โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

(คลิป) วงเสวนาปัญหาการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ 60

Posted: 15 Apr 2018 02:11 PM PDT

นักวิจัยสถาบันพระปกเกล้า แกนนำพรรคสามัญชน และนักสหภาพแรงงาน ถกปมปัญหาการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2560 และ พ.ร.ป.รัฐธรรมนูญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง

เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ วิชาระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม (ปก.356) หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ร่วมกับ พรรคใต้เตียง มธ. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และ คณะประชาชนเพื่ออิสรภาพ (คปอ.) จัดเสวนาหัวข้อ "การเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2560 มีปัญหาอย่างไร? ว่าด้วยปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อไปภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง

โดยมวิทยากรประกอบด้วย ดร.สติธร ธนานิธิโชติ สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า กรชนก แสนประเสริฐ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสามัญชน ศรีไพร นนทรีย์ กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง และศศวัชร์ คมนียวนิช ที่ปรึกษาพรรคใต้เตียงมธ. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แอมเนสตี้แถลงการโจมตีในซีเรียต้องไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อพลเรือน จี้รัฐบาลทรัมป์ต้องรับผู้อพยพ

Posted: 15 Apr 2018 12:57 PM PDT

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล แถลงการโจมตีในซีเรียต้องไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อพลเรือน จี้รัฐบาลทรัมป์ต้องเปิดประตูอีกครั้งเพื่อเปิดรับผู้คนที่พยายามหลบหนีจากความรุนแรงในซีเรีย

16 เม.ย.2561 จากกรณี สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ได้เปิดฉากการโจมตีเป้าหมายในซีเรีย ล่าสุดนั้น วานนี้ (15 เม.ย.61) ราเอ็ด จาร์ราร์ (Raed Jarrar) ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ประจำที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สหรัฐฯ จึงได้ออกแถลงการณ์ดังนี้ 

"หกปีที่ผ่านมาประชาชนในซีเรียต้องทนทุกข์ทรมานกับการโจมตีทำร้าย รวมทั้งการใช้อาวุธเคมี ซึ่งหลายครั้งรุนแรงถึงขั้นเป็นอาชญากรรมสงคราม จำเป็นต้องมีการดำเนินงานอย่างระมัดระวัง เพื่อลดอันตรายจากปฏิบัติการทางทหารต่อพลเรือนให้เหลือน้อยสุด ประชาชนที่ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวว่าจะสูญเสียชีวิตจากการโจมตีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะต้องไม่ถูกลงโทษซ้ำเติมเนื่องจากข้อกล่าวหาว่ามีการละเมิดของรัฐบาลซีเรีย"

"ประชาชนหลายล้านคนได้หลบหนีจากความรุนแรงและการปราบปรามในซีเรีย รัฐบาลทรัมป์ต้องไม่หันหลังให้กับความทุกข์ยากของผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ด้วยการห้ามไม่ให้ผู้อพยพจากซีเรียเข้าสหรัฐฯ ถึงเวลาที่สหรัฐฯ ต้องเปิดประตูอีกครั้งเพื่อเปิดรับผู้คนที่พยายามหลบหนีจากความรุนแรงในซีเรีย" 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กับดักความคิดเกี่ยวกับงานวิจัยในประเทศไทย

Posted: 15 Apr 2018 08:17 AM PDT




เมื่อวันที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมา ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูลรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถาหัวข้อ "ยุทธศาสตร์นวัตกรรมของประเทศไทย" ซึ่งหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์สรุปสาระสำคัญมาว่าภายในปี 2561 นี้ "จะออกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ใหม่ โดยเป็นการรวบรวมโครงการวิจัยทั้งหมดของประเทศไทยมาไว้ภายใต้กฎหมายดังกล่าว และจะมีการจัดตั้งองค์กรหลักในการวางกรอบการวิจัย โดยจะให้หน่วยงานวิจัยต่าง ๆ เช่น สวทช. สวทน. เป็นต้น เป็นแขนขา เพื่อแก้ปัญหางานวิจัยไม่มีการสอดประสานกัน" (ไทยโพสต์, "รัฐคลอด กม. ยกเครื่องวิจัยยกระดับสู่ประเทศสร้างนวัตกรรม," 9 เมษายน 2561)

บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อถกเถียงกับกระแสความคิดเกี่ยวกับงานวิจัยในประเทศไทยซึ่งรวมแนวทางดังข้างต้นของรัฐบาลด้วย โดยเสนอปัญหารากฐานของความคิดเกี่ยวกับงานวิจัยในประเทศไทย 2 ปัญหาหลักคือ หนึ่ง ปัญหาในระดับแนวนโยบายเกี่ยวกับงานวิจัย สอง ปัญหามายาคติเกี่ยวกับการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ ทั้งนี้มิได้มีวัตถุประสงค์ที่จะถกเถียงในประเด็นว่างานวิจัยพื้นฐานมีคุณค่ามากกว่างานวิจัยประยุกต์หรือไม่เนื่องจากรู้ดีแก่ใจว่างานวิจัยทั้งสองประเภทสัมพันธ์และงอกงามบนพื้นดินของกันและกัน


ปัญหาประการแรก ปัญหาในระดับแนวนโยบายเกี่ยวกับงานวิจัย

ดร. กอบศักดิ์ไม่ใช่คนแรกและคนเดียวในประเทศไทยที่มีความคิดเกี่ยวกับงานวิจัยในลักษณะดังกล่าว กระแสความคิดเกี่ยวกับงานวิจัยของผู้มีอำนาจและ "ผู้ทรงคุณวุฒิ" ในประเทศไทยขณะนี้คือเน้น "งานวิจัยไม่ขึ้นหิ้ง"  "มุ่งความเป็นเลิศ" และมี "นวัตกรรม" สังเกตได้จากข้อเสนอให้เพิ่มงบวิจัยที่เน้น "ขึ้นห้าง" มากกว่า "ขึ้นหิ้ง" ของทีดีอาร์ไอตั้งแต่ปี 2555 การตั้ง "เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา พ.ศ.2558" ที่ระบุให้อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ร่วม หรืออาจารย์ผู้สอบวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท "มีผลงานทางวิชาการที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารที่มีชื่อ อยู่ในฐานข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับในระดับชาติ ซึ่งตรงหรือสัมพันธ์กับหัวข้อวิทยานิพนธ์หรือการค้นคว้าอิสระไม่น้อยกว่า 10 เรื่อง" ส่วนในระดับปริญญาเอกจะต้อง "มีผลงานทางวิชาการที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารที่มีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติซึ่งตรงหรือสัมพันธ์กับหัวข้อวิทยานิพนธ์ไม่น้อยกว่า 5 เรื่อง" ของกระทรวงศึกษาธิการและล่าสุดคือ ร่าง พรบ. เกี่ยวกับงานวิจัยของรัฐบาลปัจจุบัน

เป้าหมายของข้อเสนอทำนองนี้คือต้องการนำงานวิจัย "คุณภาพ" ไปใช้ประโยชน์ในทันทีและโดยรูปธรรมตรรกะนี้จะนำไปสู่การกำกับควบคุมงานวิจัยด้วยกฎระเบียบและงบประมาณโดยคนจำนวนน้อย ยกตัวอย่างเช่น เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา พ.ศ.2558 ของกระทรวงศึกษาธิการจะทำให้เกิดการกระจุกตัวของผู้มีอำนาจกำหนดทิศทางขององค์ความรู้ในประเทศไทยและยังเป็นทิศทางองค์ความรู้ที่ไม่จำเป็นต้องตอบสนองต่อสาธารณประโยชน์ของไทยอีกด้วยเนื่องจากให้ความสำคัญกับวารสารในฐานข้อมูลระดับนานาชาติ ในขณะที่ข้อมูลที่ได้จากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ คือ พระราชบัญญัติใหม่ที่จะออกมานั้นจะมีการจัดตั้งองค์กรหลักในการวางกรอบการวิจัย เท่ากับว่าทิศทางองค์ความรู้ในประเทศไทยจะต้องขึ้นอยู่กับโลกทัศน์และความรู้ความสามารถของผู้บริหารองค์กรดังกล่าวทั้งที่เงินทุนสนับสนุนการวิจัยนั้นมาจากภาษีและฐานทรัพยากรของคนทั้งประเทศ

แม้ว่านี่อาจจะเป็นการเร็วเกินไปที่จะวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายดังกล่าว แต่เรื่องนี้มีความสำคัญเพราะเป็นการกำหนดเพดานทางความคิดความรู้ของคนไทยทั้งประเทศจึงสมควรที่จะเปิดเผยข้อมูลและถกเถียงกันในวงกว้างก่อนที่จะประกาศใช้

อันที่จริงแล้วลำพังความคิดเรื่องการมุ่งความเป็นเลิศ นวัตกรรมและการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์โดยตัวมันเองไม่ได้เป็นปัญหาเพราะนี่คือสิ่งที่แวดวงวิชาการทั่วโลกน่าจะเห็นพ้องต้องกัน แต่วิธีคิดเกี่ยวกับกระบวนการเพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าวของผู้มีอำนาจในประเทศไทยนั้นมีปัญหาในตัวมันเองเนื่องจากไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทั้งในด้านตัวบุคคลและธรรมชาติของงานวิจัย

ในด้านตัวบุคคล บุคลากรหลักในการทำวิจัย (โดยเฉพาะด้านสังคมศาสตร์) มาจากสถาบันการศึกษาซึ่งมีเงื่อนไขภาระงานสอน ภาระงานให้คำปรึกษานักศึกษา ภาระกรอกแบบฟอร์มตามความต้องการของหน่วยงานกำกับคุณภาพการศึกษาในระดับประเทศและค่าตอบแทนที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการจัดสรรเวลาและกำลังกายกำลังสมองไปทำงานวิชาการมากนัก นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการแสวงหาความรู้มากนัก ไม่ว่าจะเป็นปริมาณและความหลากหลายของหนังสือ การเดินทางและการเข้าถึงหนังสือและเอกสาร หรือห้องสมุดที่มีน้อยเกินไปทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ

ปัญหาในด้านธรรมชาติงานวิจัยที่เป็นเลิศ มีนวัตกรรมและนำไปใช้ประโยชน์คือมีแนวโน้มว่างานวิจัยที่เป็นเลิศและนวัตกรรมที่นำไปใช้ประโยชน์ได้นั้นไม่ได้มาจากกระบวนการและกรอบวิธีคิดด้านงานวิจัยแบบที่ผู้มีอำนาจและ "ผู้ทรงคุณวุฒิ" ในเมืองไทยเสนอ

อะไรคืองานวิจัยที่เป็นเลิศ อะไรคือนวัตกรรม อะไรคืองานวิจัยที่เป็นประโยชน์มากที่สุดในรอบศตวรรษที่ผ่านมา? งานวิจัยและผลดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะอะไร? นวัตกรรมที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตมนุษย์บนโลกปัจจุบันเช่น iPhone และ facebook เป็นตัวอย่างที่ชัดว่ามิได้เกิดขึ้นภายใต้กรอบการชี้นำของสถาบันใด ๆ โดยมิต้องพูดถึงว่าผู้ประดิษฐ์นั้นไม่ได้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย

ตัวอย่างดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า "ความเป็นเลิศ" และ "นวัตกรรม" นั้นสามารถเกิดขึ้นนอกกรอบการชี้นำหรือวางแนวทางของ "ผู้ทรงคุณวุฒิ" อีกทั้งเป้าหมายในการศึกษาคิดค้นมิได้ต้องการตอบโจทย์เฉพาะหน้าแต่เป็นความต้องการตอบโจทย์คำถาม "ในตัวมันเอง" ที่ผู้วิจัยมีความสนใจใฝ่รู้กระตือรือล้นเอาจริงเอาจังกับมันและยังไม่มีใครคนใดบนโลกใบนี้ให้คำตอบที่เฉพาะเจาะจงนั้นแก่ผู้วิจัยได้

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จากข้อเท็จจริงแล้วนวัตกรรมมาจากความคิด "นอกกรอบ" หรือความต้องการตอบคำถามเฉพาะตัวของปัจเจกทั้งสิ้น ฉะนั้นแล้วการตั้งองค์กรที่คอยกำหนดกรอบแนวทางการวิจัยจะนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมได้อย่างไร?

หากประเทศไทยสามารถจัดตั้งองค์กรด้านการวิจัยที่รวมศูนย์ผูกขาดกรอบการศึกษาและงบประมาณในการทำวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ เพดานของสิ่งที่เรียกว่า "ความเป็นเลิศ" และ "นวัตกรรม" ของไทยจะเป็นไปได้สูงสุดเท่ากับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารองค์กรเท่านั้น ผลที่ตามมาคือความคับแคบและตื้นเขินขององค์ความรู้ในประเทศไทย ในขณะที่ความเป็นเลิศและนวัตกรรมจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้หากวัดด้วยมาตรฐานสากล ส่วนงานวิจัยที่ไม่ขึ้นหิ้งและนำไปใช้ประโยชน์ได้ก็จะเป็นประโยชน์ในวงแคบมากกว่าสาธารณประโยชน์


ประการที่ 2 ปัญหามายาคติเกี่ยวกับการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์

หนึ่ง มายาคติเกี่ยวกับงานวิจัย "ขึ้นหิ้ง" กับ "ขึ้นห้าง"

งานวิจัย "ขึ้นหิ้ง" หรือ "ขึ้นห้าง" โดยแก่นสารแล้วจึงไม่เกี่ยวข้องกับคำถามว่าเป็นงานที่มีประโยชน์ต่อสังคมหรือไม่ เพราะต่างเป็นงานที่มีประโยชน์ทั้งสิ้น (บนเงื่อนไขว่าเป็นงานวิจัยที่มีคุณภาพสามารถตอบคำถามที่ตั้งไว้ได้อย่างดี) คำถามเรื่องประโยชน์ของงานวิจัยเป็นเพียงมายาคติ สิ่งที่เป็นคำถามจริง ๆ คือ งานวิจัยดังกล่าวเป็น "ประโยชน์ของใคร" ตัวอย่างเช่น ในปี 2555 ผู้บริหารหน่วยงานวิจัยของรัฐหน่วยงานหนึ่งเคยยกตัวอย่างงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาการปลูกข้าวของประเทศไทยว่าเป็นความสำเร็จและประโยชน์ของการวิจัยและพัฒนาเนื่องจากทำให้ประเทศไทยสามารถผลิตข้าวได้มากจนสามารถส่งออกข้าวได้ ("ทีดีอาร์ไอวิเคราะห์ความคุ้มค่างานวิจัยของประเทศ ชี้ส่วนใหญ่อยู่บนหิ้ง ขาดการต่อยอดไปสู่การพัฒนาที่แท้จริง," ThaiPublica, 18 พฤษภาคม 2555, https://thaipublica.org/2012/05/tdri-analysis-cost-research/)  คำถามคือผลสำเร็จนี้เป็นอานิสงค์แก่ชาวนามากน้อยเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทส่งออกข้าว โรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจที่ต้องการใช้แรงงานราคาถูก?

งานวิจัย "ขึ้นห้าง" หรืองานวิจัยประยุกต์มีนิยามทั่วไปคืองานวิจัยที่มุ่งเสนอวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของสังคมหรือธุรกิจอุตสาหกรรม หมายความว่างานวิจัยขึ้นห้างนั้นให้เครื่องมือแก้ไขปัญหาหรือแสวงหาประโยชน์ที่วางอยู่บนโครงสร้างเดิมขององค์ความรู้หรือสังคมเป็นหลัก การสนับสนุนให้ผลิตงานวิจัยประยุกต์ งานวิจัยขึ้นห้าง หรืองานวิจัยที่ "เป็นประโยชน์" โดยตัวมันเองก็คือการสนับสนุนการคงสถานะเดิมของสังคมเอาไว้หรือพูดอีกนัยหนึ่งคืองานวิจัยประยุกต์คืองานวิจัยที่ให้ประโยชน์หลักและให้ประโยชน์ลำดับแรก ๆ แก่บุคคลที่อยู่บนโครงสร้างที่ได้เปรียบเดิมของสังคมนั่นเอง

สอง มายาคติเกี่ยวกับการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในด้านที่เกี่ยวข้องอำนาจ

องค์ความรู้หรืองานวิจัยกับการพัฒนาประเทศนั้นมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน แต่ความสัมพันธ์ดังกล่าวมิได้เป็นไปแบบตรงไปตรงมาในรูปแบบว่า การค้นพบความรู้นำไปสู่การทำข้อเสนอเชิงนโยบายและนำไปสู่การพัฒนาประเทศ ความสัมพันธ์แบบนี้คือความสัมพันธ์แบบที่เชื่อว่า "ความรู้" คืออำนาจ ในทางกลับกัน กระบวนการกำหนดนโยบายโดยทั่วไปจะมาจาก ข้อเสนอหรือแรงผลักดันของกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอำนาจ นำไปสู่การรวบรวมข้อมูลและ "ความรู้" ที่สนับสนุนผลประโยชน์ของกลุ่มตน การเลือกสรรและผลักไส "ความรู้" ที่ไม่สนับสนุนข้อเสนอของกลุ่มตนออกไปด้วยการแปะป้ายความรู้เหล่านั้นด้วยชื่อเรียกหรือนามที่เป็นปฏิปักษ์ต่อความเชื่อที่ถือเป็นความรู้เช่น เรียกความรู้เกี่ยวกับการกระจายรายได้ด้วยแนวคิดการให้เงินคนยากจนโดยตรง (Universal Basic Income) ว่าเป็นสิ่งที่ "ทำให้คนขี้เกียจ" เป็นต้นในขณะที่เรียกความรู้เกี่ยวกับการอำนวยประโยชน์ให้ทุนด้วยการให้สิทธิพิเศษด้านภาษี การจัดเตรียมแรงงานราคาถูก ฯลฯ ว่า "การส่งเสริมการลงทุน" นี่คือความสัมพันธ์แบบที่อำนาจทำให้ความเชื่อบางอย่างกลายเป็น "ความรู้"

ด้วยเหตุนี้ ปัญหาด้านการพัฒนาของประเทศไทยจำนวนมากมิได้เป็นปัญหาเรื่องการขาดความรู้ แต่เป็นปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ทางอำนาจและครองอำนาจนำ ปัญหาสำคัญของประเทศไทยเช่น ปัญหาความเหลื่อมล้ำ นั้นมีทฤษฎีและข้อมูลข้อเท็จจริงที่เสนอทางออกไว้แล้วเป็นจำนวนมากและเป็นเวลานานมาแล้ว อุปสรรคในการแก้ไขปัญหาอยู่ที่โครงสร้างทางการเมืองที่ไม่อนุญาตให้นำความรู้หลาย ๆ ชุดมาใช้แก้ไขปัญหาดังกล่าวแต่เลือกเฉพาะความรู้ชุดใดชุดหนึ่งเป็นหลักในการแก้ไขปัญหาเพื่อรักษาโครงสร้างอำนาจแบบเดิมเอาไว้

ต่อปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำนั้น ศาสตราจารย์อัลเบิร์ต โอ เฮิรชแมน ( A. O. Hirschman) ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนา "ความจำเริญแบบไม่สมดุลย์" อันเป็นแนวทางการพัฒนาที่ประเทศไทยนำมาใช้ว่าในกระบวนการพัฒนาแบบไม่สมดุลที่รัฐให้โอกาสแก่เอกชนในการทำกำไรสะสมทุนไปก่อนประชาชนส่วนอื่นของประเทศนั้นมี "การเมือง" เป็นกลไกที่จะผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่เท่าเทียมและสมดุลมากขึ้นที่พลังตลาดเพียงประการเดียวไม่สามารถส่งมอบให้แก่สังคมได้ (อำนวย วีรวรรณ, "กลยุทธแห่งการพัฒนาเศรษฐกิจ," ใน ทฤษฎีและแนวคิดในการพัฒนาประเทศ, บรรณาธิการโดย อมร รักษาสัตย์และขัดติยา กรรณสูต; 2515, 355) ทั้ง ๆ ที่มีความรู้ชุดนี้ดำรงอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานานแล้ว อย่างน้อยก็เป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ชนชั้นนำไทยก็ยังปฏิเสธและสร้างภาพ "การเมือง" ให้เป็นสิ่งที่กีดขวางกระบวนการกำหนดนโยบายที่เหมาะสมเสมอมา

********

ด้วยเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ การผูกขาดอำนาจกำหนดความรู้ในประเทศไทยในนามของการสร้างความเป็นเลิศทางวิชาการ นวัตกรรมและการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยจะส่งผลต่อการดำรงรักษาโครงสร้างอำนาจและผลประโยชน์แบบเดิมของชนชั้นนำไทยมากกว่าการสร้างความเป็นเลิศทางวิชาการ นวัตกรรมและประโยชน์สาธารณะของการงานวิจัย และส่วนที่แย่ที่สุดก็คือโครงสร้างแบบเดิมนั้นปรากฏชัดว่าไม่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของโลกและของสังคมไทยได้เลย

กล่าวอย่างเป็นรูปธรรมคือ ชนชั้นนำไทยกำลังพาประเทศไทยลงเหวเพื่อผลประโยชน์ที่พวกเขาเองก็ไม่มีความสามารถที่จะไขว่คว้ามันได้นอกจากการสูบเอาจากฐานทรัพยากรและแรงงานของคนในประเทศที่กำลังจะหมดลงและพ้นสมัยไปทุกที


 


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อย่ากลัว (ที่จะมี) จุดยืน“อนุรักษ์นิยม”

Posted: 15 Apr 2018 08:05 AM PDT



อ่านข่าว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคอนุรักษ์นิยมแต่เป็นพรรคเสรีประชาธิปไตย จนทำให้แลดูท่าเสมือนว่าพรรคแนวอนุรักษ์นิยมภาพไม่ค่อยดีเท่าพรรคแนวก้าวหน้าหรือเสรีนิยม (เสรีประชาธิปไตย) ทั้งที่ความจริงคือไม่ใช่สักหน่อย

คำว่าอนุรักษ์นิยม หรือ conservative ในทางการเมือง ที่รู้จักกันเท่าที่คุยกับเพื่อนคนไทย ส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบใจถ้าใครบอกว่าตนเป็นคนอนุรักษ์นิยม มักคิดไปว่าเพื่อนไปมองตนเองทำนองเป็นคนหัวโบราณ ไม่ทันสมัย ล้าหลัง ไม่ทันโลก ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้มีความหมายอย่างที่เข้าใจเลย เป็นการเข้าใจความหมายคำว่าอนุรักษ์นิยมที่ผิดพลาดอย่างมาก แม้แต่มุมมองคนไทยจำนวนมากต่อพรรครีพับลิกันของทรัมป์

ความล้าหลัง ไม่ทันสมัย ไม่ทันโลก ควรเป็นลักษณะของระบบเผด็จการตะหาก เพราะเป็นระบบที่สังคมโลกพากันรังเกียจ

แท้จริงแล้วคำว่าอนุรักษ์นิยมในความหมายที่แท้จริง เป็นท่าในการวางหรือกำหนดนโยบายทางการเมืองของพรรคการเมือง ไม่มีคำว่าผิดหรือถูกแต่ขึ้นกับความเหมาะสมของสภาพการณ์ สภาพแวดล้อมหรือบริบททางสังคมในขณะประกาศใช้นโยบายดังกล่าวของพรรคการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยย่อมขึ้นกับความชื่นชอบของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (voters) ว่าพวกเขาจะชื่นชอบแนวคิดทางการเมืองแบบอนุรักษ์นิยมหรือไม่

พรรคการเมืองในยุโรปและในอเมริกาซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยมักมี 2 ปีกคือ ปีกขวากับปีกซ้าย ปีกขวาหมายถึงอนุรักษ์นิยม ปีกซ้ายหมายถึง เสรีนิยม ประชาชนของเขาจะแยกออกว่าพรรคการเมืองไหนเป็นอนุรักษ์นิยมหรือเสรีนิยม แต่ไม่ว่าพรรคจะมีนโยบายแบบไหน ปีกไหน ก็จะอยู่ในกรอบหรือภายใต้กติกาประชาธิปไตย

คำว่าอนุรักษ์นิยม จึงไม่ใช่คำที่น่ารังเกียจแต่อย่างใด แต่เป็นคำพื้นๆ ที่แยกให้เห็นถึงลักษณะหรือท่าทีของนโยบายของแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งการเมืองในประเทศประชาธิปไตยตะวันตก อนุรักษ์นิยมและเสรีนิยมผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะไปมา ขึ้นกับกระแสความนิยมของมวลชนว่าจะเลือกแนวนโยบายของพรรคการเมืองแนวไหน บางครั้งแนวนโยบายแบบก้าวหน้าหรือเสรีนิยมก็มิใช่ว่าจะดีและเหมาะสมเสมอไป ดังการอุบัติของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นตัวอย่าง แสดงให้เห็นว่าประชาชนพลเมืองอเมริกันศรัทธาต่อตัวเขาและนโยบายแนวอนุรักษ์นิยมเพียงใด ฉะนั้นจงอย่าได้เข้าใจผิดว่าอนุรักษ์นิยมนั้นเลวโดยถ่ายเดียว เหมือนที่สื่อไทยบางเจ้าอธิบายดังนี้

ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นก็คือ อนุรักษ์นิยมในอเมริกา หมายถึงเสรีนิยมแบบสุดขั้วเอาเลยด้วยซ้ำ ดูอย่างกรณีของกลุ่มทีปาร์ตี้ (Tea-Party) ที่อาจเรียกว่าเป็นสายฮาร์ดคอร์อนุรักษ์นิยมแบบฉบับอเมริกันเลยทีเดียว พรรคนี้แทบไม่ต้องการรัฐบาลเอาเลย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลกลาง หรือรัฐบาลท้องถิ่น กล่าวคือ ต้องการให้รัฐบาลเลิกยุ่งกับประชาชนให้มากที่สุดในเรื่องต่างๆ เช่น เรื่องภาษี หรือแม้แต่เรื่องสวัสดิการของรัฐ พวกเขาต้องการให้เป็นเรื่องของทุนนิยมหรือกลไกการตลาด อาจมีบางเรื่องที่เขาต้องการจากรัฐบาล เช่น เรื่องความมั่นคงปลอดภัย เป็นต้นซึ่งก็นับว่าน้อยมาก นัยหนึ่งคนอเมริกันที่มีความคิดอนุรักษ์นิยมต้องการให้ขนาดของรัฐเล็กที่สุดเท่าที่จะเล็กได้ ซึ่งก็คือเสรีนิยมแบบฉบับอเมริกันดั้งเดิม ที่กลุ่มทีปาร์ตี้หรือแม้แต่รีพับลิกันรับสืบทอดอุดมการณ์ทางการเมืองแนวนี้มา ขณะที่อเมริกันฝ่ายเสรีนิยม มีนโยบายทำให้ขนาดของรัฐใหญ่ขึ้นด้วยการขยายบทบาทของรัฐมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษี ด้านสวัสดิการ ถ้าเป็นในอเมริกาดูได้จากตัวอย่างนโยบายของเดโมแครต เช่น โอบามาแคร์ ซึ่งเป็นระบบสวัสดิการประกันสุขภาพอย่างหนึ่ง เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะจัดบริการทางด้านสาธารณสุขหรือสุขภาพของพลเมือง เป็นต้น

การที่ทรัมป์ได้รับการโหวตให้เป็นประธานาธิบดีก็เนื่องจากพลเมืองอเมริกันพอใจนโยบายของเขา แม้เป็นอนุรักษ์นิยมก็ตาม พลเมืองอเมริกันเห็นความสำคัญว่า ในช่วงที่ประเทศกำลังมีปัญหาต่างๆ อยู่นั้นแนวนโยบายแบบอนุรักษ์นิยมทีทรัมป์เสนอช่วงหาเสียงควรน่านำมาใช้ แสดงให้เห็นว่าในบริบททางสังคมอย่างหนึ่งเจตนารมณ์ของประชาชน เป็นอย่างหนึ่ง ขณะที่ในอีกบริบททางสังคม ฉันทามติของประชาชนอาจเปลี่ยนไปก็ได้

กรณีของทรัมป์ แสดงให้เห็นว่า ฉันทามติของสังคมอเมริกันไปข้างอนุรักษ์นิยม พวกเขาอาจเอือมระอากับความไม่เป็นโล้เป็นพายของพรรคเดโมแครตที่ออกแนวเสรีนิยมไม่ได้เรื่อง สังคมหรือพลเมืองนั่นแหละเป็นผู้ตัดสินหรือชี้ชะตากรรมของพวกเขาว่าควรได้ผู้นำเช่นไร อนุรักษ์นิยมเองก็คือประชาธิปไตย มาจากกระบวนการประชาธิปไตย เพราะเจตนารมณ์ของคนส่วนใหญ่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น

ในกรณีของอเมริกัน ไม่เว้นแม้แต่ความคิดกีดกันชาวต่างด้าว ที่ถือเป็นอนุรักษ์นิยม คนอเมริกันมีสิทธิ์ที่จะเชื่อตาม ทรัมป์ว่า ปัญหาความไม่ปลอดภัยหรือความมั่นคงและปัญหาด้านเศรษฐกิจในอเมริกาส่วนหนึ่งมาจากคนต่างด้าว พวกเขามีสิทธิ์คิดและมีสิทธิ์เห็นด้วยกับแนวคิดอนุรักษ์นิยมทำนองนี้ และเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งทีทำให้ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี

พวกนักวิเคราะห์ข่าวที่อยู่ในต่างประเทศรึ จะไปรู้สึกรู้สา ปั่นหัวชาวประชาในประเทศนั้นๆ ให้เกลียดทรัมป์ก็เท่านั้น ไม่ใจคอคับแคบไปหน่อยดอกหรือ?

ในอเมริกาพรรคอนุรักษ์นิยมจึงมีมุมดีๆ อยู่มาก และยังคงได้รับการสนับสนุนอยู่จนถึงทุกวันนี้ ชนิดที่แม้แต่พรรคเสรีนิยมก็ตีไม่แตก ต้องพ่ายแพ้ไป

ข้อสังเกตของผมก็คือว่า ทำไมหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จึงออกตัวว่าพรรคไม่ได้เป็นอนุรักษ์นิยม ทั้งที่องค์ประกอบนโยบายของพรรคมีแนวโน้มไปทางอนุรักษ์นิยม ซึ่งว่าไปแล้วความเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมของประชาธิปัตย์ไม่ใช่สิ่งน่าเกลียดน่าชังอะไรเลย คนไทยจำนวนไม่น้อยก็ศรัทธาในแนวนโยบายของพรรคการเมืองเก่าแก่พรรคนี้ ทำไมไม่กล้าแสดงจุดยืนให้ชัดเจนไปเลยว่า เป็นพรรคแนวอนุรักษ์นิยม และคุณจะทำอะไรให้กับประชาชนจากจุดยืนที่แน่วแน่ตรงนี้

เรื่องจุดยืนเชิงอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นปัญหาของพรรคการเมืองไทยมานาน เพราะพรรคการเมืองเป็นพวกชอบแทงกั๊ก ไม่กล้าประกาศจุดยืนที่ชัดเจนของพรรค คิดว่าประชาชนเขามองไม่ออก มันจึงมีแนวโน้มที่นโยบายพรรคจะไหลไปตามกระแสสังคมได้สูง

แน่นอนล่ะว่า การไหลไปตามกระแสสังคมเป็นเรื่องปกติธรรมดาของพรรคการเมือง ก็พวกเขาต้องการคะแนนเสียงนี่นา แต่การไร้จุดยืนอุดมการณ์เชิงนโยบายเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน เป็นเรื่องไม่สง่าน่าภาคภูมิเอาเลย ชี้ว่าพรรคการเมืองไทยแทบไม่มีพัฒนาการใดๆ เลย

เก็บพรรคของท่านให้ชาวบ้านที่เขาศรัทธาต่อนโยบายหรืออุดมการณ์พรรคของท่านไว้เป็นทางเลือกบ้างเถอะครับ อย่าพลิ้วนักเลย 555 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมายเหตุประเพทไทย #205 สำนึกทางการเมืองแบบไพร่สมัยใหม่

Posted: 15 Apr 2018 08:02 AM PDT

ระบบไพร่ในสยามถูกยกเลิกไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2448 แทนที่ด้วยระบบเกณฑ์ทหารตาม "พระราชบัญญัติลักษณเกณฑ์ทหาร ร.ศ. 124" อย่างไรก็ตามจิตสำนึกทางการเมืองแบบไพร่ยังคงอยู่ในสังคมไทย ในขณะเดียวกันรัฐเองก็ไม่ได้ปรารถนาให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากไปกว่าการเชื่อฟังและเสียภาษี พร้อมไปกับการเผยแพร่แนวคิด "ประชาธิปไตยแบบไทยๆ" โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสื่อของรัฐในช่วงสงครามเย็น ทั้งหมดนี้ติดตามได้ในรายการหมายเหตุประเพทไทย พูดคุยกับชานันท์ ยอดหงษ์ และศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่
เฟสบุ๊ค 
https://www.facebook.com/maihetpraphetthai
หรือลงทะเบียนรับชมที่ https://youtube.com/prachatai

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: สงกรานต์ไทยไม่สนุก

Posted: 15 Apr 2018 07:55 AM PDT



จะสนุกได้ไง ยังไม่ทันเริ่มเลย ก็ต้องไล่ดูข้อห้ามข้อบังคับ "เล่นสงกรานต์อย่างไรไม่ให้ถูกตำรวจจับ"

แถมปีนี้กำลังอินเทรนด์บุพเพสันนิวาส ฟินความเป็นไทย โหนกระแสกันใหญ่ ทั้งภาครัฐภาคเอกชน เช่น (พาดหัวข่าว) "ห้างบูมสงกรานต์เฟสติวัล ประชันอีเวนต์วิถีไทย" รัฐก็ปลุกไทยนิยมในนิยามเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจ หน่วยงานต่างๆ แข่งกันจัดงานแต่งชุดไทยโบราณ เล่นสงกรานต์ ย้อนยุค ทะลุมิติ ห่มสไบ ฯลฯ

นิด้าทำโพลมีคนเห็นด้วยล้นหลาม สมควรแต่งชุดไทยเล่นน้ำวันสงกรานต์ ช่วยปลุกจิตสำนึกเยาวชน สืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม อวดชาวต่างชาติ มีแค่ 1 ใน 3 ที่พูดตรงๆ ว่าไม่อยากแต่ง เพราะไม่สะดวก ไม่คล่องตัว ยุ่งยาก ไม่เหมาะกับสภาพอากาศ ใส่เสื้อยืดออกไปสาดน้ำกันดีกว่า

นั่นดิ อยากรู้จัง จะมีใครใส่ชุดไทยนั่งหลังรถกระบะ แต่ถ้ามีสาวประเภทสองใส่ตะเบ็งมานมาสาดน้ำแดนซ์กระจาย พวกรักษ์ความเป็นไทยคงดิ้นพล่าน

สงกรานต์เป็นประเพณีไทยพื้นบ้าน ซึ่งแน่ละ มีประเพณีทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ขนทรายเข้าวัด แต่ก็มาพร้อมกับการละเล่นสนุกสนาน เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่เปิดให้ "ปลดปล่อย" ยอมให้ละเมิดหรือเป็นขบถต่อข้อห้าม จารีตประเพณีต่างๆ โดยไม่ถือสา คนไทยจึงเล่นน้ำกันอย่างเสมอภาค ข้ามรุ่น ข้ามอาวุโส ข้ามยศถาบรรดาศักดิ์ (แบบจับพระโยนน้ำก็มีมาแต่โบราณ)

สงกรานต์พื้นบ้านจึงสวนทางกับความเป็นไทยอันดีงามของรัฐ เหมือนประเพณีพื้นบ้านแทบทุกอย่างนั่นละครับ สวนทางกับความเป็นไทยในหนังสือเรียน ในคู่มือของกระทรวงวัฒนธรรม ที่มุ่งปลูกฝังให้คนไทยพับเพียบเชื่อฟัง

ดังนั้น ยิ่งโหมความเป็นไทยเท่าไหร่ สงกรานต์แบบบ้านๆ ที่เล่นกันสนุกสนาน จนวิวัฒนาการมาเป็นสงกรานต์รถกระบะ ก็ยิ่งกลายเป็น "ไม่ใช่ไทย" ทำอะไรก็จะผิดไปหมด ต้องดูให้ดีว่าแต่ละปีมีข้อห้ามข้อบังคับอะไร เอาถังเอาโอ่งขึ้นได้ไหม ยอมให้วิ่งถนนสายไหนบ้าง ประแป้งกันได้หรือเปล่า

เมื่อมันยุ่งยากอย่างนี้ก็ไม่รู้จะเล่นทำไม บางพื้นที่ก็เลยหายๆ ไป แบบวันก่อนผมแวะอำเภอหนึ่งในภาคกลาง ลองถามๆ ยังเล่นสงกรานต์อยู่ไหม เขาบอกมีสรงน้ำพระแล้วเล่นวันเดียว เพราะตั้งแต่วุ่นๆ กันเรื่องรถกระบะเรื่องถังน้ำ ก็เลิกดีกว่า

อันที่จริงไม่ต้องไปดูอื่นไกล แถวชานกรุง เมื่อก่อนยังมีรถสงกรานต์วิ่งสาดน้ำกับเด็กๆ ข้างทาง เดี๋ยวนี้ห้ามหมด อยากเล่นน้ำต้องไปข้าวสาร สีลม หรือสวนสนุกที่มีอีเวนต์

ขณะที่วัยรุ่นสมัยนี้ก็เป็นโรคผิวบาง กลัวแดด เปลี่ยนไปเล่นสงกรานต์ตอนค่ำตามผับ (เป็นไทยมาก)

ใช่เลยครับ รัฐมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัย ควบคุมไม่ให้ทะเลาะวิวาท หลักๆ ไม่กี่ข้อ เมาแล้วขับโทษหนัก รถกระบะเล่นน้ำต้องขับช้า อย่าใช้ปืนฉีดน้ำแรงสูง และจัดหนักพวกลวนลามทางเพศ

แต่ที่มักจะเกินมาก็คือข้ออ้าง "ความเป็นไทยอันดีงาม" ซึ่งเดี๋ยวก็เป็นการรณรงค์ เดี๋ยวก็เป็นข้อห้าม ปะปนกันโดยไม่รู้ว่าเพื่อความปลอดภัย หรือเพราะขัดหูขัดตา

โดยกระแสสังคมที่อินเทรนด์ความเป็นไทย ก็มักสนับสนุน ทั้งที่คนชั้นกลางระดับบนในกรุง ส่วนใหญ่ไม่เคยเล่นสงกรานต์ หยุดยาวก็ไปเที่ยวญี่ปุ่น

การห้ามอะไรไว้เยอะๆ ยังเป็นเรื่องง่ายดี สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐผู้รับผิดชอบ การรณรงค์ให้เกินๆ ไว้ก็ยิ่งดี สำหรับนักรณรงค์ศีลธรรม ตัวอย่างเช่น "สงกรานต์ปลอดเหล้า" ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เหล้าอยู่คู่สงกรานต์มาแต่โบราณ ปีใหม่ของทุกชนชาติคือการเริ่มฤดูผลิตใหม่ เอาผลผลิตที่ได้ไปหมักบ่มบวงสรวงแล้วเลี้ยงฉลองกัน

เราต้องการแค่เมาไม่ขับ เมาแล้วไม่วิวาท แต่ที่เขาตั้งวงในหมู่เพื่อนฝูงญาติมิตร เปิดเพลงเล่นน้ำแดนซ์อยู่ข้างทาง นอกจากไม่มีทางห้ามได้ ยังเป็นสิทธิเสรีภาพอีกต่างหาก

ว่าที่จริง รัฐไทยก็ลักลั่นกับสงกรานต์ความเป็นไทย เพราะสงกรานต์เป็นจุดขายของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งเอามาแถลงอย่างดีใจทุกเทศกาล สงกรานต์ ปีใหม่ วันพระใหญ่ ว่าทำให้เงินสะพัด

สงกรานต์มีจุดขายที่ความสนุก ฝรั่งต่างชาติครึกครื้น หลั่งไหลมาเล่นน้ำ แต่พอรัฐพยายามชูประเพณีอันดีงาม ปีที่แล้วฝรั่งถอดเสื้อเล่นน้ำต่อหน้ารัฐมนตรีก็โดนตำรวจจับ กระนั้น จะห้ามอะไรจริงจังก็กลัวต่างชาติไม่มาเที่ยว ไม่ได้เงินเข้ากระเป๋า

ความเป็นไทยอันดีงามก็เลยลักลั่นเช่นนี้เอง เพราะความเป็นไทยที่ต้องการกันจริงๆ ต้องขายได้ด้วย

 

ที่มา: www.khaosod.co.th

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: โลกไม่เอื้อพื้นที่เพื่อฆ่าฟัน

Posted: 15 Apr 2018 07:47 AM PDT


มีสิ่งใดโศกเศร้าเท่าการฆ่า
อ้างปัญหาแก้ปัญหาด้วยปืนหรือ?
บอมบึมระเบิดไฟจากในมือ
ชีวิตคือความรันทดระทมจม

มีแววตาบริสุทธิ์ละห้อยหา
มีน้ำตาก้อนสะอื้นแสนขื่นขม
มีน้ำเลือดเดือดแดงเสียงระงม
มีเสียงขรมควันคลุ้งพวยพุ่งฟ้า

เราต่างมีชีวิตหนึ่งชีวิต
มีความคิดแตกต่างสร้างปัญหา
เอาสิทธิ ความให้เกียรติ ความเมตตา
เป็นมรรคาเพื่ออยู่ร่วมอย่างรื่นรมย์

ใช่อ้างสิทธิปลิดปลงลงเสียหมด
ให้สงครามกำหนดบดเบียดล่ม
แก้ปัญหาความต่างสร้างเงื่อนปม
ก็มีแต่จะจมล้มละลาย

โลกไม่เอื้อทางออกด้วยการฆ่า
ต้องเมตตาบริสุทธิ์เป็นจุดหมาย
โลกไม่เอื้อพื่นที่เพื่อฆ่ากันตาย
ต้องพร่างพรายสวนดอกไม้ได้งดงาม

เห็นแววตาและเรื่อนร่างเคว้งคว้างเศร้า
ที่เปลือยเปล่าสิ้นหวังทั้งขลาดขาม
ที่หวาดกลัวสั่นสะทกตระหนกตาม
หัวใจหวามหล่นวูบโลกซูบเซียว!

 

หมายเหตุ:

แด่...

ซีเรีย เด็ก ผู้คน ความโศกเศร้า และเขม่าสงคราม

(สงกรานต์ประเทศไทย สรงไฟประเทศซีเรีย 14-15 เมษ. 2561 )

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผลกระทบของสงครามซีเรียต่อราคาน้ำมัน เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย

Posted: 15 Apr 2018 02:12 AM PDT

คณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต ชี้หากสถานการณ์ในซีเรียไม่ขยายวงหรือบานปลายจะกระทบต่อราคาน้ำมันไม่มาก อย่างไรก็ตามไทยควรสำรองน้ำมันเพิ่มขึ้นในกรณีที่เหตุการณ์สงครามซีเรียบานปลายเพื่อให้ประชาชนมีน้ำมันใช้อย่างเพียงพอ

 
15 เม.ย. 2561 ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้แสดงความเห็นผลกระทบของสงครามซีเรียต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ว่า อาจจะส่งผลทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 80-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ อาจเป็นจุดสิ้นสุดของยุคราคาน้ำมันถูกซึ่งขณะนี้ราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงสุดในรอบ 3 ปีไปแล้ว โดยราคาน้ำมันล่วงหน้า Brent Crude ขึ้นไปแตะ 73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2014 ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ราคาขายปลีกน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% จากระดับปัจจุบันในช่วงหนึ่งเดือนข้างหน้า ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องและสามารถปรับขึ้นได้อีก 10-15% พร้อมค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาแข็งค่าขึ้น มีความเสี่ยงที่สงครามซีเรียจะลุกลามยืดเยื้อนำไปสู่การเผชิญหน้าของรัสเซียและชาติตะวันตกหรือเกิดภาวะสงครามเย็นรอบใหม่ได้ ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นจะส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นและทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลกและของไทยชะลอตัวลงในช่วงไตรมาสสอง ตลาดการเงินทั่วโลกน่าจะมีความผันผวนมากในช่วงสองสัปดาห์ข้างหน้า สงครามในซีเรียมีโอกาสลุกลามปานปลายสูงมากจึงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ น่าจะส่งผลทำให้อัตราการขยายตัวของภาคส่งออกไทยโดยเฉพาะการส่งออกไปภูมิภาคตะวันออกลางมีขีดจำกัด สงครามในซีเรียมีความซับซ้อนสูงเพราะเกี่ยวพันกับสงครามกลางเมืองในซีเรียระหว่างระบอบเผด็จการของประธานาธิบดีอัสซาดและฝ่ายประชาธิปไตย เกี่ยวพันกับความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ธุรกิจอุตสาหกรรมพลังงานระหว่างรัสเซียกับชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา เกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางศาสนานิกายชีอะห์ (สนับสนุนโดยอิหร่าน) และนิกายสุหนี่ (สนับสนุนโดยซาอุดิอารเบีย) เกี่ยวพันกับสงครามต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาวเคิร์ดจากตุรกีและซีเรีย สงครามระหว่างขบวนการก่อการร้ายด้วยกัน ISIS กับอัลเคดา 
 
ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต กล่าวว่าหากสถานการณ์ในซีเรียไม่ขยายวงหรือบานปลายจะกระทบต่อราคาน้ำมันไม่มาก เพราะซีเรียผลิตน้ำมันดิบคิดเป็น 0.4% ของการผลิตทั่วโลก ความผันผวนของราคาน้ำมันจะเป็นผลจากปัจจัยทางด้านจิตวิทยาจากปัญหาความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์เป็นหลัก ยังไม่กระทบต่ออุปทานของตลาดน้ำมันโลก อย่างไรก็ตาม สงครามในซีเรียมีโอกาสบานปลายและขยายวงสูงมาก จึงส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานและเศรษฐกิจโลกมาก อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วง
 
ครึ่งปีหลังน่าจะส่งผลต่อการชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศได้ นอกจากนี้ไทยควรสำรองน้ำมันเพิ่มขึ้นจากระดับ 36 วันหรือ 5% ของปริมาณใช้ทั้งปีซึ่งเป็นระดับปรกติตามกฎหมายในกรณีที่เหตุการณ์สงครามซีเรียบานปลายเพื่อให้ประชาชนมีน้ำมันใช้อย่างเพียงพอหากเกิดเหตุการณ์นอกเหนือการคาดการณ์ขึ้นซึ่งอาจส่งผลต่ออุปทานน้ำมันใช้ในประเทศและความมั่นคงทางด้านพลังงานได้ 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวสหรัฐฯ วิพากษ์ 'ทรัมป์' บุ่มบ่ามสั่งโจมตีซีเรียขัดหลัก รธน. ประเทศตัวเอง

Posted: 14 Apr 2018 11:36 PM PDT

กรณีการโจมตีซีเรียโดยชาติตะวันตกนำโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากสหรัฐฯ ครั้งล่าสุดสร้างความไม่พอใจให้แม้แต่กับส่วนหนึ่งของทางการสหรัฐฯ เอง เพราะเป็นการสั่งการโดยที่ไม่ได้มีการหารือกับสภาคองเกรสก่อนอีกทั้งยังขัดต่อหลักการรัฐธรรมนูญประเทศตัวเอง นักวิชาการเตือนว่าการบุ่มบ่ามโจมตีเช่นนี้ไม่ส่งผลดีต่อสหรัฐฯ เองและไม่ทำให้เกิดสันติภาพต่อซีเรียได้ รวมถึงทำให้ชาติตะวันตกสูญเสียภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำทางศีลธรรมของโลกด้วย

 
 
15 เม.ย. 2561 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายการต่างประเทศ กลุ่มสิทธิมนุษยชน และนักกิจกรรมต่อต้านสงคราม ต่างก็ออกมาประณาม การที่สหรัฐฯ นำประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสทิ้งระเบิดในซีเรียในรอบล่าสุดในช่วงสุดสัปดาห์นี้โดยระบุว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นการโจมตีที่ "ผิดกฎหมาย" นานาชาติในแง่ของการล่วงล้ำอธิปไตยของชาติตะวันออกกลาง อีกทั้งยังเป็นการละเมิดอำนาจรัฐธรรมนูญในบ้านตัวเองเพราะเป็นการสั่งการแบบที่ไม่ผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรส
 
โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งโจมตีทางอากาศประเทศซีเรียโดยอ้างว่าเพื่อโต้ตอบการใช้อาวุธเคมีในเมืองดูมาช่วงสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ทางการฝรั่งเศสอ้างว่าพวกเขามี "หลักฐาน" ว่ามีการใช้อาวุธเคมีจากฝ่ายรัฐบาลบาชาร์ อัลอัสซาด นักกิจกรรมฝ่ายต่อต้านรัฐบาลในซีเรีย คนทำงานกู้ภัยและหน่วยแพทย์พยาบาลก็บอกว่ามีคนเสียชีวิตมากกว่า 40 คนเมื่อวันที่ 7 เม.ย. ที่ผ่านมาในเมืองดูมาซึ่งเป็นเมืองที่ถูกกลุ่มกบฏยึดครอง โดยต้องสงสัยว่ามาจากการโจมตีด้วยอาวุธเคมี
 
ฝ่ายรัฐบาลรัสเซียปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวนี้ขณะที่รัสเซียอ้างว่าพวกเขาก็มี "หลักฐานที่ไม่อาจโต้แย้ง" ยืนยันว่ามีการ "จัดฉาก" ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวโดยมีอังกฤษร่วมมือด้วย ตัวแทนของรัสเซียในยูเอ็น วาสสิลี เนเบนเซีย กล่าวต่อคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติเมื่อวันที่ 9 เม.ย. ว่าพวกเขาได้ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารของรัสเซียไปลงพื้นที่สำรวจดินของดูมาแต่ไม่พบว่ามีสารพิษทำลายประสาทหรือพบสารคลอรีนแต่อย่างใด
 
อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังคงสั่งให้มีการโจมตีทางอากาศในวันที่ 14 เม.ย. ที่ผ่านมาในจุดเป้าหมายใกล้กับเมืองฮอมและในกรุงดามาสกัส โดยอ้างว่าเพื่อต่อต้านการผลิต การแพร่กระจาย และใช้อาวุธเคมี มีการใช้ขีปนาวุธโจมตีราว 100 ชุด ถือว่ามากกว่าที่ใช้โจมตีช่วงปี 2560 เป็นจำนวนสองเท่า และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการโจมตีซีเรียด้วยการอ้างโต้ตอบการใช้อาวุธเคมี ก่อนหน้านี้ก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง มีบางกรณีที่ยูเอ็นกล่าวยืนยันว่าเกิดขึ้นจริง เช่น ในปี 2556 มีผู้เชี่ยวชาญของยูเอ็นยืนยันว่ามีการใช้อาวุธเคมีเป็นแก๊สซารินสังหารประชาชนเสียชีวิตกลายร้อยคน
 
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเลขาธิการสหประชาชาติจะออกมาประณามว่าถ้าหากมีการตรวจพบการใช้อาวุธเคมีจริงไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใดก็ตามก็ถือเป็นการสิ่งที่น่ารังเกียจและเป็นการละเมิดกฎหมายนานาชาติอย่างชัดเจน แต่พวกเขาก็ไม่ได้อนุญาตให้มีการทิ้งระเบิดซีเรีย อีกทั้งสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ก็ไม่ได้ออกมติให้อำนาจสั่งการเรื่องนี้ แต่เป็นการตัดสินใจของทรัมป์เอง
 
จอน เรนวอเทอร์ ผู้อำนวยการบริหารขององค์กรพีซแอคชันแถลงว่าการตัดสินใจของทรัมป์เป็นการตัดสินใจแบบ "บุ่มบ่าม อันตราย และเป็นการละเมิดกฎหมายในบ้านตัวเองและกฎหมายนานาชาติอย่างชัดเจน" เรนวอเทอร์วิจารณ์อีกว่าการโจมตีในครั้งนี้ทำอันตรายให้กับกองทัพสหรัฐฯ ในภูมิภาคนั้นเองและเชื้อชวนให้เกิดการยกระดับสถานการณ์จากรัสเซีย อิหร่าน และซีเรีย
 
เรื่องนี้ทำให้ตัวแทนจากกลุ่มสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (ACLU) ร่วมประณามว่าการกระทำของทรัมป์ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ เอง ฮีนา ชัมซี ประธานโครงการความมั่นคงแห่งชาติของ ACLU กล่าวว่าในกฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ สั่งห้ามไม่ให้มีการใช้กำลังในเชิงปฏิปักษ์โดยไม่มีการอนุมัติจากสภาคองเกรส ขณะที่กหมายนานาชาติสั่งห้ามไม่ให้มีการใช้กำลังเพียงฝ่ายเดียวเว้นแต่จะเป็นการทำไปเพื่อป้องกันตัว แต่ทรัมป์กลับสั่งโจมตีประเทศที่ไม่ได้โจมตีสหรัฐฯ
 
นอกจากนักกิจกรรมแล้ว ส.ส. จากพรรคเดโมแครต บาร์บารา ลี ก็กล่าวประณามเรื่องที่ทรัมป์สั่งโจมตีโดยไม่ได้มีการสนับสนุนหรือการอนุมัติจากสภาคองเกรสเช่นกัน ถือเป็นการแสดงออกหยามหยันรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ลีกล่าวย้ำอีกว่าประเทศของพวกเขาไม่ได้เป็นเผด็จการ จึงเป็นหน้าที่ของรัฐสภาที่ต้องอภิปรายและตัดสินใจอนุมัติปฏิบัติการทางทหารไม่ใช่ตัวประธานาธิบดีเองเป็นผู้สั่งการ การกระทำของทรัมป์ถือเป็นการแสดงออกให้เห็นว่าเขาไม่ใส่ใจประชาชนอเมริกันและไม่ใส่ใจรัฐสภาของตัวเอง รวมถึงไม่สนใจการตรวจสอบหรือความรับผิดชอบใดๆ ต่อสงคราม
 
ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางก็เตือนว่าการตัดสินใจบุ่มบ่ามเป็นอันตรายต่อการทำให้ภูมิภาคนั้นลุกเป็นไฟ เรซา มาราชี ผู้อำนวยการวิจัยของสภาแห่งชาติชาวอิหร่านอเมริกันกล่าวว่า การที่อิหร่านและรัสเซียมีความใกล้ชิดกับรัฐบาลซีเรียการโจมตีจะเพิ่มความเสี่ยงอย่างมากในการโต้ตอบที่ทำให้เกิดการนองเลือดหนักขึ้นส่งผลให้การลดระดับความขัดแย้งทำได้ยาก
 
มาราชีบอกอีกว่าสิ่งที่ทำให้ซีเรียกลายเป็นซากปรักหักพังในตอนนี้เป็นเพราะทุกฝ่ายใช้แต่วิธีการทางทหารแทนวิธีการทางการทูต "การใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟันไม่สามารถนำพาความยุติธรรมหรือสันติภาพต่อซีเรียได้ และไม่มีความน่านับถือทางศีลธรรมให้กับผู้ที่โต้ตอบความรุนแรงท่น่าชิงชังด้วยความรุนแรงมากขึ้น" มาราชีกล่าว
 
ราเอ็ด จาร์ราร์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ประจำภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือขององค์กรแอมเนสตีสหรัฐฯ กล่าวว่า 6 ปีแล้วทีชาวซีเรียต้องเผชิญกับการโจมตีที่สร้างความเสียหายรุนแรงรวมถึงการโจมตีด้วยอาวุธเคมีซึ่งหลายกรณีถือเป็นอาชญากรรมสงคราม
 
 
เรียบเรียงจาก
 
In 'Clear Violation of Domestic and International Law,' Trump Bombs Syria, Common Dreams, 13-04-2018
 
Syria war: What we know about Douma 'chemical attack', BBC, 14-04-2018
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'อภิสิทธิ์' ไม่กังวล ส.ส.ย้ายพรรค ชี้เป็นสิทธิ

Posted: 14 Apr 2018 11:05 PM PDT

'อภิสิทธิ์' ไม่กังวล ส.ส.ย้ายพรรค ชี้เป็นสิทธิเชื่อทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ประชาชน ส่วนกรณี คสช. เชิญนักการเมืองหรือพรรคการเมืองเข้าหารือนั้น พรรคประชาธิปัตย์ยินดีให้ความร่วมมือ ไม่ห่วงคนออกมาชุมนุมทำเลือกตั้งเลื่อน ด้าน 'นิกร' จี้ คสช.คลี่คลายปัญหายืนยัน-จ่ายค่าสมาชิกพรรค ลั่นพร้อมร่วมประชุม มิ.ย.นี้ แต่จะไม่พกความหวังไปมาก

 
15 เม.ย. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เผยถึงกระแสข่าวการย้ายพรรคของอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคประชาธิปัตย์ว่า เบื้องต้นยังไม่มีอดีต ส.ส.คนใดขอย้ายพรรค ซึ่งทุกคนได้มายืนยันการเป็นสมาชิกพรรคตามปกติ โดยตนอยากให้คนของพรรคฯ ร่วมทำงานกันต่อได้ แต่หากมีบุคคลใดต้องการจะย้ายพรรคนก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ ถือเป็นธรรมดาที่หากมีการเลือกตั้งแล้วจะมีทั้งคนที่ย้ายเข้าและออก ซึ่งส่วนตัวไม่กังวลว่าจะเสีย ส.ส.หรือไม่เพราะประชาชนเป็นผู้เลือก แต่ยืนยันพรรคก็ยังคงเดินหน้าต่อ
 
ส่วนกรณีที่คณะรักษาความสงบอแห่งชาติ (คสช.) เตรียมเชิญนักการเมืองหรือพรรคการเมืองเข้าหารือนั้น พรรคประชาธิปัตย์ยินดีให้ความร่วมมือ แต่เชื่อว่าท้ายที่สุดทุกอย่างขึ้นกับ คสช.ที่จะเป็นผู้กำหนด ขณะเดียวกันไม่กังวลว่าผู้ออกมาเคลื่อนไหวเร่งให้มีการเลือกตั้ง จะส่งผลกระทบให้ คสช.เลื่อนการเลือกตั้ง พร้อมขอให้ คสช.เร่งเดินหน้าสร้างความชัดเจนและความแน่นอนของโรดแมป
 
'นิกร' จี้ คสช.คลี่คลายปัญหายืนยัน-จ่ายค่าสมาชิกพรรค ลั่นพร้อมร่วมประชุม มิ.ย.นี้ แต่จะไม่พกความหวังไปมาก
 
ด้าน มติชนออนไลน์ รายงานว่านายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงปัญหาที่ประสบในการดำเนินการรับยืนยันการเป็นสมาชิกพรรคและชำระค่าบำรุงสมาชิกของสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนาที่กำหนดภายในวันที่ 30 เม.ย. นี้ว่าขณะนี้ทุกพรรคการเมืองบปัญหาเหมือนกันหมด ดังนั้นโดยภาพรวมแล้วเชื่อว่าน่าจะทำกันได้ไม่มาก เนื่องจากประสบปัญหาเรื่องระยะเวลา ที่อยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผู้คนมีการเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม การจะโอนค่าบำรุงสมาชิกธนาคารก็หยุดยาวหลายวัน การส่งจดหมายตอบกลับทางไปรษณีย์ ก็ประสบปัญหาเพราะระบบไปรษณีย์ที่เขาหยุดหลายวัน แล้วอาจเกิดจดหมายสะสม ก็จะเป็นปัญหาอีก
 
"ที่ยังหวังอยู่บ้างตอนนี้ก็คือคสช.เคย รับเรื่องจากพรรคการเมืองไปแล้วว่าจากคลี่คลายแต่จะคลี่คลายได้อย่างไรเมื่อไหร่ เวลากระชั้นเข้ามาทุกทีแล้วแต่เหลือเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ คงจะทำอะไรไม่ได้มาก และที่น่าเป็นห่วงคือพรรคการเมืองใหญ่ที่มีสมาชิกพรรคจำนวนมากๆ ขนาดพรรคชาติไทยพัฒนามีเท่านี้เรายังลำบากอยู่เลย ตามกำหนดให้ยืนยันภายในวันที่ 30 เม.ย. นี้ จึงถือเป็นเดทล็อคไปเสียแล้ว งาไหม้ไปแล้ว ถั่วจะรอสุกก็ไม่มีประโยชน์ มาถึงตอนนี้เราเอง ก็ไม่กล้าแนะอะไรให้ คสช.แล้ว เพราะแนะไปแล้วตั้งแต่ต้นที่เริ่มออกคำสั่งมาใหม่ๆ แนะหลายหนแล้ว ก็ได้แต่บอกว่าปัญหาเป็นอย่างนี้เกิดขึ้นกับพรรคเก่าทุกพรรคการเมืองเดี๋ยว คสช.เองก็จะถูกกล่าวหาว่ากลั่นแกล้งพรรคการเมืองเก่าไปเสียเปล่าๆ เพราะถ้าตัวเลขออกมา แล้วมันฟ้อง บุคคลที่เป็นสมาชิกพรรคอยู่เดิมก็ไม่รู้ว่าเขาจะโกรธหรือไม่โกรธจะทำให้เสียรังวัดกันไปเสียเปล่าๆ เรื่องนี้มีปัญหาในเชิงระบบมาก ประชาชนเขากลับภูมิลำเนา ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการเมืองมากกว่าเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของเขาหรอก ดังนั้นจะไปโทษประชาชนไม่ได้แต่เป็นปัญหาของระบบการเมืองเอง" นายนิกรกล่าว
 
นายนิกร กล่าวว่า สำหรับกรณีที่คสช. และรัฐบาล เตรียมให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เชิญพรรคการเมืองเข้าหารือเรื่องการเลือกตั้งในช่วงเดือน มิ.ย. นี้หรืออาจจะเร็วกว่านั้น หากเชิญมาพรรคชาติไทยพัฒนาก็จะไปร่วมอย่างแน่นอน เพราะถ้าไม่เข้าถ้ำเสือแล้วจะไปรู้หรือว่าอะไรเป็นอะไร ที่ผ่านมาเมื่อเชิญมาพรรคชาติไทยพัฒนาก็ไปทุกครั้ง เช่น เรื่องการปฏิรูป หรือ ประชุม ป.ย.ป. แต่เราคงไม่พกความหวังอะไรไปมาก เพราะจะได้ไม่ต้องผิดหวังมาก

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สงกรานต์ 4 วัน ตาย 248 ราย

Posted: 14 Apr 2018 09:27 PM PDT

สถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 14 เม.ย.นี้ ซึ่งเป็นวันที่ 4 ของการรณรงค์ "ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร" เกิดอุบัติเหตุรวม 603 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 57 ราย ผู้บาดเจ็บ 626 คน ซึ่งสาเหตุเกิดอุบัติเหตุสูงสุด ยังคงเป็นการดื่มแล้วขับ 43.62% และขับรถเร็ว 25.70% คสช. เผยมาตรการดื่มไม่ขับ 4 วัน ยึดรถแล้ว 7,067 คัน
 
15 เม.ย. 2561 เว็บไซต์คมชัดลึก รายงานว่านพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้สรุปผลการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2561 ถึงสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 14 เม.ย.นี้ ซึ่งเป็นวันที่ 4 ของการรณรงค์ "ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร" เกิดอุบัติเหตุรวม 603 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 57 ราย ผู้บาดเจ็บ 626 คน ซึ่งสาเหตุเกิดอุบัติเหตุสูงสุด ยังคงเป็นการดื่มแล้วขับ 43.62% และขับรถเร็ว 25.70% 
 
ส่วนยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ยังคงเป็นรถจักรยานยนต์ 79.58%  ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ขณะที่ช่วงเทศกาลมีเรียกตรวจยานพาหนะ 858,520 คัน พบผู้ถูกดำเนินคดี รวม 181,692 ราย ประกอบด้วยไม่สวมหมวกนิรภัย 50,603 ราย , ไม่มีใบขับขี่ 48,061 ราย โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดขณะนี้ยังเป็นเชียงใหม่ 34 ครั้งและก็เป็นจังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุดด้วย 39 คน โดยโคราช เป็นจังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด 9 ราย ขยับจากเมื่อวานนี้ (13 เม.ย.) ที่มี 8 ราย
 
ขณะที่อุบัติเหตุทางถนน สะสม 4 วันตั้งแต่ 11 – 14 เม.ย.นี้ เกิดอุบัติเหตุทั้งสิ้น 2,449 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 248 ราย ผู้บาดเจ็บ 2,557 คน ซึ่งจังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตคือตายเป็นศูนย์นั้นเดิมวันที่ 13 เม.ย.มี 11 จังหวัด ล่าสุดขณะนี้เหลือเพียง 8 จังหวัดคือ ยะลา,ระนอง,ลพบุรี,สตูล,สมุทรสงคราม,หนองคาย,หนองบัวลำภู,อ่างทอง โดยเชียงใหม่ ยังมีสถิติเกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด 99 ครั้งและมีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุดด้วย 109 คน ส่วนโคราชมีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด 17 ราย
 
นพ.โอภาส ระบุด้วยว่า ศปถ.ได้กำชับให้จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เน้นการเรียกตรวจของด่านชุมชนกวดขันพฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ ทั้งดื่มแล้วขับ,ขับรถเร็ว,ไม่สวมหมวกนิรภัย รวมถึงการเล่นน้ำสงกรานต์ท้ายกระบะที่อาจก่อให้เกิดอันตราย โดยก.สาธารณสุข ได้กำชับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เตรียมพร้อมช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุ ด้วยการจัดเตรียมบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครกู้ชีพกู้ภัย รวมถึงยานพาหนะให้พร้อมเข้าถึงจุดเกิดเหตุทันที ซึ่งหากประชาชนพบเห็นหรือประสบอุบัติเหตุ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1669 อย่างไรก็ขอความร่วมมือผู้ใช้รถ ใช้ถนนอำนวยความสะดวกแก่รถพยาบาลและรถฉุกเฉิน เพื่อให้ จนท.เข้าถึงจุดเกิดเหตุและนำส่งผู้ประสบเหตุได้อย่างรวดเร็วซึ่งจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตด้วย
 
ด้านนายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าถึงการตรียมความพร้อมดูแลความปลอดภัยด้วยว่า คาดว่าในวันพรุ่งนี้ (16 เม.ย.) ประชาชนจะเดินทางกลับเป็นจำนวนมาก ศปถ.จึงได้สั่งการให้จังหวัดเตรียมพร้อมดูแลความปลอดภัยและอำนวยการจราจรบนเส้นทางสายหลัก พร้อมจัดเตรียมจุดบริการ จุดพักรถ และการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะให้เพียงพอ เพื่อรองรับการเดินทางกลับของประชาชน
 
โดยนายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เลขานุการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) กล่าวเตือนด้วยว่า จากการตรวจสอบสภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ในช่วงวันที่ 15 – 18 เม.ย. พื้นที่ทั่วประเทศอาจเกิดพายุฤดูร้อน ในลักษณะฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง ซึ่งสภาพถนนที่เปียกลื่น และทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ไม่ดี จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนน จึงขอฝากเตือนผู้ใช้รถใช้ถนนเพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางเป็นพิเศษ เพื่อความปลอดภัย ให้ยึดการปฏิบัติตามหลัก "4 ห้าม 2 ต้อง" ได้แก่ห้ามขับรถเร็ว,ห้ามเมาแล้วขับ,ห้ามโทรแล้วขับ,ง่วงห้ามขับ และต้องสวมหมวกกันน็อก , ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย เพื่อให้การเดินทางเป็นไปด้วยความปลอดภัย  
 
คสช. เผยมาตรการดื่มไม่ขับ 4 วัน ยึดรถแล้ว 7,067 คัน
 
สำนักข่าวไทย ยังรายงานว่าพ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวว่าตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศแจ้งเตือนพายุฤดูร้อนระหว่างวันที่ 15-18 เมษายนนี้ ซึ่งจะทำให้ทุกภาคของประเทศได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวน คสช.จึงกำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกส่วนเตรียมพร้อมรับมือในการเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชน และดูแลเส้นทางให้สัญจรได้ปลอดภัย  และขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังสุขภาพ หลีกเลี่ยงการเล่นน้ำในสภาพอากาศที่ร้อนเป็นเวลานานด้วย
 
ส่วนการบังคับใช้กฎหมายตามมาตรการ "ดื่มไม่ขับ จับยึดรถ" ของคสช.นั้น  ขณะนี้ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง  โดย 4 วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สามารถยึดรถแล้ว  7,067 คัน แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์ 5,019 คัน และรถยนต์ 2,048 คัน ยึดใบอนุญาตขับขี่ 16,588 ราย และดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในส่วนรถจักรยานยนต์ 82,589 คน รถโดยสารสาธารณะและรถยนต์ส่วนบุคล 47,327 คน
 
"วันที่ 14 เมษายน เจ้าหน้าที่พบการกระทำความผิดในส่วนของรถจักรยานยนต์ 53,542  ครั้ง จำเป็นต้องยึดรถไว้ 3,148 คัน ยึดใบอนุญาตขับขี่  3,862 ราย  สำหรับรถโดยสารสาธารณะและรถยนต์ส่วนบุคคล พบการกระทำความผิด 37,429  ครั้ง เจ้าหน้าที่ยึดรถยนต์ 928  คัน ยึดใบอนุญาตขับขี่ไว้  3,413 ราย"พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าว

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 9-15 เม.ย. 2561

Posted: 14 Apr 2018 09:13 PM PDT

สธ. ให้นำแรงงานต่างด้าวขึ้นทะเบียนออนไลน์ตรวจสุขภาพ 30 มิ.ย. 2561

นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลในการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวเมียนมา กัมพูชาและลาว สธ.ดูแลทางการแพทย์และสาธารณสุขแก่แรงงานต่างด้าวที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม เพื่อให้แรงงานต่างด้าวมีหลักประกันสุขภาพ จึงร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (One Stop Service) ตั้งแต่ 5 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2561 ตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวแล้ว 909,448 คน และขึ้นทะเบียนออนไลน์อีกประมาณ 190,056 คน จากที่คาดการณ์ว่ามีแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติในไทย 1.1 ล้านคน

นพ.เจษฎากล่าวว่า ขอให้นายจ้างนำแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนออนไลน์ไว้แล้วมารับการตรวจสุขภาพ ภายใน 30 มิถุนายน 2561 ที่โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในจังหวัดที่ตั้งสถานประกอบการ ส่วนในกทม. ตรวจได้ที่โรงพยาบาลรัฐ 12 แห่ง เพื่อให้แรงงานต่างด้าวมีหลักประกันสุขภาพ ได้รับการตรวจคัดกรองโรคติดต่อที่เป็นอันตราย และรับการรักษา ทั้งนี้ หากตรวจพบโรคต้องห้ามในการทำงาน อาทิ โรคซิฟิลิสระยะที่ 3 วัณโรคระยะแพร่เชื้อ ติดสารเสพติด จิตฟั่นเฟือน จะประสานกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ให้ส่งกลับประเทศ

ที่มา: สปริงนิวส์, 14/4/2561

ไตรมาส 1 ผู้ประกันตนโทรสอบถามศูนย์บริการข้อมูลประกันสังคม 1506 กว่า 7.4 แสนครั้ง

นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน กล่าวว่าการดำเนินงานการให้บริการศูนย์บริการข้อมูลทางโทรศัพท์ 1506 ช่วงไตรมาสแรกปี 2561 (ม.ค. – มี.ค.) ที่ผ่านมา มีจำนวนลูกจ้าง ผู้ประกันตน โทรสอบถามข้อมูลสูงถึง 741,848 คู่สาย โดย 5 ลำดับแรกที่มีผู้สอบถามข้อมูลสูงสุด ได้แก่

1. ตรวจสอบสิทธิของตนเอง จำนวน 331,526 เรื่อง
2. สิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคม จำนวน 234,838 เรื่อง
3. การสมัครและการส่งเงินสมทบผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวน 90,784 เรื่อง
4. การเลือกสถานพยาบาล/การเปลี่ยนสถานพยาบาล จำนวน 49,007 เรื่อง
5. มาตรา 40 สำหรับผู้ที่เป็นผู้ประกันตน จำนวน 25,869 เรื่อง

ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมได้จัดเจ้าหน้าที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อคอยให้คำปรึกษาและบริการข้อสอบถาม ผ่านทางโทรศัพท์พูดคุยกับเจ้าหน้าที่โดยตรง ซึ่งในกรณีผู้ประกันตนเจ็บป่วยฉุกเฉิน หรือประสบอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางในช่วงเทศกาลวันหยุดดังกล่าว ลูกจ้าง ผู้ประกันตน สามารถเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ที่อยู่ใกล้ที่สุดได้ทันที โดยสำนักงานประกันสังคมจะพิจารณาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ภายใน 72 ชั่วโมง ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่กำหนด

เลขาธิการ สปส.กล่าวอีกว่า จากผลสำรวจความพึงพอใจการให้บริการ ผู้ประกันตนพอใจการให้บริการร้อยละ 90 ส่วนใหญ่ผู้ประกันตนสอบถามตรวจสอบสิทธิตนเองมากที่สุด โดยไตรมาสแรกปี 2561 (ม.ค. – มี.ค.) มีผู้สอบถามข้อมูลแล้วจำนวน 741,848 ครั้ง

ที่มา: ไอเอ็นเอ็น, 12/4/2561

องค์กรลูกจ้างจ่อชงรัฐ 5 ข้อ ยกเครื่อง 'ระบบแรงงาน' ลั่นไม่ทำส่งต่อพรรคการเมือง

นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย (สพท.) เปิดเผยว่า วันแรงงานแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี ถือว่าเป็นวันสำคัญของผู้ใช้แรงงาน และปีนี้หลังเสร็จสิ้นเทศกาลสงกรานต์ สพท.เตรียมจะเสนอนโยบายด้านแรงงานต่อรัฐบาล เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม แต่หากยังไม่เป็นผลจะนำข้อเสนอเดียวกันนี้เสนอต่อพรรคการเมืองให้จัดทำเป็นนโยบายหากได้รับเลือกตั้งต่อไป

นายมนัส กล่าวว่าสำหรับข้อเสนอ คือ 1.ต้องปฏิรูประบบประกันสังคม เป็นประกันสังคมแบบถ้วนหน้าที่ครอบคลุมคนทำงาน และคนที่มีรายได้อายุ 15 ปีขึ้นไป มีหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการและประกาศเป็นวาระแห่งชาติ โดยปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคมที่มีอยู่แล้วให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อให้คนทำงานและคนที่มีรายได้จำนวนประมาณ 45 ล้านคน มีหลักประกันทางสังคม ทั้งในระหว่างทำงานและเมื่อเกษียณอายุจากการทำงาน สร้างเสริมการมีส่วนร่วม และส่งเสริมการออมเพื่อลดภาระการคลังของประเทศทั้งปัจจุบันและอนาคตที่จะเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในปี 2563 ที่คาดว่าจะมีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นร้อยละ 20 นอกจากนี้ ให้มีการบริหารจัดการกองทุนประกันสังคมที่เป็นอิสระจากการถูกแทรกแซงจากการเมืองและภาครัฐ มีส่วนร่วม โปร่งใส ตรวจสอบได้

2.รัฐต้องจัดให้มีการส่งเสริมด้านแรงงานสัมพันธ์ทุกมิติ เพื่อเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจแรงงาน และทุกๆ ด้านที่เกี่ยวกับการจ้างงานทุกภาคส่วน เพื่อลดความขัดแย้งด้านแรงงาน และเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง และลูกจ้างด้วยกัน ส่งเสริมให้มีการรวมตัวจัดตั้งองค์กรของแรงงานเพื่อการเรียนรู้และพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันทุกภาคี เพื่อให้เกิดมิติใหม่ในการจ้างงาน เพิ่มทักษะฝีมือแรงงานให้สอดคล้องและรองรับอุตสาหกรรมในยุค 4.0

3.จัดตั้งกองทุนประกันความมั่นคงในการทำงาน เช่น ว่างงาน สนับสนุนสถานประกอบการ พัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน ชดเชยจากการเลิกจ้าง เป็นต้น โดยออกเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบรวมกองทุนใหม่ ซึ่งมีกองทุนเดิมอยู่แล้ว คือ กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง กองทุนคุ้มครองคนหางาน และกองทุนประกันสังคม เฉพาะกรณีว่างงาน ทั้งนี้ เพื่อลดอัตราการว่างงานและชะลอการเลิกจ้าง

"ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มทักษะฝีมือแรงงาน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของแรงงานและสถานประกอบการ อีกทั้งเพื่อให้เกิดระบบการบริหารจัดการแบบบูรณการในเรื่องงบประมาณและกลไกการบริหารจัดการ และแรงงานมีหลักประกันในเรื่องค่าชดเชยและความเสี่ยงจากการถูกเลิกจ้าง การปิดกิจการของสถานประกอบการ" นายมนัส กล่าว

นายมนัส กล่าวว่า 4.บูรณการกองทุนสุขภาพ 3 กองทุน คือ กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกองทุนประกันสังคม ให้ระบบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคพื้นฐานอยู่มาตรฐานเดียวกันและเข้าถึงสิทธิเท่าเทียมกัน และ 5.ค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นไปตามกลไกของสภาวะเศรษฐกิจ และเป็นค่าจ้างแรกเข้าให้มีโครงสร้างปรับค่าจ้างประจำตามประเภทกิจการ สาขาอาชีพ และทักษะฝีมือแรงงาน

ที่มา: มติชน, 11/4/2561

คปภ.หนุนนายจ้าง ประกันอุบัติเหตุแรงงานต่างด้าว

เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. สุทธิพล ทวีชัยการ ระบุหลังช่วงสงกรานต์ คปภ.มีแผนจัดทำความร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน เพื่อรณรงค์ให้นายจ้างทำประกันภัยอุบัติเหตุให้กับลูกจ้าง โดยเฉพาะลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างด้าว

ส่วนกรณีอุบัติเหตุรถโดยสารแรงงานต่างด้าวที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตากนั้น แรงงานต่างด้าวที่ประสบเหตุจะได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ. รถยนต์ คือ ประกันรถยนต์ภาคบังคับ และประกันอุบัติเหตุหรือประกันชีวิตที่นายจ้างซื้อให้แรงงานต่างด้าว โดยได้รับสินไหมทดแทนเท่าเทียมกับคนไทย โดยประกัน พ.ร.บ.จะได้รับ 3 แสนบาท กรณีเสียชีวิต และ 8 หมื่นบาทกรณีได้รับบาดเจ็บ โดยจะเยียวยาให้เร็วที่สุด

ที่มา: Nation TV, 11/4/2561

"Labour Voices by LPN" แนวทางความร่วมมือเอกชน-NGO จัดการแรงงานที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน

มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) เดินหน้าอบรมสร้างเสริมความรู้ด้านสิทธิแรงงานแก่แรงงานในโรงงานแปรรูปอาหารของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ย้ำ ศูนย์รับเรื่องพนักงาน "Labour Voices by LPN" ช่วยให้แรงงานทุกคนมีความเข้าใจเรื่องสิทธิแรงงาน  และเชื่อมั่นในการสื่อสารกับบริษัทมากขึ้น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเป็นการขยายเครือข่ายจัดการปัญหาแรงงานที่มีประสิทธิภาพ

นายสมพงค์ สระแก้ว ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) กล่าวว่า การรับฟังเสียงพนักงานผ่านองค์กรที่เป็นกลาง กำลังเป็นประเด็นที่ผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสนใจอย่างมาก เป็นระบบการสื่อสารระหว่างนายจ้างและลูกจ้างที่โปร่งใส และสร้างความเป็นธรรมแก่กลุ่มแรงงาน มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตเศรษฐกิจไทยที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารรายใหญ่ของโลก ทั้งนี้  มูลนิธิฯ ได้ร่วมมือกับ ซีพีเอฟ เพื่อแบ่งปันความชำนาญและเครือข่ายในการบริหารจัดการแรงงานในห่วงโซ่การผลิตอาหารของไทยเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ความโปร่งใส เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยการเปิดช่องทางรับฟังเสียงพนักงาน "Labour Voices by LPN" ตั้งแต่ปลายปี 2560 และจากการติดตามประเมินผลพบว่าพนักงานซีพีเอฟ โดยเฉพาะแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านมีความพึงพอใจและสะดวกใจที่จะพูดคุยสื่อสารอย่างเป็นอิสระ  พร้อมได้รับคำแนะนำอย่างเป็นระบบจากหน่วยงานที่เป็นกลางไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท ช่วยให้แรงงานเป็นเครือข่ายในการป้องกันปัญหาแรงงานได้อย่างเข็มแข็ง

"ต้นแบบของความร่วมมือระหว่างองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) และภาคเอกชน ในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของแรงงานไทยและต่างชาติ  สร้างการแข่งขันของการผลิตอาหารของไทย ควบคู่ช่วยป้องกันปัญหาด้านแรงงานในภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืน" นายสมพงค์ กล่าว

มูลนิธิ LPN นำประสบการณ์และความชำนาญในการให้คำปรึกษาและช่วยเหลือปัญหาด้านแรงงานต่างชาติที่มูลนิธิดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2548 มาช่วยสนับสนุนการดูแลและการปฎิบัติต่อแรงงานของ ซีพีเอฟ ที่มีแรงงานต่างชาติทำงานอยู่ในภาคการผลิตกว่า 10,000 คน ซึ่งเป็นประโยชน์แก่องค์กรในการจัดการปัญหาและป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับพนักงานของบริษัท รวมถึงหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง นำไปสู่การบริหารจัดการแรงงานของประเทศที่ยั่งยืน

นายสมพงค์ กล่าวต่ออีกว่า "Labour Voices by LPN" เป็นช่องทางการสื่อสารที่เป็นอิสระจากนายจ้าง ที่ไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจได้รับรู้ประเด็นปัญหาและข้อกังวลของแรงงานเพื่อให้มีการแก้ไขและปรับปรุงการดูแลแรงงานได้อย่างเหมาะสมและเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ขณะเดียวกัน นับเป็นการพัฒนาศักยภาพบุคลากรของภูมิภาคอาเซียน สร้างผลบวกต่อประสิทธิภาพการผลิต และช่วยขยายเครือข่ายในการช่วยจัดการและป้องกันปัญหาแรงงานภายในองค์กรและสังคมเป็นอย่างรูปธรรมมากอีกทางหนึ่ง นับตั้งแต่การเปิดช่องทางรับฟังเสียงพนักงาน มูลนิธิ LPN ยังได้เดินสายให้ความรู้ส่งเสริมเรื่องสิทธิแรงงานแก่พนักงานของซีพีเอฟในโรงงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

นายวรรณะ เมย์ ชาวกัมพูชา รับผิดชอบเป็นล่ามกัมพูชาของโรงงานแปรรูปไก่นครราชสีมา หนึ่งในสถานประกอบการของซีพีเอฟ ที่มีการจัดจ้างแรงงานกัมพูชาประมาณ 4,000 คน กล่าวว่า แรงงานทุกคนรับรู้ช่องทาง "Labour Voices by LPN" มีเจ้าหน้าที่ LPN ที่พูดภาษากัมพูชาและเมียนมาได้ คอยรับฟังการแจ้งเรื่องราวกัมพูชา     ทุกคนดีใจสามารถพูดคุยสื่อสารกับคนที่เป็นภาษาเดียวกันได้ ช่วยให้ทุกคนได้รับรู้และเข้าใจถึงสถานการณ์แรงงานในประเทศไทยและในอาเซียนมากขึ้น และนำความรู้ไปสื่อสารกับคนรู้จักหรือเพื่อนบ้านที่ต้องการเข้ามาทำงานในประเทศไทย ได้ระมัดระวังการถูกหลอกลวงมาใช้แรงงานทาส แรงงานผิดกฎหมาย และแรงงานเด็ก รวมถึงยังเป็นหูเป็นตาช่วยให้ภาครัฐเข้าไปให้ความช่วยเหลือและแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที

"Labour Voice by LPN ได้ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้แรงงานต่างชาติได้รับรู้ข่าวสารแรงงานมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้แรงงานเป็นอีกพลังที่จะเข้ามาแก้ไขและป้องกันความเสี่ยงด้านแรงงานในภูมิภาคอาเซียนได้" นายวรรณะกล่าว

ขณะที่ นายซอ มิน ไท พนักงานชาวเมียนมาทำงานที่โรงงานแปรรูปไก่ มีนบุรี ซีพีเอฟ กล่าวว่า แม้ว่าพนักงานซีพีเอฟทุกคนมีความรู้เรื่องสิทธิแรงงานจากการอบรมของบริษัทอยู่แล้ว และมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำตลอดเวลาอยู่แล้ว สำหรับความรู้จากมูลนิธิ LPN ช่วยให้เพื่อนพนักงานที่โรงงานเข้าใจเรื่องสิทธิแรงงานมากยิ่งขึ้น และทำให้มั่นใจว่าบริษัทได้ดำเนินการเกี่ยวกับแรงงานอย่างโปร่งใส

เช่นเดียวกับ นางสาวตาน ตาน มน พนักงานชาวเมียนมา ที่อยู่โรงงานแปรรูปไก่ มีนบุรี กล่าวว่า ดีใจที่บริษัทให้ความสำคัญกับพนักงานทุกเชื้อชาติอย่างเท่าเทียมกัน ศูนย์ Labour Voice by LPN ช่วยให้แรงงานซีพีเอฟได้มีความมั่นใจในรับทราบข่าวสารและได้สื่อสารในสิ่งที่ตนเองคิดและต้องการแนะนำให้บริษัทนำไปพัฒนาเพื่อสิ่งที่ดีกับเพื่อนพนักงานทุกคน

นางสาว ตาน ตาน ยังบอกต่ออีกว่า เพื่อนพนักงานทุกคนบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของศูนย์ Labour Voice by LPN ไว้กับตัวเพื่อใช้คุยปรึกษาเรื่องต่างๆ และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือและแนะนำเพื่อนแรงงานเมียนมาที่ทำงานในประเทศไทยได้รับการปฏิบัติอย่างถูกต้องตามหลักสิทธิมนุษยชนเช่นเดียวกัน

ที่มา: บางกอกทูเดย์, 11/4/2561

รองนายกฯแจงให้ข้าราชการเกษียณ 63 ปี ยังไม่มีผล เป็นแค่ประกาศแผนปฏิรูป ยังต้องศึกษา

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่แผนการปฏิรูปประเทศกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาถึงการยืดการเกษียณอายุราชการจาก 60 ปีเป็น 63 ปี ว่า ยังไม่มีผลบังคับใช้ว่าข้าราชการจะต้องเกษียณอายุราชการในอายุ 63 ปี เพราะเป็นเพียงการประกาศแผนการปฏิรูปประเทศ โดยเมื่อประกาศใช้แล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องไปศึกษาถึงความเป็นไปได้ แต่ไม่มีกำหนดเวลาว่าจะต้องใช้เวลาศึกษานานเพียงใด และกรอบเวลาที่กำหนดในแผนปฏิรูปก็สามารถพิจารณาทบทวนได้ ซึ่งการศึกษานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงและยืดหยุ่นได้ โดยในแผนการปฏิรูป มุ่งเน้นให้พิจารณาในตำแหน่งที่มีความสำคัญก่อน

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 10/4/2561

บัสขนแรงงานแหกโค้งดอยรวก ตาย 8 เจ็บ 30

(10 เม.ย. 2561) เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา เกิดอุบัติเหตุรถทัวร์โดยสารแบบไม่ประจำทาง 2 ชั้น ทะเบียน 33-5488 กทม. นำแรงงานชาวเมียนมาเดินทางมาจากอ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อไปต่อหนังสือเดินทางมุ่งหน้า อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา เกิดเสียหลักตกข้างทางบนถนนสายแม่สอด-ตาก ที่กิโลเมตรที่ 68 ช่วงทางลงดอยรวก ต.แม่ท้อ อ.เมือง จ.ตาก  เบื้องต้นมีรายงานว่า มีผู้บาดเจ็บ 30  คนและเสียชีวิต 8 ราย  สาเหตุอยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ที่มา: สปริงนิวส์, 10/4/2561

ก.ท่องเที่ยวพร้อมจ้างงาน ดูแลคุณภาพชีวิตคนพิการ ตามนโยบายรัฐบาล

ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เผยส่งเสริมการจ้างงานคนพิการอย่างเท่าเทียม ภาครัฐและเอกชนมีส่วนร่วมดูแลคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยเฉพาะเรื่องการจ้างงานให้คนพิการมีโอกาสประกอบอาชีพสร้างรายได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกับคนอื่นไม่ถูกเลือกปฏิบัติ

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จากนโยบายดังกล่าว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีอัตราส่วนในการรับคนพิการเข้าทำงานได้ 37 อัตรา ซึ่งปัจจุบันมีคนพิการทำงานในกระทรวงฯ 9 คน ต้องสรรหาเพิ่มอีก 28 คน ทั้งนี้ กระทรวงฯ มีการจัดสรรอัตราการจ้างงานเพิ่มทั้งในส่วนกลางและหน่วยงานในสังกัด ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตำแหน่งจ้างเหมา 3 อัตรา กรมพลศึกษา ตำแหน่งพนักงานราชการ 1 อัตรา และให้สัมปทานพื้นที่ค้าขาย 1 อัตรา รวมเป็น 2 อัตรา กรมการท่องเที่ยว ตำแหน่งลูกจ้างเหมา 1 อัตรา สถาบันการพลศึกษา ตำแหน่งลูกจ้างเหมา 10 อัตรา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตำแหน่งพนักงานรัฐวิสาหกิจ 9 อัตรา และการกีฬาแห่งประเทศไทย ตำแหน่งพนักงานรัฐวิสาหกิจ 3 อัตรา

"หวังเป็นอย่างยิ่งว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมดูแลคุณภาพชีวิตของคนพิการ เป็นส่วนหนึ่งในการให้โอกาสสามารถประกอบอาชีพ สามารถสร้างรายได้ด้วยตนเอง ไม่เป็นภาระของครอบครัวและสังคมต่อไป" นายพงษ์ภาณุ กล่าว

ทั้งนี้ผู้พิการที่กำลังมองหางานสามารถดูข้อมูลที่ กองการเจ้าหน้าที่ สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถ.ราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ โทร 0 2356 0693 หรือ www.mots.go.th และหากต้องการร้องเรียนหรือขอความช่วยเหลือเรื่องการจ้างงานสามารถติดต่อศูนย์บริการคนพิการ โทร. 0 2354 4542 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 10/4/2561

กพร. กระทรวงแรงงาน ติวเข้ม-ทดสอบผู้ต้องขัง รับค่าจ้างตามทักษะ พลิกชีวิตเป็นคนดีให้สังคม

นายสุทธิ สุโกศล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่าจากการที่กพร. ได้ลงนามความร่วมมือ (MOU) กับกรมการจัดหางาน กรมราชทัณฑ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ตาม"โครงการประชารัฐ ร่วมสร้างงาน สร้างอาชีพผู้ต้องขัง"จำนวนกว่า 37,000 คนนั้น พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้กำชับให้กพร. เร่งประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงานในการร่วมมือกันแนวประชารัฐให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการสร้างโอกาสและคุณภาพที่ดีให้แก่ผู้ต้องขัง โดยผ่านกระบวนการฝึกอบรมวิชาชีพ จริยธรรม ให้โอกาสกับผู้เคยกระทำผิดปรับปรุงตนเอง เปลี่ยนภาระให้เป็นพลัง ย้ำอีกว่าต้องการให้มีการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานให้แก่ผู้ต้องขังด้วย เพื่อวัดระดับทักษะฝีมือ แก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง และที่สำคัญเป็นการสร้างชีวิตใหม่หลังพ้นโทษ นอกจากนี้ยังให้เร่งจัดทำโครงการโรงงานในเรือนจำเพิ่มขึ้น เพิ่มช่องทางในการมีงานทำ ได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรมสอดคล้องกับทักษะฝีมือ จะสูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำอัตราใหม่ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมาจึงมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน (สพร.) และสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน (สนพ.) ทั่วประเทศ ประสานความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ จัดฝึกอบรมและทดสอบฯ ในเรือนจำและทัณฑสถานในจังหวัดต่างๆ

นายเสริมสกุล พจนการุณ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานพะเยา กล่าวต่อไปว่าเมื่อเร็วๆ นี้สนพ.พะเยาใช้แนวทางประชารัฐร่วมกับ เรือนจำจังหวัดพะเยา เปิดการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาช่างไม้ก่อสร้าง ระดับ 1 ให้กับผู้ต้องขังที่ใกล้พ้นโทษ ซึ่งเคยผ่านการฝึกอบรมในสาขาดังกล่าว จำนวน 45 คน โดยทุกคนมีความตั้งใจเป็นอย่างมากในการทดสอบฯ เพราะเป็นสาขาที่ได้รับการประกาศค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ หากผ่านการทดสอบฯ ระดับ 1 ได้รับค่าจ้างวันละ 385 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำของจังหวัดพะเยาที่กำหนดไว้เพียง 315 บาทเท่านั้น ส่วนระดับ 2 วันละ 469 บาท และระดับ 3 วันละ 605 บาท

"โดยสนพ.พะเยาจะส่งรายชื่อผู้ผ่านทดสอบฯ ให้กับสำนักงานจัดหางานจังหวัดพะเยา หอการค้าจังหวัดพะเยา และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดพะเยา เพื่อช่วยจับคู่แรงงานกับสถานประกอบการกิจการที่มีความต้องการจะจ้างช่างไม้ก่อสร้างที่ฝีมือดี มีมาตรฐานเข้าทำงานด้วย อันจะเป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งฝ่ายนายจ้าง จะได้รับผลงานที่ดี มีมาตรฐาน ช่วยลดอัตราความเสียหาย อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุ และการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ภาคก่อสร้างเน้นความปลอดภัยเป็นอย่างมาก ขณะที่ผู้ต้องขังที่พ้นโทษ จะได้รับการจ้างงาน มีงานทำ ได้รับค่าจ้างที่สูงกว่าแรงงานทั่วไป จึงมีโอกาสเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ดีขึ้น เกิดความมั่นคงในชีวิต มีโอกาสกลับตัวกลับใจ เป็นคนดีของสังคม และจังหวัดพะเยาทดแทนต่อไป" ผู้อำนวยการสนพ.พะเยา กล่าว

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 10/4/2561

กำชับพนักงานตรวจแรงงานประจำศูนย์ PIPO 22 จังหวัดชายฝั่งทะเล ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติการตรวจแรงงานอย่างเคร่งครัด

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานได้จัดส่งพนักงานตรวจแรงงานไปประจำ ณ ศูนย์การแจ้งเรือเข้าออก (Port in – Port out) หรือ PIPO ซึ่งตั้งอยู่ใน 22 จังหวัดชายฝั่งทะเล รวม 85 ศูนย์ ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานในกิจการประมงทะเล ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองแรงงานให้ได้รับสิทธิตามกฎหมายและเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน รวมไปถึงให้พนักงานตรวจแรงงานที่ประจำศูนย์ PIPO ทั้ง 85 ศูนย์

สามารถปฏิบัติงานได้ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงได้กำชับให้ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติการตรวจแรงงานในกิจการประมงทะเล และต่อเนื่องประมงอย่างเคร่งครัด โดยมุ่งเน้นประเด็น 3 สำคัญคือ ต้องตรวจเอกสารประจำเรือทุกลำ อาทิ สัญญาจ้าง ทะเบียนลูกจ้าง หลักฐานการจ่ายค่าจ้าง เป็นต้น, การสัมภาษณ์นายจ้าง ลูกจ้าง จะต้องแยกสัมภาษณ์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แท้จริง รวมทั้งตรวจสภาพความเป็นอยู่ในเรือด้วยว่ามีอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล อาหาร น้ำ ยารักษาโรคเพียงพอหรือไม่

นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำให้สังเกตรูปลักษณ์ของแรงงานด้วยหากสงสัยว่าอาจเป็นแรงงานเด็กให้ส่งตรวจมวลกระดูกทันที อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า นอกจากการตรวจคุ้มครองแรงงานแล้ว กสร. ยังได้กำชับให้พนักงานตรวจแรงงานประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายแรงงานให้กับนายจ้าง ลูกจ้างในกิจการประมงทะเลด้วย เพื่อให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้เข้าใจในหลักการที่ถูกต้อง รวมถึงเจตนารมณ์ของกฎหมาย และปฏิบัติตามให้สอดคล้องกับกฎหมาย เป็นเรือประมงที่มีการใช้แรงงานที่ถูกต้อง เพื่อให้ประเทศไทยปลอดปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 9/4/2561

'แบงก์ชาติ' เตือนแรงงาน 3 ล้านคน 'สายการผลิต-คิดเงิน' เสี่ยงสูงตกงาน เหตุนายจ้างหันมาใช้หุ่นยนต์แทน

9 เม.ย. 2561 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ศึกษาถึงผลกระทบการนำหุ่นยนต์มาใช้ในภาคอุตสาหกรรมกับตลาดแรงงานในประเทศไทย ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น จากค่าแรงที่ปรับสูงขึ้น ขณะที่หุ่นยนต์กลับมีราคาถูกลง

โดยที่ผ่านมาพบว่าไทยมีการใช้หุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมแล้ว 5-10 ปี และะมากเป็นอันดับ 10 ของโลกในอุตสาหกรรมรถยนต์ ยางและพลาสติกรวมถึงอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากค่าแรงสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นและเป็นงานต้องใช้ความแม่นยำและมีแนวโน้มจะใช้หุ่นยนต์แทนที่แรงงานมากขึ้นในระยะ2-3ปีข้างหน้าโดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง 3 ล้านคนที่ทำงานในลักษณะซ้ำๆ เช่นสายการผลิต พนักงานคิดเงิน รวมถึงนักศึกษาจบใหม่สายสังคมศาสตร์มีโอกาสตกงานมากขึ้น

นางสาวนันทนิตย์ ทองศรี นักเศรษฐศาสตร์ สายนโนบายการเงิน ธปท.ระบุว่า จากการสอบถามผู้ประกอบการยังไม่มีการเลิกจ้างฉับพลัน เพราะการใช้หุ่นยนต์มีต้นทุนสูงและงานบริการหรือบางประเภทยังต้องใช้ทักษะแรงงานคน แต่ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าอาจเห็นการจ้างงานลดลงเรื่อยๆหรืออัตราการว่างงานสูงขึ้นและแรงงานมีรายได้ลดลง กระทบกำลังซื้อ หากไม่มีการปรับตัวเพิ่มทักษะให้สอดรับกับเทคโนโลยีสมัยใหม่และความต้องการของตลาดแรงงาน

ที่มา: TNN, 9/4/2561

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สื่อด้านไอทีระบุคำสั่ง กสทช. คือต้นเหตุข้อมูลลูกค้าทรูมูฟหลุด มาตรการลงทะเบียนซิมต้องรัดกุมกว่านี้

Posted: 14 Apr 2018 08:07 PM PDT

สื่อด้านไอที 'Blognone' ระบุจากข่าวข้อมูลลูกค้าทรูมูฟเอชหลุดออกสู่อินเทอร์เน็ตจำนวนมาก ชี้คำสั่ง กสทช. คือต้นเหตุ มาตรการลงทะเบียนซิมต้องรัดกุมกว่านี้ เสนอเปลี่ยนมาตรการบังคับลงทะเบียนซิมให้เป็นการลงทะเบียนซิมตามสมัครใจ

<--break- />

15 เม.ย. 2561 เว็บไซต์ Blognone ได้เสนอบทวิเคราะห์ 'คำสั่ง กสทช. คือต้นเหตุข้อมูลลูกค้าทรูมูฟหลุด มาตรการลงทะเบียนซิมต้องรัดกุมกว่านี้' ระบุว่าข่าวข้อมูลลูกค้าทรูมูฟเอชหลุดออกสู่อินเทอร์เน็ตจำนวนมาก และหลังจากนั้นทางทรูมูฟชี้แจงว่าเป็นระบบของ iTrueMart ที่ลูกค้าอัพโหลดภาพบัตรประชาชนเพื่อซื้อโทรศัพท์พร้อมแพคเกจบริการ

แม้คนจำนวนมากจะยังคงตำหนิทรูมูฟเอช ว่าเลินเล่อต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม เราควรตระหนักว่าผู้ใช้ทั้งหมดหลายหมื่นราย "จำเป็น" ต้องอัพโหลดภาพบัตรประชาชนไปยัง iTrueMart เพราะคำสั่งของ กสทช. เพราะตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา กสทช. บังคับให้ผู้ให้บริการต้องลงทะเบียนซิมด้วยบัตรประชาชน แต่ขณะเดียวกัน กสทช. กลับสร้างมาตรการบังคับลงทะเบียนซิมที่หละหลวมเป็นอย่างยิ่ง ที่มอบอำนาจให้ "ผู้ขายซิม" ทุกคนสามารถรับลงทะเบียนได้

มาตรการลงทะเบียนซิมของ กสทช. เปิดทางให้ "ผู้ขายซิม" สามารถเก็บข้อมูลบัตรประชาชนของลูกค้า และไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้ขายซิมรายใหญ่อย่าง iTrueMart เท่านั้น แต่กระจายไปถึงผู้ขายรายย่อยทุกรายในไทย มิหนำซ้ำ กสทช. ถึงกับลงทุน สร้างแอป "2 แชะ" เพื่อให้บริการผู้ขายรายย่อยด้วยตัวเอง อีกด้วย

ความหละหลวมของ กสทช. คือตัวแทนจำหน่ายซิมทั้งรายใหญ่และรายย่อย ไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลใดๆ ของ กสทช. และไม่มีข้อกำหนดว่าตัวแทนเหล่านี้จะต้องรักษาข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าที่มาลงทะเบียนซิมอย่างไรบ้าง เราไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่า กสทช. จะสามารถบังคับให้ผู้ขายซิมรายย่อย "ลบ" ภาพบัตรประชาชนของลูกค้าหลังลงทะเบียนเสร็จแล้วได้หรือไม่ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ขายรายใดบ้างที่แอบเก็บรูปบัตรประชาชนของเราไปใช้งานอย่างอื่น

ในขณะที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคมที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. ถูกกำกับดูแลด้วยประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้บริการโทรคมนาคมอย่างเคร่งครัด ที่กำหนดทั้งวิธีและระยะเวลาการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล แต่ตัวแทนขายซิมรายย่อยกลับไม่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้เลย

ปัญหานี้จึงเป็นความรับผิดชอบของกสทช. โดยตรง ที่สร้างมาตรการลงทะเบียนซิมด้วยบัตรประชาชนขึ้นมาอย่างรีบเร่ง โดยไม่คิดถึงผลกระทบรอบข้าง แถมปีที่ผ่านมากสทช. ยังคงเดินหน้าผลักดันให้มีการเก็บข้อมูลทั้งลายนิ้วมือและข้อมูลใบหน้าเพิ่มเติม แม้จะอ้างว่าข้อมูลไม่ได้เก็บไว้ที่ผู้รับลงทะเบียน แต่ก็ไม่เคยมีการอธิบายว่ามาตรการเป็นอย่างไร ถึงได้แน่ใจว่าผู้รับลงทะเบียนจะไม่เก็บข้อมูลไว้เอง

ความไม่พร้อมจากการออกมาตรการ และความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วจึงมีทางออกเพียงทางเดียวคือถอยไปตั้งหลักเสียใหม่

ข้อเสนอของ Blognone มีสองขั้นดังนี้

  1. เปลี่ยนมาตรการบังคับลงทะเบียนซิมให้เป็นการลงทะเบียนซิมตามสมัครใจ มาตรการบังคับออกมาหลายปี เก็บสะสมข้อมูลไปเป็นจำนวนมาก แต่กลับบังคับใช้จริงไม่ได้ ซิมที่เปิดเบอร์ด้วยบัตรประชาชนอื่นนอกจากผู้ใช้โดยตรงยังมีขายอยู่ทั่วไป สถานะการณ์เช่นนี้การอ้างว่าบังคับลงทะเบียนด้วยเหตุผลความมั่นคงดูไร้น้ำหนักอย่างยิ่ง ในเมื่อคนร้ายสามารถเลือกซื้อซิมที่ลงทะเบียนไว้ล่วงหน้าได้เสมอ พื้นที่บางพื้นที่อาจจะมีเหตุผลพิเศษทีต้องการความเข้มงวดกว่าปกติ ก็ควรมีการตรวจสอบนโยบายว่าบังคับได้จริงหรือไม่ และประโยชน์ที่ได้คุ้มกับความลำบากของประชาชนและผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นมาหรือเปล่า
  2. ออกมาตรการกำหนดให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมต้องเป็นผู้รับผิดชอบข้อมูลทั้งหมดในการลงทะเบียนเสมอ ข้อมูลสำหรับการลงทะเบียนควรได้รับความคุ้มครองเท่าๆ กับข้อมูลการใช้บริการอื่นๆ ข้อมูลสำหรับลงทะเบียนต้องอยู่ในความครอบครองของผู้ให้บริการโทรคมนาคมเท่านั้น หากผู้ให้บริการโทรคมนาคมอนุญาตให้มีผู้อื่นเก็บข้อมูลแทนได้ ก็ต้องรับผิดชอบหากมีความเสียหายจากตัวแทนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลรั่วไหลหรือข้อมูลถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดเช่นการขายข้อมูลเพื่อการโฆษณาก็ตาม

กสทช. ควรตระหนักว่าการที่ข้อมูลรั่วไหล เป็นผลกระทบต่อ "ความมั่งคง" ของประชาชนโดยรวมเช่นเดียวกัน คนที่ตกเป็นเหยื่อการถูกขโมยตัวตนอาจได้รับความเดือดร้อนต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างคาดไม่ถึง และการออกมาตรการโดยอ้างความมั่นคง ก็ควรนำเอาความมั่นคงในชีวิตของประชาชนมาพิจารณาไปพร้อมกัน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยูเอ็นวอนทุกฝ่ายอดกลั้นหลังสหรัฐฯ นำทีมถล่มซีเรีย

Posted: 14 Apr 2018 07:50 PM PDT

สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ขอให้ทุกฝ่ายอดกลั้นหลังสหรัฐร่วมกับอังกฤษและฝรั่งเศสใช้ปฏิบัติการทางทหารกับซีเรีย ด้านพันธมิตรสหรัฐประกาศสนับสนุน ขณะที่กลุ่มเฮซบอลเลาะห์พันธมิตรซีเรียประกาศว่าตะวันตกไม่มีทางชนะ
 
 
14 เม.ย. 2561 นายอันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการยูเอ็นแถลงเรียกร้องให้ทุกประเทศใช้ความอดกลั้นท่ามกลางสภาพการณ์ที่อันตรายนี้ และหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง อันจะทำให้ชาวซีเรียต้องทุกข์ยากมากยิ่งขึ้น การใช้อาวุธเคมีเป็นเรื่องน่าชิงชังเพราะก่อให้เกิดสิ่งที่น่าสยดสยอง ทุกฝ่ายต้องเคารพกฎบัตรยูเอ็นและระเบียบสากล ขอให้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นเห็นพ้องเรื่องตั้งคณะสอบสวนผู้ใช้สารเคมีกับชาวซีเรีย ขณะที่องค์การนิรโทษกรรมสากลเรียกร้องให้ระมัดระวัง จำกัดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด เพราะชาวซีเรียต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวและความสูญเสียมานานกว่า 7 ปีแล้ว อย่าให้พวกเขาต้องถูกลงโทษเพราะการกระทำของรัฐบาลซีเรียอีกเลย พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐเปิดประตูรับผู้ลี้ภัยที่หนีความรุนแรงในซีเรียด้วย
 
ด้านพันธมิตรสหรัฐพากันสนับสนุนการโจมตีซีเรีย นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) แถลงว่าสนับสนุนสหรัฐ อังกฤษและฝรั่งเศสเพราะจะลดโอกาสที่รัฐบาลซีเรียจะใช้อาวุธเคมีทำร้ายประชาชนอีก นาโตถือว่าการใช้อาวุธเคมีเป็นภัยต่อสันติภาพและเสถียรภาพสากล ประชาคมโลกจะต้องร่วมกันตอบโต้เรื่องนี้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดของแคนาดา และนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะของญี่ปุ่นที่สนับสนุนปฏิบัติการดังกล่าว 
 
ส่วนตุรกีที่สนับสนุนฝ่ายต่อต้านในซีเรียแถลงว่า เห็นด้วยกับปฏิบัติการโจมตีซีเรียเพราะได้ช่วยสร้างสำนึกจากเหตุการณ์ในเมืองดูมาที่เชื่อกันว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลซีเรีย การใช้อาวุธทำลายล้างสูงรวมถึงอาวุธเคมีกับพลเรือนอย่างไม่เลือกหน้าถือเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่ผู้กระทำจะลอยนวลไปไม่ได้ ขณะที่กลุ่มเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอนประณามสามชาติตะวันตกว่า การทำสงครามกับซีเรีย กับประชาชนในภูมิภาคนี้ และกับความเคลื่อนไหวต่อต้านจะไม่มีวันสำเร็จตามที่ต้องการ
 
ซีเรียประณามสามชาติตะวันตกรุกรานอย่างป่าเถื่อน
 
สำนักข่าวซานาของทางการซีเรียรายงานแถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศซีเรียที่ประณามเมื่อวันที่ 14 เม.ย. ว่าการโจมตีของชาติตะวันตกเป็นการรุกรานที่ป่าเถื่อนโหดร้าย และมีขึ้นในจังหวะเดียวกับที่คณะทำงานขององค์การห้ามอาวุธเคมีเดินทางมาสอบสวนเรื่องที่กล่าวหาว่ามีการใช้อาวุธเคมีในเมืองดูมาของซีเรีย จึงเป็นการกระทำที่มีเป้าหมายหลักเพื่อขัดขวางการทำงานและผลการสอบสวนของคณะทำงานชุดนี้ หวังปกปิดเรื่องโกหกที่กุขึ้นมาทั้งสิ้น 
 
ด้านกระทรวงต่างประเทศอิหร่านแถลงว่า สหรัฐและพันธมิตรไม่มีหลักฐานเรื่องการใช้อาวุธเคมีในซีเรีย และชิงใช้ปฏิบัติการทางทหารโดยไม่รอให้องค์การห้ามอาวุธเคมีเข้ามาทำหน้าที่ กลุ่มประเทศเหล่านี้จะต้องรับผิดชอบต่อผลจะที่ติดตามมาในภูมิภาคนี้ ถือเป็นการละเมิดระเบียบและกฎหมายสากลอย่างชัดแจ้ง นอกจากนี้ยังเป็นการรุกรานเพื่อชดเชยให้แก่กลุ่มก่อการร้ายที่ถูกกองทัพซีเรียกำราบในเขตกูตาตะวันออกเมื่อไม่นานมานี้ด้วย 
 
ขณะเดียวกันโฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซียโพสต์เฟซบุ๊กว่า ประเทศที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีอ้างตัวว่าเป็นผู้นำศีลธรรมของโลกและมีข้อยกเว้น จริง ๆ แล้วประเทศเหล่านี้จะต้องยกเว้นที่จะถล่มเมืองหลวงของซีเรียในยามที่ประเทศนี้มีโอกาสที่จะมีอนาคตที่มีสันติ เธอคิดว่า สื่อตะวันตกจะต้องร่วมรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยเพราะทำเนียบขาวอ้างรายงานข่าวหลายกระแสว่า มีการใช้อาวุธเคมีในเมืองดูมาของซีเรีย
 
ซีเรียอพยพเป้าหมายก่อนถูกถล่มเพราะได้รัสเซียเตือน
 
เจ้าหน้าที่ที่ขอสงวนนามบอกกับสำนักข่าวต่างประเทศว่าสามารถรับมือกับการโจมตีในเช้าวันที่ 14 เม.ย. ได้ เนื่องจากได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าจากรัสเซียจึงได้อพยพฐานทัพทั้งหมดไปตั้งแต่สองสามวันก่อนแล้ว และได้ยิงขีปนาวุธตกไปราว 1 ใน 3 ของที่ยิงเข้ามาทั้งหมดประมาณ 30 ลูก ขณะนี้กำลังประเมินความเสียหายอยู่ 
 
สงครามกลางเมืองซีเรียที่เริ่มจากประชาชนประท้วงต่อต้านรัฐบาลในวันที่ 15 มี.ค. 2554 ได้ลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งของหลายกลุ่มในซีเรีย โดยมีชาติมหาอำนาจเข้ามาร่วมด้วย แบ่งออกเป็นฝ่ายรัฐบาลซีเรียที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน รัสเซีย และเฮซบอลลาห์ ฝ่ายต่อต้านซีเรียที่ได้รับการสนับสนุนจากตุรกี ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์  และสหรัฐที่สนับสนุนจนถึงปีก่อน ฝ่ายเคิร์ดทางตอนเหนือที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐและฝรั่งเศส ฝ่ายกลุ่มติดอาวุธที่มีทั้งกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) กลุ่มฮายัต ทาห์รีร์ อัลชาม และอีกหลายกลุ่ม และกองกำลังพันธมิตรนานาชาติมุ่งจัดการกับไอเอสและกลุ่มติดอาวุธ จนถึงขณะนี้มีผู้คนล้มตายแล้วเกือบ 500,000 คน มีคนพลัดถิ่นในประเทศเกือบ 8 ล้านคน และมีผู้เสี่ยงตายลี้ภัยออกนอกประเทศอีกกว่า 5 ล้านคน
 
ที่มาเรียบเรียงจากสำนักข่าวไทย [1] [2] [3] 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น