โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

จับตัวเอกชัย-โชคชัย นอกกฎหมาย ขณะเตรียมไปทำกิจกรรมสงกรานต์บ้านประวิตร

Posted: 16 Apr 2018 11:28 AM PDT

ตำรวจนอกเครื่องแบบอุ้ม 2 นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยเข้าโรงพักอ้างนายสั่ง บังคับคลุมหัวนั่งขดตัวในรถ เอาเข่ากดตัวและศีรษะแนบกับเบาะ ภายหลังปล่อยตัวโดยไม่แจ้งข้อหา เจ้าตัวประกาศฟ้องเอาผิดเจ้าหน้าที่ผู้สั่งการควบคุมตัวนอกกฎหมาย

16 เมษายน เวลา 05.30 น. ได้มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบกว่าสิบราย ได้มายังบ้านพักของ เอกชัย หงส์กังวาน  บริเวณลาดพร้าว 109 และต่อมาเมื่อ เอกชัย ได้ออกจากบ้านมาพบกับ โชคชัย ไพบูลย์รัชตะ เพื่อนนักกิจกรรมการเมืองที่ได้นัดหมายกันบริเวณป้ายรถเมล์หน้าปากซอย โดยได้นำแผ่นไวนีลนาฬิกาหรู 24 เรือน ปืนฉีดน้ำ ธูปและขันน้ำสีแดง มาเพื่อที่จะไปทำกิจกรรมรดน้ำดำหัวให้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองหัวหน้าคณะรัฐประหาร คสช. รองนายกฯ และ รมต.กลาโหม ที่ซอยลาดพร้าว 71 เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบกว่าสิบนายได้เข้าทำการจับกุมตัวทั้งสองคนโดยนำตัวแยกขึ้นรถไปคนละคัน 

เอกชัย เผยว่าว่า เจ้าหน้าที่บอกเพียงแค่ว่าจะนำตัวปที่ สน.โชคชัย เนื่องจากผู้ใหญ่สั่งมาว่าไมสบายใจและไม่่ต้องการให้ไปทำกิจกรรมที่บ้านของ พลเอกประวิตร นอกจากนั้น ระหว่างการเจรจาต่อรองไม่ให้ถูกควบคุมตัว เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบได้เอาโทรศัพท์ที่มีชื่อและเบอร์โทรของ ผู้การโจ๊ก" พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ให้คนทั้งสองดูพร้อมกับบอกว่า "พี่โจ๊กไม่ยอม" จากนั้น โชคชัย ไพบูลย์รัชตะ 1 ใน 2 นักกิจกรรมการเมืองได้เดินมาเรียกแท็กซี่ โชคชัยเล่าว่าในขณะนั้นได้มีรถตู้มาจอดและได้มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบจำนวนมากลงมาฉุดกระชากกดตัวลงให้นอนกับพื้นและยกแขนขาเขาขึ้นบนรถตู้ ในระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบได้ยึดโทรศัพท์มือถือของเขาไปด้วย

โชคชัยบอกว่า "ระหว่างที่ถูกนำตัวขึ้นรถตู้ ผมมองอะไรไม่เห็น หายใจอึดอัดมากจากการถูกบังคับให้นั่งขดกับพื้นรถระหว่างเบาะที่นั่งผู้โดยสาร ถูกเอาเสื้อคลุมหัว และมีเจ้าหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันยึดแขนทั้งสองข้าง มีคนนั่งบนเบาะ แล้วใช้เข่ากดบนแผ่นหลังให้หัวและตัวของผมแนบกับพนักเบาะด้านหน้าตลอดเวลา เป็นเวลา 30 นาที" โดยระบุว่าหัวหน้าชุดเจ้าหน้าที่ ที่เข้าทำการจับกุมเขาและอยู่บนรถตู้ด้วยมีชื่อว่า พ.ต.ท. กันตภณ โพธิ์อ๊ะ จาก สน.โชคชัยโดยการเข้าควบคุมตัวนั้นเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการแสดงตัว สังกัด หน่วยงาน รวมถึงไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาหรือข้อกฎหมายในการควบคุมตัวแต่อย่างไร

หลังถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบควบคุมตัวไว้ที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 4 (บก.น.4) สน.หัวหมาก ถ.รามคำแหง คันนายาว กรุงเทพฯ ต่อมาเมื่อเวลา 11.23 น.ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า เอกชัย หงส์กังวาน และ โชคชัย ไพบูลย์รัชตะ ได้รับการปล่อยตัวแล้ว โดยไม่มีการแจ้งข้อหา 

จากนั้น โชคชัย จึงได้ไปตรวจสภาพร่างกายที่โรงพยาบาลรามคำแหงก่อนเดินทางเข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่ สน.ลาดพร้าว โชคชัยกล่าวว่านอกจากมีการบาดเจ็บภายนอก มีรอยถลอกจากการฉุดกระชากแล้ว ยังมีอาการหูอื้อด้านซ้ายอื้อ ซึ่งแพทย์วินิจฉัยว่าเกิดจากการกดทับ

โชคชัยกล่าวว่ากำลังปรึกษากับทนายความเพื่อแจ้งความเอาผิดทางอาญาต่อผู้สั่งการและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าทำการควบคุมตัวนอกกฎหมายและใช้ความรุนแรงต่อเขา 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวเน็ตจีนกระหน่ำโพสต์สนับสนุนเกย์ ตอบโต้โซเชียลมีเดียจีนประกาศล้างเนื้อหา

Posted: 16 Apr 2018 09:54 AM PDT

กรณีซีนาเว่ยป๋อ โซเชียลมีเดียจีนที่ประกาศว่าจะล้างเนื้อหาเกี่ยวกับเกย์ออกจากเว็บ ล่าสุดทำให้ผู้ใช้เน็ตในจีนไม่พอใจอย่างมาก พากันฟลัดข้อความหรือเนื้อหาสนับสนุนเกย์พร้อมแฮชแท็ก #IAMGAY จนกระทั่งในวันที่ 16 เม.ย. ทางเว็บไซต์ก็ประกาศจะยกเลิกการกวาดล้างเนื้อหาดังกล่าว

เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2561 โซเชียลมีเดียของจีนซีนาเว่ยป๋อประกาศว่าจะยกเลิกการกวาดล้างเนื้อหาที่เกี่ยวกับคนรักเพศเดียวกัน หลังจากที่มีเสียงต่อต้านจากผู้ใช้งานชาวจีนก่อนหน้านี้ รวมถึงการประท้วงด้วยการใช้แฮชแท็ก #IAMGAY หรือ "ฉันเป็นเกย์"

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 13 เม.ย. ที่ผ่านมาซีนาเว่บป๋อ เว็บไซต์ไมโครบล็อกของจีนที่ชาวจีนนิยมใช้ประกาศว่าจะ "เก็บกวาด" เนื้อหาในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับคนรักเพศเดียวกันและเนื้อหารุนแรง ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ การ์ตูน หรือโพสต์ตัวอักษร

คำประกาศของซีนาเว่ยป๋อปรากฏในบัญชีผู้ใช้ของผู้บริหารเว็บไซต์ มีการตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะเป็นการพยายามปฏิบัติตามกฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ฉบับใหม่ของจีน ในแถลงประกาศระบุจะกวาดล้าง "การ์ตูนและวิดีโอที่มีลักษณะอนาจาร, ส่งเสริมความรุนแรง หรือเกี่ยวข้องกับการรักเพศเดียวกัน"

เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับชาวเกย์ในจีนอย่างมากส่วนหนึ่งเพราะคำประกาศของบริษัทเสมือนกับการเหมารวมเอาการรักเพศเดียวกันเป็นสิ่งที่ดูหยาบโลนอนาจาร ทำให้ผู้ใช้งานชาวจีนจำนวนมากประท้วงด้วยการโพสต์เนื้อหาที่สนับสนุนเกย์ลงในโซเชียลมีเดียของตนในเวลาไล่เลี่ยกันจำนวนมาก เรื่องนี้ทำให้แฮชแท็ก "ฉันเป็นเกย์" กลายเป็นที่นิยมบนเว็บไซต์ของซีนาเว่ยป๋อ

หนึ่งในโพสต์เหล่านี้ระบุข้อความเป็นภาษาอังกฤษถอดความได้ว่า "ผมเป็นเกย์ พวกเราเกิดในจีน แต่ประเทศไม่รักพวกเรา ทำไมถึงทำกับเราเหมือนเป็นสัตว์ประหลาด พวกเราเป็นเกย์ พวกเราต้องการความเท่าเทียม พวกเราต้องการสิทธิมนุษยชน"

มีการฟลัดข้อความแนวเดียวกันนี้จำนวนมาก รวมถึงมีคนแสดงความคิดเห็นมากกว่า 24,000 ความคิดเห็น และมีการส่งต่อข้อความมากกว่า 110,000 ครั้ง มีผู้ใช้งานคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า "เราเป็นเกย์แล้วเราก็ภูมิใจ ถึงแม้ว่าเราจะถูกทำลายลง แต่ก็จะมีคนอีกนับสิบล้านคนที่เหมือนกับพวกเรา" นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT) ในจีนที่เขียนจดหมายเปิดผนึกวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงมีการเรียกร้องให้เทหุ้นของซีนา

กลุ่มนักกิจกรรม LGBT กล่าวว่าการเรียกร้องของผู้คนจำนวนมากเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่า พวกเขากังวลเกี่ยวกับการขยายการเซนเซอร์ของรัฐบาลจีนจะลิดรอนความพยายามสร้างพื้นที่ออนไลน์สำหรับคนรักเพศเดียวกัน ซึ่งจีนยังคงเป็นสังคมที่มีแนวคิดครอบงำจากขงจื๊ออยู่

หลังจากนั้นซีนาเว่ยป๋อก็ทำการบล็อกผู้ใช้ไม่ให้โพสต์เกี่ยวกับการสนับสนุนเกย์ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 16 เม.ย. ซีนาเว่ยป๋อก็ระบุว่าพวกเขายอมยกเลิกจะไม่นำเนื้อหาของคนรักเพศเดียวกันออกจากเว็บตนตามที่ประกาศไว้ พวกเขายกเลิกแผนการหลังจากที่เมื่อวันที่ 15 เม.ย. ที่ผ่านมาสื่อพีเพิลเดลีของพรรคคอมมิวนิสต์จีนระบุให้มีการอดกลั้นต่อชาวเกย์แต่ก็บอกว่าเนื้อหา "หยาบโลน" ใดๆ ก็ตามให้นำออกหมดไม่ว่าจะเป็นเพศวิถีแบบใดก็ตาม

เสี่ยวที ประธานศูนย์ LGBT กรุงปักกิ่งบอกว่าปัญหาของนโยบายโซเชียลมีเดียแบบนี้คือการเหมารวมไปว่าเนื้อหา LGBT คือสื่อลามกไปทั้งหมด อีกปัญหาหนึ่งคือวัฒนธรรมการเซนเซอร์เข้มงวดในจีนเอง เธอบอกว่าโซเชียลมีเดียเคยเป็นพื้นที่เปิดกว้างมาก่อน แต่นับตั้งแต่ปีที่แล้ว สิ่งต่างๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไป

เรียบเรียงจาก

Weibo bans 'homosexual' content, thousands protest using #IAmGay, 14-04-2018, Gay Star News

China's Sina Weibo reverses gay content clean-up after outcry, Reuters, 16-04-2018

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กกต. ยึดตามโรดแมป คสช. เลือกตั้ง ก.พ.62 ออกประกาศ-ระเบียบ รอกฎหมายลูก

Posted: 16 Apr 2018 06:01 AM PDT

ระบุแม้กฎหมายเลือกตั้ง 2 ฉบับ ศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณา แต่ กกต.ไม่ได้นิ่งนอนใจ ระหว่างนี้จึงมีการเตรียมร่างประกาศและระเบียบต่าง ๆ  ควบคู่กับการรอกฎหมายออกมา ยันยึดตามโรดแมป คสช.ที่จะเลือกตั้งช่วง ก.พ.62

16 เม.ย.2561 รายงานข่าวระบุว่า พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา รองเลขาธิการ กกต. ในฐานะรักษาการเลขาธิการ กกต. กล่าวถึงข้อห่วงใยเกี่ยวกับการยืนยันสถานะสมาชิกพรรคภายใน 30 วัน ว่า เรื่องนี้ กกต.ได้ประสานคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไปแล้วถึงข้อห่วงใยต่าง ๆ ของพรรคการเมือง และทราบว่า คสช.จะมีการแก้ไขคำสั่ง 53/2560 อีกทั้งเรื่องคำสั่งดังกล่าวยังอยู่ในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนเรื่องการประชุมของพรรคการเมืองนั้น ยังเกี่ยวโยงกับความมั่นคง การชุมนุม  คสช.คงยังไม่อนุญาต ส่วนกลุ่มการเมืองที่ขอจดแจ้งตั้งพรรค ได้ทยอยส่งคำขอประชุมพรรคไปยัง คสช.แล้ว เพียงแต่ต้องรอการอนุญาต

พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวว่า แม้กฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง 2 ฉบับที่ศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณาตีความ สำนักงาน กกต.ไม่ได้นิ่งนอนใจ ระหว่างนี้จึงมีการเตรียมร่างประกาศและระเบียบต่าง ๆ  ควบคู่กับการรอกฎหมายออกมา เมื่อกฎหมายออกมาครบทั้ง 4 ฉบับ ทุกอย่างจะสมบูรณ์ เริ่มนับหนึ่งของการเลือกตั้งได้ทันที ทั้งนี้การทำงานของสำนักงาน กกต.ยังยึดตามโรดแมปของรัฐบาลและ  คสช.ที่จะให้มีการเลืกตั้งช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ส่วน กกต.ใหม่ทั้ง 7 คน ถ้าเลือกตั้งกุมภาพันธ์ 2562 คาดว่าจะมาทัน

"ถ้ามาแล้ว ก็ต้องเรียนรู้ให้ไว เราจะอธิบายในเรื่องกฎหมาย วิธีการเลือกตั้งให้ท่าน โดยใช้เวลา 1-2 เดือน น่าจะเพียงพอ ซึ่งถ้ามองภาพรวมไม่ยาก หากมีการเลือกตั้ง มีการร้องเรียน ก็จะบังคับใช้กฎมายทั่วไป ไม่น่ามีปัญหา จุดยากยังไม่เห็น ส่วนใหญ่ กกต.จะออกเป็นมติที่เกี่ยวกับบางเรื่องที่มีอำนาจ เท่าที่เห็นรายชื่อผู้เข้ารับการสรรหา ก็เคยมาทำงานเลือกตั้งบ้าง" พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าว

 

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์และสำนักข่าวไทย 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสทช.เรียก 'ทรูมูฟ เอช' แจงกรณีข้อมูลลูกค้ารั่ว - โอเปอเรเตอร์ทุกรายแจงปม SMS ดูดเงิน พรุ่งนี้

Posted: 16 Apr 2018 02:31 AM PDT

กสทช.เรียกโอเปอเรเตอร์ทุกรายเข้าชี้แจง กรณีที่มีข่าว SMS ดูดเงินประชาชนผู้ใช้บริการ และเรียกทรูมูฟ เอช มาชี้แจงกรณีที่ปรากฎข่าวบนเว็บไซต์ว่า ทรูทำข้อมูลบัตรประชาชนลูกค้าหลุดจำนวนมาก พรุ่งนี้

16 เม.ย.2561 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) แจ้งว่า วันพรุ่งนี้ (17 เม.ย. 61) เวลา 10.30 น. สำนักงาน กสทช.เรียกโอเปอเรเตอร์ทุกรายเข้าชี้แจง กรณีที่มีข่าว SMS ดูดเงินประชาชนผู้ใช้บริการ

ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่า สำนักงาน กสทช. เรียกผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกรายเข้าชี้แจง กรณีที่มีข่าว SMS ดูดเงินประชาชนผู้ใช้บริการ ในวันที่ 17 เม.ย. 2561 เวลา 10.30 น. ต่อจากที่เรียกทรูมูฟ เอช มาชี้แจงกรณีที่ปรากฎข่าวบนเว็บไซต์ว่า ทรูทำข้อมูลบัตรประชาชนลูกค้าหลุดจำนวนมาก

"เรื่อง SMS ดูดเงินประชาชน เป็นปัญหาที่สำนักงาน กสทช. ให้ความสำคัญเพราะเป็นกรณีที่ทำให้ประชาชนผู้ใช้บริการต้องเสียเงินโดยไม่ได้สมัครใจโอเปอเรเตอร์ ต้องชี้แจงข้อมูลมาว่าเกิดอะไรขึ้นและจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ยังไง ประชาชนต้องไม่เจอกับ ปัญหา SMSดูดเงินเช่นนี้อีก" ฐากร กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พบ ‘แรงงานเด็กไร่ยาสูบซิมบับเว’ ต้องเผชิญกับสารเคมี

Posted: 16 Apr 2018 12:46 AM PDT

พบมีการใช้แรงงานเด็กอายุน้อยสุดเพียง 11 ปี ในไร่ยาสูบของประเทศซิมบับเว เผชิญอาการเจ็บป่วยจากการได้รับนิโคตินและสารเคมีในยากำจัดศัตรูพืช ส่วนใหญ่ต้องขาดเรียนเพื่อไปทำงานในไร่

ที่มาภาพประกอบ: Human Rights Watch

จากรายงานชื่อ "การเก็บเกี่ยวอันขืนขม" (Bitter Harvest) ขององค์กรฮิวแมน ไรต์ วอตซ์ (Human Right Watch: HRW) ได้เปิดเผยเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิและใช้แรงงานเด็กในไร่ยาสูบของประเทศซิมบับเว โดยมีแรงงานเด็กอายุน้อยสุดเพียง 11 ปี เด็กเหล่านี้ยอมทำงานหนักและเสี่ยงต่อการถูกคุกคามก็เพื่อนำเงินไปใช้สำหรับการศึกษาและค่าใช้จ่ายในครัวเรือน

คนงานในไร่ยาสูบต้องเผชิญอาการป่วย เช่น วิงเวียนศีรษะหรืออาเจียน จากการได้รับนิโคตินและสารเคมีในยากำจัดศัตรูพืช "รัฐบาลซิมบับเวต้องดำเนินการอยากเร่งด่วนเพื่อปกป้องคนงานในฟาร์มยาสูบ" มาร์กาเร็ต วูร์ธ ผู้ร่วมเขียนรายงานดังกล่าวของ HRW กล่าว

จากคนงาน 125 คนที่ให้สัมภาษณ์กับ HRW มีเด็กหญิงวัย 12 ปี ให้สัมภาษณ์ถึงอาการป่วยที่ตามมาหลังจากที่เธอต้องใช้ยากำจัดศัตรูพืชที่เธอไม่ทราบชื่อ "เราต้องแบกไว้ข้างหลังแล้วพ่นมัน ฉันรู้สึกอยากอาเจียนเอามาก ๆ เพราะกลิ่นที่เหม็นของมัน" เด็กหญิงนาม 'เมอร์ซี่' อธิบาย

นอกจากนั้น 'โจเซฟ' ครูที่โรงเรียนในตอนเหนือของจังหวัดมาโชนาแลนด์ ยังเล่าให้ฟังอีกว่า ลูกศิษย์ของเขาหลายคนต้องขาดเรียนเพื่อไปทำงานในฟาร์ม "ในช่วงฤดูที่ต้นยาสูบเริ่มเจริญเติบโต เด็กๆ จะเริ่มหายไปจากห้องเรียน นับดูแล้ว 1 ภาคเรียนมี 63 วัน เด็ก ๆ พวกนี้บางคนมาเรียนแค่ 15 ถึง 24 วันเท่านั้น"

ส่วนทาง 'เดวิดโซ่' เด็กชายอายุ 15 ปีจากมาโชนาแลนด์ ต้องขาดเรียนเป็นเวลา 15 วันเพื่อไปทำงานที่ไร่ยาสูบ และเมื่อกลับมาเรียนเขากลับถูกครูที่โรงเรียนลงโทษ "ผมถูกตี มันทำให้ผมผิดหวังมาก เพราะว่าสิ่งที่ผมทำก็เพราะพยายามหาเงิน เพื่อมาจ่ายค่าทำเนียมของโรงเรียน ผมคิดว่าผมทำสิ่งที่ดีเพื่อตัวเองนะ"

คนงานตามฤดูกาลในไร่ขนาดใหญ่ ให้ข้อมูลว่าพวกเขาถูกบีบให้ทำงานเกินชั่วโมงงานโดยไม่ได้ค่าล่วงเวลา หลายครั้งต้องทำงานเกินวันที่กำเนิดไว้ไปเป็นสัปดาห์ไปจนถึงเป็นเดือน ขณะที่ธุรกิจยาสูบเป็นธุรกิจที่สำคัญต่อเศรษฐกิจซิมบับเวอย่างมาก เพราะเป็นสินค้าที่ดึงเม็ดเงินจากต่างชาติได้มากรองจากการค้าทองคำ ในปีที่ผ่านมาซิมบับเวมีรายได้จากการส่งออกยาสูบโดยปลายทางหลักเป็นจีนและอินโดนีเซีย สูงถึง 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

ที่มาแปลและเรียบเรียงจาก
Rights abuses rife on Zimbabwe tobacco farms: HRW (news24, 5/4/2018)

  

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

5 วัน คสช.เผยมาตรการ 'ดื่มไม่ขับ จับยึดรถ' หมื่นคัน ศาลสั่งติดกำไล EM แล้ว 37 ราย

Posted: 15 Apr 2018 10:24 PM PDT

คสช. เผยมาตรการ "ดื่มไม่ขับ จับยึดรถ" 5 วัน ยึดรถดื่มแล้วขับ 10,099  คัน ศาลสั่งติดกำไลคุมประพฤติ 37 ราย ห้ามออกนอกบ้าน เวลา 22.00-04.00 น. เป็นเวลา 15 วัน

ที่มาภาพ เฟสบุ๊คแฟนเพจ 'กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย

16 เม.ย.2561 สำนักข่าวไทย และเฟสบุ๊คแฟนเพจ 'กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย' รายงานว่า พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงภาพรวมการจัดงานสงกรานต์ทั่วประเทศช่วง 5 วันที่ผ่านมา ว่า ในปีนี้เห็นได้ชัดว่าทุกภาคส่วนพร้อมใจกันจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับการอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของไทย และดำรงไว้ซึ่งการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ตามที่รัฐบาลขอความร่วมมือ โดยพบว่าการจัดงานทั้งใน กทม. แหล่งท่องเที่ยว และจังหวัดต่าง ๆ เป็นไปด้วยความคึกคักสนุกสนาน ผู้ร่วมงานต่างมีความสุข คสช.ขอขอบคุณผู้จัดงาน ประชาชน และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ดูแลสถานที่ อำนวยความสะดวกผู้ร่วมงานและบริหารจัดงานได้เป็นอย่างดี

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ประชาชนจำนวนมากกำลังเดินทางกลับจากการเฉลิมฉลองและท่องเที่ยว ทำให้การสัญจรในเส้นทางต่าง ๆ หนาแน่นเป็นระยะ และคาดว่าจะหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งปัจจุบันเจ้าหน้าที่กำลังเร่งอำนวยความสะดวกด้านการสัญจรอย่างเต็มที่ ให้การระบายรถมีประสิทธิภาพ รวมทั้งความพร้อมของจุดบริการต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้พักระหว่างเดินทาง สอบถามเส้นทาง หรือตรวจเช็คสภาพรถยนต์ เพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้น โดย  5 วันที่ผ่านมา มีผู้สัญจรใช้บริการจุดบริการประชาชนของกองทัพบก จำนวน 61,758 คน ทั้งนี้ คสช.ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ปรับการอำนวยการจราจรให้สะดวกที่สุดและทันต่อสภาพการใช้ถนน ทั้งในสายหลัก สายรอง และทางลัด พร้อมเปิดเส้นทางพิเศษ เพื่อเร่งระบายการจราจรให้คล่องตัวที่สุด ควบคู่ไปกับการเข้มงวดในมาตรการสร้างความปลอดภัย "ดื่มไม่ขับ จับยึดรถ"

รองโฆษก คสช. กล่าวด้วยว่า สำหรับสถิติการตรวจพบผู้กระทำผิดในลักษณะที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุโดยประมาทด้วยการดื่มแล้วขับขี่ในวันที่ 15 เมษายน 2561 ดังนี้ ในส่วนรถจักรยานยนต์ พบการกระทำความผิด 52,698 ครั้ง เจ้าหน้าที่ได้ยึดใบอนุญาตขับขี่ไว้ 2,999 ราย จำเป็นต้องยึดไว้ 2,069 คัน และส่งผู้กระทำผิดดำเนินคดี 41,443 คน สำหรับรถโดยสารสาธารณะ/รถยนต์ส่วนบุคคล พบการกระทำความผิด 38,956 ครั้ง เจ้าหน้าที่ได้ยึดใบอนุญาตขับขี่ไว้ 3,544  ราย ยึดรถยนต์ 814 คัน ส่งผู้กระทำความผิดดำเนินคดี 24,936 คน

"โดยตลอด 5 วันที่ผ่านมา (11-15 เมษายน 2561) เจ้าหน้าที่ได้ยึดรถที่ฝ่าฝืนมาตรการความปลอดภัย ดื่มไม่ขับไว้แล้ว 10,099 คัน (รถจักรยานยนต์ 7,372 คัน และรถยนต์ 2,727 คัน ) และดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด รถจักรยานยนต์ 113,450 คน รถโดยสารสาธารณะ/รถยนต์ส่วนบุคล 69,898คน อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การเดินทางสัญจรทั่วประเทศ รวมถึงบริเวณด่านชายแดน เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ทุกส่วนจะผลัดเปลี่ยนปฏิบัติติหน้าที่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทุกคนเดินทางกลับถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ" รองโฆษก คสช. กล่าว

ศาลสั่งติดกำไล EM เมาแล้วขับช่วงสงกรานต์แล้ว 37 ราย

ขณะที่วานนี้ (15 เม.ย.61)  มติชนออนไลน์ รายงานว่า ประสาร มหาลี้ตระกูล อธิบดีกรมคุมประพฤติ เปิดเผยว่า วันที่ห้าของ 7 วันอันตราย กรมคุมประพฤติได้ดำเนินการติดเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์กับผู้กระทำผิดในคดีเมาแล้วขับตามคำสั่งศาล ซึ่งกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกบ้าน เวลา 22.00-04.00 น.เป็นเวลา 15 วัน นอกจากนี้ ผู้กระทำผิดดังกล่าวยังมีเงื่อนไขการคุมความประพฤติ 1 ปี รายงานตัวจำนวน 4 ครั้ง พร้อมทั้งทำงานบริการสังคม 24 ชั่วโมง โดยมีสำนักงานคุมประพฤตินำร่อง ได้แก่ สำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 2 (ประจำศาลแขวงพระนครเหนือ) 27 ราย และสำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 12 (ประจำศาลแขวงดอนเมือง) 1 ราย ยอดสะสมตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย. รวมทั้งหมด 37 ราย

ประสารกล่าวต่อว่า สำหรับสถิติคดีที่เข้าสู่กระบวนการคุมประพฤติจากสำนักงานคุมประพฤติทั่วประเทศ วันที่ 15 เม.ย. จำนวน 3,460 คดี แบ่งเป็น ขับรถขณะเมาสุรา 3,456 คดี ขับรถประมาท 4 คดี ยอดสะสม 5 วัน วันที่ 11-15 เม.ย.มีคดีทั้งหมด 6,707 คดี จำแนกเป็น คดีขับรถขณะเมาสุรา 6,541 คดี คิดเป็นร้อยละ 97.5, ขับรถประมาท 21 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.31 แข่งรถ หรือขับซิ่ง 2 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.02 ขับเสพ 143 คดี คิดเป็นร้อยละ 2.13 ส่วนจังหวัดที่มีสถิติคดีเมาแล้วขับสะสมสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดเชียงราย 455 คดี สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดมหาสารคาม 394 คดี และสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดสุรินทร์ 313 คดี ทั้งนี้ จากตัวเลขของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ยอดสะสม 4 วัน วันที่ 11-14 เมษายน จำนวนครั้งอุบัติเหตุสะสม รวม 2,449 ครั้ง ผู้เสียชีวิตสะสม 248 คน ผู้บาดเจ็บสะสม 2,557 คน ซึ่งมีสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุอันดับหนึ่ง คือดื่มแล้วขับ
 
ประสาร กล่าวต่อว่า กรมคุมประพฤติจึงได้ดำเนินการมาตรการเข้มกับผู้ถูกคุมความประพฤติในคดีเมาแล้วขับ โดยจัดให้ทำงานบริการสังคมเพื่อสร้างจิตสำนึก และให้ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อื่น และสังคมประกอบด้วย ช่วยเจ้าพนักงานตำรวจที่จุดตรวจค้น จุดบริการประชาชน ด่านชุมชน อาสาจราจร จุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ จุดตรวจเล่นน้ำสงกรานต์ และกิจกรรมรณรงค์ลดอุบัติเหตุ ตลอดจนทำความสะอาดบริเวณจุดตรวจค้น รวมทั้ง บริการช่วยเหลือประชาชนคนชรา คนพิการ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มารดาพร้อมทารกแรกคลอด และประชาชนที่มีกระเป๋าสัมภาระหลายใบ ที่เดินทางไปต่างจังหวัดช่วงเทศกาลสงกรานต์ ณ ศูนย์อำนวยการร่วมฯ สถานีขนส่ง 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โวยแผนปฏิรูปสาธารณสุขตัดขาด ปชช. ให้ ขรก.ทำกันเอง ทำประเทศล้าหลัง แถมตั้งเป้าร่วมจ่าย

Posted: 15 Apr 2018 09:53 PM PDT

บอร์ด สปสช. สัดส่วนภาคประชาชน โวยแผนปฏิรูประบบสาธารณสุขตัดขาดประชาชน ข้าราชการทำกันเอง ทำประเทศล้าหลัง บางข้อความตั้งข้อสังเกตได้ว่า จะทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพไม่ถ้วนหน้า กลายเป็นระบบอนาถาของคนจน ทั้งยังบังคับร่วมจ่าย ณ จุดบริการ มองเป็นภาระประเทศ แต่ถ้าเป็นสิทธิข้าราชการกลับมองเป็นสวัสดิการ 
 
 
 
16 เม.ย.2561 รายงานข่าวแจ้งว่า กรรณิการ์ กิจติเวชกุล กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) สัดส่วนภาคประชาชน กล่าวว่า แผนปฏิรูประบบสาธารณสุขที่เพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นแผนปฏิรูปของพวกที่มีใจเสนานิยมที่ปิดประตูคุยกันเองโดยปราศจากตัวแทนภาคประชาชน มีหลักคิดที่เห็นประชาชนเป็นแค่เพียงผู้รอรับบริการจากผู้ให้บริการเท่านั้น แต่ไม่ยอมให้มีส่วนร่วมในการพัฒนา ซึ่งเป็นวิธีการที่ล้าหลัง นับเป็นความล้าหลังของเครือข่ายราชการที่ยังอาจหาญมากำหนดแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการปฏิรูปโดยพวกพ้อง เพื่อพวกพ้องเท่านั้น 
 
กรรณิการ์ กล่าวต่อว่า ที่สำคัญคือมีการเขียนบางข้อความที่สามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่า จะทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพไม่ถ้วนหน้า กลายเป็นระบบอนาถาของคนจน ทั้งยังบังคับร่วมจ่าย ณ จุดบริการ อาทิเช่น การให้ออกกฎหมายเป็นกรอบร่วมกันระหว่างกองทุนสุขภาพ กำหนดให้มีชุดสิทธิประโยชน์หลัก ชุดสิทธิประโยชน์เสริมซึ่งแตกต่างกันระหว่างกองทุน มีชุดสิทธิประโยชน์ทางเลือกเพื่อร่วมจ่าย ที่สำคัญคือแผนปฏิรูประบบสาธารณสุขนี้ กำหนดให้มีระบบร่วมรับผิดชอบจ่ายเมื่อป่วย สำหรับกรณีชุดสิทธิประโยชน์หลัก ต้องกำหนดเพดานร่วมจ่ายต่อปี (Annual ceiling) เพื่อลดภาระกรณีผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง นั่นหมายความว่า สามารถกำหนดให้มีระบบร่วมจ่ายได้ แม้เป็นชุดสิทธิประโยชน์หลัก เพียงแต่บอกให้มีเพดาน 
 
นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างรูปธรรมความล้มเหลวของแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข เช่น 
1.การกำหนดให้มีคณะกรรมนโยบายสุขภาพแห่งชาติ (National Health Policy Board : NHPB) หรือเรียกง่ายๆ ว่า ซุปเปอร์บอร์ด องค์ประกอบของคณะกรรมการ 80-20 แต่ไม่ระบุองค์ประกอบ จะทำให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมได้อย่างไร โดยคาดว่าคงเต็มไปด้วยตัวแทนจากภาคราชการ และกลุ่มผู้ใกล้ชิดที่มีที่มีหลักคิดแบบเสนานิยม และนิยมการสงเคราะห์คนยากจนอนาถามากกว่าการพัฒนาประเทศให้เป็นรัฐสวัสดิการเพื่อประชาชน ตั้งใจทำระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่เป็นสวัสดิการของประชาชนให้เปลี่ยนเป็นระบบอนาถา เหมือนคณะกรรมการชุดอื่นๆ ที่ผ่านมา เช่น คณะกรรมการด้านการแก้ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ จึงมีความสุ่มเสี่ยงอย่างสูงต่อการตัดสินใจที่ขาดการคำนึงและการรับฟังที่เปิดกว้างจริงใจ รอบคอบจากทุกภาคส่วน  
 
2.การปรับโครงสร้างกระทรวงสาธารณสุขก็ขาดความชัดเจนในการปฏิรูประบบราชการให้เหมาะสม มีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อนบทบาทของกระทรวงสาธารณสุขที่เป็นทั้งผู้กำกับติดตามนโยบาย และเป็นผู้จัดบริการ (เจ้าของ รพ.) ไปด้วย ทำให้การกำกับติดตามไม่จริงจังอย่างที่ควรจะเป็น เกิดพฤติกรรมที่เกรงใจเพื่อนผองน้องพี่มากกว่าประชาชน ส่วนเรื่องเขตสุขภาพที่ว่าจะเป็นการกระจายอำนาจนั้น ก็เป็นเพียงมายาคติโฆษณาชวนเชื่อต่อประชาชน เพราะเขตสุขภาพนี้เป็นเพียงการถ่ายโอนภารกิจจากส่วนกลางสู่เขต โดยที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขก็ยังสามารถสั่งการ และให้คุณให้โทษผู้แก่ตรวจราชการกระทรวงได้ดั้งเดิม 
 
3.การปฏิรูปผู้จัดซื้อบริการ (purchasers) ที่ขาดการกำหนดโครงสร้างที่สมดุลเป็นธรรม เสี่ยงต่อการกำหนดทิศทางนโยบายที่มุ่งเน้นความเห็นแบบเสนานิยม และการสงเคราะห์คนยากจนอนาถามากกว่ารัฐสวัสดิการเพื่อประชาชน มองการจัดบริการสุขภาพให้ประชาชนเป็นภาระของประเทศ ไม่ใช่การลงทุนเพื่อประชาชน แต่กับพวกพ้องกลับมองว่าเป็นสวัสดิการ ร่วมไปถึงการร่วมจ่าย ณ จุดบริการที่เสี่ยงต่อการเข้าถึงไม่บริการ ที่เปรียบได้กับการตอกลิ่มทิ่มแทงเพิ่มช่องว่างความเหลื่อมล้ำให้มากยิ่งขึ้น
 
4.การปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิก็ขาดการมีส่วนร่วมของผู้จัดบริการที่หลากหลาย มีเพียงแค่ สธ. ไม่มี อปท. หน่วยราชการสังกัดอื่น เหมาะสมกับบริบทที่ต่างๆ ของแต่ละพื้นที่ และกลุ่มประชาชนทั้งจากภาครัฐนอกกระทรวงสาธารณสุข และเอกชน รวมไปถึงภาคประชาชนที่เป็นผู้รับผลงานที่แท้จริงจากบริการปฐมภูมิที่ดีมีคุณภาพถึงประชาชนได้จริง 
 
5.การพัฒนาอัตรากำลังคนสุขภาพที่ขาดรายละเอียดในการกระจายบุคลากรที่เป็นธรรม ลดระบบอุปถัมภ์ และเชื่อมโยงกับการปฏิรูประบบราชการที่เป็นรูปธรรม มุ่นเน้นประสิทธิภาพของระบบที่แท้จริง
 
"หากให้ประเทศไทยเดินหน้าได้จริง ต้องหยุดคิดว่าประเทศไทยเป็นของพวกคุณเท่านั้น แต่เป็นของคนไทยทุกคนที่จะดำเนินการปฏิรูปประเทศไปด้วยกันเพื่ออนาคตที่ดีของลูกหลานสืบไป" กรรณิการ์ กล่าว 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

4 ปีที่ 'บิลลี่' หายตัว 'นักนิติศาสตร์สากล' จี้ดีเอสไอ (อีกครั้ง) ทำคดีอย่างมีประสิทธิภาพ

Posted: 15 Apr 2018 09:20 PM PDT

คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล ระบุยังคงไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในวันครบรอบ 4 ปี ที่ นักกิจกรรมชาวกะเหรี่ยง พอละจี "บิลลี่" รักจงเจริญ ถูกบังคับให้สูญหาย ขอดีเอสไออีกครั้งสืบสวนสอบสวนอย่างมีประสิทธิภาพ หลัง 'ปฏิเสธ' ที่จะรับเป็นคดีพิเศษ ชี้เสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการละเว้นการนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษในไทย

ภาพครอบครัวของบิลลี่

16 เม.ย.2561 เนื่องวาระครบรอบ 4 ปีที่นักกิจกรรมชาวกะเหรี่ยง พอละจี "บิลลี่" รักจงเจริญ ถูกกระทำการที่มีลักษณะเป็นการบังคับให้สูญหายไป นั้น รายงานข่าวแจ้งว่า วันนี้ คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ไอซีเจ) ได้แถลงข้อเรียกร้องอีกครั้งต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ดำเนินการตามหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนเรื่องดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ในปัจจุบันนั้นยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ทราบถึงชะตากรรมของบิลลี่และดีเอสไอก็ปฏิเสธไม่รับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ

พอละจี นั้นได้มีผู้พบเห็นเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2557 ในขณะที่อยู่ในการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ทั้งนี้ ในช่วงระยะเวลาที่บิลลี่ได้ถูกกระทำการในลักษณะการบังคับให้สูญหายไปนั้น บิลลี่ได้ทำงานกับชาวบ้านชนเผ่ากะเหรี่ยงและนักกิจกรรมในการดำเนินการทางกฎหมายเพื่อยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจากกรณีเหตุการณ์เผาบ้านและทรัพย์สินชาวบ้านในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเมื่อปี พ.ศ. 2553 และ 2554

"เหตุที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ถูกจัดตั้งขึ้นมานั้นก็เพื่อที่จะทำการสอบสวนคดีที่มีความซับซ้อนเฉกเช่นคดีในลักษณะนี้ที่ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอาจมีความเกี่ยวโยงกับการกระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงที่อาจเรียกได้ว่าเป็นอาชญากรรมภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ" คิงสลี่ย์ แอ๊บบอต ที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศอาวุโส ไอซีเจ กล่าว

"ถ้าดีเอสไอยังคง 'ปฏิเสธ' ที่จะรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษหลังจากที่การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 4 ปีไม่ปรากฏให้เห็นว่ามีความก้าวหน้าอย่างมีนัยยะสำคัญ ดีเอสไออาจจะเสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการละเว้นการนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษในประเทศไทย" ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศอาวุโส ไอซีเจ กล่าว

ในสัปดาห์นี้ ภรรยาของบิลลี่ หรือ พิณนภา พฤกษาพรรณ ได้กล่าวกับไอซีเจว่า ครั้งสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่ได้ติดต่อมาเพื่อพูดคุยถึงเรื่องการสอบสวนคดีของบิลลี่กับเธอและครอบครัวนั้นได้ผ่านมาล่วงปีแล้ว

"ประเทศไทยมีหน้าที่อย่างชัดเจนที่จะต้องดำเนินการสอบสวนคดีของบิลลี่จนกว่าจะทราบถึงชะตากรรมและสถานที่อยู่ของบิลลี่ และยังต้องทำให้เกิดความมั่นใจว่ากระบวนการสอบสวนและผลลัพธ์ที่ได้นั้นจะเป็นไปโดยโปร่งใส ซึ่งความโปร่งใสนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อครอบครัวของผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการสอบสวน" แอ๊บบอต กล่าว

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2560 ประเทศไทยได้จัดตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบไปด้วยกรรมการ 18 คน รวมดีเอสไอ เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายในการป้องกันการกระทำการทรมานและการบังคับให้บุคคลสูญหาย และเพื่อที่จะสอบสวนรวมถึงเยียวยาชดเชยให้แก่ผู้เสียหายตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่น ๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention Against Torture and Other, Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment - CAT) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance - ICPPED)  ซึ่งประเทศไทยได้ทำการลงนามไว้ หากแต่ยังไม่ได้ให้สัตยาบัน

เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2560 คณะกรรมการได้กล่าวไว้ว่าจะดำเนินการพิจารณาคดีการบังคับบุคคลให้สูญหายไม่ว่าจะเป็นคดีที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรือคดีที่เกิดขึ้นใหม่ก็ตาม ทั้งนี้รวมไปถึงคดีของบิลลี่ด้วย

อย่างไรก็ดี คณะกรรมการยังต้องแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของตนในการปฏิบัติตามพันธกรณีตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของประเทศไทย

"แม้ว่าการที่ประเทศไทยได้พยายามที่จะดำเนินคดีกับกรณีที่มีการกล่าวหาว่ามีการทรมาน การประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย และการบังคับบุคคลให้สูญหาย จะเป็นเรื่องหน้ายินดี แต่คณะกรรมการดังกล่าวก็ไม่ควรที่จะถูกมองว่าจะมาแทนที่การกำหนดให้การกระทำดังกล่าวเป็นอาชญากรรมในกฎหมายภายในประเทศของไทย" แอ๊บบอต กล่าว

ความเป็นมา

รายงานข่าวระบุถึงความเป็นมาด้วยว่า นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2557 เป็นต้นมา ไอซีเจได้ดำเนินการเรียกร้องให้ดีเอสไอรับคดีดังกล่าวไว้เป็นคดีพิเศษมาโดยตลอด

เมื่อเดือน มกราคม 2560 สามปีภายหลังจากที่บิลลี่ถูกกระทำการที่มีลักษณะเป็นการบังคับให้สูญหาย ดีเอสไอได้ปฏิเสธที่จะรับคดีบิลลี่เป็นคดีพิเศษตามที่พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของบิลลี่ ร้องขอ โดยอ้างถึงเหตุผลสามประการ ได้แก่ การสืบสวนยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ อีกทั้งยังให้เหตุผลว่าภรรยาของบิลลี่เองนั้นไม่มีสิทธิในการยื่นเรื่องร้องเรียนเนื่องจากว่าไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรสกับบิลลี่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และการสอบสวนของดีเอสไออาจจะกระทำได้หากมีการพบเจอร่างของบิลลี่เท่านั้น

รัฐบาลไทยได้ส่งสัญญาณว่าตนตระหนักได้ถึงความรุนแรงของอาชญากรรมการบังคับบุคคลให้สูญหาย และแสดงเจตจำนงที่จะต่อต้านอาชญากรรมดังกล่าวด้วยการลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับเมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

อนุสัญญาฯ ดังกล่าวได้ยืนยันถึงสิทธิโดยเด็ดขาดที่บุคคลจะไม่ถูกบังคับให้สูญหาย และกำหนดให้รัฐมีพันธกรณีในการที่จะต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนการกระทำที่เป็นการบังคับบุคคลให้สูญหายและกำหนดให้อาชญากรรมดังกล่าวเป็นความผิดทางอาญาที่มีบทลงโทษที่เหมาะสมกับ "ความร้ายแรงอย่างยิ่ง" ของอาชญากรรมการบังคับบุคคลให้สูญหาย และจะต้องกระทำการที่จำเป็นต่างๆเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาสู่กระบวนการยุติธรรม

ดีเอสไอนั้นถูกจัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 โดยมีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งรวมถึงคดีความผิดทางอาญาที่มีความซับซ้อน จำเป็นต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ คดีความผิดทางอาญาที่เป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรม และคดีความผิดทางอาญาที่มีผู้ทรงอิทธิพลที่สำคัญเป็นตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน

ในขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในระหว่างการร่างกฎหมายภายในประเทศที่จะกำหนดให้การทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นอาชญากรรม แต่ว่ากระบวนการดังกล่าวกลับมีความล่าช้า โดยในขณะนี้ กระทรวงยุติธรรมของประเทศไทยกำลังดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องต่อร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ('ร่างพระราชบัญญัติ') เป็นรอบที่สอง

ไอซีเจกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าร่างพระราชบัญญัติที่มีเนื้อหาตามที่ปรากฏในปัจจุบัน รวมถึงที่ถูกแก้ไขปรับปรุงในฉบับลงวันที่ 6 มี.ค. 2561 หากนำมาบังคับใช้แล้วจะทำให้ประเทศไทยล้มเหลวในการบัญญัติกฎหมายที่สะท้อนถึงพันธกรณีของประเทศไทยภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2560 ประเทศไทยได้กล่าวต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติว่า"ได้มีความพยายามที่จะโอนย้ายคดี (ของบิลลี่) จากพนักงานสอบสวนในระดับท้องถิ่นมายังดีเอสไอ แต่ว่าทางดีเอสไอได้ปฏิเสธที่จะรับคดีดังกล่าวไว้ อย่างไรก็ดี ทางเอสไอก็จะยังให้ความช่วยเหลือในการติดตามค้นหาตัวบิลลี่และทำการสอบสวนในเบื้องต้นต่อไป"

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น