ประชาไท | Prachatai3.info |
- สหภาพแรงงานในเนปาลเรียกร้อง “อภิสิทธิ์” ให้ปลดปล่อย “สมยศ”
- ASEAN People’s Forum เรียกร้องอาเซียนแสดงบทบาทจัดการปัญหาไทย-กัมพูชา
- กทช.แคนาดาตั้งเป้าให้ประชาชนมีเน็ตใช้ 5 เม็กเป็นอย่างต่ำภายในปี 2015
- ศาสนากับ ‘บาดแผลแห่งยุคสมัย’
- ชาวรัฐฉานหวั่นผลกระทบหลังเหมือนถ่านหินเมืองก๊กบริษัทไทยเดินหน้า
- เครือข่ายผู้หญิงฯ เปิดผนึกถึงนายกฯ ยุติสงครามกัมพูชา
- ว่าด้วยทวิตเตอร์แอคเคาท์ @PM_Abhisit สมบัติส่วนตัวหรือของรัฐบาล?
- พวงทอง ภวัครพันธุ์: นัยของการยื่นศาลโลกตีความคำพิพากษาปี 2505 ของกัมพูชา
- ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "ฮิวแมนไรต์ วอต์ช"
สหภาพแรงงานในเนปาลเรียกร้อง “อภิสิทธิ์” ให้ปลดปล่อย “สมยศ” Posted: 05 May 2011 12:34 PM PDT สมาพันธ์สหภาพแรงงานกลางเนปาล ส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีไทยเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายสมยศ พฤกษาเกษมสุขทันที ชี้การไม่ยอมให้ประกันตัวนายสมยศเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างไม่อาจยอมรับได้ เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ที่ผ่านมา สมาพันธ์สหภาพแรงงานเนปาล (General Federation of Nepalese Trade Unions - GEFONT) นำโดยนายอุเมศ อุปัทยา (Umesh Upadhyaya) เลขาธิการทั่วไปของสมาพันธ์ GEFONT ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวเรื่อง “ปล่อยตัวสมยศ” โดยเนื้อความในจดหมายระบุว่า ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีปล่อยตัวนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ซึ่งถูกจับเมื่อ 30 เม.ย. และถูกควบคุมตัวที่เรือนจำกลางคลองเปรม กรุงเทพฯ ทันที ในจดหมายระบุว่าทางสหภาพแรงงานรู้จักนายสมยศผ่านบทบาทของเขาในขบวนการสหภาพแรงงานในระดับสากล และผ่านบทบาทของนายสมยศที่ทำกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงานโดยตลอด นอกจากนี้นายสมยศยังเป็นพลเมืองที่มีความเชื่อมั่นต่อหลักการสิทธิมนุษยชน ดังจะเห็นได้จากบทบาทสื่อมวลชนอิสระและผลงานทางวิชาการของเขา พวกเราทราบว่านายสมยศถูกจับในข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์ราชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งนายสมยศปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ นอกจากนี้นายสมยศยังไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้มีการออกหมายจับ และปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าเขาไม่ได้ขัดขืนหมายจับ ในจดหมายเปิดผนึกของสหภาพแรงงาน ยังระบุด้วยว่า พวกเขาทราบว่า ศาลอาญาได้เห็นด้วยกับคำสั่งของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ที่ให้ขยายเวลาควบคุมตัวนายสมยศไปอีก 12 วัน โดยในจดหมายของสหภาพแรงงานเนปาลกล่าวด้วยว่า นี่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อนายสมยศอย่างไม่อาจยอมรับได้ โดยเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนายสมยศทันที และอนุญาตให้เขาเตรียมการต่อสู้ข้อกล่าวหาทางคดี
ที่มา: ประชาไทแปลและเรียบเรียงจาก Release Somyot Now!, General Federation of Nepalese Trade Unions – GEFONT, 04/05/2011 http://www.gefont.org/activity_detail.php?flag=3&id=712 ฉยับ pdf http://www.gefont.org/uploads/activities/712_gefont%20%20Protest%20letter.pdf สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ASEAN People’s Forum เรียกร้องอาเซียนแสดงบทบาทจัดการปัญหาไทย-กัมพูชา Posted: 05 May 2011 11:45 AM PDT ภาคประชาชนอาเซียน เตรียมเสนอผู้นำในภูมิภาคกำหนดบทบาทอาเซียนต่อประเด็นไทย-กัมพูชา หวังจัดการปัญหาความขัดแย้ง ภาคประชาชนไทย-กัมพูชา เรียกร้องรัฐบาลทั้งอย่าทำปัญหาการเมืองให้กลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศ พร้อมเรียกร้องสื่อทำหน้าที่สื่อสารสันติภาพมากกว่ากระพือความขัดแย้ง วานนี้ (5 พ.ค. 2554) ภาคประชาชนไทย-กัมพูชา หวังอาเซียนแสดงบทบาทจัดการปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เรียกร้องรัฐบาลทั้งอย่าทำปัญหาการเมืองให้กลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศ พร้อมเรียกร้องสื่อทำหน้าที่สื่อสารสันติภาพมากกว่ากระพือความขัดแย้ง การปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชาดำเนินต่อเนื่องมาสู่สัปดาห์ที่สอง และยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลงด้วยการเจรจาระหว่างสองรัฐบาล ขณะเดียวกันภาคประชาชนของทั้งสองประเทศซึ่งได้ร่วมประชุมอาเซียนภาคประชาชน ที่กรุงจาการ์ตา ได้ร่วมแถลงข่าวร่วมกันวานนี้ เรียกร้องให้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายยุติความขัดแย้งอย่างสันติ สมศรี หาญอนันทสุข เครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี หนึ่งในตัวแทนภาคประชาสังคมไทยเรียกร้องต่อสื่อมวลชนของทั้งสองประเทศให้ทำหน้าที่สื่อสารโดยไม่เพิ่มระดับความขัดแย้ง สร้างความเป็นหนึ่งเดียว เพื่อที่เพื่อนบ้านจะอยู่ร่วมกันด่วยความรักและไม่เกลียดชัง “เพื่อนบ้านก็คือเพื่อนบ้าน เราไม่ควรทำให้การเมืองของทั้งสองฝ่ายก่อปัญหาระหว่างเพื่อนบ้าน” ทุน ซเรย์ ผู้อำนวยการของสมาคมการพัฒนาและสิทธิมนุษยชนกัมพูชา (The Cambodian Human Rights and Development Association-ADHOC) แสดงความหวังว่าอินโดนีเซียในฐานะประธานอาจเซียนจะสามารถเข้ามามีบทบาท ต่อกรณีการปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชา โดยเขาให้ความเห็นเพิ่มเติมกรณีที่กัมพูชานำกรณีพิพาทเขตแดนเขาพระวิหารไปสู่ศาลโลกอีกครั้ง ว่าเมื่อเรื่องดำเนินไปเช่นนี้ อาเซียนอาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้นอกจากจะนั่งลงเจรจากัน ทั้งนี้ นับจากการมีคำตัดสินของศาลโลกให้ปราสาทประวิหารตกอยู่ในอธิปไตยของกัมพูชา ไทยก็ไม่เคยโต้แย้ง การจะทำโต้แย้งตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว สุนทรี เซ่งกิ่ง จากคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) แสดงความเห็นว่า ไม่ได้อยากให้จำกัดประเด็นอยู่ที่ความขัดแย้งเรื่องเขาพระวิหารเท่านั้น แต่ต้องการเรียกร้องสันติภาพสำหรับชาวบ้าน ผู้หญิงและเด็กที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่เรียกร้องต่ออาเซียนให้แสดงบทบาทที่จะมาสู่ความสงบในแนวชายแดน และอีกประเด็นคือขอเรียกร้องให้หยุดการยิงปะทะ เพื่อให้ประชาชนได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติอีกครั้ง ทั้งนี้ ผู้ร่วมการแถลงข่าวทั้งฝายไทยและกัมพูชาเห็นพ้องกันว่า ประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ไม่ใช่แค่ประเด็นเขาพระวิหารเท่านั้น แต่ประเด็นการเมืองของทั้งสองประเทศ และภาคประชาชนนั้นเคารพในคำตัดสินของศาลโลก และที่ผ่านมาก็มีความพยายามที่จะสร้างความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างไทยและกัมพูชา และต้องการสื่อสารไปยังทั้งสองรัฐบาลว่าประชาชนไม่ต้องการการปะทะ และทำให้เห็นว่าประชาชนในสองประเทศนั้นอยู่ด้วยความกลัว “เราพบกับหญิงคนหนึ่งที่เพิ่งคลอดได้สามเดือน และเด็กก็ไม่ยังไม่เห็นหน้าพ่อเลย หญิงคนนั้นต้องการให้รัฐบาลแก้ปัญหานี้อย่างสันติเพราะว่าพวกเขาอยู่อย่างหวาดกลัว เราควรจะดำเนินการแก้ปัญหาด้วย และรัฐบาลทั้งสองฝ่ายก็ต้องรับฟังประชาชน ไม่ใช่แค่สำหรับพวกเราเท่านั้น แต่สำหรับผู้หญิงและเยาวชนด้วย”ตัวแทนภาคประชาชนไทยกล่าว ในช่วงท้ายของการประชุมอาเซียนภาคประชาชน ประจำปี 2554 ภาคประชาชนอาเซียนยังได้นำเอาประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาบรรจุไว้ในข้อเสนอที่จะนำเสนอต่อผู้นำประเทศในภูมิภาคอาเซียน ในวันที่ 7 พ.ค. นี้ โดยองค์กรภาคประชาชนอาเซียนเรียกร้องให้อาเซียนก่อตั้งองค์กรที่ทำหน้าที่จัดการปัญหาความขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดนในภูมิภาค พร้อมทั้งเรียกร้องต่อรัฐบาลในภูมิภาคอาเซียนให้แสดงบทบาทมากขึ้นในการเข้าแก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา และต้องแสดงความใส่ใจต่อประเด็นความขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดนในบรรดาประเทศสมาชิกด้วยเช่นกัน ทั้งต้องรับฟังแนวทางแก้ปัญหาจากประชาชนทีได้รับผลกระทบ อาเซียนภายใต้องค์กรที่ทำหน้าที่จัดการปัญหาความขัดแย้งเส้นเขตแดน ชี้ขาดกรณีความขัดแย้งเรื่องเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา โดยต้องส่งเสริมให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้อาเซียนกำหนดบทลงโทษเพื่อปกป้อง ส่งเสริมและเติมเต็มสิทธิผู้หญิงในสถานการณ์และพื้นที่ที่มีความขัดแย้งโดยใช้กำลังทหารด้วย สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
กทช.แคนาดาตั้งเป้าให้ประชาชนมีเน็ตใช้ 5 เม็กเป็นอย่างต่ำภายในปี 2015 Posted: 05 May 2011 08:01 AM PDT
เว็บไซต์ blognone รายงานว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ค. CRTC หรือ กทช. ของแคนาดา ประกาศว่าชาวแคนาดาทุกคนจะต้องเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วดาวน์โหลด 5Mbps และอัพโหลด 1Mbps ภายในปี 2015 ซึ่งมากกว่าที่ FCC ของสหรัฐได้เคยประกาศไว้สำหรับสหรัฐอเมริกาที่ 4 Mbps โดยความเร็วนี้จะต้องเป็นความเร็วแท้จริง ไม่ใช่ความเร็วที่ได้โฆษณาไว้ และหวังว่ากลไกของตลาดจะสามารถทำให้ความเร็วถึงขั้นนี้ได้โดยไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง ก่อนหน้านี้ ประเทศฟินแลนด์เคยออกมาประกาศว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 1Mbps ถือว่าเป็นสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนพึงจะได้รับ แม้ว่าประเทศอื่นๆ ยังไม่ได้ออกมาประกาศในลักษณะเดียวกันก็ตาม แต่องค์กรที่มีความรับผิดชอบเรื่องโทรคมนาคมในหลายๆ ประเทศก็ได้เริ่มออกมาประกาศเป้าหมาย "ความเร็วขั้นต่ำ" ของอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงกันแล้ว ขณะที่ประเทศไทย ด้วยกลไกตลาดทำให้ความเร็วตามที่โฆษณาไว้ ในแพ็กเกจที่ถูกสุดสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบันอยู่ที่ 6 Mbps ขณะที่ภาครัฐหรือองค์กรอิสระยังไม่ได้ออกมาประกาศเป้าหมายอะไรไว้แต่อย่างใด
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
Posted: 05 May 2011 07:56 AM PDT ศาสนาอาจมีคุณูปการต่อชีวิตและโลกไม่น้อย แต่อีกด้านหนึ่งศาสนาก็ได้สร้างบาดแผลในประวัติศาสตร์มนุษยชาติตลอดมา แม้ว่าในด้านหนึ่งศาสนาอาจมีคุณูปการต่อชีวิตและโลกไม่น้อย แต่อีกด้านหนึ่งศาสนาก็ได้สร้างบาดแผลในประวัติศาสตร์มนุษยชาติตลอดมา อาจจะตั้งแต่มีศาสนาขึ้นมาในโลกจวบปัจจุบัน และกระทั่งจะมีต่อไปในอนาคต เช่น การใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม การครอบงำทางความคิดความเชื่อ ตั้งแต่การสวมขื่อคาพันธนาการชีวิตปัจเจกบุคคลให้ติดอยู่ในกับดักแห่งศรัทธาที่งมงาย การเข้าไปแทรกแซงตีกรอบพื้นที่ความเป็นมนุษย์แทบทุกมิติ การวางกรอบประเพณีรองรับสถานะที่ไม่เท่าเทียมของมนุษย์และการจำกัดเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ การสร้างความแตกแยกแบ่งเป็นเขาเป็นเรา การก่อการร้ายและสงครามในนามศาสนา เป็นต้น คือตัวอย่างของบาดแผลที่ศาสนาสร้างขึ้น เพราะมองเห็นอันตรายที่เป็นไปได้อย่างไม่จำกัดดังกล่าวของศาสนา พระพุทธองค์จึงเตือนให้ระมัดระวังในการนับถือศาสนา โดยเปรียบเทียบว่าการนับถือศาสนาต้องระมัดระวังเหมือนกับการจับใบหญ้าคา ใบหญ้าคาที่คมกริบหากใช้มือกำรวบถอนขึ้นอย่างไม่ระมัดระวังอาจถูกหญ้าคาบาดมือเลือดสาดได้อย่างง่ายดาย การนับถือศาสนาอย่างขาดการไตร่ตรองหรือเลือกเฟ้น “แก่นสาร” อย่างรอบคอบ อาจทำให้เกิดบาดแผลในชีวิตและบาดแผลทางสังคมได้ง่ายๆ เช่นกัน วันหนึ่งผมเห็นนักศึกษาชมรมพุทธนั่งท่องบทสวดก่อนรับประทานอาหารกลางวัน เมื่อเรานั่งคุยกันผมจึงทราบว่านี่เป็นกิจวัตรที่เขาทำกันเป็นประจำก่อนรับประทานอาหารทุกมื้อ เขาเล่าเรื่องการไปปฏิบัติธรรมให้ผมฟัง และชวนผมไปร่วมกิจกรรมด้วย จะว่าไปแล้วผมค่อนข้างคุ้นเคยกับเด็กกลุ่มนี้ พวกเขาเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย อยู่ในกฎระเบียบ เป็นเด็กกลุ่มที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยชื่นชม พอคุ้นเคยกันได้ระยะหนึ่ง ผมลองชวนพวกเขาคุยเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมือง เช่น เรื่องรัฐประหาร การสลายการชุมนุม เรื่องความเป็น-ไม่เป็นประชาธิปไตย ฯลฯ ปรากฏว่าพวกเขามองว่าเป็นเรื่องทางโลกไม่เกี่ยวกับทางธรรม ถ้าจะปฏิบัติธรรมก็ไม่ควรไปสนใจการเมือง ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังมองว่าคนดีๆ จะไม่ไปยุ่งกับการเมือง พวกที่ลงเล่นการเมืองส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นพวกที่ไม่มีธรรมะ เป็นพวกมุ่งแต่อำนาจและผลประโยชน์ของตนเอง สรุปแล้วการเมืองเป็นเรื่องของความวุ่นวาย คนเราจะสนใจศาสนาสนใจการปฏิบัติธรรมไปพร้อมๆ กับสนใจการเมืองไม่ได้ แน่นอนว่า ผมย่อมเคารพความคิดความเชื่อของพวกเขา แต่วันหนึ่งเมื่อเราคุยกันเรื่องเสรีภาพกับความเป็นมนุษย์และเสรีภาพทางการเมือง ปรากฏว่ามีนักศึกษาคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ความคิดเรื่องเสรีภาพก็เป็นแค่ความคิดของนักปรัชญา เป็นแค่สมติสัจจะเป็นความจริงสมมติที่หักล้างได้ ไม่ใช่ปรมัตถสัจจะที่โต้แย้งไม่ได้เหมือนคำสอนของพุทธศาสนา” คำพูดดังกล่าว (และท่าทางของผู้พูดที่ดูมีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าตนเองพูดถูกต้อง) ยังติดอยู่ในความทรงจำของผม ทำให้ผมอดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่า ทำไมนักศึกษาที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมเป็นประจำ เมื่อออกมาอยู่นอกวัดแล้วพวกเขาจึงเอา “กำแพงวัด” มาด้วย มันคือกำแพงที่ปิดกั้นไม่ให้พวกเขาเปิดใจเรียนรู้ความคิดอื่น ภูมิปัญญาอื่นที่ต่างออกไป มันคือกำแพงที่ปิดกั้นพวกเขาจากความดีงามในความหมายอื่นๆ เช่น ความดีงามในความหมายของการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ความเป็นธรรมทางสังคม-การเมือง เป็นต้น มองอย่างผิวเผิน เด็กกลุ่มนี้คือเด็กดี เข้าวัดปฏิบัติธรรมเป็นประจำ พวกเขากระตือรือร้นรับใช้วัด มีกฐิน ผ้าป่า งานบวชระดับชาติ หรือโครงการปฏิบัติธรรมใหญ่ๆ พวกเขาก็ส่งข่าว และแวะเวียนมา “บอกบุญ” กับผมและอาจารย์คนอื่นๆ เป็นประจำ แต่หากมองลึกลงไป ผมรู้สึกถึง “บาดแผล” บางอย่างที่ศาสนาได้สร้างขึ้น นั่นคือบาด “แผลแห่งมโนธรรมทางสังคม” ศาสนาได้สร้างให้เยาวนชกลุ่มหนึ่งเชื่ออย่างฝังหัวว่า การรับใช้วัดคือการรับใช้สังคม คำสอน ความเชื่อตามแนวทางของวัดคือสัจธรรมหนึ่งเดียวที่ประเสริฐสุด ส่วนความรู้อื่น ภูมิปัญญาอื่น หรือมโนธรรมทางสังคม เช่น ความรักเสรีภาพ รักประชาธิปไตย รักความเป็นธรรม ตลอดถึงความรู้สึกสะเทือนใจต่อการที่รัฐใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชน กลายเป็นเรื่องที่ไม่ควรใส่ใจ ไม่มีคุณค่าที่ควรนำมาไตร่ตรอง เพราะไม่ใช่เรื่องทางธรรม ไม่เกี่ยวกับการบำเพ็ญบารมีเพื่อการมีชีวิตที่ดี (ส่วนตัว) และหากจะว่าไปแล้ว ระบบการปลูกฝังศีลธรรมแบบพุทธในบ้านเราไม่ใช่ระบบศีลธรรมที่สอนให้เราเชื่อมั่นในเสรีภาพ เหตุผล หรือวิจารณญาณของตนเอง หากแต่เป็น “ระบบศีลธรรมอำนาจนิยม” หมายถึง ระบบศีลธรรมที่สอนให้เชื่อฟังผู้มีอำนาจ ไม่ว่าผู้มีอำนาจนั้นจะเป็นผู้มีอำนาจรัฐ ผู้มีอำนาจเหนือรัฐ พระสงฆ์ นักเทศน์ นักวิชาการ ปัญญาชนที่สังคมยกย่องกันว่าเป็น “คนดีมีคุณธรรม” หรือ “ปูชนียบุคคล” ทว่าในวิกฤตกว่า 5 ปีที่ผ่านมา บรรดาผู้มีอำนาจในความหมายต่างๆ ดังกล่าวล้วนแต่ถูกตั้งคำถาม ถูกท้าทายอย่างถึงราก ทำให้ “พระชื่อดัง” ออกมาบ่นว่า ยุคนี้เป็นยุคแห่งความสับสน เป็นยุคที่ศีลธรรมเสื่อม ผู้คนไม่เคารพ “คนดี” ไม่เคารพ “ความดี” หรือบ้างก็ออกมาพูดกันว่า “ยุคนี้เป็นยุคกระเบื้องเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม...” คำถามคือ หากความสับสนคือบาดแผลอย่างหนึ่งของยุคสมัยของเรา ศาสนามีส่วนสร้างบาดแผลนี้หรือไม่? เมื่อ “พระชื่อดัง” โยนธรรมะใส่สังคม เช่น “ฆ่าเวลาบาปมากกว่าฆ่าคน” หรือ “เป็นกลางหมายถึงเลือกข้างความถูกต้อง ธรรมอยู่ฝ่ายไหนต้องเลือกฝ่ายนั้น” หรือ “ตราบใดที่นักการเมืองยังคอร์รัปชันก็ต้องมีรัฐประหารเพราะมันเป็นเหตุปัจจัยตามกฎอิทัปปัจจยตา” ฯลฯ ธรรมะที่โยนใส่สังคมดังกล่าว (เป็นต้น) ทำให้สังคมหายสับสน หรือทำให้สังคมเกิด enlightenment อย่างไรไม่ทราบครับ? ประชาชนจำนวนมากเขาชัดเจนอยู่แล้วว่า รัฐประหารเพื่อแก้ปัญหาคอร์รัปชันไม่ถูกต้อง สองมาตรฐานไม่ถูกต้อง ใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนไม่ถูกต้อง อำนาจนอกระบบที่แทรกแซงการเมืองไม่ถูกต้อง ระบบอำนาจนิยมแบบจารีตที่ปิดกั้นเสรีภาพและขัดแย้งกับหลักความเสมอภาคในความเป็นคนไม่ถูกต้อง ฯลฯ และจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านสังคมไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่เคารพเสียงส่วนใหญ่ ลองทบทวนดูให้ดี อย่างไม่มี “อคติ” (เห็นพระนักเทศนาชอบใช้คำนี้) ว่าระบบการปลูกฝังศีลธรรมแบบอำนาจนิยมของศาสนา และผู้มีอำนาจชี้ถูกชี้ผิดทางสังคมในความหมายต่างๆ ดังกล่าวมาใช่หรือไม่ ที่มีบทบาทอย่างสำคัญในการสร้าง “บาดแผลแห่งความสับสน” จนกลายเป็น “บาดแผลแห่งยุคสมัย” ที่ยากจะลบเลือนไปจากประวัติศาสตร์สังคมไทย! สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ชาวรัฐฉานหวั่นผลกระทบหลังเหมือนถ่านหินเมืองก๊กบริษัทไทยเดินหน้า Posted: 05 May 2011 07:47 AM PDT สำนักข่าว SHAN รายงานเมื่อวันที่ 4 พ.ค.54 บริษัทสระบุรีถ่านหิน จำกัด กำลังเร่งก่อสร้างโครงการขุดถ่านหินลิกไนต์ในเมืองก๊ก จ.เมืองสาด ทางภาคตะวันออกของรัฐฉาน ตรงข้าม อ .แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงรายอย่างต่อเนื่อง แม้ชาวบ้านทั้งในรัฐฉานและฝั่งไทยจะแสดงความกังวลและคัดค้านโครงการดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2552 ก็ตาม ส่วนสถานการณ์ล่าสุด มีรายงานว่า โครงการดังกล่าวกำลังทำให้ไร่นาของชาวบ้านถูกทำลายเป็นวงกว้าง “ทางบริษัทเริ่มเคลียร์พื้นที่สำหรับก่อสร้างอาคารเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา พวกเขาทำลายทุกอย่างที่อยู่ในพื้นที่โครงการ พื้นที่ซึ่งไม่กำหนดอยู่ในโครงการก็ถูกทำลายด้วยเช่นเดียวกัน” แหล่งข่าวคนหนึ่งกล่าว ตามข้อมูลของชาวนาในพื้นที่ระบุว่า ทางบริษัทสระบุรีถ่านหินได้จ่ายเงินให้กับชาวนาจำนวน 20, 000 บาทต่อพื้นที่ 2.5 ไร่ เพื่อเป็นเงินชดเชยให้กับชาวนา อย่างไรก็ตามกลับพบว่า ทางการพม่ากลับจ่ายเงินให้กับชาวนาเพียง 20,000 จั๊ต (ประมาณ 733 บาท) เท่านั้น “ด้วยเงินเพียงจำนวนน้อยนิด เราจะอยู่ในระยะยาวได้อย่างไร? เจ้าหน้าที่บริษัทสระบุรีถ่านหินบางคนแนะนำให้เราย้ายไปอยู่ประเทศไทย หากเราไม่มีที่ให้อยู่และไม่สามารถทำมาหากินที่บ้านเกิดได้ พวกเขายังบอกอีกว่า ที่ประเทศไทยมีงานเยอะแยะให้เราทำ” หญิงคนหนึ่งกล่าว ทั้งนี้ บริษัทสระบุรี จำกัด มีแผนสร้างถนนเพื่อลำเลียงถ่านหินจากเมืองก๊ก ซึ่งเป็นพื้นที่โครงการถ่านหินสู่ชายแดนไทยด้านบ้านแม่โจ๊ก (พม่า) – บ้านม้งเก้าหลัง (ไทย) อ .แม่ฟ้าหลวง จ .เชียงราย อย่างไรก็ตาม ถูกต่อต้านคัดค้านจากชาวบ้านใน อ.แม่ฟ้าหลวง เพราะกังวลว่า การลำเลียงถ่านหินผ่านหมู่บ้านจะส่งผลกระทบต่อดำรงชีวิตของชาวบ้านและสิ่งแวดล้อมที่จะได้รับผลกระทบจากมลพิษของถ่านหิน นอกจากนี้ชาวบ้านยังวิตกว่า เส้นทางที่บริษัทสระบุรีถ่านหินจะก่อสร้างนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ ซึ่งยังมีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่ม รวมไปถึงขบวนการค้ายาเสพติด ซึ่งอาจส่งผลกระทบในด้านความมั่นคงด้วย ขณะที่ บริษัทสระบุรีถ่านหิน จำกัด ได้รับสัมปทานขุดถ่านหินลิกไนต์ในเมืองก๊กจากรัฐบาลพม่าเป็นเวลา 30 ปี ซึ่งมีมูลค่าหลายแสนล้านบาท ขณะที่ถ่านหินจากเมืองก๊กนั้นจะถูกนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงป้อนโรงงานอุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์ที่จังหวัดสระบุรี
................................................. แปลและเรียบเรียงโดย สาละวินโพสต์ "สื่อทางเลือกเพื่อแบ่งปันความเข้าใจสู่เพื่อนบ้าน"อ่านข่าวและบท ความอื่นๆ อีกมากมายได้ที่เว็บไซต์ www.salweennews.org เฟซบุ๊คhttp://www.facebook.com/Salweenpost ทวิตเตอร์ http://twitter.com/salweenpost สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
เครือข่ายผู้หญิงฯ เปิดผนึกถึงนายกฯ ยุติสงครามกัมพูชา Posted: 05 May 2011 07:41 AM PDT เมื่อวันที่ 4 พ.ค. เครือข่ายผู้หญิงเพื่อความก้าวหน้าและสันติภาพเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี แสดงความห่วงใยในความสูญเสียของประชาชนทั้งสองฝ่ายกรณีความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยและกัมพูชากรณีพื้นที่ชายแดน โดยจดหมายดังกล่าวเรียกร้องให้ยุติการใช้อาวุธสงครามทันทีโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ยุติการใช้เขาพระวิหารเป็นเงื่อนไข เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองภายในของแต่ละฝ่าย ให้ใช้แนวทางแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธี โดยเคารพในสิทธิมนุษยชนที่ประชาชนทั้งสองประเทศจะต้องได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม รวมถึงกลุ่มผู้หญิง โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้ง รวมทั้งยื่นเรื่องให้ UNESCO ยืดเวลาการพิจารณาเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เพื่อลดทอนบรรยากาศความขัดแย้งและตึงเครียดของทั้งสองฝ่าย 0 0 0 จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ 4 พฤษภาคม 2554 สืบเนื่องจากความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยและกัมพูชากรณีพื้นที่ชายแดนบริเวณเขาพระวิหาร จ. ศรีสะเกษ และที่บริเวณปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์และชายแดนจ.บุรีรัมย์ ที่ได้ทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2554 ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่อาศัยบริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศ มีผู้ที่สูญเสียชีวิต บาดเจ็บ จำนวนมาก คนชรา เด็ก และผู้หญิงต้องอพยพจากหมู่บ้านและที่พักอาศัย เพื่อหลบหนีภัยจากอาวุธสงครามที่ทั้งสองฝ่ายตอบโต้กัน ประชาชนกว่า 40,000 ชีวิต ต้องตกอยู่ในสภาวะยากลำบากไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ได้ก่อให้เกิดความสะเทือนใจแก่ประชาคมอาเซียนและประชาคมโลกเป็นอย่างยิ่ง เครือข่ายผู้หญิงเพื่อความก้าวหน้าและสันติภาพ ซึ่งประกอบด้วยองค์กรผู้หญิงจากทุกภูมิภาคของประเทศไทย มีความห่วงใยในชีวิตของประชาชนทั้งสองฝ่ายที่ต้องพลัดที่อยู่ บาดเจ็บ และสูญเสียชีวิต อันสืบเนื่องมาจากความขัดแย้งจากกรณีพิพาทบริเวณชายแดนดังกล่าว ทั้งที่ประชาชนทั้งสองฝ่ายเคยถ้อยทีถ้อยอาศัยและอยู่อย่างปกติสุขมายาวนาน จึงขอเรียกร้องให้มีการดำเนินการโดยเร่งด่วน ดังนี้ -ยุติการใช้อาวุธสงครามทันทีโดยปราศจากเงื่อนไขใด ๆ -ยุติการใช้เขาพระวิหารเป็นเงื่อนไข เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองภายในของแต่ละฝ่าย -ใช้แนวทางแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธี โดยเคารพในสิทธิมนุษยชนที่ประชาชนทั้งสองประเทศจะต้องได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตามพันธสัญญาของกติการะหว่างประเทศขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และกฎบัตรอาเซียนที่เน้นถึงการอยู่ร่วมเป็นประชาคมอาเซียนอย่างมีสันติภาพและความสงบสุข -สร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม รวมถึงกลุ่มผู้หญิง โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งตามมติขององค์การสหประชาชาติที่ 1325 (UN Resolution No 1325) โดยรับฟังเสียงสะท้อนและความต้องการของประชาชนและกลุ่มผู้หญิง ตลอดจนให้การเยียวยาความสูญเสียที่เกิดขึ้น -ยื่นเรื่องให้ UNESCO ยืดเวลาการพิจารณาเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เพื่อลดทอนบรรยากาศความขัดแย้งและตึงเครียดของทั้งสองฝ่าย เครือข่ายผู้หญิงเพื่อความก้าวหน้า หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ฯพณฯ จะเร่งดำเนินการตามข้อเสนอข้างต้น เพื่อให้เกิดสันติภาพและสันติสุขแก่ประชาชนทั้งสองประเทศและในประชาคมอาเซียนอย่างยั่งยืนสืบไป ขอแสดงความนับถือ
รายชื่อเครือข่ายผู้หญิงเพื่อความก้าวหน้าและสันติภาพ
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ว่าด้วยทวิตเตอร์แอคเคาท์ @PM_Abhisit สมบัติส่วนตัวหรือของรัฐบาล? Posted: 05 May 2011 07:22 AM PDT บล็อกเกอร์ตั้งข้อสังเกตหลังทวิตเตอร์แอคเคาท์ @PM_Abhisit รีทวีตข้อความประชาสัมพันธ์ ปชป.-เว็บประจำตัวนายกฯ ทำลิ้งก์ไปทวิตเตอร์อภิสิทธิ์ ถามความชัดเจน "สมบัติสาธารณะ" หรือ "สมบัติส่วนบุคคล"
บล็อก www.ipattt.com ของพัชร เกิดศิริ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดออนไลน์ บริษัทไทเกอร์ไอเดีย เรื่อง "ของรัฐบาลหรือของส่วนตัว ? จับตาดู account @PM_Abhisit" เมื่อวันที่ 3 พ.ค.54 ซึ่งระบุว่าเขียนร่วมกับวรงค์ หลูไพบูลย์ ตั้งข้อสังเกตจากกรณีทวิตเตอร์แอคเคาท์ @PM_Abhisit รีทวีตข้อความจากทวิตเตอร์แอคเคาท์ของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ซึ่งมีเนื้อหาประชาสัมพันธ์นโยบายพรรค รวมทั้งพาดพิงถึงนโยบายของพรรคเพื่อไทยในเชิงเปรียบเทียบด้วย เนื้อหาของบล็อกย้อนรอยไปถึงช่วงที่มีการตั้งคำถามจากสาธารณะว่า แอคเคาท์ @PM_Abhisit นั้นทวีตโดยนายอภิสิทธิ์จริงหรือไม่ หลังจากที่มีการอวยพรวันเกิดไปยัง @thaksinlive (ทวิตเตอร์แอคเคาท์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) โดย ปชป.เคยชี้แจงว่าทวิตเตอร์แอคเคาท์ดังกล่าวทวีตโดยอาสาสมัครที่ไม่ได้รับเงินเดือน ก่อนจะออกมาแถลงข่าวว่าตัดสินใจใช้แอคเคาท์ดังกล่าวเป็นแอคเคาท์ทางการของนายอภิสิทธิ์ในเวลาต่อมา ทั้งนี้ เมื่อลองดูในหน้าโปรไฟล์ของแอคเคาท์ @PM_Abhisit พบว่าคำอธิบายค่อนข้างกำกวม โดยระบุว่า เป็นแอคเคาท์ทางการของนายกรัฐมนตรีของไทย บล็อกดังกล่าวตั้งคำถามถึงบทบาทในฐานะบุคคลและผู้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ "เมื่อคุณอภิสิทธิ์สวมบทบาทเป็นประชาชนคนหนึ่ง ย่อมมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรได้ดังเช่นคนปรกติทั่วๆ ไป เช่นการสนทนาพูดคุยเล่นหัวกับผู้อื่น หรือการหาประโยชน์ส่วนตัวหรือพรรคพวก ดังเช่นการโฆษณาหาเสียงให้พรรคประชาธิปัตย์ที่คุณอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้านั้นย่อมไม่เป็นปัญหาอันใด แต่เพราะคุณอภิสิทธิ์ยังมีฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกด้วย เมื่อคุณอภิสิทธิ์สวมบทบาทนี้ หรือใช้ทรัพยากรในฐานะนายกรัฐมนตรี (อันหมายถึงเป็นของสาธารณะ) จำเป็นต้องระมัดระวังและเคร่งครัดที่จะไม่ใช้เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ของคุณอภิสิทธิ์เองหรือพรรคการเมืองที่คุณอภิสิทธิ์สังกัด "ดังนั้นคำถามที่น่าสนใจก็คือ: แอคเคาท์ @PM_Abhisit นั้นเป็นแอคเคาท์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย หรือ แอคเคาท์ส่วนตัวของคุณอภิสิทธิ์เอง ซึ่งทั้งสองแบบนี้ย่อมมีความแตกต่างกันทั้งในบทบาทและการบริหารจัดการ" นอกจากนี้ มีการยกตัวอย่างเว็บไซต์ทางการประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (http://www.pm.go.th) ซึ่งมีการเชื่อมต่อไปที่ทวิตเตอร์แอคเคาท์ ทั้งนี้ การที่เว็บลงท้ายด้วย .go.th บ่งบอกว่าเป็นเว็บไซต์ของทางราชการ ซึ่งใช้เงินภาษีของประชาชนในการสร้าง การเชื่อมต่อไปที่ทวิตเตอร์แอคเคาท์ดังกล่าว ย่อมส่งผลให้เข้าใจว่าแอคเคาท์ @PM_Abhisit เป็นทวิตเตอร์แอคเคาท์ทางการประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังนั้น เมื่อมีการทวีตข้อความประชาสัมพันธ์ ปชป. ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น จึงควรมีการอธิบายความคลุมเครือนี้ต่อสาธารณชน ทั้งนี้ บล็อกดังกล่าวได้หยิบยกเว็บไซต์ของทำเนียบขาวของสหรัฐฯ มาเปรียบเทียบด้วย โดยระบุว่า การเชื่อมต่อทวิตเตอร์แอคเคาท์นั้นเชื่อมต่อไปที่ทวิตเตอร์แอคเคาท์ของทำเนียบขาว ด้านเนื้อหา เว็บไซต์ทำเนียบขาว มีข้อมูล ความรู้เกี่ยวกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ การบริหารจัดการ และทำเนียบประธานาธิบดีทุกคนในอดีต ขณะที่เว็บไซต์นายกรัฐมนตรี ข้อมูลเกือบทั้งหมดอิงอยู่กับตัวนายอภิสิทธิ์ โดยไม่มีเรื่องของนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ ในอดีต อย่างไรก็ตาม ทิ้งท้ายไว้ว่า อาจไม่มีนโยบายในการพัฒนาหรือไม่มีเวลาเพียงพอก็เป็นได้ ตอนท้าย บล็อกนี้สรุปถึงพื้นที่ออนไลน์และความชัดเจนของตำแหน่งและบทบาท โดยชี้ให้เห็นว่า ความพยายามแยกให้ชัดเจนระหว่างสมบัติสาธารณะกับสมบัติส่วนบุคคลเป็นหลักการหนึ่งที่เป็นพื้นฐานของความโปร่งใสและการตรวจสอบได้ อันนำไปสู่เส้นทางของการต่อต้านคอร์รัปชัน ในพื้นที่ใหม่อย่างโลกออนไลน์ของไทยที่ยังปราศจากความชัดเจนที่ว่านี้ สาธารณชนผู้ประกาศตัวว่ารังเกียจการคอร์รัปชันและการเอารัดเอาเปรียบ จึงควรให้ความสนใจประเด็นนี้เช่นกัน
--------------------- สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
พวงทอง ภวัครพันธุ์: นัยของการยื่นศาลโลกตีความคำพิพากษาปี 2505 ของกัมพูชา Posted: 04 May 2011 11:36 PM PDT
ในที่สุดสิ่งที่ผู้เขียนเคยคาดการณ์ไว้ก็เป็นจริง เมื่อรัฐบาลกัมพูชาตัดสินใจยื่นให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกตีความคำพิพากษากรณีปราสาทพระวิหารปี 2505 เพราะเห็นว่าไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาข้อพิพาทเหนือพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารโดยลำพังสองประเทศอีกต่อไป รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่รังเกียจบทบาทของบุคคลที่สามมาตลอด ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป เพียงแต่เมื่อถึงตอนที่กระบวนการตีความเริ่มขึ้น อาจไม่มีรัฐบาลอภิสิทธิ์แล้ว แต่เป็นรัฐบาลอื่นที่ต้องมารับปัญหาต่อไป การยื่นขอให้ศาลโลกตีความนี้ กัมพูชาอาศัยมาตรา 60 ของธรรมนูญศาลโลก ที่ระบุว่า “ในกรณีที่มีข้อพิพาทว่าด้วยความหมายหรือขอบเขตของคำพิพากษา ศาลพึงตีความตามคำร้องของคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” โดยมาตรา 60 อนุญาตให้กัมพูชายื่นได้โดยลำพัง ไม่จำเป็นต้องได้รับการสมยอมจากไทย ไม่ได้กำหนดว่าต้องยื่นภายในระยะเวลาเท่าไร (อันนี้คนละเรื่องกับการอุทธรณ์คำพิพากษา ที่ต้องกระทำภายใน 10 ปีหลังมีคำพิพากษา) แต่เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ ฝ่ายไทยก็ต้องตั้งทีมกฏหมายเพื่อไปโต้แย้งข้อกล่าวหาและคำร้องของกัมพูชาอย่างแน่นอน เพราะถ้าไม่ไป ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้ฝ่ายกัมพูชาชี้แจงกับศาลโลกอยู่ฝ่ายเดียว เสียเปรียบแน่นอน เรื่องกัมพูชายื่นให้ศาลโลกตีความนี้ เป็นข่าวอยู่หลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ แต่ไม่มีความชัดเจนว่าจะยื่นให้ศาลตีความประเด็นอะไร จนกระทั่งวันจันทร์ที่ 2 พ.ค.นี้ เว็บไซต์ของศาลโลกก็ตีพิมพ์ใบแถลงข่าว ทำให้มีรายละเอียดมากพอที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังได้ จะเข้าใจประเด็นที่กัมพูชายื่นให้ตีความ เราจำเป็นต้องย้อนกลับไปดูคำพิพากษาปี 2505 เสียก่อน ข้อวินิจจัยเรื่องเส้นเขตแดนปี 2505 กัมพูชาได้ยื่นขอให้ศาลตีความคำพิพากษาข้อ 2 ข้อเดียว โดยขอให้ศาลวินิจฉัยและชี้ขาดว่าประเด็นที่ว่า “พันธะที่ประเทศไทยจะต้อง “ถอนกำลังทหาร หรือตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลซึ่งประเทศไทยส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือบริเวณใกล้เคียงในอาณาเขตของกัมพูชา (ตามข้อ 2 ของบทปฏิบัติการของคำพิพากษาเมื่อปี 2505) เป็นผลโดยตรงของการที่ไทยมีพันธะที่จะต้องเคารพต่อบูรณภาพของดินแดนของกัมพูชา ทั้งนี้ ดินแดนดังกล่าว อันเป็นที่ตั้งของปราสาทและบริเวณใกล้เคียง ได้ถูกปักปันตามเส้นเขตแดนที่ลากไว้บนแผนที่ (ซึ่งศาลได้เคยวินิจฉัยไว้ในหน้า 21 ของรายงานคำพิพากษา)” แปลข้อความดังกล่าวให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ กัมพูชาต้องการให้ศาลชี้ชัดว่า ที่ศาลเคยพิพากษาว่าไทยจะต้องถอนกองกำลังออกจากปราสาทพระวิหารและ “บริเวณใกล้เคียง” (vicinity) ในเขตกัมพูชานั้น ขอบเขตของ “บริเวณใกล้เคียง” ถูกกำหนดด้วยเส้นเขตแดนที่ปรากฎในแผนที่ใช่หรือไม่ ทั้งนี้ กัมพูชาถือว่าศาลโลกได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าเส้นเขตแดนในบริเวณพิพาทคือเส้นที่ลากไว้บนแผนที่ อันเป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันผสมสยาม-ฝรั่งเศส (หรือแผนที่ 1: 200,000) ดังนี้ "ประเทศไทยใน ค.ศ.1908-1909 ได้ยอมรับแผนที่ในภาคผนวก 1 ว่าเป็นผลงานของการปักปันเขตแดน และด้วยเหตุนี้ จึงได้รับรองเส้นบนแผนที่ว่าเป็นเส้นเขตแดน อันเป็นผลให้พระวิหารตกอยู่ในดินแดนกัมพูชา ศาลมีความเห็นต่อไปว่า เมื่อพิจารณาโดยทั่วๆ ไป การกระทำต่อๆ มาของไทยมีแต่ยืนยัน และชี้ให้เห็นชัดถึงการยอมรับแต่แรกนั้น และว่าการกระทำของไทยในเขตท้องที่ก็ไม่พอเพียงที่จะลบล้างข้อนี้ได้ คู่กรณีทั้งสองฝ่าย โดยการประพฤติปฏิบัติของตนเองได้รับรองเส้นแผนที่นี้ และดังนั้น จึงถือได้ว่าเป็นการตกลงให้ถือว่าเส้นนี้เป็นเส้นเขตแดน" แม้ว่าศาลโลกได้ระบุไว้ว่าข้อวินิจฉัยเรื่องเส้นเขตแดนนี้ จะไม่ถูกรวมไว้ใน “บทปฏิบัติการ” (operative clause) ของคำพิพากษา แต่เป็น “การให้เหตุผล” เพื่อใช้ตัดสินสามประเด็นที่ยกมาข้างต้นเท่านั้น แต่ฝ่ายกัมพูชามองว่านี่คือจุดแข็งของตนเอง เพราะศาลระบุไว้ชัดเจนแล้วว่าเส้นเขตแดนในบริเวณปราสาทพระวิหาร คือเส้นที่ปรากฏในแผนที่ ขณะที่ศาลไม่เคยวินิจฉัยยอมรับว่าเส้นสันปันน้ำ คือเส้นเขตแดนในบริเวณพิพาทเลย แต่ศาลยังเห็นว่า “ไม่มีเหตุผลที่จะให้คิดว่าคู่กรณีได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่เส้นสันปันน้ำโดยเจาะจง เมื่อเปรียบเทียบกับความสำคัญที่เหนือกว่าของการยึดเส้นเขตแดนในแผนที่ซึ่งได้ปักปันกันในเวลาต่อมาและเป็นที่ยอมรับแก่คู่กรณี ทั้งนี้ เพื่อให้เรื่องได้เป็นที่ยุติกันไป ฉะนั้น อาศัยหลักในการตีความสนธิสัญญา ศาลจึงจำต้องลงความเห็นให้ถือเส้นเขตแดนตามแผนที่ของบริเวณพิพาท” นัยของการตีความข้อนี้คือ หากศาลตีความเป็นคุณให้กับฝ่ายกัมพูชา ก็หมายความว่าไทยต้องถอนทหารออกจากบริเวณพื้นที่พิพาท 4.6 ตร.กม.ให้หมดนั่นเอง มาตรการเฉพาะกาล (Provisional measures) 1. ให้กองกำลังทั้งหมดของไทยถอนตัวออกจากดินแดนของกัมพูชาในบริเวณปราสาทพระวิหาร กัมพูชาให้เหตุผลประกอบคำร้องดังกล่าวว่า เป็นผลจากการปะทะกันอย่างรุนแรงของกำลังทหารในบริเวณปราสาทพระวิหารและชายแดนจุดอื่นๆ จนนำไปสู่ความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน การบาดเจ็บ และผู้คนจำนวนมากต้องอพยพออกจากที่พัก มาตรการเฉพาะกาลจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับปกป้องอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของกัมพูชา ทำให้ไทยยุติการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น และป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปกว่าเดิม ในกรณีนี้ กัมพูชาอ้างมาตรา 41 ของธรรมนูญศาลโลกที่บัญญัติว่า “หากศาลพิจารณาเห็นว่ามีความจำเป็นในทางสถานการณ์ ศาลพึงมีอำนาจที่จะกำหนดให้ใช้มาตราการเฉพาะกาลที่จะช่วยพิทักษ์สิทธิของคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” นี่จึงเป็นอีกกรณีหนึ่งที่ฝ่ายไทยจะต้องโต้แย้งอีกเช่นกัน เพราะหากศาลมีคำสั่งตามที่กัมพูชาร้องขอ ก็จะนำไปสู่คำถามที่สำคัญอีกว่า อาณาบริเวณที่กองกำลังของไทยจะต้องถอนตัวออกมานี่ มีขอบเขตแค่ไหน ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ ผู้เขียนเห็นด้วยกับอ.ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช ที่ว่าเป็นการยากที่จะคาดคะเนว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ แพ้ หรือเสมอ และศาลอาจรับหรือไม่รับคำร้องขอให้ตีความของกัมพูชาก็ได้ การอ่านผลของคดีเก่าๆ อาจช่วยให้เราคาดคะเนทิศทางการวินิจฉัยคดีของศาลได้บ้าง แต่ก็เป็นได้แค่การประเมินเท่านั้น เพราะแต่ละคดีมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ การตีความเหตุการณ์และตัวกฎหมายยังขึ้นกับตัวผู้พิพากษาเป็นสำคัญ แต่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือ ทีมกฎหมายของไทยมีงานหนักที่จะต้องโต้แย้งคำร้องของกัมพูชาอยู่หลายข้อทีเดียว อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนยังอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ที่ในที่สุดกรณีปราสาทพระวิหารต้องเดินมาถึงจุดนี้ เพราะในความเป็นจริง ในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช หน่วยงานของไทยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องปราสาทพระวิหาร สามารถเจรจาจนรัฐบาลกัมพูชายอมรับที่จะให้มีการบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารร่วมกัน แต่ความพยายามนี้ก็ต้องถูกทำลายลงด้วยกระแสคลั่งชาติ จนนำไปสู่การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของทั้งสองฝ่ายหลายครั้งหลายครา ปัญหาคือ การยื่นตีความนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดจะแพ้หรือชนะ ก็จะไม่ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาดีขึ้น มีแต่จะเป็นเหตุแห่งการเพิ่มพูนความเกลียดชังซึ่งกันและกันยิ่งขึ้นไปอีก
*ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันอยู่ระหว่างเป็น Visiting research fellow, the Shorenstein Asia Pacific Research Center, Stanford University สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ไทยขื่นขัน อันหาที่สิ้นสุดมิได้ "ฮิวแมนไรต์ วอต์ช" Posted: 04 May 2011 10:42 PM PDT |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น