โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

พันธมิตรฯ ชี้ "ยิ่งลักษณ์" ชิงนายกฯ เป็นตัวอย่างของการเมืองที่ล้มเหลว จึงต้องโหวตโน

Posted: 16 May 2011 02:01 PM PDT

"สุเทพ" เชื่อ "อภิสิทธิ์" ได้เปรียบกว่า "ยิ่งลักษณ์" มาก เพราะได้แสดงความเป็นผู้นำแก้ปัญหาประเทศ รักษาบ้านเมืองให้รอดพ้นมาได้ "ยิ่งลักษณ์" เป็นนายกฯ คงทำงานยากเพราะต้องคอยฟังเสียงโทรศัพท์ทางไกล ส่วน "พันธมิตรฯ" ชี้การโหวตโน คือการทำบุญให้แก่ประเทศ โดยปล่อยให้คนชั่วมาปกครองบ้านเมือง

"ยิ่งลักษณ์" นั่งเบอร์ 1 ปาร์ตี้ลิสต์เพื่อไทย ลั่นไม่แก้แค้น แต่จะแก้ไขปัญหา

เมื่อวานนี้ (16 พ.ค.) ที่ประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทยได้ลงมติเอกฉันท์เลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นว่าที่ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 และเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของพรรคเพื่อไทย ภายหลังที่นายวิทยา บุรณศิริ อดีต ส.ส.พระนครศรีอยุธยา เสนอชื่อเพียงผู้เดียว

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ยืนยันความพร้อมในการทำหน้าที่ และชูนโยบายความสามัคคี ปรองดอง และเน้นสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง โดยไม่คิดจะแก้แค้น แต่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน และระบุว่าไม่รู้สึกหวั่นไหวกับการโจมตีเรื่องส่วนตัวทางการเมือง พร้อมรับการพิสูจน์ต่อสาธารณะภายใต้กติกาที่เป็นธรรม ส่วนการชูนโยบายนิรโทษกรรมและนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศนั้นเห็นว่าเป็นเรื่องที่เร็วเกินไป เพราะสิ่งแรกที่ควรทำคือการแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติ (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)

 

"สุเทพ" ชี้ "ยิ่งลักษณ์" เป็นนายกฯ คงทำงานยาก เพราะต้องคอยฟังเสียงจากโทรศัพท์ทางไกล

เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวานนี้ (16 พ.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย จะส่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นแคนดิเดตชิงเก้าอี้นายกฯ ว่า เวลาจะพูดถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องพูดด้วยความระมัดระวังเพราะเป็นสุภาพสตรี แต่ขอบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็ขอต้อนรับในฐานะเป็นผู้นำของพรรคการเมือง คู่แข่งขัน และให้ความนับถือจะปฏิบัติต่อเธอในฐานะที่เป็นคู่แข่งขันคนหนึ่ง เขาเชื่อว่าประชาชนไม่ได้พิจารณาที่ความเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่จะพิจารณาว่า ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่เหมาะสมในภาวะบ้านเมืองขณะนี้ ถ้าตรงนี้คิดว่า นายอภิสิทธิ์ได้เปรียบมาก และพรรคประชาธิปัตย์ได้ 10 คะแนนเต็ม เพราะนายอภิสิทธิ์ได้แสดงฝีมือ ความเป็นผู้นำในการเป็นนายกฯแก้ปัญหาของประเทศในช่วงวิกฤตของประเทศ รักษาบ้านเมืองรอดพ้นมาได้ 2 ปีกว่า

"ส่วนคุณยิ่งลักษณ์ ประชาชนคงหลับตาแล้วนึกไม่ค่อยออกว่า ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วจะแก้ปัญหาประเทศอย่างไร หรือต้องทำงานไปคอยฟังเสียงโทรศัพท์ทางไกลตลอดเวลาว่าจะวิพากษ์ว่าอย่างไร มันก็เหมือนหนังตะลุง ก็เลยทำงานยาก ทำให้เสียเปรียบมาก มีส่วนที่ได้เปรียบอย่างเดียวคือ พรรคนั้นเงินเยอะ มีวิชาเทพ วิชามาร ชำนาญศึก ขนาดถูกยุบพรรคมาแล้ว 2 หนที่เขาจับได้ ยังมีที่จับไม่ได้อีกนะ ที่จับไม่ได้ก็มีเยอะ ถือเป็นความช่ำชองที่ได้เปรียบ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นหัวเลี้ยวหัวที่สำคัญของประเทศ ประชาชนที่เลือกตั้งต้องชั่งใจอย่างหนัก" เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ระบุ

ส่วนการที่ พ.ต.ท.ทักษิณประเมินว่า พรรคประชาธิปัตย์จะได้คะแนนน้อยลง เพราะนโยบายพรรค ประชาชนจับต้องไม่ได้นั้น นายสุเทพกล่าวว่า ขอให้เอาสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดวันนี้แปะติดไว้ข้างฝา ติดไว้คู่กับสิ่งที่เขาพูดไว้เลือกตั้งเสร็จแล้วค่อยมาดูกัน

 

โฆษกพันธมิตรฯ ชี้เพื่อไทยส่ง "ยิ่งลักษณ์" ชิงนายกฯ เป็นตัวอย่างการเมืองที่ล้มเหลว ต้องโหวตโน

เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานด้วยว่า นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กล่าวว่า หากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกฯ ประเทศคงจะไม่สงบ และมีความวุ่นวายเหมือนเดิม ยกเว้นเงื่อนไข 3 ประการ คือ หนึ่ง การกลับมาของ นช.ทักษิณนั้นจะต้องเคารพในหลักนิติรัฐนิติธรรม ซึ่งกระบวนการยุติธรรมก็ได้สิ้นสุดไปเรียบร้อยแล้ว สอง ต้องหยุดขบวนการทั้งในพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มีลักษณะการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ สาม ต้องหยุดพฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชัน

โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า เมื่อมองอีกมุมหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่า พรรคการเมืองไม่ได้เป็นสมบัติของประชาชนอย่างแท้จริง แต่กลายเป็นว่าผู้มีอิทธิพลในพรรคสามารถกำหนดชี้ขาดให้ญาติพี่น้องของตัวเองมาเป็นหัวหน้าพรรคหรือคู่ชิงนายกฯ ได้ นี่คือตัวอย่างของการเมืองที่ล้มเหลว รวมทั้งในฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ที่มีความพยายามโน้มน้าวว่านักการเมืองไม่ได้เลวทุกคนนั้น ก็เป็นเพียงคำกล่าวอ้างของนักการเมืองในระบบที่พยายามปกป้องคนในกลุ่มอาชีพของตัวเองทั้งสิ้น ไม่ต่างจากการยกมือสนับสนุนในการอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกครั้ง แม้ว่าบางคนจะถูกชี้มูลโดย ป.ป.ช.ก็ตาม แสดงให้เห็นว่าระบบพรรคการเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ของพวกพ้องนั้น ไม่สามารถที่จะเอื้ออำนวยให้เกิดการปฏิรูประบบคนดีในสภาผู้แทนราษฎรได้ และจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง จึงเป็นสาเหตุที่ประชาชนต้องร่วมมือกันรณรงค์กาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน เพื่อส่งสัญญาณการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่

“การโหวตโน คือการไม่ทำบาปทำร้ายประเทศชาติ และยังถือเป็นการทำบุญให้แก่ประเทศ โดยไม่ส่งเสริมพรรคการเมืองข้างใดข้างหนึ่งที่จะนำเสียงของเราไปแอบอ้างในการทำร้ายประเทศ หรือปล่อยให้คนชั่วมาปกครองบ้านเมือง” นายปานเทพกล่าว

นอกจากนี้ นายปานเทพยังกล่าวว่า จะมีการไปรณรงค์โหวตโน ในที่สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ด้วย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เฟิรสท์สปีช ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ คู่ชิงตำแหน่งนายกฯ “มองข้ามความขัดแย้ง...ไม่แก้แค้น แต่แก้ไข”

Posted: 16 May 2011 11:44 AM PDT

 

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวในการแถลงเปิดตัว หลังได้รับเลือกจากพรรคเพื่อไทย ให้เป็นผู้สมัคร ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ อันดับ 1 พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2554 ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย มีเนื้อหาโดยละเอียด ดังนี้

0 0 0

เรียนท่านพี่น้องประชาชน และท่านสื่อมวลชนที่เคารพรักอย่างยิ่ง

ในวันนี้ ดิฉันดีใจ และมีความภูมิใจที่ได้มาพบกับท่านสื่อมวลชนในอีกสถานะหนึ่งซึ่งเป็นสถานะที่เป็นภารกิจอันทรงเกียรติที่ดิฉันจะได้มีโอกาสเข้ามาร่วมกับพรรคเพื่อไทยในการรับใช้ประชาชน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ดิฉันเป็นเด็กต่างจังหวัด เรามีครอบครัวที่ทำการค้าขาย ดิฉันมีโอกาสได้สัมผัสกับการค้าขายตั้งแต่วัยเล็ก ซึ่งเราก็ได้ร่วมรับรู้ธุรกิจตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างตัว เรียนรู้ปัญหา และการแก้ปัญหาโดยตลอด ประกอบกับครอบครัวของดิฉัน ซึ่งมีทั้งคุณพ่อ พี่สาว และพี่ชายที่เข้ามาทำงานทางการเมือง

ดิฉันมีส่วนในการได้ร่วมรับรู้ และร่วมในการพบปะประชาชนตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เข้าใจปัญหาและความทุกข์ยากของประชาชนมาโดยตลอด

สำหรับตัวดิฉันเอง ดิฉันจบรัฐศาสตร์ นอกจากนั้น ดิฉันผ่านงานบริษัทเอกชน ผ่านการทำงานมาจากสายประเภทธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสิ่งพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ ทีวี โทรคมนาคม และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ทั้งหมดทุกประเภทที่ดิฉันได้เข้ามาร่วมประสบการณ์ในการทำงานนั้น ล้วนเป็นงานพัฒนาและงานบริการเพื่อลูกค้าหรือประชาชนแทบทั้งสิ้น

อย่างเช่นเหตุการณ์สึนามิที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2547 ดิฉันทราบอย่างเดียวว่า ในฐานะที่เป็นผู้นำองค์กร ทำอย่างไรให้ประชาชนหรือลูกค้าของดิฉันนั้นสามารถติดต่อกับญาติ หรือเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิในครั้งนั้น นั่นคือสิ่งที่ดิฉันพึงกระทำ และทำอย่างดีที่สุด เพื่อให้การช่วยเหลือบรรดาผู้ที่ประสบภัยนั้นรอดชีวิต นี่ก็เป็นอีก 1 งานที่ดิฉันภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง ในการช่วยเหลือประชาชน

จากการทำงานบริการ ทำให้เข้าใจว่า ทุกข์ หรือความเดือดร้อนของลูกค้านั้น รอไม่ได้ (เน้นเสียง) ต้องได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วและทันทีคะ

อีกส่วนหนึ่งของชีวิต ดิฉันได้ร่วมทำงานกับมูลนิธิไทยคม ทำงานทางด้านของการศึกษาและกีฬาเพื่อเยาวชนไทย ซึ่งดิฉันมองเห็นว่า อนาคตเยาวชนไทยนั้นเป็นสิ่งสำคัญ และอนาคตของเด็กไทยนั้น ถ้าอนาคตเด็กไทยแข็งแรง ก็จะทำให้ประเทศไทยแข็งแรงไปด้วย นั่นคือสิ่งที่ดิฉันอยากเข้ามามีส่วนในการที่จะร่วมพัฒนาเพื่อเยาวชนไทยของเราด้วย

ดังนั้น นอกจากงานที่ดิฉันได้มีการเรียนรู้ด้วยความหลากหลายวิชานั้น ยังมีโอกาสที่ได้รับถ่ายทอดความรู้ และแนวความคิดจากคุณพ่อและพี่ชายที่มองในเรื่องของการมองไปข้างหน้าและทางเลือกใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดิฉันพยายามที่จะเรียนรู้มาโดยตลอดตั้งแต่เล็กจนถึงปัจจุบัน

หลังเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหารเมื่อปี 2549 คงไม่เป็นที่ปฏิเสธว่า ด้วยสถานการณ์นี้ ทำให้ดิฉันได้มีโอกาสเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติของการเมืองเป็นอย่างดี และผ่านไปถึง 5 ปี ผู้คนและประชาชนก็ยังคิดถึงพี่ชายและคิดถึงนโยบายเก่าๆ ที่เคยทำมาในอดีต รวมถึงให้ความอบอุ่น ความเมตตากับครอบครัวดิฉัน ดิฉันจึงรู้สึกว่าครอบครัวของเรานั้น เป็นหนี้ประชาชน

นี่เป็นเหตุผลใหญ่ของการตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมือง ดิฉันไม่ได้เข้ามาเล่นการเมือง แต่ดิฉันอยากจะเสนอตัวมารับใช้ประชาชน อยากเห็นประเทศไทยของเรามองข้ามความขัดแย้ง แล้วเดินไปข้างหน้าด้วยกัน

ดังนั้นสิ่งที่ตั้งใจอยากจะเห็นและเข้ามาทำงานครั้งนี้ ก็คือการอยากจะเห็นความสามัคคีปรองดองในชาติเพื่อจะเป็นการส่งสัญญาณว่า พรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะสร้างความปรองดอง และพรรคเพื่อไทยนั้นไม่คิดแก้แค้น แต่จะแก้ไข

รวมถึงการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับประชาชน และแก้ปัญหาความทุกข์ยากปากท้องของประชาชนซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วน และอยากเห็นการเมืองไทยเป็นการเมืองที่สร้างสรรค์ เป็นไปตามระบบนิติธรรม ดังนั้น ดิฉันและพรรคเพื่อไทย ขอยืนยันอีกครั้งว่า พวกเราขอขันอาสาที่จะทำงาน รับใช้ บนภารกิจอันทรงเกียรตินี้

ดิฉันพร้อมที่จะเข้ารับการพิสูจน์ต่อสาธารณชนภายใต้กติกามารยาทที่เป็นธรรม

ดิฉันขอยืนยันในเจตนารมย์และความตั้งใจ จะทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อเข้ามาทำงานทางการเมืองและรับใช้พี่น้องประชาชน ซึ่งหวังว่าประชาชนจะให้โอกาสดิฉันและพรรคเพื่อไทยในการเข้ามาทำงานรับใช้ในครั้งนี้

0 0 0 

ถามตอบ สื่อมวลชน
“พรรคเพื่อไทยคงไม่ได้อนุญาตให้ดิฉันทำเพื่อคนคนเดียว”

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบคำถามสื่อมวลชนกรณีถูกโจมตีเรื่องส่วนตัวว่า “เป็นปกติที่ดิฉันได้เรียนในคำกล่าวเบื้องต้นว่า ดิฉันพร้อมที่จะรับการพิสูจน์ต่อสาธารณชน ภายใต้กติกามารยาทที่เป็นธรรม นี่ก็เรียนว่า ตรงนี้มีความพร้อม และอยากเห็นบ้านเมืองเรานั้นมาเล่นการเมืองในรูปแบบที่สร้างสรรค์”

สำหรับคำถามว่าจะนิรโทษกรรมเอาพี่ชายกลับมาใช่หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “ไม่อยากให้มองอย่างนั้น ต้องเรียนว่าประเทศไทยยึดหลักนิติธรรม การทำอะไรนั้น ก็เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยคงไม่ได้อนุญาตให้ดิฉัน ทำเพื่อคนคนเดียว การทำอะไรต่างๆ นั้น ก็ต้องคำนึงถึงความเสมอภาคและสิทธิเสรีภาพของทุกคน ดิฉันขันอาสามาทำงานเพื่อประชาชนแน่นอนคะ ต้องเห็นแก่ผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง”

น.ส.ยิงลักษณ์ ตอบคำถามถึงการประเมินแนวทาง “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” จะทำให้ประชาชนสนับสนุนเพื่อไทยและเกิดปรากฏการณ์อะไรได้อีกหรือไม่ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า “อย่างแรกต้องบอกว่า ท่านทักษิณเอง ท่านมีความคิดดีๆ ก็เป็นธรรมดา ถ้าใครมีความคิดดีๆ ดิฉันก็เปิดกว้างแล้วก็เปิดรับคะ เพราะหลายๆ ท่าน วันนี้นอกจากท่านทักษิณเอง เราก็มีท่านที่ปรึกษาอีกหลายท่านที่พร้อมให้คำแนะนำ ฉะนั้น โจทย์แรกก็คือว่า การที่พรรคควรจะเปิดรับสิ่งที่ที่ดีๆ แล้วก็ผ่านเข้ามาในกระบวนการของพรรคในการที่จะตัดสินใจ ถามว่าผลจะเป็นอย่างไรนั้น ก็คงจะให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน”

สำหรับคำถามเกี่ยวกับวิกฤตเรื่องความขัดแย้งและแนวทางปรองดองสามัคคีนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า “การที่เราอยากเห็นประเทศชาติปรองดอง อันนี้ต้องเรียนว่า ดิฉันก็จะใช้ความเป็นผู้หญิงในการก้าวเข้าหา แล้วก็ก้าวไปสู่ความปรองดอง โดยการยินดีที่จะพบ และยินดีที่จะคุยเพื่อแลกเปลี่ยน จึงเรียนเชิญชวนว่า วันนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะมองข้ามความขัดแย้ง แล้วเพื่อให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าคะ” 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

บทวิเคราะห์ : ครป. พันธมิตรฯ และการรัฐประหาร

Posted: 16 May 2011 10:37 AM PDT

นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด เลขาธิการคณะกรรมการณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.-น่าจะเปลี่ยนเป็นคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการรัฐประหารน่าจะเหมาะกว่า) ได้แถลงจุดยืนในการเลือกตั้งครั้งนี้ไว้เมื่อไม่นานมานี้ ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.cpdthai.org/ 

เนื้อหาสาระและแนวความคิดหลักของแถลงการณ์นั้น เป็นเพียง “วาทกรรม” ที่ใช้มาตลอดของพวกอำมาตยาธิปไตย พวกนิยมรัฐประหาร พวกอนุรักษ์นิยม พวกไม่สนับสนุนให้มีการเลือกตั้ง ไม่เชื่อว่าให้อำนาจอธิปไตยควรมาจากประชาชน

เพื่อทำลายความชอบธรรมของนักการเมือง เพื่อให้คนดีมีศีลธรรม (ต้องคนดีของพวกอำมาตย์เท่านั้น) ขึ้นปกครองบริหารประเทศได้

เช่นเดียวกัน จุดยืนจากแถลงการณ์ ครป.ก็ไม่ต่างจากเวทีปราศรัยของพันธมิตรฯ หน้าทำเนียบรัฐบาลทุกวันนี้ คือนอกจากสร้างกระแสคลั่งชาติให้ไทยรบกับเขมรแล้ว ยังมีแนวทางเดียวกัน นั่นคือถอยจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ให้พรรคการเมืองใหม่ลงเลือกตั้ง และชูธง Vote No ที่นำโดย สนธิ ลิ้มทองกุล สุริยะใส กตะศิลา พิภพ ธงไชย สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ มิใช่ฝั่งต้องการให้พรรคการเมืองใหม่ลงสนามเลือกตั้งเช่น สมศักดิ์ โกศัยสุข และสาวิทย์ แก้วหวาน

แม้ว่า ครป. จะจัดให้มีกิจกรรมรณรงค์เลือกตั้ง “เลือกนโยบายพรรคการเมืองเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย” ทำดูเหมือนว่าจะสนับสนุนประชาธิปไตยระบอบรัฐสภาแต่มันเป็นเพียงเกมส์สร้างภาพลักษณ์เท่านั้น เนื่องเพราะเมื่อปี่กลองการเลือกตั้งกังวานไปสักระยะ พวกเขา ครป.จะเคลื่อนไหวให้ “โหวตโน” โดยให้เหตุผลว่า ไม่มีพรรคการเมืองไหนที่ควรเลือกเพื่อการปฏิรูป และเพื่อกระทำตัวเป็นหางเครื่องให้พันธมิตรอีกครั้งหนึ่ง

เหมือนเช่นคำสัมภาษณ์ของพิภพ ธงไชย ผู้นำทางความคิดของ ครป. โดย นสพ.ไทยโพสต์ ฉบับแทบลอยด์ล่าสุด : Vote No เพื่อปฏิรูปการเมือง ตอนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า ….

“ครป.ก็ออกแถลงการณ์มาว่าให้ไป Vote เพื่อปฏิรูป แต่ปัญหาว่าไป Vote เพื่อปฏิรูปจะทำยังไง สุดท้ายแล้วถ้า Vote เพื่อแสดงปฏิรูปอย่างที่ ครป.เสนอมา มันก็ต้องลงมาที่ช่อง Vote No เพื่อปฏิรูป ทำสำเร็จหรือไม่อีกเรื่องหนึ่งนะ…

…….ผมก็จะนัดคุยกับองค์กรภาคประชาชนอีกหลายองค์กร เขาไม่จำเป็นต้องมาประกาศเหมือนพันธมิตร เหมือนกรณีที่ ครป.ประกาศว่า เลือกตั้งเพื่อการปฏิรูป เขาไม่ได้ประกาศ vote no นะ แต่ต่อไปเราก็ต้องถามว่าเลือกตั้งเพื่อการปฏิรูปจะไปกาช่องไหนล่ะ"

และยุทธวิธีVote No คงเป็นการสร้างกระแสไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ไม่ให้ความชอบธรรมกับนักการเมือง ไม่เห็นด้วยกับพรรคการเมืองในระบอบรัฐสภา แม้แต่พรรคการเมืองใหม่

ยุทธวิธีที่ตามมา ไม่ว่าเสียง Vote No จะมากหรือน้อยเพียงใดโอกาสจึงเป็นไปได้สูง เมื่อพรรคเพื่อไทยได้เสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาล ก็จะมีการชุมนุมกดดันของม็อบมีเส้นอย่างพันธมิตรฯ และ ครป. (พรรคแมลงสาปก็คงหนุนเช่นเดิมแม้ว่า Vote No จักกระทบต่อฐานเสียงพวกเขาก็ตาม)

ไม่ยอมรับผลการเมืองเลือกตั้ง ไม่ยอมรับให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล และต้อง “ปฏิรูปการเมือง” เท่านั้น ตามแนวทางพันธมิตรที่ สนธิ และลิ่วล้อได้เสนอว่า หลังเลือกตั้งแล้ว พันธมิตรจะเคลื่อนไหวให้มีการปฏิรูปประเทศไทยต่อไป

แน่นอนว่า ปฏิรูปการเมืองของพวกเขา มิใช่การปฏิรูปกฎหมาย 112 กองทัพ องคมนตรี และกระบวนการยุติธรรมที่เป็นอุปสรรคขวากหนามของการพัฒนาประชาธิปไตยในสังคมไทย

แน่นอนว่า ทางเดียวเท่านั้นที่พวกเขาจักดำเนินกระบวนการปฏิรูปได้ นั่นคือ พวกเขาต้องเชื้อเชิญคณะบุคคลนอกระบบประชาธิปไตย กระทำการรัฐประหารเหมือนเช่น รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่พวกเขาเคยกระทำมาแล้ว
เท่ากับว่า พวกเขายังโหยหาแนวทางรัฐประหาร ใช่หรือไม่?

และรัฐประหารอาจเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งก็ได้ โดยที่ใครก็มิอาจจะทำนายฟันธงล้านเปอร์เซนต์ว่า ไม่ปรากฎเป็นแน่แท้ในขวานทองใบนี้

เพราะเกมการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายอำมายาธิปไตย คงมิจบเพียงการเลือกตั้งเท่านั้น

ครป. และพันธมิตร ที่เรียกร้องให้ VOTE NO อยู่ขณะนี้ จึงเป็นเพียงหมากหนึ่งในกระดานการเมืองของฝ่ายอำมาตยาธิปไตย เท่านั้นเอง 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แถลงการณ์คนเสื้อแดงในอังกฤษ เนื่องในวาระ 1 ปีการสังหารประชาชนที่ราชประสงค์

Posted: 16 May 2011 10:21 AM PDT

1. การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ในบรรยากาศที่มีการขังหรือตั้งข้อกล่าวหากับแกนนำคนเสื้อแดงหรือปัญญาชนที่คิดต่างจากอำมาตย์ และเกิดขึ้นไม่ได้ในเมื่อกติกาการเลือกตั้งไม่เป็นธรรมและ กกต. เป็นคนของผู้ที่เคยทำรัฐประหาร

ดังนั้น เราจึงเรียกร้องให้:
– ปล่อยนักโทษการเมืองทุกคนรวมถึง จตุพร พรหมพันธุ์ สมยศ พฤกษาเกษมสุข สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ดาตอร์ปิโด และ นักโทษการเมืองเสื้อแดงอื่นๆทุกคน
– ยกเลิกกฎหมายหมิ่นกระษัตริย์ 112, กฎหมายพรบ.คอมพิวเตอร์ และ กฎหมายเผด็จการว่าด้วยความมั่นคง พร้อมทั้งยกฟ้องผู้ที่ถูกกล่าวหาทั้งหมดอันเนื่องมาจากกฏหมายเผด็จการเหล่านี้
– ยกเลิกการควบคุมสื่อโดยฝ่ายอำมาตย์ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือทหาร ยกเลิกการปราบปรามวิทยุชุมชนและยกเลิกการเซ็นเซอร์อินเตอร์เนต

2. ประชาธิปไตยเสรีในประเทศไทย สร้างไม่ได้ถ้าไม่มีการ:

– ลงโทษผู้ฆ่าประชาชนที่ผ่านฟ้า และราชประสงค์ ในปี พ.ศ.2553
– ปฏิรูปกองทัพ และระบบยุติธรรม อย่างถอนรากถอนโคน
– เดินหน้าสู่การสร้างรัฐสวัสดิการ ผ่านการเก็บภาษีก้าวหน้าจากคนรวย และ การสร้างความมั่นคงในการทำงานสำหรับประชาชน

ในส่วนนี้เราอยากให้พรรคเพื่อไทย รับข้อเรียกร้องดังกล่าวของเรา รวมถึงความสำคัญที่จะยกเลิกกฏหมาย 112

3. เราเรียกร้องให้ประชาชนไทย ลงคะแนนเสียงสนับสนุนพรรคเพื่อไทยในวันเลือกตั้ง และเราเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยฟังเสียงของคนเสื้อแดงเพื่อนำมาพัฒนาเป็นนโยบาย ทั้งนี้เพื่อสร้างความสามัคคีในขบวนการประชาธิปไตย 

4. ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง แต่อำมาตย์สร้างอุปสรรคกับการตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย หรือเสนอให้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติแทน คนเสื้อแดงต้องออกมาชุมนุมใหญ่เพื่อปกป้องประชาธิปไตย

 

(จากมติที่ประชุมคนไทย U.K. ที่ Oxford 15 พ.ค. 2554 http://www.konthaiuk.info/ ) 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สมัชชาคนจนประณามรัฐป่าเถื่อนไล่รื้อโนนดินแดง

Posted: 16 May 2011 10:09 AM PDT

16 พ.ค. 54 สมัชชาคนจนออกแถลงการณ์ประณามปฏิบัติการความรุนแรงและป่าเถื่อนของสภาประชาชน 4 ภาค กองทัพภาคที่ 2 และรัฐบาล จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2554 ซึ่งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ร่วมกับกลุ่มสมาชิกสภาประชาชน 4 ภาคจำนวนมาก บุกเข้าไปยังพื้นที่ชุมชนบ้านเก้าบาตร ต.ลำนางรอง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย โดยอ้างว่าต้องการเข้ามาในพื้นที่เพื่อปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ จนเกิดเหตุปะทะกันอย่างรุนแรงและทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 9 คน โดยมีรายละเอียด ดังนี้

0 0 0

 

แถลงการณ์สมัชชาคนจน
ประณามปฏิบัติการความรุนแรงและป่าเถื่อน
ของสภาประชาชน 4 ภาค กองทัพภาคที่ 2 และรัฐบาล
 

จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2554 ซึ่งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ร่วมกับกลุ่มสมาชิกสภาประชาชน 4 ภาคจำนวนมาก บุกเข้าไปยังพื้นที่ชุมชนบ้านเก้าบาตร ต.ลำนางรอง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย โดยอ้างว่าต้องการเข้ามาในพื้นที่เพื่อปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ จนเกิดเหตุปะทะกันอย่างรุนแรงและทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 9 คน ทั้งหมดเป็นผู้หญิงในชุมชนบ้านเก้าบาตรและ 1 รายในจำนวนนี้ถูกกระชากผมจนพลัดตกจากรถศีรษะฟาดพื้นหมดสติอาการสาหัส

นอกจากนี้ กอ.รมน. และกลุ่มคนดังกล่าวได้บุกต่อเข้าไปยังกลุ่มที่มีพระวันชัยเป็นแกนนำ ซึ่งฝ่ายทหารได้เข้าไปเผาโรงครัวและทำลายกุฏิพระจำนวน 8 หลังเสียหายทั้งหมด  และได้จับพระจำนวน 9 รูป ขึ้นรถปิคอัพไปและบังคับให้สึก

พื้นที่นี้เป็นพื้นที่หมดสัญญาเช่าของบริษัทเอกชนซึ่งเคยเช่าปลูกยูคาลิปตัส ในอดีตฝ่ายรัฐโดย กอ.รมน.เคยให้สัญญากับชาวบ้านว่าจะจัดสรรพื้นที่ให้ แต่ต่อมากลับบิดพลิ้วทำให้ชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรม และล่าสุดในครั้งนี้ กอ.รมน.ได้ใช้ความป่าเถื่อนรุนแรงต่อชาวบ้าน

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดและการกระทำอันต่ำช้าของรัฐบาล โดยการปฏิบัติการของกองทัพภาคที่ 2  สมคบคิดกับกลุ่มคนที่เรียกตนเองว่าสภาประชาชน 4 ภาค ได้ร่วมจัดตั้งกลุ่มมวลชนและกองกำลังติดอาวุธ  พร้อมทั้งปลุกระดมให้เกลียดชังกลุ่มผู้เดือดร้อนปัญหาที่ดินของอำเภอโนนดินแดงที่อยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาร่วมกับรัฐบาลและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ ทั้งเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน และกลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำลำนางรอง จนกระทั่งนำมาสู่การบุกเข้าไปทำร้ายชาวบ้าน วางเพลิงที่พักอาศัยและกุฏิพระ ทุบทำลายพระพุทธรูป รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ใช้อาวุธปืนข่มขู่ ตลอดจนการบุกเข้าจับพระสึกโดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง  

สมัชชาคนจนขอประณาม กองทัพภาคที่ 2 กลุ่มสภาประชาชน 4 ภาค และรัฐบาล ที่ได้ปฏิบัติการใช้ความรุนแรงและป่าเถื่อน กระทำเสมือนบ้านเมืองนี้ไม่มีขื่อไม่มีแป ไม่ต่างอะไรกับประเทศที่ปกครองด้วยรัฐบาลเผด็จการ ซึ่งต่างจากประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ที่ต้องเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ให้เกียรติ และคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนในประเทศ 

ดังนั้นสมัชชาคนจนจึงเรียกร้องต่อรัฐบาลที่เชื่อมั่นว่าตนเองปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน ตามหลักสากลของประเทศประชาธิปไตยพึงกระทำ

 

                                                            ด้วยความเคารพในสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
                                                            สมัชชาคนจน
                                                            16 พฤษภาคม 2554

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นิธิ เอียวศรีวงศ์: การเลือกตั้ง คือการปฏิรูปการเมือง

Posted: 16 May 2011 10:01 AM PDT

การเลือกตั้งในประเทศไทยที่กำลังจะมาถึงนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของประเทศไทย แต่การเลือกตั้งจะไม่นำมาซึ่งความสมานฉันท์ระหว่างกลุ่มต่างๆ ฉะนั้นจึงไม่เป็นหลักประกันว่าจะนำมาซึ่งความสงบเรียบร้อย และไม่มีการเลือกตั้งที่ไหนในโลกที่จะนำมาซึ่งความสุจริตของผู้บริหาร หรือนำมาซึ่งการปฏิรูปการเมือง (เพราะการปฏิรูปเป็นกระบวนการทางสังคม ไม่ใช่เรื่องที่นักปราชญ์จะมานั่งประชุมกันแล้วกำหนดให้คนอื่นปฏิรูปการเมือง)

แต่การเลือกตั้งมีความสำคัญต่อประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงนี้อย่างยิ่ง

เพราะการเลือกตั้งจะนำมาซึ่ง "สิทธิธรรม" และ "อาญาสิทธิ์" ขอประทานโทษที่ต้องขยายความเป็นภาษาอังกฤษว่า legitimacy และ authority อันเป็นสองอย่างที่ถูกทำให้คลอนคลายไปในเมืองไทย นับตั้งแต่ช่วงก่อนรัฐประหาร 2549 และมลายหายสูญไปโดยสิ้นเชิงโดยรัฐประหารครั้งนั้น

สิทธิธรรม ไม่ใช่ความถูกต้องตามกฎหมาย แต่เป็นความเห็นชอบของผู้คนว่าอำนาจที่มีและใช้อยู่นั้น เป็นอำนาจที่ต้องยอมรับ แม้จะเห็นว่าได้ใช้อำนาจนั้นไปในทางที่ผิด แต่ก็ยังยอมรับอำนาจนั้น คนที่เห็นว่าใช้อำนาจไปในทางที่ผิด ย่อมหาหนทางที่ชอบธรรมต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้มีอำนาจใช้อำนาจไปในทางที่ผิด หากคนกลุ่มนี้ประสบความสำเร็จ คือมีคนเชื่อถือหรือเห็นด้วยมากๆ สิทธิธรรมของผู้ปกครองซึ่งแม้ถูกต้องตามกฎหมาย ก็เริ่มสั่นคลอน เพราะผู้คนไม่ได้เห็นว่าใช้อำนาจไปในทางที่ผิดอย่างเดียว แต่เริ่มเห็นว่าอำนาจที่มีอยู่ก็ไม่น่ายอมรับด้วย

ผู้ที่ต่อต้านทักษิณ ในปลายสมัยพรรค ทรท. ประสบความสำเร็จ ไม่แต่เพียงทำให้คนจำนวนมากเห็นด้วยว่า ทักษิณใช้อำนาจไปในทางที่ผิด แต่ยังทำให้เห็นว่า แม้แต่สิทธิธรรมของทักษิณในฐานะนายกฯ ก็ไม่น่ายอมรับด้วย จึงพากันสนับสนุนการตีความ ม.7 ของรัฐธรรมนูญปี 40 ไปในทางที่จะขจัดทักษิณออกไป

อำนาจที่วางอยู่บนรากฐานของสิทธิธรรม ทำให้เกิดอาญาสิทธิ์ คืออำนาจซึ่งใครๆ ก็ยอมรับ อาจจะออกมาในรูปของกฎหมาย, ประเพณี, ความเคารพนับถือต่อบุคคลหรือสถาบัน, อำนาจดิบ หากผู้คนยอมรับว่าอำนาจดิบเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาทางการเมือง ฯลฯ อาญาสิทธิ์หรืออำนาจอันเป็นที่ยอมรับนั้นเป็นอำนาจใหญ่มาก ไม่ค่อยมีใครกล้าสู้ เพราะเท่ากับสู้กับสังคมทั้งหมด ไม่ใช่สู้กับเจ้าหน้าที่เป็นคนๆ ไป

ทั้งสิทธิธรรมและอาญาสิทธิ์ล้วนดิ้นได้ทั้งคู่ แต่ไม่ได้ดิ้นด้วยความกะล่อนอย่างเดียวกับที่เราคุ้นเคยกับนักการเมืองนะครับ แต่ดิ้นได้ตามความเปลี่ยนแปลงในสังคม สมัยหนึ่ง ตำแหน่งหรือสถาบันใดเคยเห็นว่ามีสิทธิธรรม แต่อีกสมัยหนึ่ง ก็ไม่เห็นว่ามีเสียแล้ว

เมื่อสิทธิธรรมดิ้นได้ อาญาสิทธิ์ก็ดิ้นได้ หลังการรัฐประหาร 2549 มีคนจำนวนมากอย่างเหลือล้นในสังคมไทย ไม่ได้ยอมรับว่ากองทัพมีสิทธิธรรมใดๆ ที่จะเข้ามาแก้ปัญหาทางการเมือง แม้ว่ากองทัพยังมีอำนาจดิบเท่าเดิม ถ้าผู้นำกองทัพไม่เข้าใจ กลับไปคิดว่าตัวมีอาญาสิทธิ์ที่จะมาก้าวก่ายทางการเมืองมากเท่าไร ก็ยิ่งทำลายกองทัพเองมากขึ้นเท่านั้น ทำลาย ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าใครเขาจะไปยึดเอารถถังกลับคืนมา แต่หมายความว่า แม้แต่การใช้อำนาจอันมีกฎหมายรองรับของกองทัพในเรื่องอื่นๆ เช่น ไปรบกับปัจจามิตร ก็ยังมีคนสงสัยว่ากำลังหาประโยชน์ใส่ตนหรือเปล่า

ถ้าอาญาสิทธิ์ของอะไรก็ตาม ดิ้นหายไปหมด ในที่สุดก็เหลือแต่อำนาจดิบ ไม่มีสังคมใดๆ แม้แต่สังคมของมนุษย์ถ้ำ ที่อาจบริหารจัดการได้ด้วยอำนาจดิบล้วนๆ

ความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดให้เห็นในเมืองไทยตั้งแต่ช่วง 2549 จนถึงทุกวันนี้ แสดงให้เห็นว่าสิทธิธรรมและอาญาสิทธิ์ในสังคมไทยของทุกกลไกได้มลายหรือหมดพลังลงแล้ว ยากจะสถาปนาสิทธิธรรมให้กลับคืนมาง่ายๆ โดยหันกลับไปใช้อาญาสิทธิ์อย่างเข้มงวดกวดขัน เช่นบังคับใช้กฎหมาย, ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน, ใช้ พ.ร.บ.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน, ปิดเว็บไซต์, ปิดสื่อ, ใช้ ม.112 ฯลฯ ก็ไม่บังเกิดผลแต่อย่างใด เพราะอาญาสิทธิ์ต้องตั้งอยู่บนสิทธิธรรม เมื่อคนจำนวนมากไม่เห็นว่าผู้ใช้อำนาจมีสิทธิธรรม สิ่งที่เคยเชื่อว่าเป็นอาญาสิทธิ์ก็ไม่เป็นอาญาสิทธิ์อีกต่อไป เป็นได้แค่อำนาจเถื่อนที่มีตัวอักษรรองรับไว้ในราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น

หนทางเดียวที่จะนำภาวะปรกติ (ปรกติเฉยๆ นะครับ ไม่ใช่ปรกติสุข) กลับคืนมาสู่สังคมไทยได้ คือ สร้างสิทธิธรรมปฐมภูมิขึ้นก่อน และแม้ไม่มีความหวังใดๆ ให้แก่การเลือกตั้งมากนัก แต่ก็มีฉันทามติค่อนข้างชัดเจนว่า ประเทศไทยต้องจัดให้มีเลือกตั้งใหญ่ การเลือกตั้งจะนำมาซึ่งรัฐบาลซึ่งอาจไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่เป็นรัฐบาลที่มีสิทธิธรรมอย่างชัดเจน เพราะได้รับการสนับสนุนด้วยคะแนนเสียงเลือกตั้ง

อย่างน้อยสถาบันแรกที่มีสิทธิธรรมอันยากจะปฏิเสธคือ รัฐบาล ได้เกิดขึ้นแล้ว ถ้าหากต้องการจะหลุดพ้นจากสภาวะ "อปรกติ" ที่เผชิญอยู่ ก็เป็นภาระของสังคมไทยที่จะต่อต้านหรือสนับสนุนรัฐบาลใหม่ ด้วยสิทธิเสรีภาพอันมีกฎหมายรองรับต่างๆ สิทธิเสรีภาพเหล่านี้เป็นอาญาสิทธิ์ในระบอบประชาธิปไตย และต้องทวงกลับคืนมา อย่ายอมให้ถูกทำหมันไปอีก เพราะปราศจากสิทธิเสรีภาพเหล่านี้ สิทธิธรรมของรัฐบาลเองก็จะคลอนคลายลงด้วย

จากจุดเริ่มต้นแห่งสิทธิธรรมเช่นนี้ สังคมมีช่องทางที่จะร่วมกันสถาปนาอาญาสิทธิ์ขึ้นในสังคมไทยใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่ต้องเตือนว่าสิทธิธรรม และอาญาสิทธิ์ที่จะได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่ อาจไม่เหมือนเดิมไปหมดทุกอย่างก็ได้ คงต้องมีการต่อสู้กันโดยครรลองของระบอบประชาธิปไตย อาจจะอย่างเข้มข้นในบางกรณี ระหว่างกลุ่มคน, สถาบัน, องค์กร ที่เคยได้เปรียบในระบอบสิทธิธรรม และอาญาสิทธิ์แบบเดิม กับกลุ่มคนที่ต้องการปรับเปลี่ยนระบอบสิทธิธรรม และอาญาสิทธิ์เสียใหม่ แต่ไม่เป็นไร ในที่สุดก็ต้องลงตัวที่จุดใดจุดหนึ่ง แล้วเราก็จะกลับไปสู่ความปรกติได้ ซึ่งแน่นอนว่ายังมีความขัดแย้งกัน เพียงแต่เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นท่ามกลางการยอมรับสิทธิธรรมและอาญาสิทธิ์ร่วมกันเท่านั้น

หลังจากเก้าสิบกว่าชีวิต และการบาดเจ็บอีกกว่าสองพัน (หลายรายในนั้นถูกหมายให้ตายแล้ว แต่เพราะยิงไม่แม่น หรือดวงดี หรืออะไรก็แล้วแต่) เราก็ได้มาถึงจุดที่เป็นทางออกของสังคมร่วมกัน นั่นคือการเลือกตั้งใหญ่ ในความมืดมนหลายปีที่ผ่านมา การเลือกตั้งเป็นจุดเริ่มต้นของทางออกในช่วงนี้ ใครก็ตามที่พยายามขัดขวางการเลือกตั้ง เพราะคิดสั้น, เพราะหวงอำนาจ, เพราะกลัวพวกกูแพ้, เพราะเกลียดมึง, หรือเพราะเหตุใดก็ตาม กำลังทำลายประเทศให้ย่อยยับหนักลงไปอีก

แม้กระนั้น ผมก็ไม่ปฏิเสธว่าพลังที่จะขัดขวางการเลือกตั้ง หรือบิดเบือนเจตนารมณ์ของการเลือกตั้งยังมีอยู่ และเครื่องมือสำคัญคือกองทัพ ซึ่งอาจลุกขึ้นยึดอำนาจก่อนการเลือกตั้งด้วยหน้ามืดหรือหลังการเลือกตั้งด้วยมืดหน้าก็ได้ บังเอิญได้เห็น บ.ก.ลายจุด ทำกิจกรรมต่อต้านรัฐประหารที่หน้าธนาคาร เชิญชวนให้ประชาชนแต่งชุดดำถอนเงินจากธนาคาร หากเกิดรัฐประหารขึ้น

ด้วยความเคารพต่อท่าน บ.ก.ลายจุด ผมเกรงว่าทำแค่นี้จะเป็นเพียงสัญลักษณ์ เพราะผู้ถือบัญชีธนาคารรายย่อยๆ อย่างพวกเรา ถึงมีมากแต่ถอนมาแล้วก็ไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน (แม้มีมูลค่าไม่ถึง 50,000 บาทต่อบัญชีก็ตาม) ผมจึงอยากเรียน เสนอมาตรการเพิ่มเติมในการต่อต้านรัฐประหาร แต่เป็นข้อเสนอที่ปลอดจากการถูกจับหรือติดคุก (ตามรสนิยมส่วนตัวของผม) ด้วยนะครับ

จุดมุ่งหมายคือ ทำให้ความไร้ระเบียบปรากฏอย่างชัดเจนจนกระทั่ง สิ่งที่คณะรัฐประหารพยายามสถาปนาให้เป็นอาญาสิทธิ์กลายเป็นอำนาจดิบอย่างชัดเจน ฉะนั้นควรทำเพิ่มเติมดังนี้

1.รัฐประหารวันไหน ก็ขอลาป่วยทันที ลูกก็ลาป่วยด้วย ไม่ต้องไปโรงเรียน คณะรัฐประหารอาจสั่งหยุดงานในวันรุ่งขึ้นเพราะกลัวสับสน ก็ยิ่งดีเพื่อจะได้สามารถทำกิจกรรมต่อต้านรัฐประหารได้โดยไม่เสียวันลา

2.คนมีรถยนต์เอารถออกมาในถนน พาลูกเมียไปขับรถเล่น เตรียมข้าวกล่องและน้ำไปด้วย ขับชมกรุงหรือชมเมืองไปเรื่อยๆ เพื่อให้รถติดชนิดจลาจลไปเลย คนไม่มีรถก็ควรขึ้นรถเมล์ บอกกระเป๋าที่มาเก็บเงินว่าไม่มีตังค์จ่าย ขอลงป้ายหน้า แล้วก็ขึ้นคันใหม่ไปเรื่อยๆ หากเบื่อการขับรถหรือขึ้น-ลงรถเมล์ ก็ไปเที่ยวตามแหล่งที่นักท่องเที่ยวชอบไป นับตั้งแต่วัดแจ้ง, พระพรหมเอราวัณ, พารากอน, อะไรก็ได้ ให้มันแน่นขนัดจนแทบเดินไม่ได้

รถก็ยิ่งติดมากขึ้น และสับสนวุ่นวายจนกระทั่ง ธุรกิจของคนที่เฉยๆ กับการรัฐประหารหรือสนับสนุนการรัฐประหารดำเนินไปแทบไม่ได้

3.โทรศัพท์ร้องเรียนกองอำนวยการของคณะรัฐประหารทุกเรื่อง นับตั้งแต่แขกที่มาขอพักที่บ้านไม่ยอมกลับสักที ไปจนถึงเพื่อนบ้านตดเหม็น หรือถามคำถามโง่ๆ เช่น แล้วจะยังมีการเลือกตั้งอีกไหมเนี่ย, ทหารจะเปลี่ยนเครื่องแบบให้สวยกว่าเก่าไหม ฯลฯ ได้ทั้งนั้น

4.อันนี้เสี่ยงหน่อยนะครับ แอบติดป้ายประณามการรัฐประหารมากที่สุดเท่าที่ตัวเองจะปลอดภัย ส่งข้อความผ่านลูกโป่งสวรรค์ก็ได้ ส่งเอสเอ็มเอสก็ได้ แต่ต้องทำให้จับผู้ส่งไม่ได้ด้วย กระดานข่าวออนไลน์นั่นก็เหมาะ วางใบปลิวในห้องน้ำ ส่งจดหมายลูกโซ่ ถ้าใจกล้ากว่านี้ ก็เอาป้ายไปแอบแปะไว้ที่ก้นนายทหารที่ถูกรุมล้อมสัมภาษณ์

5.บอยคอตสินค้าเจ้าที่เชียร์รัฐประหาร โดยเฉพาะสินค้าที่ขายได้เพราะความเคยชิน ไม่ใช่เพราะมีคุณภาพดีกว่าคู่แข่ง เช่น บะหมี่สำเร็จรูป หนังสือพิมพ์, โทรทัศน์ วิทยุ ฯลฯ อย่าซื้อ, อย่าดู, ใครให้โฆษณาแก่สื่อเหล่านี้ก็ขู่ว่าจะบอยคอตตามไปด้วย

ผมอยากเรียนเสนอ บ.ก.ลายจุดว่า คิดต่อไปเถอะครับ มีอะไรดีๆ ที่ประชาชนธรรมดาก็มีอำนาจดิบที่สามารถต่อต้านการใช้อำนาจดิบของกองทัพได้เยอะแยะกว่านี้อีก เพื่อแสดงให้เขาเห็นตั้งแต่วันแรกว่า มึงได้ทำให้บ้านเมืองเละเทะอย่างไร เพราะความบ้าอำนาจของมึง

 

 

..................................................
เผยแพร่ครั้งแรกในมติชนรายวัน 16 พฤษภาคม 2554

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เครื่อข่ายปฏิรูปที่ดินร้องอย่าให้ทหารยุ่ง และเร่งออกโฉนดชุมชน

Posted: 16 May 2011 09:58 AM PDT

16 พ.ค. เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์ "หยุดใช้ความรุนแรงในพื้นที่โนนดินแดง" หลัง กอ.รมน. ร่วมกับกลุ่มสภาประชาชน 4 ภาคประมาณ 5,000 คน ได้บุกเข้าพื้นที่ที่เป็นที่พักอาศัยของกลุ่มชาวบ้านผู้ประสบปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 9 ราย เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยแถลงการณืเรียกร้องให้ทหารเลิกเข้ามายุ่งเกี่ยวในการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ให้รับผิดชอบกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น และเร่งดำเนินการจำแนกและนำที่ดินที่หมดสัญญาเช่าจากการปลูกป่ายูคาลิปตัส มาจัดสรรให้กับเกษตรกรไร้ที่ทำกินในรูปแบบโฉนดชุมชน

ข่ายปฏิรูปที่ดินร้องอย่าให้ทหารยุ่ง และเร่งออกโฉนดชุมชน

ข่ายปฏิรูปที่ดินร้องอย่าให้ทหารยุ่ง และเร่งออกโฉนดชุมชน

ข่ายปฏิรูปที่ดินร้องอย่าให้ทหารยุ่ง และเร่งออกโฉนดชุมชน

0 0 0 0 0 0

หยุดใช้ความรุนแรงในพื้นที่โนนดินแดง
รัฐบาลต้องเร่งจัดสรรที่ดินทำกินให้กับเกษตรกรในรูปแบบโฉนดชุมชน

สืบเนื่องวันที่ 13 พฤษภาคม 2554 เวลาประมาณ 11.00 น. กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ร่วมกับกลุ่มสภาประชาชน 4 ภาคประมาณ 5,000 คน ได้บุกเข้าพื้นที่ที่เป็นที่พักอาศัยของกลุ่มชาวบ้านผู้ประสบปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่หมดสัญญาเช่าการปลูกป่ายูคาลิปตัสของบริษัทเอกชน ด้วยรถปิ๊กอัพประมาณ 500 คัน โดย กอ.รมน.และกลุ่มสภาประชาชน ได้อ้างถึงสาเหตุของการเข้าไปในพื้นที่ว่า “ต้องการเข้าไปปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ์” และได้ใช้กำลังทหารเข้าทำลายทรัพย์สินและทำร้ายร่างกายชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงจนได้รับบาดเจ็บหลายราย

ณ ขณะนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมอันรุนแรงเกินกว่าเหตุ ได้ส่งผลให้มีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บจำนวน 9 คน หนึ่งใน 9 คนนี้ เป็นชาวบ้านหมู่บ้านเก้าบาตร ซึ่งเป็นสมาชิกของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.) ได้รับบาดเจ็บสาหัส เนื่องจากถูกผลักล้มลง หัวฟาดพื้นจนสลบและได้รับความกระทบกระเทือนทางสมอง

นอกจากนี้ ในชุมชนใกล้เคียงกับชุมชนบ้านเก้าบาตร ได้มีการใช้กำลังเข้าทำร้ายชาวบ้านและทำลายทรัพย์สินจนเสียหายเป็นจำนวนมาก แม้จะมีชาวบ้านอาศัยอยู่ในพื้นที่ แต่ก็ไม่สามารถทัดทานกำลังได้ มีการเผาทำลายกุฏิพระสงฆ์จำนวน 8 หลัง และได้จับกุมพระสงฆ์จำนวน 9 รูป ไป

ต่อสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย(คปท.) มีความเห็นและข้อเรียกร้อง ดังนี้

  1. การแก้ไขปัญหาทีดินทำกินควรเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล ที่มีกลไกทำงานร่วมกับภาคประชาชนอยู่แล้ว ทหารไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวในการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ตามที่เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยได้เคยเรียกร้องมาตลอด
  2. การใช้ความรุนแรงเข้าทำลายทรัพย์สินและทำร้ายร่างกายชาวบ้านในครั้งนี้ ถือเป็นการกระทำที่ผิดต่อหน้าที่อย่างรุนแรง เป็นการใช้กำลังอันเกินกว่าเหตุ รัฐบาลจึงควรแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้น
  3. เพื่อให้การแก้ไขปัญหาในพื้นที่โนนดินแดงลุล่วงไปได้ รัฐบาลควรเร่งดำเนินการจำแนกและนำที่ดินที่หมดสัญญาเช่าจากการปลูกป่ายูคาลิปตัส มาจัดสรรให้กับเกษตรกรไร้ที่ทำกินในรูปแบบโฉนดชุมชน โดยคัดกรองเกษตรกรที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ให้ได้รับความเป็นธรรมโดยทั่วกัน

เร่งปฏิรูปที่ดินเพื่อคนจน สร้างสังคมที่เป็นธรรม

เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย
16 พฤษภาคม 2554

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์: ตอบ ทรู คอร์ปอเรชั่น เรื่องสัญญา 3G ระหว่าง ทรู กับ กสท.

Posted: 16 May 2011 09:45 AM PDT

 

ตามที่ ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้นำเสนอ “ข้อเท็จจริง” ในมุมของตน และกล่าวหาว่า บทความของผู้เขียนได้พาดพิงถึงทรูอย่าง “คลาดเคลื่อนข้อเท็จจริง” และมีการ “คาดเดา” หลายเรื่องโดยไม่ถูกต้องนั้น ผู้เขียนยินดีอย่างยิ่งที่จะได้เสนอ “ข้อเท็จจริง” ในมุมของผู้เขียนในฐานะนักวิชาการ ซึ่งไม่มีส่วนได้เสีย แต่ได้ติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เพื่อให้สาธารณชนได้พิจารณาอย่างรอบด้านว่า “ข้อเท็จจริง” ในเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่

ก่อนอื่น ผู้เขียนขอทบทวนสัญญา 3G ระหว่าง ทรู กับ กสท โดยสังเขป สาระสำคัญส่วนใหญ่ของการทำสัญญาดังกล่าวอยู่ในสัญญา 2 ฉบับหลักคือ “สัญญาเช่า” และ “สัญญาขายส่ง” ในส่วนของสัญญาเช่านั้น กสท จะ “เช่า” อุปกรณ์โทรคมนาคมจาก ทรู มาติดตั้งบนเสาที่ กสท จะสร้างขึ้น ซึ่งเป็นการเช่าทรัพย์สินกันตามปรกติ อย่างไรก็ตาม สัญญาดังกล่าวมีข้อกำหนดที่เกินจากสัญญาเช่าทั่วไปโดยกำหนดว่า “กสท จะนำคลื่นความถี่ในย่าน 800 MHz จำนวน 15x2 MHz … มาใช้กับเครื่องและอุปกรณ์ของบริษัทเท่านั้น” (ข้อ 2.12) ส่วนสัญญา “ขายส่ง” นั้น กสท จะนำเอาโครงข่ายทั้งหมด รวมทั้งอุปกรณ์ที่เช่าจากทรู มา “ขายส่ง” กลับให้ ทรู โดย ทรู มีสิทธิใช้โครงข่ายดังกล่าว 80%ซึ่งทำให้สัญญาขายส่งนี้มีผลบังคับผู้ขายเกินกว่าสัญญาขายส่งทั่วไปและกีดกันผู้ซื้อรายอื่น

ประเด็นที่ ทรู โต้แย้งผู้เขียนมี 3 ข้อ คือ 1. การทำสัญญา 3G ระหว่าง ทรู กับ กสท จะทำให้มีผู้ให้บริการ 3G รายเดียวนอกจาก ทีโอที คือ ทรู หรือไม่? 2. การทำสัญญาดังกล่าวจะทำให้รัฐเสียค่าประมูลคลื่นความถี่มูลค่า 3.9 หมื่นล้านบาทหรือไม่? และ 3. สัญญาดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน ต้องทำตามกฎหมายร่วมทุนฯ หรือไม่? 

ในประเด็นแรกนั้น ผู้เขียนกล่าวไว้ว่า หากปล่อยให้สัญญาดังกล่าวเกิดขึ้น “นอกเหนือจาก ทีโอทีแล้ว ประเทศไทยจะมีผู้ให้บริการ 3G อีกเพียงรายเดียว คือ ทรู ซึ่งจะให้บริการ 3G ก่อนรายอื่น โดยไม่แน่ชัดว่า เอไอเอส และดีแทค ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญจะสามารถเริ่มให้บริการได้เมื่อใด” ทั้งนี้ คำว่า “ผู้ให้บริการ” ดังกล่าวของผู้เขียนหมายถึงผู้ประกอบการที่มีโครงข่าย เพราะการแข่งขันที่แท้จริงจะเกิดขึ้นจากผู้ประกอบการที่มีโครงข่ายหลายรายแข่งขันกันอย่างเสมอภาคเท่านั้น ทรู กล่าวว่า ผู้เขียนเข้าใจผิด เพราะในปัจจุบัน นอกจาก ทีโอที แล้ว ยังมีผู้ให้บริการขายส่ง (ซึ่งมีโครงข่าย) อีกรายหนึ่งคือ กสท ส่วนผู้ให้บริการขายต่อ (ซึ่งไม่มีโครงข่าย) ก็มีอยู่แล้วหลายราย ทั้งนี้ กสทและทีโอทีต้องปฏิบัติต่อผู้ขายต่อทุกราย รวมทั้ง ดีแทคและเอไอเอสอย่างเสมอภาคกัน

จะเห็นว่า ผู้เขียนและทรู เห็นตรงกันว่า หากนับเฉพาะผู้ประกอบการ 3G ที่มีโครงข่ายนั้น ในปัจจุบัน นอกจาก ทีโอทีแล้ว ก็เหลืออีกเพียงรายเดียว ซึ่งทรูระบุว่าคือ กสท แต่ผู้เขียนมองว่าคือ ทรู นั่นเอง เพราะทรูได้สิทธิในการใช้โครงข่ายของ กสท ไปถึง 80%จึงมีสภาพเสมือนเป็นผู้ประกอบการที่มีโครงข่ายแทน กสท (แม้จะใช้กลเม็ดทางกฎหมายขอใบอนุญาตแบบไม่มีโครงข่ายก็ตาม) ในสภาพเช่นนี้ กสท ย่อมไม่สามารถปฏิบัติต่อรายอื่นได้อย่างเสมอภาคกับทรูได้ เพราะเหลือความจุอีกเพียง 20% เท่านั้นนอกจากทีโอที แล้ว ตลาดจึงเหลือผู้ให้บริการ 3G ที่มีโครงข่ายเพียงรายเดียวคือ ทรู

นอกจากนั้น กสท ยังให้ทรูเริ่มให้บริการก่อนรายอื่น และไม่อนุญาตให้ ดีแทคให้บริการ 3G บนคลื่นที่ดีแทคใช้บริการ 2G อยู่ การกระทำดังกล่าวทั้งหมดทำให้ ทรู ได้เปรียบในการแข่งขันเป็นอย่างมาก เพราะหากคู่แข่งต้องการได้คลื่นความถี่เพียงพอที่จะแข่งขันกับทรู ก็จะต้องรอการจัดสรรคลื่นจาก กสทช. จึงไม่น่าแปลกใจที่รายงานของที่ปรึกษาการเงินของ กสท คือบริษัท BNC และValue Partners เองก็ได้วิเคราะห์ว่า ทรู จะมีส่วนแบ่งตลาด 3G เพิ่มขึ้นถึง 5% จากการได้ทำการตลาดก่อนรายอื่น

ในประเด็นที่สอง ทรู โต้แย้งว่าการทำสัญญาดังกล่าวจะไม่ทำให้รัฐเสียค่าประมูลคลื่นความถี่ 3.9 หมื่นล้านบาทโดยอ้างว่า คลื่นความถี่ของ กสท เป็นคลื่นความถี่เดิม และ กสท ไม่ได้นำคลื่นความถี่มาให้ ทรู ใช้ เพียงแต่ขายต่อบริการให้ทรู ผู้เขียนแปลกใจที่ ทรู กล่าวอ้างดังกล่าว เพราะสัญญาเช่า ข้อ 2.12 ที่ยกมาข้างต้น ระบุอย่างชัดเจนว่า กสท ต้องนำคลื่นความถี่ของตนมาใช้กับเครื่องและอุปกรณ์ของทรูเท่านั้น และสัญญาขายส่งก็ทำให้ทรูได้ใช้คลื่นนั้นถึง 80% ทั้งนี้ กสท ไม่ได้คิดมูลค่าของคลื่นความถี่ดังกล่าวแต่อย่างใด เมื่อทรูได้คลื่นความถี่มาฟรี หากผู้ประกอบการรายอื่นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการประมูลคลื่นความถี่ ก็ย่อมไม่สามารถแข่งขันกับ ทรู ได้ จึงเป็นเหตุให้ กสทช ไม่สามารถกำหนดมูลค่าคลื่นความถี่ตั้งต้นไว้ที่ 1.3 หมื่นล้านบาทตามที่เคยกำหนดไว้ หากต้องการรักษาการแข่งขันที่เสมอภาค ซึ่งจะเป็นเหตุให้รัฐเสียรายได้จากการประมูลคลื่นความถี่ไปในที่สุด

ทรู ยังเข้าใจผิดด้วยว่า รายได้จากการประมูลคลื่น 3G ไม่ได้เป็นรายได้เข้ารัฐ ทั้งที่ กฎหมายองค์กรจัดสรรคลื่นฯ ซึ่งผู้เขียนมีส่วนในการยกร่าง กำหนดไว้ในมาตรา 45 ว่า “เงินที่ได้จากการประมูลเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วให้ส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน”

ในประเด็นที่สาม ที่ว่า สัญญาดังกล่าวเป็นสัมปทานที่ต้องทำตามกฎหมายร่วมทุนฯ หรือไม่นั้น กฎหมายร่วมทุนฯ กำหนดไว้ว่า การลงทุนใน “กิจการของรัฐ” ที่มีการร่วมการงานกับเอกชน ซึ่งมีมูลค่าเกินกว่า 1 พันล้านบาทนั้น ต้องดำเนินการตามกฎหมายร่วมทุนฯ ไม่น่าจะมีข้อสงสัยว่า สัญญาดังกล่าวมีการ “ร่วมการงานกับเอกชน” อย่างชัดเจน เพราะการร่วมการงานหมายความรวมถึง “ร่วมลงทุนกับเอกชนไม่ว่าโดยวิธีใด หรือมอบให้เอกชนลงทุนแต่ฝ่ายเดียว โดยวิธีการอนุญาต หรือให้สัมปทาน หรือให้สิทธิไม่ว่าในลักษณะใด” และมีความชัดเจนว่า โครงการดังกล่าวมีมูลค่าเกินกว่า 1 พันล้านบาท เพราะ กสท ก็ให้ข้อมูลว่า ตนจะได้ผลตอบแทนถึง 1.4 หมื่นล้านบาท ประเด็นที่เหลืออยู่จึงมีเพียงว่า โครงการนี้เป็น "กิจการของรัฐ" ตามกฎหมายหรือไม่เท่านั้น

มาตรา 5 ของกฎหมายร่วมทุนฯ บัญญัติไว้ว่า "กิจการของรัฐ" หมายความว่า “กิจการที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหน่วยใดหน่วยหนึ่งหรือหลายหน่วย รวมกัน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ต้องทำตามกฎหมายหรือกิจการที่จะต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือทรัพย์สินของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ” เป็นที่ชัดเจนว่า โครงการนี้ได้ใช้คลื่นความถี่ ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติ ดังปรากฏในสัญญาเช่า ข้อ 2.12 ข้างต้น

ทรู อ้างว่า สัญญาดังกล่าวได้ผ่านการตรวจสอบของ “นักกฎหมายอาชีพผู้มีประสบการณ์หลายสิบคน แต่ไม่มีใครเห็นว่าสัญญาดังกล่าวมีลักษณะเหมือนสัมปทาน” แต่เมื่อดูรายชื่อที่ทรูอ้างถึงก็พบว่า เกือบทั้งหมดเป็นนักกฎหมายหรือที่ปรึกษาของทรู หรือ กสท หรือธนาคารที่ให้กู้ในโครงการนี้ ซึ่งล้วนมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องหรือได้รับค่าตอบแทนจาก ทรู หรือ กสท ในทางใดทางหนึ่งทั้งสิ้น ยกเว้นสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ผ่านมา กสท และทรู ก็อ้างมาตลอดว่า สำนักงานอัยการสูงสุดให้ความเห็นชอบสัญญานี้แล้ว 

ปัญหาก็คือ เราไม่เคยได้ทราบเลยว่า สำนักงานอัยการสูงสุดวินิจฉัยด้วยเหตุผลอย่างไรจึงสรุปว่า สัญญาดังกล่าวไม่ต้องทำตามกฎหมายร่วมทุนฯ ทั้งที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติคือคลื่นความถี่ ในส่วนของสัญญา “เช่า” ผู้ที่อ้างว่า สัญญาดังกล่าวไม่ต้องทำตามกฎหมายร่วมทุนฯ มักหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงส่วนของสัญญา “เช่า” แต่อ้างเฉพาะส่วนของสัญญา “ขายส่ง” ว่าเป็นการให้บริการที่ต้องขออนุญาตจาก กทช. จึงไม่เป็นสัญญาสัมปทาน

จริงหรือไม่ที่ อธิบดีอัยการฝ่ายปรึกษา ซึ่งรับผิดชอบสัญญานี้ ยังไม่ได้ให้ความเห็น และยังไม่ได้ตรวจสัญญา เนื่องจากมีข้อสงสัยบางประการ แต่สำนักงานอัยการสูงสุดก็ได้ทำความเห็นกลับไปยัง กสท ให้เดินหน้าโครงการต่อไปเลย? นอกจากนี้ ในการสัมมนาที่คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ อัยการที่ร่วมอภิปรายกับผู้เขียนก็กล่าวในทำนองที่ว่า การทำสัญญาดังกล่าวมีการหลีกเลี่ยงกฎหมาย เพราะทำตรงไปตรงมาไม่ได้ เพียงแต่ท่านเห็นว่า การหลีกเลี่ยงกฎหมายไม่ใช่การฝ่าฝืนกฎหมาย

จึงเกิดคำถามว่า ในการตรวจสัญญาดังกล่าว สำนักงานอัยการสูงสุดได้ใช้ความรอบคอบเพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐ (และประโยชน์สาธารณะ) และได้รายงานถึงข้อเสียเปรียบหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่รัฐ ตามหน้าที่ตามมาตรา 23 ของกฎหมายองค์กรอัยการฯ หรือไม่? เพราะปรากฏว่า สัญญาดังกล่าวน่าจะทำให้ กสท เสียเปรียบ ทรู หลายประการ ที่ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การที่ กสท ให้ทรูใช้คลื่นความถี่ โดยไม่คิดมูลค่าดังที่กล่าวมาแล้ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน สำนักงานอัยการสูงสุดจึงควรเปิดเผยผลการตรวจสัญญาดังกล่าวในทุกขั้นตอนต่อสาธารณะ 

นอกจากนี้ ทรู ยังหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงข้อสังเกตของ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ว่า สัญญาดังกล่าวน่าจะเป็นสัญญาตามกฎหมายร่วมทุนฯ หรือข้อสังเกตของ ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ นักกฎหมายจากธรรมศาสตร์ที่มีความเห็นไปในแนวทางเดียวกัน

นอกจากน่าจะขัดกับกฎหมายร่วมทุนฯแล้ว ยังปรากฏเป็นข่าวด้วยว่า สำนักเลขาธิการ กทช ได้ทำความเห็นเพื่อเสนอ กทช ว่า สัญญาดังกล่าวยังอาจขัดกับมาตรา 46 ของกฎหมายองค์กรจัดสรรคลื่นฯ ที่ห้ามผู้ได้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ มอบการบริหารจัดการบางส่วนหรือยินยอมให้ผู้อื่นประกอบการแทน(กรุงเทพธุรกิจ 13 พฤษภาคม 2554)

หรือว่า ทรู ถนัดที่จะอ้างแต่ความเห็นของนักกฎหมายที่มีผลประโยชน์ได้เสียกับตน ใช้สื่อของตนเสนอข้อมูลด้านเดียวต่อประชาชน และกล่าวหาผู้อื่นโดยไม่ให้โอกาสชี้แจง?เพื่อความเป็นธรรมต่อผู้เขียน และเพื่อพิสูจน์ “ข้อเท็จจริง” ของทั้งสองฝ่าย ผู้เขียนพร้อมที่จะอภิปรายร่วมกับทรูในทุกเวที รวมทั้งรายการสดใน ทรู วิชั่นส์ด้วย ว่าแต่ว่า ทรู จะกล้าร่วมอภิปรายกับผู้เขียนหรือไม่?

 

 

 

 

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ประชาชนไทย-กัมพูชาร่วมธรรมยาตราเรียกร้องสันติภาพสองแผ่นดิน

Posted: 16 May 2011 03:53 AM PDT

ประชาชนไทย-กัมพูชา และนักกิจกรรมนานาชาติกว่า 100 คนร่วมเดินธรรมยาตราร้องเรียกร้องให้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายยุติการสู้รบและกลับคืนสู่โต๊ะเจรจาและแสดงวุฒิภาวะความเป็นผู้นำที่มีศักยภาพและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

01 ตัวแทนเยาวชนเมล็ดพันธ์สันติภาพ เตรียมดอกไม้ต้อนรับประชาชนจากฝั่งกัมพูชา

02-03 บางส่วนของผู้เข้าร่วมขบวนธรรมยาตราฝั่งไทย

04 ขบวนธรรมยาตราจากกัมพูชา

05 -06 ขบวนธรรมยาตราจากฝั่งไทย ต้อนรับขบวนธรรมยาตราจากกัมพูชา

07 สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ต้อนรับพระสงฆ์ไทย-กัมพูชา

08 ชาวบ้านจากกัมพูชาและไทย สวมกอดกันและกันหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าว

09 -11 ขบวนธรรมยาตราฝั่งไทย นำโดยพระสงฆ์

12 ส่วนหนึ่งของผู้ร่วมขบวนธรรมยาตราจากฝั่งไทย

13 วิสิทธิ์ ดวงแก้ว ตัวแทนชาวบ้านจากภูมิซรอลเข้าร่วมธรรมยาตราเพื่อสันติภาพ

16 พ.ค. พระภิกษุ ภิกษุณี แม่ชี และประชาชนไทย และนักกิจกรรมนานาชาติ ประมาณ 100 คน ร่วมเดินธรรมยาตรา จากวัดใหม่ไทรงาม อ.อรัญประเทศ สู่ด่านตรวจคนเข้าเมืองคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ. สระแก้ว เป็นระยะทาง 7 กม.โดยมีนักกิจกรรมชาวกัมพูชามาร่วมสมทบบริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชาร่วม 20 คน

พระไพศาล วิสาโล กล่าวเปิดงานธรรมยาตราสองแผ่นดินว่า การเดินธรรมยาตราท่ามกลาวอากาศที่ร้อนแต่มีจิตใจชุ่มเย็น เพราะได้แสดงความเป็นมิตรกับเพื่อนต่างแดน ซึ่งหากมีน้ำใจ มีความเมตตากรุณาต่อกัน แม้ว่าอากาศภายนอกจะร้อนรุ่มเพียงใด ก็มีความสุขได้ ธรรมยาตราสองแผ่นดินเป็นความพยายามของคนกลุ่มเล็กๆ ที่พยายามหยิบยื่นความมีน้ำใจระหว่างคนสองแผ่นดิน แลเป็นการประกาศให้คนทั่งสองประเทศและคนทั้งโลกได้รู้ว่าประชาชนไทยและกัมพูชามีความเป็นมิตร มีนำใจต่อกัน

พระไพศาลกลาวต่อไปว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลแต่ไม่เกี่ยวกับประชาชน ประชาชนไทยและกัมพูชายังเป้นพี่น้องกัน มีความเป็นเพื่อน มีความรักกัน แม้ว่าธรรมยาตราจะชื่อว่าธรรมยาตราสองแผ่นดิน แต่จริงๆ แล้วทั้งไทยและกัมพูชาอยู่บนแผ่นดินเดียวกัน เพียงแต่มีการลากเส้นสมมติผ่านทำให้เกิดการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย และแม้ภาษาจะต่างกัน แต่มีหัวใจเดียวกัน มีศาสนาเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่จะเสริมสร้างควาเมป็นเพื่อนเป็นมิตรเป็นพี่น้องให้กระชับแน่นขึ้น แม้ว่าประเทศมีพรมแดน แต่มิตรภาพไม่มีพรมแดน ธรรมยาตรครั้งนี้ก็เพื่อยืนยันว่ามิตรภาพของประชาชนสองประเทศไม่มีพรมแดน และการที่จัดธรรมยาตราเนื่องในโอกาสที่จะถึงวันวิสาขบูชาก็มีเหตุผลสำคัญมาก นั่นคือเพื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทำให้คนพ้นจากความมืดความหลง ซึ่งในกรณีของความขัแย้งชายแดนไทยกัมพูชาก็คือการหลงอยู่กับความแตกต่างทางเชื้อชาติ

“เมื่อเราระลึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ จิตใจเราก็จะสว่างและเห็นว่าที่จริงแล้วเราทุกคนแนพี่น้องกัน แม้จะมีความแตกต่างทางศาสนา เชื้อชาติ ศาสนา หรือพรมแดนก็ตาม” พระไพศาล วิสาโลกล่า

สุธา รส ตัวแทนชาวกัมพูชา เล่าถึงการเดินธรรมยาตราในกัมพูชา ว่ามีคนเข้าร่วมประมาณ 200 คน ได้ชุมนุมกันเมื่อวันที่ 14 และสิ้นสุดเมื่อวันที่ 15 พ.ค. โดยใช้ระยะทาง 22 ก.ม. โดยเป็นการทำงานภายใต้แนวคิดพุทธเนื่องในวันวิสาขบูชา มีคนข้อเท่าหัก 1 ราย โดยธรรมยาตราขณะที่อากาศค่อนข้างร้อน ประมาณ 40 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตาม ผู้ร่วมกิจกรรมหวังว่าจะมีสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา ระหว่างทางได้สอบถามประชาชนกัมพูชาว่ามีสาสน์อะไรฝากถึงคนไทยหรือไม่ เพราะหลายคนไม่มีพาสปอร์ต ประชาชนกว่า 200 คนส่วนใหญ่ไม่มีพาสปอร์ต ได้ข้ามมาเพียง 23 คนเท่านั้น สาสน์ที่ฝากมาคือขอให้ประชาชนรักกัน ให้มีสันติภาพ ขอให้เป็นพี่น้องกัน

นายสุลักษณ์ กล่าวว่ารัฐบาลทั้งสองฝ่ายอาจจะพยายามทำให้เห็นว่าธรรมยาตรานั้นไม่มีความสำคัญเพราะมีคนไม่กี่คน ทุกรัฐบาลเมื่อไม่มีความชอบธรรมจะใช้สงครามเป็นเครื่องมือประหัตประหารกัน เพื่อความอยู่รอดของรัฐบาล แม้แต่กรณีของอังกฤษ นางแทตเชอร์ก่อนสิ้นอำนาจก็ก่อสงครามในหลายพื้นที่ ฮุนเซนก็ทำวิธีเดียวกัน รัฐบาลไทยก็เช่นกัน รวมทั้งคุมสื่อต่างๆ ด้วย ทั้งนี้ นานสุลักษณ์กล่าวว่าดีใจที่มีสื่อหลายฉบับและหนังสือพิมพ์หลายแห่ง รวมถึงโทรทัศน์มาทำข่าว เพราะคนของเราจำนวนน้อย คนเขมรไม่พาสปอร์ตข้ามมาไม่ได้ อย่าไรก็ตามเมื่อมีคนจำนวนน้อย ต้องคิดนอกกระแสหลัก เมื่อรัฐบาลและสื่อกระแสหลักมอมเมา การศึกษากระแสหลักก็มอมเมา สันติภาพไม่ได้มาง่ายๆ การศึกษาไทยทั้งหมดสอนให้คนไทยดูถูกเขมร คนไทยต้องไปขจอโทษเพื่อนกัมพูชา หากเริ่มสำนึกถึงความผิดของตนเองและอ่อนน้อมถ่อมตน นั่นคือสาระของธรรมยาตรา แต่ถ้าไม่เปลี่ยนจากข้างในก็ไม่สามารถสร้างสันติภาพได้

"ไทยโม้ตลอดเวลาว่าไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่ง แต่จิตสำนึกของคนไทยเป็นขี้ข้าฝรั่งที่สุด หากหยุดความคิดแบบจักรวรรดินิยมนี้ได้ไทยก็จะเป็นเพื่อนกับกัมพูชา ลาว พม่า ภูมิภานีต้องร่วมมือกันและราษฎรเท่านั้นที่ร่วมมือกันได้ รัฐบาลทำไม่ได้ เพราะรัฐบาลนั้นบัดซบ เมื่อประชาชนทำได้ผลรัฐบาลจะเดินตาม นักการเมืองจะตาม"

“ธรรมยาตรานี้จะแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เคยปฏิบัติกันมาทางการเมืองต้องลบทิ้งได้แล้ว ประชาชนรักกันพึ่งพากัน ถ้าไม่แสดงออกเช่นนี้ อภิมหาอำนาจทั้งอเมริกันและจีน พร้อมที่จะควบคุมเรา” นายสุลักษณ์กล่าวในที่สุด

ตัวแทนเยาวชนเมล็ดพันธ์สันติภาพอ่านแถลงการณ์ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายยุติการสู้รบและกลับคืนสู่โต๊ะเจรจาและแสดงวุฒิภาวะความเป็นผู้นำที่มีศักยภาพและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ทั้งเรียกร้องให้ขอให้รัฐบาลอาเซียนรวมทั้ง คณะกรรมการรัฐบาลอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน (AICHR) และคณะกรรมการอาเซียนเพื่อการปกป้องคุ้มครองสิทธิสตรีแบะเด็ก (ACWC) เข้ามาเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจผู้อพยพพลัดถิ่นทั้งสองประเทศ และร่วมฟื้นฟูความเสียหายร่วมกัน

สำหรับกิจกรรม “ธรรมยาตราสองแผ่นดิน” เพื่อมิตรภาพ สันติภาพของประชาชนกัมพูชาและประชาชนไทย จัดขึ้นระหว่าง วันที่ 15-18 พฤษภาคม 2554 โดยกิจกรรมหลักคือการเดินธรรมยาตราร่วมกันของประชาชนทั้งสองประเทศในวันที่ 16 พ.ค. และกิจกรรมสนทนาระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ ที่วัดใหม่ไทรงาม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งจะดำเนินต่อเนื่องระหว่างวันที่ 17-18 พ.ค.

กิจกรรมดังกล่าว มีประชาชนชาวไทย และชาวกัมพูชาเข้าร่วม พร้อมด้วยนักกิจกรรมนานาชาติ อาทิ พะภิกษุชาวลาว ศรีลังกา ธิเบตและอินเดียราว 100 คน

 

000
แถลงการณ์ “ธรรมยาตราสองแผ่นดิน”
เพื่อมิตรภาพ สันติภาพของประชาชนกัมพูชาและประชาชนไทย
วันที่ 15-18 พฤษภาคม 2554 ด่านปอยเปต และด่านคลองลึก อรัญญประเทศ

ความขัดแย้งที่ชายแดนระหว่างประเทศกัมพูชาและประเทศไทย นำมาซึ่งความสูญเสียทั้งชีวิตของทหารและพลเรือน บ้านเรือนทรัพย์สินขิงประชาชน และสถานที่ราชการที่ถูกทำลายจากการสู้รบ สภาพจิตใจที่บอบช้ำของประชาชนทั้งสองแผ่นดิน รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศขาดวิ่น แตกร้าว ยากที่จะประสานให้ดีดัวเดิม ประเทศกัมพูชาและประเทศไทยต่างเป็นเมืองพุทธ ประชาชนส่วนใหญ่มีวสิถีชีวิต วัฒนธรรมแบบพุทธ มีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติที่ดีต่อกัน ตามธรรมดาของหมู่บ้านชายแดนที่อยู่ใกล้ชิดติดกัน ท่ามกลางสถานการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น ประชาชนทั้งสองฝั่งสูญเสียพอๆ กัน และต้องการยุติความรุนแรงโดยทันที

“ธรรมยาตรา” จึงเป็นกลไกที่ประชาชนตัวเล็กๆ ทั้งชาวกัมพูชาและชาวไทยที่ไร้ซึ่งอาวุธ และอำนาจทางการเมืองจะใช้เป็นเครื่องมือในการแสดงออกต่อสาธารณะที่จะส่งสาสน์ความต้องการของพวกเขาไปถึงผู้นำทั้งสองประเทศ และต่อประชาคมโลก

พวกเราชาวกัมพูชาและชาวไทยทั้งหมดที่ชุมนุมกัน ณ ที่นี้ เป็นตัวแทนของประชาชนทั้งสองประเทศที่ยืนยันในเจตนารมณ์ของสันติภาพ มิตรภาพ และภราดรภาพระวห่างประชาชนทั้งสองประเทศว่า

1 พวกเราเคารพในความเป็นพี่น้องระหว่างกันและกัน เคารพในความเป็นเพื่อนบ้านและการมีวัฒนธรรมร่วมกันมาในอดีตที่ยาวนาน เรายทนยันถึงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทั้งในอดีตและในอนาคตอันยาวไกลต่อไป

2 ขอแสดงความเสียใจต่อความรุนแรง และความสูญเสียที่ผ่านมากับประชาชนและเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย เรายืนยันว่าประชาชนทั้งสองประเทศต้องการความรุนแรง และการสูรบที่ชายแดนระหว่างทั้งสองประเทศ เราขอวิงวอนให้รัฐบาลทั้งสองหยุดการสู้รบไม่ว่าขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กอย่างถาวรเพื่อคืนประโยชน์สุขให้กับประชาชนตลอดแนวชายแดน

3 ผลจากประชุม สุดยอดผู้นำอาเซียนนำมาซึ่งความสงบชั่วคราว เราอยากให้รัฐบาลทั้งสองประเทศกลับคืนสู่โต๊ะเจรจา โดยยินยอมให้อาเซียนเป็นผู้ประสานให้เกิดความร่วมมือและความเข้าใจที่ดีต่อกัน เราทราบดีว่าขบวนการเจรจาต้องใช้เวลาและความอดทนอดกลั้น เราขอให้กำลังใจรับบาลทั้งสองประเทศและผู้นำอาเซียนประสบความสำเร็จในการตัดการเจรจา แม้ว่าจะต้องใช้เวลายาวนานแค่ไหน ประชาชนทั้งสองประเทศพร้อมจะเฝ้ารอ ขอให้รัฐบาลทั้งสองประเทศแสดงวุฒิภาวะในการเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

4 ขอให้รัฐบาลอาเซียนรวมทั้ง คณะกรรมการรัฐบาลอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน (AICHR) และคณะกรรมการอาเซียนเพื่อการปกป้องคุ้มครองสิทธิสตรีแบะเด็ก (ACWC) เข้ามาเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจผู้อพยพพลัดถิ่นทั้งสองประเทศ และร่วมฟื้นฟูความเสียหายร่วมกัน

5 ขอให้รัฐบาลเคารพในเจตจำนงของประชาชนทั้งสองประเทศและสนับสนุนส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระสห่างประชาชนกัมพูชา และประชาชนไทยยั่งยืนตลอดไป

ด้วยความคารวะอย่างสูง
ธรรมยาตราประชาชนกัมพูชาและประชาชนไทย
จัดโดยเครือข่ายกรรมการร่วมกัมพูชา-ไทย เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทีดีระหว่างประชาชนและองค์กรเครือข่ายทั้งกัมพูชาและไทย กว่า 50 องค์กร
16 พฤษภาคม 2554

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"สนธิ" ลั่นโหวตโนลูกเดียว จะเกิดอะไรขึ้นเราไม่สน

Posted: 15 May 2011 05:08 PM PDT

ต้องทุ่มเทจิตใจร่างกายเพื่อโหวตโน ให้การศึกษาประชาชนทั่วประเทศ เป็นโอกาสเดียวที่จะแก้แค้นนักการเมือง แล้วค่อยเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็ตาม ท้าคนที่กล่าวหาว่า พธม. เชื้อเชิญปฏิวัติ ให้เอาปืนเอาอำนาจมาแล้วจะปฏิวัติล้างแผ่นดินเดี๋ยวนี้ ด้าน อดีต ส.ส.เพื่อไทยโวลั่น ส่งหมาลงก็ชนะเลือกตั้ง

"สนธิ" ชี้ที่ใส่เริ่มเสื้อเหลืองต่ิอสู้เพราะสถาบันกษัตริย์อยู่ในอันตรายจากการจาบจ้วง

ในการปราศรัยของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อคืนวานนี้ (15 พ.ค.) นั้น เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า นายสนธิได้ปราศรัยตอบโต้คำให้สัมภาษณ์ของนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ที่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ตัดสัมพันธ์กับคนเสื้อเหลืองแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว โดยนายสนธิกล่าวว่าที่นายกอร์ปศักดิ์พูดเช่นนั้นก็เพราะต้องการจะสื่อถึงคนที่จะลงคะแนนว่า พรรคประชาธิปัตย์ตัดสายสัมพันธ์กับคนเสื้อเหลืองได้ ขณะที่พรรคเพื่อไทยยังไม่ตัดสัมพันธ์กับคนเสื้อแดง ก็แสดงว่าพรรคประชาธิปัตย์มีคุณงามความดีมากกว่าพรรคเพือไทย

นายสนธิกล่าวต่อว่า ความเป็นจริงแล้วสีเสื้อไม่มีความหมาย ที่เราใส่เสื้อเหลืองก็เพราะว่า ช่วงปี 2547-2549 สถาบันพระมหากษัตริย์ตกอยู่ในอันตรายจากการจาบจ้วงของพรรคไทยรักไทยและพวกซ้ายจัดที่อยู่เบื้องหลังพรรคนี้ แล้วไม่มีใครออกมาปกป้อง แม้แต่คนจากพรรคประชาธิปัตย์ วันที่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ถูกถอดออกจากช่อง 9 และวันรุ่งขึ้นมีการแถลงข่าวที่บ้านพระอาทิตย์ ตนได้ใส่เสื้อเหลืองที่มีข้อความว่า “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ด้วยจิตวิญญาณ ความรู้สึก และองค์ความรู้ที่ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์กำลังถูกพรรคไทยรักไทยรุกฆาตด้วยวิธการที่แยบยล ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายค้านได้แต่ซุกตัวเองอยู่ในุมมหนึ่งของสภา กระบวนการลุกขึ้นมาสู้เพื่อในหลวงเกิดจากจิตวิญญาณและสัญชาติญาณที่เรารู้ ... แล้วทำไมช่วงที่มีการเผาบ้านเผาเมืองเมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลและทหารออกมาเปิดเผยว่ามีขบวนการล้มเจ้า แสดงว่าเราเห็นเหตุการณ์ก่อนและที่เราทำเพราะเราเห็นว่าภัยมาถึงแล้ว

 

อุปมาประเทศไทยเป็นบ้านแล้วมีโจรที่ต้องการสถาปา "รัฐไทยใหม่" ถือขวานจะวิ่งเข้ามาจาม

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ที่เอาเรื่องนี้มาพูดก็เพื่อโยงถึงเรื่องโหวตโน ซึ่งนายชำนิ ศักดิเศรษฐ ก็พูดในที่สัมมนาผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ไม่ต่างจากนายกอรปศักดิ์ รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่บอกว่า มีคน 500 คน อาสาเข้าไปทำงานให้ชาติในสภา นายอภิสิทธิ์กำลังบอกว่า ถ้ามีคน 500 คนเข้าไปในสภาแล้วปัญหาของชาติจะจบสิ้นไป ไม่รู้ว่าเอาสมองส่วนไหนคิด ก็เพราะ 500 คนนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้บ้านเมืองพินาศฉิบหายจนทุกวันนี้ นายอภิสิทธิ์กำลังบอกว่า ส.ส.คือทางออกของชาติ ขณะที่เราบอกว่า ส.ส.คือสัตว์นรกที่ทำชาติบ้านเมืองฉิบหาย ถ้าอุปมาอุปมัยประเทศไทยเป็นบ้านหลังหนึ่ง พวกเรานั่งอยู่ในบ้านเห็นโจรที่ต้องการสถาปนารัฐไทยใหม่ถือขวานจะวิ่งเข้ามาจามบ้านเรา คนพวกนี้เราไม่กลัวเพราะเรามองเห็นและเราจ้องอยู่ตลอดเวลา มันวิ่งเข้ามาเมื่อไหร่เราก็พร้อมออกไปสู้ แต่ขณะเดียวกันที่เสาบ้านมันมีปลวกคือนักการเมืองชาติชั่วซึ่งหมายถึงนักการเมืองทุกพรรคไม่เว้นพรรคประชาธิปัตย์คอยกัดกินเสาบ้านอยู่ เผลอๆ คนถือขวานยังไม่ได้วิ่งเข้ามาเลย บ้านที่เราปกป้องอยู่ก็พังไปแล้ว แล้วพวกที่เป็นปลวกก็บอกว่าให้พวกเราระวังคนถือขวานแล้วปล่อยให้พวกมันกินเสาบ้านต่อ นั่นก็คือ วาทกรรม “ไม่เลือกเราเขามาแน่”

 

ท้าคนที่กล่าวหาว่าเชื้อเชิญปฏิวัติ ให้เอาปืนเอาอำนาจมา แล้วจะปฏิวัติล้างแผ่นดินเดี๋ยวนี้

นายสนธิ กล่าวว่า ตั้งแต่เรามีพรรคการเมืองมา เพิ่งมีพรรคไทยรักไทยที่สะท้อนว่าเป็นคนถือขวานจะเข้ามาจามบ้าน แต่เรามีปลวกที่เราไม่คิดว่าจะเป็นปลวก หลงเชื่อว่าเป็นไม้สักเนื้อดี หารู้ไม่ว่ามันแทรกอยู่ข้างใน คอยกัดกินเนื้อไม้อยู่ตลอด การคอร์รัปชั่นเป็นปลวก การไม่รักษาดินแดนเป็นปลวก การไม่มีหลักนิติรัฐนิติธรรมเป็นปลวก ซึ่งมันมีมานานแล้ว แต่เรามัวแต่ไปจ้องคนถือขวาน แล้วปลวกมันก็กัดกินไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นคนถือขวานกับปลวกมันชั่วพอๆ กัน

“เรามีทางออกทางไหนบ้าง เราไม่มีปืน เราไม่มีอำนาจ แล้วยังมีคนมาเที่ยวกล่าวหาเราว่าเชื้อเชิญการปฏิวัติ ผมอยากจะบอกว่า เอาปืน เอาอำนาจมาสิ ผมจะปฏิวัติเดี๋ยวนี้เลย ผมจะล้างแผ่นดิน ทั้งปลวกและคนถือขวาน จะล้างให้หมดจด ผมจะตามล้างตามเช็ดพวกสัตว์นรกที่ทำร้ายประเทศมาตั้งนาน เอาคุณวีระ คุณราตรีกลับมา และจะให้นายฮุนเซนรู้ว่า ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกครั้งเรื่องพระยาละแวก แต่ขณะนี้เราเป็นแค่ประชาชนที่รักชาติรักแผ่นดิน เราทำได้แค่ออกมาประท้วง”

 

โต้ ปชป. ไม่ใช่เพราะการเมืองข้างถนนหรือ จึงทำให้เกิดปฏิรูปการเมือง - ทักษิณ สมัคร สมชายต้องออกไป

นายสนธิ กล่าวต่อว่า นายชำนิได้พูดในวงเสวนาพรรคพวกเขาที่เคยหนีเข้าป่าว่า การเมืองไทยที่ยุ่งทุกวันนี้เพราะมีการเมืองข้างถนน ไม่เป็นผลดีต่อชาติ มีอะไรควรจะเอาเข้าใปในสภา ไปเปลี่ยนแปลงในสภา แต่ในข้อเท็จจริง ในเมื่อสภาเป็นสภาโจร มีแต่เอาของโจรมาแลกเปลี่ยนกันไปมา ของโจรก็คือของที่ปล้นมาจากชาติบ้านเมือง ทำไมนายบรรหาร ศิลปอาชา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และทุกพรรคจึงอยากร่วมรัฐบาล ก็เพราะจะใช้ความชอบธรรมจากการเป็นรัฐบาลในการปล้นชาติบ้านเมือง

คนของพรรคประชาธิปัตย์กำลังบอกว่าเราเล่นการเมืองข้างถนน ก็ไม่ใช่เพราะการเมืองข้างถนนตอน 14 ตุลาฯ ไม่ใช่หรือ เราจึงเริ่มปฏิรูปการเมืองได้ ไม่ใช่เพราะการเมืองข้างถนนช่วงปี 48-49 หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงต้องออกไประเหเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศ ไม่ใช่เพราะการเมืองข้างถนนหรือ รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์จึงไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ การเปลี่ยนแปลงล้วนมาจากข้างถนนทั้งสิ้น เพราะการชุมนุมข้างถนนที่สันติอหิงสาเป็นพลังแห่งธรรม ไม่ใช่การทำลายล้าง หรือเผาบ้านเผาเมือง เป็นพลังบริสุทธิ์ที่เปลี่ยนแปลงบ้านเมืองได้ และเรากำลังจะใช้พลังบริสุทธิ์นี้เปลี่ยนแปลงด้วยการโหวตโน

 

โหวตโนเปลี่ยนได้แค่ไหนนั้นไม่รู้ แต่คนที่ไม่เห็นด้วยกับสัตว์นรกจะได้ใช้สิทธิของเขา

นายสนธิกล่าวต่อว่า หลังจากการโหวตโนแล้วจะเปลี่ยนแปลงได้แค่ไหนนั้น ยังไม่รู้ แต่อย่างน้อยที่สุดคนที่ไม่เห็นด้วยกับสัตว์นรกจะได้ใช้สิทธิ์ของเขาสักครั้งหนึ่ง เมื่อก่อนเขาเข้าคูหาไปใช้สิทธิในการหย่อนบัตร 4 วินาทีก็หมด แต่ครั้งนี้เขาจะใช้ 4 วินาทีด้วยความสะใจบ้างที่จะไม่เลือกใครเลย พันธมิตรฯ และประชาชนที่โหวตโน มีจิตใจบริสุทธิ์ไม่ยึดถือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีรวะ ไม่ยึดถือนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ยึดถือนายบรรหาร ศิลปอาชา แต่ยึดถือความถูกต้อง ยึดถือว่าในสภาวันนี้มีแต่สัตว์นรกที่เข้าไปปู้ยี่ปู้ยำชาติบ้านเมือง คนที่โหวตโนเขาไม่ยอมให้สิทธิของตัวเองไปแปดเปื้อนมีราคีกับสิ่งสกปรกโสมมของการเมืองไทย

นายสนธิกล่าวว่า ในวันที่ 26 มิ.ย. ที่กรรมการมรดกโลกจะตัดสินออกมาว่าจะให้เขมรได้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกหรือไม่นั้น เราจะเก็บข้าวเก็บของกลับบ้านด้วยความภูมิใจที่เรามาสู้โดยไม่เสียชาติเกิด ตรงนี้ต่างหากที่เราสามารถไปพูดกับลูกหลานได้ว่านอกจากเราเคยเข้าไปนอนในทำเนียบ เคยฝ่าแก๊สน้ำตาแล้ว เรายังเคยออกมาต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินและปฏิเสธการเมืองสัตว์นรก แค่นี้เราก็ภูมิใจ ขณะที่พวกนักการเมืองสัตว์นรกเมื่อแก่เฒ่าลงไปมันจะมีแต่ความทุกข์ระดมขมขื่นใจไปบอกลูกหลานมัน

 

อัด ปชป. ถ้านักการเมืองดีจริง ทำไมปล่อยให้รัฐบาลโกง ไม่ช่วยวีระ-ราตรี

กรณีที่นายแพทย์บุรณัชย์ สมุทธรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์บอกว่า การขึ้นป้ายรณรงค์การโหวตโนและมีรูปสัตว์คือการสื่อสารในทางลบ เป็นการปลุกระดมว่านักการเมืองมีแต่คนชั่วทั้งที่ความจริงแล้วทุกวงการมีทั้งคนดีและไม่ดีนั้น นายสนธิกล่าวว่า ถ้ามีคนดีจริง ต้องดีต่อชาติบ้านเมือง และถ้าดีต่อชาติบ้านเมือง คนดีในพรรคประชาธิปัตย์ปล่อยให้รัฐบาลโกงชาติบ้านเมืองโดยไม่ลุกขึ้นมาต่อสู้ได้อย่างไร ถ้าดีจริงทำไมไม่ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้นำตัวนายวีระและนางสาวราตรีกลับมา ทั้งสองคนถูกจับบนแผ่นดินไทยและยังติดคุกเขมรอยู่ แต่พวกคุณไม่สนใจ นอกจากสนใจว่าจะได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาอย่างไร ถ้าคุณดีจริงทำไมเวลาพรรคมีมติที่เลวร้ายออกมาคุณจึงยกมือให้ แสดงว่าคุณไม่ใช่คนดีแล้ว เพราะฉะนั้นป้ายที่เห็นยังน้อยไปด้วยซ้ำ

นายแพทย์บุรณัชย์บอกว่าการรณรงค์ให้โหวตโนได้สร้างปมปัญหาใหม่เห็นได้จากพรรคการเมืองใหม่ที่ขัดแย้งกับพันธมิตรฯ เรื่องโหวตโน นายสนธิกล่าวว่า แสดงว่านายแพทย์บุรณัชย์ยังไม่เข้าใจความเป็นไปในพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ที่เต็มไปด้วยเปรตและคนที่กระสันต์อยากจะลงสมัคร ส.ส. อยากลงไปว่ายในน้ำเน่า และกินขี้ที่เขาวางไว้ เพราะฉะนั้นเราไม่เห็นด้วยกับการส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง และเราจะโหวตโน ถ้าจะพูดถึงพรรคการเมืองใหม่ ไม่ใช่การขัดแย้งกับเรา เพราะขณะนี้พรรคการเมืองใหม่ก็เป็นสัตว์ประเภทหนึ่งเหมือนพรรคประชาธิปัตย์ พวกเราเป็นมนุษย์เราไม่ยุ่งกับอสุรกายอยู่แล้ว

 

อัด "อนุพงษ์" เป็นนายพลด้วยการจับฉลาก ชี้ ผบ.ทบ. ไทยหาได้น้อยมากที่มีปัญญา

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ทฤษฎีที่ชอบพูดกันมันเริ่มจาก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ.ที่ว่า ทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดงคือตัวป่วนชาติ ตนเห็นใจ เพราะคนบางคนเป็นนายพลด้วยการจับฉลาก ผบ.ทบ.ของประเทศไทยหาได้น้อยคนมากที่มีปัญญา เพราะถ้ามีปัญญาต้องรู้ว่าความดีความชั่วอยู่ที่ไหน ต้องแยกแยะเป็น ถ้าแยกแยะไม่เป็นก็ไม่สามารถอ่านเกมออก ดูไม่ออกเลยว่าเราเล่นการเมืองข้างถนนเราเล่นเรื่องอะไรบ้าง ครั้งแรกที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เป็นการจุดประกายให้คนที่ยังไม่มีความกล้ารวมถึงพวกอีแอบประชาธิปัตย์ออกมาร่วมด้วย เป็นการจุดเทียนเล่มแรก ต่อมาเราก็ชุมนุมที่สนามหลวงเมื่อเทียนจุดติด จนเกิดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แม้วันนี้จะเหลือแกนนำ 4 คน ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ เพราะสัจจธรรมบอกว่าคนเราย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและประโยชน์ที่ถูกหยิบยื่นมาให้

เราชุมนุมช่วงนั้นเพราะว่าเราต่อต้านการโกงบ้านกินเมืองของทักษิณ ชินวัตร ที่เข้ามาครอบงำองค์กรอิสระ จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง หมดจากวันนั้นไปมีการยึดอำนาจวันที่ 19 ก.ย. เราก็ถอยออกมาหวังว่าคณะรัฐประหารชุดนั้น จะสามารถแก้ปัญหาชาติได้ แต่มันกลายเป็นสมบัติผลัดกันชม หลังจากนั้น 1 ปี มีการเลือกตั้ง วันนี้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหารที่ออกมาบอกเหตุผล 4 ข้อในการยึดอำนาจ ก็ไปเป็นหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ เมืองไทยของปลอมมันเยอะ ของจริงมันต้องทนต่อการเสียดสี ทองแท้ต้องทนต่อการขูดขีด พอนายสมัครมาเป็นนายกฯ เหตุผลข้อเดียวที่เราออกมาประท้วงคือเขาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ทักษิณกลับมาโดยไม่มีความผิด พรรคฝ่ายค้านคือประชาธิปัตย์ตอนนั้นก็เสียงน้อยกว่า เถียงสู้เขาไม่ได้ แต่การเมืองข้างถนนนี้แหละที่ออกมาสู้

 

ลั่นให้ "กอรปศักดิ์" จำไว้ การเมืองข้างถนนจึงทำให้มีอำนาจ  พอมีอำนาจแล้วก็เป็นวัวลืมตีน

ขอให้นายกอรปศักดิ์จำไว้ การเมืองข้างถนนนี่แหละที่ทำให้คุณมีอำนาจ แต่พอมีอำนาจคุณก็เป็นวัวลืมตีน เป็นคางคกขึ้นวอ บอกว่าการเมืองต้องเข้าไปพูดกันในสภา อย่ามาเล่นข้างถนน อุปมาอุปมัยเหมือนเมื่อก่อนคุณไม่มีข้าวกิน พวกเราก็มีข้าวเหนียวไก่ย่างกินกันตามประสาแล้วแบ่งให้คุณกิน วันนี้พอคุณมีอำนาจวาสนาเพราะคดโกงเข้าไปได้ไปกินโต๊ะจีน ก็มาบอกว่า จะกินข้าวต้องมีช้อนมีส้อม อย่าใช้มือกินเพราะถือว่าเป็นคนระดับต่ำ

นายอภิสิทธิ์บอกว่า บ้านเมืองต้องพึ่งคน 500 คนแก้ไขปัญหาชาติ ถ้าพึ่งได้จริงๆ เราคงไม่ต้องเสียดินแดน นายฮุนเซนคงไม่เหิมเกริมขนาดนี้ ข้าวของคงไม่แพงอย่างทุกวันนี้ แต่เป็นเพราะโจร 500 เข้าไปเพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเอง ตั้งแต่ตนเห็นนักการเมืองมา ยังไม่เห็นนักการเมืองคนไหนที่คิดว่าจะเป็นความหวังได้เท่ากับนายอภิสิทธิ์ ที่คิดว่าจะเข้ามาทำให้การเมืองสะอาดได้ ซึ่งการทำให้การเมืองสะอาดนั้นมีได้ทางหนึ่งคือเริ่มจากผู้นำประเทศ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ทำได้เพราะมีชาติตระกูลดี มีการศึกษาดี แต่กิเลสมาบังตา ละเลยมวลชนที่พร้อมจะสนับสนุนให้เขาลุกขึ้นมาสู้กับพรรคร่วมรัฐบาลหลายๆ พรรค มีทางสู่สวรรค์ให้เข้าเลือก แต่เขาไม่เลือก เขากลับเลือกทางสู่นรก แล้วจะมาโทษคนอื่นได้อย่างไร

วันนั้นเราพร้อมสนับสนุนเขา ยืนอยู่ข้างหลังเขา ถ้าคนอย่างเขาไม่กลัว ไม่ยึดติดในหน้าที่ ไม่หลงใหลว่าการเป็นนายกคือการสำเร็จความใคร่ของตระกูล ถ้าเขาพร้อมที่จะตัดสินใจแม้จะต้องออกจากนายกฯ ในวันนั้น เมื่อมาถึงวันนี้คนทั้งประเทศจะสนับสนุนให้เขาเป็นนายกฯ ต่อไปอย่างล้นหลามที่สุด

 

ลั่น พธม. สู้เพื่อปฏิรูปการเมือง โหวตโนแล้วอะไรจะเกิดขึ้นเราไม่สน เป้าหมายหลักคือเดินหน้าโหวตโน

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ระบอบการเมืองที่เป็นอยู่คือเผด็จการรัฐสภาของนายทุน พันธมิตรฯ ไม่ได้ออกมาไล่รัฐบาลของพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่เราสู้เพื่อให้มีการปฏิรูปการเมือง เป็นแนวคิดที่เราไม่เคยเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่เราเริ่มชุมนุมที่ลานพระบรมรูป เราพูดมาตลอดว่าเราไม่เอาการเมืองสัตว์นรก ที่นายแพทย์บุรณัชย์บอกว่า เราใช้คำพูดแรง แต่ถ้าเราดูพฤติกรรมของนักการเมืองที่โกงกินปล้นชาติโกหกหลอกลวงแล้ว เราคิดว่าสัตว์ที่เราติดป้ายยังดีกว่านักการเมืองไทยด้วยซ้ำ

อย่ามาถามว่าโหวตโนแล้วอะไรจะเกิดขึ้น เราไม่สน แต่เป้าหมายหลักของเราจะเดินหน้าโหวตโนลูกเดียวก่อน เราต้องทุ่มเทจิตใจร่างกายเพื่อโหวตโน ให้การศึกษาประชาชนทั่วประเทศ เป็นโอกาสเดียวที่จะแก้แค้นนักการเมืองสัตว์นรก แล้วค่อยเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็ตาม วันที่เราเลิกชุมนุมแล้วกลับบ้าน ตรงนั้นต่างหากที่เราจะสามารถบอกลูกหลานว่าเราไม่เสียชาติเกิดและเราก็ไม่เสียชาติเกิดจริงๆ

 

อดีต ส.ส.เพื่อไทย จ.ขอนแก่นโวลั่น ส่งหมาลงก็ชนะเลือกตั้ง

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย เนชั่นทันข่าว รายงานว่า นายนวัธ เตาะเจริญสุข อดีตส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย กล่าวเมื่อวานนี้ (15 พ.ค.) ถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้ลูกพรรคไปหาเสียงโดยจี้ถามประชาชนว่าจะเลือกนายอภิสิทธิ์หรือน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย ว่า วันนี้ในพื้นที่ภาคอีสานพรรคเพื่อไทยส่งใครลงก็ชนะ เขาพูดถึงขนาดว่าส่งหมาลงก็ชนะ เพราะความคิดของประชาชนพัฒนาไปไกลแล้ว เขาเลือกพรรค เลือกนโยบายเป็นหลัก ซึ่งเขาเชื่อมั่นนโยบายพรรคเพื่อไทยที่เคยทำสำเร็จ ทำได้จริง กระแสมันลามไปทั่วประเทศ ตอนนี้ใครที่ว่าแข็งๆ ลองย้ายออกจากพรรคเพื่อไทยไปก็ร่วงหมด

“วันนี้ไม่ต้องไปถามชาวบ้านเลยว่าอภิสิทธิ์กับยิ่งลักษณ์จะเลือกใคร ถ้าอภิสิทธิ์สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ กับเสาไฟฟ้าหรือสังกะสีสังกัดพรรคเพื่อไทย เขาก็เลือกเสาไฟฟ้ากับสังกะสี เพราะยังมีประโยชน์มากกว่า”

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น