ประชาไท | Prachatai3.info |
- ศปถ. สรุปยอดอุบัติเหตุ 28-31 ธ.ค. ตาย 239 ศพ เกือบครึ่งมาจากเมาแล้วขับ
- สมชัย ชี้ ปี 61 เลือกตั้งแน่ - กรมส่งเสริมปกครองท้องถิ่นคาดท้องถิ่นเลือกตั้ง พ.ค.-ก.ค.นี้
- จุฬาฯ ระบุผ่านเพจ ไม่มีแผนเวนคืน-รื้อทุบโรงหนังสกาลา
- กรุงเทพโพลล์ เผย ปชช. ต้องการให้ประยุทธ์ ทำเศรษฐกิจดีขึ้น-เลือกตั้งเร็วๆ เป็นของขวัญปี 61
- ผู้นำเกาหลีเหนือระบุ โสมแดงสร้างขุมกำลังนิวเคลียร์สำเร็จแล้ว
- ยูนิเซฟคาดมีเด็กเกิดในวันขึ้นปีใหม่เกือบ 1,900 คนในประเทศไทย
ศปถ. สรุปยอดอุบัติเหตุ 28-31 ธ.ค. ตาย 239 ศพ เกือบครึ่งมาจากเมาแล้วขับ Posted: 01 Jan 2018 06:28 AM PST ศปถ. แถลง 4 วันเกิดอุบัติเหตุรวม 2,380 ครั้ง จักรยานยนตร์เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ส่วนสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุรวมสูงสุดคือเมาแล้วขับ เชียงใหม่ครองแชมป์อุบัติเหตุสูงสุด 86 ครั้ง ศรีสะเกษ อุบลราชธานีตายมากสุด 11 รายเท่ากัน รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาแจง ศปถ. ได้กำชับจังหวัดให้กวดขันเรื่องความปลอดภัยทั้งทางบกและทางน้ำ 1 ม.ค. 2561 มติชน รายงานว่า ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะประธานแถลงข่าวสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน (ศปถ.) ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. ที่ผ่านมา วีระศักดิ์กล่าวว่า จากการรวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 31 ธ.ค. 2560 ซึ่งเป็นวันที่ 4 ของการรณรงค์ "ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร" เกิดอุบัติเหตุ 678 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 65 ราย ผู้บาดเจ็บ 714 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 48.67 ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 26.40 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 80.26 รถปิคอัพ 6.39 โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ และเชียงราย 24 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ กาญจนบุรี 4 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ เชียงราย 25 คน สรุปอุบัติเหตุทางถนนตั้งแต่วันที่ 28 – 31 ธ.ค. ที่ผ่านมาเกิดอุบัติเหตุรวม 2,380 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 239 ราย ผู้บาดเจ็บรวม 2,500 คน จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต หรือตายเป็นศูนย์มี 13 จังหวัด จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ 86 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี 11 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ บุรีรัมย์ 89 คน วีระศักดิ์กล่าวต่อว่า ศปถ. ได้กำชับให้จังหวัดเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินการป้องกันและลุดอุบัติเหตุ ดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวโดยเน้นการตั้งจุดตรวจบนเส้นทางเสี่ยงในช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุบ่อย เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ไปดูแลเส้นทางสายรองและเส้นทางรอบสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ดูแลความปลอดภัยตรวจสอบท่าเทียบเรือ โป๊ะเรือ เรือโดยสารให้อยู่ในสภาพปลอดภัย ดํูแลพนักงานขับเรือมิให้มีพฤติกรรมเสี่ยง จัดให้มีอุปกรณ์นิรภัยและเส้อชูชีพเพียงพอพร้อมช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงทีสำหรับจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ รวมถึงประสานกับสถานประกอบการเช่ารถยนต์และจักรยานยนต์ให้ตรวจสอบใบขับขี่รถของผู้เช่ารถทั้งชาวไทยและต่างชาติ ทั้งยังประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวรับทราบและปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ผู้อ่านสามารถอ่านรายงานผลการปฏิบัติงานของ ศปถ. และรายงานผลการปฏิบัติงานระหว่างวันที่ 28-31 ธ.ค. 2560 ได้ที่นี่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สมชัย ชี้ ปี 61 เลือกตั้งแน่ - กรมส่งเสริมปกครองท้องถิ่นคาดท้องถิ่นเลือกตั้ง พ.ค.-ก.ค.นี้ Posted: 01 Jan 2018 05:42 AM PST กกต. สมชัย ชี้ ปี 61 เลือกตั้งแน่ มั่นใจ สนช.ไม่มีเหตุให้คว่ำกฎหมายลูกเพื่อยื้อเลือกตั้ง ขณะที่ อธิบดีกรมส่งเสริมปกครองท้องถิ่น คาดเลือกตั้งท้องถิ่น พ.ค.-ก.ค. 1 ม.ค.2561 รายงานข่าวระบุว่า สมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประเมินสถานการณ์ทางการเมืองในปี 2561 ว่า หากมีการปลดล็อกการเมืองในช่วงเดือนเมษายน สิ่งที่อัดอั้นมานาน ก็จะพรั่งพรูออกมาในช่วงนั้น ทุกพรรคจะใช้ความพยายามสร้างคะแนนนิยม สร้างความได้เปรียบให้ไปถึงการเลือกตั้งให้ได้ ดูจากปฎิกิริยาของพรรคการเมืองพร้อมทำงานหนัก ต่อสู้กับอุปสรรคเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยเฉพาะพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่พร้อมจะระดมสรรพกำลังเข้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องที่ดี ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ จากที่ถูกกดดดันให้กลายเป็นพลัง ต้องจับตาดูว่าตั้งแต่เดือนเมษายนพรรคการเมืองจะใช้วิธีการอะไร ซึ่งพรรคใหญ่ก็คงจะไม่ยอมกัน ที่เป็นห่วงคือห่วงพรรคที่จะเกิดใหม่มากกว่า เพราะต้องสร้างการยอมรับ การสร้างความคุ้นเคย เพื่อจะให้มีกำลังเพียงพอไปแข่งขันในการเลือกตั้ง ซึ่งคิดว่าไม่ง่าย แม้จะมีผู้สนับสนุนดีก็ตาม ต้องใช้เวลาพอสมควร ส่วนที่มีการมองกันว่า เดือนเมษายนจะมีการย้ายพรรคของ ส.ส. นั้น สมชัยกล่าวว่า ตนไม่มองเช่นนั้น เชื่อว่าคนที่จะย้ายพรรคจะตัดสินใจในช่วง 90 วันก่อนการเลือกตั้ง เพราะกฎหมายกำหนดไว้เป็นคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยตอนนั้นจะรู้ว่าใครได้เปรียบ เสียเปรียบ ใครจะได้เป็นรัฐบาล ดังนั้นที่มีการโชว์ก่อนหน้านั้นวัดอะไรไม่ได้เลย สมชัย ยังมองว่าเมื่อใกล้วันเลือกตั้ง ตนยังมองไม่ออกว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อใดแน่ ซึ่งการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นมี 2 ปัจจัย คือ กฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับประกาศใช้เมื่อใด คาดว่าเร็วสุด คือเดือนมีนาคม ก็จะมีการเลือกตั้งในเดือนสิงหาคม แต่หากประกาศช้าสุดคือเดือนมิถุนายน ก็จะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน เป็นไปตามโรดแมปของรัฐบาล แต่ปัญหาคือ หากกฎหมายลูกประกาศใช้เร็วพรรคการเมืองก็จะเตรียมตัวไม่ทัน และปัจจัย 2 คือ หากฎหมายลูกบังคับใช้แล้ว การที่พรรคการเมืองจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย ไปขัดแจ้งกับคำสั่ง สคช.ที่ 53/2560 ที่กำหนดหลายเรื่องที่จะต้องทำให้เสร็จใน 180 วัน ซึ่งก็คือ 1 ตุลาคม ปัญหาคือถ้าเลือกตั้งมาเร็ว พรรคต้องมีการประชุมกัน และในท้ายคำสั่ง คสช.ได้มีการกำหนดว่า หากกฎหมายเลือกตั้งมีผลใช้บังคับแล้ว ถ้าแนวการปฎิบัติของพรรคการเมืองตามคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 ไปขัดหรือเป็นปัญหาอุปสรรค ก็ให้มีการหารือร่วมกันระหว่าง คสช. กรธ. กกต. และพรรคการเมือง เพื่อกำหนดไทม์ไลน์ที่เหมาะสมสำหรับการเลือกตั้ง ฉะนั้นหากเลือกตั้งมาเร็ว ก็จะมีเสียงที่น่าจะมาจากพรรคเล็กว่าทำไม่ทัน ดังนั้นการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อใดยังไม่สามารถคาดเดาได้ แต่มีแนวโน้มเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่รัฐบาลประกาศไว้ สมชัย ยังกล่าวถึง หน้าตาของการเลือกตั้ง ว่าถ้าหาก เป็นไปตามกฎหมาย พรรคการเมืองแต่ละพรรคชูหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการหาเสียง แต่คงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ไม่แตกต่างจากที่ผ่านมา แต่หากมีคนกลุ่มหนึ่ง หรือพรรคการเมืองหนึ่งออกมาบอกว่าจะชู พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ แล้วเกิดกระแสอีกพรรคชูไม่เอาคนนอกเป็นนายกฯ ก็จะกลายเป็นความขัดแย้งรอบใหม่ในสังคม
สำหรับการปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ นั้น สุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวว่า ในเดือนพ.ค. 2561 สมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จะหมดวาระครบทุกระดับทั่วประเทศ หากต้องจัดการเลือกตั้งใหม่พร้อมกันทั้งหมดอาจทำให้เกิดความยุ่งยาก ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้เสนอว่า ควรเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) กับ กรุงเทพมหานคร ก่อน จากนั้นค่อยเลือกตั้ง เทศบาล ,องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และ เมืองพัทยา เพื่อให้เกิดความสะดวกในการบริหารจัดการ ส่วนจะเลือกตั้งเมื่อไหร่คงต้องรอให้ร่างกฎหมายดำเนินการแล้วเสร็จ รวมถึงต้องรอคำสั่งจาก คสช. ด้วย แต่หากมองตามโรคแมป การเลือกตั้งท้องถิ่นน่าจะอยู่ช่วงเดือนพฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม 2561 ต่อกรณีคำถามว่าจะทำอย่างไรให้ท้องถิ่นปราศจากข้อครหาว่าเป็นมือเป็นไม้ให้พรรคการเมืองนั้น อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวว่า คงไม่ใช่เครื่องมือของการเมือง แต่เป็นธรรมดาของการเมืองที่ต้องมีพวก กลุ่มเดียวกันต้องเชียร์กัน อาจถูกมองว่าเป็นหัวคะแนนบ้างอะไรบ้าง เหล่านี้ถ้าทำในนามส่วนตัวก็สามารถทำได้ เพราะความเป็นพวกคงออกจากการเมืองไม่ได้ ไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งก็คงไม่สามารถที่จะหาเสียงได้ต้องอาศัยคนรักใคร่ช่วยเชียร์ แต่อย่าใช้ตำแหน่งหน้าที่การงาน ไปช่วยหาเสียงแบบนั้นทำไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย ซึ่งคนที่อยู่ในตำแหน่งจะต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง ดังนั้นท้องถิ่นต้องมีวิจารณญาณ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ที่มา : สำนักข่าวไทย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
จุฬาฯ ระบุผ่านเพจ ไม่มีแผนเวนคืน-รื้อทุบโรงหนังสกาลา Posted: 01 Jan 2018 01:11 AM PST เผยผ่านเพจ ผู้เช่าต้องการคืนพื้นที่โรงหนังลิโดที่อยู่ใกล้กันและยุติสัญญาเช่าสกาลาในปี 2561 สำนักจัดการฯ ยัน ยังไม่มีแผนรื้อทุบและขอคืนพื้นที่โรงหนังกลางกรุง แต่ถ้าผู้เช่าไม่ทำต่อก็จะเจรจาขอให้คืนแค่พื้นที่โรงหนังลิโดเพื่อปรับปรุงพื้นที่ ผู้เช่าขอจัดเทศกาลภาพยนตร์ฟิล์มนานาชาติและภาพยนตร์เงียบในเดือน พ.ค. 61 ปิดท้าย โรงภาพยนตร์สกาลา (ที่มา:วิกิพีเดีย) เมื่อ 31 ธ.ค. 2560 ฝ่ายบริหารสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้แจงข้อเท็จจริงในกรณีการพัฒนาพื้นที่โรงภาพยนตร์สกาลา ที่มีกระแสในโลกออนไลน์ว่าสำนักจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ จะเวนคืนและรื้อทุบปรับปรุงพื้นที่โรงหนังสกาลาที่ปัจจุบันมีผู้เช่าคือเครือเอเพ็กซ์ โดยสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาฯ ได้ชี้แจงผ่านเพจ CU Property ใจความว่า ชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีการพัฒนาพื้นที่โรงภาพยนตร์สกาลา ตามที่มีกระแสข่าวและการแลกเปลี่ยนในพื้นที่ออนไลน์เกี่ยวกับกรณีที่สำนักจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ จะทำการขอคืนพื้นที่โรงภาพยนตร์สกาลาและมีการคาดเดาไปว่าจะรื้อทุบปรับปรุงเป็นโครงการสมัยใหม่ตามกระแสนิยมนั้น 1. สำนักงานยังไม่มีแผนการรื้อทุบใดๆ ทั้งสิ้น และยืนยันว่า เราไม่มีความประสงค์ที่จะขอคืนพื้นที่โรงภาพยนตร์สกาลาแต่อย่างใด เรายังคงอยากให้ผู้เช่าประกอบการในส่วนอาคารสกาลาทั้งหมดต่อไปจนกว่าเวลาเหมาะสม แต่หากผู้เช่ายังยืนยันในเจตนาที่จะเลิกประกอบการสกาลาพร้อมๆ ไปกับลิโด (เป็นผู้ประกอบการรายเดียวกัน) เนื่องจากแบกรับการขาดทุนไม่ไหว ซึ่งสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาฯ ได้มีการเจรจาขอให้สกาลาอยู่ต่อไป แต่ขอให้คืนเฉพาะลิโด เนื่องจากปัจจุบันสภาพพื้นที่โดยรวมของร้านค้าใต้ลิโดที่แบ่งล็อคให้เช่าเป็นร้านค้ารายย่อยมีสภาพเก่าทรุดโทรมมาก ขาดการปรับปรุงและบำรุงรักษาที่ดี ทำให้มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย จึงจะขอกลับมาพัฒนาพื้นที่เองเมื่อสัญญาสิ้นสุด 2. ทางสำนักงานฯกำลังหารูปแบบการดำเนินการที่เหมาะสมกับสกาลา ที่ผ่านมาทางนายกสมาคมสถาปนิกสยามได้แสดงความสนใจที่จะขอใช้พื้นที่สกาลาเป็นพื้นที่แสดงกิจกรรมของสมาคม และยังมีองค์กรอื่นที่สนใจ ตลอดจนอีกหลายฝ่ายที่ให้ความเห็นอยากให้อนุรักษ์อาคารสกาลาไว้เพื่อพัฒนาพื้นที่ส่วนโรงภาพยนตร์ในการจัดกิจกรรมต่างๆในเชิงสร้างสรรค์และสอดคล้องกับอาคารที่เป็นอยู่ 3. ตามข้อเท็จจริงแล้ว สัญญาเช่าของลิโดเป็นสัญญายอมความที่ผ่อนผันให้ดำเนินธุรกิจถึง 31 ธ.ค. 2559 เท่านั้น แต่สำนักงานได้ผ่อนปรนให้อยู่ต่อเนื่องมาตลอดปี 2560 ผู้เช่ามีความประสงค์ที่จะขอคืนพื้นที่ลิโด สิ้นเดือนพฤษภาคม และขอเวลาขนย้ายถึงสิ้นเดือน กรกฎาคม 2561 ซึ่งจะขอยุติการเช่าของสกาลาไปพร้อมกันด้วย ทั้งนี้ผู้เช่าจะขอฉายภาพยนตร์แบบฟิล์มที่รวบรวมจากนานาประเทศ (International Film Festival ) ในเดือนเมษายน 2561 และ ภาพยนตร์เงียบ (Silent film festival in Thailand) ในเดือน พฤษภาคม 2561 ซึ่งผู้เช่าได้รับสิทธิในการเป็นผู้ฉายภาพยนตร์ดังกล่าว อันเป็นความภาคภูมิใจที่สำนักงานรู้สึกยินดีและเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ จึงได้ขยายระยะเวลาเช่าให้สิ้นสุดลงหลังจากมหกรรมการฉายภาพยนตร์ทั้งสองช่วงเสร็จสิ้นลง พร้อมทั้งให้การช่วยเหลือผ่อนปรนค่าเช่าเพื่อช่วยประคับประคองให้ธุรกิจของผู้เช่าที่อยู่คู่กับสยามสแควร์มาตลอดครึ่งศตวรรษได้ยุติลงด้วยความเรียบร้อยเป็นลำดับต่อไป สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาฯ ขอขอบคุณทุกท่านที่ห่วงใย และสนใจข่าวนี้ เราจะพัฒนาทรัพย์สินขององค์กรเพื่อนำผลประโยชน์ที่ได้มาพัฒนาการศึกษาของประเทศต่อไป ฝ่ายบริหารสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กรุงเทพโพลล์ เผย ปชช. ต้องการให้ประยุทธ์ ทำเศรษฐกิจดีขึ้น-เลือกตั้งเร็วๆ เป็นของขวัญปี 61 Posted: 01 Jan 2018 12:41 AM PST ประชาชนร้อยละ 38.5 ระบุว่า จะมอบรอยยิ้มและกำลังใจ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แด่ ประยุทธ์ ร้อยละ 38.4 อยากให้ช่วยทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นและร้อยละ 20.6 ระบุว่า อยากให้จัดการเลือกตั้งเร็วๆ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน 1 ม.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งเผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง "สิ่งที่ตั้งใจทำและของขวัญปีใหม่ที่อยากได้จากนายกฯ ในปี 2561" โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนในกรุงเทพฯและปริมณฑล จำนวน 1,154 คน พบว่า ทั้งนี้ของขวัญปีใหม่ที่ประชาชนอยากได้จากนายกรัฐมนตรี นั้น ร้อยละ 38.4 ระบุว่าอยากให้ช่วยทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น รองลงมาร้อยละ 20.6 ระบุว่า อยากให้จัดการเลือกตั้งเร็วๆ และร้อยละ 16.6 ระบุว่า อยากให้พัฒนาประเทศให้ดีขึ้นและสงบสุข ในปีใหม่ 2561 นี้ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 38.5 อยากมอบรอยยิ้มและกำลังใจ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รองลงมาร้อยละ 24.8 ระบุว่าจะเป็นคนดีของสังคมและตั้งใจทำงาน และร้อยละ 18.8 ระบุว่า อยากมอบยาบำรุงและเครื่องดื่มเพื่อบำรุงสุขภาพ สำหรับสิ่งที่ประชาชนตั้งมั่นและตั้งใจจะทำในปีใหม่นี้มากที่สุดร้อยละ 23.5 คือ จะดูแลครอบครัวให้ดี จะตั้งใจเรียนตั้งใจทำงานรองลงมาร้อยละ 20.5 คือจะทำดีเพื่อพ่อหลวง จะทำดีกว่าเดิมเพื่อสังคม และร้อยละ 11.9 คือ จะทำธุรกิจให้ก้าวหน้าสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ได้ รายละเอียดในการสำรวจ : วัตถุประสงค์ในการสำรวจ เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชน เกี่ยวกับlสิ่งตั้งใจจะทำในปีใหม่นี้ ของขวัญที่อยากมอบให้นายกรัฐมนตรีและของขวัญที่อยากได้จากนายกรัฐมนตรี เนื่องในวันปีใหม่ เพื่อสะท้อนมุมมองความคิดเห็นของประชาชนให้สังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ ระเบียบวิธีการสำรวจ การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ทุกสาขาอาชีพที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) จากนั้นจึงสุ่มถนนและประชากรเป้าหมายที่จะสัมภาษณ์อย่างเป็นระบบ ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 1,154 คน เป็นเพศชายร้อยละ 49.7 และเพศหญิงร้อยละ 50.3 ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error) ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีความคลาดเคลื่อน ±3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% วิธีการรวบรวมข้อมูล ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) และคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุคำตอบเองโดยอิสระ (Open Ended) จากนั้นจึงนำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 9-12 ธันวาคม 2560 วันที่เผยแพร่ผลการสำรวจ : 1 มกราคม 2561
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ผู้นำเกาหลีเหนือระบุ โสมแดงสร้างขุมกำลังนิวเคลียร์สำเร็จแล้ว Posted: 31 Dec 2017 11:58 PM PST 'คิมจองอึน ' ระบุ การเตรียมกำลังนิวเคลียร์ของปี 2560 เสร็จแล้ว แต่ยังต้องผลิตหัวรบเพิ่ม ขู่สหรัฐฯ ปุ่มกดนิวเคลียร์อยู่บนโต๊ะทำงาน พร้อมใช้อาวุธตอบโต้เมื่อความมั่นคงถูกคุกคาม เกาหลีเหนือมีแผนส่งนักกีฬาเข้าร่วมมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2561 ณ เกาหลีใต้ โดยผู้นำทั้งเกาหลีเหนือ-ใต้ หวังมหกรรมกีฬาจะช่วยสานสัมพันธ์ คิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ (ที่มาภาพ: วิกิพีเดีย) 1 ม.ค. 2561 สำนักข่าวเดอะการ์เดียน ประเทศสหราชอาณาจักรรายงานว่า คิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือได้ออกมาเตือนสหรัฐฯ ว่าการสร้างกำลังรบทางอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือนั้นเสร็จสิ้นแล้ว และสามารถกดปุ่มยิงระเบิดนิวเคลียร์ได้ตลอดเวลา ปี 2560 ที่ผ่านมาเป็นปีที่เกาหลีเหนือทดสอบยิงขีปนาวุธอย่างต่อเนื่อง ในจำนวนการทดสอบหลายครั้ง มีการทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีปสามครั้ง รวมถึงการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งที่หก คิมจองอึน ได้ใช้โอกาสวันขึ้นปีใหม่ออกมาประกาศว่าแสนยานุภาพทางอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเป็นเรื่องจริงผ่านการถ่ายทอดสดโดยสถานีโทรทัศน์ของประเทศเกาหลีเหนือ โดยผู้นำเกาหลีเหนือกล่าวว่า เป้าหมายการสร้างขุมกำลังทางด้านนิวเคลียร์ของปี 2560 เสร็จสิ้นแล้ว แต่ยังคงต้องผลิตผลิตหัวรบนิวเคลียร์และขีปนาวุธให้มากขึ้น และเร่งกระบวนการติดตั้งอาวุธดังกล่าวอีก คิมจองอึนยังระบุว่า สหรัฐฯ ควรรู้ว่าปุ่มกดนิวเคลียร์นั้นอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา และพื้นที่แผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ ทั้งหมดอยู่ใต้พิสัยการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์จากเกาหลีเหนือ "สหรัฐฯ ไม่สามารถก่อสงครามกับผมและประเทศของเรา อาวุธเหล่านี้จะถูกนำมาใช้เมื่อความมั่นคงของพวกเราถูกคุกคามเท่านั้น" ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือระบุเพิ่มเติม แต่ในทางกลับกันกับท่าทีต่อสหรัฐฯ ผู้นำเกาหลีเหนือมีท่าทีที่ค่อนข้างประนีประนอมกับเกาหลีใต้ โดยมีแผนที่จะส่งนักกีฬาทีมชาติเกาหลีเหนือเข้าร่วมในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่เมืองพย็องชัง ประเทศเกาหลีใต้ในเดือน ก.พ. ปีนี้ โดยระบุว่าโอลิมปิกที่จัดขึ้นในเกาหลีใต้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะแสดงสถานะแห่งความเป็นชาติเกาหลี ทั้งยังหวังว่ามหกรรมกีฬาจะสำเร็จลุล่วงด้วยดี ทั้งนี้ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ มุนแจอิน ได้สนับสนุนให้เกาหลีเหนือส่งนักกีฬามา โดยหวังว่าการเข้าร่วมมหกรรมกีฬาจะช่วยลดความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีได้ โดยกีฬาโอลิมปิกจะมีขึ้นในวันที่ 9-25 ก.พ. 2561 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตอบคำถามเรื่องปุ่มกดอาวุธนิวเคลียร์ของผู้นำโสมแดงในงานปาร์ตี้ปีใหม่ว่า "เราจะมาดูกัน" ธงชาติเกาหลีเหนือ (ที่มา: North Korean Flag)
ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ที่ระอุอยู่แล้วกลับทวีอุณหภูมิขึ้นอีกครั้งตั้งแต่ครึ่งแรกของปี 2560 เมื่อเกาหลีเหนือยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่อง โดยไม่สนใจบรรดามาตรการหนักเบาจากประชาคมนานาชาติ เกาหลีเหนือใช้การทดสอบขีปนาวุธเป็นเครื่องมือตอบโต้ท่าทีของเกาหลีใต้และสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมรบร่วมกันระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ รวมถึงแผนการนำโดรนจู่โจม 'เกรย์ อีเกิลส์' และระบบต่อต้านขีปนาวุธในบริเวณพิกัดตำแหน่งสูง THAAD (Terminal High Altitude Area Defense System) ของสหรัฐฯ มาประจำในเกาหลีใต้ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ไปจนถึงการทดสอบขีปนาวุธหลังจากที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนใหม่ มุนแจอิน เข้ารับตำแหน่ง รายงานของสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) ระบุว่า ปัจจุบันมี 9 ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง ได้แก่ สหรัฐฯ รัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส จีน อินเดีย ปากีสถาน อิสราเอล และเกาหลีเหนือ โดยคาดว่าเกาหลีเหนือครอบครองหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 10-20 หัว ผู้นำโสมขาว สหรัฐฯ คูเวต เดินหน้าคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ ผู้เชี่ยวชาญชี้มาตรการที่มียังไม่พอ วิวาทะเผ็ดร้อนระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือยังเป็นที่จับตามองของชาวโลก เมื่อทรัมป์ระบุว่ายังคงไม่ทิ้งมาตรการการใช้สงครามกับเกาหลีเหนือ ความตึงเครียดทางการทูตนำไปสู่ข่าวคราวว่าเกาหลีเหนือจะโจมตีเกาะกวม อันเป็นฐานที่มั่นทางทหารของสหรัฐฯ ในเอเชียแปซิฟิกเมื่อเดือนสิงหาคม จากนั้นก็มีการทดสอบยิงขีปนาวุธข้ามประเทศญี่ปุ่นถึง 2 ครั้งในปลายเดือนสิงหาคมและต้นเดือนกันยายน ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ระยะทางที่จรวดเดินทางเป็นการบอกใบ้ว่าเกาหลีเหนือสามารถยิงขีปนาวุธโจมตีเกาะกวมได้ ปัจจุบันสหประชาชาติและนานาชาติใช้มาตรการทางเศรษฐกิจคว่ำบาตรสินค้าและแรงงานจากเกาหลีเหนือ รวมไปถึงมาตรการทางการทูต เช่น ส่งผู้แทนทางการทูตของเกาหลีเหนือกลับประเทศ ไม่ต่อวีซาให้ชาวเกาหลีเหนือ เป็นต้น การตอบโต้ของเกาหลีเหนือและท่าทีของประเทศมหาอำนาจระดับโลกและภูมิภาคเช่นสหรัฐฯ จีนและญี่ปุ่น รวมถึงเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีใต้จะยังคงเป็นจุดสนใจ เพราะหากความขัดแย้งทวีความรุนแรงในยุคที่มีอาวุธทำลายล้างสูงขยายตัว ก็อาจส่งผลกระทบต่อการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในคาบสมุทรเกาหลีที่จะขยายวงออกสู่ภูมิภาคใกล้เคียง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นหนึ่งในนั้น แปลและเรียบเรียงจาก Kim Jong-un: North Korea's nuclear arsenal is now complete, The Guardian, Jan. 1, 2018 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ยูนิเซฟคาดมีเด็กเกิดในวันขึ้นปีใหม่เกือบ 1,900 คนในประเทศไทย Posted: 31 Dec 2017 08:26 PM PST คิดเป็นร้อยละ 0.49 ของเด็กที่เกิดในวันขึ้นปีใหม่ทั่วโลก ซึ่งมีจำนวนราว 385,793 คน ทารกทั้งหมดราว 2.6 ล้านคนเสียชีวิตภายในหนึ่งเดือนหลังคลอด โดยร้อยละ 80 เสียชีวิตจากสาเหตุที่ป้องกันได้ เช่น การคลอดก่อนกำหนด ภาวะแทรกซ้อนระหว่างคลอด และการติดเชื้อ ที่มาภาพ: ยูนิเซฟ/เมธี เถื่อนทัพ 1 ม.ค. 2561 องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) ระบุในวันนี้ว่า ในวันขึ้นปีใหม่นี้ จะมีเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยราว 1,886 คน โดยคิดเป็นร้อยละ 0.49 ของเด็กที่เกิดในวันขึ้นปีใหม่ทั่วโลก ซึ่งมีจำนวนราว 385,793 คน โดยครึ่งหนึ่งของเด็กที่เกิดในวันปีใหม่ทั้งหมดทั่วโลกเกิดใน 9 ประเทศ ได้แก่
แม้ทารกจำนวนมากทั่วโลกรอดชีวิตหลังคลอด แต่ก็มีทารกจำนวนไม่น้อยที่ต้องเสียชีวิตหลังคลอด ในปี 2559 มีทารกราว 2,600 คนเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด ในขณะที่ทารกอีก 2 ล้านคนเสียชีวิตภายในหนึ่งอาทิตย์หลังคลอด ส่งผลให้มีทารกทั้งหมดราว 2.6 ล้านคนเสียชีวิตภายในหนึ่งเดือนหลังคลอด โดยร้อยละ 80 เสียชีวิตจากสาเหตุที่ป้องกันได้ เช่น การคลอดก่อนกำหนด ภาวะแทรกซ้อนระหว่างคลอด และการติดเชื้อ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อัตราการเสียชีวิตของเด็กทั่วโลกลดลงถึงครึ่งหนึ่ง โดยในพ.ศ. 2559 อัตราของเด็กที่เสียชีวิตก่อนอายุครบ 5 ปีทั่วโลกอยู่ที่ 5.6 ล้านคน อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตของทารกแรกคลอดยังเป็นเรื่องน่ากังวล โดยทารกที่เสียชีวิตภายในหนึ่งเดือนคิดเป็นร้อยละ 46 ของจำนวนเด็กที่เสียชีวิตก่อนอายุ 5 ปี ในเดือนหน้า ยูนิเซฟจะออกโครงการที่ชื่อว่า Every Child Alive ทั่วโลก เพื่อเรียกร้องให้มีการบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและไม่แพงสำหรับแม่และทารกแรกคลอดทั่วโลก อันรวมถึงการมีน้ำดื่มสะอาด ไฟฟ้า และการมีเจ้าหน้าที่ผู้เชื่ยวชาญในการทำคลอด อุปกรณ์ตัดสายสะดือที่ปลอดเชื้อ และการส่งเสริมการกินนมแม่ในช่วงหนึ่งชั่วโมงแรกของชีวิต อลิสแตร์ เกรทาร์สัน หัวหน้าแผนกสื่อสารองค์กร องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า "เรากำลังเข้าสู่ยุคที่เด็กเกิดใหม่ทั่วโลกควรต้องมีโอกาสเห็นโลกในศตวรรษที่ 22 แต่น่าเสียดายที่เด็กครึ่งหนึ่งที่เกิดในปีนี้อาจไม่มีโอกาสนั้น ขณะที่เด็กที่เกิดใหม่ในสวีเดนในเดือนมกราคมนี้มีแนวโน้มที่จะมีอายุขัยเฉลี่ยที่ปี ค.ศ. 2100 แต่เด็กที่เกิดในโซมาเลียกลับมีแนวโน้มมีอายุขัยเฉลี่ยเพียงไม่เกินปี ค.ศ. 2075" ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น