โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ประยุทธ์ ยันคุมตัวนักกิจกรรมยึดความถูกต้อง เผยเตรียมประกาศให้ อ.เจาะไอร้อง เป็นพื้นที่ปลอดภัย

Posted: 17 Apr 2018 01:10 PM PDT

พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ คุมตัวนักกิจกรรมยึดหลักความถูกต้อง เผยเตรียมจะประกาศให้พื้นที่อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาสเป็นพื้นที่ปลอดภัย 

17 เม.ย.2561 รายงานข่าวระบุว่า เมื่อเวลา 15.15 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีการควบคุมตัวนักกิจกรรมทางการเมืองว่า เจ้าหน้าที่ยึดหลักความถูกต้องในการดำเนินการ พร้อมขอความร่วมมือทุกฝ่ายมองเหตุการณ์ในภาพรวม ทั้งนี้การจัดกิจกรรมดังกล่าวยังไม่ใช้ช่วงเวลาที่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบกับการจราจร และการทำงานของเจ้าหน้าที่ และขอให้พิจารณาว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการสร้างความเดือดร้อนหรือละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้อื่นหรือไม่ ขอให้มองสองด้านและคำนึงถึงความเหมาะสมในการจัดกิจกรรม ระมัดระวังการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ในส่วนของภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่มีความจำเป็นในการดำเนินการเพื่อยุติกิจกรรมด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งนี้ พร้อมฝากให้สื่อมวลชนนำเสนอภาพข่าวที่ชัดเจน ถูกต้อง และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

เตรียมจะประกาศให้ อ.เจาะไอร้อง เป็นพื้นที่ปลอดภัย 

กรณีรัฐบาลเตรียมประกาศพื้นที่ปลอดภัยในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนและเจ้าหน้าที่คาดหวังว่าเหตุการณ์ความไม่สงบจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ไม่มีใครที่ทำงานแล้วไม่อยากให้งานสำเร็จลุล่วง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาภาคใต้ที่ผ่านมาได้ใช้หลายายยุทธศาสตร์ทั้งงานด้านความมั่นคง การพัฒนาและการพูดคุยเพื่อสันติสุข โดยมีประเทศมาเลเซียเป็นผู้ประสานงาน หวังว่ากระบวนการพูดคุยจะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้นได้ โดยเตรียมจะประกาศให้พื้นที่อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาสเป็นพื้นที่ปลอดภัย 

"หากฝ่ายเห็นต่างมีความจริงใจอยากแก้ไขปัญหาร่วมกัน เชื่อว่าคงไม่ใช้ความรุนแรงในพื้นที่ดังกล่าวอีก แต่ที่ผมกังวลคือฝ่ายเห็นต่างที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางสันติสุขจะเข้าไปก่อเหตุ จึงอยากฝากประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา ให้ความร่วมมือกับมาตรการของรัฐบาลในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย แม้ว่าอาจจะทำให้เกิดความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันบ้าง" หัวหน้า คสช. กล่าว

 

ที่มา : สำนักข่าวไทย และเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ครม. เห็นชอบ 3 แนวทางหนุนฟินเทค ตั้ง 'สถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน'

Posted: 17 Apr 2018 12:55 PM PDT

ครม.เห็นชอบแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน ผลักดันหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ให้และผู้ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ FinTech ตั้ง 'สถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน'

คณะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล

เมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : FinTech)  ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ

โดยสาระสำคัญของแนวทางการพัฒนาดังกล่าว เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล สรุปไว้ดังนี้ กระทรวงการคลัง รายงานว่า อุตสาหกรรม FinTech มีความสำคัญต่อการให้บริการทางการเงินและจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆ  ในวงกว้าง ซึ่งประเทศต่าง ๆ ได้มีการส่งเสริมอุตสาหกรรม FinTech  อย่างจริงจัง เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และไต้หวัน   เป็นต้น หากประเทศไทยมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรม FinTech ที่ชัดเจน รวมทั้งมีการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเพียงพอ จะทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม FinTech ในวงกว้าง จึงเห็นสมควรให้มีแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรม FinTech ดังนี้

1. พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ เพื่อให้ผู้ให้บริการและ ผู้ใช้บริการทางการเงินสามารถทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างสะดวกและปลอดภัย  โดยกระทรวงการคลังอยู่รหว่างผลักดันโครงการดังต่อไปนี้

1.1. แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) ที่ส่งเสริมการบูรณาการระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งในระบบภาครัฐและภาคเอกชน  ซึ่งหนึ่งในโครงการภายใต้แผนดังกล่าว คือ  การพัฒนาระบบโอนเงินพร้อมเพย์ (PromptPay)  โดยตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อเดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2560 มีการโอนเงินผ่านระบบดังกล่าวสูงถึง 390,000 ล้านบาท  และในปัจจุบัน กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการต่อยอดระบบเรียกเก็บเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Request to Pay)  เพื่อให้การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปอย่างสะดวกและปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย

1.2. โครงการพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Identification Platform) กระทรวงการคลัง ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศให้มีประสิทธิภาพปลอดภัย และสะดวกต่อการใช้งาน ทั้งนี้ ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุริจ (Ease of Doing Business) อีกด้วย

2. ผลักดันหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ให้และผู้ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ FinTech กระทรวงการคลังควรมีการผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized  Financial Institutions : SFIs) เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นทั้งผู้ให้และผู้ใช้บริการผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ  FinTech  มากขึ้น เช่น การรับจ่ายเงินภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์  การบูรณาการระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ การจ่ายสวัสดิการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์  การเพิ่มช่องทางในการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ของ SFIs เป็นต้น  เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรม FinTech อีกทางหนึ่ง

3. จัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน (Institute for Financial Innovation and Technology : InFinIT) โดยมีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อส่งเสริมและพัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อต่อการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม FinTech (FinTech Ecosystem) ในประเทศไทย (2) เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ FinTech ได้พบปะและเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการเงินของตนแก่ผู้ที่สนใจลงทุนหรือผู้ที่ต้องการนำนวัตกรรมไปใช้  (3) เพื่อผลักดันให้มีการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการให้บริการทางการเงินในประเทศไทยในทุกภาคส่วน ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมการสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ FinTech ของ SFIs  (4) เพื่อร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจใน FinTech และฝึกฝนทักษะที่จำเป็นให้แก่นักเรียนและนักศึกษา เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานในอุตสาหกรรม FinTech หรือเป็นผู้ประกอบการในอนาคต (Talent Pipeline) เพื่อส่งเสริม FinTech Ecosystem ในระยะยาว (5) เพื่อบูรณาการการพัฒนาและการส่งเสริม FinTech ระหว่างหน่วยงานกำกับดูแล ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธ.ป.ท.)  สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) รวมทั้งหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานวัตกรรมและธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกประกาศกำหนดมาตรฐานปลาร้า

Posted: 17 Apr 2018 12:20 PM PDT

ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง "กําหนดมาตรฐานสินค้าเกษตร : ปลาร้า" หรือ "มกษ. 7023-2561" โดยนิยามปลาร้าว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักปลากับเกลือ แล้วเติมรำข้าว และ/หรือรำข้าวคั่ว และ/หรือข้าวคั่ว "มีลักษณะเป็นตัวหรือชิ้น เนื้อปลานุ่ม มีสีตามลักษณะปกติของผลิตภัณฑ์ มีกลิ่นรสที่ดีตามลักษณะเฉพาะ (characteristic) ของปลาร้า และอยู่ในภาชนะบรรจุที่สามารถป้องกันการปนเปื้อน" มีกลิ่นหอมตามลักษณะเฉพาะของปลาร้า ไมมีกลิ่นอื่นที่ไม่พึงประสงค์ มีปริมาณเกลือ (โซเดียมคลอไรด์) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 18 โดยน้ำหนัก

ที่มาของภาพ: เว็บไซต์ไทอีสานมักม่วน

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 135 ตอนพิเศษ 87 ง วันที่ 17 เมษายน 2561เผยแพร่ ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กําหนดมาตรฐานสินค้าเกษตร : ปลาร้า ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 ระบุว่า "ด้วยคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร เห็นสมควรกําหนดมาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง ปลาร้า เป็นมาตรฐานทั่วไป ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 เพื่อส่งเสริมสินค้าเกษตร ให้ได้คุณภาพ มาตรฐาน และปลอดภัย

อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 5 มาตรา 15 และมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติ มาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 ประกอบมติคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร ในการประชุม ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2561 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงออกประกาศกําหนดมาตรฐานสินค้าเกษตร : ปลาร้า มาตรฐานเลขที่ มกษ. 7023 - 2561 ไว้เป็น มาตรฐานทั่วไป ดังมีรายละเอียดแนบท้ายประกาศนี้

ทั้งนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

โดยท้ายประกาศ ระบุวันที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ลงนามโดย ลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ทั้งนี้ในรายละเอียดของมาตรฐานสินค้าเกษตรปลาร้า (มกษ. 7023-2561) ระบุคำอธิบายผลิตภัณฑ์ว่า "ปลาร้า (Pla-ra, fermented fish, salt-fermented fish) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักปลากับเกลือ แล้วเติมรำข้าว และ/หรือรำข้าวคั่ว และ/หรือข้าวคั่ว มีลักษณะเป็นตัวหรือชิ้น เนื้อปลานุ่ม มีสีตามลักษณะปกติของผลิตภัณฑ์ มีกลิ่นรสที่ดีตามลักษณะเฉพาะ (characteristic) ของปลาร้า และอยู่ในภาชนะบรรจุที่สามารถป้องกันการปนเปื้อน"

โดยกำหนดคำอธิบายกระบวนการผลิตว่า "ปลาร้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำปลาที่ผ่านการขอดเกล็ด ควักไส้ (ยกเว้นปลาตัวเล็ก) มาหมักกับเกลือในระยะเวลาหนึ่ง แล้วเติมรำข้าว และ/หรือรำข้าวคั่ว และ/หรือข้าวคั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม และหมักต่อเพื่อให้ได้กลิ่นรสที่มีลักษณะเฉพาะของปลาร้า หรือหมักส่วนประกอบทั้งหมดพร้อมกันในถัง/โอ่ง/ภาชนะ/บ่อที่สะอาด มีฝาปิดมิดชิดในระยะเวลาที่เหมาะสมก่อนบรรจุในภาชนะบรรจุ"

นอกจากนี้ยังระบุคุณลักษณะทางกายภาพของปลาร้าว่า (1) ลักษณะทั่วไป ส่วนประกอบต้องคลุกเคล้าให้เข้ากันพอดี ไม่แห้ง แฉะ หรือเละเกนไปตามลักษณะเฉพาะของปลาร้า เนื้อปลาต้องนุ่ม สภาพผิวคงรูป หนังไม่ฉีกขาด (2) สี มีสีปกติตามลักษณะเฉพาะของปลาร้า เนื้อปลามีสีชมพูอ่อนหรือสีอื่น เช่น สีเหลืองอ่อน สีส้มอ่อน สีน้ำตาลอ่อน (3) กลิ่นหอมตามลักษณะเฉพาะของปลาร้า ไมมีกลิ่นอื่นที่ไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นคาว กลิ่นอับ กลิ่นหืน กลิ่นสาบ กลิ่นเหม็นเปรี้ยว (4) กลิ่นรส มีกลิ่นรสที่ดีตามลักษณะเฉพาะของปลาร้า ไม่มีกลิ่นรสที่ไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นรสเปรี้ยวบูด นอกจากนี้กำหนดให้ปลาร้าต้องมีปริมาณเกลือ (โซเดียมคลอไรด์) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 18 โดยน้ำหนัก

โดยรายละเอียดของมาตรฐานสินค้าเกษตรปลาร้าทั้งหมดสามารถอ่านได้ที่ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปธน. เกาหลีใต้คาดหวัง 'สันติภาพถาวร' นัดคุย 'คิมจองอึน' ศุกร์หน้า

Posted: 17 Apr 2018 11:41 AM PDT

มูนแจอิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ กล่าวก่อนจะเข้าประชุมสุดยอดผู้นำกับคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ระบุ เลิกโครงการนิวเคลียร์มาก่อน หลังเกาหลีเหนือ-ใต้ คุยกันแล้วจะมีการประชุมสุดยอดทั้งสองเกาหลีกับสหรัฐฯ ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.

ขบวนนักกีฬาของสองเกาหลีเดินขบวนในพิธีเปิดร่วมกันภายใต้ธงรวมชาติในกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ผ่านมา (ที่มา: Facebook/ PyeongChang 2018)

เมื่อ 17 เม.ย. สำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้รายงานว่า ประธานาธิบดีมูนแจอิน ของเกาหลีใต้ แสดงความต้องการที่จะสร้างสันติภาพอย่างถาวรบนคาบสมุทรเกาหลี โดยการล้มเลิกโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือจะเป็นเรื่องที่เร่งด่วนที่สุด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายในการสร้างการอยู่ร่วมกันและความเจริญร่วมกันระหว่างสองเกาหลี

"การล้มเลิกโครงการนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีอย่างเบ็ดเสร็จเป็นเป้าหมายที่เร่งด่วนที่สุดของเรา และการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวต้องเป็นไปอย่างสันติ" ประธานาธิบดีเกาหลีใต้กล่าวระหว่างเข้าร่วมพิธีกรรมทางพุทธศาสนาในกรุงโซล พิธีถูกจัดขึ้นเพื่อฉลองความสำเร็จในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำระหว่างผู้นำเกาหลีเหนือ คิมจองอึน และประธานาธิบดีเกาหลีใต้

มูนแจอินมีกำหนดพบกับผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือในวันศุกร์หน้า ซึ่งจะเป็นการพบปะระหว่างผู้นำสองเกาหลีครั้งที่สาม และหลังจากนั้นจะเป็นการประชุมสุดยอดผู้นำของสองเกาหลีกับสหรัฐฯ ที่อาจมีขึ้นในปลายเดือน พ.ค. หรือต้นเดือน มิ.ย. ตามที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าว

มูนแจอินระบุว่าเป้าหมายของการประชุมสุดยอดผู้นำของสองเกาหลีคือการสร้างสันติภาพอย่างถาวรบนคาบสมุทรเกาหลี เพื่อ "ทลายกำแพงระหว่างเหนือและใต้เพื่อสร้างเส้นทางสู่การอยู่ร่วมกันและการพัฒนาร่วมกัน"

"ครอบครัวที่พลัดพราดต้องสามารถกลับมาพบกัน และสามารถไปมาหาสู่กันได้อย่างเสรี" มูนแจอินกล่าว

'คิมจองอึน' เยือนจีนไม่เป็นทางการพบ 'สีจิ้นผิง' ย้ำ มุ่งแก้ปัญหานิวเคลียร์ตั้งแต่รุ่นปู่

คณะผู้แทนเกาหลีใต้เยือนเกาหลีเหนือครั้งประวัติศาสตร์ ดันประเด็นปลดนิวเคลียร์

ความพยายามหลังฉากของเหล่านักการทูต กว่าจะทำให้เกาหลีเหนือเข้าร่วม 'โอลิมปิกฤดูหนาว'

ที่ผ่านมา ท่าทีของเกาหลีเหนือที่เป็นมิตรมากขึ้นทำให้ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีคลายตัวลง ไล่ตั้งแต่การเยือนเกาหลีใต้ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวของคิมโยจอง น้องสาวของคิมจองอึนเมื่อเดือน ก.พ. มาจนถึงการไปเยือนกรุงเปียงยาง เมืองหลวงเกาหลีเหนือของคณะผู้แทนทางการทูตของเกาหลีใต้เมื่อ 5 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยผู้นำเกาหลีเหนือได้แสดงเจตจำนงในการยกเลิกโครงการนิวเคลียร์และท่าทียั่วยุต่างๆ และพร้อมคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ล่าสุด 28 มี.ค. ที่ผ่านมา คิมจองอึนได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างไม่เป็นทางการ ณ กรุงปักกิ่งด้วยรถไฟ โดยเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกของผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ

แปลจาก

Moon vows efforts to establish peace between the two Koreas, Yonhap, Apr. 17, 2018

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นิสิตจุฬาฯ ท้า 'ประยุทธ์' ดีเบตปมอนาคตและทางออกของประเทศไทย

Posted: 17 Apr 2018 10:31 AM PDT

ธนวัฒน์ หนึ่งในนิสิต จุฬาฯ กลุ่มชูป้ายเสียดสี พล.อ.ประยุทธ์ โพสต์สาส์นท้าดีเบต หัวหน้า คสช. ปมอนาคตและทางออกของประเทศไทย 

17 เม.ย.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนวัฒน์ วงศ์ไชย รองประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในนิสิตที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ตามสอดส่อง หลังเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มนิสิตจุฬาฯ ที่ชูป้ายเชิงเสียดสีใส่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น ล่าสุดวันนี้ (17 เม.ย.61) เขาโพสต์สาส์นท้าดีเบต ถึง พล.อ.ประยุทธ์ เรื่องอนาคตและทางออกของประเทศไทย 

ธนวัฒน์ ระบุถึง พล.อ.ประยุทธ์ ว่า ดังที่ท่านได้บอกกับพวกเราในวันที่พวกเราไปชูป้าย "ชาวจุฬาฯ รักลุงตู่ (เผด็จการ)" ว่า "เวลาประเทศเสียหาย ให้ออกมาด้วยนะ" และในเวลานี้ที่ประเทศชาติเสียหายมามากพอแล้ว ตนจึงอยากจะเชิญท่านมาร่วมดีเบตกันเพื่อหาทางออกให้กับประเทศไทย จากวิกฤตความน่าเชื่อถือทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม พูดคุยเกี่ยวกับเศรษฐกิจแบบ 4.0 และระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาของประเทศไทยในอนาคตอย่างประเด็นสังคมผู้สูงวัย (aging society) และความยั่งยืนทางการคลัง (fiscal sustainability) ที่ท้าทายประเทศไทยของเราเป็นอย่างมาก รวมทั้งการถกเรื่อง "สิทธิมนุษยชน" ซึ่งถือว่าเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลของท่านได้ประกาศไว้ แต่ในทางปฏิบัติกลับยังคงมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศนี้อย่างต่อเนื่อง

"ผมจึงขอเชิญท่านมาร่วมดีเบตกับผมในเวลาและสถานที่ที่ท่านสะดวก เพื่อหาทางออกให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากความเสียหายนี้เสียที เพื่อยุติทศวรรษที่สูญหาย (lost decade) และเริ่มต้นทศวรรษใหม่ที่ดีกว่าเดิม ทศวรรษที่เป็นจุดสมดุลระหว่างประชาชนกับประชาธิปไตยโดยไม่มีเผด็จการ" ธนวัฒน์ โพสต์

ธนวัฒน์ ระบุว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ รับคำท้านี้ขอให้แจ้งเวลาและสถานที่ที่สะดวกผ่านทางสื่อ เพื่อให้สื่อมวลชนได้เข้าร่วมฟังเป็นสักขีพยาน และเพื่อสาธารณชนได้ร่วมชื่นชมในวิสัยทัศน์ของท่านพร้อมกันด้วย
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

DSI แถลงยันคดี 'บิลลี่' หายตัว ยังอยู่ในกระบวนการทำงาน ปัดมีมติไม่รับเป็นคดีพิเศษ

Posted: 17 Apr 2018 09:14 AM PDT

กรมสอบสวนคดีพิเศษ ออกแถลงยืนยันคดีการหายตัวของ 'พอละจี รักจงเจริญ' ยังอยู่ในกระบวนการทำงาน มิใช่มีมติไม่รับเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษแล้วตามที่ปรากฏในข่าวแต่อย่างใด 

 

17 เม.ย. 2561 เว็บไซต์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เผยแพร่คำแถลงของ คณะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุว่า ตามที่ปรากฏข่าวในสื่อสาธารณะ กรณีหนังสือพิมพ์มติชนออนไลน์ ประจำวันที่ 17 เม.ย. 2561 ได้นำเสนอแถลงการณ์ของ คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2561 เกี่ยวกับคดีการหายตัวไปของ พอละจี รักจงเจริญ หรือ "บิลลี่" นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ที่หายตัวไปในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2557 ว่า "ประเทศไทย : ยังคงไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในวันครบรอบ 4 ปีที่ "บิลลี่" ถูกบังคับสูญหาย" และระบุว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษปฏิเสธการรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ โดยได้เรียกร้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนและสอบสวนเรื่องดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ นั้น

 

แถลงของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุว่า เนื่องจากข้อมูลกรณีดังกล่าวคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงอยู่มาก กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงขอชี้แจงทำความเข้าใจต่อสาธารณชน ดังนี้

1. พอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำชาวบ้านกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยและสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ได้หายตัวไปเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2557 ระหว่างที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจับกุมในความผิดเก็บของป่าและถูกควบคุมตัวอยู่

2. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก่งกระจาน พื้นที่เกิดเหตุ ได้ดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานที่เกี่ยวข้องกับการจับกุมนายพอละจีฯ ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีอ้างว่าจับกุมนายพอละจีฯในความผิดเก็บของป่า แต่ปล่อยตัวไปโดยไม่ได้ดำเนินคดี และส่งสำนวนการสอบสวนไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ สำนักงาน ป.ป.ท. แล้ว โดยเรื่องอยู่ระหว่างการไต่สวน

3.  พิณนภา พฤกษาพรรณ หรือมีนอ ภรรยาของพอละจี ได้ยื่นเรื่องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสืบสวนเกี่ยวกับการหายตัวไปของพอละจี อีกทางหนึ่ง และขอให้รับเป็นคดีพิเศษ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทำงานโดยบูรณาการกับตำรวจภูธรภาค7 และหน่วยงานในพื้นที่ ปัจจุบันสืบสวนเสร็จแล้ว เห็นว่าการหายตัวไปอาจเกิดจากการกระทำผิดอาญา กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงเสนอเรื่องต่อคณะอนุกรรมการคดีพิเศษ และคณะอนุกรรมการคดีพิเศษได้เสนอความเห็นควรรับเป็นคดีพิเศษต่อคณะกรรมการคดีพิเศษในการประชุมครั้งที่ผ่านมาแล้ว ในการประชุม คณะกรรมการคดีพิเศษเห็นว่ายังขาดข้อมูลในส่วนที่คณะกรรมการ ป.ป.ท.ดำเนินการอยู่มาประกอบการพิจารณามีมติว่าไม่ซ้ำซ้อนกับอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ท. และเนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญที่กระทบอำนาจการสอบสวน คณะกรรมการคดีพิเศษจึงมีมติให้กรมสอบสวนคดีพิเศษไปดำเนินการเพิ่มเติมในส่วนดังกล่าว และนำเสนอเพื่อประกอบการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษเพื่อมีมติในครั้งต่อไป

กรมสอบสวนคดีพิเศษยืนยันว่าการดำเนินการทุกประการเป็นไปตามกฎหมาย และเรื่องยังอยู่ในกระบวนการทำงาน มิใช่มีมติไม่รับเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษแล้วตามที่ปรากฏในข่าวแต่อย่างใด จึงชี้แจงมาเพื่อทราบ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

‘ทรู’ เผย ข้อมูลรั่วเพราะถูกแฮ็ก คนพบชี้ โฟลเดอร์ไม่ล็อค แจ้งเป็นเดือนถึงปิด

Posted: 17 Apr 2018 07:34 AM PDT

ตัวแทนทรูมูฟเอช ไอทรูมาร์ท ชี้แจงกรณีภาพสำเนาบัตรประชาชนรั่วเพราะถูกแฮ็ก ข้อมูลหลุดจำนวน 11,400 ราย ด้านนักวิจัยด้านความปลอดภัยที่พบโฟลเดอร์สำเนาบัตร ระบุ พบสำเนาบัตรราว 46,000 ไฟล์ ไม่ถูกล็อคด้วยการรักษาความปลอดภัยใดๆ แจ้งทรูเป็นเดือนกว่าจะปิดโฟลเดอร์เป็นส่วนตัว

กสทช. ให้บริษัท ทรูมูฟ เอช  ชี้แจงกรณีข้อมูลบัตรประชาชนของผู้ใช้บริการถูกเปิดเผยในที่สาธารณะ

17 เม.ย. 2561 สืบเนื่องจากกรณีข่าวการค้นพบข้อมูลบัตรประชาชนลูกค้าทรูในบริการเก็บข้อมูลคลาวด์ของอเมซอน ไทยโพสท์ รายงานว่า ภัคพงศ์ พัฒนมาศ รองผู้อำนวยการธุรกิจโมบายล์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น และสืบสกุล สกลสัตยาทร กรรมการผู้จัดการบริษัทแอสเซนต์ คอมเมิร์ซ จำกัด หรือไอทรูมาร์ท ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงกับฐากร ตัณฑสิทธิ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) และ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพร กรรมการ กสทช.

สืบสกุลกล่าวว่า ข้อมูลที่รั่วไหลเป็นสำเนาบัตรประชาชนของลูกค้าที่ซื้อซิมพร้อมเครื่องของทรูมูฟ เอช จำนวน 11,400 รายจากลูกค้าทั้งหมด 1 ล้านราย ในระหว่างปี 2558-2560 โดยถูกจารกรรมข้อมูล หรือแฮ็คออกมา ทางบริษัทได้ทราบเรื่องเมื่อ 11 เม.ย. ที่ผ่านมา และจัดการระงับช่องโหว่ไปแล้วเมื่อวันที่ 12 เม.ย. และยังไม่ได้รับรายงานความเสียหายจากลูกค้ากลุ่มนี้

ไอทรูมาร์ทได้ติดตั้งระบบบนคลาวด์ โดยใช้ Amazon S3 ข้อมูลที่เก็บไว้นั้นบุคคลทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ มีเพียงผู้เชี่ยวชาญที่จะเจาะข้อมูลเข้าไปได้โดยใช้เครื่องมือแบบพิเศษ

ทั้งนี้ บริษัทจะเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันนี้เพื่อสงวนสิทธิของลูกค้ากลุ่มนี้ และจะส่งข้อความ SMS เตือนไปยังลูกค้าเพื่อแจ้งว่ามีการเจาะข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

ก่อนจะมีข่าวนี้ นีล เมอร์ริแกน นักวิจัยด้านความปลอดภัยที่เฝ้าดูการสร้างพื้นที่เก็บข้อมูลหรือ bucket ใน S3 ได้เขียนในบล็อกส่วนตัวว่า เขาลองสแกน bucket แล้วพบโฟลเดอร์ชื่อ truemoveh/idcard อยู่ พร้อมกับโฟลเดอร์ย่อยตามปีและเดือน และมีไฟล์ภาพบัตรประชาชน โดยไฟล์ตัวอย่างขีดคร่อมไว้ว่า "ใช้เพื่อลงทะเบียนหมายเลขใหม่กับทรูมูฟเอชเท่านั้น" โฟลเดอร์ไม่ได้ถูกกำกับด้วยระบบรักษาความปลอดภัยใดๆ สามารถดาวน์โหลดได้ โดยมีจำนวนไฟล์ถึง 46,000 ไฟล์

นีลได้ติดต่อไปยังทวิตเตอร์ของทรูมูฟเอช และส่งรายงานเรื่องหลักฐานไปยังอีเมล์ของทรูเมื่อ 10 มี.ค. ที่ผ่านมา รายงานยังระบุถึงวิธีการค้นพบสำเนาบัตรประชาชน ตัวอย่างไฟล์ นีลยังขอพูดคุยกับทีมรักษาความปลอดภัยของทรูมูฟ แต่ทางทรูมูฟตอบกลับมาว่าบริษัทไม่มีแผนกรักษาความปลอดภัย และแนะนำให้ติดต่อสำนักงานใหญ่ในเวลาทำการ

หลังจากนั้นนีลได้ติดต่อนักข่าวจากสื่อ เดอะ รีจิสเตอร์ ให้ผลักดันประเด็นนี้ ในวันที่ 4 เม.ย. ทรูมูฟเอชได้ติดต่อกลับมาหานีลว่าจะดำเนินการต่อ อย่างไรก็ตาม นีลระบุว่าเขายังสามารถเข้าไปดูไฟล์ได้จนกระทั่งเวลา 19.00 น. ของวันที่ 12 เม.ย. ที่โฟลเดอร์ถูกตั้งค่าให้เป็นส่วนตัว

ต่อมาในวันที่ 13 เม.ย. สื่อเดอะรีจิสเตอร์ ของอังกฤษ ได้ตีแผ่เรื่องราวนี้ และระบุว่า นีล พยายามแจ้งปัญหาให้ทางทรูมูฟเอชทราบ แต่ทางบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของไทยนั้นให้การตอบรับช้า

สื่อสกายไฮเน็ตเวิร์ก รายงานว่า ในปี 2560 Amazon ครองส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจที่เก็บข้อมูลออนไลน์หรือที่เรียกว่า คลาวด์ มากที่สุด โดยมีสัดส่วนครองตลาดถึงร้อยละ 47.1 จากนั้นเป็นไมโครซอฟท์ อาเซอร์ ร้อยละ 10 กูเกิล ร้อยละ 3.95 ไอบีเอ็ม ซอฟท์เลเยอร์ ร้อยละ 2.77 และอื่นๆ อีกร้อยละ 36.18

Amazon S3 ที่ทรูมูฟเอชใช้ เป็นแพลตฟอร์มคลาวด์เดียวกันกับที่หลายธุรกิจยักษ์ใหญ่ระดับโลกใช้ เช่น เน็ตฟลิกซ์ แอร์บีเอ็นบี ธอมสันรอยเตอร์ เว็บไซต์ของแพลตฟอร์มระบุว่ามาตรฐานด้านความปลอดภัยของ Amazon S3 ได้รับการรับรองจากหลายสถาบัน

หน้าบัตรสำคัญไฉน ชวนดูความหมายเลข 13 หลัก เมื่อ รมว.มหาดไทยบอกว่าภาพหลุด 'เพียง' หน้าบัตร

วันนี้ (17 เม.ย. 61) มติชน รายงานว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวถึงกรณีการรั่วไหลของข้อมูล โดยยืนยันว่าข้อมูลที่หลุดไปเป็นเพียงข้อมูลหน้าบัตรประชาชนเท่านั้น ข้อมูลเชิงลึกยังไม่ได้หลุดออกไปอย่างแน่นอน เพราะมีระบบป้องกันข้อมูลส่วนตัวของประชาชน เข้าถึงได้เฉพาะเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ

ผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตว่า บนบัตรประชาชนมีข้อมูลที่อยู่ วัน เดือน ปี เกิด และเลขบัตรประชาชนที่อาจนำไปเชื่อมโยงไปยังฐานข้อมูลอื่นๆ โดยเว็บไซต์กรมการปกครองส่วนท้องถิ่นระบุว่า เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก  คือเลขที่ทางราชการกำหนดให้แก่ประชาชนทุกคนทั่วทั้งประเทศมีจำนวน 13 ตัว เรียกสั้นๆ ว่าเลข 13 หลัก แต่ละหลักต่างก็มีความหมายในตัวของมันเอง ดังนี้

หลักที่ 1 หมายถึงประเภทบุคคล   ส่วนใหญ่จะได้หมายเลข 3 คือ บุคคลที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตอนเริ่มโครงการให้เลขฯ ถ้าเกิดตั้งแต่วันที่ 17 ธ.ค.2526 จะได้เลข 1  ซึ่งหมายถึงได้แจ้งเกิดตามกำหนด ถ้าแจ้งเกิดเกินกำหนดจะได้เลข 2 เป็นต้น ซึ่งมี 8 ประเภท คือ

ประเภทที่ 1 ได้แก่ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา (ตั้งแต่1 ม.ค. 2527)

ประเภทที่ 2 ได้แก่ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2527)

ประเภทที่ 3 ได้แก่คนไทยและคนต่างด้าวที่ มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีที่อยู่ในทะเบียนบ้านในสมัยเริ่มแรก (1 ม.ค. - 31 พ.ค.2527)

ประเภทที่ 4 ได้แก่ คนไทยและคนต่างด้าวที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชนในสมัยเริ่มแรก (1 ม.ค. - 31 พ.ค. 2527)

ประเภทที่ 5 ได้แก่ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อเข้าในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจหรือกรณีอื่น ๆ

ประเภทที่ 6 ได้แก่ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฏหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฏหมายแต่จะอยู่ในลักษณะชั่วคราว

ประเภทที่ 7 ได้แก่ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย

ประเภทที่ 8 ได้แก่ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฏหมาย คือ ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว คนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย

หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 หมายถึงรหัสของสำนักทะเบียนที่บุคคลมีชื่อในทะเบียนบ้านในขณะให้เลข สำหรับเด็กเกิดใหม่จะหมายถึงถิ่นที่เกิด โดยหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงจังหวัดหลักที่ 4 และ 5 หมายถึงอำเภอหรือเทศบาล

หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 หมายถึงกลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภทตามหลักแรก หรือหมายถึงเล่มที่ของสูติบัตรแล้วแต่กรณี

หลักที่ 11 และ 12 หมายถึงลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภท หรือหมายถึงใบที่ของสูติบัตรแต่ละเล่มแล้วแต่กรณี

หลักที่ 13 คือ ตัวเลขตรวจสอบความถูกต้องของเลข 12 หลักแรก

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ศรีสุวรรณ' ร้อง 'ประยุทธ์' ยุติแพร่หนังสือประวัติศาสตร์ อัดเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อของ คสช.

Posted: 17 Apr 2018 06:48 AM PDT

หลังพบเนื้อหาอวย พล.อ.ประยุทธ์ในหนังสือ "ประวัติศาสตร์ชาติไทย" โดย กรมศิลปากร ศรีสุวรรณ ร้องหยุดเผยแพร่หนังสือดังกล่าว ชี้เป็นเพียงม๊อตโต้โฆษณาชวนเชื่อของ คสช.เท่านั้น

17 เม.ย.2561 จากกรณี เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟสบุ๊คเมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา เผยเนื้อหาช่วงหนึ่งในหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทย ของกรมศิลปากร มีรายละเอียดทั้ง ดังนี้

"..พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดำเนินนโยบายปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ขจัดการฉ้อราษฎร์บังหลวง และใช้หลักคุณธรรม เพื่อนำประเทศให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง..."

หนังสือ "ประวัติศาสตร์ชาติไทย" โดย กรมศิลปากร (2558) หน้า 195 (หน้าสุดท้ายของเล่ม)

วันนี้ (17 เม.ย.61) ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เผยแพร่แถลงการณ์ ของสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เรื่อง ขอให้หยุดเผยแพร่และทำลายหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทยที่บิดเบือนความจริง

แถลงของ สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ระบุว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้มอบให้กรมศิลปากรจัดพิมพ์หนังสือ "ประวัติศาสตร์ชาติไทย" ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นมาของประเทศไทย โดยมีเป้าหมายของหนังสือคือ

1. ตอบสนองเชิงนโยบายของรัฐบาล ให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ 2. ตอบสนองความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย นั้น แต่ข้อเท็จจริงตามที่ได้ปรากฎในโลกโชเชียลมีเดียเป็นการทั่วไปกลับ ขัดแย้งกันในข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์กับทางวิชาการ มีข้อมูลที่ผู้ไม่ประสงค์ปรองดองใช้มาโจมตี มีการพูดถึงการกำเนิดรัฐไทย ที่ไม่สอดคล้องกัน
ขณะที่เนื้อหาในเรื่องการเมือง ตอนหนึ่งระบุถึงการดำเนินนโยบายแบบประชานิยม และนายทักษิณ ชินวัตร มีปัญหาทุจริตเลือกตั้ง รวมถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำเนินนโยบายเน้นโปร่งใส แต่ใช้นโยบายประชานิยม แต่กลับพูดถึงการเข้ามาของพล.อ.ประยุทธ์ ว่าทำการรัฐประหารเพื่อขจัดการฉ้อราษฎร์บังหลวง ความว่า ... "..พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดำเนินนโยบายปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ขจัดการฉ้อราษฎร์บังหลวง และใช้หลักคุณธรรม เพื่อนำประเทศให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง..."

เนื้อหาดังกล่าวเป็นความเท็จที่บิดเบือนประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่ไม่อาจยอมให้โกหกกันได้อีกต่อไปแล้ว เพราะการปฎิรูปประเทศ ปฏิรูปการเมืองในขณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เป็นเพียงม๊อตโต้โฆษณาชวนเชื่อของ คสช.เท่านั้น การเขียนรัฐธรรมนูญก็ถอยหลังลงเหวไปไกลมาก มีการซ่อนเร้นเนื้อหาเพื่อปูทางให้มีการสืบทอดอำนาจ และไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายของประเทศจากการกระทำของ คสช. ในมาตรา 279 เป็นต้น จึงไม่สามารถสะท้อนให้เห็นบริบทใดว่าคือประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ นอกจากนั้น ก็เกิดปรากฎการณ์ของการทุจริตคอรัปชั่นกันอย่างกว้างขวาง ทั้งการโกงเงินคนจน โกงเงินเพื่อการศึกษา โกงวัคซีนสุนัข โกงตู้น้ำดื่มพลังแสงอาทิตย์ ฯลฯ ซึ่งสาธยายไม่หมดในยุคนี้ รวมทั้งการทำให้องค์การอิสระอ่อนแอ ไม่มีประสิทธิผลในการตรวจสอบ โดยเฉพาะแหวนเพชรแทงตา นาฬิกาหรู เป็นต้น
การบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยการใช้อำนาจเขียนประวัติศาสตร์ที่ไม่ตรงกับความจริง จะเป็นสิ่งชำรุดในทางประวัติศาสตร์ที่อาจถูกลูกหลานในอนาคตนำไปวิพากษ์เยอะเย้ยถากถางผู้มีอำนาจในยุคนี้ได้ แม้ตามหลักการแล้ว ผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์ แต่การเขียนก็ควรเคารพต่อความจริงร่วมกันด้วย

สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและหรือ หัวหน้า คสช. กู้ภาพลักษณ์ของตนเองกลับมาด้วยการสั่งให้ยุติการเผยแพร่และให้ทำลายหนังสือดังกล่าวที่ทำการแจกไปยังจังหวัดต่างๆจังหวัดละ 100 เล่มลงเสียโดยพลัน เพื่อคงไว้ซึ่งประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ถูกต้อง ไม่มีการบิดเบือน ไม่มีการเชลียร์ใดๆทั้งสิ้นในยุคไทยแลนด์ 4.0 นี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อุทธรณ์สั่งจำคุก 2 ปี 'ปลอดประสพ' แก้ไม่รอลงอาญา คดีกลั่นแกล้งไม่ตั้งขรก.ซี 9 ชดใช้ 1.4 ล้าน

Posted: 17 Apr 2018 06:08 AM PDT

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุก 'ปลอดประสพ' 2ปี โดยไม่รอลงอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กลั่นแกล้งไม่ตั้งข้าราชการซี 9 พร้อมชดใช้ 1.4 ล้าน ศาลให้ประกันตัวสู้คดีชั้นฎีกา ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ 

ที่มาภาพ เฟสบุ๊คแฟนเพจ ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี

17 เม.ย.2561 โพสต์ทูเดย์ รายงานว่า  วันนี้ ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซ.สีคาม ถ.นครไชยศรี ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.1063/2558 ที่ วิฑูรย์ ชลายนนาวิน อดีตรองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ปลอดประสพ สุรัสวดี อายุ 73 ปี อดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและอดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เมื่อระหว่างวันที่ 1 ต.ค.46 -12 พ.ย.54 ใช้ดุลยพินิจโดยไม่ชอบ ให้ระงับการมอบหมายงานในหน้าที่ตามคำสั่ง 399/2546 ที่ให้เลื่อนและแต่งตั้งโจทก์ขึ้นดำรงตำแหน่งผอ.สำนัก (นักวิชาการป่าไม้ 9)

ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาแก้ จากเดิมที่ศาลชั้นต้นให้รอลงอาญา 2 ปีและปรับ 20,000 บาท เป็นว่า ให้จำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา แต่ยังคงให้ชดใช้ค่าเสียหายโจทก์ด้วย 1.4 ล้านบาท

สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น รายงานด้วยว่า ศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตให้ประกันตัว โดยตีราคา 4 แสนบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไข ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เราจะต้องเดินหน้าเรื่องการเมือง ประยุทธ์เผยเหตุตั้งลูกชายกำนันเป๊าะ เป็นที่ปรึกษา

Posted: 17 Apr 2018 05:34 AM PDT

ประยุทธ์ จันทร์โอชาเผยเหตุผลกรณีตั้ง สนธนยา คุณปลื้ม แกนนำพรรคพลังชล ลูกชายกำนันเปาะ เป็นที่ปรึกษาด้านการเมือง ชี้ จำเป็นต้องมีคนแบบนี้ เพราะต่อจากนี้จะต้องเดินหน้าเรื่องการเมือง ย้ำอย่าเพิ่งคิดอะไรล่วงหน้ามากนัก การแต่งตั้งครั้งนี้จะแสดงให้เห็นว่าไม่ได้รังเกียจนักการเมือง

17 เม.ย. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงกรณีตั้งนายสนธยา คุณปลื้ม แกนนำพรรคพลังชล เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ว่า เป็นมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งเมื่อรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมให้เข้ามาทำหน้าที่และเมื่อตรวจสอบแล้วไม่พบว่าจะมีปัญหาขัดกฎหมายจึงมีมติแต่งตั้งได้ โดยจะให้มาดูเรื่องการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน

"ผมจำเป็นต้องมีคนแบบนี้เข้ามาบ้าง เพราะต่อจากนี้เราจะต้องเดินหน้าเรื่องการเมือง เพราะผมไม่รู้เรื่องการเมือง จึงต้องสอบถามคนที่รู้ อย่าเพิ่งคิดอะไรล่วงหน้ามากนัก ในอนาคตหากจะแต่งตั้งใครมาเพิ่ม ต้องรอเสนอชื่อเข้ามา แต่การแต่งตั้งแสดงให้เห็นว่าผมไม่ได้รังเกียจนักการเมือง" นายกรัฐมนตรี กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์รณรงค์ 'วันอนามัยโลก' เผยทั่วโลกชื่นชมบัตรทอง ครอบคลุมคนไทย 99.95%

Posted: 17 Apr 2018 01:12 AM PDT

ประยุทธ์ รณรงค์ 'วันอนามัยโลก' ร่วมติดเข็มกลัด 'สุขภาพดีถ้วนหน้า' เผยทั่วโลกชื่นชมนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย ครอบคลุมดูแลสุขภาพคนไทย 99.95% ระบุก้าวต่อไปลดความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพและทำระบบให้ยั่งยืน 
 
17 เม.ย.2561 รายงานข่าวแจ้งว่า วันนี้ ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล  ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พร้อมด้วย นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และ นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้นำ นพ.แดเนียล เอ. เคอร์เทสช์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย (Dr.Daniel A. Kertesz, WHO Representative to Thailand) และคณะผู้แทนทุกภาคส่วน เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานความก้าวหน้าตามนโยบาย "สุขภาพดีถ้วนหน้า" (Health for All) เนื่องในโอกาส "วันอนามัยโลก" หรือ "World Health Day" ตรงกับวันที่ 7 เมษายนของทุกปี พร้อมจัดแสดงนิทศรรการวันอนามัยโลก โดย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ได้ตรวจเยี่ยมความพร้อมและชมนิทรรศการก่อนเริ่มงาน
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้ทั่วโลกต่างชื่นชมระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทยอยู่แล้วที่ได้ดำเนินนโยบายนี้ ทำให้ครอบคลุมดูแลประชากรประเทศถึง 99.95% เหลือเพียงเด็กแรกเกิดเท่านั้น แต่หลังจากนี้จะทำอย่างไรเพื่อให้การรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขเป็นไปอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพของประเทศ โดยในส่วนของงบประมาณนั้น หากประเทศมีรายได้มากขึ้น งบประมาณประเทศก็จะมากขึ้น รวมถึงงบประมาณที่จะลงสู่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แต่หากรายได้ไม่เพิ่มขึ้น จะทำอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันคิดเพื่อทำให้ระบบเดินต่อไปได้และยั่งยืน 
 
พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า ขณะนี้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นสิทธิพื้นฐานอยู่แล้ว การออกแบบให้สามารถตรวจสอบสิทธิได้ง่ายและสะดวกเป็นเรื่องที่ดีและจำเป็น แต่ต้องให้ความสำคัญกับการเข้าถึงสิทธิด้วย ต้องช่วยกันหาทางว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้เมื่อยามจำเป็น
 
ด้าน นพ.แดเนียล เอ. เคอร์เทสช์ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นตัวอย่างที่ดีของความสำเร็จในการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อดูแลสุขภาพในประชากรในประเทศ เป็นผลจากการสนับสนุนของรัฐบาลและความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์และหน่วยบริการที่ได้ทำงานเสียสละมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นอย่างทั่วถึง
 
ก่อนหน้านี้ ตัวแทนผู้ป่วยที่เข้าถึงการรักษาจากนโยบายหลักประกันสุขภาพถุ้วนหน้า โดย นางสาวณัฐพร ภู่โชติ ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไต ได้ติดเข็มกลัด "สุขภาพดีถ้วนหน้า" ให้กับนายกรัฐมนตรี เพื่อขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ให้ความสำคัญต่อระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้ผู้ป่วยทั่วประเทศเข้าถึงการรักษาและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ขณะที่ ดช.ญาณากร ชุ่มเย็น หรือน้องมาร์ค ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดหัวใจ ได้รดน้ำขอพรจากนายกรัฐมนตรี โดยนายกฯ ได้กล่าวอวยพรชอให้น้องมาร์คแข็งแรง เรียนหนังสือเก่งๆ หายเจ็บหายป่วยตลอดไป
 
ทั้งนี้ "วันอนามัยโลก" ถูกกำหนดขึ้นโดยที่ประชุมสมัชชาอนามัยโลกครั้งแรก เพื่อให้ร่วมตระหนักถึงความสำคัญการมี "สุขภาพดีถ้วนหน้า" (Health for All) ที่เป็นเป้าหมายสำคัญในการดำเนินงานขององค์การอนามัยโลก และปี 2561 ในวาระครบ 70 ปี องค์การอนามัยโลก เป็นโอกาสอันดีเพื่อร่วมผลักดัน "หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อทุกคน ทุกหน ทุกแห่งภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วหน้าในปี 2568 สำหรับประเทศไทยเริ่มดำเนินนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าปี 2545 และจัดตั้ง "กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ" โดยมี สปสช. เป็นหน่วยงานดำเนินงาน ส่งผลให้คนไทยกว่า 48 ล้านคน เข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นอย่างครอบคลุมและทั่วถึง ไม่เพียงได้รับการยอมรับจากในประเทศ แต่ยังได้รับความชื่นชมจากองค์กรระหว่างประเทศและนานาชาติ ยกย่องให้ไทยเป็นต้นแบบของรัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพประชาชนอย่างต่อเนื่อง
 
ทั้งนี้ ด.ช.ญาณากร หรือ น้องมาร์ค เป็นผู้ป่วยรับการผ่าตัดหัวใจตั้งแต่อายุ 25 วัน ด้วยโครงการผ่าตัดหัวใจ 8,000 ดวง เฉลิมพระเกียรติ 80/84 พรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ดำเนินการเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2549 – 5 ธ.ค. 2550 ทำให้ลดจำนวนผู้ป่วยโรคหัวใจที่รอการผ่าตัด ทำให้เข้าถึงการรักษาได้ทันท่วงที ปัจจุบันน้องมาร์คมีร่างกายแข็งแรง เล่นกีฬา ช่วยแม่ทำงานบ้านได้ และเข้าเรียนตามปกติไม่ต่างจากเด็กทั่วไป มีเพียงรอยแผลผ่าตัดหัวใจที่แสดงให้เห็นว่าเคยป่วยด้วยโรคหัวใจรุนแรงที่อาจเสียชีวิตได้เท่านั้น
 
ณัฐพร เป็นผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังจากโรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง ( SLE) ตั้งแต่อายุ 18 ปี เริ่มต้นมีอาการบวมตามร่างกาย เหนื่อยง่าย มีผื่นขึ้นที่หน้าและผมร่วง ต้องรักษาโดยกินยากดภูมิคุ้มกันต่อเนื่อง ทำให้ไตทำงานน้อยลง เกิดภาวะไตเสื่อม ต้องรับการบำบัดทดแทนไตในที่สุด ต่อมาได้รับการปลูกถ่ายไตจากมารดา เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2559 ปัจจุบันมีร่างกายแข็งแรงดี ทำงานได้ตามปกติ แต่ยังต้องนัดตรวจเพื่อติดตามการรักษาเป็นระยะและรับยากดภูมิคุ้มกันต่อเนื่อง โดยผู้ป่วยใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทั้งปลูกถ่ายไตและรักษาโรค SLE รวมทั้งยังติดตามการรักษาต่อเนื่อง
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

4 ปีที่ 'บิลลี่' หายตัว แอมเนสตี้ชี้ทางการไทยดำเนินการล่าช้า ไร้ประสิทธิภาพ

Posted: 17 Apr 2018 12:44 AM PDT

แอมเนสตี้ร้องทางการไทยสอบสวนการหายตัวไปของ บิลลี่ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่หายตัวไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ชี้ที่ผ่านมามีการดำเนินการที่ล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เห็นถึงความล้มเหลวในการเยียวยาผู้เสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน

ภาพครอบครัวของบิลลี่

17 เม.ย.2561 เนื่องวาระครบรอบ 4 ปีที่นักกิจกรรมชาวกะเหรี่ยง พอละจี "บิลลี่" รักจงเจริญ ถูกกระทำการที่มีลักษณะเป็นการบังคับให้สูญหายไป ตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย. 2557 นั้น รายงานข่าวแจ้งว่า แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกแถลงการณ์ ระบุว่า พอละจีหายตัวไปที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หลังถูกควบคุมตัวในวันเดียวกันโดยเจ้าหน้าที่อุทยานซึ่งระบุว่า พวกเขาควบคุมตัวบิลลี่ไว้เนื่องจาก "การมีไว้ในครอบครองซึ่งน้ำผึ้งป่าอย่างผิดกฎหมาย" แต่ได้ปล่อยตัวเขาไปในวันนั้น อย่างไรก็ตาม มีพยานหลักฐานซึ่งสนับสนุนข้อสันนิษฐานที่ว่า บิลลี่ตกเป็นเหยื่อการบังคับบุคคลให้สูญหายและการสูญหายโดยไม่สมัครใจ ซึ่งนับเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง และเป็นอาชญากรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ

แอมเนสตี้ จึงเรียกร้องอีกครั้งให้ทางการไทยทำการสอบสวนการหายตัวไปของบิลลี่อย่างเป็นอิสระ เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และเยียวยาครอบครัวของเขาและผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ รวมทั้งนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และถึงเวลาแล้วที่ทางการไทยต้องกำหนดให้มีกรอบและสถาบันทางกฏหมาย เพื่อป้องกันและส่งเสริมการเยียวยากรณีการสูญหายโดยไม่สมัครใจและการบังคับบุคคลให้สูญหาย และยอมรับสิทธิของผู้เสียหาย รวมทั้งครอบครัวของผู้สูญหายและบุคคลหรือหน่วยงานอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการสูญหาย ซึ่งสำหรับพวกเขาแล้ว การสูญหายของบุคคลเป็นการละเมิดที่ต่อเนื่องและเป็นสาเหตุของความทุกข์อย่างยิ่ง

ที่ผ่านมาแอมเนสตี้พบว่าครอบครัวของบิลลี่ต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ ตั้งแต่ความล้มเหลวในการสอบสวนเพื่อหาตัวบิลลี่ ไปจนถึงความล่าช้าในการผ่านร่างกฎหมายเพื่อเอาผิดกับผู้กระทำการบังคับบุคคลให้สูญหาย ทางการยังแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขดังกล่าว กลับลดหย่อนมาตรการคุ้มครองเพื่อป้องกันการสูญหายของบุคคล และลดทอนมาตรการป้องกันทางกฎหมายที่สำคัญไม่ให้เกิดการละเมิดเช่นนั้นขึ้น

แอมเนสตี้จึงเรียกร้องทางการไทยเร่งรัดการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายให้สอดคล้องกับพันธกรณีตามกฎหมายของประเทศไทย รวมทั้งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลสูญหาย (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance) และให้ผ่านเป็นกฎหมายโดยเร็ว นอกจากนี้ ประเทศไทยควรปฏิบัติตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อเดือนมีนาคม 2560 เพื่อให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาดังกล่าว ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามรับรองอนุสัญญาไปก่อนหน้านี้แล้ว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศูนย์ประเมินอสังหาฯ คาด ตลาดที่อยู่อาศัย กทม. '61 ปริมาณลด แต่ราคาเพิ่ม

Posted: 17 Apr 2018 12:17 AM PDT

ศูนย์ประเมินอสังหาฯ คาดการณ์จากปริมาณโครงการที่อยู่อาศัยที่ผุดในไตรมาส 1/2561 ระบุ ตลาดที่อยู่อาศัยใน กทม. และปริมณฑลปีนี้หดตัวร้อยละ 13 แต่ราคาเฉลี่ยจะเพิ่มร้อยละ 7 คอนโด บ้านจัดสรรเหลือขายเกือบ 1 แสนหน่วย

 
17 เม.ย. 2561 โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) กล่าวว่า ขนาดของตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะหดตัวลงร้อยละ 13 ในแง่จำนวนหน่วย และหดตัวร้อยละ 6 ในแง่มูลค่าการพัฒนา แต่ราคาเฉลี่ยจะเพิ่มกว่าปี 2560 ประมาณร้อยละ 7 
 

การเปลี่ยนแปลงตลาดที่อยู่อาศัย กทม.และปริมณฑล พ.ศ.2560-2561

ปี จำนวนโครงการ จำนวนหน่วย มูลค่า (ล้าน บ.) เฉลี่ย/หน่วย (ล้าน บ.)
ไตรมาส 1/2561 96 25,026 103,443 4.133
คาดการณ์ปี 2561 384 100,104 413,772 4.133
พ.ศ.2560 410 114,477 441,661 3.858
การเปลี่ยนแปลง -6%  -13% -6%   7%
ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th)
 
ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 พบว่ามีการเปิดตัวโครงการกันถึง 96 โครงการ รวมจำนวนหน่วย 25,026 หน่วย และมีมูลค่าการพัฒนาทั้งหมด 103,443 ล้านบาท ทำให้ราคาเฉลี่ยต่อหน่วยสูงถึง 4.133 ล้านบาท การพัฒนาส่วนใหญ่มาจากการเปิดตัวในเดือนมีนาคม 2561 เพราะมีการเปิดงานมหกรรมที่อยู่อาศัย  โครงการหลายแห่งจึงได้เปิดตัวขึ้นมาให้ผู้ซื้อเลือกซื้อ และบ้างก็เปิดตัวเพื่อ "ชิมลาง" ดูตลาดก่อน
 
โดยที่ใน 2 เดือนแรกเปิดตัวน้อยกว่าปกติมาก แต่เดือนที่ 3 เปิดตัวมากเป็นประวัติการณ์ เมื่อคาดการณ์สถานการณ์ทั้งปีจากข้อมูลการเปิดตัวของตลาดในไตรมาสที่ 1 โดยไม่พิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลด้วยการคูณ 4 เข้าไปอย่างง่าย ผลปรากฏว่า ปี 2561 น่าจะมีโครงการเปิดใหม่ 384 โครงการ รวมจำนวนหน่วยถึง 100,104 หน่วย ทั้งนี้รวมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ตึกแถว ห้องชุด และที่ดินจัดสรรเพื่อการอยู่อาศัย และมีรวมมูลค่าถึง 413,772 ล้านบาท

โดยนัยนี้ ขนาดของตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในปี 2561 เทียบกับปี 2560 จึงถือว่าจะหดตัวลง -13% ในแง่จำนวนหน่วย และหดตัว -6% ในแง่มูลค่าการพัฒนา แต่ราคาเฉลี่ยจะเพิ่มกว่าปี 2560 ประมาณ 7%  โสภณคาดว่าสินค้าราคาแพงยังเกิดขึ้นต่อเนื่องเพราะผู้มีรายได้สูงยังไม่ได้รับผลกระทบอะไรกับวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญอยู่โดยผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางเป็นสำคัญ

โสภณเตือนผู้บริโภค นักพัฒนาที่ดิน ผู้บริหารสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนส่วนราชการที่กำหนดนโยบายที่อยู่อาศัย ว่า ในขณะนี้มีบริษัทนายหน้าข้ามชาติพยายามนำเสนอข้อมูลบิดเบือนมากมาย เพื่อรายงานสถานการณ์ (เท็จ) หรือรายงานสถานการณ์ว่าดี เฉพาะในบริเวณที่ตนกำลังขายอยู่เพื่อผลทางธุรกิจโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคม ขอให้ทุกฝ่ายเสนอข่าวที่ไม่บิดเบือน เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ทั้งนี้เป็นผลการสำรวจของศูนย์ข้อมูลฯ มาจากการสำรวจตลาดอย่างครอบคลุมที่สุดเพราะสำรวจการเปิดตัวโครงการทุกแห่ง โดยดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2537 เป็นเวลา 24 ปีแล้ว
 
ทั้งนี้ เมื่อ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา สำนักข่าวประชาชาติ เปิดเผยผลรายงานผลสำรวจการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประจำงวดมกราคม-มีนาคม 2561 ระบุว่าในไตรมาส 3/2560 มีจำนวนหน่วยอสังหาริมทรัพย์เหลือขายรวม 99,055 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 28.1 ของผังโครงการทั้งหมด 353,105 หน่วย แบ่งเป็นคอนโดฯ 508 โครงการ 26,747 หน่วย สัดส่วนร้อยละ 18 เทียบกับหน่วยในผังโครงการ 148,555 หน่วย และบ้านจัดสรร 1,748 โครงการ 72,308 หน่วย สัดส่วนร้อยละ 35.3 เทียบกับหน่วยในผังโครงการ 204,550 หน่วย เมื่อพิจารณาจากอัตราดูดซับของสินค้าชนิดคอนโดฯ และบ้านจัดสรร รายงานประเมินว่า หากไม่มีหน่วยเปิดขายเพิ่มเติมจะระบายคอนโดฯ หมดใน 15 เดือน ส่วนบ้านจัดสรรจะหมดใน 25 เดือน
 
แบ่งเป็นอัตราดูดซับของสินค้าคอนโดฯ 6.6% คาดว่าระบายซัพพลาย 26,747 หน่วยได้หมดภายใน 15 เดือน ส่วนบ้านจัดสรรมีอัตราดูดซับ 4.1% คาดว่าระบายซัพพลาย 72,308 หน่วยได้หมดใน 25 เดือน กรณีไม่มีหน่วยเปิดขายใหม่เพิ่มเติม
 
เมื่อ 11 เม.ย. ที่ผ่านมา สำนักข่าวโพสท์ทูเดย์ รายงานว่า วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ระบุว่า ภาพรวมดัชนีราคาขายห้องชุดใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 2 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรีและสมุทรปราการ ในไตรมาสแรก ปี 2561 พบว่า ราคาขายเพิ่มขึ้นอยู่ระดับ 133.1 จุด หรือเพิ่มร้อยชะ 6.6 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 124.9 จุด และปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 จากไตรมาส 4 ปี 2560
 
โดยรูปแบบการส่งเสริมการขายในไตรมาสแรก ส่วนใหญ่เป็นข้อเสนอของแถมในสัดส่วนร้อยละ 56.8 ส่วนลดเงินสดร้อยละ 31.8 และการออกค่าธรรมเนียมในการโอนให้กับลูกค้ามีสัดส่วนร้อยละ 11.5
 
ด้านดัชนีราคาบ้านแนวราบใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 3 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ไตรมาสแรกปี 2561 ดัชนีเท่ากับ 121.1 จุด หรือเพิ่มร้อยละ 3.8 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน 116.7 จุด และเพิ่มขึ้นจาก 119.4 จุด หรือร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2560 ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 ราคาทาวน์เฮาส์เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เขตปริมณฑล 3 จังหวัด ค่าดัชนีราคาทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์เพิ่มร้อยละ 3.5 และ 4.4 ตามลำดับ มากกว่าในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งบ้านเดี่ยวเพิ่มร้อยละ 3.4 ทาวน์เฮาส์เพิ่มร้อยละ 3.2
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประชากรญี่ปุ่นลดลงเป็นปีที่ 7 เตรียมจัดระบบวีซ่าแรงงานต่างชาติใหม่

Posted: 16 Apr 2018 11:33 PM PDT

จำนวนประชากรในญี่ปุ่นยังคงลดลงเป็นปีที่ 7 เหลือ 126.7 ล้านคน สัดส่วนประชากรสูงอายุมากที่สุดในโลก รัฐบาลเตรียมจัดระบบวีซ่าแรงงานต่างชาติใหม่ จะให้ชาวต่างชาติบางกลุ่มเข้ามาทำงานในญี่ปุ่นได้ เพิ่มจากปัจจุบันที่ให้เพียงผู้มีความชำนาญกับผู้ฝึกงานด้านเทคนิคเท่านั้น

ที่มาภาพประกอบ: pixabay.com/akira535 (CC0)

เว็บไซต์ THE JAPAN TIMES  รายงานว่ากระทรวงกิจการภายในของญี่ปุ่นแถลงเมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2561 ว่าจำนวนประชากรทั้งหมดของญี่ปุ่น (รวมถึงผู้อยู่อาศัยชาวต่างชาติ) ณ วันที่ 1 ต.ค. 2560 อยู่ที่ 126.7 ล้านคน ตัวเลขนี้ลดลงจากปี 2559 ถึง 227,000 คน (คิดเป็นร้อยละ 0.8) ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 7 แล้ว

นอกจากนี้พบว่าประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 27.7 ซึ่งถือว่าเป็นสังคมที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก ขณะที่สัดส่วนประชากรวัยเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 12.3

ประชากรใน 40 จังหวัดจากทั้งหมด 47 จังหวัดของญี่ปุ่นมีจำนวนลดลง ข้อมูลดังกล่าวรวมถึงแรงงานชาวต่างชาติและนักศึกษาที่พำนักอยู่นานกว่าสามเดือน

ประชากรของญี่ปุ่นลดลงอย่างรวดเร็วและเป็นผลมาจากอัตราการเกิดต่ำมาก ในเดือน เม.ย. 2560 รัฐบาลญี่ปุ่นได้คาดการณ์ว่าประชากรจะลดลงต่ำกว่า 100 ล้านคน ในปี 2596 และจะลดลงเหลือ 88.08 ล้านคน ภายในปี 2608

เตรียมจัดระบบวีซ่าแรงงานต่างชาติใหม่

ด้านเว็บไซต์ NHK World ระบุว่าญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนแรงงานรุนแรงเนื่องจากจำนวนประชากรวัยทำงานที่ลดลง รัฐบาลญี่ปุ่นจัดทำแผนเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยจะให้ชาวต่างชาติบางกลุ่มสามารถเข้ามาทำงานในญี่ปุ่นได้

ขณะนี้ชาวต่างชาติที่ทำงานในญี่ปุ่นมีสถานะหลัก 2 กลุ่ม กลุ่มแรกก็คือผู้ที่ได้รับการว่าจ้างจากความชำนาญ 18 ประเภท เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัย แพทย์ และทนายความ อีกกลุ่มคือ ชาวต่างชาติที่เข้าร่วมโครงการฝึกงานด้านเทคนิค

แผนที่ได้รับการนำเสนอใหม่นี้จะอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่มีทักษะบางลักษณะทำงานในญี่ปุ่นได้สูงสุด 5 ปี สำหรับชาวต่างชาติที่เสร็จสิ้นการฝึกงานก็จะมีโอกาสได้รับสถานะนี้เช่นกัน โดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่นำครอบครัวมายังญี่ปุ่น

รัฐบาลญี่ปุ่นเสริมว่ากำลังพิจารณาอีกด้วยว่าจะให้ผู้มีสถานะเหล่านี้สามารถพำนักอยู่ในญี่ปุ่นได้ไปตลอดหากพวกเขาผ่านการทดสอบที่กำหนดไว้ในระหว่างช่วง 5 ปีที่อยู่ในญี่ปุ่น

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทวงคืนผืนป่า? 'ข่าวปฎิรูปที่ดินอีสาน' เขียนรำลึก 2 ปี ที่ 'เด่น คำแหล้' นักต่อสู้สิทธิที่ดิน หายตัว

Posted: 16 Apr 2018 08:05 PM PDT

ศรายุทธ ฤทธิพิณ สำนักข่าวปฎิรูปที่ดินภาคอีสาน เขียนรำลึก ครบรอบ 2 ปี การจากไปของ 'เด่น คำแหล้' นักต่อสู้สิทธิที่ดินจากทุ่งลุยลาย และผลกระทบจากนโยบาย "ทวงคืนผืนป่า" 

17 เม.ย.2561 เนื่องในวาระครบรอบ 2 ปี การหายตัวไปของ เด่น คำแหล้ นักต่อสู้สิทธิที่ดินจากทุ่งลุยลาย ประธานโฉนดชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เป็นแกนนำเรียกร้องการปฏิรูปที่ดินของชุมชน ซึ่งหายตัวไปเมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2559 

วันนี้ (17 เม.ย.61) ศรายุทธ ฤทธิพิณ นักข่าวพลเมืองจาก สำนักข่าวปฎิรูปที่ดินภาคอีสาน เขียนบทความรำลึก ในหัวข้อ 'ครบรอบ 2 ปี การจากไปของ"เด่น คำแหล้ " อยู่อย่างยิ่งใหญ่ ตายอย่างมีเกียรติ' โดยมีรายละเอียดดังนี้

ไม่เคยมีหลักประกันใดจากอำนาจรัฐที่จะมารองรับให้ชาวบ้านดำเนินวิถีชีวิตอยู่กับป่า ได้ด้วยความปกติสุข หรือผู้ปกครองมองเพียงมุมเดียวมาตลอดว่า พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่ไร้เกียรติฐานะทางสังคม ไม่มียศตำแหน่งใดๆ ทั้งๆที่พวกเขาก็มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีภูมิปัญญา มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้านสูงกว่าบางบุคคลที่มองตัวเองว่าเป็นชนชั้นที่มีเกียรติทางสังคม

ภายใต้บรรยากาศที่สุ่มเสี่ยงของชาวบ้านชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ที่ถูกเจ้าหน้าที่พยายามผลักดันให้ออกจากที่ดินทำกินด้วยสารพัดวิธี มีมาตลอดระยะเวลา โดยเฉพาะหลังจากมีนโยบาย "ทวงคืนผืนป่า" ชาวบ้านจะถูกอำนาจที่หน่วยงานรัฐได้กระทำการข่มขู่ คุกคาม มาหลายครั้ง เช่น วันที่ 25 ส.ค.57 เจ้าหน้าที่เข้ามาปิดประกาศคำสั่ง คสช.64/57 ให้อพยพ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่ และในวันที่ 6 ก.พ.58 เจ้าหน้าสนธิกำลังเข้ามาอีกรอบ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือต้องออกจากพื้นที่บริเวณนี้ให้ได้ แต่ชาวบ้านยืนยันไม่ยอมออกจากที่ทำกินดั้งเดิมที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ

ท่ามกลางการต่อสู้เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาปมพิพาท ที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์การทวงคืนผืนป่าฯ อย่างเข้มข้น พ่อเด่นจะเป็นแกนนำในการเรียกร้องสิทธิ และเข้ายื่นหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงในระดับนโยบายกับหน่วยงานรัฐ จนมีมติให้ชะลอการไล่รื้อออกจนกว่าจะมีกระบวนการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง

กระทั่งเช้าวันที่ 16 เม.ย.59 หลังจากพ่อเด่น เข้าไปหาเก็บหน่อไม้ ในบริเวณสวนป่าโคกยาว รอยต่อระหว่างป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนามกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว เพื่อเก็บไปขายที่ตลาดทุ่งลุยลายในตอนเย็นตามปกติ และวันนั้นพ่อเด่น ยังไม่ได้กลับบ้าน  นับจากนั้นแม้การระดมค้นหามาอย่างต่อเนื่อง ติดต่อกันหลายวัน แต่ไม่มีผู้ใดพบเห็น  แม้แต่เงาก็ไม่ปรากฏ

จนวาระสุดท้ายของการติดตามค้นหาเมื่อวันที่ 24 มี.ค.60 ได้พบกางเกง รองเท้า และสิ่งของใช้ที่แม่สุภาพ(ภรรยา)ยืนยันว่าเป็นของพ่อเด่น  และวันที่ 25 มี.ค.60 พิสูจน์หลักฐานตำรวจลงตรวจสอบพื้นที่ ได้พบหัวกะโหลกมนุษย์เพิ่มเติม ซึ่งผลตรวจสอบหัวกะโหลกจากเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน แจ้งว่า มีสารพันธุกรรม(ดีเอ็นเอ)เดียวกันกับน้องสาวของพ่อเด่น

และในวันที่ (16 เม.ย.61) ครบรอบ 2 ปี การจากไปของ "เด่น คำแหล้ " ที่ควรรำลึกถึงความทรงจำที่พ่อเด่น ต่อสู้เรียกร้องสิทธิในที่ดิน และได้สร้างคุณค่าประโยชน์ที่ดีงามทั้งต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งที่อยู่อาศัยเพื่อให้ลูกหลานมีที่ทำกิน จากรุ่นสู่รุ่นสืบไป

ไม่เคยมีหลักประกันใดจากอำนาจรัฐที่จะมารองรับให้ชาวบ้านมีชีวิตอยู่กับป่าได้อย่างมีความสุข นอกจากการยืนหยัดต่อสู้ด้วยสมองและสองมือเปล่าของชาวบ้าน...เด่น คำแหล้ "อยู่อย่างยิ่งใหญ่ ตายอย่างมีเกียรติ"

ปมพิพาทในพื้นที่สวนป่าโคกยาว

ปี 2516 ถูกประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม ต่อมาในปี พ.ศ.2528 รัฐได้เข้ามาอพยพขับไล่ชาวบ้านออกจากที่ทำกิน โดยอ้างว่าเพื่อปลูกป่าตามโครงการ "หมู่บ้านรักษ์ป่า ประชารักษ์สัตว์" และจะจัดสรรที่ดินรองรับ แต่เจ้าหน้าที่กลับนำต้นยูคาลิปตัส มาปลูกทับที่ทำกินชาวบ้านแทน  ส่วนพื้นที่รองรับเป็นที่ดินที่มีเจ้าของอยู่แล้ว ทำให้ไม่สามารถเข้าทำกินได้ และเข้าที่เดิมก็ไม่ได้

หลังจากชาวบ้านได้เรียกร้องมาอย่างต่อเนื่อง แต่การแก้ไขปัญหาไม่มีข้อยุติ ทำให้ไม่สามารถเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ได้

ต่อมาในปี 2549 ชาวบ้านชุมชนโคกยาว ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายปฎิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.)

และในปี พ.ศ.2552 ได้ชุมนุมเคลื่อนไหวกับชาวบ้านผู้เดือดร้อนทั่วประเทศ ในนามเครือข่ายปฎิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย(คปท.)โดยได้ผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการที่ดินโดยชุมชนในรูปแบบ "โฉนดชุมชน" กระทั่งรัฐบาลสมัยนั้นได้ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ.2553 ในวันที่ 7 มิ.ย.53

ต่อมาในปี พ.ศ.2554 เครือข่ายประชาชนได้รวมตัวกัน ในนาม "ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม" (พีมูฟ) ได้ชุมนุมติดตามปัญหา กระทั่งมีมติคณะรัฐมนตรีรับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนฯ ให้ชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์ได้ โดยไม่มีการคุกคาม ข่มขู่ หรือดำเนินคดีความใดๆ และเป็นที่มาของการเข้าพื้นที่โคกยาวในเวลาต่อมา

แต่ในทางปฏิบัติ เจ้าหน้าที่กลับนำกำลังกว่า 200 นาย บุกเข้าควบคุมตัวชาวบ้านในช่วงเช้ามืดของวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 และแจ้งความดำเนินคดีชาวบ้านจำนวน 10 คน ข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น