อย่างใด แต่ทำไมพวกเขาต้องมาคุกคามสื่อที่กำลังทำหน้าที่? เราเองก็กำลังทำหน้าเหมือนคุณ หรือว่าทางพนักงานเทศบาลกัวลาลัมเปอร์ เคยสอบเพื่อเป็นตำรวจแต่ไม่ผ่าน เลยมีความฝันที่จะทำหน้าเสมือนตำรวจ? มันช่างอับอาย! เมื่อตอนกลางของวันนี้, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ฮิสมามุดดิน ตุน ฮุซเซน ได้ออกมาชี้แจงกรณีที่มีการยึดกล้องถ่ายภาพนิ่งหรือวีดีโอและเมโมรีการ์ด มันเป็นนโยบายหรือระเบียบปฏิบัติ (Standard Operation Procedure หรือ SOP) อย่างหนึ่งของเจ้าหน้าที่ เมื่อไรกัน? ด้วยเหตุผลอะไรที่จำเป็นต้องยึดมัน? มันมีในยะอะไรที่ซ้อนเร้น? ขาตั้งกล้องของพวกเราก็โดนยึดไปด้วย ขาตั้งมันไม่สามารถใช้บันทึกภาพได้นิ ผมไม่เคยคิดหรอกว่า ตำรวจจะโง่ขนาดขั้นจำเป็นต้องยึดขาตั้งของเราไป พวกเราในฐานะคนทำสื่ออยากให้ทุกฝ่ายให้ความเคารพ ว่าเราก็กำลังปฏิบัติหน้าที่ และเราก็เคารพว่าท่านก็กำลังปฏิบัติหน้าที่ของท่านอยู่เหมือนกัน ทำไมต้องทำเกินกว่าเหตุ ทำให้นักข่าวบางคนต้องได้รับบาดเจ็บ? ทำไมต้องทุบตีทำร้ายทั้งที่พวกเขากำลังทำหน้าที่? เป็นการกระทำที่ทำให้เสียภาพพจน์ของตำรวจ จากที่เคยเป็นมิตรมีความสัมพันธไมตรีที่ดี แต่ท้ายสุดไม่แตกต่างจากลิงนิสัยก้าวร้าวที่บุกรุกเข้าไปสวนชาวบ้าน, มันน่าอับอาย! ความรุนแรงที่เกิดจากกระทำของตำรวจและพนักงานเทศบาลกัวลาลัมเปอร์ ยังไม่พอ ต้องมาซ้ำเติมด้วยความรุนแรงจากการกระทำของผู้ชุมนุมที่ไปทำร้ายช่างภาพในพื้นที่จนได้รับบาดเจ็บสาหัส (หัวแตก) ตามที่สื่อกระแสหลักและสื่อออนไลน์รายงานว่า ผู้ชุมนุมได้เข้าไปทำร้ายช่างภาพอย่างไร้เหตุผล ใช่มันถูกต้อง! ถ้าคนทำสื่อที่เอาตัวไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แสดงว่านักข่าวก็ได้ล้ำเส้นในการเป็นสื่อ แต่ถึงอย่างไรก็ตามทางผู้ชุมนุมก็ควรจะมองในหลักมนุษยธรรม ไม่ได้หรือย่างไร? นักข่าวที่โดนทำร้าย โดนยึดกล้อง ขาตั้งกล้องและเมโมรีการ์ดในวันนั้น ทุกคนจะมีบัตรนักข่าวที่ออกโดยกระทรวงการประชาสัมพันธ์ฯ คล้องไว้ที่คอแสดงอย่างชัดเจน ไม่ใช่บัตรที่ซื้อจากร้านเครื่องเขียน! มันเป็นบ้าอะไรกันนี่? ท้ายนี้ แด่เพื่อนนักข่าวทุกท่านที่ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผมขออวยพรให้ทุกท่านหายไวๆ และกลับมาทำหน้าที่ได้เหมือนเดิม และหวังว่าเหตุการณ์ในวันนั้นไม่ได้ทำให้ทุกคนต้องสิ้นหวังที่จะทำหน้าที่ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ทุกคนได้รับรู้ และผมหวังอย่างยิ่งต่อผู้ที่รับชอบกับการกระทำครั้งนี้สามารถให้คำตอบหรือคำอธิบายที่ยังคาราคาซังในสมองพวกเรา “คำขอโทษ” อย่างเดียวมันยังไม่เพียงพอ, อยากให้รู้ว่า “นกแก้วก็ยังสามารถสอนให้พูดคำว่า ขอโทษ”
30 เมษายน 2012, กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย
............................................................... สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
เปิดกำหนดการผู้แทนโอไอซีเยือนชายแดนใต้ Posted: 06 May 2012 10:04 AM PDT เลขาธิการโอไอซีเดินทางเยือนไทย 7-12 พฤษภานี้ ชมกิจกรรมของรัฐ พบปะชาวบ้าน เยี่ยมเหยื่อและคนเจ็บจากความไม่สงบ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2555 รายงานข่าวแจ้งว่า คณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของผู้แทนโอไอซี หรือ องค์การการประชุมชาติอิสลาม (Organization of Islamic Cooperation : OIC) นำโดย Sayed Kassem El Masry Sayed Kassem El Masry ที่ปรึกษาและผู้แทนพิเศษของนายเอกเมเลดดิน อิซาโนกลูเลขาธิการโอไอซี ที่จะเดินทางเยือนประเทศไทยระหว่างวันที่ 7-12 พฤษภาคม 2555 นี้ โดยมีกำหนดเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างวันที่ 8 - 10 พฤษภาคม 2555 โดย วันที่ 8 พฤษภาคม เวลา 20.00 น. จุฬาราชมนตรีและเทศบาลนครหาดใหญ่ เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำ จากนั้นเข้าที่พักโรงแรมโนโวเทลเซ็นทารา หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จากนั้นวันที่ 9 พฤษภาคม 2555 ออกเดินทางไปยังศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต) พบหารือกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. และประชุมรับฟังการบรรยายสรุปและการซักถาม ณ ห้องประชุมใหญ่ ศอ.บต. ช่วงบ่ายเดินทางไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ระเบิด และเยี่ยมชมศูนย์มัรกัส อำเภอเมือง จังหวัดยะลา จากนั้นไปเยี่ยมชมศูนย์อำนวยความเป็นธรรมภาคประชาชนระดับตำบลตาลีอายร์ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี และเยี่ยมชมโครงการส่งเสริมอาชีพสตรีที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงในอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี และเข้าพักที่ โรงแรมซีเอส ปัตตานี วันที่ 10 พฤษภาคม 2555 ออกเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์จากค่ายอิงคยุทธบริหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ไปยังค่ายสิริธร อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง โดยมีพล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (ผอ.กอ.รมน ภาค 4) ให้การต้อนรับ จากนั้นออกเดินทางไปยังอำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส เยี่ยมชมโครงการรอตันบาตู (หมู่บ้านแม่หม้าย) เยี่ยมชมโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 10 จากนั้นออกเดินทางไปยังค่ายเสนาณรงค์อำเภอหาดใหญ่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และเดินทางต่อไปยังที่ร้านซามี คิทเซ่น เพื่อรับประทานอาหารเที่ยง โดยแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหาร หลังจากนั้น เยี่ยมชมสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา เพื่อรับฟังบรรยายสรุป พบปะเยาวชนภาคที่เข้าค่ายฤดูร้อนและเยี่ยมชมมัสยิดกลางจังหวัดสงขลา จากนั้นไปเยี่ยมชมมัสยิดบ้านเหนือ ตำบลคูเต่า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เข้าพักที่โรงแรมบีพี สมิหลาบีช รีสอร์ต อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา โดยนายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำ
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ตายกี่ศพสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯถึงจะเกิด Posted: 06 May 2012 09:57 AM PDT อีก 5 วันจะครบรอบจัดงาน 19 ปี เคเดอร์ แต่ก็เกิดเรื่องสลดใจจากเหตุระเบิ นิคมอุตสาหกรรมเกือบทุกที่ จะปลอดเรื่องการดูแลควบคุ สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชี จากการศึกษาข้อมูลของกองทุนปี 2553 คนงานภายใต้การคุ้ ในวาระจะครบรอบ 19 ปี โศกนาฎกรรมโณงงานตุ๊กตาเคเดอร์ และขอบุญกุศลที่องค์กรผู้ป่
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
นักข่าวพลเมือง: ข้อสังเกตอาหารแพง อะไรแพง Posted: 06 May 2012 09:32 AM PDT
ผมถ่ายป้ายราคาสินค้าในห้ ขอบอกว่า ราคาตามหน่วยราชการและสถานศึกษาถูกและเป็นเช่นนี้มานาน ราคาอาหารทีบ่นกัน เพราะไปอ้างอิ คุณจะเห็นว่ากาแฟร้อนแก้วละ หกบาท เย็น-สิบบาท ถ้าคุณไปกินในห้างก็ห้าสิบถึงแปดสิบบาท ริมถนนก็สามสิบบาท ต้นทุนวัตถุดิบในอาหารไม่ได้แพง แต่ต้นทุนค่าเช่าและเปอร์เซนต์ รัฐควรเข้าไปดูค่าเช่าที่ และขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้าในการคิดค่าเช่ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
เม้าท์มอย : ค่าแรง 300 แพงไหม และคุณภาพการศึกษาไทยทำไมต่ำจัง Posted: 06 May 2012 08:35 AM PDT เม้าท์มอยสัปดาห์นี้ คุยกันเรื่องเบาๆ สบายๆ เกี่ยวกับค่าแรง 300 บาทต่อวันว่าแพงเกินไปหรือไม่สำหรับประเทศไทย และโยงไปถึงเรื่องคุณภาพการศึกษาว่า เด็กจบ ม.6 ทำอะไรเป็นบ้าง และมีที่ไหนรับเข้าทำงานบ้าง และข้อสงสัยที่ว่าค่านิยมส่งเสียลูกหลานให้เรียนถึงปริญญาตรี แต่ทำไมเด็กจบออกมากลับทำงานไม่เป็นและหางานทำไม่ค่อยได้ ต่างจากเด็กจากสายอาชีวะศึกษา แม้ไม่ค่อยได้รับการนับหน้าถือตาในสังคมไทย แต่กลับทำงานเก่งกว่า อึดกว่า และเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานมากกว่า และมาถกปัญหาเรื่องการศึกษาว่าทำไมคนนิยมเรียน ใครควรจะเป็นผู้ลงทุน รัฐหรือว่าเอกชน
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น