โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 22 - 28 พ.ค. 2554

Posted: 31 May 2011 01:11 PM PDT

 

สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไม่เห็นด้วยนโยบายขึ้นค่าแรง

นายถาวร ชลัษเสถียร อุปนายกฝ่ายบริหาร สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เปิดเผยว่า จากนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองใหญ่ในกรณีที่จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 25% ภายใน 2 ปี และเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน ยอมรับว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่เป็นขนาดเล็ก ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 70% ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อไป เพราะต้นทุนเพิ่มขึ้น ขณะที่รายกลางและรายใหญ่ไม่มีปัญหา เนื่องจากจ่ายค่าแรงขั้นต่ำราประมาณ 300 บาทต่อวันอยู่แล้ว

นอกจากนี้อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วน ยานยนต์ ยังเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานต่อเนื่อง โดยประกาศรับคนงาน 100 คน แต่มีคนมาสมัครเพียง 50 คนเท่านั้น ต่างจากที่ผ่านมาคนแห่มาสมัครงานทะลัก ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้สมาคมฯเตรียมจัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านแรงงาน 10 ปี (2554-2563) ในการพัฒนาและผลิตแรงงานเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์, 2.ยานยนต์,3.เครื่องปรับอากาศ, 4.เครื่องจักรกลและโลหะการ, 5.เครื่องจักกรการเกษตร และ6.อุตสาหกรรมแม่พิมพ์ ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 24% ในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)

ทั้งนี้เป้าหมายระยะแรกจะมีแรงงานใน ภาคอุตสากรรมเพิ่มอีกประมาณ 2.5 แสนราย รวมเป็น 1.5 ล้านราย ในปี 2558 จากปัจจุบันมีกว่า 1.25 ล้านราย ทั้งนี้สมาคมฯได้ร่วมกับกระทรวงแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และกรมอาชีวะศึกษา สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ด้านแรงงาน ซึ่งยุทธศาสตร์เบื้องต้นที่ต้องดำเนินการใน 2 ด้าน คือ 1.สร้างมาตรฐานฝีมือแรงงาน และ2.กำหนดคุณวุฒิวิชาชีแรงาน ขณะเดียวกันต้องวางแนวทางการผลิตผลิตแรงงาน เช่น นักเรียนอาชีวะศึกษา เพื่อให้จบมาสามารถทำงานได้เลยทันที ไม่ต้องฝึกงานมากนัก

โดยจะมีการจัดหลักสูตรทางการศึกษาให้ เรียนในเชิงลึกมากขึ้น สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ, การเพิ่มทักษะของฝีมือแรงงานให้มีมาตรฐานมากขึ้น, การพัฒนาเด็กด้อยโอกาสให้เข้าสู่การเป็นแรงงานฝีมือ เป็นต้น เพื่อให้สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพแรงงานเป็นแกนนำในการนำไปปฏิบัตต่อไป

ภายในเดือนมิถุนายนนี้ภาคอุตสาหกรรม จะร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในการกำหนดยุทธศาสตร์ด้านแรงงานภายใน 10 ปีข้างหน้าว่าทิศทางของแรงงานไทยควรจะไปด้านไหน และอย่างไรบ้าง ขณะเดียวกันต้องเร่งผลิตแรงงานฝีมือให้ได้มาตรฐานมากขึ้น เพื่อสอดรับกับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ซึ่งจะมีการกำหนดมาตรฐานแรงงานแบบเดียวกันทั้งภูมิภาคนายถาวร กล่าว

(แนวหน้า, 23-5-2554)

ลูกจ้างกรุงรอไปก่อนยังไม่เคาะปรับค่าแรง

ดร.อำมร เชาวลิต ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำกรุงเทพมหานคร ครั้ง 1 ประจำปี 2554 ว่า ในที่ประชุมได้มีการหารือผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการหลังการปรับขึ้น ค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อต้นปีที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่ต่างระบุถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังการปรับค่าจ้าง นอกจากนี้ยังได้มีการนำเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเฉพาะ กรุงเทพฯ อยู่ที่ร้อยละ 3.06 ส่วนทั่วประเทศอยู่ที่ 3.27 มาหารือด้วย

อย่างไรก็ตาม การประชุมครั้งนี้ยังไม่มีการเสนอให้มีการปรับอัตราค่าจ้างในพื้นที่ กทม. เนื่องจากอนุกรรมการทั้งฝ่ายนายจ้าง และลูกจ้าง มองว่าอยากเห็นการดำเนินการเรื่องอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือที่จะมีผล บังคับใช้ในวันที่ 28 กรกฎาคมนี้ก่อน และมีความเห็นใจต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในปัจจุบัน เนื่องจากราคาสินค้าปรับสูงขึ้นย่อมกระทบทุกฝ่าย ซึ่งการประชุมคณะกรรมการค่าจ้างกลางในวันที่ 2 มิถุนายนนี้ ในส่วนของกทม.ยังไม่มีการเสนอตัวเลขขอปรับค่าจ้างขั้นต่ำอัตราใหม่

ด้าน นายอรรถยุทธ ลียะวณิช อนุกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำกรุงเทพมหานคร ฝ่ายนายจ้าง กล่าวว่า หลังปรับค่าจ้างเมื่อต้นปีที่ผ่านมา นายจ้างส่วนใหญ่ต่างร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบเพราะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย แต่การปรับค่าจ้างมีการนำเรื่องคุณภาพชีวิตเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งในกฎหมายไม่ได้กำหนดไว้

ดังนั้น รัฐบาลควรควบคุมราคาสินค้าไม่ให้สูงขึ้น เพราะเมื่อมีการปรับค่าจ้าง ราคาสินค้าก็เพิ่มไปด้วย ผู้ที่จะได้รับผลกระทบคือประชาชน ส่วนนโยบายการปรับค่าจ้างต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหลายอัตรา มองว่าเป็นการผลักภาระให้ฝ่ายนายจ้าง เนื่องจากการปรับค่าจ้างขึ้นต่ำในปีนี้ตลอดทั้งปีจะมีเงินสะพัดในระบบ เศรษฐกิจของประเทศกว่าแสนล้านบาท.

(โพสต์ทูเดย์, 23-5-2554)

ครส. ไต่สวนกรณี บ.ฝรั่งเศส เลิกจ้างคนงานหลังเป็นสมาชิกสหภาพฯ

23 พ.ค. 54 - นายสุทธิรักษ์ ยะโลมพันธุ์ ประธานสหภาพแรงงานไทยอินดัสเตรียลแก๊ส ระบุว่าในวันนี้ (23 พ.ค.  54) คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ (ครส.) ได้พิจารณานัดแรกกรณีการเลิกจ้างคนงานจำนวน 5 คนของบริษัทแอร์ลิควิท จำกัดจากการที่คนงานกลุ่มดังกล่าวได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานไทยอินดัสเต รียลแก๊สซึ่งเป็นการรวมกลุ่มคนงานในกิจการประเภทเดียวกัน  โดยในวันนี้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้สอบปากคำคนงานที่ถูกเลิกจ้างจำนวน 2 คนและยังไม่มีข้อสรุป

หนังสือร้องเรียนของคนงานต่อคณะ กรรมการแรงงานสัมพันธ์ระบุว่า การเลิกจ้างดังกล่าว ซึ่งเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตร 121 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า ห้ามมิให้นายจ้าง เลิกจ้างหรือกระทำการใดๆ อันอาจเป็นผลให้ลูกจ้างไม่สามารถทนทำงานอยู่ต่อไปได้เพื่อเหตุที่ลูกจ้าง นั้นเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานรวมทั้งบัญญัติไว้อีกว่า ห้ามมิให้นายจ้างขัดขวางการดำเนินการของสหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงานหรือขัดขวางการใช้ สิทธิของลูกจ้างในการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน

กรณีการเลิกจ้างดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อ 14 ก.พ. 54 ภายหลังจากที่คนงานแอร์ลิควิทจำนวน 4 คนได้แจ้งให้นายจ้างทราบว่า พวกเขาได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานแล้ว โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 54 ได้มีการเลิกจ้างคนงานที่เป็นสมาชิกสหภาพฯ 1 คนโดยนายจ้างให้เหตุผลว่า คนงานกระทำผิดข้อบังคับของบริษัทในการหลีกเลี่ยงการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ โดยคนงานถูกเลิกจ้างต้องการให้นายจ้างรับกลับเข้าทำงานเนื่องจากประสบปัญหา ทางเศรษฐกิจอย่างหนักหลังจากถูกเลิกจ้าง

นายสุทธิรักษ์ ให้ความเห็นว่า สิทธิการรวมกลุ่มของคนงาน นอกจากจะเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายไทยแล้ว ยังเป็นการใช้สิทธิแรงงานตามมาตรฐานแรงงานสากลที่บริษัทต่างๆ ควรยอมรับโดยเฉพาะบรรษัทข้ามชาติในประเทศไทย มาตรฐานแรงงานสากลที่รับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของคนงานได้แก่ อนุสัญญาหลักขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 87 ว่าด้วยสิทธิในการรวมกลุ่ม รวมทั้งแนวปฎิบัติขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ต่อบรรษัทข้ามชาติ ซึ่งบริษัทแอร์ลิควิทเป็นบริษัทจากประเทศฝรั่งเศสซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศ สมาชิกของ OECD

(ประชาไท, 23-5-2554)

ฮอนด้ายังขาดแคลนอะไหล่ พักงานอีก 14 วัน

บริษัทรถยนต์ ฮอนด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยวันนี้ว่า คนงานในบริษัทจะได้รับวันหยุดพักในเดือนมิถุนายน 1 วัน, เดือนกรกฎาคม 10 วัน และอีก 3 วันในเดือนสิงหาคมรวม 14 วัน แต่จะต้องมาชดเชยให้ใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะทำให้การผลิตในโรงงานในเมืองไซตามะ และซูสุกะ และชิ้นส่วนบางตัวในโรงงานในเมืองฮามามัตสึ จะปิดตัวลงราว 14 วัน

รายละเอียดของการให้หยุดงานชั่วคราว ยังไม่มีประกาศออกมา แต่เป็นผลพวงมาจากภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นทางตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ทำบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์นับร้อยแห่งเกิดความเสียหาย รวมถึงบริษัทฮอนด้าเองด้วย โดยฮอนด้าคาดว่าจะมีการผลิตกลับมาอยู่ในระดับเดิมได้ภายในสิ้นปีนี้

(เนชั่นทันข่าว, 23-5-2554)

เอกชนประเมินความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นหลังเปิดเออีซี

นายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายในงานสัมมนาเรื่องความต้องการกำลังคนของภาคอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ กับการจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)ว่า หลังจากที่ไทยก้าวเข้าสู่การรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 คาดว่าไทยจะมีความต้องการแรงงานทักษะเพิ่มขึ้นอีกจากปัจจุบันหลายแสนคน ซึ่งภาครัฐบาลจำเป็นต้องวางแผนรองรับการเปิดเออีซี และสำรวจว่าไทยจะขาดแคลนแรงงานประเภทไหน ในอุตสาหกรรมอะไรบ้าง

ทั้งนี้ การจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ถือเป็นความร่วมมือที่ชัดเจนในการช่วยกันแก้ปัญหาทั้งเรื่องการขาดแคลนแรง งาน และการพัฒนาทักษะแรงงาน และเป็นตัวกระตุ้นให้แรงงานเร่งพัฒนาตัวเอง ให้สามารถเติบโตในสายงานของตัวเองได้

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในอนาคตภาคบริการจะมีความต้องการแรงงานมากขึ้น ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมจะต้องการแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค เพื่อเข้ามาทำงานร่วมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ส่วนภาคเกษตรจะมีการใช้เครื่องจักรเข้ามาทุ่นแรง แรงงานที่ต้องการก็จะต้องมีความสามารถในการใช้เครื่องจักรมากขึ้นตามไปด้วย

ทั้งนี้ จากการสำรวจความต้องการแรงงานในภาคอุตสาหกรรมทั้ง 7 กลุ่ม  เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ จะมีความต้องการแรงงานมากขึ้น 2.5 แสนคน โดยจะเป็นความต้องการแรงงานตั้งแต่ระดับม. 3 ถึงปวช.-ปวส. ในสายอาชีพ รวมกันประมาณ 90% และในระดับปริญญาตรีประมาณ 10%

อนาคตการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกจะมีผล ต่อการเปลี่ยนแปลงการค้าและเทคโนโลยีที่รวดเร็ว แรงงานจะต้องปรับตัวรองรับทั้งในเรื่องของภาษา และการเพิ่มทักษะที่จะต้องรวดเร็วเพราะขณะนี้ความรู้ที่เรียนมาเพียง 2 ปีเทคโนโลยีก็เปลี่ยนไปแล้ว ด้านบริการอนาคตแรงงานกลุ่มนี้ก็จะต้องการมากขึ้น ขณะที่ภาคเกษตรก็จะขยายตัวแต่ส่วนหนึ่งก็จะต้องมุ่งเน้นการใช้เครื่องจักร เพิ่มขึ้นด้วยนายพยุงศักดิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่องนโยบายรัฐบาลต่อการผลิตกำลังคนโดยมุ่งเน้นสมรรถนะและทักษะว่า ในปี 2558 ไทยจะเป็นส่วนหนึ่งของเออีซี ซึ่งจะมีการโยกย้ายฐานการผลิต ฐานการลงทุน การเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานก็จะเกิดขึ้นตามมา ดังนั้นแรงงานไทยจะต้องเร่งปรับตัวในการเพิ่มทักษะเพื่อรองรับการเปลี่ยน แปลงดังกล่าว

นอกจากนี้ ผลจากวิกฤตด้านอาหารที่ทำให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลให้แรงงงานภาคอุตสาหกรรมไหลกลับเข้าสู่ภาคการเกษตร ประกอบกับไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คนวัยทำงานมีน้อยลง รัฐบาลและเอกชนจึงได้ร่วมมือกันผลักดันการจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพที่จะ ร่วมมือกันพัฒนาแรงงานให้ตรงกับความต้องการตลาดโดยจะเพิ่มแรงงานด้านอาชีวะ เพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 60% ของแรงงานในระบบ    

(โพสต์ทูเดย์, 24-5-2554)

คกก.รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เห็นชอบแก้ไขประกาศ กก.รสก.ให้สอดคล้องกับกม.ใหม่ที่จะบังคับใช้ 16 ก.ค

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2554 นายสมเกียรติ  ฉายะศรีวงศ์  ปลัดกระทรวงแรงงาน   เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ โดยมีเรื่องพิจารณาและที่ประชุมมีมติเห็นชอบการแก้ไขประกาศคณะกรรมการรัฐ วิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่องความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานพ.ศ. 2554  ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ที่ประชุมคณะอนุกรรมการ พิจารณากฎหมายแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2554 พิจารณาเกี่ยวกับการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่องมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ หมวด 7 ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน คือ

ข้อ 55 ให้นายจ้างบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ตามกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน

ข้อ 56 ให้นายจ้างจัดให้มีการตรวจสุขภาพของลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน

อย่างไรก็ดี มีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิบางคนได้แย้งตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อมีกฎหมายใหม่แล้วก็มีข้อบัญญัติครอบคลุมถึงรัฐวิสาหกิจ จึงไม่น่าจะต้องเขียนอะไรเพิ่มเติมเข้ามาอีกแต่อย่างใด

 (ฐานเศรษฐกิจ, 25-5-2554)

เครือข่ายผู้ใช้แรงงานร้องให้ชะลอตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย

กระทรวงแรงงาน 25 พ.ค.-  เครือข่ายผู้ใช้แรงงาน คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย  สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย และเครือข่ายพัฒนาชีวิตแรงงาน ยื่นหนังสือถึง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน  เรียกร้องให้ชะลอกระบวนการยกร่างการจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย โดยมีเจ้าหน้าที่จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นผู้รับหนังสือแทน

นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า สาเหตุที่ให้ชะลอนั้นเนื่องจากที่ผ่านมาสัดส่วนของคณะอนุกรรมยกร่างฯ มีความไม่เป็นธรรม โดยคณะอนุกรรมการทั้ง 17 คน มีตัวแทนจากฝ่ายแรงงานและนักวิชาการเพียง 3 คน ที่เหลือเป็นข้าราชการ เมื่อมีปัญหาความขัดแย้ง หรือไม่เห็นด้วยในสาระสำคัญ หรือ ความเข้าใจในกฎหมายความปลอดภัยในงานหลายประเด็น อาจจะทำให้เสียงของผู้ใช้แรงงานถูกละเลย นอกจากนี้ ต้องการให้ทำประชาพิจารณ์เกี่ยวกับกฎหมายที่จะนำไปใช้บังคับ เนื่องจากหลายกรณีมีผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงานโดยตรง จึงเรียกร้องให้ชะลอกฎหมายดังกล่าวออกไปก่อน โดยให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พิจารณาสั่งการต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้กฎหมายนี้ได้ขับเคลื่อนไปตามเจตนารมณ์ที่ต้องการส่งเสริมความ ปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้แรงงาน

(สำนักข่าวไทย, 25-5-2554)

หวั่นแรงงานคืนถิ่นไม่ได้ใช้สิทธิในเขตเลือกตั้ง

นายสาโรจ ไพเราะ ผู้อำนวยการคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดมหาสารคาม กล่าวว่า หลังจากที่มีการกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกที่จะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม สามารถไปยื่นขอลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าก่อนในวันที่ 13-17 มิถุนายน ที่สำนักงานเขต หรือสำนักงานท้องถิ่น เพื่อไปใช้สิทธิ์นวันที่ 26 มิถุนายน เวลา 08.00-15.00 น.
      
ส่วนการเลือกตั้งนอกเขตจังหวัด สามารถยื่นคำขอลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตจังหวัดได้ ตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 2 มิถุนายนนี้ เพื่อไปใช้สิทธิในวันที่ 26 มิถุนายน ในเวลา 08.00-15.00 น.เช่นกัน
      
สำหรับจังหวัดมหาสารคาม ประชาชนได้เคยยื่นขอใช้สิทธินอกเขตเมื่อปี 2550 ไว้จำนวน 46,333 คน ซึ่งคาดว่าในจำนวนนี้จะเป็นแรงงานคืนถิ่นแล้วจำนวนกว่า 50% ซึ่งประชาชนที่เคยยื่นลงทะเบียนขอใช้สิทธินอกเขต เมื่อกลับมาอยู่ในภูมิลำเนาเดิมแล้วจะต้องแจ้งถอนชื่อ เพื่อให้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตที่ตนอาศัยอยู่ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถลงคะแนนเลือกตั้งได้ โดยสามารถแจ้งถอนชื่อได้ที่สำนักงานเขต หรือสำนักงานท้องถิ่นในวันและเวลาที่กำหนดไว้

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 26-5-2554)

แรงงานเร่งวางมาตรการแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานรับสังคมผู้สูงอายุ

ก.แรงงาน 26 พ.ค.- ก.แรงงาน เร่งวางมาตรการแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ปีละประมาณ 3 แสนคน รับสังคมผู้สูงอายุ ทั้งเตรียมแผนเติมกำลังแรงงานเข้าสู่ตลาด พร้อมพัฒนาศักยภาพแรงงานที่มีอยู่ในระบบให้ทำงานได้มากขึ้น เผยตั้งอนุกรรมการ 7 ชุด เร่งวางยุทธศาสตร์ ขับเคลื่อนรับรัฐบาลชุดใหม่
 
นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ครั้งที่ 1/2554 ว่า ที่ประชุมวันนี้ได้พิจารณาถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงงาน ปีละประมาณ 3 แสนคน สาเหตุหลักคือเศรษฐกิจไทยเติบโต และขยายการจ้างงานมากขึ้นทุกปี ขณะที่เปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรไปสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในปี 2573 จำนวนผู้สูงอายุสูงถึงร้อยละ 25 ของประชากรทั้งหมด จึงได้วางแนวทางแก้ปัญหา เป็น 2 แนวทาง คือ 1.การหาแรงงานมาเติมในตลาดแรงงาน ด้วยการสนับสนุนนักเรียนนักศึกษาจบใหม่ ผู้ว่างงาน รวมถึงแรงงานอื่นๆ อาทิแรงงานที่ทำงานไม่เต็มศักยภาพ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และแรงงานต่างด้าว เข้าสู่ตลาดแรงงานให้มากขึ้น เบื้องต้นกระทรวงแรงงาน จะเร่งรวบรวมข้อมูลจะประสานกับสถานประกอบการ สำรวจจำนวนแรงงานที่ขาดแคลนให้ชัดเจน และนำเข้าสู่ศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติเพื่อให้เป็นข้อมูลเป็นระบบภายใน 2 ปี
 
นพ.สมเกียรติ กล่าวอีกว่า 2.การพัฒนาแรงงานที่มีอยู่แล้วให้สามารถทำงานได้มากขึ้น โดยเน้นใน 3 เรื่องหลักคือ 1.การเพิ่มทักษะฝีมือ ประสิทธิภาพ รวมถึงขวัญและกำลังใจในการทำงาน 2.การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือสมัยใหม่ให้มากขึ้น ซึ่งได้ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงการคลัง ดูแลเรื่องการลดหย่อนภาษีเครื่องจักรสมัยใหม่ และ 3. การพัฒนาระบบการทำงาน เช่นระบบการขนส่งโลจิสติกส์ และการบริหารจัดการภายใน
 
นพ.สมเกียรติ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ตั้งคณะอนุกรรมการ 7 ชุด เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ และแผนการดำเนินงานในการแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน แบ่งเป็นคณะอนุกรรมการที่ดูแลเกี่ยวกับการหากำลังแรงงานมาเพิ่มในตลาด 4 ชุด และคณะอนุกรรรมการที่ดูแลการพัฒนาแรงงานที่มีอยู่แล้วให้สามารถทำงานได้มาก ขึ้นอีก 3 ชุด โดยให้คณะอนุกรรมการทั้ง 7 ชุด เร่งจัดทำยุทธศาสตร์เพื่อนำเสนอรัฐบาลชุดใหม่ต่อไป.

(สำนักข่าวไทย, 26-5-2554)

ซิโน-ไทยอ้อนนำเข้าแรงงาน 2 พันคน

นายวรพันธ์ ช้อนทอง กรรมการรองผู้จัดการ สายงานการเงินและบริหาร บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้เสนอเรื่องไปยังกระทรวงแรงงาน เพื่อขอโควตาแรงงานเพิ่มอีก 2,000 คน จากปัจจุบันที่มี 10,000 คน ซึ่งขณะนี้มีการทยอยส่งแรงงานมาบ้างแล้วประมาณ 100 คน จึงมองว่าปัญหาขาดแคลนแรงงานจะไม่มีผลกระทบกับบริษัทแต่อย่างใด ประกอบกับบริษัทอยู่ระหว่างการขอโควตาแรงงานจากประเทศอื่นเพิ่มเติมด้วย

ส่วนกรณีที่ 2 พรรคการเมือง ทั้งประชาธิปัตย์ และเพื่อไทย มีนโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำนั้น มองว่า คงมีการปรับขึ้นอย่างแน่นอน แต่คงไม่มีผลกระทบกับบริษัทมากนัก เนื่องจากการขึ้นค่าแรงคงไม่ได้ปรับขึ้นรอบเดียว เช่น จากราคา 250 บาท เป็น 300 บาท แต่คงปรับขึ้นแบบขั้นบันไดมากกว่า อีกทั้งปัจจุบันบริษัทได้ศึกษาการนำเครื่องจักรมาใช้ เพื่อลดการใช้แรงงานคน ซึ่งคาดว่าจะสามารถทดแทนแรงงานคนได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ในส่วนของงานที่เครื่องจักรไม่สามารถทดแทนได้  เช่น งานภาครัฐจะมีการทำสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่าเค) บริษัทจะขอปรับค่าเคเพิ่มขึ้น ขณะที่งานเอกชนบริษัทจะเจรจากับผู้ว่าจ้าง เพื่อขอปรับราคาขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาผู้ว่าจ้างก็เข้าใจ ดังนั้น บริษัทจึงไม่กังวลเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำมากนัก โดยปัจจุบันบริษัทมีต้นทุนด้านแรงงานประมาณ 12% ของต้นทุนทั้งหมด

การที่นักลงทุนมองว่าบริษัทเป็นหุ้น การเมือง เป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ลำบาก แต่ความจริงแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เพราะในการประมูลโครงการต่าง ๆ ภาครัฐจะขีดเส้นตายหรือกำหนดราคากลางมา เพื่อให้บริษัทต่าง ๆ เข้าประมูลงาน หากบริษัทใดเสนอราคาต่ำกว่าก็จะได้รับงานไป บริษัทใดประมูลราคาสูงกว่าก็ไม่ได้รับงานประมูล ดังนั้น แม้ใครจะมาเป็นรัฐมนตรีคงไม่เกี่ยวข้อง เนื่องจากมีราคากลางเป็นตัวกำหนดงานประมูลอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่บริษัทมีตระกูลชาญวีรกูลเป็นผู้ถือหุ้นนั้น คงไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะเป็นเพียงผู้ถือหุ้น ไม่ได้เข้ามานั่งบริหารงาน และที่ผ่านมาผู้ถือหุ้นพอใจการบริหารงานของบริษัท ขณะที่ฝ่ายบริหารรู้สึกมีความเป็นอิสระ จากการที่ผู้ถือหุ้นไม่ได้เข้ามาก้าวก่ายในการบริหารงาน

ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่าง ยื่นเสนองานไปแล้วและรอผลการประมูลมูลค่า 60,000 ล้านบาท เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง 2 สัญญา ช่วงบางซื่อ-รังสิต และโครงการโรงไฟฟ้าอีก 3 โรง รวมถึงอาคารรัฐสภาใหม่ นอกจากนี้ ยังเตรียมเข้าประมูลงานใหม่อีก 70,000 ล้านบาท รวมเป็นงานที่รอผลการประมูลทั้งสิ้น 130,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าบริษัทจะได้รับงานประมูลดังกล่าว 20,000-30,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หลังจบไตรมาส 2 บริษัทเตรียมปรับเป้าหมายรายได้ทั้งปีเพิ่มขึ้น จากเดิมซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 14,000 ล้านบาท ส่วนจะปรับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าใดต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 15,000 ล้านบาท เพราะปีนี้มีงานประมูลค่อนข้างมาก อีกทั้งเป้าหมายรายได้ 14,000 ล้านบาทอยู่บนสมมุติฐานมูลค่างานในมืองของปีที่ผ่านมา  ขณะที่กำไรทั้งปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา แม้ตั้งแต่ต้นปีต้นทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้น  8% แต่สามารถควบคุมได้ด้วยการล็อกราคาวัตถุดิบต่าง ๆ เช่น การซื้อเหล็กเส้นล่วงหน้า.

(เดลินิวส์, 26-5-2554)

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ผู้ต้องหาคดีหมิ่นฯ สัญชาติอเมริกันสุขภาพทรุด –เพื่อน ‘สมยศ’ ปัดข่าวลือคิดฆ่าตัวตาย

Posted: 31 May 2011 12:41 PM PDT

31 พ.ค.54 รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้ต้องหาสัญชาติไทย-อเมริกัน ในคดีหมิ่นสถาบันฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ถูกดีเอสไอจับกุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาชื่อ นายโจ กอร์ดอน (Joe Gordon)  และถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค.54 ประสบปัญหาสุขภาพจากโรคประจำตัวคือ ความดันสูงและเก๊าท์ ทำให้ขาบวมและไม่สามารถเดินได้ด้วยตัวเอง ต้องให้เพื่อนผู้ต้องขังช่วยพยุงแขนสองข้างออกมาพบญาติ

รายงานข่าวแจ้งว่า จากกรณีที่ดีเอสไอระบุว่าเขาถือสัญชาติไทยนั้น เขายืนยันว่าเดินทางเข้าประเทศไทยด้วยหนังสือเดินทางสัญชาติอเมริกัน และไม่ได้ให้การยอมรับข้อกล่าวหาดังที่เป็นข่าว

ขณะที่กรณีสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ที่ถูกคุมขังด้วยข้อหาหมิ่นสถาบันฯ มาราว 1 เดือนและมีข่าวว่าเครียดจัดถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายนั้น ตัวแทนกลุ่มฯ ได้เข้าเยี่ยมเขาในวันนี้และแจ้งว่า สมยศไม่ได้คิดฆ่าตัวตายดังที่มีคนให้ข่าวกับสื่อมวลชนบางแห่ง หากที่ดูไม่สดใสและไม่ค่อยพูดกับผู้มาเยี่ยมจนมีการตีความผิดๆ ก็เพราะป่วยด้วยโรคประจำตัวคือเก๊าท์ และกังวลเกี่ยวกับแผลติดเชื้อที่ขาซึ่งลุกลามอย่างรวดเร็วขณะที่การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลภายในเรือนจำนั้นใช้เวลายาวนานและค่อนข้างยุ่งยาก อย่างไรก็ตามเมื่อผู้บัญชาการเรือนจำทราบเรื่องก็ได้จัดหายาให้แล้ว

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เกิดระเบิดข้างเวทีพันธมิตรฯ เจ็บสาหัส 1 ราย

Posted: 31 May 2011 12:35 PM PDT

บึ้มหลังเวทีปราศรัยของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เบื้องต้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย อาการค่อนข้างหนัก 1 ราย

เมื่อเวลาประมาณ 22.40 น. วานนี้ (31 พ.ค.) มีผู้โยนระเบิดเข้าใส่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ หลังเวทีปราศรัยของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เบื้องต้นมีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย อาการค่อนข้างหนัก 1 ราย เป็นพ่อค้าขายไอศครีม ถูกสะเก็ดระเบิดและไฟลวกตามตัว จากการตรวจสอบอาการเบื้องต้นพบว่าถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณลำแข้ง มีแผลใต้เข่าลงมา คาดว่ากระดูกแตก ถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลวชิระแล้ว และคาดว่าต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลหลายวัน อีกคนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยตามเนื้อตัว เมื่อทำแผลเสร็จแพทย์ให้กลับบ้านได้ ส่วนอีกคนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยไม่ถึงกับต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล

ส่วนทรัพย์สินที่เสียหายจากแรงระเบิดครั้งนี้ เป็นรถจักรยานยนต์ถูกแรงระเบิดเสียหาย 1 คัน แต่เบื้องต้นเจ้าของรถจักรยานยนต์ยังไม่ปรากฏตัว

ที่มา: เรียบเรียงจาก เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ฟรีดอมเฮาส์ เรียกร้องรัฐบาลไทยปล่อยตัวผู้ต้องหาคดีหมิ่นฯ รายล่าสุด

Posted: 31 May 2011 10:21 AM PDT

ฟรีดอมเฮาส์ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปล่อยตัว ผู้ต้องหาชาวไทย-อเมริกันคดีหมิ่นฯ รายล่าสุด ยืนยัน ประชาชนไทยต้องสามารถวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้อย่างเสรี

31 พ.ค. 54 - แถลงการณ์ออกโดยองค์กรฟรีดอมเฮาส์เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2554 แถลงว่า สืบเนื่องจากกรณีของโจ กอร์ดอนที่ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2554 ในข้อหา ยั่วยุให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน และกระทำผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และภายหลังถูกปฏิเสธไม่ให้ประกันตัวนั้น ฟรีดอมเฮาส์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปล่อยตัวนายกอร์ดอน และยืนยันว่าประเทศไทยต้องให้ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้อย่างเปิดเผยและไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะถูกลงโทษ

ในแถลงการณ์ยังระบุว่า รัฐบาลไทยใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและพรบ.ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ เพื่อเล่นงานคนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นนักเคลื่อนไหว นักวิชาการ นักศึกษา นักข่าว นักเขียน รวมถึงนักการเมือง โดยมีโทษจำคุกเป็นเวลาสิบปีขึ้นไป และมีการดำเนินคดีข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นจำนวนกว่าร้อยรายต่อปี นอกจากนี้ ยังได้ยกตัวอย่างกรณีของนายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล เว็บมาสเตอร์ของเว็บไซต์นปช.ยูเอสเอ ที่ถูกตัดสินจำคุก 16 ปีในข้อหาหมิ่นฯ และกระทำผิดพรบ.คอมพิวเตอร์ด้วย

ฟรีดอมเฮาส์เป็นองค์กรนานาชาติที่ทำงานวิจัยและรณรงค์ด้านเสรีภาพทางการเมือง และสิทธิมนุษยชน ก่อตั้งเมื่อปี 2494 และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่วอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ในต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ฟรีดอมเฮาส์ได้เปิดตัวรายงานว่าด้วยเสรีภาพสื่อโลกประจำปี 2554 และจัดให้ไทยเป็นประเทศ”ไม่เสรี” ซึ่งลดอันดับลงมาจาก “กึ่งเสรี”

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รายงาน: ยุบโรงเรียน (ขนาดเล็ก) ของชุมชนทำไม?! เสียงสะท้อนจากชาวบ้าน ครู และ อปท. (2)

Posted: 31 May 2011 09:49 AM PDT

“รัฐมีนโยบายเปิดมหาวิทยาลัยราชภัฎทุกจังหวัด แต่กลับมาไล่ยุบโรงเรียนในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ อย่างนี้แล้วเด็กนักศึกษาจะเรียนครูไปทำไม”

“โรงเรียนคงจะเปิดดำเนินการไม่ได้ ถ้าคนในชุมชนไม่ยืนยันอย่างหนักแน่นว่ามีความต้องการโรงเรียน และพร้อมเข้ามาหนุนช่วยกันด้วย”

“เพราะฉะนั้น ถ้าหากครูยังคิดว่าโรงเรียนเป็นของชุมชนและพากันออกมาเรียกร้องต่อสู้ร่วมกับชาวบ้าน ก็น่าจะช่วยหยุดยั้งไม่ให้โรงเรียนถูกยุบได้ แต่ถ้าถูกยุบไปแล้วโอกาสที่จะฟื้นคืนกลับมานั้นคงยาก เหมือนกับชุมชนบ้านดอนของผม เราจะไม่ได้เห็นเด็กวิ่งเล่นในชุมชน และจะไม่ได้ยินเสียงเพลงชาติไทยอีกต่อไป”

นั่นคือเสียงสะท้อนบางส่วนในวงเวทีวิเคราะห์ปัญหาและข้อเสนอแนะทางออกของโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งทางสภาการศึกษาทางเลือก ได้จัดขึ้นที่ห้องประชุมโรงแรมศิรินาถการ์เด้นท์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังมีข่าวว่า ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้ออกมาประกาศนโยบาย ให้มีการยุบโรงเรียนขนาดเล็กในสังกัด ซึ่งมีทั้งหมดทั้งสิ้น 14,397 โรง ทั่วประเทศ ทำให้หลายกลุ่มหลายฝ่ายที่อาจได้รับผลกระทบต่อนโยบายจากข้างบนครั้งนี้ ต่างหวั่นวิตกกันไปตามๆ กัน โดยเฉพาะกลุ่มครู องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชาวบ้านผู้ปกครองเด็กนักเรียนในชุมชนซึ่งจะได้รับผลกระทบโดยตรง

ที่สำคัญและน่าสนใจก็คือ ในวงเสวนาดังกล่าว ยังได้มีการเชิญตัวแทนชาวบ้าน ชุมชนในแต่ละพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกยุบ โรงเรียนขนาดเล็กไปก่อนหน้านั้น ชุมชนที่ถูกยุบแล้วได้ต่อสู้จนได้โรงเรียนกลับคืนมา รวมทั้งโรงเรียนที่ชาวบ้านได้ร่วมกันตั้งขึ้นมาเอง

และนี่คืออีกหนึ่งกรณีที่ชุมชนท้องถิ่นถูกนโยบายรัฐยุบโรงเรียนขนาดเล็กไปแล้ว

สมบัติ สุขคีรี ผู้ใหญ่บ้านบ้านดอน ตำบลวังสรรพรส อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ได้บอกเล่าถึงสาเหตุที่มาว่าทำไมถึงโรงเรียนในหมู่บ้านถึงถูกยุบให้ฟังอย่างน่าสนใจว่า ชุมชนบ้านดอน เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งในอีกหลายชุมชนที่มีชะตากรรมอันขมขื่นในการจัดการระบบการศึกษาของรัฐที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เมื่อโรงเรียนซึ่งเคยเป็นที่บ่มเพาะความรู้ของคนในชุมชนต้องถูกยุบไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งก็มีอยู่หลายสาเหตุปัจจัยที่ทำให้โรงเรียนต้องล่มสลายไป

“ชุมชนของผมตอนนี้ โรงเรียนได้ถูกยุบไปแล้ว ซึ่งสาเหตุนั้นก็มีหลายประการ เนื่องจากชุมชนบ้านดอนนั้นเคยเป็นพื้นที่ทำเหมืองพลอย ประชากรส่วนใหญ่จึงมาจากหลายทิศหลายทาง แต่พอทรัพยากรหมด เหมืองพลอยปิดไป ผู้คนก็เริ่มพากันโยกย้ายออกไป เด็กนักเรียนก็ลดลง ครูก็ต้องย้ายไปที่อื่น จนเหลือครู 1 คน กระทั่งโรงเรียนถูกยุบไปเมื่อปี 2542ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบตามมา เพราะต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการส่งลูกหลานไปเรียนข้างนอก ทั้งค่าเรียน ค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่างๆ”

รายงาน: ยุบโรงเรียน (ขนาดเล็ก) ของชุมชนทำไม?! เสียงสะท้อนจากชาวบ้าน ครู และ อปท. (2)

กระทั่ง ผู้ใหญ่บ้านสมบัติ พยายามเรียกร้องต่อสู้เพื่อขอฟื้นคืนโรงเรียนชุมชนของตนกลับคืนมา จนได้ร่วมกับคณะ ซึ่งเป็นชาวบ้านได้ร่วมกันทำงานวิจัย ของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ขึ้นมา ‘โครงการการศึกษาแนวทางฟื้นคืนโรงเรียนระดับประถมและสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของชุมชนบ้านดอน อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี’ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถเปิดโรงเรียนขึ้นมาใหม่ได้ หากทำได้ก็แต่เพียงการนำโรงเรียนร้างนั้นมาจัดเป็นศูนย์การเรียนชุมชน เพื่อจัดกิจกรรมเสริมสร้างทักษะความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นแทนในขณะนี้

“เพราะฉะนั้น กรณีที่ในขณะนี้หลายโรงเรียนยังไม่ถูกยุบ ก็ถือว่าดีที่ยังมีลมหายใจที่จะเรียกร้องต่อสู้อยู่ถ้าหากครูบาอาจารย์ที่ยังคิดว่าโรงเรียนเป็นของชุมชนและพากันออกมาเรียกร้องต่อสู้ร่วมกับชาวบ้าน ก็น่าจะช่วยหยุดยั้งไม่ให้โรงเรียนถูกยุบได้ แต่ถ้าถูกยุบไปแล้วโอกาสที่จะฟื้นคืนกลับมาได้นั้นคงยาก เหมือนกับชุมชนบ้านดอนของผม เราจะไม่ได้เห็นเด็กวิ่งเล่นในชุมชน และจะไม่ได้ยินเสียงเพลงชาติไทยอีกต่อไป”

ผู้ใหญ่บ้านสมบัติ ยังบอกอีกว่า “รัฐมีนโยบายเปิดมหาวิทยาลัยราชภัฏทุกจังหวัด แต่ขณะเดียวกัน กลับมาไล่ยุบโรงเรียนในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ อย่างนี้แล้วเด็กนักศึกษาจะเรียนไปทำไม”

รายงาน: ยุบโรงเรียน (ขนาดเล็ก) ของชุมชนทำไม?! เสียงสะท้อนจากชาวบ้าน ครู และ อปท. (2)

ในขณะที่บางชุมชน นั้นยังมีโรงเรียนขนาดเล็กอยู่ในหมู่บ้าน แต่ชาวบ้านไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม

ตัวแทนชาวบ้านจากหมู่บ้านห้วยหอย อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นชุมชนชนเผ่าปกาเกอะญอ หรือกะเหรี่ยง ได้บอกเล่าให้ฟังว่า ยอมรับว่าจำนวนเด็กในหมู่บ้านนั้นลดลง แต่มีอีกเรื่องหนึ่ง คือ ชาวบ้านสนใจอยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน อยากเข้าไปเป็นครูภูมิปัญญาชาวบ้าน เราอยากเข้าไปสอนให้เด็กเรียนรู้เรื่องชีวิต เรื่องจิตวิญญาณ

“พอเราเสนอเข้าไป แต่ครูจะอ้างว่า ไม่มีงบประมาณจ้างสอน ทำให้เด็กนักเรียนที่ไปโรงเรียนนั้นเปลี่ยนไป ไม่มีจิตสำนึก ไม่มีจิตวิญญาณ ชอบเถียงพ่อแม่ ในขณะที่ครูก็มัวแต่ทำผลงาน ไม่ได้สนใจเด็กๆ บางครั้งจึงเห็นเด็กๆ เดินไปไม่ถึงโรงเรียน จะแวะเข้าไปในป่าในไร่ ไปเล่นอยู่ตามต้นไม้แทน”

ตัวแทนชาวบ้านห้วยหอย ยังได้วิตกกังวลกรณีถ้าโรงเรียนจะถูกยุบ ตามนโยบายของรัฐว่าถ้าจำนวนของเด็กนักเรียนลดลงกว่าที่นโยบายรัฐกำหนด ว่า ชุมชนจะต้องได้รับผลกระทบอย่างหนัก

“เพราะว่าฐานะทางบ้านส่วนใหญ่นั้นยากจน คงจะไม่สามารถพาเด็กไปเรียนที่อื่นได้ และหมู่บ้านห้วยหอยนั้นตั้งอยู่ห่างไกล ถ้าจะให้เด็กไปเรียนในโรงเรียนข้างนอก ต้องใช้เวลาเดินทางไป-กลับ ประมาณ 20 กิโลเมตร ซึ่งถ้าเอาเด็กนักเรียนไปนอนค้างโรงเรียนอื่น ก็จะเกิดปัญหาครอบครัวตามมาอย่างแน่นอน ต้องขาดความอบอุ่น เพราะเคยอยู่กับพ่อแม่ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง ยิ่งน่าเป็นห่วง”

รายงาน: ยุบโรงเรียน (ขนาดเล็ก) ของชุมชนทำไม?! เสียงสะท้อนจากชาวบ้าน ครู และ อปท. (2)

รายงาน: ยุบโรงเรียน (ขนาดเล็ก) ของชุมชนทำไม?! เสียงสะท้อนจากชาวบ้าน ครู และ อปท. (2)

อีกหนึ่งโรงเรียน ที่ชาวบ้านร่วมกับองค์กรจัดการศึกษา ได้ร่วมกันก่อตั้งขึ้นมา จนกลายเป็นอีกหนึ่งของการจัดการศึกษาทางเลือกในขณะนี้

‘โจ๊ะมาโลลือหล่า บ้านสบลาน’ เกิดขึ้นมา เนื่องมาจากมูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณ ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดการศึกษาเพื่อสร้างคนให้พัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ได้นำคณาจารย์ ครู นักศึกษาปริญญาโท นักเรียน ไปเรียนรู้ที่บ้านสบลานให้มีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้ทางจิตวิญญาณจากชุมชนป่าต้นน้ำที่มีวิถีชีวิตและภูมิปัญญาในการพึ่งพาตนเองและอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน เป็นแหล่งเรียนรู้ ซึ่งก่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างเป็นองค์รวมไปสู่การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนจากภายใน ทำให้มีโอกาสได้รับรู้ปัญหาเรื่องการศึกษาของชุมชนบ้านสบลาน ที่เด็กๆต้องไปโรงเรียน ซึ่งห่างจากหมู่บ้านไปตามป่าเขาอีกประมาณ 7-8 กิโลเมตร จึงต้องไปอยู่ประจำที่หอพักตั้งแต่ยังเล็ก ส่งผลให้เกิด ปัญหา ตามมามากมาย ทั้งปัญหาด้านการเรียน ขาดความอบอุ่น อันตรายจากการเดินทาง โรงเรียนอยู่นอกชุมชน ทำให้ปรับกระบวนการเรียนรู้ให้เชื่อมโยงกับชีวิตได้ยาก ส่งผลให้ผู้เรียน ไม่เห็นคุณค่าของวิถีชีวิตและภูมิปัญญาในชุมชน ไม่สามารถนำความรู้มาพัฒนาตนเองและชุมชน เป็นเหตุให้ชุมชนอ่อนแอลง สูญเสียรากฐานทางวัฒธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น แม้วิถีในการรักษาป่าและต้นน้ำก็อาจสูญหาย ส่งผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมต่อไป

จากปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ทำให้มูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณ ได้ตระหนักถึงคุณค่าการศึกษาของเยาวชน ซึ่งจะเป็นผู้สืบสานและอนุรักษ์ธรรมชาติ วิถีชีวิตและภูมิปัญญาในการพัฒนามนุษย์อย่างเป็นองค์รวม ด้วยจิตสำนึกในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ป่าและน้ำ ให้แก่สังคมไทยและโลกจึงได้จัดทำโครงการงานวิจัยและพัฒนาการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตชนเผ่าปกาเกอะญอ กรณีศึกษา ชุมชนปกาเกอะญอ บ้านสบลาน จังหวัดเชียงใหม่ โดยประสานความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆในทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน สร้างศูนย์การศึกษาและจัดทำโครงร่างหลักสูตรร่วมกับชุมชน เพื่อเปิดดำเนินการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตให้กับนักเรียนในชุมชนบ้านสบลาน โดยมีชื่อว่า ‘โจ๊ะมาโลลือหล่า’ หรือหมายถึง ‘โรงเรียนวิถีชีวิต’

จนกระทั่งดร.สมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้เดินทางมาเปิดศูนย์การศึกษาพิเศษโจ๊ะมาลือหล่าบ้านสบลาน(โรงเรียนบ้านแม่ลานคำ) เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2553 ที่ผ่านมา

แต่กว่าจะมาเป็น โจ๊ะมาโลลือหล่า ได้นั้น ต้องผ่านอุปสรรคปัญหามาอย่างหนักหน่วง ด่านแรก นั่นคือ กรอบแนวคิดของโรงเรียนขนาดใหญ่ในพื้นที่รับผิดชอบ กับเขตการศึกษา ในช่วงเริ่มต้นนั้นยังไม่ค่อยยอมรับแนวคิดนี้

อรพินท์ กุศลรุ่งรัตน์ ครูศูนย์การศึกษาพิเศษโจ๊ะมาโลลือหล่า บ้านสบลาน อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ บอกว่า สาเหตุที่ไปเปิดโรงเรียนนี้ขึ้นมาก็เพราะต้องการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

“คือตอนแรกนั้น ทางเขตการศึกษา เขาคงไม่อยากยุ่งยากมากกว่านี้ ที่จะต้องเปิดโรงเรียนขนาดเล็ก และคงกลัวว่าเราจะไม่จัดการเรียนการสอนให้ครบ 8 สาระ ซึ่งจะมีผลต่อการประเมินผลของครู ซึ่งจริงๆ แล้ว เราได้สอนครบทั้ง 8 สาระ เหมือนกับโรงเรียนทั่วๆไป แต่ยังได้มีการบูรณาการหลักสูตรให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต ภูมิปัญญาของคนในชุมชนอีกด้วย

ในขณะเดียวกัน ตัวแทนครู ก็บอกว่า อีกปัญหาหนึ่งกำลังเกิดกับชาวบ้านในชุมชน คือ เริ่มมีการเปรียบเทียบกับโรงเรียนข้างนอก จนทำให้ผู้ปกครองหลายคนเริ่มหวั่นไหว ไม่อยากส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียนในชุมชนของตน มีผู้ปกครองบางคนมองว่า ถ้าเรียนโรงเรียนขนาดเล็ก จบมาจะต้องไปเลี้ยงควาย ทำให้ไม่อยากส่งลูกไปเรียน ต้องออกไปเรียนโรงเรียนข้างนอกเท่านั้น ซึ่งหากเป็นอย่างนี้ อาจทำให้ชุมชนถูกสั่นคลอน และอาจทำให้วัฒนธรรม วิถีชีวิตนั้นเปลี่ยนไปได้

อย่างไรก็ตาม ทางครูโรงเรียนโจ๊ะมาโลลือหล่า ก็ได้ประสานงานกับทางเขตการศึกษาฯ จนเปิดดำเนินการได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะเปิดหรือไม่ให้เปิดโรงเรียนในชุมชนนั้น ต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของคนในชุมชนเป็นหลัก

“โรงเรียนคงจะเปิดดำเนินการไม่ได้ ถ้าคนในชุมชนไม่ยืนยันอย่างหนักแน่นว่ามีความต้องการโรงเรียน และพร้อมเข้ามาหนุนช่วยกันด้วย”

ตัวแทนครู ยังบอกอีกว่า การจะเปิดโรงเรียนบนดอยนั้น ส่วนมากจะติดปัญหาอุปสรรคในเรื่องกรณีที่ดินสร้างโรงเรียนนั้นไม่มีเอกสารสิทธิ์ และเนื้อที่ไม่ได้ขนาดเท่าที่ระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้อีก ซึ่งอาจทำให้เป็นข้ออ้างไม่ให้เปิดโรงเรียนได้

ตอนหน้า - - ติดตามแนวทางแก้ไข ทางออกและข้อเรียกร้อง ของชาวบ้าน ครูและองค์กรท้องถิ่นต่อนโยบายการศึกษาของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

ข้อมูลประกอบ
http://www.soblarn.org/home

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ข่าวและภาพ 1 เดือน 'สมยศ' ไม่ได้ประกันตัว

Posted: 31 May 2011 09:39 AM PDT

บรรยากาศการรำลึก 1 เดือนการจับกุมตัว สมยศ พฤกษาเกษมสุข ชี้ความคับแค้นจากการอ้างเหตุห้ามประกันตัวไม่เป็นธรรม

เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2554 หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กลุ่มคนเสื้อแดงและสมาชิกกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยร่วมกันวางดอกไม้รำลึกถึงคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ถูกจับกุมในข้อหา 112 ในวาระครบรอบ 1 เดือนของการจับกุมตัว มีการปล่อยนกพับสีแดงเป็นเครื่องหมายเพื่อแสดงถึงสิทธิ เสรีภาพ ของความเป็นมนุษย์ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ได้สิทธิในการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีเนื่องจากคดียังไม่มีคำพิพากษา ย่อมถือว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริสุทธิ์และต้องได้รับสิทธิในการประกันตัว

สืบเนื่องมาจากกรณีที่คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข ถูกจับกุมที่ด่านชายแดน-กัมพูชา ขณะประกอบธุรกิจพานักท่องเที่ยวทัวร์ประเทศกัมพูชาเป็นปกติ ซึ่งได้ดำเนินการมาเป็นครั้งที่ 5 แล้ว โดยการที่ถูกจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นทั้งๆ ที่เป็นการเข้า-ออก ช่องทางตามปกติของผู้ผ่านแดนทั่วไป แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่นำไปอ้างว่าทำการหลบหนีออกนอกประเทศ

นายทรงชัย วิมลภัตรานนท์ ประธานกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ได้กล่าวถึงเรื่่องนี้ว่าจะต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคุณสมยศ และผู้ถูกกล่าวหาทุกคนที่ไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด โดยเริ่มแรกก็จะมีการชุมนุมหน้าเรือนจำทุกวันในช่วงเย็นเพื่อเรียกร้องเรื่องสิทธิการประกันตัว และการแยกขังนักโทษการเมืองกับนักโทษทั่วไปเพื่อความปลอดภัย เพราะผู้ถูกกล่าวหานั้นยังถือว่้าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ อีกทั้งคุณสมยศ และคุณสุรชัย มีโรคประจำตัวควรได้รับการดูแลเยี่ยงมนุษย์ปุถุชนพึงกระทำ

ข่าวและภาพ 1 เดือน 'สมยศ' ไม่ได้ประกันตัว

ข่าวและภาพ 1 เดือน 'สมยศ' ไม่ได้ประกันตัว

ข่าวและภาพ 1 เดือน 'สมยศ' ไม่ได้ประกันตัว

ข่าวและภาพ 1 เดือน 'สมยศ' ไม่ได้ประกันตัว

ข่าวและภาพ 1 เดือน 'สมยศ' ไม่ได้ประกันตัว

ข่าวและภาพ 1 เดือน 'สมยศ' ไม่ได้ประกันตัว

ข่าวและภาพ 1 เดือน 'สมยศ' ไม่ได้ประกันตัว

ข่าวและภาพ 1 เดือน 'สมยศ' ไม่ได้ประกันตัว

ข่าวและภาพ 1 เดือน 'สมยศ' ไม่ได้ประกันตัว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สมบุญ สีคำดอกแค: แพทย์ทำไมละเมิดสิทธิคนงานอย่างนี้

Posted: 31 May 2011 07:58 AM PDT


ภาพจาก ernstl (CC BY-SA 2.0)     

 

การรับเรื่องราวร้องทุกข์ของสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทยในวันนี้เราได้ยินจากปากคนงานจากการสอบถามข้อเท็จจริง มีคนงานกรณีหนึ่ง ปัญหาของคนงานที่ทำงานในโกดังสินค้าชื่อดังที่เปิกองทุนเงินทดแทนดสาขาทั่วประเทศ ใครจะรู้ว่าคนงานที่ต้องมีหน้าที่แบกขนของตามใบสั่งของหัวหน้างานวันหนึ่งๆ เป็นร้อยๆ ชิ้น ตามใบสั่ง ของที่ต้องขนยกนั้น มีทั้งหนักบ้างเบาบ้าง เช่น บางครั้งก็ต้องแบกกล่องกระดาษ แบกยกโทรทัศน์เครื่องใหญ่ ตู้เย็น ที่มีน้ำหนักมาก จนคนงานเกิดอาการปวดหลังจำนวนมาก

"อักษร" ได้เข้ามาปรึกษากับสภาเครือข่ายฯ และได้รับคำแนะนำจนได้เข้ารับการวินิจฉัยกับคลินิกโรคจากการทำงาน(คลินิกแพทย์อาชีวเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อม) แพทย์ได้วินิจฉัยอาการตามคำบอกเล่าและการสอบประวัติการรักษาอย่างละเอียด แพทย์ได้ระบุชัดเจนในใบรับรองแพทย์ว่า นายอักษรปวดหลังและกล้ามเนื้อโครงสร้างกระดูก เพราะเกิดจากการยกของหนักจากการทำงาน

อักษรส่งเรื่องเข้าใช้สิทธิทางกองทุนเงินทดแทน ซึ่งกองทุนเงินทดแทนก็ใช้ระยะเวลาวินิจฉัยถึง 6 เดือน ผลการวินิจฉัยออกมาว่า อักษรเป็นโรคสืบเนื่องจากการทำงาน ด้วยความไม่รู้ อักษรไป รพ.ตามสิทธิประกันสังคม โดยเอาผลการวินิจฉัยของกองทุนเงินทดแทน และใบรับรองแพทย์จากคลินิกโรคจากการทำงาน ไปให้ รพ.ในประกันตนดูด้วย แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า คนงานได้ไปพบแพทย์ ใน รพ.ที่ประกันตน แพทย์กลับไม่ยอมระบุในใบรับรองแพทย์ตามคำวินิจฉัยของกองทุนเงินทดแทนและคลินิคโรคจากการทำงาน เจ้าหน้าที่ว่ากล่าวคนงานว่า "คุณจะเอาอะไร ให้เข้าประกันสังคมไปซะ" แล้วก็จัดการส่งเรื่องของอักษรส่งกลับไปใช้สิทธิเข้าประกันสังคม เป็นการป่วยนอกงาน ซึ่งไม่ใช่ความต้องการของคนงานเลย ทำให้อักษรรู้สึกงงงวยว่า ตนเองมีสิทธิอยู่กับกองทุนแล้วทำไมถูกผลักไปใช้สิทธิประกันสังคมซึ่งเป็นการป่วยนอกงานไป อักษรถามว่าผมจะเสียสิทธิไหมนี่

นอกจากนี้ อักษรพยายามขอใบรับรองแพทย์กลับมาเก็บไว้เป็นหลักฐานที่ได้ป่วยรักษาตัวเป็นคนไข้ในแต่ถูกปฎิเสธ ทั้งๆ ที่ยืนยันว่าต้องการขอใบรับรองแพทย์ อักษรเล่าว่าต้องทนตื้ออยู่นานจึงได้ใบรับรองแพทย์กลับมา แล้วแพทย์ก็ไม่ยอมออกใบรับรองแพทย์ให้ลาหยุดต่อเนื่องอีก เพียงแต่เขียนว่าวันนี้คนไข้ได้มาพบแพทย์ ทั้งที่อักษรยังเจ็บปวดมาก ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ทั้งที่เป็นสิทธิที่คนงานพึงจะได้รับตามกฎหมาย เพราะกฎหมายกองทุนเงินทดแทน เปิดให้คนงานมีสิทธิหยุดพักรักษาตัวโดยได้สิทธิทดแทนการลาหยุดงานถึง 1 ปีโดยได้รับค่าจ้าง 60% ของรายได้ และเป็นหน้าที่ของแพทย์ที่จะต้องออกใบรับรองแพทย์ให้กับคนงาน

อักษรสงสัยว่าทำไมการเจ็บป่วยจากการทำงานมันจึงได้เข้าถึงสิทธิยากเย็นเช่นนี้ อย่างนี้นี่เองเพื่อนๆ ถึงยอมเจ็บตัวฟรี อักษรรู้สึกเครียดมากและรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมในการปฎิบัติ ทั้งของแพทย์และของที่ทำงานที่ตนอยู่ แต่อักษรก็ห่วงอนาคตตนเองว่า ถ้าไม่ได้พักรักษาตัวตอนนี้ คงต้องเป็นคนพิการต่อไปแน่ๆ ทั้งยังห่วงเพื่อนๆ ในที่ทำงานที่เขาเจ็บป่วยปวดหลังกันมาก แต่ยังต้องกัดฟันทนทำงานต่อไป และถ้าใครทนไม่ได้ก็ต้องลาออกไปเอง โดยไม่ได้รับสิทธิอะไรเลย

ที่สำคัญก็คือถ้ายังเป็นอย่างนี้คนงานจำนวนมากก็คงต้องเวียนวนป่วยปวดหลังแบบนี้แล้วก็พิการออกไป บางครั้งเราเห็นพี่น้องคนงานที่ขนของลงจากรถที่บรรทุกของมาส่งตามร้านสะดวกซื้อต่างๆ พอรถเทียบปุ๊บ คนงานที่ขนของซึ่งมีเพียง 1 หรือ 2 คนก็จะหันหลังให้คนบนรถและเรียงสิ่งของใส่หลังจนท่วมหัว แล้วก็แบกของ บางครั้งก็เป็นน้ำดื่มหรือรังกล่องต่างๆ เอาเข้าไปเก็บ ขนอยู่อย่างนั้นจนพอแล้วก็ออกรถไปส่งที่อื่นอีก ก็เลยอยากฝากผ่านมายังพี่น้องคนงานทั้งหลายที่ต้องทำงานในลักษณะนี้ว่า มันสะดวกต่อการขนของก็จริงแต่ถ้าต้องขนแบบนี้ต่อไปโดยไม่มีรถเข็นหรือเครื่องทุ่นแรงต่อแบบนี้ไปนานๆ สักปี 2 ปี กระดูกสันหลัง แขน บ่า ไหล่ จะแย่ อาจเป็นอย่างอักษรก็ได้

อยากให้สถานประกอบการนายจ้างมองปัญหาตรงนี้ด้วย ควรป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่า เพราะการร้องเรียนผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์สภาเครือข่ายฯช่วงนี้กรณีคนงานปวดหลังกันมากเหลือเกินในทุกๆ อุตสาหกรรม

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จดหมายเปิดผนึก (เปิดใจ)... ถึงอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ (กรณีวิพากษ์ TCIJ)

Posted: 31 May 2011 06:17 AM PDT

สวัสดีค่ะ อาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์

ก่อนอื่นก็อยากขอบคุณอาจารย์ด้วยใจจริงค่ะที่เขียนถึง TCIJ. (ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง) อย่างทันทีทันควัน อันแสดงว่า อาจารย์ติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่ทุกขณะ ที่สำคัญคือ มองเห็นว่า เว็บไซต์ TCIJ. ไม่ใช่เว็บไซต์ดาดๆ ธรรมดาที่เพียงแต่อาศัยพื้นที่สื่อสารของสาธารณะมาตอบสนองความอยากทำเป็นส่วนตัว เพราะข้อท้วงติงของอาจารย์ แสดงชัดถึงความใส่ใจในปัญหาของบ้านเมือง แม้ว่าอาจารย์จะยังคงมองผ่านแว่นสายตาของอาจารย์ใจเองก็ตาม

ประเด็นที่จะท้วงติงอาจารย์ดังต่อไปนี้ ไม่ใช่การท้วงติงตัวของใจ อึ๊งภากรณ์ ในฐานะส่วนบุคคล หากแต่เป็นการท้วงติงแนวคิดหรือวิธีคิด ที่อาจารย์ใจได้กล่าวถึง TCIJ. ค่ะ 

1. การด่วนตัดสินว่า TCIJ. เป็นสื่ออำมาตย์ หรือค่อนไปในทางเป็น ”พวกเสื้อเหลือง” 
หลายปีมานี้ สังคมไทยจ่อมจมอยู่ใน ”การกล่าวหา” ว่าคนนี้เป็นสีนั้นและคนนั้นเป็นสีนี้ จนแทบทำให้สังคมไทยและชีวิตของผู้คนไม่เหลือมิติอื่นใดอีกนอกจากมิติการเมืองและการหมกมุ่นโต้แย้งแก่กัน ทั้งที่ในความเป็นจริง การแสดงจุดยืนทางการเมืองและความเห็นต่อสถานการณ์หนึ่งๆ นั้น เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ และกระแสครอบงำต่างๆ   เราจึงได้เห็นคนที่เคยใส่เสื้อเหลืองเฝ้าดูแต่ ASTV จำนวนไม่น้อย หันมาปรับเปลี่ยนท่าทีหรือแม้กระทั่งเลิกใส่เสื้อสีเหลือง หันไปใส่เสื้ออีกสีหนึ่งแทนหรือเลิกใส่เสื้อสีไปเสียเลยก็มี

อย่างไรก็ดี ท่าทีต่อสถานการณ์เป็นคนละอย่างกับจุดยืนและโลกทัศน์ทางการเมือง ซึ่งแท้จริงแล้ว คนที่ลุกขึ้นใส่เสื้อสีใดสีหนึ่งในห้วงหลายปีมานี้ ล้วนกำลังใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตย จนกล่าวได้ว่า คนเสื้อสองสี แสดงการยืนยันโลกทัศน์และจุดยืนของเขา ( ที่เพียงแต่ “ไม่เหมือน” กับเรา)   เช่นกับที่อาจารย์ใจกำลังยืนยันถึงจุดยืนและโลกทัศน์ของตนอยู่เช่นกัน

การใส่เสื้อสีอะไรจึงไม่ได้เป็นปัญหาในตัวของมันเอง หากแต่มันเป็นปัญหาเพราะถูกใช้เป็นเครื่องมือและสัญลักษณ์ในการกีดกันคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองต่างออกไปให้เป็น ”คนอื่น” หรือ ”ไม่ใช่พวกเรา” แม้กระทั่งเป็นพวกที่สมควรต้องถูกเกลียดชังกำจัดออกไป

ประเด็นที่น่าเป็นห่วงจึงอยู่ที่ว่า การด่วนตัดสินของอาจารย์ใจในเรื่องนี้กำลังถูกผลักออกไปให้เป็นการด่วนตัดสินของสาธารณชน ที่อาจไม่ทันได้อ่านข่าวสารข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วนกระบวนความจาก TCIJ. ซึ่งก็ได้ประกาศอย่างชัดเจนในบทบรรณาธิการและ “เกี่ยวกับเรา” ไว้แล้ว เห็นได้จากข้อวิพากษ์ของอาจารย์ใจในทุกประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข่าวที่มุ่งเจาะนักการเมือง ซึ่งอาจารย์ใจพาดพิงว่า ทำไมเจาะแต่ถุงเงินคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แกนนำพรรคเพื่อไทย โดยที่อาจารย์ใจละเลยการพูดถึงข่าวเจาะของ TCIJ. ที่เปิดโปงทั้งถุงเงินและเครือข่ายของพรรคการเมืองถึง 4 พรรคด้วยกัน

นอกจากนี้ ที่อาจารย์ใจบอกว่า เว็บลิงค์ของ TCIJ. ค่อนไปในทางกลุ่มเว็บที่เป็นเสื้อเหลือง เช่น Siam intellegent หรือเว็บของ ปปช. สตง. นั้น   ขอเรียนโดยสัจจริงว่า ตัวดิฉันเองยังไม่เคยมองว่า Siam Intellegent เป็นของคนใส่เสื้อสีอะไร แม้จะเห็นชื่อกลุ่มคนทำเว็บตามที่เขาประกาศไว้ ก็เพียงแต่เห็นว่าเว็บนี้มีเนื้อหาสาระดี มีบทความเข้มข้น แล้วก็ประเมินเอาเองว่าคนอ่านเว็บ TCIJ. น่าจะเป็นกลุ่มคนอ่านคุณภาพเช่นเดียวกับของเขา จึงอยากให้คนที่เข้าเว็บเราได้ read more and more เท่านั้นเอง  ซึ่งก็เป็นการอ้างอิงเชื่อมต่อโดยเจ้าตัวเขาไม่รู้เรื่องเลยค่ะ

ในส่วนการทำเว็บลิงค์ถึง ปปช. สตง. ก็เช่นเดียวกัน ดิฉันเพียงแต่คิดว่า ในเมื่อกระแสข่าวใหญ่ช่วงนี้ของเราเป็นการเปิดข้อมูลนักการเมือง ก็อาจมีคนอยากรู้ข้อมูลในมิติต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องขยายผล เช่น ไปดูคดีเกี่ยวกับนักการเมืองที่ค้างอยู่ที่ ปปช.ถึง 4.000 กว่าคดี อีกอย่างหนึ่ง เว็บลิงค์ย่อมไม่ใช่ศิลาจารึก ความตั้งใจของ TCIJ. ก็คือ จะคอย up date เว็บลิงค์ โดยการปลดออกเพิ่มเข้าให้สอดคล้องกับกระแสข่าวใหญ่ที่เรานำเสนอในแต่ละช่วง 

2. ขอเล่าถึงจุดยืนและเป้าหมายการก่อเกิดของเว็บไซต์ TCIJ. ว่า มาจากงานวิจัยสื่อหนังสือพิมพ์ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาของดิฉัน ที่พบปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้ข่าวสืบสวนหายไปจากสื่อ ทั้งจากการเซ็นเซอร์ตัวเอง จากอำนาจธุรกิจ และการแทรกแซง คุกคาม จนมาถึงคำตอบสุดท้ายว่า เราต้องสร้างพื้นที่ใหม่ให้เป็นสื่อเสรีและเป็น ”ทางเลือก “ สำหรับคนที่ต้องการบริโภคข่าวสารคุณภาพ เป็น “พื้นที่ส่วนกลาง” ที่นักข่าวมืออาชีพจะได้ทำงานข่าวสืบสวนโดยปลอดจากอำนาจแทรกแซง

ดังนั้น ในฐานะที่เป็นสื่อมวลชน และเป็นสื่อที่ไม่ได้ทำมาค้าขายข่าว หากแต่อยากให้คนมาเสพข่าวของเราฟรีๆ มากๆ    TCIJ. จึงไม่มีธุรกิจมาชี้นำ และกล้าพูดได้ว่า เราจะทำหน้าที่สื่อที่พึงประสงค์ให้ได้มากที่สุด กล่าวคือ ซื่อสัตย์ต่อข้อมูลข้อเท็จจริงที่เป็นสิทธิการรับรู้ (right to know) ของประชาชน โดยการทำความจริง (ที่ถูกซุกซ่อน) ให้ปรากฏ ให้ความจริงและข้อมูลเป็นช่องทางของการเรียนรู้ ไม่ว่าความจริงนั้นจะถูกซุกซ่อนไว้โดยนักการเมือง  นักธุรกิจใหญ่ นักวิชาการ คนในเสื้อสีเหลือง คนในเสื้อสีแดง ฯลฯ และหากว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในข่าวจะโต้แย้งกล่าวหาว่าข่าวสารที่เรานำเสนอไม่เป็นความจริง เราก็ยินดีจะ “เปิดพื้นที่” ให้ผู้ตกเป็นข่าวได้มาแบ่งปันข้อมูล เปิดเผยข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งเพื่อโต้แย้ง เพราะนี่คือ พื้นที่สาธารณะ ที่ทุกคนมีสิทธิมีส่วนร่วมได้ 

นี่อาจเป็นเรื่องใหม่ที่อาจารย์ใจ ตัวดิฉัน สื่อมวลชนทั้งหลายและวิญญูชนจะได้มาร่วมกันพิสูจน์ความเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่ปราศจากอคติหรือคติครอบงำนี้... ร่วมกันค่ะ

3. ที่อาจารย์ใจด่วนตัดสิน TCIJ. ด้วยประเด็นการรับเงินสนับสนุนจาก สสส. นั้น ดิฉันได้ประกาศอย่างโปร่งใสไว้ในหน้าเว็บไซต์ “เกี่ยวกับเรา”แล้วว่า เราได้รับงบประมาณ 1 ปีแรกจาก สสส. แต่มีแผนงานที่จะพึ่งตัวเองโดยการหารายได้อย่างเหมาะสมในปีที่ 2 เป็นต้นไป (รบกวนอาจารย์ใจกลับไปอ่านนะคะ) ซึ่ง TCIJ.มีแผนธุรกิจและการพึ่งตัวเองที่เป็นไปได้หลายประการอยู่แล้ว   เพียงแต่ว่าเปิดเผยไม่ ได้ และหากว่าอนาคตข้างหน้าเราไม่สามารถจะพึ่งตัวเองได้จริงตามแผนงานที่วางไว้ TCIJ. ก็คงจำเป็นที่จะต้องหยุดตัวเองลงก็เท่านั้นเอง ซึ่งก็จะได้เป็นบทพิสูจน์ว่า ผู้บริโภคข่าวสารและสังคมไทยไม่ต้องการสิ่งนี้ !...  หรือไม่สักวันหนึ่งก็อาจมีใครหรือกลุ่มสื่อใดอยากทำงานข่าวสืบสวนให้เป็นพื้นที่สาธารณะแบบนี้ขึ้นมาอีกก็ได้ เราก็ได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว ในการเป็น “อิฐก้อนแรก” ที่จะถมทางสร้างถนนให้แก่แผ่นดินแม่ของเรา

อาจารย์ใจคะ น่าเศร้านะคะที่ชีวิตเราสองคนซี่งอยู่มาจนถึงใกล้บั้นปลายขนาดนี้ เพิ่งจะได้เห็นและเป็นอยู่ในบรรยากาศของบ้านเมืองที่วิกฤต ไร้อนาคตถึงเพียงนี้ ผู้คนต่างลดทอนพลังซึ่งกันและกัน เกลียดชังซึ่งกัน ระแวงสงสัยซึ่งกัน โดยมิพักต้องแสวงหา “ความจริง”อะไรเลย และโดยไม่ตั้งคำถามกับปัญหาใหญ่ที่อยู่ลึกไปกว่าปรากฏการณ์ที่ตามองเห็นและหูได้ยิน เราจึงต่างตกเป็นเหยื่อของผู้ชี้นำบ้านเมือง ปล่อยให้อำนาจอันไม่ชอบธรรมต่างๆ กลับเป็นฝ่ายเติบใหญ่เข้มแข็ง...มากกว่าประชาชนอย่างเราๆ
 

                                                                                              ด้วยจิตคารวะและน้ำใสใจจริง
                                                                                                       สุชาดา จักรพิสุทธิ์
                                                                                                     31 พฤษภาคม 2554

 

บทความอ้างอิง:  "ใจ อึ๊งภากรณ์" วิพากษ์เว็บ "ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง"

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ทักษิณ ให้สัมภาษณ์เอบีซีนิวส์ มั่นใจเพื่อไทยชนะขาดเลือกตั้ง

Posted: 31 May 2011 05:36 AM PDT

ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์แห่งชาติออสเตรเลีย (เอบีซี) มั่นใจ หากลงคะแนนพรุ่งนี้ เพื่อไทยชนะขาดแน่นอน

โดยผู้สื่อข่าวเอบีซีถามถามว่า เป็นไปได้อย่างที่พรรคเพื่อไทยซึ่งขณะนี้ เป็นพรรคฝ่ายค้าน จะชนะเลือกตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่าจากผลสำรวจของหลายสำนัก เขาเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยชนะได้เสียงข้างมาก โดยเขากล่าวว่า ความนิยมของพรรคเพื่อไทยขณะนี้สูงกว่าก่อนหน้าที่พรรคพลังประชาชนจะถูกยุบ ซึ่งขณะนั้นพรรคมีคะแนนเสียงในสภาอยู่ 230 เสียง หากการเลือกตั้งมีขึ้นในวันพรุ่งนี้เพื่อไทยจะชนะอย่างเด็ดขาด

เขากล่าวด้วยว่า พรรคเพื่อไทยนั้นพร้อมและเป็นฝ่ายเสนอแนวทางสมานฉันท์ แม้ว่าที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยจะเป็นเหยื่อของความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมาก็ตาม

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวถามถึงความเป็นไปได้ว่า แม้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งแต่ไม่ชนะขาด แต่ก็อาจจะไม่ได้ตั้งรัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์อาจจะสามารถตั้งรัฐบาลผสมได้จากการรวมตัวกับพรรคเล็ก ซึ่งน่าจะมีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง

ทักษิณกล่าวว่า เขายังคงมองโลกในแง่ดี เขาเชื่อว่า เพื่อไทยจะชนะขาดถ้าการเลือกตั้งเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ และตามหลักการประชาธิปไตยแล้ว พรรคที่ได้คะแนนเสียงข้างมากย่อมมีความชอบธรรมที่จะได้จัดตั้งรัฐบาลก่อน เว้นเสียแต่ว่าจะมีการใช้กำลังบังคับ ซึ่งก็จะสร้างความขัดแย้งในประเทศขึ้นมาอีกครั้ง

ทักษิณกล่าวปฏิเสธการเป็นผู้นำพรรค เพียงแต่อยากเห็นพรรคเพื่อไทยประสบความสำเร็จ และใช้ประสบการณ์ในฐานะที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี และประสบการณ์จากการเดินทางไปรอบโลกมาแนะนำแนวทางให้กับคนในพรรคเท่านั้น และพรรคเพื่อไทยก็มีทีมของตัวเองในการกำหนดนโยบาย และเขากล่าวว่า มีนโยบายหลายอย่างสำหรับกลุ่มคนที่หลากหลาย เช่น นโยบายด้านการศึกษา เยาวชน เป็นต้น

เขากล่าวยืนยันด้วยว่า นโยบายของเขาไม่ใช่แค่การนำเสนอเพื่อเรียกคะแนนนิยมเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้พรรคได้รับความนิยมก็เพราะ พรรคสามารถทำตามสิ่งที่พูด เช่น นโยบาย 1 หมู่บ้าน หนึ่งล้านบาท หรือนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค

สำหรับความเหมาะสมของยิ่งลักษณ์ ในฐานะที่เป็นผู้เข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ทักษิณกล่าวว่ายิ่งลักษณ์มีความเหมาะสมในแง่การศึกษา และประสบการณ์การทำงานกับองค์กรธุรกิจที่มีผลกำไรถึง 5,000 ล้านบาท และฐานะผู้หญิง ยิ่งลักษณ์ ก็มีความเหมาะสมในการทำงานเชิงสมานฉันท์

แม้ว่ายิ่งลักษณ์จะไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง แต่ทักษิณกล่าวว่า เขาเองก็เคยไม่มีประสบการณ์มาก่อนเช่นกัน และเธอเป็น “ตัวแทนของผม”

ทักษิณอธิบายความหมายที่เคยกล่าวว่าเธอคือ “โคลนนิ่ง” ของเขาว่า ยิ่งลักษณ์คือน้องสาวคนเล็กของเขา ซึ่งเขาส่งเสียให้เรียน สอน และฝึกฝนทักษะในการทำงานมาตลอด ดังนั้นคำว่า โคลนนิ่ง สำหรับเขาแล้ว หมายถึงการมาจากพื้นฐานเดียวกัน มีธรรมชาติที่เหมือนๆ กัน และมีทัศนคติเหมือนๆ กัน และเขากล่าวย้ำอย่างหนักแน่นด้วยว่า “ผมสนับสนุนเธอให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี”

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทักษิณต้องการการอภัยโทษใช่หรือไม่ เขาตอบว่า การสมานฉันท์เป็นความสำคัญอันดับแรก การอภัยโทษนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการสมานฉันท์ แต่สิ่งหนึ่งท่าสำคัญมากที่จะต้องทำในการสมานฉันท์ก็คือการ ปฏิรูปนิติรัฐ เพราะขณะนี้ประเทศไทยไม่ได้อยู่บนแนวทางนิติรัฐตามแนวปฏิบัติสากล และการปฏิรูปนิติรัฐไม่ใช่เพื่อเป้าหมายทางการเมืองเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวถามย้ำถึงความต้องการอภัยโทษ ทักษิณกล่าวตอบว่า “อย่ามาคิดเรื่องผมมากขนาดนั้น ได้โปรดสร้างความเป็นหนึ่งเดียวให้กับประเทศก่อน แล้วผมจะได้รับประโยชน์จากสิ่งนั้น ผมเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น”

เขากล่าวด้วยว่า ขณะนี้เขาลงตัวกับชีวิตและดำเนินธุรกิจมากมายนอกประเทศ และมีหลายสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว และเมื่อน้องสาวคนเล็กเข้าสู่ตำแหน่งนายกแล้วเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องกลับสู่ประเทศไทยในฐานะนายกอีก

ผู้สื่อข่าวถามว่า จริงหรือไม่ที่เขาต้องการกลับไทยภายในสิ้นปีนี้ เขาตอบว่าใช่เพราะเขาอยากกลับมาแสดงความจงรักภักดีในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระชนมายุครบ 84 พรรษา

เขากล่าวถึงอนาคตของตนเอง ว่าอยากจะสอนหนังสือ และทำธุรกิจของตัวเอง และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าไม่อยากกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกหรือเขากล่าวว่า ไม่จำเป็นในเมือน้องสาวคนเล็กของเขาจะดำรงตำแหน่งนั้นอยู่แล้ว และเงื่อนไขที่จะทำให้เขากลับไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็มีเพียงในกรณีที่เขาจะสามารถสร้างประโยชน์ให้ประเทศได้มากที่สุด และหากประเทศต้องการเขาเท่านั้น หากไม่เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลับไปดำรงตำแหน่งอีก

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทักษิณคือสัญลักษณ์ของคนเสื้อแดง เขาไม่คิดหรือว่าตัวเขาเองคือปัญหาที่สร้างความแตกแยก ความเกลียดชัง

เขาตอบว่า ต้องให้ความยุติธรรมแก่เขาด้วย เพราะระบบยุติธรรมสองมาตรฐานนั้นมีอยู่ ประชาชนเกลียดความไม่ยุติธรรม ไม่ชอบรัฐประหาร พวกเขาต้องการที่จะหยุดยั้งสิ่งที่เขาเกลียดชัง คุณต้องทำให้ระบบยุติธรรมดำเนินไปได้ และทำให้เกิดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องการ

เขากล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากการพิจารณาคดีของศาล ก็จะเห็นเองว่าระบบยุติธรรมไทยนั้นไม่ได้ดำเนินไปตามหลักกฎหมาย เพียงแต่รับใช้การเมืองเท่านั้น

เมื่อทหารทำการรัฐประหาร และประกาศนิรโทษกรรมให้ตัวเองได้ แต่ไม่มีทางที่รัฐบาลประชาธิปัตย์จะนิรโทษให้กับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ทั้งนี้ การนิรโทษกรรมก็เป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงเช่นกันว่าควรจะเป็นไปอย่างไร

อย่างไรก็ตาม ทักษิณกล่าวว่าในเบื้องต้น เสียงที่จะต้องฟังก็คือคนที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมือง เช่นคนที่บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต

ผู้สื่อข่าวถามถึงความรู้สึกส่วนตัวของทักษิณต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจากการสลายการชุมนุมเมื่อปีที่แล้ว เขากล่าวว่า เขาเสียใจมากต่อผู้เสียชีวิตทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมและทหาร และว่าไม่ควรมีสิ่งแบบนี้เกิดขึ้น เพราะเราคือคนไทย เราควรจะมีการเจรจา แต่การเจรจากลับไม่เกิดขึ้น และสิ่งที่รัฐบาลปฏิบัตินั้นมันไม่เป็นธรรม และมีแต่สร้างความโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

วาด รวี-ปราบดา ส่งจม.เปิดผนึกถึง นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รมว.กระทรวงวัฒนธรรม

Posted: 31 May 2011 12:28 AM PDT

 


ภาพโดย doskoi (CC BY-NC-SA 2.0)

 

 

เรียนท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม

ตามที่ท่านรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นต่อจดหมายเปิดผนึกเรื่องเรียกร้องให้มีการแก้ไขมาตรา 112 ลงวันที่ 19 พฤษภาคม ของนักเขียน โดยมีเนื้อข่าวสั้น ๆ ตามการรายงานของเว็บไซต์มติชนออนไลน์ดังนี้

"ผมไม่เคยเห็นมาตรา 112 ถูกหยิบมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และนักการเมืองกว่าร้อยละ 99 ก็ไม่มีปัญหากับมาตราดังกล่าว ผมเดินทางไปหลายประเทศที่เคยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ชาวบ้านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเสียดายที่ไม่มีสถาบันกษัตริย์แล้ว อยากจะรื้อฟื้นให้กลับมาใหม่ เพื่อจะเป็นประมุข รวมทั้งสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ กลับกันไทยยังมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ จึงสมควรมีมาตราดังกล่าวไว้ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์" นายนิพิฏฐ์กล่าว

นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า หากเราแก้ไขมาตรา 112 ให้ไปอยู่ในหมวดเดียวกับความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคล เชื่อว่าสุดท้ายก็อาจมีการเสนอให้แก้ไขลดโทษลง หรือแก้ให้ยอมความกันได้อีก ยิ่งข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ที่ให้แก้ไขให้สำนักราชเลขาธิการเป็นผู้ฟ้องร้องเอง ยิ่งทำให้เกิดปัญหา เพราะจะกลายเป็นว่าเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นคู่กรณีกับชาวบ้าน การให้ชาวบ้านฟ้องร้องเองได้ถ้าพบเห็นพฤติกรรมที่อาจฝ่าฝืนมาตรา 112 ส่วนตัวคิดว่าว่าเหมาะสมแล้ว เพราะมาตราดังกล่าวอยู่ในลักษณะความผิดต่อความมั่นคงของราชอาณาจักร

http://matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1306048341&grpid=01&catid=01

มีสองประเด็นในการให้สัมภาษณ์ของท่านรัฐมนตรี ที่เราเห็นว่าเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งอาจนำไปสู่ความตกต่ำของวัฒนธรรมทางปัญญาในสังคมไทย ดังที่ขีดเส้นใต้เอาไว้

เราในฐานะผู้ลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกดังกล่าว จึงขอเรียนชี้แจงมายังท่านรัฐมนตรี เพราะเชื่อว่าท่านรัฐมนตรีอาจกระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
 

ข้อแรก: ไม่เคยเห็นมาตรา 112 ถูกหยิบมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

เป็นที่ประจักษ์ชัดว่ามีการอ้างสถาบันกษัตริย์มาโจมตีกันทางการเมืองพร้อม ๆ กับใช้ข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาร้องทุกข์กล่าวโทษฟ้องร้องกัน จนสถิติของคดีความเกี่ยวกับกฎหมายมาตราดังกล่าวพุ่งขึ้นสูงในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา

ในการประชุมผู้บริหารพรรคการเมืองที่กกต.จัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พรรคการเมืองทุกพรรคต่างเห็นพ้องต้องกันถึงกรณีการนำสถาบันมาใช้ในการหาเสียงว่าควรนำมาอยู่ในระเบียบข้อห้ามของ กกต. โดยนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยให้เหตุผลว่า ไม่ควรนำสถาบันมาเกี่ยวข้องกับทุกประเด็น ไม่เช่นนั้นจะมีการนำกรณีดังกล่าวไปขยายความหากมีคนเลือกพรรคที่ไม่เชิดชูสถาบัน

ในที่สุด วันที่ 4 พฤษภาคม ที่ประชุม กกต. ก็ได้มีมติเห็นชอบร่างระเบียบ กกต. ว่าด้วยการหาเสียง ให้แก้ไขเพิ่มเติมว่า มิบังควรนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งจะอยู่ในหมวดข้อควรปฏิบัติในการเลือกตั้ง

หากไม่มีการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาอ้างใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองแล้วเหตุใดพรรคการเมืองทุกพรรคจึงเห็นพ้องต้องกันจนกระทั่ง กกต. ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบดังกล่าว?

คำกล่าวของท่านรัฐมนตรีที่ว่า ไม่เคยเห็นมาตรา 112 ถูกหยิบมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองนั้น เป็นคำพูดที่ผิดกับข้อเท็จจริงจนน่างุนงงสงสัย หากการพูดดังกล่าวถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการหาเสียง โดยอาจมีผู้เข้าใจว่าท่านรัฐมนตรีกล่าวถ้อยคำที่ผิดกับข้อเท็จจริงนี้เพื่อหวังเสียงสนับสนุนทางการเมือง ก็เป็นที่น่ากังวลว่า ท่านรัฐมนตรีอาจจะถูกเข้าใจว่ากำลังจะทำผิดข้อควรปฏิบัติตามระเบียบของ กกต. เสียเอง
 
 

ข้อสอง: สำนักราชเลขาธิการเป็นผู้ฟ้องร้องเอง ยิ่งทำให้เกิดปัญหา เพราะจะกลายเป็นว่าเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นคู่กรณีกับชาวบ้าน

ต่อประเด็นนี้ต้องเรียนย้ำกับท่านรัฐมนตรีว่า สำนักราชเลขาธิการ “เคย” เป็นคู่คดีกับชาวบ้านมาแล้วในคดีหมายเลขดำ อ.2358/2551 หรือเป็นที่รู้จักทั่วไปว่าเป็นคดีเกี่ยวกับการจัดสร้าง “พระสมเด็จเหนือหัว” โดยสำนักราชเลขาธิการได้มอบหมายให้ดีเอสไอเป็นโจทย์ยื่นฟ้อง นายสิทธิกร บุญฉิม หรือ เสี่ยอู๊ด

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังเคยกล่าวยืนยันว่า มาตรา 112 มีปัญหาในเรื่องการบังคับใช้ โดยเฉพาะในส่วนที่ให้ใครก็เป็นผู้ร้องได้ ในระหว่างตอบคำถามนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ในงานวันนักข่าวประจำปี 2552 มีความดังนี้

“ผมเคยถามชาวต่างประเทศว่า ที่คุณมาขอให้ยกเลิกกฎหมายนี้ แต่ทำไมคุณมีกฎหมายไม่ให้หมิ่นศาล ดังนั้น มันก็ต้องมีกลไกลักษณะนี้ สิ่งที่ผมรับไม่ได้คือ ที่ว่าใครก็ตามที่ได้ถูกกล่าวหาแบบนี้ ต้องยกเลิกให้หมด ผมรับไม่ได้ ถ้าท่านไปยืนยันข้อเท็จจริง และทำให้เสื่อมเสียแก่ราชวงศ์ คุณทำกับคนธรรมดายังถูกฟ้อง นักการเมืองบางคนฟ้องเป็นพันล้านบาท มันจึงไม่มีเหตุผลว่าอยู่ดีๆ จะไปละเมิดสถาบัน แต่ปัญหาที่ผมคิดว่าต้องปรับปรุงแก้ไขคือ ใครก็ไปร้องได้ ผมคุยกับ ผบ.ตร.ว่า ต้องบังคับใช้กฎหมายให้ดี แต่ผมไม่ยอมให้ใครมาอ้างสิทธิเสรีภาพ แล้วมาทำร้ายสถาบัน ถ้ามีวาระซ่อนเร้น ผมไม่รับฟัง”

http://www.siamintelligence.com/abhisit-disagree-on-lese-majeste-abortion/

ดังนั้น สิ่งที่ท่านรัฐมนตรีกล่าวว่า สำนักราชเลขาธิการไม่ควรเป็นคู่ความกับชาวบ้าน นอกจากจะผิดกับข้อเท็จจริงที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ยังแย้งกับสิ่งที่ท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์เคยให้ความเห็นไว้ด้วย

การที่ท่านรัฐมนตรีซึ่งมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลกระทรวงวัฒนธรรมแสดงความเห็นเกี่ยวกับข้อเรียกร้องเรื่องมาตรา 112 นี้เป็นสิ่งที่น่ายินดี แต่การที่ท่านแสดงความเห็นโดยผิดกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจนดูเป็นการบิดเบือน ทำให้เรารู้สึกเป็นห่วงวิจารณญาณของกระทรวงวัฒนธรรม

ในวัฒนธรรมทางปัญญา ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความเคารพ และไม่บิดเบือน แม้ว่าบางข้อเท็จจริงจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตรงกับใจของตน แต่การยอมรับความจริงและเผชิญหน้ากับความจริงคือหัวใจหนึ่งของวัฒนธรรมทางปัญญา การที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมให้สัมภาษณ์ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงในสองประเด็นที่กล่าวมาจึงไม่เป็นผลดีต่อการใช้เหตุผลและสติปัญญาของสังคม และอาจส่งผลให้วัฒนธรรมทางปัญญาของสังคมไทยเสื่อมถอยได้
 

30 พฤษภาคม 2554

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักข่าวพลเมือง: เครือข่ายนักศึกษา ลงพื้นที่ ติดตามปัญหาแนวสายส่งไฟฟ้า อุดรฯ

Posted: 31 May 2011 12:21 AM PDT

ตัวแทนเครือข่ายนักศึกษา คนรุ่นใหม่ และประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม เผย นศ.และชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ แจงลงพื้นที่เพื่อขยายผลต่อเพื่อนนักศึกษา และเผยแพร่สู่สาธารณะ

 
 
 
วันที่ 30 พ.ค.54 เวลา 13.00 น.กลุ่มนักศึกษา จำนวน 10 คน ภายใต้ชื่อ เครือข่ายนักศึกษา คนรุ่นใหม่ และประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ กรณีปัญหาแนวสายส่งไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ (น้ำพอง 2 – อุดรธานี 3) ที่ดำเนินการโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พาดผ่านที่ดินทำกินของชาวบ้านในพื้นที่ อ.กุมภวาปี และ อ.เมือง จ.อุดรธานี ซึ่งในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมากลุ่มชาวบ้าน ได้รวมกลุ่มกันคัดค้านการดำเนินการของ กฟผ.ด้วยเพราะหวั่นเกรงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ และเสียสิทธิในที่ดินทำกินของตนเอง
 
สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ กฟผ. พร้อมกำลังตำรวจกว่า 200 นาย ได้เข้าสลายและจับกุม กลุ่มนักศึกษากับชาวบ้าน ด้วยวิธีการที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ ทำร้ายร่างกายจนมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ และทรัพย์สินสูญหาย พร้อมทั้งแจ้งข้อกล่าวหาที่รุนแรงว่า ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน
 
นายนิติกร ค้ำชู เครือข่ายนักศึกษา คนรุ่นใหม่ และประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ได้กล่าวถึงการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาในครั้งนี้ว่า นักศึกษาและกลุ่มชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงได้มีการร่วมกันออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ด้วยการสื่อสารข้อเท็จจริงสู่สาธารณะ โดยจัดกลุ่มนักศึกษา ลงพื้นที่ๆ เกิดเหตุการณ์ และเข้าสังเกตการณ์การลงพื้นที่ เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง ในขณะเดียวกันนักศึกษาอีกจำนวนหนึ่ง ได้ร่วมกันจัดแถลงข่าวเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นออกสู่สาธารณะ ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
 
“หลังจากเหตุการณ์ที่พวกเราถูกจับพร้อมกับชาวบ้านด้วยความไม่ชอบธรรมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เครือข่ายนักศึกษาได้มีการตื่นตัวกันอย่างเป็นวงกว้าง และมีความเห็นร่วมกันว่าจะออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้เกิดขึ้น ซึ่งในวันนี้ทางเราได้จัดกิจกรรมให้กลุ่มตัวแทนนักศึกษาลงมาพื้นที่เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงจากชาวบ้านในพื้นที่ และให้กำลังใจแก่พี่น้องชาวบ้านที่ยังคงยืนหยัดที่จะปกป้องสิทธิชุมชน โดยไม่ยินยอมให้ กฟผ. ลงมาดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้นในพื้นที่นาของตนเอง สำหรับสิ่งที่ได้เห็นในวันนี้ก็จะนำไปขยายผลต่อเพื่อนนักศึกษาและเผยแพร่สู่สาธารณะ”
 
ด้าน นายบุญเลี้ยง โยธากา ชาวบ้านอีกรายที่จะได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างเสาและวางแนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ได้กล่าวถึงการเข้ามาลงพื้นที่ของกลุ่มนักศึกษา และแนวทางในการที่ยืนหยัดปกป้องสิทธิของตนเองว่าเห็นกลุ่มนักศึกษาลงพื้นที่มาให้กำลังใจในวันนี้ก็รู้สึกอุ่นใจว่ายังมีเพื่อนที่จะคอยช่วยเหลืออยู่
 
“โดยส่วนตัวก็จะขอยืนยันดังเช่นทุกๆ ครั้งที่ผ่านมาว่า ไม่ยินยอมให้ กฟผ. เข้ามาดำเนินการใดๆ ในที่นาอย่างแน่นนอน โดยขอยืนหยัดใช้สิทธิในการปกป้องที่ดินทำกินด้วยแนวทางสันติวิธี และไม่มีความกังวลใจใดๆ เลย จากเหตุการณ์ที่มีการจับกุมชาวบ้านและนักศึกษาก่อนหน้านี้”
 
นายบุญเลี้ยง กล่าวอีกว่า ตนพร้อมที่จะถูกจับกุม และได้มีการนำที่ดินไปประเมินราคาคิดเป็นมูลค่า 7 แสนบาท เพื่อเตรียมไว้สำหรับการประกันตัวต่อสู้คดีแล้ว
 
 
 
 
 
 
 
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

วาทะไทย-กัมพูชา ณ ศาลโลก (ยกแรก)

Posted: 31 May 2011 12:14 AM PDT

 

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก (“ศาลโลก”) ได้เผยแพร่เอกสาร Verbatim Record CR 2011/13 และ CR 2011/14 ซึ่งเป็นบันทึกคำแถลงที่กัมพูชาและไทยได้แถลงเป็นวาจาต่อศาล เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2554 เกี่ยวกับกรณีที่กัมพูชาได้ขอให้ศาลมีมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร ขอยกใจความของถ้อยคำบางตอนมาสรุปดังนี้
 

นายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา
“...ท่านประธานศาล ท่านผู้พิพากษาที่เคารพ เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ จะให้กัมพูชามีความหวังได้อย่างไร ในเมื่อตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฝ่ายไทยนั้นจะยอมประชุมด้วยก็เพียงเพื่อเป็นข้ออ้างที่จะผัดผ่อนประเด็นต่อไปเรื่อยๆ เป็นวงจรไม่รู้จบ แสดงให้เห็นถึงแผนการถ่วงเวลาและเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ของฝ่ายไทย…”
(CR 2011/13 หน้า 23)
 

นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรไทยประจำเนเธอร์แลนด์
“…ภาพของลูกแกะตัวน้อยที่ถูกจับจ้องโดยเจ้าสุนัขป่าตัวร้าย ซึ่งกัมพูชาพยายามจะวาดภาพให้ศาลเห็นนั้น ล้วนเป็นเท็จ ไทยเองเมื่อสมัยศตวรรษที่ 19 ก็คุ้นเคยกับกรรมของลูกแกะตัวน้อยเป็นอย่างดี ไทยจึงหวังอย่างจริงใจว่าจะไม่มีประเทศใดรวมไปถึงกัมพูชาที่จะต้องรับชะตากรรมลูกแกะซ้ำในสมัยศตวรรษที่ 21...”
(CR 2011/14 หน้า 21)
 

เซอร์แฟรงคลิน เบอร์แมน ทนายความฝ่ายกัมพูชา
“…กัมพูชาไม่แน่ใจว่า “พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร” ที่สื่อมวลชนและทางการไทยอ้างถึงนั้น หมายถึงพื้นที่ใดโดยแน่ชัด แต่ดูเหมือนว่าจะหมายถึงดินแดนใกล้เคียงกับตัวปราสาทพระวิหารที่ไทยนำมาอ้างอธิปไตยภายหลังศาลมีคำพิพากษา…”
(CR 2011/13 หน้า 27)

“…แน่นอน ไทยย่อมต้องอ้างว่า การที่กัมพูชาขอให้ศาลตีความคำพิพากษานั้น กัมพูชาทำไปเพื่อหวังได้สิ่งที่ถูกศาลปฏิเสธไปเมื่อครั้งที่แล้ว...แต่ไทยเองคงกลืนน้ำลายตัวเองไม่ลง เพราะไทยเองนั้นเป็นฝ่ายปลุกเสกการตีความคำพิพากษาขึ้นมาใหม่อย่างวิปลาส...เพียงเพื่อจะผูกมัดกัมพูชาว่าเป็นผู้ตีความคำพิพากษาไปเองฝ่ายเดียว”
(CR 2011/13 หน้า 35)
 

ศาสตราจารย์อลัง เปลเล่ต์ ทนายความฝ่ายไทย
“…วันนี้กัมพูชาพยายามใช้วิธีอ้างว่าไทยยังคงมีหน้าที่ต้องถอนกำลังเจ้าหน้าที่ออกไปจากบริเวณใกล้เคียงตัวปราสาท ทั้งๆ ที่ไทยเองก็ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว...และเมื่อเช้านี้กัมพูชาก็ยอมรับต่อศาลเองว่า ไทยกับกัมพูชาเพิ่งมามีความเห็นเกี่ยวกับคำพิพากษาไม่ตรงกันเมื่อไม่นานมานี้...นั่นไงครับท่านประธานศาล! กัมพูชากำลังสารภาพว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาจนกระทั่งไม่นานมานี้ กัมพูชาก็เห็นตรงกับไทยว่าไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยถอนกำลังออกไปเรียบร้อยแล้ว...”
(CR 2011/14 หน้า 25)

ศาสตราจารย์ฌอง-มาร์ค โซเรล ทนายความฝ่ายกัมพูชา
“…กัมพูชาหวังพึ่งมาตรการคุ้มครองชั่วคราวจากศาลก็เพราะการเจรจาหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชาในระดับนายทหารนั้นเป็นสถานการณ์ที่มีความเปราะบาง...สาเหตุหนึ่งก็เพราะว่าหากไทยก้าวเข้าไปสู่สถานการณ์การเมืองภายในประเทศที่เปราะบางด้วยแล้ว ก็ไม่มีอะไรประกันว่าการเจรจาหยุดยิงจะได้รับการรับรองให้แน่นอน ดูตัวอย่างความติดขัดในอดีตได้จากการที่รัฐสภาไทยไม่ให้ความยินยอมข้อตกลงเกี่ยวกับคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมระหว่างสองประเทศเป็นต้น...ความวุ่นวายทางการเมืองของไทยย่อมอาจนำไปสู่การปะทะกันด้วยอาวุธได้อีก...”
(CR 2011/13 หน้า 45-47)
 

ศาสตราจารย์ศาสตราจารย์เจมส์ ครอว์ฟอร์ด ทนายความฝ่ายไทย
“…เวลาเกือบ 50 ปีหลังคำพิพากษานี้ไม่ใช่เวลาน้อยๆ แต่กัมพูชากลับขอให้ศาลมองทุกอย่างเป็นปัจจุบัน ขอศาลให้สั่งให้ทหารไทยต้องถอนกำลังออกไปจากตัวปราสาท ทั้งๆที่ตอนศาลมีคำพิพากษาทหารเหล่านั้นยังไม่ทันได้เกิดเสียด้วยซ้ำ...ราวกับว่าคำพิพากษาถูกหุ้มด้วยวุ้นถนอมอาหาร ไม่แปรเปลี่ยนข้ามทศวรรษหรือแม้ศตวรรษ หากเรายอมรับหลักการแบบนี้ แล้วระยะเวลาตีความจะไปสิ้นสุดที่จุดใด?...”
(CR 2011/14 หน้า 33)
 

ศาสตราจารย์โดนัลด์ เอ็ม แม็คเรย์ ทนายความฝ่ายไทย
“…การตั้งคณะผู้สังเกตการณ์จากประเทศอินโดนีเซียและการกลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาโดยคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ย่อมทำให้ข้ออ้างเรื่องความจำเป็นเร่งด่วนของมาตรการคุ้มครองชั่วคราวนั้นฟังไม่ขึ้น...”
(CR 2011/14 หน้า 54)
 

 

---------------------------------------------

หมายเหตุ
ศาลโลกยังคงรับฟังการแถลงด้วยวาจาต่อในวันที่ 31 พฤษภาคม 2554.
บทวิคราะห์ประเด็นคดีปราสาทพระวิหาร อ่านเพิ่มได้ที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple/summary1962

 

เกี่ยวกับผู้เขียน อดีตนักกฎหมายในคดีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ สำนักกฎหมาย Freshfields Bruckhaus Deringer (กรุงปารีส). นิติศาสตรมหาบัณฑิต (รางวัลทุนฟุลไบรท์และวิทยานิพนธ์เกียรตินิยม) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด.

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ทหารพม่า-กกล.อาสาสมัครในรัฐฉาน ตระเวนทุบตีชาวบ้านสงสัยหนุนกลุ่มต่อต้าน

Posted: 30 May 2011 05:41 PM PDT

ทหารพม่าร่วมกับกองกำลังอาสาสมัครเมืองไหย๋ รัฐฉานภาคเหนือ จับทำร้ายทุบตีชาวบ้านเจ็บหลายราย เหตุสงสัยสนับสนุนและติดต่อกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA  "North"

มีรายงานจากแหล่งข่าวว่า เมื่อวันที่ 23 พ.ค. ที่ผ่านมา ทหารพม่าสังกัดกองพันทหารราบที่ 67 ประจำเมืองไหย๋ และทหารกองกำลังอาสาสมัครกลุ่มนายโปมน ได้จับกุมชาวบ้านนาทราย ต.หัวตื้อ 2 คน ชื่อนายอิ่งต่า อายุ 31 ปี และนายจ่ามส่า อายุ 27 ปี ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินทางจากบ้านน้ำลางเพื่อกลับบ้านนาทราย โดยทหารพม่าอ้างว่าทั้งสองทำการติต่อกองกำลังไทใหญ่ SSA และได้ร่วมกันทุบตีจนทั้งสองได้รับบาดเจ็บ จากนั้นได้บังคับทั้งสองเป็นคนนำทางเพื่อลาดตระเวนไปยังพื้นที่ต่างๆ กระทั่งวันที่ 25 พ.ค. จึงได้รับการปล่อยตัว

หลังจากทั้งสองกลับถึงหมู่บ้านได้แจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นแก่ผู้นำหมู่บ้าน โดยผู้นำหมู่บ้านได้ไปร้องเรียนต่อพ.อ.จี่มิ้น ผบ.ควบคุมยุทธของทหารพม่าประจำเมืองไหย๋ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในพื้นที่ โดยพ.อ.จี่มิ้น บอกว่าจะเรียกทหารชุดก่อเหตุมาพบเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงและลงโทษ จากนั้นได้มอบเงินจำนวน 1 หมื้นจั๊ต (ราว 350 บาท) ให้กับผู้นำหมู่บ้านเพื่อเป็นค่าชดเชยเยียวยาให้กับลูกบ้านที่ถูกทำร้ายร่างกายทั้งสอง

มีรายงานด้วยว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ทหารพม่าชุดเดียวกันพร้อมด้วยทหารกองกำลังอาสาสมัครกลุ่มนายลาวมา กำลังพลราว 70 นาย ได้ทำการจับกุมทุบตีชาวบ้านบ้านหนองได้รับบาดเจ็บหลายราย เหตุเนื่องจากสงสัยให้การสนับสนุนกองกำลังไทใหญ่ SSA เช่นเดียวกัน โดยชาวบ้านที่ถูกจับทุบตีประกอบด้วย 1. นายทุนจ่อ 2.นายเต่หวิ่ง หรือ จายทุนละ 3.นางอ่อง 4.นายอู 5. นายจายส่วย และ 6. จายหลวง ทั้งหมดถูกชกต่อยตามร่างกายและถูกด้ามปืนทุบตี โดยจายทุนล่ะ และ นางอ่อง สองสามีภรรยาถูกทุบตีได้รับบาดเจ็บสาหัส และถูกทหารพม่ายึดเอาเงินจำนวน 5 หมื่นจั๊ต ไปด้วย

การจับกุมทรมานชาวบ้านในพื้นที่เมืองไหย๋ ของทหารพม่าครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากในพื้นที่เกิดการสู้รบกันระหว่างทหารพม่ากับกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSA "North" ซึ่งเกิดจากการบุกโจมตีของกองทัพพม่าตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ผลจากการสู้รบของทั้งสองฝ่ายส่งผลให้ชาวบ้านต้องละทิ้งบ้านเรือนอพยพออกจากนอกพื้นที่ ขณะที่มีชาวบ้านหลายพื้นที่ถูกทหารพม่าเกณฑ์บังคับเป็นลูกหาบ และมีผู้ถูกจับทรมานสอบสวนและถูกทำร้ายจนเสียชีวิตหลายราย จากเหตุถูกทหารพม่าสงสัยให้การสนับสนุนกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ"

 

ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/


"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper