ประชาไท | Prachatai3.info |
- กสทช. เผยยอดขึ้นทะเบียนโดรนทั่วประเทศ ถึงวันที่ 9 ม.ค.61 กว่า 8 พันเครื่อง
- ประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขง 'รักษ์เชียงของ' หวังให้ ปชช. มีส่วนร่วมถกผลกระทบจากเขื่อนมากขึ้น
- ประยุทธ์ เผยปรับค่าแรงขั้นต่ำ กำลังหารือ ย้ำต้องไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ
- คุยกับ พิพัฒน์ธนชัย สระกวี ชายตาบอดผู้ฟ้อง 112 หญิงตาบอด
- ปอท.เรียก 'สายป่าน' รับทราบข้อหา 12 ม.ค.นี้ กรณีมือลั่นโพสต์อวัยวะเพศใน IG
- 'ทนายอานนท์' เตรียมรับทราบข้อหาดูหมิ่นศาล 10 ม.ค.นี้
- 'สมานฉันท์แรงงาน' ร้องปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ต้องเลี้ยง 3 คนในครอบครัว-เท่ากันทั้งประเทศ
- ผบ.สันติบาลเผย พล.อ.ประวิตรให้ 'นายพล' มารับนาฬิกาแทนถือว่าให้เกียรติเอกชัยมากแล้ว
- กวีประชาไท: กอดรูปจูบกระดาษ
- พุทธศาสนาไทยกับประชาธิปไตย
- การข้ามเพศ: การเดินทางจากเพศที่สามสู่โลกชายจริงหญิงแท้
- ประชาธิปไตยไทยวันนี้... ไม่ได้อยู่กับการเลือกตั้ง
- แครี เกรซี บ.ก.บีบีซีจีน ลาออกประท้วงค่าจ้างเหลื่อมล้ำระหว่างเพศ
กสทช. เผยยอดขึ้นทะเบียนโดรนทั่วประเทศ ถึงวันที่ 9 ม.ค.61 กว่า 8 พันเครื่อง Posted: 09 Jan 2018 08:51 AM PST 9 ม.ค. 2561 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) เปิดเผย จำนวนการลงทะเบียนเครื่องวิทยุคมนาคมที่ใช้ในอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินประเภทอากาศยานที่ควบคุมการบินจากภายนอก (โดรน) ตั้งแต่วันที่ 12 ต.ค. 2560 ถึงวันที่ 9 ม.ค. 2561 ณ เวลา 16.00 น. มียอดขึ้นทะเบียนโดรนรวมทั้งสิ้น 8,391 เครื่อง แยกเป็นขึ้นทะเบียนที่สำนักงาน กสทช. 7,685 เครื่อง (สำนักงาน กสทช. ส่วนกลาง 3,813 เครื่อง และส่วนภูมิภาค 3,872 เครื่อง) และขึ้นทะเบียนที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) จำนวน 706 เครื่อง ทั้งนี้ ยอดการขึ้นทะเบียนดังกล่าวยังไม่รวมการขึ้นทะเบียน ณ สถานีตำรวจทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลการขึ้นทะเบียนเพื่อส่งมายังสำนักงาน กสทช. ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ระบุด้วยว่า สำหรับผู้ที่มีโดรนไว้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขง 'รักษ์เชียงของ' หวังให้ ปชช. มีส่วนร่วมถกผลกระทบจากเขื่อนมากขึ้น Posted: 09 Jan 2018 05:23 AM PST ประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขง 'รักษ์เชียงของ' หวังปรับกระบวนการมีส่วนร่วมในการจัดการแม่น้ำโขงร่วมกัน ทั้งระดับระหว่างประเทศ และประชาชน นักวิชาการ พร้อมคำถามจีนจะยอมถอยหยุดระเบิดแก่งแม่น้ำโขง 9 ม.ค. 2561 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก เพียรพร ดีเทศน์ บุตรสาว ผู้ประสานงานการรณรงค์ประเทศไทย องค์การแม่น้ำนานาชาติ โดย เพียรพร ระบุว่า ตนเองได้สอบถามกับ นิวัฒน์ ร้อยแก้ว หรือ ครูตี๋ แห่งกลุ่มรักษ์เชียงของ เกี่ยวกับการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขง Lancang-Mekong Cooperation (LMC) Leaders' meeting ซึ่งจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (10 ม.ค.61) ที่กรุงพนมเปญ โดยสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และ หลี่ เค่อ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ร่วมเป็นเจ้าภาพ สรุปดังนี้ เมื่อได้รับรู้ข่าวถึงที่ รมว.ต่างประเทศ ดอน ปรมัตถ์วินัย ให้สัมภาษณ์ในรายงานข่าวว่า จีนยอมถอยเรื่องการระเบิดแก่งแม่น้ำโขง ประเด็นที่น่าสนใจคือ เป็นความรู้สึกที่ดีของพี่น้องชาวบ้านในลุ่มน้ำโขง ที่อย่างไรก็จะยังยืนยันว่าโครงการระเบิดแก่งแม่น้ำโขงเพื่อการเดินเรือพาณิชย์นั้น จะสร้างความเสียหายแก่แม่น้ำโขงอย่างใหญ่หลวง และสร้างความเดือดร้อนให้เรา ข้อสรุปของ เพียรพร จากการคุยกับ นิวัฒน์ ระบุด้วยว่า สิ่งที่สำคัญกับพี่น้องในลุ่มน้ำโขง ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา เนื่องจากขณะนี้ยังมีโครงการขนาดใหญ่มากมายที่สร้างปัญหาให้แม่น้ำโขง แต่ยังไม่ได้รับการพูดคุยระหว่างรัฐบาลในลุ่มน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะผลกระทบจากเขื่อน ต้องยอมรับว่าเขื่อน ได้สร้างวิกฤติแม่น้ำโขง ทั้งเขื่อนในจีน ที่สร้างไปแล้วถึง 8 เขื่อนในมณฑลยูนนาน และเขื่อนที่จะสร้างเพิ่มบนแม่น้ำโขงตอนล่าง ดังนั้นเพื่อให้การพัฒนาแม่น้ำโขงไปสู่ความสมดุล ทั้งส่งเสริมการค้า และการรักษาทรัพยากร จะต้องใช้โอกาสนี้ในการปรับกระบวนการมีส่วนร่วมในการจัดการแม่น้ำโขงร่วมกัน ทั้งระดับระหว่างประเทศ และประชาชน นักวิชาการ เพราะที่ผ่านมาโครงการต่างๆ อาทิ เขื่อนแม่น้ำโขง และโครงการเดินเรือหรือระเบิดแก่ง การศึกษาผลกระทบเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นไม่สามารถตอบประเด็นปัญหาผลกระทบในภาพรวมที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะเป็นเพียงการศึกษาเป็นจุดๆ ไม่ได้ศึกษาในภาพรวมของแม่น้ำโขงทั้งลุ่มน้ำ ดังนั้นการยกระดับเพื่อการศึกษา ทำความเข้าใจแม่น้ำโขงร่วมกันในภูมิภาค จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะตอบปัญหาผลกระทบระดับลุ่มน้ำจากโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ ปัจจุบัน องค์กรต่างๆที่ ก่อตั้งขึ้นเพื่อบริหารแม่น้ำโขง เช่น คณะกรรมการแม่น้ำโขงหรือ เอ็มอาร์ซี และกรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่น้ำโขง LMC จะต้องให้ความสนใจ และยกเป็นวาระของการพัฒนาลุ่มน้ำโขงร่วมกัน เพราะที่ผ่านมา เรื่องราวต่างๆ ความเดือดร้อนของประชาชนไม่ได้รับการพูดถึงหรือผลักดันแก้ไขปัญหาร่วมกัน หน่วยงานที่รับผิดชอบควรทำหน้าที่ หยิบยกประเด็นนี้เป็นวาระ ข้อสรุปของ เพียรพร ระบุด้วยว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลจีนเริ่มเข้าใจมากขึ้นในเรื่องผลกระทบจากการที่จีนออกไปลงทุนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เราในฐานะประเทศลุ่มน้ำโขง น่าจะใช้โอกาสนี้ในการปรึกษาหารือ พูดคุยกับรัฐบาลจีน เพื่อยกระดับการแก้ปัญหาร่วมกันต่อไป ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ประยุทธ์ เผยปรับค่าแรงขั้นต่ำ กำลังหารือ ย้ำต้องไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ Posted: 09 Jan 2018 04:19 AM PST ประยุทธ์ เผยการปรับค่าแรงขั้นต่ำอยู่ในขั้นตอนการหารือของคณะกรรมการ คาดเร็ว ๆ นี้ จะเสนอ ครม. ย้ำ ต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไรจะให้ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ก.แรงงานเผย ระงับการเดินทางผู้มีพฤติการณ์ลักลอบไปทำงานเกาหลีใต้มากสุด 9 ม.ค. 2561 เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล รายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการปรับค่าแรงขั้นต่ำว่า เป็นเรื่องการพิจารณาหารือของคณะกรรมการ นายกรัฐมนตรีไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายการพิจารณาหารือในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาแล้ว โดยการพิจารณาปรับค่าแรงขั้นต่ำนั้น ต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไรจะให้ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ถ้าหากมีการปรับขึ้นค่าแรงจะขึ้นเท่าไหร่ โดยจะมีการพิจารณาและดำเนินการอย่างเป็นธรรม ขอให้รอฟังผลการพิจารณาหารือ ซึ่งคาดว่าเร็วๆ นี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอความร่วมมือภาคเอกชนให้ทำความเข้าใจ หากผู้ประกอบการมีความเดือนร้อน รัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลือหาวิธีการดูแล โดยเฉพาะมาตราการเงินและการคลัง ก.แรงงานเผย ระงับการเดินทางผู้มีพฤติการณ์ลักลอบไปทำงานเกาหลีใต้มากสุดขณะที่ อนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมามีคนงานไทยเดินทางไปทำงานและฝึกงานในต่างประเทศผ่านด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิ จำนวน 5,732 คน โดยไปทำงานไต้หวันมากที่สุด 2,492 คน รองลงมาคือ เกาหลีใต้ 368 คน ญี่ปุ่น 335 ฮ่องกง 113 คน ตามลำดับ ขณะที่มีการระงับการเดินทางของผู้ที่มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานในต่างประเทศ และให้การยอมรับว่าจะไปทำงานในต่างประเทศจำนวน 44 คน ซึ่งเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาพบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 46.67 ซึ่งมีจำนวน 30 คน โดยประเทศที่ถูกระงับการเดินทางมากที่สุดเป็นเกาหลีใต้ รองลงมาเป็นบาห์เรน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเชค สิงคโปร์ และกาตาร์ อนุรักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีการหลอกลวงคนหางานผ่านสื่อสังคมออนไลน์เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะประเทศเกาหลีใต้ จึงขอย้ำเตือนอีกครั้งว่าการไปทำงานต่างประเทศจะต้องไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีใบอนุญาตทำงาน มีสัญญาจ้างที่ผ่านการรับรองสัญญาจ้างจากหน่วยงานภาครัฐของทั้งสองประเทศ ใช้วีซ่าท่องเที่ยวในการทำงานไม่ได้ ดังนั้น เพื่อป้องกันการหลอกลวงไปทำงานต่างประเทศจนต้องสูญเสียทรัพย์สินตามที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ จึงขอให้ตรวจสอบกับกรมการจัดหางานก่อน โดยสอบถามข้อมูล แจ้งเรื่องร้องทุกข์หรือแจ้งเบาะแสการหลอกลวงคนหางานได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัดสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน โทร. 0-2248-2278 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
คุยกับ พิพัฒน์ธนชัย สระกวี ชายตาบอดผู้ฟ้อง 112 หญิงตาบอด Posted: 09 Jan 2018 04:15 AM PST เกิดกระแสความสนใจข่าวจำคุก 1 ปี 6 เดือน หญิงตาบอดโพสต์เฟสบุ๊ค 112 ว่าเป็นความจริงหรือไม่ มีต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้ฟ้อง ฟ้องด้วยเหตุอะไร ประชาไทสัมภาษณ์ พิพัฒน์ธนชัย สระกวี นายกสมาคมประชาคมคนตาบอดไทย ผู้แจ้งความเอาผิด นูรยาฮาตี สาเมาะ หญิงพิการตาบอดผู้ถูกลงทัณฑ์ ม.112
พิพัฒน์ธนชัย สระกวี ชายผู้พิการทางสายตาวัย 32 ปี ชาวสงขลา รับว่าตัวเองเป็นผู้แจ้งความดำเนินคดีเอาผิด นูรยาฮาตี ไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว มีเพื่อนในกลุ่มคนตาบอดแจ้งมา ผมเห็นว่าเป็นปัญหาก็เลยเป็นคนไปแจ้งความที่ สภ.โชคชัย และหลังจากนั้นก็ได้ส่งหลักฐานบันทึกการแจ้งความไปที่ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา และจากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดจึงได้มอบให้ผู้แทนเข้าแจ้งความดำเนินคดี
ทางผมเองคิดว่าควรจะสั่งฟ้อง เลยไล่เรียนกับผู้ใหญ่หลายๆ ท่านในบ้านเมืองนี้ แล้วก็ผู้ใหญ่ท่านก็ให้ความสำคัญ สุดท้ายทางอัยการก็ได้มีความเห็นสั่งฟ้องคดีนี้ไป ผมอยากเห็นเรื่องนี้ถูกดำเนินคดีเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แจ้งความแล้วหายไป จริงๆ ผมเข้าใจว่าเรื่องนี้มีความละเอียดอ่อน แต่ที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นเพราะว่าน้องเค้ารู้เท่าไม่ถึงการ เสพข่าวด้านเดียว
ท่านปรานีมากแล้วนะ (พูดซ้ำ) ท่านกรุณาให้สืบเสาะความประพฤติก่อนตัดสิน การทำความผิดก็ให้ลงโทษกันไป ในส่วนการจะช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวก็ช่วยกันไป แต่มันคนละเรื่องกับคนพิการทำความผิดแล้วไม่ต้องลงโทษ ต่อไปผู้ร้ายก็ใช้คนพิการเป็นเครื่องมือกระทำความผิด ในส่วนการที่จะอุทธรณ์ ในมุมมองของผม ผมมองว่า ศาลได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วก็ไม่น่าจะไปอุทธรณ์อีก ถ้ายังจะอุทธรณ์ ทางผมก็จะมีความเห็นทำหนังสือถึงอัยการเหมือนกันเพื่อเป็นการให้ข้อมูลกับศาล สิ่งที่เกิดขึ้น ภาพลักษณ์ของคนตาบอดก็เสียมากพอแล้ว
คุณต้องเข้าใจอย่างนี้ว่า คนตาบอดกับคนตาดีมันต่างกันเพียงแค่เขามีความบกพร่องทางร่างกายหรือจิตใจเพียงบางด้าน ในส่วนของคนตาบอดเขาก็เพียงแค่มองไม่เห็นเหมือนคนทั่วไป อย่างอื่นเขาก็ทำได้ การที่เขาเข้าไปอยู่ในเรือนจำ มันก็เป็นการปรับปรุงนิสัยเขา มีงานอะไรที่เขาสามารถช่วยเรือนจำได้เขาก็ช่วยได้ครับ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรทั้งผู้หญิงผู้ชาย เรือนจำที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็น่าจะคำนึงถึงผู้หญิงที่เป็นมุสลิมะห์ หรือผู้หญิงที่เป็นมุสลิมอยู่แล้วจึงไม่น่าจะเป็นห่วงอะไร ถ้าเขาไปอยู่ในเรือนจำ ทำตัวดีไม่มีปัญหาอะไร เขาก็จะได้รับการจำแนกชั้นนักโทษ ได้รับการอภัยโทษไปตามขั้นตอน เรื่องคนพิการติดคุก รายนี้ไม่ได้เป็นรายแรกนะ ก็ไม่เป็นที่ต้องกังวลอะไร แต่สังคมอาจคิดมากหน่อยเพราะเห็นว่าเป็นคนพิการตาบอด เป็นผู้หญิง แต่จริงๆ แล้ว ถ้าสังคมเข้าใจบริบทของคนพิการว่าเขาเป็นประชากรส่วนหนึ่งของสังคมเพียงแต่บกพร่องด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น
ผมคิดว่า พ่อแม่ ครูอาจารย์ หรือคนที่แวดล้อมเขา จะต้องบอกกับเขาว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เราอยู่ในประเทศไทย ก็เหมือนกับอยู่ในบ้าน ไม่เคารพพ่อแม่ตัวเอง ไม่เคารพญาติผู้ใหญ่ มันก็ดูเป็นคนอกตัญญู
น้องเขารับข้อมูลด้านเดียว ด้วยสิ่งแวดล้อมที่แตกต่าง ประกอบกับน้องเขาเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจมันคงพูดยาก แต่มีความผิดก็ต้องว่ากันไป เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง การลงโทษก็เพื่อให้ได้หลาบจำ ไม่ได้ฆ่าเขาให้ตาย ถ้าเขาพ้นโทษมา แล้วมีความสำนึกผิดสังคมก็พร้อมที่จะให้โอกาสเขากลับตัวเป็นคนดี สุดท้าย พัฒน์ธนชัยบอกว่า ถ้ามีสื่อมวลชนที่ไหนต้องการสัมภาษณ์ก็ยินดีให้ความร่วมมือ หรือจะให้ไปออกรายการทีวีก็ยินดีที่จะไป
เกี่ยวกับคดี นูรยาฮาตี สาเมาะ นูรฮายาตี มะเสาะ อายุ 23 ปี เป็นชาวอำเภอเมือง จังหวัดยะลา เป็นคนพิการตาบอดทั้งสองข้างได้รับการศึกษาจากศูนย์การศึกษาพิเศษตาบอด จ.สงขลา ถึงชั้น ป.2 (หลักสูตรสำหรับผู้พิการ) ใช้แอพพลิเคชั่นสำหรับคนตาบอด (สมาร์ทวอยซ์) โพสต์ความคิดเห็นและคัดลอกบทความของ ใจ อึ๊งภากรณ์ ลงในเฟสบุ๊ค หลังข่าวการสวรรคตของ ร.9 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 จนเป็นเหตุให้ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตาม ม.112 หมิ่นสถาบันฯ โดยที่ศาลไม่ได้นำเหตุที่จำเลยเป็นผู้พิการทางสายตามาพิจารณาลดหย่อนโทษ เนื่องจากเป็นคดีร้ายแรง นูรยาฮาตีถูกพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกและตั้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 ทางครอบครัวของเธอได้นำตัวเธอเข้ารายงาตัวต่อเจ้าหน้าที่ตามหมายเรียก แต่ได้รับการปล่อยตัวในชั้นสอบสวนก่อนจะถูกคุมขังในเรือนจำช่วงเดือนพฤศจิกายน 2560 เมื่อคดีขึ้นสู่ชั้นศาล ต่อมานูรฮายาตีให้การรับสารภาพ ศาลจังหวัดยะลาพิพากษาจำคุกเธอเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญาในวันที่ 4 มกราคม 2561
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ปอท.เรียก 'สายป่าน' รับทราบข้อหา 12 ม.ค.นี้ กรณีมือลั่นโพสต์อวัยวะเพศใน IG Posted: 09 Jan 2018 01:41 AM PST ปอท.เรียก 'สายป่าน' เพื่อเตรียมแจ้งข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (4) นำเข้าภาพลามกอนาจาร เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ 12 ม.ค.นี้ กรณีมือลั่นโพสต์อวัยวะเพศชายในอินสตราแกรม ภาพจาก อินสตราแกรม ของ สายป่าน 9 ม.ค. 2561 จากรณี สายป่าน หรือ อภิญญา สกุลเจริญสุข นักแสดงสาว ได้โพสต์รูปภาพที่มีอวัยวะเพศชายในอินสตราแกรม (ไอจี) ก่อนจะรีบลบภาพและออกมาขอโทษผ่านไอจีในเวลาต่อมา แต่ภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ส่งต่อจนเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมากนั้น ล่าสุดวันนี้ (9 ม.ค.61) คมชัดลึกออนไลน์ รายงานว่า พนักงานสอบสวน กก.3 บก.ปอท. ได้ติดต่อ สายป่าน ให้มาพบพนักงานสอบสวน ในวันศุกร์ที่ 12 ม.ค. 2561 เวลา 13.30 น. เพื่อเตรียมแจ้งข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (4) นำเข้าภาพลามกอนาจาร เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เดลินิวส์ รายงานด้วยว่า วานนี้ (8 ม.ค.61) พ.ต.อ.โอฬาร สุขเกษม ผกก.3 ปอท. เปิดเผยว่า หลังจากได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา ให้ดูแลคดีดังกล่าว ตนได้ส่งเรื่องให้ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนในกองกำกับการ 3 หาหลักฐาน พยาน ข้อเท็จจริง และพบว่ามีหลักฐานพร้อมที่จะออกหมายเรียกตัว อภิญญา และแฟนหนุ่มของสายป่าน ที่ปรากฏในภาพ มาสอบถามเก็บข้อมูล ซึ่งถ้าพบว่าข้อมูลที่ได้ครบองค์ประกอบความผิดก็จะมีการแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป อย่างไรก็ตามในช่วงเย็นวันนี้จะมีการติดต่อไปทาง น.ส.อภิญญา หากไม่สามารถติดต่อได้ก็จะมีการออกหมายเรียกในเร็วๆ นี้ แต่คาดว่าคงต้องให้เวลาในการเตรียมตัว และมั่นใจว่าบุคคลทั้ง 2 จะไม่หลบหนี ภาพจาก อินสตราแกรม ของ สายป่าน ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา สายป่าน ได้ออกมาโพสต์ภาพยกมือไหว้ขอโทษ พร้อมข้อความผ่านทางอินสตาแกรมส่วนตัว อธิบายถึงเหตุที่เกิดขึ้น ดังนี้ "จากกรณีไอจีสตอรี่ที่ป่านลง ป่านต้องขอโทษอย่างที่สุด ทั้งหมดเกิดจากความไม่ตั้งใจ และขาดความรอบคอบ จนเกิดความผิดพลาด ของตัวป่านเอง ป่านขออนุญาตชี้แจงดังนี้นะคะ 1.ป่านตั้งใจบันทึกสตรอรี่สั้นๆนี้ในไอจีอีกอันที่ป่านใช้เล่นกับเพื่อนๆ 5 คนและตั้งเป็นส่วนตัวเอาไว้โดยที่ไม่ได้ตั้งใจให้เห็นอะไรทั้งนั้น 2.ป่านไม่ทันสังเกตุว่าในคลิปสั้นๆได้บันทึกอะไรไว้บ้างเพราะป่านเองโฟกัสที่หน้าจอโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ 3.ทันทีที่รู้ตัวป่านก็รีบลบสตอรี่ดังกล่าว แต่ด้วยความเร็วของโซเชียล ทำให้เรื่องราวถูกแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว เกินกว่าที่ป่านจะแก้ไขอะไรได้อีก ฃทั้งนี้ป่านต้องขอโทษทุกคนอีกครั้งค่ะที่ได้ทำผิดพลาดไป เรื่องทีเกิดขึ้นจะเป็นบทเรียนให้ป่านทำอะไรอย่างมีสติและรอบคอบทุกครั้งโดยเฉพาะการโพสต์สตรอรี่ ที่เป็นคลิปสั้นๆและลงทันทีแบบนี้ ขอโทษจากใจค่ะ"
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
'ทนายอานนท์' เตรียมรับทราบข้อหาดูหมิ่นศาล 10 ม.ค.นี้ Posted: 08 Jan 2018 11:58 PM PST 10 ม.ค.นี้ 'ทนายอานนท์' เตรียมรับทราบข้
9 ม.ค. 2661 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ว่า อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน และหนึ่งในทีมทนายความของ 'ไผ่ ดาวดิน' เตรียมเข้ารับทราบข้อกล่ คดีนี้ พ.ต.ท.สุภารัตน์ คำอินทร์ แจ้งความต่อ ปอท. ว่า โพสต์เฟสบุ๊คเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2560 ของ อานนท์ เข้าข่ายดูหมิ่ รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า โพสต์ที่คาดว่าเป็นสาเหตุ "ผมคิดว่าการดำเนินคดีครั้งนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า พรุ่งนี้ (10 ม.ค. 2561) เวลา 10.00 น. อานนท์พร้อมทนายความจะเดิ สำหรับข้อหาดูหมิ่ ในเดือน ม.ค.นี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ยังรายงานคดีที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพที่สำคัญอีก เช่น วันที่ 25 ม.ค. 61 เวลา 09.00 น. นัดฟังคำพิพากษาคดี รินดา (ขอสงวนนามสกุล) ถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการโพสต์เฟสบุ๊คที่มีข้อความหมิ่นประมาท พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และภรรยา และ นัดฟังคำพิพากษา วันที่ 29 ม.ค. 2561 เวลา 09.00 น. คดี 5 นักกิจกรรม นักศึกษาและนักข่าวที่บ้านโป่ง เมื่อวัน 10 ก.ค. 2559 กลุ่มนักกิจกรรม นักศึกษาได้เดินทางไปให้กำลังใจประชาชนที่ถูกดำเนินคดีฝ่าฝืนชุมนุมทางการเมืองจากการตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติ ที่ สภ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจค้นรถยนต์ส่วนตัวและพบเอกสารรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจับกุมและแจ้งข้อหา โดยคดีนี้เจ้าหน้าที่รัฐตีความกฎหมายอาญาอย่างกว้างเพื่อดำเนินคดีจากการครอบครองเอกสารโดยที่ยังไม่มีการแจกจ่าย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
'สมานฉันท์แรงงาน' ร้องปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ต้องเลี้ยง 3 คนในครอบครัว-เท่ากันทั้งประเทศ Posted: 08 Jan 2018 11:09 PM PST คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยและสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ร้องปรับค่าจ้างขั้นต่ำต้องเป็นธรรม ต้องเลี้ยงคนในครอบครัวได้ตามหลักการสากลและต้องเท่ากันทั้งประเทศ 9 ม.ค. 2561 คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) และ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) จัดแถลงข่าวในหัวข้อ เรื่อง ปรับค่าจ้างขั้นต่ำต้องเป็นธรรม ต้องเลี้ยงคนในครอบครัวได้ตามหลักการสากลและต้องเท่ากันทั้งประเทศ "รัฐบาลต้องปรับค่าจ้างให้เป็ รายละเอียดใบแถลงข่าว : แถลงข่าว เรื่อง ปรับค่าจ้างขั้นต่ำต้องเป็นธรรม ต้องเลี้ยงคนในครอบครัวได้ |
ผบ.สันติบาลเผย พล.อ.ประวิตรให้ 'นายพล' มารับนาฬิกาแทนถือว่าให้เกียรติเอกชัยมากแล้ว Posted: 08 Jan 2018 10:10 PM PST เอกชัย หงส์กังวาน หวังมอบนาฬิกาข้อมือให้พลเอกประวิตร เป็นครั้งที่ 3 แต่ยังไม่สำเร็จ ถูกคุมไปพูดคุยที่ห้องประชุมในสำนักงาน ก.พ.ร. แทน ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลนั่งหัวโต๊ะเจรจา เผยรองนายกฯ ติดประชุมมารับนาฬิกาเองไม่ได้ จึงมอบหมายทหารตำรวจระดับ 'นายพล' มารับแทนเพื่อเป็นการให้เกียรติ ด้านเอกชัยยันจะมอบให้เองกับมือ
9 ม.ค. 2561 เวลา 09.41 น. ทำเนียบรัฐบาล (ประตู 4) เอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ถือกล่องของขวัญลงจากรถเมล์สาย 157 ในทันใดนั้น เจ้าหน้าที่ทั้งนอกและในเครื่องแบบที่ตรึงกำลังอยู่บริเวณนั้นได้เข้าควบคุมตัว และเชิญเขาไปที่ห้องประชุมในสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (ก.พ.ร.) แทน ทั้งนี้เอกชัยเดินทางมาเพื่อติดต่อขอเข้ามอบนาฬิกาให้กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองหัวหน้าคณะรัฐประหาร คสช. รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จากกรณีการใส่นาฬิกาหรูในที่สาธารณะ โดยนาฬิกากว่าสิบเรือนที่ถูกบันทึกอยู่ในภาพข่าวไม่ได้ถูกแจ้งอยู่ในบัญชีทรัพย์สินที่ต้องเสนอ ต่อ ปปช. และมีผู้นำมาเปิดเผยอย่างต่อเนื่อง ต่างจากครั้งที่ผ่านมา กิจกรรมในครั้งนี้ เอกชัย ได้นัดหมายผู้เข้าร่วมกิจกรรมผ่านทางโซเชียลมีเดีย ให้ประชาชนนำนาฬิกามามอบให้พลเองประวิตรด้วย โดยมีเงื่อนไขว่าให้เป็นนาฬิกาเรือนละไม่เกินสามพันบาท เพื่อที่จะได้ไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ครั้งนี้มีประชาชนมาร่วมประมาณสิบคน ซึ่งได้โดนคุมตัวไปอยู่ที่ห้องประชุม ก.พ.ร. ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับทำเนียบรัฐบาลก่อนหน้านี้แล้ว เอกชัย กับโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ นักเคลื่อนไหวการเมืองอีกคนหนึ่งที่มาพร้อมกับแผ่นชาร์ตข้อมูล ภาพ ยี่ห้อ รุ่น และราคานาฬิกาหรูที่ พล.อ.ประวิตรครอบครอง โดยที่ ณัฏฐา มหัทธนา นักเคลื่อนไหวการเมืองได้ติดตามและถ่ายทอดสดการเคลื่อนไหวผ่านทางเฟสบุ๊คไปด้วย ห้องประชุม ก.พ.ร. เอกชัยได้พบกับ พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล และพล.ท.ธนะเกียรติ ชอบชื่นชม ผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย เป็นหัวหน้าชุดเจ้าหน้าที่เจรจา และเป็นตัวแทนที่ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประวิตร ในการรับมอบของขวัญจากเอกชัย เอกชัยกล่าวว่า กรณีนาฬิกาของ พล.อ. ประวิตร ที่ให้เหตุผลว่า ยืมเพื่อนมา โดยส่วนตัวคิดว่า มันไม่ควรที่จะยืมของใครมาใส่นานๆ โดยเฉพาะเมื่อมีข้อครหาว่านาฬิกาเหล่านี้มันมีราคาที่สูงเกินไป นาฬิกา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการใช้ดูเวลา มันจะราคาหลักร้อยหลักพันหรือหลักแสนหลักล้านมันก็ดูเวลาได้เหมือนกัน ผมใส่นาฬิกาหลักพันก็ใช้ดูเวลาได้ "ที่สำคัญที่สุดคือ คนเรามันต้องรักษาเวลา อย่างที่รัฐบาล คสช. บอกในปี 2557 ว่า ขอเวลาอีกไม่นาน 2559 จะเลือกตั้ง ก็ยังไม่เลือก 2560 ก็ยังไม่เลือก 2561 ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้เลือกจริงหรือเปล่า ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดมันได้อยู่ที่มูลค่าของนาฬิกา มันอยู่ที่เวลา คุณรักษาเวลาหรือเปล่า "คนเราทุกคนรวยจนไม่เท่ากัน การศึกษาไม่เท่ากัน ความรู้ไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่ทุกคนมีไม่เท่ากันคือว่าเวลา ทุกคนมี 24 ชั่วโมงเท่าๆ กันหมด มันเลยเป็นเครื่องเตือนอย่างหนึ่งว่า ต้องรักษาเวลาด้วย ไม่ให้เอาไว้อวดของมีราคา ถ้าคุณไม่รักษาเวลามันก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลย" เอกชัยกล่าว
จากนั้นพล.ต.ท.สราวุฒิ ระบุว่าการที่มีนายทหาร ตำรวจ ระดับนายพลมารับของขวัญจากเอกชัย ซึ่งเป็นการมอบหมายโดยตรงจาก พล.อ.ประวิตร นั้นถือว่าเจ้าหน้าที่รัฐได้ให้เกียรติกับเอกชัยมาก จึงขอให้เอกชัยได้มอบของขวัญผ่านตน และจะนำไปมอบให้ พล.อ.ประวิตรต่อไป โดยขณะนี้ พล.อ.ประวิตรกำลังติดประชุม ครม. อยู่จึงไม่สะดวกมารับของเอง พร้อมทั้งขอให้เอกชัยแกะของขวัญให้ดูว่าด้านในกล่องของขวัญเป็นนาฬิกาจริงหรือไม่ พร้อมพูดเล่นว่าเป็นระเบิดหรือไม่ด้วย ด้านเอกชัย ระบุว่า จะเอากล่องไปสแกนดูก็ได้ถ้าคิดว่าเป็นระเบิด พร้อมทั้งแกะของขวัญออกมาให้ดู โดยด้านในเป็นนาฬิกา ยี่ห้อ Seiko ซึ่งซื้อมาประมาณ 10 ปีแล้วมีราคาที่ป้าย 6,500 บาท แต่ลด 50 เปอร์เซ็นต์ คาดว่าผ่านมาถึงวันนี้คงมีราคาไม่ถึง 3,000 บาท อย่างไรก็ตาม เอกชัยยืนยันว่า จะไม่มอบนาฬิกาผ่านตัวแทน เพราะไม่ไว้วางใจว่าจะไปถึงมือพล.อ.ประวิตร จริง เนื่องเห็นบทเรียนว่ามีประชาชนหลายคนที่เคยมาร้องเรียนปัญหาในกรณีต่างๆ หลายครั้ง ซึ่งแทบทุกครั้งไม่มักจะไม่ได้รับการตอบสนอง สำหรับกรณีการตรวจสอบความโปร่งใส ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลกล่าวว่า เรื่องนี้ท่านประวิตรได้แจ้งกับ ปปช. ไปแล้วทุกอย่างกำลังดำเนินการไปตามกฎหมายและกติกา ซึ่งประชาชนก็ต้องเคารพกติกาตรงนี้ด้วย พร้อมถามเอกชัยต่อว่า ราคานาฬิกาทึ่เอกชัยจะมอบให้ราคา 6,500 บาท ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าหนักใจว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะรับไว้ได้หรือไม่ พร้อมกล่าวว่า รู้สึกเสียใจที่เอกชัยไม่มอบผ่านตัวแทน เพราะตั้งใจมารับ และทำให้รู้สึกว่าไม่ได้รับการให้เกียรติจากเอกชัย ด้านเอกชัยบอกว่าที่ไม่ให้ก็เพราะไม่ไว้วางใจ และต้องการให้กับมือประวิตร วันนี้ไม่ได้ให้ พรุ่งนี้หรือวันอื่นๆ ก็จะตามหาประวิตรไปจนกว่าจะได้มอบให้กับมือ ท้ายสุด พล.ท.ธนะเกียรติ สรุปว่าหน้าที่ของตนในวันนี้คือการเป็นตัวแทนมารับมอบของขวัญจากเอกชัย ในเมื่อเอกชัยไม่ยินดีที่จะมอบให้ ก็ถือว่าตนก็ไม่ได้รับ จากนั้นได้ปิดการเจรจาลง และเอกชัย พร้อมประชาชนที่มาร่วมกิจกรรมด้วยได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวบริเวณด้านหน้าสำนักงาน ก.พ.ร. โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐติดตามตลอดเวลา ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 08 Jan 2018 09:08 PM PST แต่กอดรูปจูบกระดาษเฝ้าวาดฝัน เห็นแต่รูปเรียมโผล่โชว์กระเป๋า อินเตอร์โพลพี่ก็ตาม ถามก็เงียบ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 08 Jan 2018 06:06 PM PST "ประชาธิปไตยที่ไม่มีธรรมะ คือหายนะมวลรวมประชาชาติ" พระภิกษุผู้มีชื่อเสียงรูปหนึ่งเพิ่งโพสต์ลงฟบ.ของท่าน หลายคนคงนึกถามว่า "แล้วเผด็จการล่ะ?" ระบอบปกครองอะไรก็ตามที่เปิดให้คนคนเดียว หรือกลุ่มเดียว ใช้อำนาจเด็ดขาดโดยปราศจากการตรวจสอบต่อรองจากใครทั้งสิ้น ยิ่งต้องการธรรมะหรือเครื่องเหนี่ยวรั้งทางใจเสียยิ่งกว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นไหนๆ ทำไมถึงไม่เตือนผู้นิยมเผด็จการ กลับมาเตือนผู้นิยมประชาธิปไตยอยู่ฝ่ายเดียว คำถามเดียวกันนี้สามารถใช้กับคำกล่าวของพระภิกษุอีกท่านหนึ่ง ซึ่งแม้มรณภาพไปแล้ว ยังมีชื่อเสียงมากกว่ารูปแรกอีกซ้ำ คำกล่าวของท่านมีว่า "เมื่อไม่มีศีลธรรมเป็นพื้นฐานแล้ว ระบบประชาธิปไตยนั่นแหละเป็นระบบที่เลวร้ายที่สุด" อันที่จริงไม่ว่าระบบอะไรก็ต้องการศีลธรรมเป็นพื้นฐานทั้งสิ้น โดยเฉพาะระบบที่ยกอำนาจให้คนๆ เดียวหรือกลุ่มเดียว หากไร้ศีลธรรมเป็นพื้นฐานแล้วย่อมเป็นระบบที่เลวร้ายกว่าประชาธิปไตยแน่ จะว่าคนไทยอยากเป็นประชาธิปไตยนัก จึงต้องเตือนไว้ก่อน ก็ฟังไม่ขึ้นนัก นับตั้งแต่ 24 มิ.ย. 2475 จนถึงปัจจุบัน เราตกอยู่ใต้อำนาจของระบอบที่เป็นประชาธิปไตยไม่เต็มใบ หรือระบอบเผด็จการทหาร มากเสียยิ่งกว่าได้ลิ้มรสประชาธิปไตยจริงอย่างเทียบกันไม่ได้ หากจะเตือนอะไรใครล่ะก็ ไม่มีใครต้องเตือนมากไปกว่าจอมพลหรือนายพลที่ใช้อำนาจขึ้นไปนั่งบนหัวประชาชน และคำเตือนอะไรก็ไม่เหมาะไปกว่าคำเตือนที่อาจกำกับหรือรอนอำนาจอันไร้ขีดจำกัดของคนเหล่านั้น เว้นไว้แต่"ธรรมะ"และ"ศีลธรรม"ในเมืองไทย ไม่ได้ตั้งอยู่บนความเป็นจริงทางสังคม, เศรษฐกิจ, และการเมืองของไทยเลย และนี่แหละคือประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยไม่อาจตั้งมั่นขึ้นได้สักที และจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม พระไทยนั่นแหละคือผู้สนับสนุนเผด็จการที่เหนียวแน่นที่สุดกลุ่มหนึ่ง "ธรรมะ"หรือ"ศีลธรรม"ที่หมายถึงคืออะไรกันแน่ หากหมายถึงธรรมะและศีลธรรมของพุทธศาสนาเถรวาทแบบไทย ก็เห็นจะไม่ใช่แล้วละ ในสังคมประชาธิปไตยอื่นๆ อีกมากในโลก เขาก็อยู่กันโดยสงบสุขมาได้โดยไม่ได้มีธรรมะและศีลธรรมของพุทธเถรวาทแบบไทย ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ ธรรมะหรือศีลธรรมของประเทศประชาธิปไตยเหล่านั้นล้วนไม่เป็นธรรมะหรือศีลธรรมของศาสนาใดทั้งสิ้น เพราะส่วนใหญ่ล้วนประกาศตนเป็นรัฐฆราวาส คือความเชื่อทางศาสนาก็ตาม การจัดองค์กรทางศาสนาก็ตาม ฯลฯ เป็นเสรีภาพของบุคคล ซึ่งรัฐไม่อาจเข้าไปแทรกแซงได้ นอกจากปกป้องเสรีภาพนั้นไว้อย่างเต็มที่ พระไทยอาจกล่าวว่า แม้ไม่เกี่ยวกับศาสนา แต่โลกเราก็มี"ธรรมะ"และ"ศีลธรรม"อันเป็นสากล ซึ่งบางอย่างก็ตรงกับธรรมะและศีลธรรมทางศาสนา สมมติว่าเราเห็นด้วยว่ามีศีลธรรมที่เป็นสากลจริง ทำไมพระไทยไม่เคยสอนศีลธรรมเหล่านี้บ้าง เช่นความเสมอภาคระหว่างเพศ, ความเท่าเทียมของคน ไม่แต่เพียงเพราะต่างมีศักยภาพจะบรรลุพระนิพพานได้เท่านั้น แต่ควรเข้าถึงอาหารที่ดีและปลอดภัยเหมือนกัน, การศึกษาที่ดีเหมือนกัน, การรักษาพยาบาลที่ดีเหมือนกัน, มีเวลาและโอกาสที่จะแสวงหาความสุขในชีวิตได้เหมือนกัน, ฯลฯ หรือเสรีภาพในการนับถือศาสนา, แสดงความคิดเห็น, เดินทาง, ประกอบการทางเศรษฐกิจ, เป็นสมาชิกขององค์กร, และเสรีภาพด้านอื่นๆ อีกหลายอย่างที่คนบางกลุ่มเชื่อว่าเป็นศีลธรรมหรือคุณค่าอันเป็นสากลของโลกปัจจุบัน นอกจากพระไทยไม่สอนหรือไม่พูดเรื่องเหล่านี้แล้ว ท่านยังมักเฉยเมยหรือบางครั้งถึงกับสนับสนุนการล่วงละเมิดศีลธรรมอันเป็นสากลเหล่านี้ด้วยซ้ำ (โดยส่วนตัวซึ่งอาจผิด ผมเชื่อว่าเราสามารถกลมกลืนเอาคุณค่าที่ควรเป็นสากลเช่นนี้เข้ามาในพุทธธรรมได้ด้วย ซึ่งนักคิดชาวพุทธไทยไม่เคยทำ) พระท่านเคยสังเกตหรือไม่ว่า นักบวชหรือผู้นำทางศาสนาของเกือบทุกสังคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล้วนเคยมีบทบาทออกมาต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมต่างๆ ในประเทศของตนเอง เพื่อฟื้นฟูเอกราชของชาติบ้าง ประชาธิปไตยบ้าง เสรีภาพในการนับถือศาสนาบ้าง ยับยั้งอำนาจเผด็จการบ้าง ฯลฯ แต่พระไทยไม่เคยเคลื่อนไหวอะไรในเรื่องเหล่านี้เลย ที่พูดนี้ไม่ได้ต้องการให้พระเป็นผู้นำการเดินขบวน แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่านักบวชหรือผู้นำทางศาสนาของโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ต้องเผชิญกับ"ธรรมะ-ศีลธรรม"ใหม่ที่อาจไม่ตรงกับ"ธรรมะ-ศีลธรรม"ทางศาสนานัก กลายเป็นปัญหาที่ต้องกลมกลืนเข้าหากัน หรือวางจุดยืนทางศาสนาของตนให้ตั้งอยู่ได้ในสถานการณ์ทางศีลธรรมซึ่งเปลี่ยนไปของโลกปัจจุบัน โดยสรุปก็คือ"ธรรมะ-ศีลธรรม"ที่พระไทยใช้ในคำกล่าวเพื่อทอนความสำคัญของประชาธิปไตยนั้น ไม่เพียงพอเสียแล้ว เพราะเป็นธรรมะ-ศีลธรรมของพุทธลุ่นๆ โดยไม่ได้ผนวกกลืนเอาศีลธรรมของประชาธิปไตยลงไว้ด้วยเลยประชาธิปไตยมีศีลธรรมของตนเองที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา นักการเมืองในระบอบนี้ไม่ได้รับผิดชอบกับพระเจ้าหรือสวรรค์นรกที่ไหน แต่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน เขาจะมีศีลธรรมทางศาสนาหรือไม่ก็ตาม ตราบเท่าที่ประชาชนเห็นว่าเขาเป็นตัวแทนที่ดีของตน เขาก็ยังได้รับเลือกตั้งสืบมา ดังนั้นเสรีภาพในการเสนอและรับข่าวสารข้อมูลจึงเป็นศีลธรรมพื้นฐานของประชาธิปไตย เพราะด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่ประชาชนจะสามารถตรวจสอบตัวแทนของเขาได้ ตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่น่าพอใจ ประชาชนก็ต้องมีเสรีภาพในการจัดองค์กรและเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อให้มีผลต่อรัฐบาลและนักการเมืองได้ เสรีภาพด้านนี้ก็เป็นศีลธรรมพื้นฐานอีกอย่างของประชาธิปไตย ซึ่งจะล่วงละเมิดมิได้... คิดไปเถิด จะเห็นได้เองว่าประชาธิปไตยมี"ธรรมะ-ศีลธรรม"ที่สลับซับซ้อนและจำนวนมากเหมือนกัน ซึ่งไม่อาจทดแทนได้ด้วย"ธรรมะ-ศีลธรรม"ของพระพุทธศาสนา พระจะพูดถึงประชาธิปไตยโดยละเลยต่อศีลธรรมประชาธิปไตยไม่ได้ อย่าลืมว่ากิจกรรมที่มนุษย์ต้องกระทำต่อคนอื่น ล้วนมีศีลธรรมกำกับทั้งสิ้น และไม่จำเป็นว่าศีลธรรมนั้นจะต้องตรงกับศาสนาเสมอไป ผู้ที่ได้รับยกย่องเป็น"ธรรมราชา"ในอดีต จำเป็นต้องฆ่าคนก็ฆ่า (ปาณาติบาต) จำเป็นต้องจำขังคนก็จำขัง (ขาดเมตตา) จำเป็นต้องริบราชบาทว์ก็ริบ (อทินนาทาน) ไม่อย่างนั้นจะปกครองบ้านเมืองให้สงบสุข พอที่ผู้คนจะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร เพราะละเลยต่อศีลธรรมของประชาธิปไตยเช่นนี้แหละ ที่ทำให้พระไทยเป็นปราการอันแข็งแกร่งให้แก่ระบอบเผด็จการรูปแบบต่างๆ ในเมืองไทยตลอดมา ที่น่าเศร้าไม่น้อยไปกว่าพระภิกษุก็คือ แนวคิดด้านสังคมของไทยที่อิงกับหลักพุทธธรรม ดูจะเอื้อต่อระบอบเผด็จการและเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตยเสมอ เช่นทฤษฎีให้อำนาจแก่คนดี หรือสังคมสงบสุขที่ทุกคนเพียงทำหน้าที่ของตนเอง หรือบทบาท หน้าที่และสิทธิ ล้วนมาจาก"อัตภาพ" หรือ"เสถียรภาพ"คือความไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ หรือ"ระเบียบ"ทางสังคมย่อมตั้งอยู่บนฐานของช่วงชั้น แม้แต่แนวคิดที่ไม่ได้อ้างหลักพุทธธรรมโดยตรง แต่อิงกับหลักความสามัคคีแบบพุทธไทย ก็มีส่วนเอื้อให้แก่ระบอบเผด็จการ เช่นทฤษฎีสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา (ซึ่งกลายเป็นประชารัฐในปัจจุบัน) เพราะสามด้านของสามเหลี่ยมคือรัฐ-เอกชน-ประชาชนถูกเสนอให้ประหนึ่งเป็นเนื้อเดียวกันหมด ในขณะที่ในความเป็นจริง ใครๆ ก็รู้ดีว่า ที่เราเรียกว่า"รัฐ"นั้นประกอบด้วยหน่วยงานจำนวนมากที่ขัดแย้งกันเอง และแย่งอำนาจกันเอง จนไม่สามารถประสานงานกันทำอะไรได้สักอย่าง ที่เรียกว่าเอกชนหรือภาคธุรกิจ ยิ่งแข่งขันกันอย่างหนัก ซ้ำเป็นการแข่งขันที่ไม่สร้างสรรค์ด้วย เพราะไม่ได้อาศัยการพัฒนาเป็นเครื่องมือในการแข่งขัน แต่อาศัยการเข้าถึง"เส้น"ด้วยวิธีต่างๆ เพื่อชิงข้อได้เปรียบจากอำนาจรัฐ ส่วนประชาชนไทยไม่ได้เป็นชาวนาขนาดเล็กที่ผลิตเพื่อเลี้ยงตนเองอีกแล้ว แต่เข้าสู่ตลาดด้วยบทบาทที่แตกต่างหลากหลาย และขัดแย้งกันเอง หากมองจากความเป็นจริง สามเหลี่ยมเดียวที่อาจเขยื้อนภูเขาได้คือประชาธิปไตย ซึ่งเปิดให้ความขัดแย้งปรากฏเป็นสาธารณะ แต่ต้องอยู่ภายใต้กติกาที่ไม่ใช้ความรุนแรง แต่สามด้านที่ไม่มีความขัดแย้งภายในหันหน้ามาร่วมมือกันด้วยความสามัคคีคือภาพของนิทานชาดก ซึ่งต้องมีพระโพธิสัตว์มากำกับด้วยธรรมะ-ศีลธรรมเท่านั้น โดยสรุปก็คือ พุทธธรรมถูกใช้ในเมืองไทยโดยไม่วางอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ทั้งพระและฆราวาสช่วยกันวางท้องเรื่องของปัจจุบันและอนาคตของไทย เหมือนเป็นชาดกนอกนิบาตอีกเรื่องหนึ่ง (หรือหลายเรื่อง) แต่ละเรื่องล้วนเอื้อให้ระบอบเผด็จการรูปแบบต่างๆ ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงในสังคม และทำให้นักประชาธิปไตยกลายเป็นคนบาปหรือคนพาล (คนโง่) พุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาของเจ้าชายที่มีกำเนิดในรัฐที่เป็นสาธารณรัฐ กลับถูกนักปราชญ์ไทยทำให้กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับประชาธิปไตยไปอย่างมั่นคงแน่นอน ในฐานะชาวพุทธ นี่เป็นเรื่องน่าสลดอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
การข้ามเพศ: การเดินทางจากเพศที่สามสู่โลกชายจริงหญิงแท้ Posted: 08 Jan 2018 05:40 PM PST
"เพศที่สาม" ถือว่าเป็นคำที่คนไทยแทบทุกคนคุ้นเคย และอาจใช้กันโดยทั่วไปในชีวิตประจำวัน เพื่ออธิบายคนกลุ่มหนึ่งที่แตกต่างจากชายจริงหญิงแท้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเพศที่สามในสังคมไทย มีอิสระในการแสดงออกความเป็นตัวของตัวเองได้ในระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าสิทธิเสรีภาพทางด้านกฏหมายของไทยยังไม่เทียบเท่าประเทศพัฒนาบางประเทศก็ตาม ในปัจจุบันคนไทยบางส่วนอาจได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับคำศัพท์เพศจิปาถะ ศัพท์วิชาการ ศัพท์ใหม่ ศัพท์วัยรุ่น ที่นอกเหนือไปจาก กะเทย ทอม ตุ๊ด สาวประเภทสอง เช่น เชอร์รี่ อดัม ทอมเกย์ กะเทยเลสเบี้ยน ไปจนถึง ผู้หญิงข้ามเพศ และ ผู้ชายข้ามเพศ ถึงแม้ว่าบ่อยครั้งคำศัพท์เหล่านี้ยังคงถูกใช้ปะปนกันอยู่ เช่นในกรณีของ ตุ๊ดกับกะเทย หรือ ทอมกับผู้ชายข้ามเพศ แต่คำเรียกเพศแต่ละคำนั้น ต่างมีนัยยะสำคัญของตนเอง ประเด็นของที่มาของการเป็นเพศที่สาม กะเทย ตุ๊ด ทอม และเพศอื่นๆ ยังคงเป็นที่ถกเถียงและพูดคุยอยู่ว่า มันเกิดจากธรรมชาติ การขัดเกลาทางสังคม หรือ เวรกรรมในอดีตชาติ ซึ่งบทความของผมไม่ได้ต้องการจะหาคำตอบและชี้เจาะจงว่า ท้ายที่สุดแล้ว "การข้ามเพศ" มีที่มาจากปัจจัยอะไร ผมเชื่อว่าตัวตนของแต่ละคนนั้นมีองค์ประกอบและปัจจัยที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นไปได้ว่า ธรรมชาติ การขัดเกลาทางสังคม หรือแม้แต่เวรกรรม ก็อาจจะมีส่วนที่ทำให้เราเป็นสิ่งที่เราเป็นในทุกวันนี้ จุดที่ผมสนใจในบทความนี้มุ่งไปที่การเปลี่ยนแปลงของความรู้ ค่านิยม และวัฒนธรรมเกี่ยวกับการข้ามเพศ ซึ่งจะเห็นได้ว่าวิวัฒนาการของเทคโนโลยี ความรู้ทางด้านจิตวิทยา และปรัชญาสังคมศาสตร์ทำให้ การข้ามเพศ ไม่ใช่หยุดอยู่ที่การกบฏต่อค่านิยมชายจริงหญิงแท้ แต่พัฒนาสู้การปรับเปลี่ยนตนเองเพื่ออยู่ในสังคมร่วมกับสังคมชายจริงหญิงแท้ได้มากขึ้น ซึ่งในบทความนี้ผมยกกรณีศึกษาของบุคคลข้ามเพศในไทยและญี่ปุ่น เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของการข้ามเพศในบริบทของสังคมที่แตกต่าง แต่กลับมีแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่คล้ายคลึงกันอย่างน่าสนใจ |
ประชาธิปไตยไทยวันนี้... ไม่ได้อยู่กับการเลือกตั้ง Posted: 08 Jan 2018 05:16 PM PST
ตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ได้มีการปกครองตามระบอบที่ควรจะเป็น อย่างที่รู้ๆกันว่า การมอบอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยต่อรัฐบาลก่อนหน้า คสช ได้สิ้นสุดลงเมื่อปี 2557 แม้ว่ารัฐบาลชุดนั้นมีความตั้งใจที่จะคืนอำนาจอันพึงมีนั้น ให้กับประชาชน แต่ก็ถูกขัดขวาง จากการประท้วงของคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า "มวลมหาประชาชน" จนการเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะในที่สุด หลังจากการเลือกตั้งผ่านมาเพียงไม่กี่เดือน การรัฐประหาร ครั้งที่ 13 ก็เกิดขึ้นและถูกจารึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ไทยที่ไม่ค่อยจะน่าจดจำสักเท่าไร หลังจากนั้นประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ในขณะที่ประเทศอื่นก้าวไปไกล และรวดเร็ว เศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโต พัฒนาคิดค้นสิ่งต่างๆ ที่ทันสมัยมากมาย เมื่อย้อนดูประเทศไทย ประเทศไทยก็ยังคงพัฒนาอย่างช้าๆ และยังไม่มีวี่แววที่จะคืนอำนาจอธิปไตยนั้นให้กับประชาชนชาวไทย แม้ว่าที่ผ่านมา อาจมีหลายๆสิ่งเกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลชุดนี้จริง แต่จะเห็นได้ว่าไม่ตอบโจทย์คนหลายกลุ่ม เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ(บัตรคนจน) โดยแท้จริงแล้ว บัตรคนจน ไม่ได้สร้างความเท่าเทียมอันเป็นพื้นฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ให้กับคนในประเทศยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน ขณะที่คนมีรายได้ระดับกลางหรือรายได้สูง ไม่มีสิทธิ์ได้นั่งรถเมล์ฟรีในกรุงเทพ เช่นเดิม หรือรับสิทธิ์ลดครึ่งราคาเหมือนผู้ใช้บัตรคนจนทั้งๆที่จ่ายภาษีเช่นเดียวกันทั้งๆที่ คนมีรายได้ระดับกลางหรือรายได้สูงเสียภาษีให้กับประเทศเหมือนกันและมากกว่าผู้มีรายได้น้อย มีคำกล่าว อดีตนายกเทศมนตรี เอนริเก เปญาโลซา ว่า "เมืองที่พัฒนาแล้วจะไม่ใช่เมืองที่คนจนทุกคนหันมาใช้รถ แต่เป็นเมืองที่คนรวยทุกคนหันมาใช้ขนส่งมวลชน"1 เพียงแค่คำกล่าวสั้นๆนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าระบบขนส่งมวลชนเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่บ่งบอกว่าประเทศนั้นๆมีการพัฒนา และมีการจัดการ การคมนาคมได้เป็นอย่างดีตอบสนองคนในสังคมและแสดงให้เห็นถึงความเท่าเทียมกันของผู้คนในประเทศที่สามารถใช้ระบบขนส่งมวลชนของประเทศโดยได้รับการจัดสรรการปฏิบัติเสมอกัน อันเป็นอีกหนึ่งพื้นฐานสำหรับประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประชาธิปไตย การที่ประเทศที่ได้ชื่อว่า พัฒนาแล้ว ส่วนใหญ่ รัฐให้ความสำคัญในเรื่องการจัดสวัสดิการ(Welfare state) คือสร้างความมั่นคงและจัดสรร สวัสดิการของรัฐอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ มีมาตรฐานที่ดีที่สุด คำนึงถึงความเสมอภาคของคนในสังคมโดยไม่เจาะจงว่าต้องเป็น คนจนเท่านั้น การวัดความยากจนนี้ ทำให้ลดคุณค่าความเป็นคนโดยเพียงแค่นำเส้นแบ่งทางรายได้มาวัดคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นคน สำหรับประเทศไทยยังคงจัดเป็น สวัสดิการโดยรัฐ (State welfare) ที่ประชาชนยังคงมีความเหลื่อมล้ำกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง รายได้ คุณภาพชีวิต สิทธิ และโอกาสต่างๆ ประเทศไทยมักจะช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส เช่น การแจกผ้าห่ม ในช่วงฤดูหนาวมักแจก เฉพาะคนที่มีรายได้น้อยหรือขาดแคลน เท่านั้นซึ่งทำให้การจัด สวัสดิการ ของรัฐคนทุกคนไม่เสมอภาคกันเหมือน รัฐสวัสดิการ นอกจากนี้คนทำบัตรคนจนในต่างจังหวัดได้รับสิทธิ์ในการลดราคาในระบบขนส่งมวลชนจริง แต่น้อยมากที่ผู้ทีอยู่ตามชนบทจะได้ใช้ ซึ่งไม่ตอบโจทย์สำหรับคนส่วนใหญ่ มีเพียงแต่เงินเดือน 300 บาทที่ได้รับอย่างแน่นอนกับสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ มิเพียงแต่เท่านี้บางคนไม่มีความซื่อสัตย์ (อันเป็นลักษณะพื้นฐานที่ติดตัวของคนไทยบางคน) เห็นแก่ประโยชน์ของตน สวมรอยทำบัตรดังกล่าวแม้ว่าฐานะจะดีแต่ได้รับบัตรนี้อย่าง่ายดาย จะเห็นได้ว่าปูพื้นฐานประชาธิปไตยได้เป็นอย่างดี มองไม่เห็นความเหลื่อมล้ำของสังคมแม้แต่นิดเดียว ที่เห็นได้ชัดเจนอีกอย่างคือ เรื่องค่านิยม 12 ประการ เป็นสิ่งที่เด็กๆ หลายคนท่องจำจนขึ้นใจแต่หลายๆข้อ ผู้ใหญ่ยังไม่สามารถแสดงให้เด็กดูได้ ออกข่าวจนรู้สึกเอือมละอาที่จะเปิดโทรทัศน์หรือสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ จะเห็นได้ว่ามีข่าวอาชญากรเต็มไปหมด ข่าวทุจริตคอรัปชั่น ความไม่ซื่อสัตย์สุจริตในหน้าที่ของผู้มีอำนาจ นักการเมือง ทหาร ตำรวจ รวมไปถึงหลายสาขาอาชีพที่มักจะมีการรายงานตามแหล่งข่าวต่างๆ ในข้อเรียนรู้อธิปไตยของประชา คือ ไม่มีให้เรียนรู้เพราะหลายๆคน ไม่ทราบว่า อำนาจอธิปไตยคืออะไร จนถึงวันนี้ ปีพุทธศักราช 2561 กล้าที่จะพูดว่า ประชาชนชาวไทย มากกว่า 4 ล้านคนไม่ทราบว่าอำนาจอธิปไตยคืออะไร การเลือกตั้งในแต่ละครั้งมีคนจำนวนหนึ่งที่ตระหนักถึงการใช้สิทธิพื้นฐานของตน ในการเลือกผู้แทนราษฎรหรือรัฐบาลที่เลือกโดยการพิจารณาไตร่ตรอง และคำนึงถึงการพัฒนาประเทศเป็นหลัก แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เลือกเพราะปัจจัยต่างๆ ยกตัวอย่างการเปรียบเทียบพฤติกรรมการออกเสียง A General model of voting ² 1. ภูมิหลังเศรษฐกิจสังคม ครอบครัว (Social context) สำหรับประเทศไทยจริงๆ ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีคนจนเป็นจำนวนมากและมีคนรวยจำนวนหนึ่งซึ่งช่องว่างของรายได้เหลื่อมล้ำกันมาก มีคนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง หากพูดให้เห็นภาพอย่างชัดเจนคือ การที่ครอบครัวคนจนเลือกพรรคใดพรรคหนึ่งโดยพ่อเลือกเบอร์ 1 ทุกคนในบ้าน หรือวงศาคณาญาติ ก็อาจจะเลือกเบอร์ 1 เช่นเดียวกัน และเห็นได้ชัดเจนมากในแถบชนบทที่มีการลงคะแนนเสียงดังนี้ แต่ชนชั้นกลางก็จะค่อนข้างมีเหตุผลของตัวเอง มีความรู้หรือแนวคิดที่ก้าวหน้ากว่ามาโต้แย้งกันได้ 2. ความนิยมในตัวพรรค (Party idenfication) ประเทศไทยมีความชัดเจนเป็นอย่างมาก แบ่งเป็น กีฬาสีของประเทศอย่างชัดเจน จะเห็นได้ว่า 2 พรรคใหญ่ จะมีคนที่เชื่อหรือมีอุดมการณ์ร่วมกับพรรคๆ นั้น เมื่อพรรคนั้นลงรับสมัครเลือกตั้งครั้งใดก็ตั้งใจจะเลือกพรรคนั้นตลอด 3. ปัจจัยด้านพรรค (Government and Party action) วิปรัฐบาลค่อนข้างได้เปรียบเพราะเป็นผู้ควบคุมงบประมาณ บริหารจัดการงบ และจัดทำนโยบายหากทำได้ดี ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การเลือกตั้งครั้งหน้ารัฐบาลชุดนี้ก็จะได้รับความนิยมได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งอีกวาระหนึ่ง แต่ถ้าทำผิดพลาด ทุจริตขึ้น หรือถูกฝ่ายค้านโจมตี หรือถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ความนิยมของพรรคก็จะเปลี่ยนไป ในส่วนของประเทศไทยนั้นจะมีวงจร อิจฉาริษยา เกิดขึ้นกับรัฐบาล หากพรรคใหญ่พรรคหนึ่งจัดตั้งรัฐบาลขึ้นก็จะเกิดการประท้วง หรือปิดสถานที่ราชการขึ้น จนในที่สุดอำนาจอธิปไตย ตกไปอยู่ในมือของ ท.ท.... 4. ปัจจัยด้านสื่อ (Media context) สื่อเป็นเครื่องมือที่มีอิทธิพลต่อความคิดของคนมากในยุคสมัยนี้ จะเห็นได้ว่า ข่าวบางข่าวไม่ได้เป็นเรื่องจริงแต่มีการเผยแพร่เกิดขึ้น เช่น ในโลกออนไลน์ หลายๆคนมักเชื่อถือข่าวเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย และสื่อมีอิทธิพลต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเพราะ จะมีการพูดสนับสนุนพรรคตลอดเวลาในทางกลับกันมักโจมตีและเสียดสีพรรคตรงข้ามอยู่เป็นประจำ ดังนั้นเมื่อผู้รับสื่อเป็นแฟนคลับช่องไหน ก็จะเลือกพรรคนั้น จะเห็นได้ว่าการเลือกตั้งมีปัจจัยต่างๆ ทั้งในช่วงก่อนการเลือกตั้งที่มีการวางรากฐานหรือเตรียมการ การเลือกตั้งของไทยก็มีความบกพร่องในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของรัฐบาลชุดๆนั้น ความพร้อมของประชาชน ปัจจัยต่างๆที่มีอิทธิพลต่อประชาชน ก็ส่งผลในการเลือกตั้งในแต่ละครั้ง ไม่ใช่การมอบอำนาจให้กับรัฐบาลเพื่อมาพัฒนา ดูแล ประเทศชาติอย่างแท้จริงแต่เป็นการนึกถึงผลประโยชน์ของตนมากกว่า เช่น ต้องการเอาชนะ ต้องการนโยบายประชานิยม หรือที่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งคือ การเลือกตั้งเพราะได้รับค่าจ้าง ของคนไทยบางคนเมื่อได้เงินแล้วจึงออกไปใช้สิทธิ์ของตนอย่างสนุกสนานโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น การเลือกตั้งจะไม่มีความหมาย หากคนไทยไม่มีความรู้ การศึกษา และไม่ตระหนักถึงสิ่งที่ควรจะมี ควรจะเป็นแม้ว่าการเลือกตั้ง จะเป็นอำนาจอันพึง แต่ถ้าหากมีแล้วใช้ในทางผิดๆ อย่างที่ผ่านมาก็จะทำให้สังคมไทยมักมีรัฐบาลที่อยู่ไม่ครบวาระ4 ปี อย่างที่ผ่านมา รัฐบาลชุดปัจจุบันนี้อาจจะไม่เลือกตั้งในปีนี้ตามที่เคยกล่าวไว้ หากจะดำรงตำแหน่งอยู่ถึง10-20ปี ก็ควรจะออกนโยบายหรือสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับปวงชนชาวไทยเพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง มิใช่ออกนโยบายเอาใจคนไทยอย่างเช่นทุกวันนี้ที่ไม่รู้ว่าคืนความสุขให้ใครกันแน่
เชิงอรรถ 1 รถเมล์ สัญลักษณ์ประชาธิปไตยในเชิงปฏิบัติ. (n.d.). Retrieved from https://www.ted.com/talks/enrique_penalosa_why_buses_represent_democracy_in_action/transcript?utm_source=directon.ted.com&awesm=on.ted.com_g0RNQ&share=1758b59b4a&utm_medium=on.ted.com-none&language=th&utm_content=roadrunner-rrshorturl&utm_campaign= 2 เชียงกูล, ร. (2560). การปฏิวัติประชาธิปไตยคนไทยควรรู้อะไร. กรุงเทพ: ISBN.
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
แครี เกรซี บ.ก.บีบีซีจีน ลาออกประท้วงค่าจ้างเหลื่อมล้ำระหว่างเพศ Posted: 08 Jan 2018 05:06 PM PST แครี เกรซี บรรณาธิการสำนักข่าวบีบีซีจีนลาออกจากตำแหน่งเพื่อประท้วงเรื่องการจ่ายค่าจ้างไม่เท่าเทียมกันระหว่างเพศพร้อมเขียนจดหมายชี้แจงในเรื่องดังกล่าว แครี เกรซี ทำงานกับบีบีซีมาเป็นเวลามากกว่า 30 ปีแล้ว แต่ล่าสุดเธอก็ลาออกจากตำแหน่งบรรณาธิการฝ่ายจีนเนื่องจากไม่พอใจที่ไม่มีการจัดการปัญหาค่าจ้างไม่เท่าเทียมกันระหว่างหญิงชาย เธอกล่าวหาว่าบีบีซีมี "วัฒนธรรมการจ่ายค่าแรงที่ปิดลับและผิดกฎหมาย" โดยบอกว่าบีบีซีมีการจัดการที่ละเมิดกฎหมายความเท่าเทียมเนื่องจากจ่ายค่าแรงให้กับคนทำงานเพศชายแตกต่างจากผู้หญิงอย่างมาก จากข้อมูลรายงานประจำปีของบีบีซีเอง "ด้วยความน่าเสียดาย ฉันออกจากตำแหน่งของตัวเองในฐานะบรรณาธิการฝ่ายจีนของบีบีซีเพื่อบอกกับประชาชนให้รับทราบถึงวิกฤตศรัทธาต่อองค์กรบีบีซี" เกรซีระบุในจดหมายเปิดผนึกที่ระบุถึงสาเหตุของการลาออก มีการเปิดเผยจดหมายฉบับนี้เมื่อช่วงเย็นวันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมา ในจดหมายของเกรซียังระบุอีกว่าตัวเธอเองไม่ได้เรียกร้องอยากได้รับเงินเดือนมากขึ้นเพราะเธอเชื่อว่าตัวเองได้รับเงินเดือนดีพอแล้ว เพียงแต่เธอต้องการเรียกร้องให้บีบีซีเคารพในกฎหมายความเท่าเทียมระหวางเพศ และให้คุณค่าของเพศชายและหญิงอย่างเท่าเทียมกัน จากเมื่อปีที่แล้วมีนักข่าวหญิงและผู้จัดรายการที่มีชื่อเสียงในบีบีซีหลายคนเรียกร้องความเท่าเทียมกับพนักงานหญิง เมื่อพิจารณารายงานประจำปีแล้วเห็นว่ามีช่องว่างค่าจ้างสูงมากระหว่างหญิงและชายโดยที่ดาราในบีบีซี 2 ใน 3 ที่ได้รับค่าแรงมากกว่า 150,000 ปอนด์ (ราว 6,500,000 บาท) เป็นผู้ชาย แต่เกรซีก็ไม่พอใจที่ผู้จัดการบีบีซียังคงปฏิเสธว่าไม่ปัญหาเกี่ยวกับความเท่าเทียมระหว่างเพศ "ในเรื่องการจ่ายค่าจ้าง บีบีซีไม่สามารถทำได้ในระดับที่อ้างไว้เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อมั่น, ความซื่อตรง และความโปร่งใส การเปิดเผยเรื่องเงินเดือนที่บีบีซีถูกบีบให้เผยออกมาเมื่อ 6 เดือนที่แล้วไม่เพียงแค่พวกคนที่เป็นพรีเซนเตอร์และผู้จัดการระดับสูงจะได้รับค่าจ้างที่สูงลิ่วอย่างยอมรับไม่ได้ แต่ยังมีช่องว่างค่าจ้างระหว่างชายและหญิงที่ทำงานเท่าๆ กันด้วย" เกรซีระบุในจดหมาย ตามกฎหมายความเท่าเทียมปี 2553 ของสหราชอาณาจักรระบุว่าผู้หญิงและผู้ชายที่ทำงานเท่ากันควรจะได้รับค่าจ้างเท่ากัน แต่เกรซีก็เปิดเผยในจดหมายว่าผู้ชายสองคนที่ทำงานเป็นบรรณาธิการนานาชาติได้รับค่าจ้างมากกว่าผู้หญิงสองคนในตำแหน่งเดียวกันถึงร้อยละ 50 โดยได้ทราบจากข้อมูลประจำปีงบประมาณ 2560 เกรซีเปิดเผยอีกว่าเธอพยายามเรียกร้องให้บีบีซีจ่ายค่าแรงเท่ากันระหว่างเพศแต่ทางบีบีซีกลับเสนอจะขึ้นค่าแรงให้เธอซึ่งก็ไม่มากพอจะเรียกว่าเท่ากับชาย ทางบีบีซีอ้างว่าที่จ่ายค่าแรงไม่เท่ากันเพราะมี "ความแตกต่างระหว่างบทบาท" แต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่า "บทบาทที่แตกต่าง" ที่ว่าคืออะไร นั่นทำให้เธอออกจากบรรณาธิการฝ่ายจีนและกลับไปทำงานในห้องข่าวเหมือนเดิมโดยหวังว่าจะมีการจ่ายค่าแรงเท่าเทียมกันระหว่างเพศ เกรซีระบุอีกว่ายังมีผู้หญิงที่ทำงานในสำนักข่าวจำนวนมากที่ไม่ใช่ "ดาราดัง" ที่มีค่าตัวสูงๆ แต่เป็นฝ่ายผลิตที่ทำงานหนัก หญิงที่เป็นชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติยิ่งถูกเลือกปฏิบัติด้านค่าแรงมากกว่าคนอื่นๆ "มันเป็นเรื่องของการเลือกปฏิบัติด้านค่าแรงและมันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย" เกรซีระบุในจดหมาย อย่างไรก็ตามโฆษกของบีบีซีแถลงปฏิเสธปฏิเสธข้อกล่าวหาของเกรซี ในถ้อยแถลงระบุว่าการจ่ายค่าจ้างที่เป็นธรรมเป็นเรื่องสำคัญ และอ้างว่าเมื่อเทียบกับองค์กรอื่นๆ ในสหราชอาณาจักรแล้วพวกเขามีค่าจ้างที่เท่าเทียมกันมากกว่าระหว่างชายหญิงอีกทั้งยังให้กรรมการอิสระมีส่วนตรวจสอบบัญชีของพนักงานระดับล่างพบว่า "ไม่มีการเลือกปฏิบัติอย่างเป็นระบบต่อผู้หญิง" อย่างไรก็ตามมิเชลล์ สตานิสตรีท เลขาธิการของสหภาพผู้สื่อข่าวแห่งชาติสหราชอาณาจักรกล่าวว่าการออกจากตำแหน่งเพื่อประท้วงของเกรซีไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเพราะเธอไม่ยอมที่จะนิ่งเฉยต่อการจ่ายค่าจ้างที่ไม่เท่าเทียมกันอย่างใหญ่หลวงในบีบีซี นอกจากนี้ยังมีผู้แสดงการสนับสนุนเกรซีจำนวนมากในทวิตเตอร์รวมถึงนักข่าวบีบีซีด้วยแฮชแท็ก #IStandWithCarrie จากที่ก่อนหน้านี้เคยมีการใช้ #BBCWomen ประท้วงในเรื่องค่าจ้างมาก่อน สื่อบีบีซีเองรายงานว่าจากข้อมูลของปีที่แล้วแสดงให้เห็นการที่ผู้ชายในบีบีซีได้รับค่าแรงมากกว่าหญิงร้อยละ 10.7 เมื่อคิดตามค่าเฉลี่ยของค่าแรงต่อชั่วโมง
A Top BBC Journalist Has Quit As China Editor And Accused The Corporation Of Having A "Secretive And Illegal" Pay Culture, Buzzfeed, 08-01-2018 BBC China editor Carrie Gracie quits post in equal pay row, BBC, 08-01-2018
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น