โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ศาลขอนแก่นสั่งจำคุกนอกเครื่องแบบถ่ายรูปในศาล 1 เดือน แต่ให้รอลงอาญา

Posted: 19 Apr 2018 09:52 AM PDT

กรณีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทำการถ่ายภาพจำเลยและผู้ร่วมรับฟังในห้องพิจารณาคดี ระหว่างการพิจารณาคดี ศาลให้จำคุกเป็นเวลา 1 เดือน ส่วนกรณีจ่านิว ที่ได้ยืนยันต่อศาลว่าเป็นเพียงผู้ยืนดูกิจกรรมอยู่นอกบริเวณศาล ศาลกลับมีคำตัดสินให้จำคุกถึง 6 เดือน

จากการที่ผู้สื่อข่าวได้ทำการเช็คข้อมูลคดีละเมิดศาล ที่คอมพิวเตอร์ของศาลจังหวัดขอนแก่นได้พบว่า นายเดชาธร ดิษยาภูดินันท์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจังหวัดขอนแก่น ที่ได้เข้าไปถ่ายรูปผู้ต้องหาและผู้เข้าฟังการพิจารณาคดี 7 นศ.ละเมิดศาล เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2560  ศาลได้นัดไต่สวนและมีคำสั่งแล้วเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 ว่า ผู้ถูกกล่าวหามีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1), 33 ให้จำคุกนายเดชาธร เป็นเวลา 1 เดือน ปรับ 500 บาท แต่เรื่องจากไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้มีกำหนด 1 ปี

ขณะที่กรณี 7 น.ศ.ละเมิดอำนาจศาล จากการทำกิจกรรมให้กำลังใจ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน บริเวณหน้าศาลจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560 หลังการพิจารณาคดีในวันนั้นเป็นที่สิ้นสุด ศาลได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2560 ว่าให้จำเลยที่ 1-6 ให้รอการกำหนดโทษ เป็นเวลา 2 ปี และมีคำสั่งให้จำคุก นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิวถูกกล่าวหาที่ 7 โดยให้เหตุผลว่า เป็นผู้ใหญ่ จบการศึกษาชั้นปริญญาตรีแล้ว ย่อมมีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการพิจารณาคดีของศาลเป็นอย่างดี เป็นเวลา  6 เดือน ปรับ 500 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้เป็นเวลา 2 ปี 

แม้ว่าโทษปรับเท่ากัน ศาลให้รอลงอาญาเหมือนกัน แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า คดีของนายเดชาธร ดิษยาภูดินันท์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจังหวัดขอนแก่น ที่ทำการถ่ายภาพจำเลยและผู้ร่วมรับฟังในห้องพิจารณาคดี ระหว่างการพิจารณา ศาลให้จำคุกเป็นเวลา 1 เดือน ขณะที่กรณีนายสิรวิชญ์ ที่ได้ยืนยันต่อศาลว่าเป็นเพียงยืนดูการทำกิจกรรมเท่านั้น และกิจกรรมดังกล่าวก็ได้จัดหลังการพิจารณาคดีแล้วเสร็จโดยใช้พื้นที่นอกบริเวณศาล กลับมีคำตัดสินให้จำคุกถึง 6 เดือน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จม.จากใจ ‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ เลขาฯ เพื่อไทย ถึง ‘นิธิ เอียวศรีวงศ์’

Posted: 19 Apr 2018 08:57 AM PDT

จากกรณี นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงพรรคเพื่อไทย ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เขียนจดหมายตอบ 'นิธิ เอียวศรีวงศ์'  มีรายละเอียดดังนี้

0000



จดหมายจากใจ ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ถึง อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ และประชาชน

 

ผมได้อ่านจดหมายของ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ อย่างตั้งใจ ด้วยความตระหนักรู้ถึงความปรารถนาดีของอาจารย์ ซึ่งถือเป็นกัลยาณมิตรต่อพรรคเพื่อไทย ขอขอบคุณอย่างยิ่งต่อทุกความเห็น และจะนำไปขบคิดต่ออย่างจริงจัง

ผมมั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างแน่วแน่มั่นคงไม่น้อยไปกว่าพรรคใด

การต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยให้ประเทศหลุดพ้นจากอำนาจเผด็จการยังคงเป็นจุดมุ่งหมายที่สำคัญของพรรคเราไม่เปลี่ยนแปลง

ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยผ่านการร่วมชะตากรรมกับพี่น้องประชาชนที่รักเรา เชื่อมั่นและโอบอุ้มปกป้องเรามาโดยตลอด เราสำนึกและตระหนักดีว่าเราเป็นสถาบันทางการเมืองที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเขา

และขอให้มั่นใจได้ว่าเราจะไม่มีวันทรยศต่อประชาชนและละทิ้งภารกิจที่พี่น้องประชาชนมอบหมายให้ได้

แม้นอาจมีบางท่านมองว่า ระหว่างหนทางนั้น พรรคเพื่อไทยอาจยังไม่สามารถดำเนินการทางการเมืองได้ตามต้องการ และไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังของประชาชนได้ทั้งหมด

แต่ผมยังยืนยันว่า ภายใต้อุปสรรคและข้อจำกัดต่างๆ นั้น พรรคยังคงยึดมั่นในประชาชนและหลักประชาธิปไตยไม่เปลี่ยนแปลง

และจะไม่ยอมรับการเมืองที่เป็นการตกลงกันเพื่อประโยชน์ร่วมของชนชั้นนำโดยละเลยหรือไม่คำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนพึงได้รับอย่างยุติธรรม

การต่อสู้เพื่อคัดค้านอำนาจและกลไกการรัฐประหารที่เกิดขึ้นของพรรคเพื่อไทยนั้นที่ผ่านมามีหลากหลายรูปแบบ หากแต่ตั้งอยู่บนความระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงความรุนแรงและไม่ก่อให้เกิดเหยื่อทางการเมืองใหม่ๆ เพิ่มขึ้น

นั่นมิได้หมายความว่าเรายอมรับ นิ่งเฉย หรือคุ้นชินกับระบบเผด็จการที่คุกคามประชาชนมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา จนหลงลืมไปว่าเจตนารมณ์ของพรรคที่เรายึดมั่นกันมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทยและพลังประชาชนนั้น คือการเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสร้างสังคมที่ทุกคน ทุกฝ่าย ต่างก็ยอมรับและเคารพในสิทธิที่แต่ละคนพึงมี หรือพึงเลือกเพื่อกำหนดอนาคตของตนเองได้

ดังนั้น ภารกิจของพรรคต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นใหม่นี้ จึงยิ่งมีความสำคัญในฐานะของกระบวนการสร้างประชาธิปไตยในสังคมไทยอีกครั้ง

ในขณะที่พรรคกำลังจะลงสนามแข่งขันในการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่พิกลพิการและเต็มไปด้วยกลไกสุดพิสดารนั้น

ผมเห็นด้วยกับ อ.นิธิว่าพรรคการเมืองที่วางตนเป็นฝ่ายประชาธิปไตย มีความจำเป็นต้องยึดมั่นในยุทธศาสตร์การร่วมมือกันเพื่อสร้างพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง

การร่วมมือกันของประชาชนและผู้รักประชาธิปไตย การประสานทุกกลุ่มพลังเข้าเป็น "หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์" ร่วมกัน จึงเป็นภารกิจที่จำเป็นยิ่งในการหลุดพ้นจากระบบเผด็จการและสถาปนาความเป็นประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นจึงถือเป็น "การเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์" ที่ไม่ใช่การต่อสู้แข่งขันกันเองของพรรคการเมืองเท่านั้น แต่หมายถึงการร่วมมือกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการที่พรรคการเมืองต้องเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง และระดมสรรพกำลังทางยุทธศาสตร์ให้เข้ามามีบทบาทร่วมกันในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศและโครงสร้างการบริหารและกลไกต่างๆ เพื่อเพิ่มบทบาทและสัดส่วนของฟากฝ่ายประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของตนเองและประเทศในหลากหลายมิติ

ซึ่งถือเป็นหัวใจของนโยบายที่พรรคยึดถือมาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยการดำเนินการภายใต้พรรคไทยรักไทย

สุดท้าย ผมต้องขอขอบคุณต่อประเด็นคำถามและข้อสังเกตของท่านที่ให้พรรคเราได้มีโอกาสทบทวนความคิดและตรวจสอบตัวเองอย่างจริงจังอีกครั้ง

ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า หากพรรคได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชน ที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เด็ดขาด พรรคจะมุ่งมั่นสร้างนโยบาย มาตรการ กลไก และกระบวนการแก้ไขปัญหาในสังคมตามเจตนารมณ์ที่ประชาชนมอบให้

และขอยืนยันจุดยืนของพรรคที่ชัดเจน คือ การแก้ไขทบทวนกติกาและกฎหมายต่างๆ ที่มีลักษณะบั่นทอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ขัดหลักนิติธรรม และขัดหลักความเป็นประชาธิปไตย โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ 2560 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หากผลไม่เป็นไปตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น พรรคก็จะยังคงเป็นพรรคการเมืองที่ยึดโยงกับประชาชนและยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

และพร้อมทำหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: www.matichon.co.th 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: อย่าบ้าบอ!

Posted: 19 Apr 2018 08:45 AM PDT

มองไม่ออกหรือเขามาหลอกขายของ
มีตาก็หัดมองกูละหน่าย
เสียรู้เสียเหลี่ยมมันน่าอาย
ใครเสียหายประเทศไงไอ้บ้าบอ

ฟังก็รู้ดูก็เห็นถ้าไม่โง่
โธ่โถเจ้าสัวใหญ่นั่งทำหงอ
ในคราบความหวังดีทำอ้อล้อ
ลึกล้วงคอคืองูเห่าดูให้ดี

ไอทงไอทีเรื่องเลอะเทอะ
มีเยอะเราก็รู้เกมหลอกผี
มือถือเครื่องหนึ่งขอถามที
แอ้พที่มีใช้เป็นไหมขอจริงใจ

จีนประเทศเขานั้นใหญ่มาก
หากินลำบากจึงมาแผ่กิ่งก้านใบ
ไทยน่ะโง่จะตายหม้อข้าวใหญ่
หยิบยื่นให้สักนิดก็ดิ้นตาย

เจ้าสัวเรามีอยู่แล้วก็คนหนึ่ง
ตาถึงไปกอดขารู้ตัวก็สาย
ยึดครองทุกอย่างแล้วใครตาย
คนจนไงตายก่อนผ่อนส่งรอ

เป็นผู้นำคิดอะไรคิดให้แตก
รู้จักแยกแยะใช่หรือไม่เลิกบ้าบอ
แหมทำเก่งเก่งแต่ปากเก่งสอพลอ
นั่งตัวงอหงอหงิกให้ขุนโจร.

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

‘จะ4ปีแล้วนะไอ้สัตว์’ งานดนตรีเด็กพังก์หัวขบถ เมื่อเราต่างเป็นผลิตผลของการเมือง

Posted: 19 Apr 2018 06:14 AM PDT

คุยกับ 'นิรนาม' หนึ่งในแอดมินเพจและผู้ร่วมจัดงานดนตรีพังก์ "จะ4ปีแล้วนะไอ้สัตว์" ซึ่งจะจัดวันที่ 12 พ.ค. นี้ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ในวาระที่รัฐประหาร คสช. กำลังจะครบรอบ 4 ปี พร้อมอธิบายความเป็นพังก์ที่สะท้อนตัวตนผ่านการรื้อสิ่งเก่าสร้างสิ่งใหม่ เมื่อทุกคนล้วนเป็นผลิตผลของการเมืองและสังคม ดังนั้นเราจึงต้องพูดเรื่องการเมือง

ที่มาของเพจ?

จริงๆ มันเป็นชื่องานที่พวกเรากลุ่มนักดนตรีร่วมกันจัด อย่างของเราเป็นดนตรีพังก์ ซึ่งพังก์มีหลายแนวมาก แต่ของเราเป็นดนตรีพังก์ในสายการเมือง สังคมเด็กพังก์เด็กเมทัลเราเล่นเพลงแบบนี้กันอยู่แล้ว เรามีกลุ่มแฟนเพลงแฟนคลับของเราอยู่แล้ว เพลงที่แต่งมาก็ปล่อยลงในยูทูบเป็นปกติ หลายๆ วงเล่นกันมาหลายปีก่อนหน้ารัฐประหารครั้งล่าสุด บางวงก็เล่นเพลงที่มีเนื้อหาอย่าง 6 ตุลา

ช่วยอธิบายวัฒนธรรมพังก์ในความคิดของคุณหน่อย?

เรื่องพังก์เราอาจจะมองกันแค่รูปแบบ ไว้ผมโมฮอค ย้อมผม เจาะนู้น สักนี่ มองเผินๆ อย่างแนวของเราคือคลัชพังก์ ก็จะเป็นสกินเฮด แต่งโทนสีดำ และพูดเรื่องการเมือง อาจเป็นแค่รูปแบบ แต่ถ้าดูในสาระของเด็กพังก์ มันมีการวิพากษ์วิจารณ์หมด ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างในอินโดนีเซีย มันแทบเป็นกระแสหลักของบ้านเขาในการใช้ดนตรีพังก์เป็นเครื่องมือพูดกับรัฐ หรือกระทั่งพม่า ที่เราเห็นในสารคดี My Buddha is Punk (2015) มันเป็นวิถีชีวิตอย่างหนึ่ง เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่เราจะใช้ในการพูดกับรัฐได้ พังก์จึงไม่ใช่เรื่องผิวเผินแค่สไตล์การแต่งตัว แต่เป็นรูปแบบของวัฒนธรรมหนึ่ง และในเนื้อหาก็มักจะพูดเรื่องการเมือง หัวใจของพังก์มันคือการรื้อสิ่งเก่าแล้วสร้างสิ่งใหม่ คือความขบถต่อวิถีเดิม

ทำไมชื่อเพจต้องเป็น 'จะ4ปีแล้วนะไอ้สัตว์' ?

เรากำลังหาชื่อที่จัดงาน เราคิดกันหลายชื่อ เรามองว่าดนตรีพังก์หรือเมทัลมันมีความขบถ ความหยาบคาย ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของพังก์อยู่แล้ว เราพูดกันตรงไปตรงมาเป็นเรื่องปกติ เราเลยหาชื่อที่มันน่าจะสื่อสารกับคนได้ "จะ4ปีแล้วนะไอ้สัตว์" เราอยากสื่อสารไปถึงคนทั่วๆ ไปว่าเราอยู่กับระบอบของ คสช. แล้วเราต้องการการเลือกตั้งมาสี่ปีแล้ว

ทำไมถึงเพิ่งมาจัดในปีที่ 4 ?

จริงๆ มันมีจัดกันมาตลอดอยู่แล้ว งานนี้ก็เป็นงานที่ปกติมากๆ ของสังคมเด็กพังก์ใต้ดิน แนวพังก์การเมือง หรือคลัชพังก์ (Crash Punk) เป็นเพลงเกี่ยวกับการเมืองวิพากษ์วิจารณ์อำนาจ ถ้าไม่ใช่เพลงตัวเองก็จะไปโคฟเวอร์เพลงที่เกี่ยวกับการเมืองของวงอื่นมาอย่าง sex pistols, Green Day เราก็จะตระเวนไปเล่นตามที่ต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นในผับ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการจัดงานแบบนี้อยู่แล้ว งานนี้ก็เป็นแค่อีกงาน แต่เราก็อยากจัดให้เป็นพิเศษหน่อย เราเลยจัดที่อนุสรณ์สถาน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จัดนอกสถานที่

เพจได้รับการตอบรับดี มีความกังวลว่าจะถูกห้ามไม่ให้จัดงานไหม?

มีความกังวล แต่เราขออนุญาตสถานที่ไว้แล้ว ทำหนังสือเรียบร้อย ซึ่งก็หวังว่าเราจะจัดงานกันได้ เพราะงานครั้งนี้เรามองว่างานนี้เป็นงานปาร์ตี้งานหนึ่งที่เล่นดนตรี มาสนุกกัน แล้วจบกันไปในงาน และเราจะไม่ให้นำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าในงาน งานดนตรีมันก็ควรสนุกได้โดยไม่ต้องมีเหล้าเบียร์ เราไม่อยากให้เกิดการทะเลาะวิวาทหรือความรุนแรงในงาน เราอยากให้เป็นงานดนตรีที่สนุกทั้งคนเล่นคนดู แล้วแฮปปี้กลับบ้านกันไป แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเรามองว่าที่เราจัดงานนี้เป็นการแสดงออกทางจุดยืนด้านการเมืองซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำได้ อยากให้เขาฟังเสียงจากคนตัวเล็กๆ ซึ่งไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร

กลัวโดนข้อหาห้ามชุมนุมเกิน 5 คน หรือมาตรา 116 ยุยงปลุกปั่นไหม?

ถ้าเป็นเรื่องข้อหาห้ามชุมนุมเกิน 5 คน แบบที่กลุ่มการเมืองบางกลุ่มโดน ผมก็คิดว่างานของเรามันคืองานดนตรี มันเป็นงานรื่นเริง หรือมาตรา 116 ผมไม่ได้คิดถึงจุดนั้นเลย ผมรู้สึกว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด มันคือการแสดงออกของคนปกติ เป็นเรื่องธรรมดามากๆ

คาดหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรไหม?

ไม่ได้หวังว่าจะเป็นงานที่คนมาเยอะเรือนหมื่นเรือนแสน ไม่เคยหวังว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงอะไร เพียงแต่ผมเป็นนักดนตรี เป็นเด็กพังก์ ผมอยากทำงานแบบนี้ อยากให้มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นเป็นสีสันวงการดนตรีพังก์ ผมรู้สึกว่าแม้กระทั่งในหมู่ดนตรีพังก์หรือดนตรีแนวอื่นๆ เขาก็ไม่ค่อยพูดเรื่องการเมืองกันเอาเสียเลย ทั้งๆ ที่ตัวนักดนตรีหรือศิลปินเหล่านี้เป็นผลิตผลของการเมืองแท้ๆ แต่เขาเลือกที่จะพูดเรื่องอื่น เราเป็นแค่เสี้ยวเล็กๆ เสี้ยวหนึ่งที่อยากทำอะไรแบบนี้ขึ้นมา แต่เราไม่ได้ต้องการจะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงหรืออะไรทั้งสิ้น

นักดนตรีหรือศิลปินเป็นผลิตผลของการเมือง ช่วยขยายความหน่อย?

คุณด้วย ไม่ใช่แค่ผม ทุกคนเป็นผลผลิตของระบบการเมืองและสังคม สิ่งที่ศิลปินเป็นคือเขาต้องแสดงตัวตนของเขาออกมา ตัวตนก็เกิดจากสังคม สภาพแวดล้อมนี่แหละ คุณก็ต้องสะท้อนมันออกมาในสิ่งที่คุณเป็นและอยากเล่า มันคือหน้าที่ของศิลปิน เรามองว่าดนตรีทุกแนวสามารถพูดถึงสังคมได้ คุณจะเป็นป็อบ อาร์แอนด์บี แร็พ สามช่า หมอลำ ฯลฯ คุณพูดถึงการเมืองได้หมดถ้าคุณจะพูด คุณคิดว่าเพลงใจเพชร เพลงคืนความสุข มันเป็นการเมืองไหมล่ะ มันก็การเมืองทั้งนั้น แต่อย่างแร็พหรือพังก์มันเกิดจากสังคมใต้ดิน ความ radical (สุดโต่ง) ความปากจัดของมันก็อาจจะเยอะหน่อย

แล้วความเป็นพังก์มีอะไรที่คุณชอบ?

เวลาเราฟังดนตรีเราฟังจากความเป็นตัวตนของเรา มันสะท้อนตัวตนของเขา พังก์สะท้อนความแตกหัก ความโหลยโท่ยของสังคม ในดนตรีพังก์ ซาวด์ที่มันแตกๆ กลองที่มันสับเหมือนเครื่องจักรกล มันคือการสะท้อนความเจ็บปวดของคนชั้นล่าง คนที่อยู่ในโรงงาน คนที่มีสิทธิมีเสียงน้อย เราก็เลยชอบพังก์ในมิติแบบนี้ มันเป็นดนตรีที่แอนตี้ทฤษฎี คือเราเล่นแบบที่เราเป็น เราอาจจะไม่ต้องรู้โน้ตรู้อะไรกันมาก จับคอร์ดไม่กี่คอร์ด ก็เล่นออกมาได้ มันมีความจริงใจในการสื่อสาร

เพลงพังก์ที่คุณชอบ?

ผมชอบวง students ugly มาก ถ้ามีโอกาสก็อยากเชิญพี่รอย (ผู้ก่อตั้งวง) มาเล่นด้วยกัน

วางแผนจะจัดงานแบบนี้อีกไหม?

ตอนนี้ยังไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรต่อไป เพียงแต่เราอยากจะเล่นอะไรแบบนี้ต่อไป และถ้างานนี้มันสร้างการเคลื่อนไหวในวงการพังก์ให้มีความตื่นตัวบ้าง คิดว่ามันก็คงจะดี

"จะ4ปีแล้วนะ(ไอ้สัตว์)"
 
จัดขึ้นวันที่ 12 พฤษภาคม 2561 เวลา 18.00 น เป็นต้นไป
ณ อนุสรณ์สถาน14ตุลา แยกคอกวัว ดูฟรีไม่เก็บค่าเข้า
 
วงดนตรี
 
DrunkAllDay
KILLING FIELDS
Uppercut
Radical Rat
Pistols99
สันดาน
อนาธิปไตย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'อีสานใหม่' เขียนอาลัยการเสียชีวิตของ 'พ่อหนิง' นักต่อสู้ฐานทรัพยากร ฅนรักษ์บ้านเกิด จ.เลย

Posted: 19 Apr 2018 06:06 AM PDT

ขบวนการอีสานใหม่ เขียนไว้อาลัยการเสียชีวิตอย่างสงบของ 'สมชาย พลซา' ในฐานะพลังคนเล็กคนน้อยในสังคม ที่จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การต่อสู้คัดค้านการให้สัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ของไทย

19 เม.ย.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ 'ขบวนการอีสานใหม่ New E-Saan Movement' โพสต์ไว้อาลัยการเสียชีวิตของ สมชาย พลซา หรือ 'พ่อหนิง' นักต่อสู้กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด จ.เลย ที่เสียชีวิต อย่างสงบด้วยโรคเนื้องอกในสมอง วันนี้ โดยระบุว่า ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ในการต่อสู้กับการทำเหมืองแร่ทองคำในชุมชน พ่อหนิง เป็นอีกคนหนึ่งที่มีความเสียสละ กล้าหาญ อดทน มีอุดมการณ์แน่วแน่ที่จะฝ่าฟันต่อสู้กับกระแสการพัฒนาที่เบียดบังและแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นฐานการดำรงชีพและสุนทรียภาพที่สำคัญไปจากชุมชนในนาม 'กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด' บ้านนาหนองบง ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย 

ขบวนการอีสานใหม่ ระบุว่า 'พ่อหนิง' เป็นผู้ร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ เพื่อต่อสู้เรียกร้องให้มีการตรวจสอบมลพิษที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการทำเหมืองแร่ทองคำ 'พ่อหนิง' เคยบอกพวกเราว่า "จะลุกขึ้นมาปกป้องทรัพยากรบนถิ่นฐานบ้านเกิด เพื่อให้เป็นมรดกอันอุดมสมบูรณ์ให้ลูกหลานสืบต่อไป"


 

ล่าสุดพ่อหนิงและกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด จ.เลย มีโครงการที่จะก่อตั้งพรรคสามัญชนเพื่อต่อสู้เรื่องทรัพยากรและปากท้อง ซึ่งพรรคการเมืองจะเป็นเครื่องมือของขบวนการภาคประชาสังคม เป็นพื้นที่นำเสนอ ถกเถียง ต่อรอง เพื่อให้นโยบายได้นำเสนอผ่านพรรคเข้าสู่สภาและเป็นพื้นที่ให้ตัวแทนของเครือข่ายเข้าสู่ระบบรัฐสภา

ขบวนการอีสานใหม่ ระบุว่า วันนี้จะเป็นวันสำคัญของพลังคนเล็กคนน้อยในสังคม ที่จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การต่อสู้คัดค้านการให้สัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ของประเทศไทย ขบวนการอีสานใหม่ขอแสดงความอาลัย สดุดีความกล้าหาญและความเสียสละของ "พ่อหนิง" สมชาย พลซา สามัญชนผู้จากไป

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มี.ค. 2561 ผู้ประกันตน 'ว่างงาน-เลิกจ้าง' เพิ่มขึ้นจาก ก.พ.

Posted: 19 Apr 2018 03:12 AM PDT

เดือน มี.ค. 2561 ผู้ประกันตนขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน 144,790 คน เพิ่มขึ้น 14,371 คน จากเดือน ก.พ. เช่นเดียวกับกับผู้ถูกเลิกจ้าง 24,238 คน เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.พ. 1,124 คน

ที่มาภาพประกอบ: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์

19 เม.ย. 2561 จากข้อมูล เศรษฐกิจแรงงาน ประจำเดือน มี.ค. 2561 โดยกองเศรษฐกิจการแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ระบุว่าภาวะการจ้างงานในตลาดแรงงาน เดือน มี.ค. 2561 การจ้างแรงงานในระบบประกันสังคมมีผู้ประกันตน (มาตรา 33) จำนวน 10,913,304 คน มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 3.52 เมื่อเทียบกับเดือน มี.ค. 2560 ซึ่งมีผู้ประกันตน จำนวน 10,542,660 คน แสดงให้เห็นว่ามีผู้ใช้แรงงานเข้าสู่การทำงานเพิ่มขึ้นถึง 370,644 คน

สถานการณ์การว่างงาน (ผู้ว่างงาน หมายถึง ผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในระบบประกันสังคม สำนักงานประกันสังคม : SSO) จากข้อมูล ณ เดือน มี.ค. 2561 มีผู้ว่างงานจำนวน 144,790 คน มีอัตราการชะลอตัวอยู่ที่ร้อยละ -0.25เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา (เดือน มี.ค. 2560) ซึ่งมีจำนวน 145,151 คน และเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา (เดือน ก.พ. 2561) ซึ่งมีจำนวน 130,419 คน โดยมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 11.02 และหากคิดเป็นอัตราการว่างงานจากตัวเลขผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเดือน มี.ค. 2561อยู่ที่ร้อยละ 1.33 มีอัตราเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับอัตราการว่างงานของเดือน ก.พ. 2561 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 1.20 ทั้งนี้จากข้อมูลอัตราการว่างงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติเดือน มี.ค. 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.2 มีอัตราการว่างงานลดลงเมื่อเทียบกับเดือน ก.พ. 2561 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 1.3

สถานการณ์การเลิกจ้าง อัตราการเลิกจ้างลูกจ้างในระบบประกันสังคมมาตรา 33 คิดจากจำนวนผู้ประกันตนที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสาเหตุเลิกจ้าง ต่อจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 33 เดือน มี.ค. 2561 ผู้ประกันตนที่สำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสาเหตุเลิกจ้างมีจำนวนทั้งสิ้น 24,238 คน คิดเป็นร้อยละ 0.22 มีอัตราเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือน ก.พ. 2561 ที่มีอัตราการเลิกจ้างลูกจ้างที่ร้อยละ 0.21 รวมทั้งมีอัตราลดลงเมื่อเทียบกับเดือน มี.ค. ปีที่แล้ว ที่มีอัตราการเลิกจ้างลูกจ้างที่ร้อยละ 0.25

แรงงานฝ่ายผลิตยังคงเป็นที่ต้องการมากที่สุด

ด้านข้อมูลจาก กองบริหารข้อมูลตลาดแรงงาน กรมการจัดหางาน ระบุว่าสถานการณ์ตลาดแรงงานเดือน ก.พ. 2561 ปรากฏว่าความต้องการแรงงานในประเทศโดยรวมลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 28.86 โดยลดลงในอุตสาหกรรมการผลิตมากที่สุด และความต้องการแรงงานของนายจ้างที่ประกาศผ่านหนังสือพิมพ์เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่ผ่านมาพบว่าลดลงร้อยละ 0.24 และสำหรับการเดินทางไปทำงานต่างประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.16 จากเดือนก่อน ส่วนใหญ่เป็นการเดินทางไปทำงานในภูมิภาคเอเชีย โดยมีไต้หวันเป็นตลาดแรงงานหลักซึ่งแรงงานไทยนิยมเดินทางไปทำงานในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ภาพรวมการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.3

กรมการจัดหางานได้รับแจ้งความต้องการแรงงาน (ตำแหน่งงานว่าง) จากนายจ้าง/สถานประกอบการเดือน ก.พ. 2561 จำนวน 31,193 อัตรา มีผู้สมัครงาน 11,279 คน และบรรจุงานได้ 24,700 คน อุตสาหกรรมที่มีความต้องการแรงงานมากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิต 11,736 อัตรารองลงมาคือ การขายส่ง การขายปลีก ซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ 7,743 อัตรา ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร 3,013 อัตรา กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน 2,077 อัตรา การก่อสร้าง 1,035 อัตรา อาชีพที่มีความต้องการแรงงานมากที่สุดคือ อาชีพงานพื้นฐาน (แรงงานทั่วไป แรงงานด้านการผลิต) 10,038 อัตรา รองลงมาคือ พนักงานบริการ พนักงานขาย 6,427 อัตรา เสมียน เจ้าหน้าที่ 4,878 อัตรา ช่างเทคนิคและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง 3,850 อัตรา ผู้ปฏิบัติงานในโรงงาน ผู้ควบคุมเครื่องจักรและผู้ปฏิบัติงานด้านการประกอบ 1,971 อัตรา

ความต้องการแรงงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ร้อยละ 60.14 รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 14.31 ภาคเหนือ ร้อยละ 13.22 และภาคใต้ร้อยละ 12.33 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีความต้องการแรงงาน 33,889 อัตรา และเดือนก่อนหน้าที่มีความต้องการแรงงาน 43,849 อัตรา พบว่าความต้องการแรงงานลดลง 2,696 อัตรา และ 12,656 อัตรา คิดเป็นร้อยละ 7.96 และ 28.86 ตามลำดับ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ก.แรงงาน ระบุประเทศชั้นนำ ใช้ AI แทนแรงงานมนุษย์มากขึ้น ยันไม่นิ่งนอนใจวางนโยบายรับมือ

Posted: 19 Apr 2018 02:52 AM PDT

กระทรวงแรงงาน เผยไทยยังไม่มีการปลดคนงานออกจากการนำหุ่นยนต์มาใช้ แต่ก็ไม่ทราบในอนาคตจะปลดครั้งใหญ่หรือไม่ ยันไม่นิ่งนอนใจเตรียมการด้านนโยบาย สร้างความร่วมมือพัฒนาทักษะของแรงงานที่ตอบโจทย์เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป

เพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน 

19 เม.ย.2561 กระทรวงแรงงาน รายงานว่า วันนี้ เพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาทางวิชาการด้านแรงงาน เรื่อง "เปิดบ้านเปิดใจ เมื่อเทคโนโลยี AI สะเทือนตลาดแรงงานโลก : แรงงานไทยจะเป็นอย่างไร" ณ โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ กรุงเทพมหานคร โดยกล่าวว่า ยุคนี้เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงปัจจัยทางสังคมและเทคโนโลยี ประเทศชั้นนำในโลกยุคปัจจุบันล้วนแต่อยู่บนพื้นฐานของการใช้ระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือที่เรียกว่า AI เข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์มากขึ้น เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ เยอรมนี และญี่ปุ่น เป็นประเทศที่มีจำนวนหุ่นยนต์ต่อแรงงานในภาคอุตสาหกรรมสูงสุดในโลก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกำลังจะส่งผลอย่างยิ่งต่อการทำงานในอนาคต และเป็นเรื่องที่สร้างความท้าทายให้กับองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการเตรียมรับมือกับคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยได้นำเสนอรายงานผลวิจัยว่า ในปี 2016 การใช้หุ่นยนต์ในประเทศไทยถึงร้อยละ 50 กระจุกใน 3 อุตสาหกรรมที่มีการลงทุนในเครื่องจักรสูง ได้แก่ รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มเคมีภัณฑ์และพลาสติก เนื่องจากหุ่นยนต์ช่วยได้ในลักษณะงานที่มีระเบียบ แบบแผน งานทำซ้ำ ประหยัดต้นทุนโดยไม่ต้องจ้างแรงงานที่มีค่าจ้างแรงงานที่สูง ช่วยงานที่เสี่ยงต่ออันตรายสำหรับแรงงาน โดยหุ่นยนต์กว่าร้อยละ 90 ทำงานเชื่อมเหล็ก และใช้หุ่นยนต์ทำงานที่นอกเหนือไปจากความสามารถที่คนจะทำได้ เช่น การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีขนาดเล็กที่มองด้วยตาเปล่าไม่ได้ รวมถึงบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ระบุว่า การขาดแคลนแรงงานทักษะเป็นปัญหาหลัก มีปัญหารุนแรงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมถึง 3 เท่า ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ เช่น ผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หรือกระดาษ เป็นกลุ่มที่คาดว่าหุ่นยนต์จะมาแทนที่ได้ช้า เนื่องจากมีข้อจำกัดทางด้านความสามารถของสมองกล


"ที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีการปลดคนงานออกจากการนำหุ่นยนต์มาใช้ แต่ก็ไม่ทราบได้ว่าจะมีการปลดคนงานครั้งใหญ่ในอนาคตหรือไม่ ซึ่งไทยไม่สามารถนิ่งนอนใจกับกระแสนี้ได้ อีกทั้งไทยมีศักยภาพในการนำหุ่นยนต์มาใช้ และต้นทุนของหุ่นยนต์จะปรับลดลงพร้อมเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น ผู้ประกอบการอาจใช้หุ่นยนต์มาแทนที่คนทำงาน ซึ่งในเรื่องนี้กระทรวงแรงงานไม่ได้นิ่งนอนใจ และให้ความสำคัญในการเตรียมการด้านนโยบาย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือในสถานการณ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพัฒนาทักษะของแรงงานที่ตอบโจทย์เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ซึ่งถือเป็นภารกิจโดยตรงของกระทรวง และเพื่อความชัดเจนเป็นไปในทิศทางเดียวกันจะต้องอาศัยความคิดของทั้ง ๓ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคแรงงาน เพื่อนำผลลัพธ์ที่ได้จากการสัมมนาไปใช้ในการกำหนดนโยบายและแนวทางการทำงานของกระทรวงแรงงานได้อย่างตรงจุด ตรงประเด็น และตรงกับความต้องการของทุกภาคส่วนนำไปสู่ความร่วมมือร่วมใจตามกลไกประชารัฐต่อไปในอนาคต" เพชรรัตน์ฯ กล่าว 

เตรียมจัดงานวันแรงงาน 1 พ.ค.นี้

ขณะที่ วรานนท์ ปีติวรรณ รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประสานงานการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ ปี 2561 ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี ผู้แทนหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงแรงงานกำหนดจัดงานวันแรงงานแห่งชาติในวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี เพื่อรำลึกถึงความสำคัญและคุณประโยชน์ของผู้ใช้แรงงานที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสำหรับกิจกรรมที่น่าสนใจงานวันแรงงานแห่งชาติในปีนี้ อาทิ ภาคเช้า เวลา 07.15 น.พิธีถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์ 9 รูป โดย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธาน ณ ปะรำพิธี บริเวณราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สนามม้านางเลิ้ง) จากนั้นเวลา 09.45 น.จะมีการเคลื่อนริ้วขบวนเทิดพระเกียรติ ริ้วขบวนกระทรวงแรงงาน และริ้วขบวนของผู้ใช้แรงงานไปยังบริเวณสถานที่จัดงาน จากนั้น เวลา 14.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดงานฯ กล่าวสุนทรพจน์ต่อผู้ใช้แรงงาน รับข้อเรียกร้องวันแรงงานแห่งชาติ ปี พ.ศ.2561 และเยี่ยมชมนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน

นอกจากนี้ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ยังมีกิจกรรมต่าง ๆ  เช่น  สำนักงานประกันสังคมให้ความรู้ด้านกฎหมายแรงงาน สิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้นกับโรงพยาบาลในเครือข่ายสำนักงานประกันสังคม จับฉลากมอบรางวัลให้แก่ผู้มาร่วมงาน  เป็นต้น  รวมทั้งชมการแสดงบนเวทีจากศิลปินชื่อดัง โดยบริษัท แกรมมี่ โกลด์ จำกัด  ทั้งนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จะเป็นประธานการแถลงข่าวรายละเอียดการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ ปี 2561 ในสัปดาห์ต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รายงานปัญหาที่ดินกะเหรี่ยงแก่งกระจานชี้ ทวงป่ากระทบชาวบ้านแต่หลายคนยังงง

Posted: 19 Apr 2018 02:48 AM PDT

เครือข่ายกะเหรี่ยงพื้นที่ป่าแก่งกระจานออกรายงานปัญหาการใช้ที่ดินของกะเหรี่ยงแก่งกระจาน เผย กว่าครึ่งเปลี่ยนอาชีพจากเกษตรกรรมเป็นรับจ้างทั่วไปเพราะโดนรัฐผลักออกจากป่า ได้รับผลกระทบจากเขตป่าอนุรักษ์ทับที่ดินทำกิน ไม่รู้เรื่องทวงคืนผืนป่า แต่รู้ว่า 'บิลลี่' หายตัว

ภาพเด็กที่อาศัยในป่าแก่งกระจาน (ที่มา:แฟ้มภาพ)

สืบเนื่องจากการจัดเวทีสุนทรียเสวนาเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดินและป่าไม้ ของชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมกับเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมเขตงานตะนาวศรี และองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (ไอยูซีเอ็น) เมือวันที่ 26 มี.ค. ที่ผ่านมา เครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมเขตงานตะนาวศรีเปิดรายงานสรุปสถานการณ์ปัญหาการใช้ที่ดินป่าไม้ของชุมชนกะเหรี่ยงกลุ่มป่าแก่งกระจาน

รายงานแสดงภาพแผนที่ตำแหน่งและข้อมูลสถิติประชากรของหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงกลุ่มป่าแก่งกระจานที่สำรวจครั้งล่าสุดในช่วงเดือน ส.ค. 2560 - ก.พ. 2561

ตาราง 1 ข้อมูลพื้นฐานชาวกะเหรี่ยงกลุ่มป่าแก่งกระจาน


กะเหรี่ยงกลุ่มป่าแก่งกระจาน


หมู่บ้าน


ครัวเรือน

หัวหน้าครัวเรือน

มีที่ดินทำกิน

ชาย

หญิง

ครัวเรือน

ร้อยละ

ในพื้นที่อนุรักษ์

5

269

173

96

186

69.14

รอบพื้นที่อนุรักษ์

12

205

129

76

136

66.34

รวม

17

474

302

172

322

67.93

ที่มา: การสำรวจเดือน ก.พ. 2561

รายงานระบุต่อไปว่า หัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่ร้อยละ 48.3 มีอายุอยู่ในช่วงวัยแรงงานคืออายุ 30-49 ปี และร้อยละ 51.7 ไม่ได้เรียนหนังสือในระบบการศึกษา จึงไม่สามารถอ่านและเขียนภาษาไทยได้ การดำรงวิถีชีวิตด้วยระบบการเกษตรจึงเป็นอาชีพหลักของชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจานในอดีต แต่ปัจจุบันอาชีพรับจ้างทั่วไปได้กลายมาเป็นอาชีพหลักของชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจาน (จากการสำรวจมีครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนประกอบอาชีพเกษตรกรรม 187 ครัวเรือน และรับจ้างทั่วไป 247 ครัวเรือน) โดยสาเหตุหลักการเปลี่ยนอาชีพคือปัจจัยเรื่องที่ดิน เดิมชาวกระเหรี่ยงใช้ประโยชน์ที่ดินในระบบการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน อันเป็นระบบเกษตรผสมผสานที่สร้างความสมดุลและยั่งยืนให้กับนิเวศป่าไม้

แต่การทำไร่หมุนเวียนชาวกะเหรี่ยงได้ปรับเปลี่ยนไปสู่การทำไร่ถาวรภายใต้ข้อจำกัดด้านที่ดินเนื่องจากอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ อีกทั้งแรงกดดันจากนโยบายรัฐด้านการจัดการที่ดินป่าไม้อย่างเข้มข้นโดยการผลักดันชุมชนออกจากป่า ชาวกะเหรี่ยงกลุ่มป่าแก่งกระจานจึงเป็นผู้ได้รับผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ร้อยละ 68 ของครัวเรือนชาวกะเหรี่ยงมีที่ดินทำกิน ขณะที่อีกร้อยละ 32 ไม่มีที่ดินทำกิน เป็นปรากฎการณ์ชาวกะเหรี่ยงกว่า 247 ครัวเรือน หรือราวร้อยละ 52.1 ต้องหันไปประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป

รายงานยังได้ทำการสำรวจความเห็นต่อประเด็นความมั่นคงในการดำรงชีวิตอันเป็นผลจากความไม่มั่นคงในที่ดิน ได้ข้อมูลดังต่อไปนี้

  1. ชาวกะเหรี่ยงกลุ่มป่าแก่งกระจานร้อยละ 53.4 รู้สึกว่าตนเองได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตป่าอนุรักษ์ซ้อนทับที่ดินทำกินของตนเอง

  2. ชาวกะเหรี่ยงกลุ่มป่าแก่งกระจานร้อยละ 37.3 รู้สึกว่าตนเองได้รับผลกระทบจากการดำเนินการสำรวจปักหลักเขตที่ดินของเจ้าหน้าที่อุทยานที่ด าเนินการตามมติ ครม. 30 มิ.ย. 2541

  3. ชาวกะเหรี่ยงกลุ่มป่าแก่งกระจานร้อยละ 17.1 รู้สึกว่าตนเองได้รับผลกระทบจากการถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติจับกุมดำเนินคดีบุกรุกแผ้วถางป่า

  4. ชาวกะเหรี่ยงกลุ่มป่าแก่งกระจานร้อยละ 14.9 และ 10.6 รู้สึกว่าตนเองได้รับผลกระทบจากการถูกเจ้าหน้าที่อุทยานห้ามไม่ให้เข้าพื้นที่ทำกินและถูกรื้อถอนพืชไร่ที่ปลูกไว้

  5. ชาวกะเหรี่ยงกลุ่มป่าแก่งกระจานร้อยละ 7.1 รู้สึกว่าตนเองได้รับผลกระทบจากการถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติยกเลิกเอกสารสิทธิ์ที่ดินประเภท สทก. (สทก. คือสิทธิทำกิน เป็นที่ดินในเขตป่าสงวนและเป็นป่าไม้เสื่อมโทรม ต้องเป็นพื้นที่ที่ได้ทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยอยู่แล้ว จึงประกาศเป็นเขตปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติ ฉะนั้น สทก.ยังเป็นที่ป่าสงวนอยู่ โดยกรมป่าไม้เป็นผู้อนุญาตและทำการรังวัด ไม่สามารถซื้อขายได้ แต่ตกทอดเป็นมรดกแก่ทายาทได้ ที่มา: TCIJ)

นโยบายด้านการจัดการที่ดินและป่าไม้ของรัฐที่ไม่สามารถสร้างความเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนากลุ่มคนต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กับการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้ได้นับตั้งแต่อดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันดังที่ชาวกะเหรี่ยงกลุ่มป่าแก่งกระจานเผชิญอยู่อย่างต่อเนื่อง ชาวกะเหรี่ยง 55 ครัวเรือนถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติจับกุมข้อหาบุกรุกแผ้วถางป่า ต่อคำถามที่ว่า การใช้อำนาจตามหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เป็นไปตามกฎหมายหรือเป็นด้วยเหตุปัจจัยอื่น ผู้ให้คำตอบได้คือชาวกะเหรี่ยงกลุ่มป่าแก่งกระจานและเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเท่านั้น แต่การจับกุมชาวกะเหรี่ยงที่ทำกินในพื้นที่ยังคงมีอยู่และที่สำคัญมีความถี่ของการจับกุมผู้หญิงที่เป็นหัวหน้าครัวเรือนมากถึง 28 ราย ในขณะที่เป็นผู้ชายมี 27 ราย จึงยังไม่ใช่หนทางแก้ปัญหาที่เป็นข้อยุติความขัดแย้ง

การจัดการพื้นที่อนุรักษ์โดยการขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของกลุ่มป่าแก่งกระจานในอีก 1 ปีข้างหน้าจึงยังคงต้องรอต่อไปเมื่อชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่กว่าร้อยละ 51.3 ไม่เคยรับรู้หรือไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับความสำคัญของการเป็นมรดกโลกของกลุ่มป่าแก่งกระจาน กว่าร้อยละ 62 ไม่เคยรับรู้หรือรู้เรื่องเกี่ยวกับนโยบายทวงคืนผืนป่าและการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) 30 มิ.ย. 2541 ของเจ้าหน้าที่รัฐแต่ชาวกะเหรี่ยงเหล่านี้รับรู้และทราบข่าวของการหายตัวไปของบิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ ร้อยละ 78.9 รับรู้และรับทราบปัญหาของชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงบ่งชี้ได้ว่าการดำเนินนโยบายด้านการจัดการที่ดินและป่าไม้โดยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติระดับพื้นที่ในกลุ่มป่าแก่งกระจานยังเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อความมั่นใจในความมั่นคงของการดำรงชีวิตจากการใช้ที่ดินของชาวกะเหรี่ยงกลุ่มป่าแก่งกระจานอยู่ เพราะไม่รู้ว่าวันใดจะถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเข้ามาจับกุมดำเนินคดีในขณะที่กำลังแผ้วถางพื้นที่ทำกินของตนเอง

เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานใช้เครื่องมือที่เรียกว่า "กฎหมาย" เข้ามาดำเนินการต่อกลุ่มคนที่อยู่กับป่าอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองแนวนโยบายแห่งรัฐว่าด้วยการอนุรักษ์ป่าเพื่อสิ่งแวดล้อมเชิงเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ อนาคตของการใช้ประโยชน์จากที่ดินป่าไม้เพื่อทำเกษตรกรรมของคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงกลุ่มป่าแก่งกระจานจึงไม่สามารถคาดเดาได้ เมื่อความเข้มข้นของการบังคับใช้กฎหมายเพื่อการรักษาผืนป่าอนุรักษ์ได้เป็นมาตรการที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องใช้ แต่ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องเข้าใจและเข้าถึงชุมชนเพื่อร่วมกับชุมชนหาทางเลือกที่เหมาะสมการเริ่มต้นค้นหาทางเลือกเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามวิถีวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองชาวกะเหรี่ยง

ณ ปัจจุบันสิทธิอำนาจการตัดสินใจโดยตัวตนของชาวกะเหรี่ยงกลุ่มป่าแก่งกระจานยังอยู่ในอำนาจควบคุมของตัวแทนภาครัฐ แม้ว่าทุกคนจะมีบัตรประชาชนคนไทยที่แสดงว่าเขาเหล่านั้นเป็นเสียงหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย แต่ในความเป็นจริงเขาทั้งหลายยังขาดสิทธิด้านที่ดินทำกิน การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจากระบบไร่หมุนเวียนมาเป็นการทำเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวเป็นการปรับตัวภายใต้ข้อจำกัดด้านที่ดินและแรงกดดันจากภาครัฐ ตลอดจนการแข่งขันระดับพื้นที่และการปรับตัวเข้าสู่ระบบตลาด การต่อสู้เพื่อให้ได้ที่ดินทำกินในเขตป่าอนุรักษ์จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี สิ่งที่คาดหวังและมีความน่าจะเป็นคือการพัฒนาอย่างมั่นคงและยั่งยืนผ่านกระบวนการเรียนรู้และแก้ไขอย่างเป็นระบบ บนพื้นฐานของการมีวิถีวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกับป่าที่ต่างกัน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผบ.ทบ. สั่งดูแล ยายและพลทหารใหม่ในคลิปดัง หวังคลายกังวล

Posted: 19 Apr 2018 02:25 AM PDT

พล.ต.ปิยพงศ์ เผย ผบ.ทบ. ให้ความสนใจและสั่งการให้สัสดีในพื้นที่รับผิดชอบ เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง ปมพลทหารใหม่ร้องไห้ไม่หยุด หลังจับได้ใบแดง ถาม 'ใครจะดูแลยาย'  ระบุหน่วยจะดูแลให้เป็นอย่างดี

ภาพเจ้าหน้าที่ทหารเข้าพบครอบครัวของศักดิ์ฤทธิ์ (ที่มาภาพ เพจ กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย)

19 เม.ย.2561 จากกรณีวานนี้ (18 เม.ย.61) มีการเผยแพร่ภาพและเรื่องราวการตรวจเลือกทหาร ที่มีชายรายหนึ่งจับได้ใบแดง ต้องเข้ารับราชการและร้องไห้ เสียใจ เพราะเกรงว่าจะไม่มีคนดูแลยายที่ป่วยและอยู่เพียงลำพังนั้น

โพสต์ทูเดย์ รายงานว่า ล่าสุด พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผู้บัญชาการ มณฑลทหารบกที่11 เปิดเผยว่า ผู้เข้ารับการตรวจเลือกดังกล่าวชื่อ ศักดิ์ฤทธิ์ ศรีสุนทร อาศัยอยู่ใน ซอยเทอดไทย 15 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กทม. โดยที่ผ่านมา ศักดิ์ฤทธิ์ ได้ขอผ่อนผันเนื่องจากอยู่ระหว่างศึกษาระดับปริญญาตรีมาแล้ว 2 ครั้ง ในครั้งนี้ได้ตัดสินใจยกเลิกผ่อนผันและเข้ารับการตรวจเลือกและจับได้ใบแดง (ทบ.ผลัดที่ 2) ต้องรับราชการ 2 ปี ในผลัดที่ 2 เนื่องจากวุฒิที่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้คือ ปวช.โดยจะต้องเข้ารับราชการในเดือน พ.ย.61 นี้

ทั้งนี้ ศักดิ์ฤทธิ์ มีภาระต้องดูแลยาย 1คน อายุ 75 ปี และป้าอีกสองคน ป้าอายุ 55 ปีซึ่งมีอาการป่วย รวมทั้งป้าอีกคนอายุ 48 ปีกับหลานชายอายุ 16 ปีอีก 1 คน ที่กำลังเรียนหนังสือ จากการสอบถามทราบว่า รายได้ของครอบครัวมาจาก การร้อยมาลัยของยายและป้า และไปขายบริเวณหน้าวัดนาคปรก ซ.เพชรเกษม 23 รายได้วันละประมาณ 200 บาท ส่วนศักดิ์ฤทธิ์ เป็นลูกจ้างทำงานบริษัทผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้ารายได้วันละ 300 บาท สภาพครอบครัวมีฐานะยากจน ส่วนด้านการศึกษา ศักดิ์ฤทธิ์ ต้องยุติการศึกษาระดับปริญญาตรี เนื่องจากไม่มีเงินศึกษาต่อ

พล.ต.ปิยพงศ์ กล่าวว่า พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.และ พล.ท.กู้เกียรติ ศรีนาคา แม่ทัพภาค 1 ได้ให้ความสนใจและสั่งการให้สัสดีในพื้นที่รับผิดชอบ เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง และเตรียมการดูแลอย่างเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ศักดิ์ฤทธิ์ ที่หน่วย มทบ.11 ถ.พระราม 5 เขตดุสิต กทม. ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ซึ่งหน่วยจะดูแลทั้งตัวพลทหารใหม่และยายให้เป็นอย่างดี เพื่อสร้างความสบายใจ คลายกังวล สามารถเข้ารับการฝึก และทำหน้าที่ตามกฎหมายได้อย่างสมบูรณ์

พล.ต.ปิยพงศ์ กล่าวว่า เมื่อคืนนี้ สัสดีกรุงเทพฯ ได้เดินทางไปที่บ้านพักของ ศักดิ์ฤทธิ์ เพื่อพูดคุยกับครอบครัว และ ศักดิ์ฤทธิ์ แล้ว โดย ศักดิ์ฤทธิ์ ระบุว่า เหตุการณ์ในตอนนั้น ร้องไห้เพราะตกใจ เนื่องจากไปเข้ารับการตรวจเลือกคนเดียว ไม่มีคนให้คำปรึกษา และยืนยันว่าจะเข้าไปทำหน้าที่พลทหาร 

รายงานข่าวระบุด้วยว่า เมื่อเดือน ต.ค. - ธ.ค. 2560 ศักดิ์ฤทธิ์ เคยทำงานอยู่ที่สำนักพระราชวัง มีหน้าที่ในการรับเสด็จฯ แต่ถูกให้ออกเนื่องจาก ยังไม่ผ่านการตรวจเลือกทหารและบัตรเขียวถูกยกเลิก ส่วนชื่อ นพดล ที่ใช้ใน เฟสบุ๊คเป็นนามแฝง ไม่มีเจตนาอื่นใด

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สามัญชนเสนออย่ามอง ‘กัญชา’ อันตรายเกินจริง หนุนเป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือก

Posted: 19 Apr 2018 02:13 AM PDT

ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสามัญชน เสนออย่ามอง 'กัญชา' อันตรายเกินจริง หนุนเป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือก ชี้พื้นที่ภาคอีสานปลูกพืชชนิดนี้ได้ดีที่สุด ส่วนเมล็ดพันธุ์นครพนมถูกยอมรับในระดับโลกว่าเป็นสายพันธุ์ที่ใช้สกัดยาได้ดีที่สุด

นิติกร ค้ำชู ผู้ประสานงานขบวนการอีสานใหม่ หนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคสามัญชน

19 เม.ย. 2561 เฟซบุ๊กแฟนเพจ ขบวนการสามัญชน Commoner ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ ตอง นิติกร ค้ำชู ผู้ประสานงานขบวนการอีสานใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคสามัญชน ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ กัญชา โดยเขาเห็นว่าปัจุบันสังคมไทยยังตกอยู่ภายใต้มายาคติที่เชื่อว่า กัญชา เป็นสารเสพติดที่มีความอันตราย ซึ่งเป็นการให้ภาพของกัญชาที่อันตรายเกินความจริง เมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงกฎหมายควบคุมกัญชาในต่างประเทศตลอดช่วงเวลาที่ผ่าน ดังเช่นที่รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ซึ่งอนุญาตให้ซื้อขายรวมถึงปลูกกัญชาได้อย่างถูกกฎหมายมา 4 ปีแล้ว

นิติกร ระบุในบทสัมภาษณ์ดังกล่าวว่า สภาพสิ่งแวดล้อมในภาคอีสานเป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสม และเอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของกัญชาสูง เขาเห็นว่ากัญชาควรมีสถานะเป็นพืชสมุนไพร และเชื่อว่ากัญชามีศักยภาพที่จะเป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือกสำหรับเกษตรกรรายย่อย ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนอีสานได้มากขึ้น

"วันนี้เกษตรกรประเทศไทยต้องการทางออกจากวังวนเดิมๆ ที่ทำไม่คุ้มทุน ทำแล้วเป็นหนี้แต่ก็ต้องทำต่อเพราะเป็นหนี้ ธกส. ผมคิดว่ากัญชาจะทำให้เขามีโอกาสและรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งกับการเป็นเกษตรกร ที่ผ่านมาปัญหาของประเทศไทยคือมันรวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจไว้ที่ส่วนกลางที่กรุงเทพฯ ทำให้เกิดปัญหานโยบายต่างๆ ที่ลงมาไม่ได้ตอบสนองความต้องการของประชาชน ในฐานะเป็นคนอีสาน เราอยากให้คนอีสานได้มีอำนาจในการจัดการตนเอง อำนาจในการกำหนดอนาคตตนเอง โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง เรื่องกัญชาคิดว่าน่าจะเป็นความหวังของคนอีสานได้ เพราะเดิมภาคอีสานก็เป็นพื้นที่เหมาะจะปลูกกัญชา เกษตรกรอีสานจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น"

"ที่อยากให้เรื่องนี้เป็นวาระก็เพราะคนอีสานถูกกดทับ ถูกดูหมิ่น ถูกหาว่าโง่จนเจ็บมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เรื่องนี้จะแสดงให้เห็นว่าคนอีสานมีศักยภาพมีความสามารถ เป็นคนที่ไม่ได้โง่จนเจ็บ เป็นคนมีคุณภาพ มีความสามารถในการที่จะออกแบบกำหนดชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองได้ คิดว่าสิ่งที่จะตอบสนองความต้องการของคนอีสานได้มากที่สุดคือให้สิทธิในการออกแบบชีวิตตนเอง"

"เริ่มจากความตั้งใจที่อยากจะศึกษาการแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร เรื่องเศรษฐกิจปากท้องชาวบ้านเกษตรกรที่ทำงานอยู่ด้วย แต่พอไปดูเรื่องข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา กลไกที่ควบคุมกำหนดอยู่เป็นระบบที่ซับซ้อนและแก้ไขได้ยากมาก เป็นระบบตลาดที่ผูกขาดโดยบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้ยังมองไม่เห็นทางออกว่าจะทำอย่างไรให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ เราอยากเห็นเกษตรกรมีชีวิตที่ดีขึ้น

"ที่ผ่านมาเห็นกระแสของกัญชาในต่างประเทศที่นำมาสกัดเป็นยาเป็นพืชที่สร้างตัวเลขเศรษฐกิจได้ ก็รู้สึกว่าที่จริงประเทศไทยในอดีตเป็นพื้นที่ต้นกำเนิดกัญชาด้วยซ้ำ สภาพอากาศบ้านเราเหมาะกับการปลูกกัญชา ในส่วนเมล็ดพันธุ์ของนครพนมก็เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ทั่วโลกให้การยอมรับว่าเป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้ในการสกัดมาทำยาต่างๆ จึงมองตรงนี้เป็นโอกาสที่ประเทศไทยเองน่าจะทำให้เกิดแนวทางที่จะช่วยเกษตรกรให้มีรายได้ที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้"

คนไทย สังคมไทยจะได้ประโยชน์อะไรจากการส่งเสริมให้กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจ?

"ก่อนอื่น กัญชาและกระท่อม กระบวนการในการจัดการต้องทำโดยรัฐเพื่อป้องกันนายทุนใหญ่จะเข้ามาผูกขาดทำให้เกษตรกรไม่ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากการปลูกพืชสองชนิดนี้ คือให้เกษตรกรในพื้นที่เป็นคนปลูก ผลผลิตที่ได้ให้รัฐเป็นคนรับซื้อ แล้วมาทำการแปรรูปโดยสกัดเป็นยารักษาโรคต่างๆ มะเร็ง เบาหวาน ลมชัก ฯลฯ ที่มีสรรพคุณในการรักษา ส่วนตัวยาที่สกัดได้ก็เน้นใช้กับคนในประเทศ คนไทยจะได้ยารักษาโรค ส่วนในเชิงการค้าถ้าสมมติมีการส่งออก ส่วนหนึ่งก็ต้องเก็บภาษีมาเพื่อจัดทำสวัสดิการในด้านสุขภาพในระดับตำบล พื้นที่ไหนปลูกเยอะขายให้รัฐเยอะก็จะได้ตัวเลขภาษีที่จะไปทำเรื่องสวัสดิการ รพ. อนามัย พัฒนาอนามัยตำบล ฯลฯ ประชาชนก็ได้รับในแง่สวัสดิการ เกษตรกรก็จะได้ในแง่เศรษฐกิจ"

ปัญหาปากท้องของเกษตรกรจะแก้ได้อย่างไรถ้ากัญชาถูกกฎหมาย?

"การรับซื้อผลผลิตโดยรัฐอาจจะต้องมีการประกันราคา กิโลละเท่าไร ในส่วนเกษตรกรก็ต้องมีการจำกัดปริมาณการปลูกด้วยเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาใครปลูกได้ก็ปลูกเอาเต็มที่สุดท้ายก็จะไปสู่วิถีเดิมคือบริษัทนายทุนก็จะเข้ามาปลูกกันเยอะแยะและไม่สามารถกระจายรายได้ให้เกษตรกรได้จริง"

มีความพยายามผลักดันให้กัญชาถูกกฎหมายมาโดยตลอด ในต่างประเทศก็ต่อสู้กันมายาวนานหลากหลาย ทำไมพรรคสามัญชนผลักดันเรื่องนี้?

"ที่ผ่านมากระแสการพูดเรื่องกัญชาส่วนมากจะพูดในเชิงวิจัยสกัดและในทางการแพทย์มากกว่า แต่ที่มันต่างและต้องเสนอนโยบายนี้ต่อพรรคสามัญชนเพราะมันไปเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจปากท้องของคนข้างล่าง และพรรคสามัญชนประกาศตัวมาตลอดว่าจะเป็นพรรคของคนจนพี่น้องเกษตรกร นโยบายนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของเกษตรกร ส่วนทางการแพทย์ก็เป็นประโยชน์ที่จะได้รับ

"อันดับแรกต้องเสนอปลดกัญชาและกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดประเภท 5 ขั้นต่อมาคือต้องเสนอให้มี พ.ร.บ.กัญชาและกระท่อม เพื่อกำหนดรายละเอียดต่างๆ เช่น การผลิต แปรรูป จำหน่าย แต่โดยหลักการต้องให้ทำโดยรัฐ และมีการเก็บภาษีเพื่อเอามาทำสวัสดิการ

"ในส่วนเครือข่ายหรือกลุ่มอื่นๆ ที่ผลักดันเรื่องกัญชาและกระท่อมมาโดยตลอด ช่องทางแรกคือเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคสามัญชนและสามารถช่วยกันปรับปรุงเพิ่มเติมให้นโยบายมันครอบคลุมและเป็นรูปธรรมมากขึ้น ส่วนตัวผมเองก็จะเดินทางไปปรึกษาหารือเครือข่ายต่างๆ ที่ทำงานเรื่องนี้อยู่แล้วเพื่อขอข้อมูลขอความรู้ขอความเห็นและอาจชวนมาร่วมเป็นสมาชิกและผลักดันนโยบายนี้ไปด้วยกัน"

"ส่วนตัวหวังกับมันมากอยากให้มันเหมือนเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาแก้ไขปัญหาเกษตรกรที่เรื้อรังมาหลายสิบปี ก็รู้สึกยากเหมือนกันเพราะทัศนคติหลายคนหลายกลุ่มก็มองกัญชาในแบบเดิมคือเป็นยาเสพติดเป็นอันตราย แต่เอาเข้าจริงชาวบ้านในพื้นที่เขาอยู่กับกัญชาเห็นกัญชามาตั้งแต่เด็ก"

"สมัยก่อนเขามองกัญชาเป็นพืชเป็นผักเป็นยาสมุนไพรชนิดหนึ่งเหมือนโหระพา ใบกะเพรา ขมิ้น ฯลฯ แต่พอมีกรอบคิดว่ากัญชาเป็นสิ่งเลวร้าย เป็นเรื่องผิดกฎหมาย เป็นสิ่งอันตราย มันก็ซึมซับเรื่องพวกนี้เข้ามาในกรอบคิดของชาวบ้านทำให้ปัจจุบันนี้บางคนอาจกลัวจนไม่กล้าพูดถึงด้วยซ้ำ ดังนั้นต้องรณรงค์เรื่องนี้ให้เกิดการพูดคุยกันอย่างจริงจังในสังคมไทยว่าเราจะมีมุมมองต่อกัญชาอย่างไร จริงๆ แล้วกัญชาเป็นสิ่งน่ากลัวอันตรายจริงหรือเปล่า

"อยากฝากถึงทุกคนที่มองกัญชาไม่ใช่สิ่งเลวร้าย โอกาสแบบนี้ถ้าปล่อยไว้และช้าไปกว่านี้ผมคิดว่าสักวันหนึ่งฝรั่งจดลิขสิทธิ์กัญชาไทยไปหมดแน่ และอีกส่วนหนึ่งมันเป็นความหวังที่จะสร้างเศรษฐกิจและกระจายรายได้ไปสู่เกษตรกรจริงๆ"

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มรดกจากสงครามโลก เมื่อยังมีบทเพลงหลงเหลือในค่ายกักกันเอาชวิตซ์

Posted: 19 Apr 2018 12:58 AM PDT

พันธกรอิตาลีอุทิศตนให้กับการค้นหาเพลงของนักโทษในค่ายกักกันที่เคยแต่งเอาไว้ตามที่ต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่บนกระดาษชำระ จนกระทั่งค้นพบบทเพลงของพยาบาลกวีผู้เขียนเพลงขับกล่อมคนป่วยในค่ายกักกัน และค้นพบผู้รอดชีวิตที่เคยเป็นเด็กหญิงภายใต้การดูแลของกวีผู้นี้ เธอเป็นคนเดียวที่รู้ทำนองเพลงและสามารถร้องเพลงในความทรงจำได้แม้จะผ่านมาแล้วราว 70 ปี

ค่ายกักกันเอาชวิตซ์ ที่มาภาพจาก pixabay

19 เม.ย. 2561 ในค่ายกักกันเมืองเทเรซิน ประเทศเชคโกสโลวาเกียซึ่งในขณะนั้นเป็นพื้นที่ยึดครองของนาซี มีกวีชาวยิวที่ชื่อ อิลซา เวเบอร์ ถูกคุมขังอยู่ในนั้น เวเบอร์เขียนเพลงที่ชื่อ When I Was Lying Down in Terezin's Children's Clinic. "เมื่อฉันนอนลงในคลินิคเด็กของเทเรซิน" เนื้อหาของเพลงพูดถึงการดูแลเด็กที่ป่วยในค่ายกักกัน ถึงแม้ว่าเวเบอร์จะต้องทำหน้าที่พยาบาลในค่ายกักกันแต่เธอก็แทบจะไม่มียารักษาโรคให้ใช้เลย สิ่งที่เธอมีก็เพียงบทกวีและดนตรีของเธอเท่านั้น

หลังจากที่เวเบอร์เสียชีวิตที่ค่ายเอาชวิตซ์ในปี 2487 สามีของเธอก็เก็บกู้บทเพลงและบทกวีที่เธอซ่อนไว้ออกมาได้บางส่วน หนึ่งในนั้นคือเพลง "เมื่อฉันนอนลงในคลินิคเด็กของเทเรซิน" ที่ถึงแม้ว่าในที่แรกจะไม่มีใครรู้ทำนองเพลง แต่ก็มีผู้รักเสียงเพลงผู้หนึ่งพยายามขุดค้นต่อเติมชีวิตให้เพลงนี้อีกครั้ง เขาคือ ฟรานเซสโก โลโตโร ชาวอิตาเลียนเชื้อสายยิวผู้เป็นนักดนตรีวิทยาและนักเปียโนที่อุทิศตัวให้กับการเก็บกู้เพลงจำนวนมากที่ถูกเขียนขึ้นช่วงที่มีการสังหารหมู่ชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่ 2

โลโตโรค้นพบว่ามีคนๆ หนึ่งที่เคยได้ยินทำนองเพลงนี้คือ อวีวา บาร์ออน หญิงที่เคยเป็นคนไข้ของเวเบอร์ในค่ายกักกันเมื่อช่วง 70 ปีที่แล้ว เธอนำเพลงนี้ขึ้นแสดงในคอนเสิร์ตรำลึกเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิวเมื่อวันที่ 15 เม.ย. ที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมเป็นนายกรัฐมนตรีอิสราเอลและผู้รอดชีวิตจากการสังหารหมู่กับลูกหลานของพวกเขา

เพลงที่มาจากการจัดงานคอนเสิร์ตดังกล่าวนี้ โลโตโร เป็นวาทยากรนำมันมาจากบทเพลงและโน๊ตเพลงที่บันทึกไว้ตามที่ต่างๆ ของค่ายกัดกันไม่เว้นแม้แต่ ถุงถ่านหิน ไปจนถึงกระดาษชำระ ผู้ที่เขียนสิ่งเหล่านี้มีทั้งชาวยิวและคนชนชาติอื่นๆ ที่อยู่ในค่ายกักกันอย่างชาวยิปซี รวมถึงคนทีเป็นเฉลยศึก โลโตโรรวบรวมบทเพลงมาได้ถึงมากกว่า 8,000 ชิ้น โดยมีเป้าหมายว่าเขาต้องการเก็บรักษาประวัติศาสตร์เหล่านี้ไว้พร้อมๆ กับปะชุนช่องว่างประวัติศาสตร์ของดนตรี จากที่ในสงครามโลกมีนักประพันธ์เสียชีวิตจากการสังหารหมู่เป็นจำนวนมาก โลโตโรใช้เวลารวบรวมบทเพลงเหล่านี้มาตั้งแต่ปี 2532 แล้ว

โลโตโรบอกว่าในตอนแรกเขาแค่อยากค้นหาบทเพลงของชาวยิว แต่เพื่อเขายิ่งค้นหามากขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกอยากค้นหาผลงานของนักโทษการเมืองและนักโทษทางศาสนารายอื่นๆ ไปด้วย ทำให้เขาเจอแสงสว่างทางวัฒนธรรมอย่างผลงานของเวเบอร์ จากเดิมที่งานตามหาประวัติศาสตร์วัฒนธรรมค่ายกักกันของเขาเป็นเพียงงานที่ทำด้วยใจรัก ในตอนนี้มันกลายเป็น "ภารกิจ" สำหรับเขาไปแล้ว

มีอยู่เพลงหนึ่งที่เขียนบนกระดาษชำระด้วยชาร์โคลที่ปกติใช้เป็นยาดูดซึมพิษ ผู้ที่เขียนคือรูดอร์ฟ คาเรล เขาเขียนเพลงนี้ขึ้นก่อนเสียชีวิตในค่ายกักกันเทเรซิน อีกเพลงหนึ่งเขียนโดยนักโทษชาวยิวอายุ 12 ปี มีชื่อว่า Tango in Auschwitz. "แทงโกอินเอาชวิทซ์" ที่มีจังหวะเร่งเร้าท่วงทำนองชวนเต้น อีกเพลงหนึ่งเขียนโดยชาวยิปซีในค่ายกักกันซึ่งขอร้องให้ "จดจำพวกเราผู้อยู่ในค่ายเอาชวิทซ์" remember us, who were in Auschwitz. เพลงเหล่านี้ล้วนถูกนำมาเล่นในคอนเสิร์ตรำลึกทั้งสิ้น 

โลโตโรบอกว่าเพลงเหล่านี้สื่อถึงความหวังเล็กๆ แม้แต่ในสภาพการณ์ที่น่าสิ้นหวัง มีบางเพลงทีเจ็บปวดเกินกว่าจะร้องออกมาเป็นเพลงได้ ทำให้โลโตโรต้องระวังเวลาขอให้คนที่รอดชีวิตแต่จดจำทำนองเพลงในอดีตได้ได้ร้องเพลงให้เขาฟัง แต่เมื่อสามารถใส่ทำนองกับเพลงเหล่านี้ได้แล้วมันเหมือนเขาได้ปลุกเสกชีวิตให้กับเพลงเหล่านี้ได้อีกครั้ง

บาร์ออนเล่าถึงพยาบาลกวีที่เคยดูแลเธอว่า เวเบอร์เป็นคนที่วิเศษและยิ้มแย้ม เธอจะเล่นแมนโดลินแล้วร้องเพลงตามไปด้วย มีบางเพลงที่ตลกขบขันมาก ในตอนนี้มีบาร์ออนอยู่คนเดียวที่จดจำเพลงเหล่านั้นได้ จากที่เธอต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเวเบอร์ในช่วงที่เธอทั้งป่วย หิวโหย เต็มไปด้วยโรคระบาด ในค่ายกักกันตอนนั้นมีสีสันด้านดนตรีมากเพราะมีนักร้องโอเปราชื่อดังและนักดนตรีระดับสูงถูกจับรวมอยู่ด้วย

โลโตโรพูดถึงการตามหาเพลงเก่าของเหยื่อนาซีว่ายิ่งเวลาผ่านไปยิ่งตามหาผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์เหล่านั้นยากขึ้น เขายังคงมีวัตถุดิบอัดเพลงและเอกสารต่างๆ จำนวนมากยังไม่ได้แตะต้อง และมักจะนึกถึงวัตถุดิบอื่นๆ ที่อาจจะยังรอการค้นพบ และเขามุ่งมั่นจะค้นหาต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้ค้นพบทุกเพลงแม้จะดูเป็นเพลงที่เล็กน้อยเพียงใด ไม่เกี่ยงว่าจะมาจากมืออาชีพหรือมาจากมือสมัครเล่น โลโตโรบอกอีกว่าดนตรีที่เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามเช่นนี้สมควรได้รับการค้นพบเพราะ "มันเป็นของมนุษยชาติ"

เรียบเรียงจาก

How thousands of songs composed in concentration camps are finding new life, Meagan Flynn, The Washington Post, 17-04-2018

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ ระบุ 'แจ๊ค หม่า' เขามาช่วย ไม่ได้มุ่งหวังเรื่องเศรษฐกิจ เขามีเพียงพอแล้ว

Posted: 19 Apr 2018 12:53 AM PDT

อาลีบาบามั่นใจ และพร้อมช่วยผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจ E-Commerce ในภูมิภาค 'ประยุทธ์' ระบุ 'แจ๊ค หม่า' เขามาช่วย ไม่ได้มุ่งหวังเรื่องเศรษฐกิจ เขามีเพียงพอแล้ว 

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

19 เม.ย.2561 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ เมื่อเวลา 10.30 น. แจ็ค หม่า (Jack Ma) ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทอาลีบาบา และคณะผู้บริหารกลุ่มบริษัทอาลีบาบา (Alibaba Group) จากสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย ณ ทำเนียบรัฐบาล 

มติชนออนไลน์ รายงานว่า  พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ฝ่ายของ แจ๊ค หม่า ระบุว่าไม่ได้มุ่งหวังเรื่องของเศรษฐกิจ เพราะเขามีเพียงพอแล้ว ถึงมุ่งหวังที่จะมาช่วยผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อย ต้องช่วยคนที่แข่งขันไม่ได้ให้มีความสามารถมากขึ้น รายการเข้ามาสู่การค้าทางออนไลน์ อีกทั้งต้องการมาช่วยประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ซึ่งไทยมีนโยบายไทยแลนด์บวกหนึ่ง เพราะประเทศในอาเซียน มีการผลิตสินค้าเกษตรเป็นจำนวนมาก ซึ่งตนฝากให้เขาช่วยดูแลเรื่องการขายปาล์ม ข้าว และยางพาราของไทยซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งเขามีโรงเรียนสอนเรื่องธุรกิจ การค้าขายทางออนไลน์ (อี-คอมเมิร์ซ) การพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งถือเป็นการใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่เขามามุ่งเอาผลประโยชน์ทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว ส่วนจะต้องใช้เงินลงทุนทั้งหมดเท่าไหร่นั้น ก็เป็นเรื่องของค่าทำงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ดำเนินการ สำรับการที่ฝ่ายนายแจ๊ก หม่า จะนำข้าวไทยไปขายนั้น เป็นการนำข้าวคุณภาพของไทยไปขาย บนเว็บไซต์ของเขาด้วย ส่วนจะนำไปขาย เป็นจำนวนเท่าไรในแต่ละปีนั้น คงจะมีการหารือเป็นขั้นตอนต่อไปในอนาคต

สำหรับ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล รายงานว่า พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญการหารือดังกล่าวไว้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยินดีที่กลุ่มบริษัทอาลีบาบาให้ความเชื่อมั่นและร่วมมือกับไทย โดยไทยเชื่อมั่นว่า แนวคิดและเทคโนโลยีใหม่ของอาลีบาบาจะช่วยสร้างโอกาสด้านการพัฒนา ตามแนวนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของไทย นอกจากนี้ นโยบายไทยแลนด์ 4.0 และ โครงการ EEC ยังเชื่อมโยงไปแนวคิดหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทางของจีนได้อีกทางหนึ่งด้วย

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายยังได้พูดคุยแลกเปลี่ยนถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยและจีน โดยนายกรัฐมนตรียังได้สอบถามถึงแนวโน้มการค้าการลงทุนของบริษัทในต่างประเทศ ภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง พร้อมกล่าวว่าเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพและเติบโต รวมทั้งรัฐบาลยังมีนโยบายต่างๆ ที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุนของนักธุรกิจส่งผลให้ไทยเป็นแหล่งลงทุนที่ดี และมีศักยภาพที่จะรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงการขยายการลงทุนของกลุ่มบริษัทอาลีบาบาในระยะยาว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจดิจิทัลถือเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย โดยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการขับเคลื่อนการปฏิรูป โดย E-Commerce เป็นกุญแจสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยไปสู่เป้าหมาย ซึ่งไทยยินดีที่อาลีบาบาวางแผนลงทุนสร้าง Smart Digital Hub ในพื้นที่ EEC โดยมุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านการค้า E-Commerce

ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องถึงความสำคัญของการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ SMEs ที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับฐานรากจนถึง SMEs ที่สามารถส่งออกได้ ให้สามารถดำเนินธุรกิจผ่านช่องทาง E-Commerce รวมถึงการพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้ก้าวสู่เศรษฐกิจยุคดิจิทัล โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่ทางอาลีบาบาจะช่วยแบ่งปันประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่เป็นประโยชน์เพื่อส่งเสริม SMEs และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของไทยด้วย

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไทยยังมีการท่องเที่ยวแนวใหม่ ตามแนวคิด Thailand +1 หากสามารถจับคู่การท่องเที่ยวในมณฑลต่างๆของจีนได้นั้น จะยิ่งช่วยเพิ่มมูลค่าระหว่างกันได้มากยิ่งขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย

ด้านผู้บริหารกลุ่มบริษัทอาลีบาบากล่าวว่า ไทยถือเป็นผู้นำในด้านการพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยบริษัทมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นอย่างมาก จะเห็นได้จากการแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจ (MOUs) ระหว่างกลุ่มบริษัทอาลีบาบากับหน่วยงานต่าง ๆ ในการดำเนินโครงการที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยในหลากหลายมิติ จำนวน 4 ฉบับในวันนี้ โดยในตอนท้าย หม่า ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความมั่นใจในการเข้ามาร่วมลงทุนกับกลุ่มบริษัทอาลีบาบา และพร้อมที่จะช่วยร่วมมือกับและพัฒนาประเทศไทยไปสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กยศ. ขอนายจ้าง-ส่วนราชการช่วยหักเงินเดือน หลังคดีผิดนัดชำระหนี้ล้นศาล

Posted: 19 Apr 2018 12:16 AM PDT

กยศ. จับมือศาลยุติธรรม สู่กระบวนการไกล่เกลี่ยผู้กู้ยืมเงินกองทุนที่ค้างชำระ หลังผู้กู้ค้างจ่ายหนี้ 1.2 ล้านราย บังคับคดีแล้ว 2 แสนราย ย้ำ กฎหมายใหม่เปิดทางนายจ้างหักเงินเดือนพนักงานนำส่งรัฐก่อนได้

19 เม.ย.2561 โพสต์ทูเดย์และวอยส์ออนไลน์ รายงานว่า ชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานศาลยุติธรรมได้ประสานความร่วมมือกับ กยศ. ติดตามหนี้ โดยได้มีส่วนช่วยเหลือในกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสำหรับกลุ่มผู้กู้ยืมที่ค้างชำระหนี้และเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องดำเนินคดี ทั้งนี้ ปัจจุบันกองทุนมีผู้กู้ยืมที่ครบกำหนดชำระหนี้จำนวนกว่า 3.6 ล้านราย โดยมีผู้กู้ยืมที่ค้างชำระหนี้และศาลมีคำพิพากษาแล้ว 1.2 ล้านราย รวมทั้งมีผู้กู้ยืมที่ผิดนัดและไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา และเข้าสู่กระบวนการบังคับคดีแล้วจำนวนประมาณ 2 แสนราย และยังมีผู้กู้ยืมที่จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีประมาณ 1 ล้านราย ทำให้ส่งผลกระทบต่อการพิจารณาพิพากษาคดีปกติของศาล
 
อย่างไรก็ดี พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 ได้มีผลบังคับใช้แล้ว กำหนดให้องค์กรนายจ้างมีหน้าที่หักเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากรของพนักงาน/ลูกจ้างที่เป็นผู้กู้ยืมเงินกองทุน ตามอำนาจที่กองทุนแจ้งเนื่องจากการจ้างแรงงาน เช่น เงินเดือนค่าจ้าง นำส่งกรมสรรพากรพร้อมกับการนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เพื่อชำระหนี้คืนกองทุน คาดว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามหนี้ของกองทุน โดยลดปัญหาหนี้ค้างชำระและลดจำนวนคดีที่เข้าสู่ศาล สำหรับผู้กู้ที่ศาลพิพากษาแล้วขอให้ไปชำระหนี้หรือขอเจรจาไกล่เกลี่ยชั้นบังคับคดีได้ เพื่อป้องกันการถูกยึดทรัพย์บังคับคดี โดยผู้กู้ยืมสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่กองทุน กยศ. หรือสำนักงานบังคับคดีในแต่ละจังหวัด นอกจากนี้ กยศ.จะเริ่มหักเงินเดือนลูกหนี้กลุ่มข้าราชการที่จ่ายเงินผ่านกรมบัญชีกลาง โดยเฉพาะกลุ่มที่ไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง และได้ทำสัญญาประนีประนอมกับ กยศ.แล้ว
 
ผู้จัดการ กยศ. คาดว่ามีจำนวนหลักพันรายให้เข้ามาสู่ระบบหักชำระเงิน โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา กยศ.ได้เชิญส่วนราชการที่จ่ายเงินเดือนผ่านกรมบัญชีกลางมาชี้แจงทำความเข้าใจ เพื่อเริ่มหักเงินเดือนได้ในเดือน มี.ค. 2561 ปัจจุบันมีข้าราชการที่เป็นลูกหนี้ กยศ.กว่า 2 แสนราย ในจำนวนนี้มีการชำระหนี้ครบแล้วกว่า 5 หมื่นราย ซึ่งยังเหลือข้าราชการที่เป็นลูกหนี้ กยศ.อีกกว่า 1.5 แสนราย ขณะที่การหักเงินเดือนลูกจ้างบริษัทเอกชนคาดว่าเริ่มได้ในไตรมาส 4 ปีหน้า อย่างไรก็ดี กองทุนขอให้ผู้กู้ยืมเงินชำระหนี้คืนตามกำหนดชำระหนี้ เหมือนให้ทุนแก่เยาวชน เพื่อไปสร้างอนาคต และส่งมอบโอกาสคืนทุนการศึกษาให้กับคนรุ่นใหม่ต่อไป
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยกฟ้อง 7 หญิงค้านเหมืองแร่ทองคำ จ.เลย ชี้เป็นสิทธิตามประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญคุ้มครอง

Posted: 18 Apr 2018 11:37 PM PDT

ศาลยกฟ้อง 7 สมาชิกกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด คัดค้านเหมืองแร่ทองคำ จ.เลย ทนายระบุศาลชี้เป็นการใช้สิทธิในการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามระบอบประชาธิปไตย และได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ 

19 เม.ย.2561 ขบวนการอีสานใหม่ New E-Saan Movement  รายงานว่า วันนี้ (19 เม.ย.61) ศาลจังหวัดเลยอ่านคำพิพากษาคดีอาญา ยกฟ้อง คดีที่ผู้หญิงนักปกป้องสิ่งแวดล้อม 7 คน ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด คัดค้านเหมืองแร่ทองคำ จ.เลย ถูกฟ้องจากการเข้าร่วมการนั่งประท้วงบริเวณด้านนอกที่ทำการสภาองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดเลยเมื่อเดือน พ.ย. 2559 ในข้อหาละเมิด พ.ร.บ.ชุมนุมฯ มาตรา 8, 10 และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 

รายละเอียด ธีรพันธ์ พันธ์คีรี ทนายความจำเลยในคดี สรุปว่า ศาลพิพากษายกฟ้องทั้ง 2 ข้อหา โดยเหตุผลที่ศาลยกฟ้องนั้น เนื่องจากศาลมองว่าในวันนั้นที่ อบต.เขาหลวง จัดให้มีการประชุมสภาและเชิญตัวแทนชาวบ้านเข้าร่วมรับฟัง การที่ อบต.จัดการประชุมและเชิญชาวบ้านเข้าไปร่วมรับฟังนั้น ศาลมองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จำเลยเป็นผู้จัดการชุมนุมขึ้น แต่เป็นเรื่องของการเข้าไปร่วมรับฟังการประชุมซึ่งจัดขึ้นโดยทางราชการ โดยการประชุมของ อบต.นั้นเป็นการประชุมตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ซึ่งใน พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ เขาไม่ใช้บังคับแก่การประชุมในลักษณะอย่างนี้ 

อีกข้อหาเรื่องข่มขื่นใจที่ สมาชิก อบต. กล่าวหานั้น ศาลเห็นว่าพยายานมีการขัดแย้งกัน บางปากอ้างว่าจำเลยมีการปราศรัยข่มขู่ว่าถ้าใครขึ้นประชุมนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัย แต่ศาลเห็นว่า พยายามโจทก์บางคนก็บอกว่าไม่ได้ยินว่ามีการปราศรัยในลักษณะดังกล่าว รวมทั้งตำรวจก็เบิกความในลักษณะนี้ ศาลจึงเห็นว่าการที่จำเลยไปร่วมประชุมในวันนั้นเป็นไปโดยสงบ ไม่มีการบังคับขู่เข็ญหรือใช้ความรุนแรงใดๆ ประกอบกับผู้ร่วมเป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ที่จะมีการอนุมัติเหมืองแร่นั้น การที่มีประชาชนบางคนใช้โทรโช่งปราศรัยขอให้เลื่อนการประชุมของ อบต. ออกไปก่อนนั้น ศาล จึงเห็นว่าเป็นการใช้สิทธิในการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามระบอบประชาธิปไตย และได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการกระทำดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดและยกฟ้องข้อหานี้ด้วย

ทนายความในคดี ระบุด้วยว่า ทางโจทก์และโจทก์ร่วมยังมีสิทธิอุทธรณ์ภายใน 1 เดือน 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เลื่อนฟังคำสั่งอัยการสูงสุดกรณีสั่งฟ้องหรือไม่ คนอยากเลือกตั้ง MBK 39

Posted: 18 Apr 2018 10:56 PM PDT

แฟ้มภาพประชาไท

19 เม.ย. 2561  เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานอัยการแขวงปทุมวัน พนักงานอัยการได้นัดหมายผู้ต้องหาในคดีคนอยากเลือกตั้ง หรือ "MBK39"  มารายงานตัว และฟังคำสั่งอัยการสูงสุดว่าจะมีการสั่งฟ้องหรือไม่ โดยวันนี้ได้อัยการได้ขอเลื่อนนัดฟังคำสั่งออกไป พร้อมนัดฟังคำสั่งอีกครั้งในวันที่ 23 พ.ค. 2561

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2561 อัยการแขวงปทุมวันมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง คนอยากเลือกตั้ง ชุด MBK39 เนื่องจากเห็นว่าการฟ้องจะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ แต่ต้องรอความเห็นอัยการสูงสุดก่อน

สำหรับคดีคนอยากเลือกตั้งชุด MBK 39 นั้นเกิดขึ้นสืบเนื่องจากการนัดชุมนุมของกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2561 ซึ่งเป็นการรวมตัวที่สืบเนื่องจากความไม่พอใจการทำงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในการตรวจสอบกรณีนาฬิกาหรูของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกรณีที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติผ่านวาระ 2 ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.) ซึ่งมีการแก้ไขในมาตรา 2 กำหนดให้กฎหมายมีผลบังคับใช้หลังจาก 90 วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งส่งผลให้โรดแมปสู่การเลือกตั้งอาจเลือนออกไปได้ไกลถึงเดือน ก.พ. 2562

โดยการชุมนุมในครั้งนั้นมีผู้ที่ถูกตั้งข้อกล่าวทั้งหมด 39 คนตามข้อกล่าวหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2558 และชุมนุมในรัศมี 150 เมตร จากเขตพระราชฐาน ตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ในจำนวนนี้มีสองรายที่ได้ให้การรับสารภาพในชั้นศาล โดยศาลสั่งให้ให้จำคุก 12 วัน ปรับ 6,000 บาท แต่ให้การรับสารภาพ ลดโทษครึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 6 วัน ปรับ 3,000 บาท เนื่องจากจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษเป็นเวลา 1 ปี นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 อีก 9 ราย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น