โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

'คุมประพฤติ' เตือน 'จ่านิว' เสี่ยงผิดเงื่อนไข หลังออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง

Posted: 26 Jan 2018 11:29 AM PST

สนง.คุมประพฤติ กทม. 4 ส่งหนังสือเตือน สิรวิชญ์ หลังออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง เจ้าตัวยันตนไม่ได้ผิดเงื่อนไข คุมประพฤติอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน พร้อมทำหนังสือชี้แจง

26 ม.ค. 2561 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานกรณีที่ สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เปิดเผยถึงการได้รับหนังสือ 'ด่วนที่สุด' จากสำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 4 ลงวันที่ 25 ม.ค.61 เรื่อง เตือนให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการคุมความประพฤติโดยเคร่งครัด และให้ไปพบพนักงานคุมประพฤติ โดยเนื้อหาในหนังสือดังกล่าวระบุว่า ตามที่ศาลจังหวัดขอนแก่นได้มีคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ลม.1/2560 ในฐานความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล พิพากษาลงโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และให้คุมความประพฤติไว้ 1 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 6 ครั้ง กระทำบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 24 ชม. ห้ามมิให้คบค้าสมาคม หรือจัดทำกิจกรรม หรือรวมตัวกันในลักษณะอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก

หนังสือจากสำนักงานคุมประพฤติฯ ระบุอีกว่า แต่เนื่องจากระหว่างการควบคุมความประพฤติ ได้ปรากฏข่าวจากสื่อทั่วไปว่า เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 61 ท่านและทีมงาน ActionGen และประชาธิปไตยศึกษา รวมตัวและเดินทางไปยื่นหนังสือต่อ สนช. เพื่อติดตามความคืบหน้า และแถลงถึงการเคลื่อนไหวการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และถอดถอนรัฐบาล คสช. ทั้งคณะ ที่ด้านหน้าสวนสัตว์เขาดิน ฝั่งตรงข้ามอาคารรัฐสภา ซึ่งกรณีพฤติกรรมดังกล่าว มีความสุ่มเสี่ยงในการผิดเงื่อนไขการคุมความประพฤติ ในเรื่องข้อห้ามคบหาสมาคม หรือจัดทำกิจกรรม หรือรวมตัวกันในลักษณะอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก ดังนั้น พนักงานคุมประพฤติจึงตักเตือนให้ท่านปฏิบัติตามเงื่อนไขตามที่ศาลกำหนดโดยเคร่งครัด และแจ้งให้ท่านไปพบพนักงานคุมประพฤติพร้อมกับมารดา ในวันที่ 30 ม.ค. 61 เวลา 10.00 น. โดยมี ศศิธร บุพพฤทธิ์ พนักงานคุมประพฤติชำนาญการ หัวหน้างานควบคุมและสอดส่อง เป็นผู้ลงลายมือชื่อในหนังสือดังกล่าวนี้

ศูนย์ทนายความฯ ยังรายงานด้วยวา สิรวิชญ์ ให้ข้อมูลว่า เขาเพิ่งได้รับหนังสือวันนี้ (26 ม.ค.61) ก่อนหน้านี้เขาได้ไปรายงานตัวที่สำนักงานคุมประพฤติตามกำหนดทุกครั้ง ครั้งแรก วันที่ 21 ธ.ค. 60 และนัดครั้งที่สองในวันที่ 18 ก.พ. 61 เรื่องการทำสาธารณประโยชน์ยังไม่ได้เริ่มทำ เนื่องจากเจ้าหน้าที่คุมประพฤติจะหารือเรื่องนี้เมื่อไปรายงานตัวครั้งที่สอง

ส่วนเรื่องที่สำนักงานคุมประพฤติมีหนังสือมาตักเตือนให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของคุมประพฤติอย่างเคร่งครัด โดยอ้างคำพิพากษาในคดีละเมิดอำนาจศาลว่า "ห้ามคบค้าสมาคมหรือจัดกิจกรรมรวมตัวในลักษณะอันนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก" เขาเองเคยถามศาลในวันที่ฟังคำพิพากษาแล้วว่า ข้อความดังกล่าวหมายถึงอะไร ศาลได้อธิบายว่าหมายถึง ห้ามรวมกันทำกิจกรรมที่บริเวณศาลหรือป้ายศาล ซึ่งจะทำให้ละเมิดอำนาจศาลอีก ไม่ได้เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมที่อื่น ๆ หรือห้ามชุมนุมทางการเมือง

ทั้งเมื่อวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา สิรวิชญ์ดำเนินการติดตามความคืบหน้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจและถอดถอนรัฐบาลคสช.ทั้งคณะเพราะเหตุเคยยื่นจดหมายเปิดผนึกไว้ถึงประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไว้แล้วตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.60 แต่ยังไม่ได้รับการชี้แจงความคืบหน้านั้น สิรวิชญ์ ยืนยัน ตนไม่ได้ทำกิจกรรมดังกล่าวที่หน้าศาลและไม่เข้าข่ายกระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลอันจะเป็นการกระทำความผิดซ้ำ ซึ่งฝ่าฝืนต่อเงื่อนไขตามคำพิพากษาแต่อย่างใด

สิรวิชญ์ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การเตือนในครั้งนี้โดยใช้ข้ออ้างว่าอาจจะผิดต่อเงื่อนไขของคำพิพากษาศาล เป็นการเตือนเพื่อไม่ให้เขาเคลื่อนไหว ทำให้เขารู้สึกว่า ถูกติดตามและเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยส่วนตัวคิดว่าการห้ามคบค้าสมาคมเป็นการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชน อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่าสำนักงานคุมประพฤติอาจจะมีการเข้าใจผิดในคำพิพากษาดังกล่าว ซึ่งเขาจะทำหนังสือไปชี้แจงไปยังสำนักงานคุมประพฤติเกี่ยวกับคำพิพากษาของคดีนี้ หรือไม่ก็อาจจะร้องขอไปที่ศาลเพื่อให้เขียนชี้แจงคำพิพากษาให้ชัดเจน

อ่านรายละเอียดได้ที่ เว็บไซต์ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน http://www.tlhr2014.com/th/?p=6111

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ธเนศวร์ ร่วมกับ นศ. มธ.-มช. ถกปมรับน้องและสิทธิเสรีภาพในมหา'ลัย

Posted: 26 Jan 2018 08:44 AM PST

ธเนศวร์ เจริญเมือง ร่วมกับนักศึกษา เชียงใหม่-ธรรมศาสตร์ ถกการรับน้องและสิทธิเสรีภาพในมหาวิทยาลัย ชี้ปัญหาระบบ SOTUS เชื่อมโยงกับระบบอุปภัมภ์ของไทย ชี้มหาวิทยาลัยที่ดีในอุดมคติ ต้องมี 'เสรีภาพ-การบรรลุความเป็นเลิศทางวิชาการ-การแข่งขันเสรี'

เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ชมรมประชาธิปไตย สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้จัดเสวนา "การรับน้องและสิทธิเสรีภาพในมหาวิทยาลัย" โดยมี ธเนศวร์ เจริญเมือง ศาสตราจารย์และอาจารย์ผู้ชำนาญการพิเศษ ภาควิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มช. ปอ บุญพรประเสริฐ อาจารย์ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มช. พร้อมด้วย ยามารุดดิน ทรงศิริ รองประธานสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง นลธวัช มะชัย และ ณัฐดนัย พรมมา นักศึกษา มช. ร่วมเสวนา โดยมี อภิบาล สมหวัง เป็นผู้ดำเนินรายการ      

ยามารุดดิน กล่าวว่า จุดยืนของมหาวิทยาลัยบางแห่งก็ใช้ว่า "เสรีภาพทุกตารางนิ้ว" เมื่อเปรียบกับบางมหาวิทยาลัยที่ไม่มีจุดยืนทางการเมืองของตนเอง ทำให้มีบางสิ่ง อย่างเช่น ระบบ SOTUS เข้ามาแทรกแซง ซึ่งมีทั้งคนเห็นด้วยและมีคนต่อต้าน มีอาจารย์หรือสภานักศึกษาคอยปกป้องระบบ แนวทางที่ดีคือ นักศึกษาในมหาวิทยาลัยควร วิพากษ์วิจารณ์หรือตั้งคำถามว่าระบบนี้ควรอยู่ต่อหรือไม่

ยามารุดดิน กล่าวถึงระบบ SOTUS ด้วยว่า ถ้าคนต้องการระบบ ระบบก็จะอยู่ ถ้าไม่เอา ระบบก็ไม่อยู่ บางมหาวิทยาลัยไม่มี SOTUS ก็อยู่ได้ มหาวิทยาลัยไม่มีการถูกปิด

สำหรับบทบาทของอาจารย์บางคนที่ไม่ต่อต้านระบบ SOTUS หรือเห็นด้วยกับระบบ รวมไปถึงได้ผลประโยชน์จากระบบดังกล่าวจนนำมาสู่การเพิกเฉยต่อปัญหานั้น ธเนศวร์ กล่าวว่า ผู้ดูแลระบบการศึกษา ก็คือ อธิการบดี รองอธิการบดี คณบดี รองคณบดี โดยเฉพาะรองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา เป็นผู้เห็นชอบด้วยกันหมดจึงอนุญาตให้บรรดากิจกรรมเหล่านี้เกิดขึ้น บางครั้งก็มีเสียงก็รบกวนผู้อื่นในสถาบันวิชาการที่ต้องการความสงบ การกระทำดังกล่าว จึงเป็นการละเมิดสิทธิคนอื่น คณาจารย์เหล่านี้เองเป็นผลิตผลของการ "ว้าก" มาตลอด 4 ปี จนทำให้เห็นด้วย จะมีใครไม่ชอบระบบนี้ รวมทั้งแต่ละคณะยังมีการเชิญรุ่นพี่มาด้วย เพื่อชี้แนะให้ทำตามรุ่นพี่ แล้วจะให้เงินเพื่อสืบทอด สืบสานกันมา สุดท้ายระบบ SOTUS ก็ไม่มีวันหายไป

ณัฐดนัย ได้กล่าวว่า แท้จริงแล้ว SOTUS เกิดขึ้นมานานมากอยู่คู่กับสังคมไทยมาก็ว่าได้ จึงทำให้ SOTUS นั้นฝังรากลึกในสังคมไทย เกิดความเคยชินและไม่รู้สึกผิดแปลกแต่อย่างไร แต่ปัจจุบันสังคมเริ่มตั้งคำถามกับระบบ SOTUS มากขึ้น ทั้งเป็นระบบที่ยึดถือระเบียบวินัยและกฎหมู่มากจนบางครั้งมากเกินความจำเป็น และมีลักษณะเป็นเหมือนลัทธิทางความเชื่อที่หวาดกลัวการเปลี่ยนแปลง เชื่อว่าสิ่งที่ระบบได้ทำเป็นสิ่งที่ถูกที่ควร และห้ามตั้งคำถาม เป็นระบบที่คิดแทนรุ่นน้อง ทำให้ไม่เกิดความคิดสร้างสรรค์ในสถานศึกษาเท่าที่ควรจะเป็น การมีอยู่ของ SOTUS จึงเป็นการทำลายหัวใจของประชาธิปไตย เพราะไปกีดกันความคิดสร้างสรรค์ และสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ และเป็นตัวกดสังคมให้เกิดการพัฒนาที่ช้า

สำหรับประเด็นที่ว่าเหตุใดในปัจจุบัน SOTUS ถึงไม่ยอมเปลี่ยนแปลงหากสังคมตั้งคำถามและเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงนั้น ณัฐดนัย กล่าวว่า เพราะ SOTUS ไปเชื่อมโยงกับระบบอุปภัมภ์ของไทย และรุ่นมีความสำคัญในระบบ SOTUS ทำให้รุ่นที่จบออกไปเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการกลับเข้ามาปกป้องระบบ SOTUS ตนเสนอทางออกเบื้องต้นคือการมีพื้นที่สำหรับความเห็นต่าง เพราะให้คนที่เห็นต่างในระบบได้มีพื้นที่สำหรับความคิดสร้างสรรค์ และความเห็นต่างๆอย่างเสรีไร้กรอบที่เคร่งครัด และต้องได้รับการปกป้องจากสถานศึกษา เพื่อให้คนที่เห็นต่างไม่ต้องหลบซ่อนและเก็บความกดดันที่มีเอาไว้ และอีกข้อที่สำคัญคือการหันหน้าคุยกันระหว่างคนที่ชอบและไม่ชอบในระบบ SOTUS เพื่อหาทางออกร่วมกันในการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับยุคสมัยและสังคมไทยมากที่สุด

ขณะที่ นลธวัช ผู้ทำกิจกรรมทางเลือก เสนอแนวทางว่า บางคณะที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบไปบ้างแล้ว จนเกิดรูปแบบอื่นมากมาย อย่างการจัดวันซ้อมร้องเพลงเชียร์ ก็ประสบความสำเร็จมาแล้ว นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มีสิทธิเสรีภาพในการเลือกทำกิจกรรม การต้องเข้าพร้อมกัน ร้องเพลงเชียร์พร้อมกันก็ไม่มีความจำเป็น นอกจากนี้ ควรมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น กันทุกฝ่าย และตั้งจุดยืนเลยว่า ระบบนี้ต้องหายไป

นลธวัช ยังกล่าวอีกว่า มหาวิทยาลัยที่เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านการวิจัย แต่ทำไมไม่มีการนำวิธีเหล่านี้มาใช้ จริงอยู่ที่มีความพยายามทำให้มหาวิทยาลัยเป็นเสรีนิยม แต่พิธีกรรมต่างๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยกลับย้อนแย้งไม่เป็นตามนั้น มีวาทกรรมความสามัคคี คือ แต่ละคณะมีการผลิตกิจกรรมเพื่อเกื้อหนุนส่วนกลาง ทำให้ SOTUS คงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง แทนที่จะผลิตกิจกรรมเพื่อมาสนับสนุน ส่งเสริมประชาธิปไตยในสังคมบ้าง          

ปอ กล่าวย้ำด้วยว่า สภาพเช่นนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเสรีภาพ ทำให้ชีวิตเป็นแบบครึ่งๆ กลางๆ เลยนำสิ่งที่เป็นจริง เป็นกลางมาพูด เมื่อไม่ได้หลีกเลี่ยงความจริงก็ส่งผลต่อการแก้ปัญหาต่างๆ เพราะไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้คืออะไร การแก้ปัญหาแก้ได้ต้องแก้ที่ปลายเหตุ เพราะมหาวิทยาลัยไม่เปิดกว้างทางความคิดแก่นักศึกษา นักศึกษาจึงไม่ค่อยคิด มีพี่ๆ มาดูแล 4 ปี มีกรอบมีพิธีกรรมครอบงำมาโดยตลอด

ธเนศวร์ เสนอว่า มหาวิทยาลัยที่ดีในอุดมคติมีองค์ประกอบ 3 ข้อ ประกอบด้วย 1. เสรีภาพ ที่จะทำให้วิชาการเป็นเลิศ (academic excellence) 2. การบรรลุความเป็นเลิศทางวิชาการ คือการ แสวงหาความจริง ไม่มีอะไรกีดกั้น ความจริงคือความจริง 3. การแข่งขันเสรี แข่งกันด้วยความจริง ความเป็นเลิศทางวิชาการ มีเสรีภาพที่จะยกระดับมหาวิทยาลัยตนเอง และความเป็นเลิศทางวิชาการ และกิจกรรมว้ากน้องในต่างจังหวัดรุนแรงมาก ยิ่งไกลปืนเที่ยงยิ่งรุนแรงมีป่าเขา ลำนำไพ เสียงน้ำตกปิดบังเสียงผรุสวาท และคำถ่อยเถื่อนของคนเหล่านั้นได้อย่างสุดยอด บางสถาบันที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลมีการให้นักศึกษาที่เข้ามาใหม่ให้คำสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคณะ  

ธเนศวร์ ได้สรุปว่า การรับน้องเป็นกระบวนการ Dehumanization หรือการลดอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ และในขณะเดียวกันก็เป็นกระบวนการสร้างอำนาจ ที่น่าเจ็บปวดมาก คือ เป็นกระบวนการจากฝีมือของปัญญาชน ที่มีภาพลักษณ์ดูดี อธิการบดีพูดเพราะ รองอธิการบดีพูดเพราะ ไม่มีระบบ ปล่อยให้เกิดกิจกรรมเลวทรามต่ำช้า ทำให้นักศึกษา จำนวนไม่น้อยเจ็บปวดกับการถูกทำลายความเป็นมนุษย์ การทำลายนี้ความรุนแรงแล้วแต่คนที่ได้รับ

ธเนศวร์ เสนอด้วยว่า ควรที่จะออกมากล้าที่จะเดินหน้า ในเมื่อโลกนี้มันมืดนักก็เลือกเดินต้องพัฒนา ฟันฝ่าไปสู่จุดที่ดีกว่า สอบเข้ามหาวิทยาลัยแทบตาย การรับน้องดังกล่าวนี้ควรจะต้องมีศูนย์ดำรงธรรมมาคอยเยียวยา ติดตาม ให้กำลังใจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกิจกรรมรับน้อง และควรเปิดโปงสู่โลกภายนอกว่าในมหาวิทยาลัยมีประชาธิปไตยอย่างไร ต้องหาญกล้าที่จะออกมา 

SOTUS มาจากตัวอักษรนำของคำในภาษาอังกฤษ 5 คำ ประกอบด้วย Seniority คือ การเคารพผู้อาวุโส Order คือ การปฏิบัติตามระเบียบวินัย Tradition คือ การปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี Unity คือ การเป็นหนึ่งเดียว และ Spirit คือ การฝึกจิตใจ การเสียสละกายและใจ มีน้ำใจเพื่อสังคม
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เอนก' ชี้คนไทยมีศักยภาพในการปรองดอง แนะกระจายอำนาจจะนำไปสู่ความสามัคคี

Posted: 26 Jan 2018 08:08 AM PST

เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ชี้คนไทยมีศักยภาพในการปรองดองกันอยู่แล้ว ขอเพียง 'อย่าเบื่อ อย่าท้อ อย่าเย้ยหยัน' แนะกระจายอำนาจ กระจายทรัพยากร กระจายการตัดสินใจไปที่ระดับพื้นฐานให้มากขึ้น จะทำให้เกิดความสมัครสมานกันได้มากขึ้น

26 ม.ค. 2561 รายงานข่าวจาก สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต แจ้งว่า เมื่อวันที่ 15 ม.ค. ที่ผ่านมา เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ประธานสถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ ศาสตราจารย์พิเศษและอธิการวิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวในการบรรยายเรื่องการส่งเสริมกิจกรรมสร้างความรักความสามัคคีปรองดองสมานฉันท์และลดความขัดแย้งในสังคม ภายใต้โครงการฝึกอบรมชุดปฏิบัติการขับเคลื่อนสร้างความปรองดองสมานฉันท์ประจำตำบลโดยผ่านกลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน ประจำปี 2561 จัดโดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ณ จ.อุดรธานี

"เรื่องปรองดองและสามัคคีนั้น ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะคนไทยเราเป็นคนที่สามัคคีกันได้ ปรองดองกันได้ เพราะคนไทยเราไม่ค่อยถือสากัน และโดยโครงสร้างที่เป็นพื้นฐานของสังคมไทยจริงๆ เป็นโครงสร้างของความรักความสมัครสมาน" เอนก กล่าว

เอนก กล่าวว่าโครงสร้างที่เป็นพื้นฐานจริงๆ ของสังคมไทย ดูที่ไหน ดูที่ระดับหมู่บ้าน สูงที่สุดก็ดูที่ระดับเมือง คนไทยเป็นคนที่อะลุ่มอล่วย เป็นคนที่ไม่หักหาญกัน อยากจะทำอะไรก็ต้องให้ได้ประโยชน์กับทุกๆ ฝ่าย ถ้าประโยชน์ขัดกันก็เจรจากันได้ ประเทศไทยนั้น ถ้าเราดูเฉพาะเรื่องขัดแย้งเหลืองกับแดงไม่กี่ปีมานี้ เราจะรู้สึกว่ามันช่างไม่สงบ มันช่างเดือดร้อน แต่ถ้าเราละสายตาจากเรื่องเฉพาะนี้ของเรา ซึ่งบางครั้งมันจำเป็นต้องละสายตาบ้าง ไปสู่ภาพอีกภาพหนึ่ง เราจะเห็นว่าประเทศไทยนั้นสงบมาก สันติมาก รอบๆ บ้านของเราก็ไม่สันติเท่าเรา โลกหลายส่วนวุ่นวาย เต็มไปด้วยการรบราฆ่าฟัน ในซีเรียก็ยังรบกันอยู่ ในอัฟกานิสถานก็ยังรบอยู่ เวลานี้อเมริกาไปรบในอัฟกานิสถานยาวกว่าที่ไปรบในเวียดนามแล้ว เรื่องก็ยังไม่จบ ในอิรักที่ซัดดัมตายไปไม่รู้กี่ปีแล้วสงครามก็ยังไม่ยุติ ในแอฟริกาก็ยังรบกันหลายประเทศมาก แต่ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่มีสันติภาพ มีความปรองดองกันมานานมาก ตื่นมาเราไม่ได้ยินเรื่องสงครามในประเทศไทย แต่ถ้าเราตื่นมาในซีเรีย เราจะได้ยินว่าวันนี้ฝ่ายกบฏยึดเมืองนั้น รัฐบาลกำลังไปทิ้งระเบิดเพื่อยึดเมืองนี้คืน ในประเทศไทยเราไม่มีเรื่องแบบนี้

"สิ่งที่ผมตั้งใจจะบอกก็คือ คนไทยเรามีศักยภาพในการปรองดองกันอยู่แล้ว ตอนที่เกิดเหตุการณ์ 66/23 ในยุคที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นแม่ทัพภาคที่สอง พลเอกชวลิต ยงใจยุทธเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการของพลเอกเปรมนั้น คนไทยจำนวนหลายหมื่นคนก็ได้กลับมาสู่อ้อมอกของแผ่นดินไทย กลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย เป็นพลเมืองดี บางคนในเวลาต่อมาได้เป็นรัฐมนตรี บางคนได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี ไม่มีที่ไหนในโลกหรอกที่คนเคยรบกันขนาดนี้แล้วจะกลับมาคืนดีกันได้ แต่ของเราในที่สุดก็คืนดีกันได้ ในยุคของพลเอกสุจินดากับพลตรีจำลอง ศรีเมือง ก็กำลังจะยิงกันอยู่แล้ว กำลังจะเกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากมายอยู่แล้ว เหตุการณ์ก็ยุติลงได้ ตอนก่อนการยึดอำนาจปี 2557 นั้น ผมก็คิดว่าบ้านเมืองคงจะใกล้เป็นรัฐล้มเหลว (failed state) แล้ว ฝรั่งก็คิดว่าเมืองไทยใกล้จะเป็นรัฐล้มเหลวแล้ว ในที่สุดก็ไม่เป็น เราก็อยู่กันมาได้ จนถึงตอนนี้ก็สี่ปีแล้ว อาจจะมีจุดอ่อนข้อบกพร่องอะไรก็ตาม แต่สิ่งที่ดีมากก็คือ เราไม่รบกัน ไม่ฆ่ากัน มันสงบมาตั้งสี่ปีแล้ว" เอนก กล่าว

ส่วนเลือกตั้งแล้วจะมีผลออกมาเป็นอย่างไรนั้น เอนก กล่าวว่าก็น่าจะปรองดองกันได้ เพราะในฐานะที่เป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ได้มีโอกาสคุยกับหัวหน้าพรรคการเมืองสำคัญสามสี่พรรค ทุกพรรคก็มีท่าทีจะทำงานร่วมกันได้ ไม่ได้โกรธอะไรกัน และพร้อมที่จะทำงาน แล้วถ้าประชาชนเลือกอย่างไร เลือกน้ำหนักแค่ไหน พวกเขาก็บอกว่าพร้อมที่จะรับผลการเลือกตั้ง ถ้าผลการเลือกตั้งทำให้เขาต้องเป็นฝ่ายค้านก็ยินดีค้านโดยไม่มีเรื่อง ส่วนถ้าใครได้เป็นรัฐบาล ก็พร้อมที่จะเป็น แล้วอีกหลายๆ ฝ่ายก็พร้อมที่จะร่วมรัฐบาล ไม่ว่าใครจะเป็นแกนนำก็พร้อมที่จะร่วม ดูเหมือนทุกๆ พรรคพยายามจะทำตัวให้ตัวเองมีปัญหาน้อยที่สุด เพื่อจะให้การจัดตั้งรัฐบาลราบรื่น ตนก็คิดว่าถ้าหากนักการเมืองคิดอย่างนี้ได้ บ้านเมืองก็มีทางไป มันจะไปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า เราคงไม่ต้องไปหวังขนาดนั้น แต่ว่าถ้าทุกพรรคคิดแบบนั้น ก็มีทางไปได้

ส่วนรัฐบาลจะจัดตั้งแบบไหนนั้น เอนก กล่าวว่า ก็ต้องแล้วแต่ผลการเลือกตั้งของประชาชน เลือกพรรคไหนเท่าไร แต่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้ใครมีเสียงข้างมากได้ลำบาก เพราะฉะนั้น อาจต้องเป็นรัฐบาลผสม ซึ่งรัฐบาลผสมนั้นก็เป็นอีกวิถีทางหนึ่งที่จะนำมาสู่ความปรองดอง วิธีคิดของรัฐบาลผสมก็คือไม่มีคนชนะเด็ดขาด มีแต่ชนะมากชนะน้อย รัฐบาลผสมที่ผมอยากจะเห็นก็คือรัฐบาลผสมที่มีขนาดใหญ่ คือมีหลายๆ พรรคมารวมกันในรัฐบาล ประเทศออสเตรีย เยอรมัน อิตาลี มาเลเซีย ใช้ระบบแบบนี้ มีทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกันเข้าไปอยู่ในรัฐบาล บีบให้ทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกันต้องร่วมงานกันในรัฐบาล จะไม่ใช่ระบบเดิมแบบอังกฤษ แบบของไทยเราที่เป็นมาก็คือ ดันฝ่ายที่แพ้ให้ออกไปเป็นฝ่ายค้าน ก็เป็นอะไรที่ถ้ามาบวกกับจิตใจของพรรคฝ่ายที่พยายามที่จะปรองดองกันด้วย ผมคิดว่าบ้านเมืองก็คงไปได้

"ผมคิดว่าคนไทยเราที่ระดับหมู่บ้านคุยกันได้ ที่คุยกันไม่ได้คือระดับชาติ แต่เราอย่าเอาตัวเองไปยุ่งกับเรื่องระดับชาติเกินเหตุ ให้เราสนใจเรื่องระดับพื้นฐานของเรา มันไปได้ ผมเห็นจากเรื่องเมือง เวลาพูดเรื่องเมืองอุดร ไม่มีการพูดเรื่องสีเสื้ออีกแล้ว ไม่มีการพูดเรื่องพรรคอีกแล้ว เพราะมันไม่สำคัญ ไม่ว่าจะสีอะไร ไม่ว่าจะพรรคไหน เวลาพูดถึงเรื่องจะพัฒนาเมืองอุดร เมืองขอนแก่น เมืองโคราช เมืองหนองบัวลำภู อย่างไร ทุกคนร่วมกันได้หมด เพราะมันเป็นบ้านของเรา ชาวบ้านระดับหมู่บ้านเขาทำได้ ระดับเมืองหรือจังหวัดก็ทำได้ เหตุที่เราขัดแย้งกันมากส่วนหนึ่งเพราะเรารวมศูนย์มากเกินไป เรื่องสำคัญๆ ในที่สุดแล้วต้องไปทำที่ประเทศ ที่ส่วนกลางหมด ก็เลยมีปัญหา ผลประโยชน์ก็เลยขัดกันมาก ถ้าเรากระจายอำนาจ กระจายทรัพยากร กระจายการตัดสินใจไปที่ระดับพื้นฐานให้มากขึ้น ก็จะเกิดข้อดีหลายอย่าง อย่างหนึ่งก็คือจะทำให้เกิดความสมัครสมานกันได้มากขึ้น..

..ขอเพียงอย่าเบื่อ อย่าท้อ อย่าเย้ยหยัน กับเรื่องปรองดอง ถ้าไม่มีสามอย่างนี้ ผมว่าในที่สุดก็ทำได้ แล้วก็ต้องคิดว่าถึงอย่างไรก็เป็นบ้านเมืองของเรา เราจะต้องอยู่ร่วมกัน" เอนก กล่าวทิ้งท้าย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักวิจัยพบยุงจดจำกลิ่นคน-แยกแยะมือตบได้

Posted: 26 Jan 2018 06:02 AM PST

อาจจะเคยมีคำถามว่าทำไมบางคนถูกยุงกัดมากกว่าคนอื่น? ถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะคนๆ นั้นมีกลิ่นที่ยุงชอบมากกว่าก็อาจจะไม่ผิดเสียทีเดียว เพราะล่าสุดนักวิทยาศาสตร์พบว่ากลิ่นอาจจะมีผลกับพฤติกรรมยุงจริงๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการเรียนรู้ของยุง ที่สามารถแยกแยะได้ว่าสัตว์หรือคนคนไหน "กลิ่นน่าอร่อย" และคนไหนชวนให้หลีกเลี่ยง ซึ่งอาจนำไปใช้ประโยชน์หาวิธีป้องกันโรคระบาดจากยุงได้


ภาพจาก Elionas, Pixabay

26 ม.ค. 2561 งานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสารเคอร์เรนต์ไบโอโลจี (Current Biology) เมื่อวันที่ 25 ม.ค. ที่ผ่านมาระบุว่ายุงมีความสามารถในการเรียนรู้และจดจำกลิ่นของสัตว์ที่มันกัดได้โดยที่พวกมันเรียนรู้เรื่องพวกนี้ผ่านสารโดพามีน พวกยุงนำข้อมูลเหล่านี้มารวมกับข้อมูลสิ่งเร้าอื่นๆ ทำให้พวกมันแยกแยะว่าสัตว์มีกระดูกสันหลังตัวไหนรวมถึงมนุษย์คนไหนที่น่ากัดมากกว่ากัน

การวิจัยของเวอร์จิเนียเทคยังพิสูจน์ให้เห็นอีกว่าขณะที่ยุงอาจจะมุ่งตอมคนที่ "กลิ่นน่าอร่อย" สำหรับพวกมันแล้ว ยุงยังหลีกเลี่ยงจะตอม "กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์" สำหรับยุงด้วย และหนึ่งในการสร้างกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ว่าคือการตบยุงตัวอื่น หรือการมีพฤติกรรมป้องกันใดๆ ก็ตาม จะมีโอกาสทำให้ยุงรบกวนน้อยลง

การวิจัยในครั้งนี้เป็นผลงานของ คลิมง วิเนาเกร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านชีวเคมีของวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ชีวภาพของเวอร์จิเนียเทค และโคลอี ลาฮงเดเรอ ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากภาควิชาชีวเคมี พวกเขาทดลองเรื่องการที่ยุงเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งไม่พึงประสงค์โดยทดลองให้ยุงลายตัวเมียรับกลิ่นต่างๆ รวมถึงกลิ่นกายมนุษย์ไปพร้อมกับรับแรงสั่นสะเทือนที่ไม่พึงประสงค์

พวกเขาพบว่าหลังจากนั้น 24 ชั่วโมง ยุงที่ถูกทดลองเช่นนี้หลีกเลี่ยงกลิ่นกายมนุษย์เมื่อให้เลือกระหว่างกลิ่นกายมนุษย์กับอีกกลิ่นหนึ่งที่เป็นตัวแปรควบคุมเอาไว้เทียบกับกลิ่นมนุษย์

เรื่องนี้ทำให้มีการศึกษาต่อแบบอาศับความร่วมมือกันระหว่างหลายสาขาวิชา อย่างการใช้เทคนิคการตัดต่อส่วนของสารพันธุกรรม (CRISPR) หรือเทคนิคการยับยั้งอาร์เอ็นเอ (RNAi) ซึ่งเป็นกระบวนการยับยั้งการแสดงออกลักษณะทางพันธุกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยเทคนิคเหล่านี้ทำให้พวกเขาทราบว่าสารโดพามีนเป็นตัวกลางสำคัญในการเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งไม่พึงประสงค์ของยุง

เพื่อวัดผลในเรื่องโดพามีน นักวิจัยใช้วิธีการเชื่อมต่อส่วนสมองของยุงทั้งที่ถูกให้เรียนรู้หลีกเลี่ยงสิ่งไม่พึงประสงค์กับยุงที่ไม่ได้ถูกฝึกให้เรียนรู้กับเครื่องวัดเพื่อวัดผลปฏิกิริยาจากสมองของพวกมัน หลังจากนั้นจึงปล่อยยุงบินในสถานการณ์จำลองที่มีกลิ่นหลายกลิ่นรวมถึงกลิ่นมนุษย์ ทำให้พบว่าในส่วนของสมองยุงที่ใช้รับข้อมูลกลิ่นมีการตอบสนองทางระบบประสาทลดลงเพราะมีการหลั่งสารโดพามีนช่วยทำให้พวกยุงจำแนกกลิ่นต่างๆ และเรียนรู้ที่จะแยกแยะได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม ลาฮงเดเรอ บอกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะระบุได้ชัดเจนว่ากลิ่นของอะไรที่ทำให้บางคนตกเป็นเป้าหมายของพวกยุงโดยเฉพาะ เนื่องจากคนคนหนึ่งมีส่วนผสมของสารเคมีในร่างกายจำนวนมากถึง 400 แบบ อย่างไรก็ตามการทดลองก็ทำให้พวกเขาทราบว่ายุงสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับกลิ่นได้ ทางด้านวิเนาเกร์ บอกว่าความรู้ตรงจุดนี้สามารถนำไปใช้หาวิธีป้องกันยุงแบบใหม่ได้

อนึ่ง ยุงลายเป็นพาหะนำโรคภัยไข้เจ็บมาสู่มนุษย์หลายอย่างทั้งไวรัสไข้เลือดออก ไข้ซิกา ชิคุนกุนยา และไข้เหลือง


เรียบเรียงจาก

Mosquitoes remember human smells, but also swats, researchers find, Phys, 25-01-2018
https://phys.org/news/2018-01-mosquitoes-human-swats.html

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'นิด้าโพล' เผยผลสำรวจ ปชช. 76% เห็นว่ามีความไม่ปกติ ไม่โปร่งใสในรัฐบาล-คสช.

Posted: 26 Jan 2018 05:51 AM PST

นิด้าโพล เผยผลสำรวจ ประชาชน 76% เห็นว่ามีความไม่ปกติ ไม่โปร่งใสในรัฐบาล-คสช. ส่วนความเป็นกลางของ ป.ป.ช. ในการตรวจสอบรัฐบาล-คสช. พบ 48.6% เห็นว่ามีความเป็นกลางในการตรวจสอบ ขณะที่ 42.9% เห็นแแย้ง และ 61% เห็นว่ามีการแทรกแซงการทำงานของ ป.ป.ช. 

26 ม.ค. 2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง "ความเชื่อมั่นต่อการทำงานตรวจสอบรัฐบาล/คสช ของ ป.ป.ช." ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 24 – 25 ม.ค. 2561 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความเชื่อมั่นต่อการทำงานของ ป.ป.ช. การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างด้วยความน่าจะเป็น จากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ "นิด้าโพล" ด้วยวิธีแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified  Random  Sampling) โดยแบ่งชั้นภูมิตามภูมิภาค จากนั้นในแต่ละภูมิภาคสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ ร้อยละ 95.0

เมื่อถามถึงความคิดเห็นว่ามีความไม่ปกติ/ไม่โปร่งใสในรัฐบาล/คสช. หรือไม่ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่  ร้อยละ 76.32 ระบุว่า มีความไม่ปกติ/ไม่โปร่งใส รองลงมา ร้อยละ 16.64 ระบุว่า มีความปกติ/โปร่งใส และร้อยละ 7.04 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับ ความกล้าของ ป.ป.ช. ที่จะเข้ามาตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล/คสช. อย่างเที่ยงตรง ยุติธรรม พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 49.60 ระบุว่า กล้าเข้ามาตรวจสอบ รองลงมา ร้อยละ 46.88 ระบุว่า ไม่กล้าเข้ามาตรวจสอบ และร้อยละ 3.52 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับความเป็นกลางของ ป.ป.ช. ในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล/คสช.พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 48.64 ระบุว่า มีความเป็นกลางในการตรวจสอบ รองลงมา ร้อยละ 42.96 ระบุว่า ไม่มีความเป็นกลางในการตรวจสอบ และร้อยละ 8.40 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ ซึ่งจะเห็นได้ว่าประชาชนในสัดส่วนใกล้เคียงกันมากเชื่อว่าป.ป.ช จะมีและไม่มีความเป็นกลางในการตรวจสอบ สำหรับความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับ ความรวดเร็วของ ป.ป.ช. ที่จะเข้ามาตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล/คสช. พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 50.24 ระบุว่า เข้ามาตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล/คสช. ได้อย่างล่าช้า รองลงมา ร้อยละ 35.52 ระบุว่า เข้ามาตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล/คสช. ได้ปกติ ร้อยละ 11.36 ระบุว่า เข้ามาตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล/คสช. ได้อย่างรวดเร็ว และร้อยละ 2.88 ระบุว่า ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

ท้ายที่สุด ประชาชนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับว่าการแทรกแซงการทำงานของ ป.ป.ช. จากรัฐบาล/คสช. พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 61.04 ระบุว่า มีการแทรกแซงการทำงานของ ป.ป.ช. จากรัฐบาล/คสช. รองลงมา ร้อยละ 28.72 ระบุว่า ไม่มีการแทรกแซงการทำงานของ ป.ป.ช. จากรัฐบาล/คสช. และร้อยละ 10.24 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มประชากรตัวอย่าง 

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 8.64 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ตัวอย่างร้อยละ 25.44 มีภูมิลำเนาอยู่ปริมณฑลและภาคกลาง ร้อยละ 18.00 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 36.08 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และร้อยละ 11.84 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ ตัวอย่าง ร้อยละ 57.36 เป็นเพศชาย และร้อยละ 42.64 เป็นเพศหญิง ตัวอย่างร้อยละ 6.72 มีอายุ 18 – 25 ปี ตัวอย่างร้อยละ 17.36 มีอายุ 26 – 35 ปี ร้อยละ 20.64 มีอายุ 36 – 45 ปี ร้อยละ 34.48 มีอายุ 46 – 59 ปี ร้อยละ 19.04 มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และร้อยละ 1.76 ไม่ระบุอายุ ตัวอย่างร้อยละ 92.48 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.20 นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 0.80 นับถือศาสนาคริสต์ /ฮินดู/ซิกข์/ยิว/ไม่นับถือศาสนาใด ๆ และร้อยละ 3.52 ไม่ระบุศาสนา ตัวอย่างร้อยละ 22.72 ระบุว่า สถานภาพโสด ร้อยละ 67.76 สมรสแล้ว ร้อยละ 5.92 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ และร้อยละ 3.60 ไม่ระบุสถานภาพการสมรส

ตัวอย่างร้อยละ 22.00 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 30.80 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 8.40 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 27.68 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร้อยละ 6.64 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.48 ไม่ระบุการศึกษา

ตัวอย่างร้อยละ11.44 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 14.48 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 21.36 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 14.56 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 15.68 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 16.00 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน ร้อยละ 1.76 เป็นนักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 0.24 เป็นพนักงานองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหากำไร และร้อยละ 4.48 ไม่ระบุอาชีพ ตัวอย่างร้อยละ 11.44 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 22.16 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท  ร้อยละ 23.12 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001 – 20,000 บาท ร้อยละ 12.72 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 – 30,000 บาท ร้อยละ 7.84 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001 –  40,000 บาท ร้อยละ 9.28 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 13.44 ไม่ระบุรายได้

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เดินมิตรภาพ' ร้องศาลปกครองขอบรรเทาทุกข์ชั่วคราว ยันสิทธิชุมนุม-เข้าชื่อเสนอ กม.

Posted: 26 Jan 2018 04:11 AM PST

เครือข่าย People Go Network ซึ่งจัดงานรณรงค์เดินมิตรภาพ ยื่นคำร้องศาลปกครองขอบรรเทาทุกข์ชั่วคราว เพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองกิจกรรมเดินมิตรภาพ รู้ผลคืนนี้ทางแฟกซ์/อีเมล


ณัฐวุฒิ อุปปะ เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่, นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์, สุรชัย ตรงงาม ทนายความ

ความคืบหน้ากรณีเครือข่าย People Go Network ผู้จัดกิจกรรม 'We Walk…เดินมิตรภาพ' เดินเท้ารณรงค์เป็นเวลา 1 เดือนตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค. - 17 ก.พ. 2561 จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ไปยัง จ.ขอนแก่น เพื่อสื่อสารถึงความต้องการประชาชนที่จะมีส่วนร่วมใน 4 ประเด็น ได้แก่ หลักประกันสุขภาพ ความมั่นคงทางอาหาร สิทธิชุมชน และสิทธิทางการเมืองในรัฐธรรมนูญ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจปิดกั้นการทำกิจกรรม และต่อมาเจ้าหน้าที่ทหารฟ้องร้องดำเนินคดี 8 ตัวแทนเครือข่ายฯ ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 3/2558

ตัวแทนเครือข่ายฯ 8 คน ประกอบด้วย นายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ นายอนุสรณ์ อุณโณ นายนิมิตร์ เทียนอุดม นายสมชาย กระจ่างแสง นางสาวแสงศิริ ตรีมรรคา นางนุชนารถ แท่นทอง และนายอุบล อยู่หว้า 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (26 ม.ค.) เวลาประมาณ 13.20 น. ที่ศาลปกครองกลาง แจ้งวัฒนะฯ มีการไต่สวนคำร้องขอบรรเทาทุกข์ชั่วคราว เพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองกิจกรรมเดินมิตรภาพ คดีตัวแทนเครือข่าย People Go Network ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติและนายตำรวจที่เกี่ยวข้องรวม 7 นาย

โดยทางเครือข่ายมีคำร้องขอบรรเทาทุกข์ชั่วคราวเป็นการเร่งด่วน ดังนี้
1.ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดยุติการดำเนินการใดๆ ที่มีลักษณะปิดกั้น ขัดขวาง ข่มขู่ ทำให้หวาดกลัวเสรีภาพในการชุมนุม
2.ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด อำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยผู้ชุมนุม ให้สามารถเดินเท้าในลักษณะเดินขบวนได้จำนวน 50 ถึง 100 คน

สำหรับฝ่ายถูกฟ้องคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้กล่าวชี้แจงต่อศาลไปในทางเดียวกันว่า การชุมนุมของเครือข่าย People Go Network เป็นไปด้วยความสงบ ไม่ปรากฏว่ามีพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายการชุมนุม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ปี 2558 แต่อาจผิดคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 ที่ห้ามชุมนุมทางการเมือง 5 คนขึ้นไป เพราะวันที่ 19 ม.ค. ที่ มธ. มีกิจกรรมเข้าชื่อเสนอกฎหมายยกเลิกคำสั่ง คสช.จำนวน 35 ฉบับ และขายเสื้อที่มีสัญลักษณ์ต่อต้าน คสช. ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารยืนยันว่ามีความผิด และวันที่ 20 ม.ค. ที่เริ่มกิจกรรมเดินมิตรภาพได้มีการกระทำผิดซ้ำโดยอ่านแถลงการณ์ที่มีลักษณะวิพากษ์วิจารณ์ คสช.

เวลาประมาณ 17.00 น. ศาลสั่งพักการพิจารณาก่อนเพื่อทำเรื่องทางเอกสาร สุรชัย ตรงงาม ทนายความของเครือข่าย People Go Network และนิมิตร์ เทียนอุดม ได้แถลงต่อสื่อถึงความคืบหน้าในการไต่สวนคำร้องดังกล่าว โดยขณะนี้ไต่สวนผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้องครบทุกปากที่มาวันนี้แล้ว ยกเว้นผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ไม่มา

สุรชัยกล่าวว่า ตามที่ทางตำรวจกล่าวหาว่าทางผู้ชุมนุมมีการกระทำผิดตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 ขอยืนยันว่าการกระทำของผู้ชุมนุมไม่เป็นความผิดตามคำสั่งดังกล่าว เพราะเรายืนยันว่าการตีความแบบนั้นจะกระทบต่อเสรีภาพในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย และการชุมนุมก็จะไม่สามารถกระทำได้

ด้านนิมิตร์กล่าวว่า เราทั้งหมดยืนยันว่าการเข้าชื่อเสนอกฎหมายและการชุมนุมเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ สิ่งที่เราขอให้คุ้มครองคือขอให้เราสามารถดำเนินการชุมนุมสาธารณะได้ จากเดิมที่เดินทีละ 4 คน เราขอให้เราเดินแบบแถวเรียงหนึ่ง เดินแบบธรรมยาตรา เป็นแถวไป 50-100 คน อยากจะเดินให้ได้ตามแผนที่เราเคยแจ้งเรื่องการชุมนุมไป

อนึ่ง ศาลจะมีคำสั่งตามคำร้องขอบรรเทาทุกข์ชั่วคราวหรือไม่ภายในคืนนี้ โดยส่งโทรสาร/อีเมลให้แก่คู่ความ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดตัวน้ำพางโมเดล CP ร่วมสนับสนุน แต่ไม่ชัดเรื่องซื้อสินค้าเกษตร หวั่นทำผิดกฎหมาย

Posted: 26 Jan 2018 01:25 AM PST

ชาวบ้านและองค์กรพัฒนาเอกชน ร่วมเปิดตัวโครงการน้ำพางโมเดล เปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวโพด จังหวัดน่าน เป็นพื้นที่สีเขียว เน้นปลูกไม้ยืนต้น พร้อมเพิ่มพื้นที่สีเขียว CP ร่วมสนับสนุน แต่ยังไม่ชัดว่าจะช่วยซื้อผลผลิตได้หรือไม่ หวั่นทำผิดกฎหมาย

เมื่อวันที่ 24 ม.ค. 2561 ที่ หอประชุมโรงเรียนบ้านน้ำพาง ตำบลน้ำพาง อำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน ได้มีการจัดมหกรรม "น้ำพางโมเดล: บทพิสูจน์ความยั่งยืนจากมือประชาชน" ซึ่งร่วมจัดโดยชาวบ้านตำบลน้ำพาง องค์การอ็อกแฟม และมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการน้ำพางโมเดล เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากการลุกขึ้นมาแสดงความรับผิดชอบของชาวบ้านตำบลน้ำพาง หลังจากที่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดตกเป็นจำเลยของสังคมไทย ภายใต้ความคิดว่า เกษตรกรจังหวัดน่านเป็นผู้ทำลายป่า ทำให้เกิดภูเขาหัวโล้น และเป็นต้นเหตุของปัญหาหมอกควัน

เดิมทีชุมชนเป็นชุมชนหนึ่งที่มีวิถีการผลิตแบบเกษตรเชิงเดี่ยว และปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นรายได้หลักของชุมชนหลังจากการเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินโดยรัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีการออกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 64/2557 และ 66/2557 พร้อมกับมีการประกาศใช้แผนแม่บทแก้ไขปัญหาการทรัพยากรป่าไม้ การบุกรุกที่ดินของรัฐ และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ทำให้ชาวบ้านนำพางถูกกรมอุทยาน และกรมป่าไม้ยึดคืนพื้นที่ทำกินกว่า 1,900 ไร่ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาความยากจน ภาระหนี้สินไร้ที่ดินทำกิน จนทำให้ผู้นำชุมชนและชาวบ้านลุกขึ้นมาหาทางออกจากปัญหาดังกล่าว ซึ่งนำมาสู่การออกแบบโครงการน้ำพางโมเดล โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียว แก้ไขปัญหาที่ดินที่ทำกิน วางเป้าหมายเป็นระยะเวลา 5 ปี ลดพื้นที่ปลูกข้าวโพดให้หมดไป โดยลดลงปีละไม่น้อยว่าร้อยละ 20 ของพื้นที่ทั้งหมด ปัจจุบันมีเกษตรที่เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 285 ราย รวมเป็นพื้นที่ 4,253 ไร่

องค์กรไหนร่วมไม้ ใครบ้างที่ร่วมมือ 

ความพิเศษของน้ำพางโมเดลคือการเป็นโครงการฟื้นฟูระบบนิเวศน์ที่ชาวบ้านริเริ่มจนนำไปสู่การร่วมเข้ามามีบทบาทของหลายภาคส่วน ตั้งแต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานในพื้นที่ องค์กรพัฒนาเอกชน โดยมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือที่เข้ามาร่วมสนับสนุนการจัดการและหนุนเสริมศักยภาพของชุมชน ฝ่ายวิชาการโดย เดชรัตน์ สุขกำเนิด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่มีบทบาทในการจัดกระบวนการทำแผนชุมชนทั้งการผลิตและเศรษฐกิจในภาพรวม องค์การอ็อกแฟมในประเทศไทยซึ่งได้ช่วยประสานบทบาทของภาคส่วนต่างๆในการหนุนเสริมน้ำพางโมเดล และบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ที่สนับสนุนการรักษาทรัพยากร ส่งเสริมองค์ความรู้ และคุณภาพชีวิตชุมชนภายใต้กฎหมาย โดยทั้งหมดนี้ยืนอยู่บนหลักการความรับผิดชอบร่วมกัน และพิสูจน์ว่าปัญหาทรัพยากรธรรมชาติต้องแก้ไขไปพร้อมกับเรื่องปากท้องของประชาชนในพื้นที่

อธิป อัศวานันท์ ผู้บริหารด้านพัฒนาความยั่งยืนภาคกิจกกรรมสัมพันธ์ และการศึกษา สำนักบริหารความยั่งยืน ธรรมาภิบาล และสื่อสารองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ให้สัมภาณ์กับสื่อมวลชนในนามของเครือเจริญโภคภัณฑ์ เห็นว่าการพัฒนาที่ยั่งยื่นนั้นสิ่งสำคัญคือการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจ องค์กรพัฒนาเอกชน ประชาชน และภาครัฐ ซึ่งแต่ละภาคส่วนต่างก็มีบทบาท ขอบเขตของตนเองที่จะสามารถทำได้ ในส่วนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ก็ได้ร่วมประชุมกับโครงการน้ำพางโมเดลมานานประมาณ 2 ปี ซึ่งได้มีการพูดคุยถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาและข้อจำกัดทางกฎหมาย โดยมีหลายอย่างที่เครือเจริญโภคภัณฑ์อยากจะเข้ามามีส่วนร่วม แต่สุดท้ายก็เป็นเรื่องที่ยังลังเลในแง่ของกรอบทางกฎหมาย

"หนึ่งในสิ่งที่จะทำให้น้ำพางประสบความสำเร็จนั้น อาจจะต้องรอคอยการปฏิรูป หรือรอคอยกฎหมายบางฉบับ แต่ตราบเท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคือการจำกัดขอบเขตของเอกชน หรือใครก็ตามที่เป็นผู้หวังดีที่อยากจะเข้ามาช่วย เพราะในแง่มุมหนึ่งตัวเขาอาจจะคิดว่าหวังดี และเข้ามาช่วย ยกตัวอย่างเช่นชาวบ้านบอกว่า ไม่ปลูกข้าวโพดแล้วไปปลูกไม่ยืนต้นที่ให้ผลผลิตต่างๆ แล้วก็มีผู้หวังดี ใครก็ได้อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็น CP ก็ได้เข้ามาช่วยรับซื้อผลผลิต สุดท้ายอาจจะไม่รู้ว่าได้ทำผิดกฎหมายไปแล้ว แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องไปสู้กันในศาล แล้วก็มีปัญหาระยะยาวต่อไป ตรงนี้ผมคิดว่าถ้าสิ่งที่เราทำอยู่ตรงนี้สามารถมีหน่วยงานภาครัฐมายืนยันว่า ถ้า CP มาช่วยแบบนี้จะไม่มีปัญหาทางด้านกฎหมาย"

เมื่อถามว่า หากข้อจำกัดที่มีอยู่ในเวลานี้คือกรอบของกฎหมาย เป็นไปได้หรือไม่ที่ CP สนับสนุนให้มีการแก้ไขกฎหมาย อธิประบุว่า ในฐานะขององค์กรเอกชนการสนับสนุนผลักดันให้เกิดการแก้ไขกฎหมายอาจจะไม่ใช่ภาระหน้าที่หลัก แต่ถ้าภาครัฐได้มาสอบถามความคิดเห็นว่าสมควรจะแก้ไขกฎหมายหรือไม่ หาก CP เห็นว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของส่วนร่วม แล้วมีการศึกษาการแก้ปัญหาอย่างดีพร้อมแล้ว ก็พร้อมที่จะให้ความเห็นไปตามข้อเท็จจริง สำหรับสิ่งที่ CP สามารถทำได้ในตอนนี้คือการสนับสนุนให้เกิดการรักษาทรัพยากร เช่นเรื่องของการกำหนดแนวเขตการอนุรักษ์ หรือการให้ความรู้ในการฟื้นฟูป่า ส่วนข้อเสนออื่นๆ ที่มาจากชุมชน ทาง CP จะนำไปพิจารณาต่อไปว่า อะไรสามารถทำได้ อะไรไม่สามารถทำได้ ภายใต้กรอบของกฎหมาย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สปสช. ประกาศเจตจำนงสุจริตบริหารหลักประกันสุขภาพ

Posted: 26 Jan 2018 01:17 AM PST

สปสช.ประกาศ 'เจตจำนงสุจริตในการบริหารงานหลักประกันสุขภาพ' มุ่งมั่นทำงานต่อเนื่อง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดหลักธรรมาภิบาล เน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เผยเป็นปัจจัยหลักส่งผล 15 ปี กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติบรรลุเป้าหมาย

นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

เมื่อวันที่ 25 ม.ค. ทีผ่านมา รายงานข่าวแจ้งว่า นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นหน่วยงานจัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 มีพันธกิจสำคัญในการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงด้านสุขภาพให้กับประชาชนไทยกว่า 48 ล้านคน ให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพและมาตรฐาน โดยไม่ล้มละลายจากค่ารักษาพยาบาล ด้วยการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลา 15 ปี ไม่เพียงแต่ทำให้ประชาชนได้รับบริการสุขภาพอย่างครอบคลุมและทั่วถึง แต่ในด้านการบริหารจัดการยังเป็นที่ยอมรับจากในประเทศและต่างประเทศ ทั้งในแง่ประสิทธิภาพและประสิทธิผล จนปรากฎผลงานเป็นที่ประจักษ์

ทั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงถึงเจตนารมณ์ในการบริหารกองทุนที่ยังเดินหน้าต่อไป สปสช. จึงได้ออกประกาศเรื่อง "เจตจำนงสุจริตในการบริหารงานหลักประกันสุขภาพ" เพื่อเน้นย้ำว่า "สปสช.จะบริหารงานหลักประกันสุขภาพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดหลักธรรมาภิบาล มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมรับผิดชอบ และมีเจตจำนงต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ เพื่อมุ่งให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติเป็นหลัก" นับเป็นนโยบายสำคัญที่บุคลากรในองค์กรต้องยึดถือและปฏิบัติตาม

นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานของ สปสช. ที่ผ่านมา ส่งผลให้ สปสช.ได้รับรางวัลกองทุนหมุนเวียนดีเด่นจากกระทรวงการคลัง ในปี 2551-2559 และได้รับรางวัลทุนหมุนเวียนเกียรติยศในปี 2556 และ 2559, รางวัลประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่ง สปสช.ได้ที่ 1 ในส่วนของหน่วยงานในกำกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จากการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ 2559 โดยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

นอกจากนี้จากโครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ปีงบประมาณ 2560 โดย ป.ป.ช. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา จากหน่วยงานองค์การมหาชนที่เข้าร่วมรับการประเมิน 52 องค์กร สปสช.มีคะแนนอยู่ในอันดับ 7 มีคะแนนรวมสูงถึงร้อยละ 92.77 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในระดับสูงมาก

"รางวัลที่ สปสช.ได้รับมอบที่ผ่านมา ได้สะท้อนให้เห็นถึงเจตนาและความมุ่งมั่นในการบริหารงาน สปสช.ที่ดำเนินไปด้วยความสุจริตและโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสูงสุด และเพื่อย้ำเจตนาในการบริหารงานของ สปสช. จึงขอประกาศเจตจำนงสุจริตในการบริหารงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในการทำงาน โดยยึดประโยชน์เพื่อประชาชนเป็นเป้าหมายสูงสุด" เลขาธิการ สปสช. กล่าว   

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ครบ 1 ปี 'วีแมนส์มาร์ช' ยืนหยัดต้าน 'ทรัมป์'

Posted: 26 Jan 2018 12:14 AM PST

ประชาชนหลากหลายเชื้อชาติในสหรัฐอเมริกา ดาราฮอลลิวูด และกลุ่มนักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี ความเท่าเทียมและความหลายหลายเพศสภาพออกมาแสดงพลังใน Women's March ตามเมืองต่างๆ รวมทั้งที่นครลอสแอนเจลิส โดยเน้นการรณรงค์ให้คนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งกลางเทอมที่จะเกิดขึ้นในระดับท้องถิ่นและมลรัฐในปีนี้

วันเสาร์ที่ 20 มกราคม 2561 ประชาชนในลอสแอนเจลิสและใกล้เคียง ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองและสังคม ถึงกว่า 700,000 คน ซึ่งมากกว่าปีก่อนถึงสองเท่า ตามเมืองต่างๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา เช่น ชิคาโก มีผู้มาร่วมเดินถึง 300,000 และนิวยอร์ก 200,000 คน

Women's March เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่ประชาชนรวมตัวกันแสดงออกทางประชาธิปไตย หลังจากที่โดนัลด์​ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบานตนและดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการเพียงหนึ่งวัน

ครบรอบหนึ่งปีในวันนี้ ชาวอเมริกันออกมาแสดงพลังบนถนนกันอีกครั้ง ซึ่งนับว่าเป็นการประท้วงที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา

ทางเมืองลอสแอนเจลิสได้อำนวยความสะดวกในการเดินทางด้วยการเพิ่มรอบการบริการเพื่อรองรับผู้เดินทางมาชุมนุมในวันนี้ โดยเริ่มเคลื่อนขบวนจาก Pershing Square เวลา 9.00 น.

ผู้มาร่วมเดินขบวนแต่งกายในชุดสีชมพู และใส่หมวกถักไหมพรมสีชมพู หลากหลายเฉดสี มีหูแมวสองข้าง ซึ่งหมายความถึง pussycat* หรือผู้หญิง นอกจากนี้ยังมีบางคนแต่งกายเป็นรูปอวัยวะของผู้หญิงที่ออกมาสู้กลับหากใครคิดจะล่วงเกิน

ผู้คนหลายวัย มีตั้งแต่เด็กเล็กๆ ไปจนถึงผู้สูงวัย นำแผ่นป้ายที่มีข้อความที่แสดงออกถึงประเด็นความเท่าเทียมในสังคม ไปจนถึงการล้อเลียนคำพูดและพฤติกรรมของประธานาธิบดีทรัมป์

ตัวอย่างข้อความที่ผู้นำคนมาแสดงในวันนี้คือ

พลังของผู้หญิงต่อต้านความเกลียดชัง 'Make America Think Again' ป้ายอื่นๆ ที่แสดงออกถึงอารมณ์ขันและความรู้สึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศ เช่น ป้าย #TimesUp #MeToo สนับสนุนกลุ่มที่ช่วยเหลือผู้หญิงที่เป็นเหยื่อการคุกคามทางเพศ

ในส่วนของป้ายล้อเลียน Shithole เป็นคำที่เห็นในการล้อเลียนบ่อยที่สุดในวันนี้ ซึ่งเป็นคำที่โดนัลด์ ทรัมป์ใช้ในการดูถูกประเทศบางประเทศ มีคนทำป้าย หน้าโดนัลด์ ทรัมป์ และเขียนคำว่า shithole ชี้ไปที่ปาก หรือทำป้าย รูปหน้าทรัมป์ในรูปแบบต่างๆ

 

#womensmarchla #womensmarch2018

A post shared by Pink (@punkypinky) on



 

#womensmarchlosangeles #womensmarchla #shithole

A post shared by Pink (@punkypinky) on

ดาราฮอลลิวูดหลายคนมาร่วมงานในวันนี้ เช่น นาตาลี พอร์ตแมน, สการ์เลต โจแฮนสัน, ดรู แบรี่มอร์, อลิสซา มิลาโน เมื่อตอนเที่ยงวัน วิโอลา เดวิส ดาราผิวสี ที่เคยได้รับรางวัลออสการ์ และเอมมี่ส์ ขึ้นเวทีพูดกับผู้ที่มาชุมนุมในวันนี้เปิดเผยสถิติที่ผู้หญิงโดนล่วงละเมิดทางเพศว่า หนึ่งในห้าของเด็กผู้หญิง และหนึ่งในห้าของเด็กผู้ชายโดนข่มขืนก่อนอายุ 16 ปี และถ้าเป็นผู้หญิงผิวสีที่เคยโดนข่มขืนก่อนอายุ 16  ปี โอกาสที่จะโดนข่มขืนซ้ำมีมากถึง 66% และผู้หญิงที่อยู่ในธุรกิจการลักลอบค้าประเวณีเป็นผู้หญิงผิวสีที่มาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือฐานะยากจน ตกเป็นเหยื่อของธุรกิจที่มีมูลค่าพันล้านเหรียญ และเธอตั้งคำถามว่าเราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าธุรกิจได้อย่างไร

เธอกล่าวว่าวันนี้เธอมาพูดเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะเธอพูดเพื่อกลุ่มที่เคลื่อนไหวเพื่อ #MeToo แต่เธอเป็นคนที่เคยโดนกระทำ และวันนี้เธอออกมาพูดเพราะเธอเคยโดนกระทำ แต่เวลานี้ที่เธอหยิบเรื่องนี้มาพูดเธอรู้ว่ายังมีผู้หญิงอีกหลายคนที่ยังคงเงียบเฉย

นอกจากนี้ ดาราฮอลีวูดชื่อดัง นาตาลี พอร์ตแมน โพสต์ภาพที่เธอใส่หมวก มีข้อความ Make America Gay Again  

เธอเล่าประสบการณ์ของเธอที่อยู่ในวงการฮอลลิวูดมาตั้งแต่เด็กและได้ประสบกับ sexual terrorism หรือการก่อการร้ายทางเพศ เมื่อภาพยนตร์เรื่อง Leon the Professional ออกฉายขณะที่เธอ อายุ 13  มีแฟนภาพยนตร์ ส่งอีเมล บรรยายว่าจะข่มขืนเธอยังไง เหตุการณ์นั้นบอกเธอว่าสังคมคิดกับผู้หญิงอย่างไร และเธอคิดว่าการเปิดเผยหรือแต่งตัวของเธออาจจะทำให้เธอไม่ปลอดภัย ทำให้เธอเลือกที่จะปกปิดร่างกายหรือนำเสนอภาพตัวเองออกมาในแนวเด็กเรียน หรือไม่เซ็กซี่แทน  


 

Women's march Los Angeles January 20th 2018

A post shared by Natalie Portman (@natalieportman) on

สการ์เลต โจแฮนสัน เล่าว่าตอนเธอได้เห็น #MeToo เธอนึกย้อนกลับไปถึงวัยเด็กและครั้งที่ผู้ชายเคยฉวยโอกาสกับเธอ ขณะที่เธอยังไม่รู้ว่าจะปฏิเสธหรือขัดขืนอย่างไร เธอหวังว่าการเคลื่อนไหวนี้จะทำให้ลูกสาวของเธอไม่ต้องเจอกับสิ่งที่เธอเคยเจอ

ขณะเดียวกันประธานาธิบดีทรัมป์ได้ทวีตตอนเช้าวันนี้ (21 ม.ค.) ว่า "อากาศดีทั่วทั้งประเทศที่ยิ่งใหญ่ของเรา เป็นวันดีที่ผู้หญิงจะออกมาเดิน ออกมาเดินฉลองความสำเร็จทางด้านเศรษฐกิจที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึก รวมทั้งความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นในรอบปีที่ผ่านมา อัตราว่างงานของผู้หญิงต่ำสุดในรอบ 18 ปี"

แต่ผู้ประท้วงส่วนใหญ่มาเดินประท้วงผู้นำคนนี้ บางคนร้องตะโกนว่า Donald Trump is such a freak. All he does is tweet, tweet, tweet. โดนัลด์ ทรัมป์เป็นคนประหลาด ไม่ทำอะไรนอกจากทวีต ทวีต ทวีต 

ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ประเด็นผู้หญิงเป็นข่าวใหญ่ในหลายๆ วงการไม่ว่าจะเป็นการเมือง วงการข่าว หรือวงการบันเทิง ผู้หญิงหลายคนออกมาเปิดเผยเรื่องราวที่เธอโดนกระทำ และคุกคามทางเพศ เป็นเหตุให้ผู้ชายเหล่านี้ต้องแพ้เลือกตั้งหรือลาออกจากตำแหน่งหน้าที่การงานที่ทำ กรณีของ รอย มัวร์ ผู้ลงสมัครเลือกตั้ง ส.ว. พรรครีพับลิกัน รัฐอลาบาม่า แพ้เลือกตั้ง เป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปีที่ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ชนะการเลือกตั้ง ส.ว. ในรัฐนี้

เป็นการบ่งบอกว่าประชาชนรัฐนี้ไม่ต้องการผู้นำสไตล์ทรัมป์ สาเหตุหนึ่งเกิดจากการรณรงค์ให้ผู้หญิงโดยเฉพาะผู้หญิงผิวสีออกไปหย่อนบัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เพื่อยืนยันที่จะยุติการคุกคามทางเพศ และเรียกร้องความเท่าเทียมกัน

นอกจากนี้ดิฉันได้มีโอกาสพูดคุยกับเด็กผู้หญิง ที่มาร่วมแสดงออกในงานวันนี้

เด็กคนนี้กล่าวว่า เธอออกมาต่อสู้เพื่ออนาคตของเธอ และไม่อยากให้ผู้ชายได้เงินเดือนมากกว่าเธอ เวลาเธอทำงาน ควรจะได้เงินเดือนเท่ากันมากกว่า เธอว่ามันไม่ยุติธรรม จึงมาร่วมเดินด้วยในวันนี้

เธอกล่าวว่าเด็กผู้หญิงมีความสามารถเท่ากับผู้ชาย  

ส่วนสาวน้อยคนนี้กล่าวว่าเธอต้องการสนับสนุนผู้หญิงและสิทธิของผู้หญิง และเพราะแม่บอกให้มา

และนี่คือสีสันและบรรยากาศของการแสดงออกทางการเมืองในประเทศที่ประชาธิปไตยยังทำงาน แม้ว่าจะมีข้อบกพร่องและได้ผู้นำที่พวกเขาไม่ชอบ แต่พวกเขายังยืนยันว่าการออกมาเรียกร้องสิทธิ์ความเท่าเทียมของคนในสังคมไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง คนหลากหลายเพศ หรือที่มาจากหลายเชื้อชาติ จะยังคงมีต่อไป และปีนี้นิตยสารไทม์ขึ้นปกผู้หญิง รวมทั้งผู้หญิงผิวสีที่ลงสมัครรับเลือกตั้งในระดับต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา ผู้หญิงเหล่านี้เริ่มจากออกเดินประท้วง และขณะนี้พวกเขาเข้าแข่งขันในเวทีการเมือง หลายคนถือป้ายเชิญชวนให้ไปยืนยันจุดยืนของพวกเขาผ่านการเลือกตั้งกลางเทอม และการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะมีขึ้นในปีนี้

 

*(เป็นการตอบโต้คำพูดของทรัมป์ที่ก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้ง มีข่าวว่าเขาพูดเคยพูดไว้เมื่อตอนปี 2005 ว่าเขาชอบผู้หญิงสวย จูบได้เลย ไม่ต้องรอ และถ้าเป็นคนดังจะทำอะไรกับผู้หญิงก็ได้ จับอวัยวะของผู้หญิง (pussy) เลยก็ได้)

ดร.เพ็ญจันทร์ ​โพธิ์บริสุทธิ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ฟูลเลอร์ตัน สหรัฐอเมริกา

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย นัดรวมพลคนเบื่อโรคเลื่อนเลือกตั้ง ต้านสืบทอดอำนาจ คสช.

Posted: 25 Jan 2018 11:01 PM PST

กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตยชวนประชาชนที่เบื่อเลื่อนเลือกตั้งไม่รู้จบ แสดงพลัง 27 ม.ค.นี้ เวลา 17.30 น. ที่ Skywalk สี่แยกปทุมวัน ย้ำ "ถ้าเราเฉยอีก เขาก็เลื่อนได้อีก" ขณะที่ 'จ่านิว' ทวงถามสภา เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และลงมติถอดถอนรัฐบาลคสช.ทั้งคณะ ด้วย

26 ม.ค.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานวาวานนี้ (25 ม.ค.61) เวลา 21.10 น. เฟสบุ๊คแฟนเพจ 'กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย Democracy Restoration Group - DRG' เชิญชวนประชาชนที่เบื่อหน่ายกับการเลื่อนเลือกตั้งไม่รู้จบ มาร่วมแสดงพลัง ส่งเสียงของพวกเราให้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ตระหนักว่่าเราจะไม่ทนกับการใช้อำนาจแบบเอาแต่ได้ของพวกเขาอีกต่อไป ในวันเสาร์ที่ 27 ม.ค.นี้ เวลา 17.30 น. ณ Skywalk สี่แยกปทุมวัน

จากรณีที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติในวาระที่ 2 เห็นชอบ ร่าง พ.ร.ป.การเลือกตั้ง ส.ส. โดยให้เลื่อนการใช้บังคับออกไปเป็น 90 วันหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจะส่งผลให้การเลือกตั้งอาจต้องถูกเลื่อนไปเป็นในเดือน ก.พ. 62 กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ระบุว่า เราต่างก็รู้กันว่านี่คือมุกของ คสช. ในการเพิ่มเวลาหาเสียงของตัวเอง เพื่อจะได้สืบทอดอำนาจต่อ มิฉะนั้น คสช. คงปลดล็อคพรรคการเมืองและรีบจัดเลือกตั้งไปตั้งนานแล้ว หากครั้งนี้เรายอมให้มันเกิดขึ้นโดยไม่ทำอะไรเลย ในอนาคต คสช. ก็จะหาทางเลื่อนเลือกตั้งอีก เรื่อยไป
 
"ขอย้ำอีกครั้ง ถ้าเราเฉยอีก เขาก็เลื่อนได้อีก" กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ระบุ
 
ขณะที่ คมชัดลึกออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมาที่ด้านหน้าสวนสัตว์เขาดิน ฝั่งตรงข้ามอาคารรัฐสภา สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว แกนนำกลุ่มสตาร์ทอัพพีเพิลและประชาธิปไตยศึกษา พร้อมด้วยประชาชนจำนวนหนึ่ง ได้มาติดตามความคืบหน้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และถอดถอนรัฐบาลคสช.ทั้งคณะ ตามที่ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกไว้ถึงประธาน สนช.)โดย สิรวิชญ์ อ่านแถลงการณ์ตอนหนึ่งว่า ตามที่เคยยื่นหนังสือเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 60 จนถึงบัดนี้ ทางประธานสนช. รวมไปถึงสมาชิกสนช. ซึ่งทำหน้าที่แทนสภาผู้แทนราษฎรอยู่เวลานี้ ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ เลย ทางกลุ่มจึงมายื่นหนังสือทวงถามความคืบหน้าว่าจะดำเนินการเมื่อใด โดยจะยื่นข้อเสนอ 2 ข้อ คือ 1.จะให้เวลาสนช.ภายใน 7 วัน ในการกำหนดเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และลงมติถอดถอนรัฐบาลคสช.ทั้งคณะ และ 2.ภายใน 7 วัน หากสนช.ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทางกลุ่ม จะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในการกดดันเพื่อเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และลงมติถอดถอนรัฐบาลทั้งคณะ
 
ต่อมา เวลา 12.45 น. นัฑ ผาสุข เลขาธิการวุฒิสภา ในฐานะเลขานุการ สนช. ได้ออกมารับหนังสือที่หน้าอาคารกองรักษาการณ์ หน้าประตูทางเข้ารัฐสภา โดย สิรวิชญ์ กล่าวว่า ความจริง อยากให้สมาชิกสนช.เป็นผู้มารับมากกว่า การที่สนช.ไม่ลงมารับเองแสดงว่า พวกเขาไม่เห็นหัวประชาชน ดังนั้น ตนก็ไม่ง้อ จึงขอยื่นหนังสือผ่านเลขาฯเพื่อส่งต่อให้สมาชิกรับทราบเพื่อเปิดอภิปรายรัฐบาลคสช.ทั้งคณะ ส่วนเรื่องการขยายเวลาการบังคับใช้ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ออกไป 90 วัน เชื่อว่ามีใบสั่งมาจากคสช. เพราะ คสช.ได้ผลประโยชน์อยู่ในอำนาจต่อไป ขณะที่สนช.ก็ได้รับเงินเดือนต่อไปอีก อย่างไรก็ตาม ถ้าสนช.ไม่เปิดอภิปรายตามข้อเรียกร้องภายในวันที่ 1 ก.พ.นี้ ตนจะกำหนดท่าทีอีกครั้งหนึ่ง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักวิเคราะห์ชี้ โวหาร-นโยบายกีดกันคนนอกของทรัมป์ ทำนักท่องเที่ยวหด

Posted: 25 Jan 2018 09:38 PM PST

หลังสหรัฐฯ มีนักท่องเที่ยวลดลงมากในปีที่ผ่านมา ถึงขั้นหล่นจากอันดับ 2 ของการสำรวจจากยูเอ็นก็มีการตั้งข้อสงสัยว่าหรือการเหยียดเชื้อชาติรวมถึงนโยบายขับไล่กีดกันคนนอกของโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลให้ผู้คนรู้สึกอยากเข้าไปเที่ยวในสหรัฐฯ น้อยลง ส่งผลสหรัฐฯ ชวดรายได้ไป 4,600 ล้านดอลลาร์


ภาพจาก Celso FLORES (CC BY 2.0)

26 ม.ค. 2561 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของสหรัฐฯ กำลังประสบปัญหารายได้ลดลง พวกเขากล่าวโทษว่าเป็นเพราะนโยบายและการใช้โวหารการกีดกันคนต่างชาติของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาทำให้มีคนเดินทางเข้าสหรัฐฯ ลดลง

สำนักงานการท่องเที่ยวของสหรัฐฯ ระบุว่ามีชาวต่างชาติเดินทางเข้าสหรัฐฯ ในปี 2560 ลดลงร้อยละ 4 และมีการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวลดลงร้อยละ 3 ประเมินได้ว่ามีการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวลดลง 4,600 ล้านดอลลาร์ ส่งผลกระทบทำให้สูญเสียงานการท่องเที่ยวไป 40,000 ตำแหน่ง

ก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยสั่งให้ผู้คนในประเทศที่มีชาวมุสลิมจำนวนมากอาศัยอยู่ห้ามเดินทางเข้าประเทศ รวมถึงดำเนินการในเรื่องต่างๆ ในเชิงกีดกันคนข้ามชาติ เช่น การอภัยโทษให้กับอดีตนายอำเภอ โจ อาพาโย คนที่เคยถูกลงโทษเพราะการสืบประวัติอาชญากรรมแบบมีอคติทางเชื้อชาติต่อชาวละตินรวมถึงข่มเหงรังแกผู้ต้องขัง ประกาศว่าจะสร้างกำแพงกั้นสหรัฐฯ กับเม็กซิโก และพยายามยกเลิกการคุ้มครองไม่ให้มีการส่งตัวผู้อพยพที่ยังไม่มีเอกสารแต่เข้ามาในสหรัฐฯ ตั้งแต่เด็กออกนอกประเทศ

อีกทั้งเมื่อไม่นานมานี้ทรัมป์ยังถูกต่อว่าจากทั้งนักการเมืองพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันในเรื่องที่เขาพูดถึงประเทศเฮติ, เอลซัลวาดอร์ และประเทศในทวีปแอฟริกาว่าเป็น "บ่ออาจม" และเรียกร้องให้มีผู้อพยพจากประเทศในยุโรปอย่างนอร์เวย์เข้าประเทศมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม อดัม แซคส์ ประธานบริษัทนักวิเคราะห์ของอ็อกฟอร์ดทัวริซึมอิโคโนมิกกล่าวว่าเป็นไปได้ว่าโวหารและนโยบายของรัฐบาลทรัมป์สร้างความเกลียดชังต่อสหรัฐฯ และกระทบต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยว

การที่นักท่องเที่ยวสหรัฐฯ ลดลง ทำให้พวกเขาถูกลดตำแหน่งลงมาเหลือแค่ระดับที่ 3 ในสถิติประเทศที่มีคนเดินทางเยือนมากที่สุดในขณะที่สเปนได้ขึ้นอันดับที่ 2 แทน ส่วนอันดับที่ 1 ยังคงเป็นของฝรั่งเศส

โดยที่การเก็บข้อมูลของสหประชาชาติระบุว่าการท่องเที่ยวทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากการสำรวจในปี 2560 แม้ว่าจะมีเหตุก่อการร้าย ปัญหาภูมิอากาศ และกลุ่มคนที่ขับไล่นักท่องเที่ยว


เรียบเรียงจาก

Citing Rhetoric and Policies, US Tourism Industry Blames Trump as Foreigners Flock Elsewhere, Common Dreams, 24-01-2018
https://www.commondreams.org/news/2018/01/24/citing-rhetoric-and-policies-us-tourism-industry-blames-trump-foreigners-flock

Tourism down in US since Trump took office, The Hill, 24-01-2018
http://thehill.com/policy/transportation/370437-tourism-down-in-us-since-trump-took-office

#TouristGoHome? Spain Becomes World's #2 Tourist Destination, Forbes, 18-01-2018
https://www.forbes.com/sites/michaelgoldstein/2018/01/18/touristgohome-spain-becomes-worlds-2-tourist-destination/#5ac06e814f20

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คุยกับทนายคดีประชามติ ชี้ผลตัดสินจะสะท้อนความเข้าใจการเมือง-สิทธิเสรีภาพของกระบวนการยุติธรรม

Posted: 25 Jan 2018 09:11 PM PST

นับถอยหลัง 3 วันก่อนอ่านคำพิพากษา คุยกับ 'รัษฎา มนูรัษฎา' ทนายความ 'คดี 4 นักกิจกรรม 1 นักข่าว ที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันแจกจ่ายสติกเกอร์โหวตโน ขัด พ.ร.บ.ประชามติ' ทนายแจงข้อความไม่บิดเบือน ปมนายกฯ คนนอก และ ส.ว.ลากตั้งคือ "อนาคตที่เราไม่ได้เลือก" ชี้ผลตัดสินจะสะท้อนความเข้าใจการเมือง-สิทธิเสรีภาพของกระบวนการยุติธรรม

อีก 3 วันจะเป็นวันที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีที่ 4 นักกิจกรรม รวมทั้ง 1 ผู้สื่อข่าวจากประชาไท ถูกกล่าวหาว่าละเมิด พ.ร.บ.ประชามติ จากกรณีนักกิจกรรมเดินทางไปให้กำลังใจชาวบ้านและผู้สื่อข่าวไปทำข่าวที่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เมื่อ 10 ก.ค. 2559 ที่ผ่านมา

ทั้ง 5 ถูกดำเนินคดีในข้อหา ร่วมกันดำเนินการเผยแพร่ข้อความ ภาพ ในช่องทางอื่นใด ที่ผิดไปจากข้อเท็จจริง หรือมีลักษณะปลุกระดม โดยมุ่งหวังเพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ออกเสียง และขัดประกาศคณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) พ.ศ. 2549 ที่ให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องพิมพ์ลายนิ้วมือ

การดำเนินคดีล่วงเลยยาวนานเป็นเวลา 1 ปีกว่า และก่อนที่ศาลจะอ่านคำพิพากษาในวันที่ 29 ม.ค. นี้ ประชาไทคุยกับ รัษฎา มนูรัษฎา หนึ่งในทนายความคดีดังกล่าวเพื่อพูดคุยถึงประเด็นที่โต้แย้งกันในชั้นศาลในช่วงการสืบพยานที่ผ่านมา รวมถึงชวนผู้อ่านติดตามคำพิพากษาว่ากระบวนการยุติธรรมจะมอบอะไรให้กับจำเลยทั้ง 5 ซึ่งจะสะท้อนถึงฐานคิดและความเข้าใจของกระบวนการยุติธรรมต่อประเด็นสิทธิ เสรีภาพ การเมือง และกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ
 

ประชาไท: มีประเด็นอะไรบ้างในคดีประชามตินี้

รัษฎา: เขาฟ้องกล่าวหาว่า [จำเลย] ผิดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 เขาฟ้องว่าสติกเกอร์ที่เขายึดได้มันผิดกฎหมาย ทีนี้ ข้อความในสติกเกอร์มันเป็นข้อความเชิงรณรงค์นะ "โน" คือ "โหวตโน" คือออกเสียงลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ แล้วก็มีคำว่า "อนาคตที่เราไม่ได้เลือก" เขาฟ้องว่าข้อความอย่างนี้ผิดต่อร่าง พ.ร.บ. เราก็สู้ว่ามันไม่ผิด เราตั้งประเด็นสู้คดีด้วยการเอาหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 เพราะตอนนั้นรัฐธรรมนูญปัจจุบันยังไม่ประกาศใช้ ก็จะมีมาตรา 4 เรื่องของสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ดังนั้น สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญมันก็เป็นเสรีภาพใช่ไหม รัฐธรรมนูญ มาตรา 4 กำหนดว่าบุคคลมีสิทธิ เสรีภาพในการพูด การเขียน การแสดงออก จะไปจำกัดสิทธิ เสรีภาพนี้ไม่ได้

นอกจากนั้น ในมาตรา 4 ยังพูดถึงด้วยว่า พันธกรณีที่ประเทศไทยได้ทำไว้กับนานาอารยประเทศ เช่น อนุสัญญาต่างๆ ที่ทำกับสหประชาชาติในรัฐธรรมนูญชั่วคราวก็รับรองอยู่ เรื่องของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองถือเป็นพันธกรณีระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ ซึ่งในข้อบทของอนุสัญญาก็มีเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นไว้ด้วย ดังนั้น ข้อกฎหมายที่เรายกขึ้นมาสู้คือรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาตรา 4 อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง  และประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ผ่านมา มันมีวัฒนธรรมประเพณีที่ว่า ถ้าไม่มีกฎหมายใดก็ให้ยึดถือประเพณีการปกครอง ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2540 หรือ 2550 ก็ดี ล้วนรับรองสิทธิ เสรีภาพของประชาชนชาวไทยไว้ เราก็เอาหลักเหล่านี้มาเป็นข้อกฎหมายต่อสู้ แล้วข้อเท็จจริงเราก็สู้ว่า ข้อความในสติกเกอร์ไม่ได้บิดเบือนและไม่ได้เป็นเท็จ เพราะในสติกเกอร์ที่ระบุว่า 7 สิงหาคม โหวตโน ไม่รับอนาคตที่ไม่ได้เลือก และวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ก็มีการลงประชามติจริง

ส่วนอนาคตที่ไม่ได้เลือกคือ ร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 มันมีเรื่องนายกรัฐมนตรีที่มาจากคนนอก ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้มาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อนายกฯ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งก็คืออนาคตที่ประชาชนออกเสียงเลือก ส.ส. คนใดคนหนึ่งมาแล้วมีคนอื่นมาเป็นนายกฯ แล้วยังมีเรื่องวุฒิสมาชิก ในร่างรัฐธรรมนูญ 2560 มีที่มาจากการแต่งตั้ง ไม่ใช่เลือกตั้ง ซึ่งมันกลับกันกับหลักประชาธิปไตย ที่ผ่านมาสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เราได้มาจากการเลือกตั้งไม่ว่าจะในรัฐธรรมนูญ 2540 หรือ 2550 ก็ตาม ไม่รู้จะเอาใครมาเป็น ส.ว. บ้าง อาจจะมีผู้ทรงคุณวุฒิ ทรงความรู้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ก็ตรงกับข้อความในสติกเกอร์ว่าเป็นอนาคตที่เราไม่ได้เลือก

ทีนี้วุฒิสมาชิกมีหน้าที่สำคัญคือการกลั่นกรองกฎหมาย แล้วถ้าเอาคนที่แต่งตั้งมา กฎหมายที่สำคัญที่จะบังคับใช้ถ้าเป็นกฎหมายที่ไม่ได้เรื่องราว จำกัดสิทธิ เสรีภาพแต่อยากให้ผ่านมันก็ถูกบังคับใช้ มันก็เกิดความเสียหาย คณะกรรมการสรรหาวุฒิสมาชิกได้รับการแต่งตั้งจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มองออกเลยว่าเป็นการวางฐานอำนาจไว้เพื่อจะให้คนของตนเองเข้ามาอยู่ในรัฐสภา แล้วเวลาประชุมร่วมรัฐสภาก็ต้องประชุมร่วมกับ ส.ส. ก็จะมีสิทธิ์ เสียงที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมาออกเสียงโหวต มีปัญหากับระบอบประชาธิปไตยอย่างแน่นอน

แล้วกรณีที่จำเลยไม่พิมพ์ลายนื้วมือเป็นอย่างไร

เรื่องไม่พิมพ์ลายนิ้วมือ มันมีคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)  ที่บัญญัติขึ้นมาแล้วยังไม่ยกเลิก เวลาคุณเป็นผู้ต้องหาแล้วไม่พิมพ์ลายนิ้วมือหรือลายเท้าก็ถือว่าขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน มันก็เถียงยาก แต่ว่าเราประชุมคณะทำงานแล้วเห็นว่า เราใช้วิธีให้การใหม่ด้วยการสารภาพไม่พิมพ์ลายนิ้วมือ แต่เราก็นำสืบให้ศาลเห็นว่า บทลงโทษมันสูงเกินส่วน เพราะว่าข้อหาขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน แต่เดิมเป็นบทบัญญัติลหุโทษ ซึ่งโทษเดิมเป็นการปรับ แต่พอใช้อัตราโทษของ คปค. แล้วอัตราโทษมันสูงกว่า เราก็เอาพยานที่เป็นนักวิชาการที่เป็นนักกฎหมายมาเบิกความให้เห็นว่า อัตราโทษที่กำหนดไม่ได้สัดส่วนกับสิ่งที่มันควรจะเป็น

       ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 25 เรื่อง การดำเนินการเกี่ยวกับการยุติธรรมทางอาญา

       โดยที่เป็นการสมควรกำหนดหน้าที่ของผู้ต้องหาในคดีอาญา ให้พิมพ์ลายนิ้วมือตามคำสั่งของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดกฎหมาย คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงมีประกาศดังต่อไปนี้

       ผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญา มีหน้าที่ต้องพิมพ์ลายนิ้วมือ ลายมือ หรือลายเท้า ตามคำสั่งของพนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี หรือพนักงานสอบสวน ผู้ใดฝ่าฝืนมีความผิดฐานกระทำความผิดเกี่ยวกับการยุติธรรม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

       ประกาศ ณ วันที่ 29 กันยายน พ.ศ.2549

คิดว่าคดีีนี้มีความสำคัญอย่างไร

เรื่องของสิทธิ เสรีภาพเป็นหลักใหญ่ที่มนุษย์ควรจะมี การแสดงความเห็นในระบอบประชาธิปไตยจะทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้า ถ้าประชาชนพูดอะไรไม่ได้ ก็จะเป็นรัฐบาลที่ปิดหูปิดตา ไม่ฟังเสียงประชาชนว่าเขาเดือดร้อนเรื่องนี้เรื่องนั้น ประเทศจะเจริญได้อย่างไร

ถ้าประชาชนแสดงความเห็นแล้วสื่อไปนำเสนอ มันก็สะท้อนไปยังผู้บริหารประเทศเพื่อปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่บกพร่อง หรือที่เขาแสดงความเห็นโต้แย้ง ถ้าไปจำกัดสิทธิ เสรีภาพพื้นฐานของประชาชนก็กลายเป็นเผด็จการ มันก็ถอยหลังเข้าคลอง

ผลการตัดสินที่จะออกมาในวันที่ 29 ม.ค.นี้ จะสะท้อนอะไรไหม

พวกเขาออกมาเรียกร้องว่าเขาเป็นห่วงบ้านเมือง ร่างรัฐธรรมนูญที่ออกมามีปัญหา อนาคตของประเทศขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญนะ ถ้าผลตัดสินออกมาดีก็แปลว่ากระบวนการยุติธรรมและบุคลากรบางคนยังเข้าใจการเมือง และเข้าใจถึงความสำคัญและความจำเป็นของสิทธิ เสรีภาพ แต่ถ้าออกมาไม่ดี กลายเป็นว่าการที่พวกเขาออกมาคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ผิดกฎหมาย แล้วก็ลงโทษเขา จำคุกเขา มันก็สะท้อนให้เห็นว่าบุคลากรในกระทรวงยุติธรรมเข้าใจเรื่องหลักสิทธิมนุษยชน และเรื่องร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญมากน้อยเพียงใด แต่จะตัดสินอย่างไรก็ไม่รู้ เพราะผมไม่ใช่คนตัดสิน แต่มันจะสะท้อนอะไรให้เห็นก็ต้องมาดู วิเคราะห์ วิจารณ์คำพิพากษาอีกที

เมื่อถามว่า ผลคดีออกมาแค่ไหนถึงจะดี รัษฎาตอบว่า "เรามีการรับสารภาพข้อหาไม่พิมพ์ลายนิ้วมือ ดังนั้นมันมีความผิดอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องผิด แต่ว่าความผิดเล็กน้อยแล้วจะไปจำคุกพวกเขาเหรอ เราจะเอาคนไปอยู่ในบังคับของรัฐ เอาเขาไปใส่เรือนจำก็ต้องดูว่ามันเหมาะสมมากน้อยเพียงใด ถ้าคนที่พูดเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพถูกตัดสินจำคุก ไม่รอลงอาญา แบบนี้ก็น่าเป็นห่วง"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น