ประชาไท | Prachatai3.info |
- กกต.รับจดแจ้งแล้ว 15 พรรค - แนะ จะขอ คสช.ประชุมต้องระบุข้อมูลให้ชัด
- กฎหมายแปลกในสหรัฐฯ วัยรุ่นคนหนึ่งถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมเพื่อน แม้เพื่อนเขาจะถูกตำรวจยิง
- ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องวินิจฉัยร่างพ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.และคำสั่งหัวหน้า คสช. 53/2560
- ตร.เข้าคุยบ้านนักศึกษา ม.พะเยา เหตุเคยขึ้นเวทีคนอยากเลือกตั้ง - เปิดคุกคามถึงบ้าน นศ.ในรอบสัปดาห์
- 'บันทึก 6 ตุลา' ประกาศตามหาญาติ 'วัชรี เพชรสุ่น' นักศึกษารามฯ หนึ่งในเหยื่อเหตุการณ์
- ตรวจพยานหลักฐานคดีส่องโกงราชภักดิ์ เกือบปียังไม่คืบ เตรียมออกหมายจับ ‘การ์ตูน’
- แอมเนสตี้เผย 142 ประเทศไม่ประหารชีวิตแล้ว ปี 60 จีนยังครองแชมป์ ไทยยังใช้โทษนี้อยู่
- มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก รับความผิดพลาด - สัญญาจะปรับปรุงเฟสบุ๊ค ในการไต่สวนของสภาคองเกรส
- นิธิ เอียวศรีวงศ์: ชุดไทย
- ใบตองแห้ง: จรรยาศาลกับบ้านพัก
- กวีประชาไท: แด่ออเจ้า....
- คนอยากเลือกตั้งทำไม – ทำไมคนอยากเลือกตั้ง
- กวีประชาไท: ข้อแขนที่แสนทราม สูเจ้าเหยียดหยามประชาชน
กกต.รับจดแจ้งแล้ว 15 พรรค - แนะ จะขอ คสช.ประชุมต้องระบุข้อมูลให้ชัด Posted: 12 Apr 2018 09:47 AM PDT กกต.เผยรับจดแจ้งตั้งพรรคใหม่แล้ว 15 พรรค หลังสงกรานต์มีเพิ่มอีก แนะจะขอ คสช. ประชุมพรรคต้องระบุข้อมูลให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น วัน เวลา และสถานที่จัดประชุม 12 เม.ย.2561 รายงานข่าวระบุว่า พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณารับรองคำขอจดจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ของกลุ่มการเมืองต่างๆ ว่า ขณะนี้ทางสำนักงาน กกต.อยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารและคุณสมบัติของกลุ่มการเมืองที่ยื่นคำขอเข้ามา เบื้องต้นมีจำนวน 15 พรรคการเมืองที่ได้ลงนามและออกหนังสือรับแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมือง(แบบพ.ก.7/2) ประกอบด้วย พรรคพลังชาติไทย พรรคเครือข่ายประชาชนไทย พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคทางเลือกใหม่ พรรคกรีน พรรคประชานิยม พรรคพลังสยาม พรรคพลังธรรมใหม่ พรรคประชาชนปฏิรูป พรรคสังคมประชาธิปไตยประชาชน พรรคประชาชาติ พรรคพลังพลเมืองไทย พรรคประชาภิวัฒน์ พรรคพลังประชารัฐ และพรรคภาคีเครือข่ายไทย ทั้งนี้คาดว่า หลังเทศกาลสงกรานต์จะมีอีกหลายพรรคที่จะได้รับหนังสือรับแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมือง (แบบพ.ก.7/2) "ที่มีบางกลุ่มการเมืองออกมาเรียกร้องให้เร่งดำเนินการออกใบแบบพ.ก.7/2 นั้น ขอชี้แจงว่า กกต.พยายามเร่งดำเนินการตรวจสอบอยู่ เพียงแต่ว่าข้อมูลบางอย่างจำเป็นต้องรอการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย แต่ก็ยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการให้เสร็จโดยเร็ว" พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าว พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวอีกว่า เรื่องการขออนุญาตคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ของพรรคการเมืองนั้น ขณะนี้ กกต.ได้ส่งหนังสือไปให้คสช.พิจารณาแล้ว จำนวน 30 กลุ่ม และได้รับอนุญาต จำนวน 9 กลุ่ม อยากเน้นย้ำให้กลุ่มการเมืองที่จะยื่นเอกสารขออนุญาต คสช. ระบุข้อมูลต่างๆ ให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น วัน เวลา และสถานที่จัดประชุม โดยเฉพาะสถานที่จัดประชุม ซึ่งมีความสำคัญมาก
ที่มา : สำนักข่าวไทย TNN24 ไทยรัฐออนไลน์ มติชนออนไลน์ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กฎหมายแปลกในสหรัฐฯ วัยรุ่นคนหนึ่งถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมเพื่อน แม้เพื่อนเขาจะถูกตำรวจยิง Posted: 12 Apr 2018 09:22 AM PDT ในรัฐแอละแบมา มีกฎหมายแปลกๆ ที่ทำให้วัยรุ่นคนหนึ่งถูกตัดสิ 12 เม.ย. 2561 กรณีที่เกิดขึ้นในแอละแบมาล่าสุ ถึงแม้ว่าหลักฐานจากกล้องวิดี บีบีซีระบุว่ากฎหมายแบบนี้ ถึงแม้ว่ากฎหมายพิลึกนี้จะมี กฎหมายนี้ยังมีความน่าประหลาดอี ไมเคิล เฮย์แมน ศาสตราจารย์กิตติคุณจากวิทยาลั ขณะที่กรณีนี้เกิดขึ้ ขณะที่แรนดี ฮุสตัน อัยการผู้ฟ้องสมิทธ์จะบอกว่ เรียบเรียงจาก In the US, you don't have to kill to be a murderer, BBC, 09-04-2018 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องวินิจฉัยร่างพ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.และคำสั่งหัวหน้า คสช. 53/2560 Posted: 12 Apr 2018 06:18 AM PDT ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องวินิจฉัยร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และแนวปฏิบัติพรรคการเมืองตามคำสั่งหัวหน้า คสช. 53/2560 ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ให้ทำหนังสือแจงภายใน 25 เม.ย.นี้ เมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้เผยเเพร่เอกสารข่าวภายหลังการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องที่ผู้ตรวจการเเผ่นดิน เสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ 231 (1) ว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 140 และมาตรา 141 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 53/2560 เรื่อง การดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 25, 26 ,27 และมาตรา 45 หรือไม่ ไว้พิจารณาวินิจฉัย เนื่องจากกรณีเป็นการยื่นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231 (1) และ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 50 และหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องทราบ รวมทั้งเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาให้ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หัวหน้า คสช. พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จัดทำความเห็นเป็นหนังสือ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายในวันที่ 25 เม.ย.2561 ศาลรัฐธรรมนูญยังมีมติ รับคำร้องที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ส่งความเห็นของสมาชิก สนช. จำนวน 27 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 148 วรรค 1 (1) ประกอบมาตรา 263 ว่าร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มาตรา 35 (4) และ (5) มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 95 วรรค 3 และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 92 วรรค 1 มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 85 หรือไม่ ไว้วินิจฉัยแล้ว เนื่องจากกรณีเป็นการยื่นตามมาตรา 148 วรรค 1 (1) ประกอบมาตรา 263 และพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 50 และมีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องทราบ รวมทั้งเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา ให้ ปรีชา วัชราภัย สมาชิก สนช.ซึ่งเป็นผู้แทนของฝ่ายผู้เสนอความเห็น ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ประธานคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 วรรค 5 และประธาน กกต. จัดทำความเห็นเป็นหนังสือ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายในวันที่ 25 เม.ย. 2561 สำหรับ 2 มาตรา ของร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ที่ประธานสนช. ขอให้มีการวินิจฉัยว่า ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ มาตรา 35 ระบุว่า ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งผู้ใด ไม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งและไม่ได้เเจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง หรือเเจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งแล้ว แต่เหตุนั้นมิใช่เหตุอันสมควร ผู้นั้นจะถูกจำกัดสิทธิ์ (4) การดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมืองและข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภา (5) สิทธิในการได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยเลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ประธานที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น ที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น หรือคณะที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และมาตรา 92 วรรค ระบุว่า เพื่ออำนวยความสะดวกแก่คนพิการหรือทุพลภาพ หรือผู้สูงอายุในการออกเสียงลงคะแนนให้คณะกรรมการหรือผู้ได้รับมอบหมายให้มีการอำนวยความสะดวกสำหรับการออกเสียงลงคะแนนของบุคคลดังกล่าวไว้เป็นพิเศษหรือจัดให้มีการช่วยเหลือในการออกเสียงลงคะแนนภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ในการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวต้องให้บุคคลนั้นได้ออกเสียงลงคะแนนด้วยตนเอง ตามเจตนาของบุคคลนั้น เว้นแต่ลักษณะทางกายภาพทำให้คนพิการ หรือทุพลภาพ หรือผู้สูงอายุไม่สามารถทำเครื่องหมายลงในบัตรเลือกตั้งได้ ให้บุคคลอื่นหรือกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งเป็นผู้กระทำการเแทนโดยความยินยอม และเป็นไปตามเจตนาของคนพิการ หรือทุพลภาพ หรือผู้สูงอายุนั้น ทั้งนี้ให้ถือเป็นการออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ตร.เข้าคุยบ้านนักศึกษา ม.พะเยา เหตุเคยขึ้นเวทีคนอยากเลือกตั้ง - เปิดคุกคามถึงบ้าน นศ.ในรอบสัปดาห์ Posted: 12 Apr 2018 04:06 AM PDT ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เผย ตร.เข้าคุยบ้านนักศึกษา ม.พะเยา เหตุเคยขึ้นเวทีคนอยากเลือกตั้งตั้งแต่เดือน ก.พ. 'เพนกวิน' เปิดลำดับเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจ - ทหารคุกคามนักศึกษา 12 เม.ย.2561 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า วันนี้เมื่อ เวลาประมาณ 12.00 น. ได้มีเจ้าหน้าที่สันติบาล จำนวน 2 นาย เดินทางไปที่บ้านของ ชินภัทร วงค์คม นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ระบุมาพูดคุย "ปรับความเข้าใจ" เรื่องการทำกิจกรรมทางการเมือง หลัง ชินภัทร เคยขึ้นเวทีของกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตยตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ชินภัทร เปิดเผยว่าก่อนหน้านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ ตนเคยไปร่วมขึ้นเวทีของกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย (DRG) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 24 ก.พ.61 ในงาน "ปากปราศรัย น้ำใจเชือดเผด็จการ: 3-2-1 ถึงเวลาเปลี่ยน" ซึ่งเป็นกิจกรรมเรียกร้อง คสช. ให้กำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน และหยุดสืบทอดอำนาจ ต่อมาหลังกิจกรรมดังกล่าว ชินภัทรได้รับทราบจากเพื่อนบ้าน ว่าได้มีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจประมาณ 10 นาย เดินทางไปที่บ้านในจังหวัดพะเยา แต่ขณะนั้นไม่มีใครอยู่บ้าน จึงไม่ได้พบเจ้าหน้าที่ หลังจากนั้น ก็ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่เดินทางมาอีก จนกระทั่งในช่วงเที่ยงที่ผ่านมา ได้มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ ระบุว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลในจังหวัดพะเยา จำนวน 2 นาย เดินทางเข้ามาที่บ้าน และได้สอบถามถึงตน เจ้าหน้าที่ระบุว่าได้รับคำสั่งให้มาเยี่ยมและมาพูดคุย "ปรับความเข้าใจ" โดยเจ้าหน้าที่ได้สอบถามเรื่องการทำกิจกรรมของ ชินภัทร และสอบถามถึงการทำกิจกรรมของกลุ่มนักศึกษาที่กรุงเทพฯ ด้วย พร้อมกับระบุว่าสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ยังไม่ปกติ ขออย่าให้ออกมาเคลื่อนไหว และได้บอกกับทางครอบครัวของชินภัทรว่าอยากให้ลูกตั้งใจเรียนก่อนจะดีกว่า เจ้าหน้าที่ได้ถ่ายรูปของชินภัทรเอาไว้ ก่อนจะเดินทางกลับไป ชินภัทร เปิดเผยว่าไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด เพราะคาดไว้อยู่แล้วว่าอาจจะมีเจ้าหน้าที่มา ตั้งแต่ไปร่วมขึ้นเวทีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่การมาของเจ้าหน้าที่ ก็ทำให้ทางครอบครัวตกใจ เพราะไม่มีการแจ้งมาล่วงหน้า และเข้ามาหาถึงที่บ้านเลย ทั้งนี้ ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเดินทางไปติดตามกลุ่มนักศึกษาที่ทำกิจกรรมในหลายพื้นที่ ทั้งกรณีสามนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ทำกิจกรรมชูป้าย "ชาวจุฬาฯ รักลุงตู่ (เผด็จการ)" โดยขีดกากบาทที่คำว่าลุงตู่ ขณะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปกล่าวปาฐกถาที่หอประชุมจุฬาฯ เมื่อวันที่ 9 เม.ย. ก็ได้มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบเข้าไปติดตามตัวทั้งที่บ้านและที่มหาวิทยาลัย โดยมีการพยายามขอข้อมูลส่วนตัวต่างๆ และเข้าพูดคุยเรื่องการทำกิจกรรมกับครอบครัว (ดูรายงานข่าว) ขณะที่วานนี้ (11 เม.ย.) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานไว้แล้วว่า มีเจ้าหน้าที่ทหารเดินทางไปที่บ้านของ จตุพล คำมี นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ประสิทธิ์ ครุธาโรจน์ นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นสองนักศึกษาที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารแจ้งความดำเนินคดีเรื่องการชุมนุมทางการเมือง จากการทำกิจกรรมรวมพลคนอยากเลือกตั้งที่หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเป็นการติดตามเรื่องการทำกิจกรรมเช่นเดียวกัน
วานนี้เช่นกัน ที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNOHCHR) เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตเลขาธิการกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท และ นิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ชูป้ายข้อความลักษณะเสียดสีว่า "ชาวจุฬาฯ รักลุงตู่ (เผด็จการ)" ต่อหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา คือ บอล ธนวัฒน์ วงศ์ไชย รองประธานสภานิสิตจุฬาฯ และ หนูดี วิรัลพัชร รอดแก้ว นิสิตชั้นปีที่ 3 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เดินทางเข้าพบตัวแทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิ ขณะที่ ไทยโพสต์ รายงานว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นักศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชูป้ายประท้วงต่อหน้า พล.อ.ประยุทธ์ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นการแสดงออกของเยาวชนนักศึกษา จึงไม่ติดใจในเรื่องนี้ เพราะเชื่อว่าเมื่อนักศึกษาเติบโตขึ้นมา ก็จะทราบว่าอะไรผิดอะไรถูก ส่วนกรณีที่นักศึกษาอ้างว่าถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่นั้น ขอให้เป็นเรื่องของกระบวนการกฎหมาย ถ้านักศึกษาทำผิด ก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ต้องการเข้าไปติดตามนักศึกษา เพียงต้องปฏิบัติหน้าที่ตามปกติธรรมดา ไม่ได้นำอาวุธยุทโธปกรณ์หรือรถถังเข้าไป ลำดับเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจ - ทหารคุกคามนักศึกษาพริษฐ์ โพสต์ ลำดับเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจ - ทหารคุกคามนักศึกษา ผ่านเฟสบุ๊คแฟนเพจ 'Parit Chiwarak - เพนกวิน' ดังนี้ วันอังคาร: เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบมาขอข้อมูลส่วนตัวเพื่อนนิสิตจุฬา (ธนวัฒน์ วงศ์ไชย) ที่มหาวิทยาลัย ตามไปคุยกับแม่ของเพื่อนนิสิตอีกคนหนึ่ง (วิรัลพัชร รอดแก้ว) ที่บ้าน และไปด้อม ๆ มอง ๆ ที่ร้านค้าของครอบครัวเพื่อนนิสิตอีกคน (วศินี พบูประภาพ) วันพุธ: ทหารในเครื่องแบบเข้าไปคุยกับพ่อของเพื่อนนักศึกษา มช. (จตุพล คำมีและประสิทธิ์ ครุธาโรจน์ - 1 ใน 6 คนถูกคดีชุมนุมที่หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่) วันนี้ เมื่อสิบนาทีที่แล้ว: เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบมาหาเพื่อนนักศึกษามหาวิทยาลัยพะเยา (ชินภัทร วงศ์คม เคยขึ้นเวทีคนอยากเลือกตั้ง) ถึงที่บ้าน ขอประณามการกระทำเหล่านี้ พวกเรานิสิตนักศึกษาไม่มีอาวุธ ไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ จะเป็นก็เป็นแต่ภัยความมั่นคงของท่าน อย่ามาอ้างประเทศชาติแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง ท่านจะทำอะไรก็ขอให้นึกบ้างว่าอีกสิบปีคนจะจดจำท่านอย่างไร แต่ผมจะจดจำท่าน และเมื่อโอกาสมาถึง ทุกคนที่มีส่วนร่วมกับการคุกคามนี่จะต้องรับผิดชอบ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
'บันทึก 6 ตุลา' ประกาศตามหาญาติ 'วัชรี เพชรสุ่น' นักศึกษารามฯ หนึ่งในเหยื่อเหตุการณ์ Posted: 12 Apr 2018 02:10 AM PDT โครงการ "บันทึก 6 ตุลา" ประกาศตามหาญาติหรือเพื่อนของ "วัชรี เพชรสุ่น" นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง หนึ่งในเหยื่อ 6 ตุลา 2519 12 เม.ย.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้ (11 เม.ย.61) เฟสบุ๊คแฟนเพจ บันทึก 6 ตุลา - Documentation of Oct 6 โพสต์ภาพพร้อมประกาศตามหาญาติหรือเพื่อนของ "วัชรี เพชรสุ่น" หนึ่งในเหยื่อ 6 ตุลา 2519 โครงการ "บันทึก 6 ตุลา" กำลังพยายามติดตามหาข้อมูลเกี่ยวกับ วัชรี เพชรสุ่น นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง หากท่านใดเคยรู้จัก วัชรี หรือรู้จักครอบครัวของวัชรี ขอความกรุณาติดต่อกลับมาทีี่เรา โดยสามารถส่งข้อความมาทางกล่องข้อความของเฟสบุ๊ค หรืออีเมล์มาที่ 6oct1976@gmail.com สำหรับ โครงการ "บันทึก 6 ตุลา" เป็นแหล่งข้อมูลออนไลน์ (Online archives) ที่มุ่งเก็บรวบรวมรักษาและจัดระบบข้อมูลที่ยังกระจัดกระจายในที่ต่างๆ เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เพื่อต่ออายุความสนใจและการค้นคว้าเกี่ยวกับ 6 ตุลาให้ไปอีกไกลในอนาคต ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ตรวจพยานหลักฐานคดีส่องโกงราชภักดิ์ เกือบปียังไม่คืบ เตรียมออกหมายจับ ‘การ์ตูน’ Posted: 12 Apr 2018 12:55 AM PDT ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานศาลทหารเลื่อนตรวจพยานหลักฐานคดีส่องโกงราชภักดิ์ 8 คน ถูกฟ้องข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 เตรียมออกหมายจับ 'การ์ตูน' ชนกนันท์ หลังขาดนัดเป็นครั้งที่ 2 และนับเป็นครั้งที่ 4 ที่ศาลทหารกรุงเทพสั่งเลื่อนนัดตรวจพยานหลักฐานในคดี เมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า วันดังกล่าว เมื่อ 10.15 น. สิรวิชญ์ เสรธิวัฒน์, อานนท์ นำภา, กิตติธัช สุมาลย์นพ, วิศรุต อนุกูลการย์, กรกนก คำตา, วิจิตร์ หันหาบุญ, และกรกช แสงเย็นพันธ์ จำเลยที่ 1-7 ที่ถูกฟ้องข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ข้อ 12 ห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป จากกิจกรรมนั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ ส่องแสงหากลโกง มาศาลทหารกรุงเทพตามนัดพร้อม โดย 'การ์ตูน' ชนกนันท์ รวมทรัพย์ จำเลยที่ 8 ไม่มาศาล ตุลาการได้ตักเตือนกรกนก คำตา จำเลยที่ 5 ให้มาศาลตามนัดในครั้งต่อไป หลังนัดเมื่อวันที่ 26 ม.ค.2561 จำเลยจำนัดผิดพลาดจนมาไม่ทันการพิจารณา ส่วนชนกนันท์ จำเลยที่ 8 ไม่มาศาลตามนัดเป็นครั้งที่ 2 นายประกันและทนายความจำเลยแจ้งต่อศาลว่าไม่สามารถติดต่อได้ ศาลจึงสั่งให้ปรับนายประกันเป็นเงิน 10,000 บาท หากนายประกันไม่ชำระค่าปรับจะยึดหลักทรัพย์ประกัน และให้อัยการทหารเตรียมข้อมูลเพื่อขออกหมายจับ หากไม่สามารถจับตัวจำเลยได้หลังออกหมายจับภายใน 1 เดือน ให้โจทก์รีบแจ้งต่อศาลเพื่อเตรียมจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 8 และให้เลื่อนนัดออกไปเป็นวันที่ 11 ก.ค. 2561 เวลา 08.30 น. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานเพิ่มเติมว่า ครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 4 ที่ศาลทหารกรุงเทพเลื่อนนัดพร้อมตรวจพยานหลักฐานในคดีนี้ แรกสุด ศาลทหารกรุงเทพนัดตรวจพยานหลักฐานคดีนี้เมื่อ 19 มิ.ย. 2560 และต้องเลื่อนออกไปเนื่องจากมีข้อโต้แย้งจากการที่ตุลาการศาลทหารพยายามจะตัดพยานฝั่งจำเลย ต่อมาวันที่ 21 ก.ย. 2560 พ.อ.สมพงษ์ จิณสิทธิ์, พ.อ.ธีรพล ปัทมานนท์, และ พ.อ.สืบพงษ์ นิลกุล องค์คณะตุลาการเริ่มการตรวจพยานหลักฐานด้วยการแจ้งว่าศาลจะไม่รับบัญชีระบุพยานของจำเลยบางรายการ บัญชีพยานจำเลยที่ศาลทหารกรุงเทพจะไม่รับ ได้แก่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ และคลิปการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนของ พล.อ.ไพบูลย์และ พล.อ.อุดมเดช รวมถึงพยานซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ทั้ง 2 ชุด นอกจากนี้ ศาลยังตัดพยานเอกสารซึ่งเป็นสำเนาเอกสารสรุปการจัดซื้อจัดจ้างในกองทัพบก สำเนาเอกสารจัดซื้อจัดจ้างที่เกี่ยวกับอุทยานราชภักดิ์ และสำเนาผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ของคณะกรรมการตรวจสอบทั้ง 2 ชุด เนื่องจากศาลเห็นว่าคดีนี้อัยการทหารฟ้องจำเลยในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ไม่ใช่คดีทุจริตการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ อย่างไรก็ตาม ทนายความจำเลยได้คัดค้านว่ากระบวนการพิจารณาครั้งนั้นอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากศาลไม่รับบัญชีระบุพยานของจำเลยโดยไม่ถามถึงประเด็นการนำสืบที่เกี่ยวข้องกับพยานเหล่านั้น อีกทั้งในคำฟ้องยังระบุว่า จำเลยชุมนุมกันโดยกล่าวอ้างว่ามีการทุจริตโครงการอุทยานราชภักดิ์ เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและ คสช. จำเลยจึงต้องนำพยานเหล่านี้มาสืบเพื่อแก้ต่างฟ้องของโจทก์ และเป็นประเด็นโดยตรงในคดี ภาพจากเฟสบุ๊ค Sirawith Seritiwat สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ 'นิว' จำเลยที่ 1 ลุกขึ้นมาขออนุญาตแถลงต่อศาลต่อจากทนายความว่า จำเลยมีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานมาแก้ต่างฟ้องของโจทก์ หากศาลตัดพยานเหล่านั้นของจำเลยอาจจะไม่เกิดความยุติธรรมในกระบวนการพิจารณา ในเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่า จำเลยชุมนุมกันโดยกล่าวอ้างว่ามีการทุจริตโครงการอุทยานราชภักดิ์ เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและ คสช. จำเลยจึงมีสิทธิต่อสู้ในประเด็นนั้น จากนั้น ศาลให้อัยการทหารและทนายความจำเลยแถลงประเด็นที่จะนำสืบ โจทก์แถลงว่า พยานโจทก์ลำดับแรก คือ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้กล่าวหา ลำดับที่ 2-8 เป็นเจ้าหน้าที่การรถไฟที่พบเห็นเหตุการณ์ ลำดับที่ 9-11 เป็นนายทหารผู้จับกุม ลำดับที่ 12 คือ พนักงานมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ผู้ทราบมูลเหตุการกระทำผิด ลำดับที่ 13-22 คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ โดยฝ่ายจำเลยไม่อาจรับพยานหลักฐานของโจทก์ได้ เนื่องจากโจทก์ไม่นำคำให้การชั้นสอบสวนของพยานแต่ละคนมาให้จำเลยตรวจในนัดตรวจพยานหลักฐาน จำเลยจริงไม่อาจทราบเนื้อหาที่พยานได้ให้การไว้ ด้านทนายความจำเลยแถลงว่า จำเลยที่ 1-5 และ 7-8 อ้างตนเองเป็นพยาน ลำดับถัดมาคือพยานผู้เชี่ยวชาญด้านเสรีภาพในการชุมนุม, พยานผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชน, ประจักษ์พยานในเหตุการณ์, พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา, พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ซึ่งกรณีของ พล.อ.ไพบูลย์ และ พล.อ.อุดมเดช หากโจทก์รับว่าบุคคลที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลในคลิปวิดีโอข่าวเป็น พล.อ.ไพบูลย์ และ พล.อ.อุดมเดช จริง จำเลยก็ไม่ติดใจที่จะนำพยานทั้งสองปากมาให้การต่อศาล พยานลำดับที่ 11-12 คือคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ อัยการทหารแถลงไม่รับพยานหลักฐานของจำเลย โดยเฉพาะในกรณี พล.อ.ไพบูลย์ และ พล.อ.อุดมเดช โจทก์ยอมรับว่าในคลิปข่าวที่ให้สัมภาษณ์คือบุคคลทั้งสองจริง แต่ไม่อาจรับเนื้อหาที่ให้สัมภาษณ์ได้ ด้านศาลยังคงยืนยันที่จะไม่รับบัญชีระบุพยานของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา, พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร, คณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตอุทยานราชภักดิ์ และรายงานการตรวจสอบการทุจริต เมื่อทนายความจำเลยถามว่าศาลใช้กฎหมายใดในการไม่รับบัญชีระบุพยานของจำเลย ตุลาการศาลทหารตอบเพียงว่า ศาลใช้อำนาจทั่วไปของศาล ต่อมา โจทก์อ้างว่าติดภารกิจในช่วงบ่าย ศาลจึงให้เลื่อนการตรวจพยานหลักฐานออกไปเป็นวันที่ 26 ม.ค. 2561 ซึ่งในนัดดังกล่าว ชนกนันท์ รวมทรัพย์ จำเลยที่ 8 ไม่มาศาล จึงเลื่อนมาวันที่ 11 เม.ย. 2561 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
แอมเนสตี้เผย 142 ประเทศไม่ประหารชีวิตแล้ว ปี 60 จีนยังครองแชมป์ ไทยยังใช้โทษนี้อยู่ Posted: 12 Apr 2018 12:20 AM PDT แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดรายงานสถานการณ์โทษประหารชี 12 เม.ย.2561 รายงานข่าวจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยแจ้งว่า ในรายงาน "สถานการณ์โทษประหารชี ในปี 2560 มีการตัดสินโทษประหารชีวิตอย่าง เมื่อ 40 ปีที่แล้ว มีเพียง 16 ประเทศ ที่ยกเลิกโทษประหารชีวิต ปัจจุบันมี 142 ประเทศหรือมากกว่ สำหรับประชาคมอาเซียนซึ่งประกอบ ข้อมูลจากรายงานล่าสุดระบุว่า สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนามยังคงประหารชีวิตประ ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยเปิดเผยว่า ไทยยังคงเป็นหนึ่งใน 56 ประเทศที่ยังใช้โทษประหารชีวิตอ "ขณะนี้ประเทศไทยใกล้จะกลายเป็น สำหรับประเทศไทยข้อมูลจากกรมราช "แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องรัฐบาลไทยให้ดำเนินการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลคัดค้านโทษประ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก รับความผิดพลาด - สัญญาจะปรับปรุงเฟสบุ๊ค ในการไต่สวนของสภาคองเกรส Posted: 12 Apr 2018 12:05 AM PDT สื่อต่างประเทศหลายแห่งตั้งข้ 11 เม.ย.2561 จากกรณีเรื่องเฟสบุ๊คขายข้อมู ในขณะที่การตอบข้อซั สื่อ Tech Crunch ระบุ อีกว่าการไต่สวนซักเคอร์เบิ ในถ้อยแถลงก่อนการเข้าตอบข้อซั นอกจากนี้ในถ้อยแถลงก่ Tech Crunch ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการตอบข้ ผู้ก่อตั้งเฟสบุ๊คตอบข้อซั ขณะที่ Vox รายงานว่าคำถามที่คองเกรสสะท้ ซักเคอร์เบิร์กตอบสั้นๆ ว่า "เรียนท่าน ส.ว. เราขายโฆษณา" อย่างไรก็ตามมีบางกรณีที่ทาง ส.ว. ถามซักเคอร์เบิร์กแบบเจาะจงถึ เรียบเรียงจาก Zuckerberg's testimony: CEO will defend Facebook as 'positive force', The Guardian, 09-04-2018 Mark Zuckerberg vows to fight election meddling in marathon Senate grilling, The Guardian, 11-04-2018 Lawmakers seem confused about what Facebook does — and how to fix it, Vox, 10-04-2018 Zuckerberg's boring testimony is a big win for Facebook, Tech Crunch, 10-04-2018 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 11 Apr 2018 08:32 PM PDT
กระแสเห่อ "ชุดไทย" ของคนชั้นกลางไทยเวลานี้ บอกอะไรแก่เราบ้าง? "ชุดไทย" ที่เห่อกันอยู่นี้ มิได้เป็นเครื่องแต่งกายของคนอยุธยา หรือต้นรัตนโกสินทร์ แม้เขานุ่งผ้าผืนเดียว ที่อาจผูกชายไว้ข้างหลัง (ตรงที่เรียกกระเบนเหน็บ) แต่เขาไม่สวมเสื้อเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นหน้าหนาว แม้แต่ในหน้าหนาว ผู้ชายส่วนใหญ่ก็มักใช้ผ้าขะม้าคลุมตัวมากกว่าสวมเสื้อ เสื้อเป็นสิ่งที่นานๆ ถึงได้ใช้กันทีหนึ่ง ผมสงสัยว่าสามัญชนคงไม่จำเป็นต้องใช้เลยตลอดชีวิต เสื้อจึงเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องหมายเกียรติยศที่พระเจ้าแผ่นดินมักพระราชทานแก่ขุนนางเป็นบำเหน็จความชอบ แม้เสด็จออกขุนนาง พระเจ้าแผ่นดินก็มิได้ทรงเสื้อฉลองพระองค์ อย่างที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงเล่าถึงขุนนางในสมัย ร.3 ที่ต้องคอยดูว่าเมื่อไร พระเจ้าอยู่หัวจึงจะทรงรู้สึกหนาว และหยิบเสื้อขึ้นสวม เพราะขุนนางยังสวมเสื้อไม่ได้ ตราบจนกว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงเสื้อเสียก่อน ยิ่งไปกว่านั้น เคยคิดไหมครับว่า ชุดเครื่องแต่งกายของคนไทยไม่เคยถูกปรับเปลี่ยนอะไรบ้างเลยหรือ ในระยะ 500 ปีตั้งแต่ต้นอยุธยามาจนต้นรัตนโกสินทร์ ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอกครับ อย่างไรเสียก็ต้องปรับโน่นนิดเปลี่ยนนี่หน่อยเป็นธรรมดา อย่าลืมว่าทั้งกรุงศรีอยุธยาที่อยุธยาและบางกอก ล้วนเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ ซึ่งมีคนต่างชาติพันธุ์แวะเวียนเข้ามาหรือตั้งภูมิลำเนาอยู่เลย ดูแต่ฉลองพระองค์ชุดใหญ่ของพระเจ้าแผ่นดินไทยนับแต่ปลายอยุธยาลงมา ก็จะเห็นว่าเกือบตลอดทั้งองค์ นับแต่พระมาลาลงมาถึงพระบาท ล้วนเป็นสิ่งที่รับมาจากต่างประเทศเสียเกือบทั้งนั้น มีตั้งแต่เปอร์เซียไล่มาจนถึงจีนและญี่ปุ่น ชุดของสามัญชนก็ต้องปรับต้องเปลี่ยนเหมือนกัน แม้ไม่มีหลักฐานประวัติศาสตร์โดยตรง แต่ผมให้สงสัยอย่างมากว่าผ้านุ่งไทยในสมัยก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 น่าจะสั้นกว่าสมัยหลังจากนั้น เช่น หากเหน็บชายเรียบร้อยก็น่าจะสูงกว่าหัวเข่าหรือเลยลงมานิดเดียว และอาจไม่ได้ทอจากฝ้ายด้วย (หลักฐานทางพม่าว่าผ้าในยุคนั้นทอจากป่าน, ปอ, กัญชง) เหตุผลง่ายๆ ก็เพราะกี่ทอผ้าไทยทอได้แต่ผ้าหน้าแคบ ผ้าหน้ากว้างเป็นสินค้านำเข้าจำนวนมากจากอินเดีย หลังคริสต์ศตวรรษ 15 ลงมา ชนชั้นสูงอาจต้องเอาผ้าต่อกันเพื่อให้หน้ากว้างขึ้น ส่วนสามัญชนคงไม่ได้ต่อเพราะสิ้นเปลืองเกินไป สรุปทั้งหมดที่ผมพูดมาก็คือ เอาเข้าจริงไม่มี "ชุดไทย" ตามธรรมชาติหรอกครับ "ชุดไทย" หรือชุดประจำชาติไทยเป็นสิ่งประดิษฐ์ของคนรุ่นหลัง เพิ่งมีเมื่อหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ลงมา แต่อย่าเพิ่งเสียใจนะครับ ผมนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่า มีชุดประจำชาติของชาติไหนบ้างหว่า ที่ไม่ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นในรุ่นหลัง แต่มีมาจริงๆ ตามธรรมชาติ ดังนั้น ชุดประจำชาติของทั้งโลกล้วนเป็นสิ่งประดิษฐ์ในรุ่นหลังทั้งนั้นแหละครับ ก่อนหน้านั้นขึ้นไปในเมืองไทย ชุดซึ่งเราเรียกว่า "ชุดไทย" ในปัจจุบัน เป็นชุดประจำสถานะครับ ไม่ใช่ชุดประจำชาติอันที่จริงชุดประจำสถานะก็มีมานานแล้ว คุณภาพของผ้าที่ต่างกัน ตลอดจนความพิถีพิถันในการนุ่งและเครื่องประดับอื่นๆ แยกขุนนางและสมาชิกในครอบครัวออกไปจากสามัญชน แยกระหว่างคนมีอำนาจกับคนไม่มี ระหว่างคนมีทรัพย์กับคนไม่มี ระหว่างคนมีบริวารกับคนไม่มี ฯลฯ เพียงการแต่งกายที่ต่างกันอย่างชัดเจนนั้น ก็เป็นเครื่องแสดง "ระเบียบ" ทางสังคมที่เห็นได้ว่าบ้านเมืองเป็นปรกติสุขดี เพราะกระเบื้องไม่เฟื่องฟูลอย แต่ชุดที่เราเรียกว่าชุดไทยในปัจจุบันเกิดขึ้นในช่วงที่ "สถานะ" ซึ่งต้องการแสดงนั้น เป็น "สถานะ" แบบใหม่ซึ่งคนอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์ไม่เคยรู้จักเลย นั่นคือสถานะของคนศิวิไลซ์ หรือพูดให้ตรงกว่านั้นคือคนที่รู้จักมาตรฐานฝรั่ง แม้ไม่ได้ทำตามฝรั่งเป๊ะ แต่ก็ปรับเครื่องแต่งกายให้อธิบายด้วยมาตรฐานฝรั่งได้ เช่น มักไม่ค่อยเผยให้เห็นเนื้อหนังมังสา เท้าต้องสวม "เกือก" มีถุงน่องรองรับขึ้นไปปิดถึงใต้เชิงผ้านุ่ง ส่วนท่อนบนก็แน่นอนว่า ต้องสวมชุดที่เรียกว่า "ราชปะแตน" ซึ่งคือชุดที่ดัดแปลงมาจากเครื่องแบบของข้าราชการอาณานิคมฝรั่ง นี่คือชุดแต่งกายของ "ผู้ดี" กรุงเทพฯ ที่เป็นผู้ชาย รวมถึงข้าราชการสมัยใหม่ที่เพิ่งมีในเมืองไทยด้วย ผมเข้าใจว่าไม่ใช่ชุดเครื่องแบบแท้ๆ นอกจากบางกรมกองที่เจ้ากระทรวงบังคับให้แต่ง เช่น "กรมท่า" ซึ่งต้องติดต่อกับฝรั่งมังค่ามาก เจ้ากระทรวงคงสั่งให้นุ่งผ้าสีเดียวกัน เพื่อให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย (และทำให้เราเรียกสีน้ำเงินเฉดหนึ่งว่าสีกรมท่า) ทั้ง "ผู้ดี" และข้าราชการสมัยใหม่ซึ่งมีเงินเดือนกินเป็นจำนวนแน่นอน ล้วนเป็นสถานะใหม่ที่ไม่เคยมีในสังคมไทยมาก่อน เพราะต้องได้รับการศึกษา (ก็แผนใหม่อีกนั่นแหละ) ระดับหนึ่ง "ชุดไทย" ในระยะเริ่มต้นจึงเป็นชุดแสดงสถานะทางสังคม ไม่ใช่แสดงความเป็นไทยเพิ่งมาสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีนั่นแหละ ผู้ปกครองจึงได้คิดชุดแต่งกายที่อาจเรียกได้ว่า "ประจำชาติ" ขึ้นมา แต่จินตกรรมเกี่ยวกับชาติก็ตาม ความศิวิไลซ์ก็ตามของชนชั้นปกครองที่เป็นสามัญชนเหล่านี้ แตกต่างจากชนชั้นปกครองรุ่นก่อนเสียแล้ว ความเป็นสังคมทันสมัย (ซึ่งใช้สังคมยุโรปตะวันตกเป็นมาตรฐาน) ต่างหากที่แสดงความเป็นไทย (ที่อยากจะเป็น) มากกว่าวัฒนธรรมเดิมของคนไทย แทนที่จะนุ่งโจง ผู้ชายไทยจึงควรสวมเสื้อและกางเกง สวมหมวก หรือในบางโอกาสก็ควรสวมเสื้อนอกและผูกเน็กไทด้วย ส่วนผู้หญิงก็รับความนิยมในสมัย ร.6 มาสืบต่อ คือควรสวมผ้าซิ่นซึ่งใกล้เคียงกระโปรงฝรั่งมากกว่า หรือนุ่งกระโปรงไปเลย ส่วนเสื้อก็ตัดเย็บเหมือนเสื้อแหม่ม จินตกรรมเกี่ยวกับชาติไทยที่ศิวิไลซ์แล้วนี้ ยังปรากฏต่อมาจนหลัง 2490 ในแบบเรียนของกระทรวงศึกษา ภาพประกอบหนังสือเรียนเด็กก็ยังเป็นภาพของหญิง-ชายที่แต่งกาย "ทันสมัย" แบบนี้ แม้แต่ "คุณพ่อ" ซึ่งเป็นชาวนา ยังสวมเสื้อนอก ผูกเน็กไทและสวมหมวก แต่มันก็เป็นแค่จินตกรรม ไม่ใช่ของจริง คนที่แต่งกายอันศิวิไลซ์ได้ขนาดนี้จึงมักมีฐานะทางเศรษฐกิจ (และสังคม, การเมือง) ระดับสูงกว่าคนทั่วไป ชุดดังกล่าวจึงกลายเป็นชุดที่แสดงสถานะไปด้วย และผมคิดว่านี่คือเหตุผลที่ชุดดังกล่าวแพร่หลายในสังคมอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา ยังไม่พูดถึงในช่วงหนึ่งที่ยาวนานพอสมควร คนที่ไม่ได้แต่งกายแบบนี้ (กางเกงและเสื้อเชิ้ต) จะไม่ได้รับบริการที่อำเภอ เพราะแสดงสถานะที่ยากจนไร้การศึกษาและไร้อำนาจ จึงเข้าถึงรัฐได้ยากกว่าเป็นธรรมดา จนถึง 2500 หรือหลังการยึดอำนาจของสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และท่ามกลางอำนาจทางการเมืองที่แข็งแรงมั่นคงของกลุ่มอนุรักษนิยมแล้วต่างหาก ที่ "ชุดไทย" เปลี่ยนไปจากอุดมคติแบบจอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับมาลอกเลียนชุดแต่งกายของ "ผู้ดี" กรุงเทพฯ สมัย ร.5-6 กันใหม่ จินตกรรมเกี่ยวกับชาติและความเป็นไทยของผู้ถืออำนาจในยุคพัฒนาแตกต่างจากผู้นำสายคณะราษฎร แม้อยากให้เศรษฐกิจพัฒนาเหมือนโลกตะวันตก แต่ก็อยากรักษาความเป็นไทยให้ดำรงอยู่โดยไม่เปลี่ยน ความเป็นไทยถูกนิยามแบบย้อนกลับไปหาอดีต เพื่อรักษาอำนาจนำของรัฐเอาไว้ ทั้งในทางเศรษฐกิจ, สังคม และการเมือง (อันที่จริงเราเริ่ม "เอเชียวิถี" มาก่อนใคร เพียงแต่ไม่ได้ใช้ชื่อเอเชียเท่านั้น) ความเป็นไทยที่อยู่ในอนาคตแบบของจอมพล ป. ถูกลืมหรือเห็นว่า "ไม่ไทย" ไปเลย แต่ระบบเผด็จการของสฤษดิ์ก็ดำรงอยู่ได้เพียง 16 ปี หลัง 14 ตุลา สังคมไทยจำเป็นต้องต่อรอง "ความเป็นไทย" กันใหม่ ผลที่สุดคือการประนีประนอมที่น่าสนใจ "ชุดไทย" จะเป็นชุด "ผู้ดี" โบราณก็ได้ แต่เป็นชุดที่ไม่มีที่ใช้ในชีวิตปรกติของผู้คน เฉพาะในโอกาสพิเศษ เช่น สวมถ่ายรูปติดห้องรับแขก หรือสวมไปงานราตรีสโมสรกึ่งแฟนซีที่สมาคมนักเรียนเก่าจัดขึ้น นี่คือเหตุที่หลายคนรู้สึกเป็นปรากฏการณ์ประหลาด (ถึงเป็นข่าวได้) ที่มีคนแต่งชุดไทยไปท่องเที่ยวอยุธยา การท่องเที่ยวถือเป็นกิจวัตรในชีวิตปรกติ ไม่ใช่โอกาสพิเศษ จึงเป็นการแต่งกายผิดพื้นที่, ผิดโอกาส, ผิดข้อตกลง ยิ่งไปกว่านั้น ชุดไทยที่คิดกันขึ้นหลัง 14 ตุลา ก็เป็นชุดประนีประนอม เช่นปล่อยกางเกงฝรั่งไว้ตามเดิม เพียงแต่เปลี่ยนจากเชิ้ตเป็นเสื้อคอตั้ง และแม้ว่ารัฐสนับสนุนให้ใช้ชุดดังกล่าว ก็ไม่มีบทลงโทษทั้งทางกฎหมายและการปฏิบัติแก่ผู้ที่ยังสวมเชิ้ตเหมือนเดิม แต่ชุดไทยที่กลับมาเห่อกันใหม่ในตอนนี้ไม่ใช่ชุดประนีประนอมอย่างเคยเสียแล้ว หากหวนกลับไปไกลถึงชุดที่เชื่อกันว่าคนไทยในสถานะต่างๆ แต่งกายกันก่อน 2475 (ยกเว้นกางเกงแพรจีน ซึ่งเป็นที่นิยมของผู้ชายอยู่ช่วงหนึ่ง) นั่นคือเป็นชุดไทยของสมัยสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และดังที่กล่าวแล้วว่าขยายการใช้จากโอกาสเฉพาะมารวมชีวิตประจำวันบางส่วนด้วย ดูเหมือนมีการต่อรอง "ความเป็นไทย" กันใหม่ผ่านเครื่องแต่งกาย คนชั้นกลางที่แต่งชุดไทยกำลังบอกว่า แม้ประเทศไทยต้องเปลี่ยนไปตามความเปลี่ยนแปลงของโลก แต่มีสถานะเดิมบางอย่างที่ต้องรักษาไว้เป็นอัตลักษณ์ไทยสืบไป ผมไม่ทราบหรอกว่าสิ่งที่ต้องรักษาไว้ในความคิดของคนชั้นกลางที่แต่งชุดไทยคืออะไรบ้าง แต่ผมค่อนข้างแน่ใจว่าคงมีหลายอย่างและไม่ตรงกันหมดทุกข้อ ส่วนข้อที่ตรงกันคงมีเหมือนกัน และผมอยากรู้ว่าคืออะไร น่าเสียดายที่ยังไม่มีใครศึกษาเจาะลึกจินตกรรมทางการเมือง, สังคม และเศรษฐกิจของคนชั้นกลางกลุ่มนี้ ส่วนหนึ่งของจินตกรรมนั้นคงตรงกับความต้องการของรัฐบาลเผด็จการทหาร เพราะกระทรวงวัฒนธรรมของเผด็จการทหารเพิ่งมีหนังสือขอความร่วมมือไปยังมหาวิทยาลัย (ที่ปรากฏเป็นข่าวคือ มธ. แต่เข้าใจว่าคงส่งหนังสือไปทุกมหาวิทยาลัย) ให้จัดวันแต่งชุดไทยหนึ่งวันทุกสัปดาห์ ในทางตรงกันข้าม ผมเชื่อว่าก็มีคนชั้นกลางอีกไม่น้อยที่ไม่ได้สนใจชุดไทยแบบนี้ และไม่เคยคิดจะนุ่งห่มด้วยชุดไทยในชีวิตปรกติของตนเลย จำนวนไม่น้อยอีกเหมือนกันของคนกลุ่มนี้กลับมองการแต่งชุดไทยของกลุ่มแรกเป็นเรื่องตลกหรือน่าขำ บางคนอาจถึงเยาะเย้ยถากถางในโซเชียลมีเดีย ชุดไทยจึงกลับมาเป็นประเด็นใหม่ของการโต้แย้งถกเถียงในสังคมอีกครั้ง แต่ลึกลงไปไม่ใช่การถกเถียงเกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย แต่เป็นการถกเถียงเกี่ยวกับจินตกรรมที่มีต่อชาติที่ต่างกันมากกว่า ท่ามกลางสำนึกร่วมกันของทั้งสองฝ่ายว่า เรากำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก ทั้งพัฒนาการภายใน และกระแสโลกาภิวัตน์จากภายนอก ชาติไทยควรเดินไปอย่างไร ไม่ใช่ควรแต่งกายอย่างไร
ที่มา: https://www.matichonweekly.com/column/article_93943
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 11 Apr 2018 08:16 PM PDT ปัญหาการก่อสร้างบ้านพักศาลบนดอยสุเทพ ที่โลกออนไลน์เรียกตามภาพถ่ายทางอากาศว่า "หมู่บ้านป่าแหว่ง" มองมุมหนึ่งก็น่าเห็นใจฝ่ายศาล เพราะมาเบรกกันตอนใกล้สร้างเสร็จ ถ้าให้ทุบทิ้งก็เสียดายงบประมาณ แถมประธานศาลฎีกา หรือเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมคนปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ผู้ริเริ่มโครงการ แต่ต้องมารับหน้าชี้แจงสาธารณชน กระนั้นว่าที่จริง ชาวเชียงใหม่ก็คัดค้านโครงการนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนที่เริ่มแผ้วถาง ยังไม่ทันก่อสร้าง แต่เสียงประชาชนไม่ยักดัง ไม่มีคนสนใจ ไม่มีใครฉุกคิดว่าจะสะเทือนหัวอกชาวบ้านตาดำๆ จึงก่อสร้างมาจนเห็นภาพบ้านเป็นหลังๆ เป็นหมู่ๆ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันสนั่น กระทั่งฝ่ายทหาร ผบ.ทบ.สั่งให้ชะลอ เพราะเกรงความรู้สึกลุกลาม ประเด็นที่ 2 ข้างโต้แย้ง ระหว่างฝ่ายศาลกับภาคประชาชน ก็พูดคนละด้าน ฝ่ายศาลยืนกรานไม่ผิดกฎหมาย ฝ่ายประชาชนพูดถึงความสะเทือนใจ การทำลายระบบนิเวศน์ บรรทัดฐานความเหลื่อมล้ำ ทำให้ประชาชนเสียศรัทธา ซึ่งก็ใช่เลย ถ้าว่าตามกฎหมาย ท่านขออนุญาตใช้ที่ดินราชพัสดุอย่างถูกต้อง (จนหลายคนพยายามเบนประเด็นไปด่านักการเมืองที่อนุมัติให้ใช้ที่ดินและงบก่อสร้าง) แต่เรื่องสำคัญกว่าคือความเหมาะสม ความรู้สึกประชาชน เพราะนี่คือสถาบันศาลที่ประชาชนให้ความเคารพศรัทธา พูดง่ายๆ นะ ถ้ากระทรวงมหาดไทยขอที่ราชพัสดุตรงนี้ไปสร้างบ้านพักผู้ว่าฯ มีหวังโดนไล่เปิงตั้งแต่แรก หรือต่อให้ทหารก็เถอะ แต่พอเป็นศาล เหมือนมีความกริ่งเกรง กระทั่งผู้คนเริ่มเห็นบ้านพักระดับประธานศาล ที่บ้างก็เปรียบเปรยว่าราวกับรีสอร์ทชมวิว แล้วมีผู้กล้าริเริ่มล่าชื่อใน Change.org ความอัดอั้นจึงระเบิดออกมา ทำไมประชาชนมองศาลต่างจากหน่วยงานอื่น ด้านหนึ่ง อาจเพราะกลัวศาล แต่อีกด้านหนึ่ง ประชาชนก็เปี่ยมความเคารพศรัทธา เชื่อมั่นว่าผู้พิพากษาดำรงตนอยู่ในความสัตย์ซื่อสมถะ
นั่นคือจริยธรรมตุลาการ ซึ่งเคร่งครัดกว่าข้าราชการอื่น จึงมีคำถามว่า อย่าว่าแต่ประชาชนเลย ตัวผู้พิพากษาเองจะสบายใจหรือไม่ เมื่อไปพักอยู่บนบ้านที่สาธารณชนเปรียบเปรยว่า ยังกะคฤหาสน์ชมวิว เพราะจริยธรรมที่เข้มงวดนี่เอง ผู้พิพากษาจึงได้เงินเดือนสูงกว่าข้าราชการอื่น เพราะมีข้อห้ามประกอบวิชาชีพอื่น ต้องวางตัวให้เหมาะสม ต้องระวังกระทั่งการประกอบอาชีพของลูกเมียญาติสนิท ประธานศาลฎีกาจึงได้เงินเดือน 75,590 บาท เงินประจำตำแหน่ง 50,000 บาท เท่านายกรัฐมนตรี (กำลังจะปรับขึ้นอีก 140%) ตุลาการชั้นสี่ ซึ่งมีจำนวนมาก ตั้งแต่ผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งหมด 170 กว่าท่าน ประธานศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค จนถึงผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ได้ตามอาวุโส ได้เงินเดือน 73,240 บาท เงินประจำตำแหน่ง 42,500 บาท (จะขึ้นอีก 10%) บวกค่าตอบแทนเหมาจ่ายรถประจำตำแหน่ง 41,000 บาท เทียบเท่าปลัดกระทรวง ระบบของศาลคือถ้าท่านรับราชการครบกำหนด ก็จะได้เลื่อนชั้นทันที มีเงินเดือนเงินประจำตำแหน่งแน่นอน เป็นหลักการที่กำหนดไว้ป้องกันการวิ่งเต้นเอาใจ เป็นหลักประกันอิสระในการพิจารณาคดี นี่คือสิ่งที่สังคมมอบให้ศาล พร้อมกับความเคารพศรัทธา ฉะนั้น ไม่ต้องพูดกันให้มากก็น่าจะรู้ว่า กรณีบ้านพักศาลควรจบอย่างไร
ที่มา: https://www.kaohoon.com/content/225823
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 11 Apr 2018 08:03 PM PDT มวลมหากาลเวลานิจจาเอ๋ย กระไรเลยจะเฉยหยุดไร้หมุดหมาย ฤดูกาลยังผ่านมาหาเปล่าดาย บันทึกร้าย,เลว,ดี มีเอวัง ออเจ้าปักเข็มหมุดไว้ในผืนผ้า เพื่อหมายว่าจะมาใหม่ในภายหลัง ปักหมุดสุดแผนที่ ๆ ระวัง ประหนึ่งตั้งประภาคารการเดินทาง ปักหมุดสุดขอบหล้าอย่าเลือนหลง เข้ารกพงจงดีไร้ผีสาง นักเดินทางรุ่นก่อนหน้ากล้าก้าวย่าง ปักหมุดง้างโง่งมจมทะเล
แสงฟ้าพราวจากดาวเหนือเมื่อโพล้เพล้ หมุดหมายไม่หมิ่นเหม่ให้เร่ร้าง คนรุ่นก่อนสอนไว้ให้รู้ค่า กาลเวลาพาปักหมุดสุดสรรค์สร้าง รุ่นต่อรุ่นสอนลูกหลานการเดินทาง เวียนวนคว้างกลางทะเลเสียเวลา สอนให้รู้จักปักหมุดหยุดเลือนหลง ยามเข้ารกเข้าพงจงแลหา คนรุ่นก่อนสะท้อนชีวิตพิจารณา เขามุ่งมาปักหมุดหมายหวังได้อะไร
ดาวเหนือยังส่องแสงเป็นแรงใจ หมุดหมายใหม่ไม่มีวันหมด กฎครอบงำ เส้นทางแห่งอาหารวิญญาณมนุษย์ ไปปักหมุดสุดทางกลางมืดค่ำ ก่อนจะตายได้ปักหมุดสุดทรงจำ แม้หลุมดำดึงดูดยอมหลอมเหลวเลย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
คนอยากเลือกตั้งทำไม – ทำไมคนอยากเลือกตั้ง Posted: 11 Apr 2018 07:54 PM PDT
สิ่งที่เยาวชนคนหนุ่มสาวและคนหลากหลายอายุได้รวมตัวกันขึ้นมาเป็นกลุ่ม "คนอยากเลือกตั้ง"แล้วพากันชุมนุมแสดงออกเพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 และเรียกร้องให้ คสช.ลาออกจากตำแหน่ง คงเหลือเพียงการเป็นรัฐบาลรักษาการ ฯลฯ จนถูกดำเนินคดีกันเป็นจำนวนถึง 143 คน (คดีหน้ามาบุญครอง 39 คน,คดีที่ถนนราชดำเนิน 50 คน,คดีหน้ากองทัพบก 47 คน และคดีที่พัทยา 7 คน) ได้สร้างข้อสงสัยว่าเหตุใดคนเหล่านี้จึงพากันออกมาเรียกร้องทั้งๆที่รู้ว่าในที่สุดจะต้องถูกดำเนินคดี หรือทั้งๆที่รัฐบาลบอกแล้วว่าอย่างไรเสียก็จะต้องมีการเลือกตั้งภายในกุมภาพันธ์ 2562 อยู่แล้ว |
กวีประชาไท: ข้อแขนที่แสนทราม สูเจ้าเหยียดหยามประชาชน Posted: 11 Apr 2018 05:41 PM PDT
ตัวแทน ความเที่ยงตรง ให้โลกหลง ว่างดงาม เสียงตุ้ม นาฬิกาตอก ผ่านปลายหอก คอกกระเดื่อง ยี่สิบห้าเรือน ร้อยเข็มชี้ พันบัดสี แสนจัญไร สิ้นเกียรติ เพราะไร้เกียรติ เกินหยามเหยียด ต่ำกว่าควาย นาฬิกาเพื่อน หรือขอเขา ละโมบเอา น่าขื่นขม รักชาติ ด้วยโฉดชั่ว ใจเกลือกกลั้ว พวกทุศีล เวลาตรึง แต่มึงคด มึงกำหนด กฎเส้นหน เสียงสาป แช่งสะสา เสียงเวลา บีฑาหั้น
หมายเหตุ: 11 เม.ย. 2561 เอกชัย หงส์กังวาน ได้นำบทกวีของ ก่องแก้ว กวีวรรณ ไปขับเสภาที่บริเวณบ้านพักของ เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีขณะที่มีกิจกรรมนายทหารผู้นำเหล่าทัพเข้ารดน้ำอวยพรวันสงกรานต์ โดยได้แจงว่ามีเจตนาขับให้ ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม เจ้าของข่าว "นาฬิกาหรู" ได้รับฟัง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น