โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

จากคนเสื้อแดงถึง วาสนา นาน่วม: 'ถ้าอยากรายงานข่าวของเราทำไมไม่มาสัมภาษณ์เรา'

Posted: 21 Jan 2018 08:58 AM PST

ปฏิกิริยาของคนเสื้อแดงอีสานหลังจากได้เห็นภาพของตัวเองประกอบกับข้อความบรรยายภาพที่ถูกเขียนโดยทหารถูกเผยแพร่บนเฟสบุ๊คของผู้สื่อข่าวอาวุโสจากบางกอกโพสต์

19 มกราคม 2561 วิไล หน่อแก้ว อดีตข้าราชการครูวัย 62 ปี คนเสื้อแดงจาก อ.นิคมคำสร้อย มุกดาหาร ได้ขอให้ช่วยเผยแพร่ถึงสิ่งที่ตัวเธอเองและสามีต้องประสบอยู่ให้สาธารณะได้รับรู้อย่างที่มันเป็น สิ่งที่เธอส่งมาด้วยก็คือ ภาพของเธอที่ไปปรากฎในสเตตัสบนเฟสบุ๊คของ วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโส นสพ.บางกอกโพสต์

วิไลกล่าวว่า ข้อความที่ปรากฎบนเฟสบุ๊คของวาสนา ผิดจากความจริง ได้สร้างปัญหาและความเสื่อมเสียให้กับเธอและครอบครัว ประชาไทจึงได้พูดคุยและเก็บความบางส่วนที่เกี่ยวข้องมาเผยแพร่สู่สาธารณะ

ความเป็นมา 

เหตุการณ์ในภาพ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2561 ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารในเครื่องแบบ 5 คน ได้เดินทางมาพบกับวิไลและเดชณรงค์ หน่อแก้ว สองสามีภรรยาที่บ้านพัก

"มาเป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง ตั้งแต่มีการรัฐประหาร 2557 ทหารจะมาที่บ้านทุกสัปดาห์ เพราะเขาหมายหัวว่าเป็นแกนนำคนเสื้อแดง ครั้งนี้มีนายทหารมา 5 คน เข้ามาสอบถามเราในบริเวณบ้าน 2 คน พูดคุยสอบถาม 1 คน เดินถ่ายรูป 1 คน  ส่วนอีก 3 คน ก็จะยืนคุมเชิงอยู่นอกรั้วบ้าน แต่สิ่งที่คุณวาสนาเอาไปรายงานข่าวมันไม่ถูกต้อง"

วิไลเล่าว่าตอนรัฐประหาร 2557 ทหารติดอาวุธได้ลงมาตรึงกำลังที่บ้านของเธอตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลาเกือบเดือน หลังจากนั้น เธอและสามีก็ยังต้องเข้าไปรายงานตัวที่ค่ายทหารเป็นระยะ  

"ช่วงนั้นไม่มีโอกาสได้พบใครเลย ใครจะมาหาที่บ้าน ทหารก็จะไม่ให้เข้า จะออกไปซื้อกับข้าวก็ต้องขออนุญาตกับทหาร เกือบสองสัปดาห์ ทหารถึงได้ถอนกำลังไป แต่ก็จะมีทหารมาพบและมาสอบถามเรื่องราวความเคลื่อนไหวของเราตลอดมากว่าสามปี "


ที่บอกว่าการนำเสนอข่าวของวาสนาสร้างปัญหา มันเป็นการสร้างปัญหาอย่างไร?

"คุณวาสนาไปเขียนว่าทหารมาเยี่ยมเยียนเรา ซึ่งเป็นการเสนอข่าวที่ผิดความจริง เพราะที่จริงแล้วทหารมาเพื่อสอบถามความเคลื่อนไหวของพวกเรา ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่ไหน ทหารก็จะมาถามเอากับเราว่ารู้เรื่องหรือไม่ ล่าสุด มีการพบปฏิทินทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ที่ศรีสะเกษ ทหารก็จะมาสอบถามเอากับเรา "

"มันไม่ได้เป็นการเยี่ยมเยียนแต่มันเป็นการควบคุมพวกเรา"


จากข้อความ "ทหาร ไป พบปะ 2สามี ภริยา "ผู้เห็นต่างทางการเมือง" นั้น เราซึ่งเป็นสามี -ภรรยา ในภาพ ไม่ได้เป็นผู้เห็นต่างทางการเมือง เราคือประชาชนธรรมดาที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น โปรดอย่าใช้ความเป็นสื่อ มายัดเยียดให้คนที่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยเป็นผู้เห็นต่าง


คำว่าผู้เห็นต่างมีปัญหาอย่างไร?

มันเป็นคำพูดที่รุนแรง เป็นคำพูดที่บั่นทอนจิตใจของเรา ที่นี่เป็นพื้นที่ๆ เคยมีการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์  คำว่าผู้เห็นต่างเป็นคำพูดที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้เรียกคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐ

"ที่ผ่านมาก็มีทหารมาพบมาสอบถามที่บ้านทุกอาทิตย์ ชีวิตมันไม่ปกติ  สภาพจิตใจมันก็แย่อยู่แล้ว การที่คุณวาสนาเอาภาพของเราไปเผยแพร่กับข้อความของทหาร มันก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มันทำให้คนเข้าใจผิด มันเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของเรา มันยิ่งเป็นการทำให้เรารู้สึกแย่ลงไปอีก"

"ถ้าอยากรายงานข่าวของเราทำไมไม่มาสัมภาษณ์เรา"


"เราอยากบอกคุณวาสนาว่า เราไม่ใช่ผู้เห็นต่าง (ทางการเมือง) เราก็เป็นแค่ผู้เลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตย เราเป็นแค่คนเสื้อแดงเท่านั้น ถ้าคุณบอกว่าเราเป็นผู้เห็นต่าง เราอยากถามคุณวาสนาว่า ไอ้คำว่าเห็นต่างทางการเมืองของคุณ มันคืออะไร การเมืองในมุมมองของคุณวาสนาคืออะไร ถึงได้มาบอกว่าเราเป็นผู้เห็นต่าง"



 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภาคประชาชนเล็งทำหนังสือถึง 'ประวิตร' ขอให้ถอน กอ.รมน. จากชุมชนป้อมมหากาฬ

Posted: 21 Jan 2018 07:22 AM PST

นายกสมาคมสถาปนิกสยามระบุ กทม. ไม่ฟังข้อตกลงคุยกันไว้เมื่อปีที่แล้ว ลดจำนวนบ้านอนุรักษ์เหลือ 7 หลัง อดีต กสม. เผย ทหารมาอยู่ในชุมชน 2 เดือนแล้ว ตอนแรกอ้างมาปราบการขายพลุไฟ อาจารย์ฮาร์วาร์ดระบุ กทม. ไม่ฟังเสียงผู้สังเกตการณ์ต่างชาติ ประธานชุมชนป้อมฯ เผย ทุกวันนี้ถูกกดดันและอยู่ด้วยความระแวงตลอด

บรรยากาศที่ประชุม

21 ม.ค. 2561 ที่ห้องประชุมชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มีการหารือร่วมกับภาคประชาสังคม ผู้สังเกตการณ์ทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงอดีตตัวแทนของชุมชนป้อมมหากาฬถึงทิศทางการดำเนินการต่อสืบเนื่องจากเหตุที่กรุงเทพมหานครเตรียมเข้ารื้อบ้านหมายเลข 111 ในชุมชนป้อมมหากาฬเมื่อวันที่ 15 ม.ค. ที่ผ่านมา 

เตือนใจ ดีเทศน์ ชี้ทางออกปัญหาข้อพิพาทกรณีการไล่รื้อชุมชนป้อมมหากาฬ

อัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยามฯ หนึ่งในผู้เข้าร่วมประชุมกล่าวว่า ประเด็นชุมชนป้อมมหากาฬเคยมีการประชุมคณะกรรมการ 4 ฝ่ายระหว่างกรุงเทพมหานคร ผู้แทนชุมชนป้อมมหากาฬ ผู้แทนภาคประชาสังคม และฝ่ายความมั่นคงเมื่อปีที่แล้วเป็นเวลาร่วมร้อยวัน ซึ่งข้อตกลงในตอนนั้นได้ตกลงกันว่าจะให้เก็บบ้านในชุมชนเอาไว้จำนวน 18 หลัง ซึ่งทางสมาคมฯ ก็รอ แต่หลังจากนั้นก็มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเมืองขึ้นมาซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ และได้ตัดสินให้คงบ้านไว้เพียง 7 หลัง โดยไม่ให้เหตุผลใดๆ ซึ่งไม่รู้ว่าบ้านที่จะคงไว้จะปล่อยให้ผุพังไปเหมือนบ้านอนุรักษ์ที่อยู่ในพื้นที่อื่นหรือเปล่า

อัชชพลระบุเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาสมาคมฯ ก็มีส่วนผิดที่ปล่อยให้ราชการดำเนินการไปอย่างไม่มีความรู้ เลยคิดว่าจะมีการจัดติวผู้ว่าราชการจังหวัดตามรายจังหวัดและส่วนท้องถิ่นในเรื่องการพัฒนาเมือง

สุนี ไชยรส อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หนึ่งในผู้เข้าร่วมประชุมกล่าวว่า ตนได้เดินทางเข้าไปสังเกตุการณ์พร้อมเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พบว่าชุมชนป้อมมหากาฬกำลังอยู่ใต้สถานการณ์กดดันหนักมาก กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เข้ามาอาศัยกลางลานด้วยเหตุผลว่าเข้ามาเพื่อจัดการการค้าขายพลุไฟ เมื่อ 15 ม.ค. ที่มีความพยายามรื้อบ้าน สื่อที่เข้ามาทำข่าวก็ถูกทาง กอ.รมน. และ กทม. ห้ามเอาไว้ ทำข่าวได้ไม่มาก สัมภาษณ์ชาวบ้านไม่ได้มาก ถ้าไม่ทำอะไรกับแรงกดดันเช่นนี้ พี่น้องก็จะแพ้ไปเรื่อยๆ

ไมเคิล เฮิร์ซเฟลด์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หนึ่งในผู้สังเกตการณ์และผู้เข้าร่วมประชุมวันนี้ ระบุว่า กทม. ไม่สนใจความเห็นของผู้สังเกตการณ์ต่างชาติ คุยกับรองผู้ว่าฯ เรื่องป้อมมหากาฬ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ ถ้าคนไทยไม่สามารถแก้ปัญหาเองได้ก็ไม่มีความหมาย ปัญหาหลักคือการสร้างกระแสความตระหนักในประเทศไทย

ธวัชชัย วรมหาคุณ อดีตประธานชุมชนป้อมมหากาฬและหนึ่งในผู้เข้าร่วมประชุม ระบุว่า ช่วงเวลา 3-4 เดือนที่ผ่านมาตนอยู่กับความหวาดระแวงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัว ในชุมชนป้อมฯ มีความเคลื่อนไหวมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเอาทหารมาประจำการในพื้นที่เพื่อปราบปรามการขายดอกไม้ไฟ เมื่อวันที่ 15 ม.ค. ที่ผ่านมามีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คำสั่ง คสช.) ที่ 13/2559 ที่ใช้เพื่อปราบปรามผู้มีอิทธิพล เรียกตนเข้าไปพบกับ กอ.รมน. ประจำกรุงเทพฯ และเมื่อสองวันที่แล้วมีนายทหารไปคุยกับหญิงชราที่มีอาชีพขายของชำป้อมมหากาฬว่า ถ้าคุณไม่ย้ายออกจากที่นี่ คุณคือศัตรูของกองทัพ 

ผู้สื่อข่าวประชาไทรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ม.ค. ซึ่งเป็นวันเดียวกันที่ กทม. พยายามเข้ารื้อบ้านหมายเลข 111 ในชุมชนป้อมฯ ธวัชชัยได้เดินทางไปยังศาลาคนเมืองเพื่อเข้าพบกับทาง กอ.รมน. หลังถูกเรียกตัวด้วยคำสั่งที่ 13/2559 กรณีมีบุคคลที่เพิ่งย้ายออกจากป้อมมหากาฬฟ้องร้องว่าธวัชชัยหลอกให้นำเงินจำนวน 80,000 บาท ไปซ่อมแซมบ้าน จากนั้นธวัชชัยก็ใช้อิทธิพลกดดันให้ตนออกจากบ้านที่ซ่อมแซม ซึ่งหลังจากคู่กรณีพูดคุยกันและชี้แจงเรื่องค่าใช้จ่ายที่ กอ.รมน. ก็พบว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด เนื่องจากธวัชชัยไม่สามารถบังคับใครได้ เพราะไม่ใช่เจ้าของที่ดิน รวมถึงพฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหาว่าใช้อิทธิพลกดดันนั้นมาจากการมองหน้าเท่านั้น

อินทิรา วิทยาสมบูรณ์ นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม เห็นว่า วันนี้ป้อมมหากาฬมีความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอก ตามผังตอนนี้พบว่าสูญเสียไปมากไม่ว่าจะเป็นบ้านและต้นไม้ใหญ่ ทหารกับ กทม. ทำงานอย่างเข้มข้น มีลงมาแซะชาวบ้านตลอด ทำให้ชาวบ้านหลุดออกไป มีการใช้เรื่องราชพิธีมาเข้ายึดพื้นที่เพื่อเป็นห้องสุขาและลานจอดรถ ทำให้ชาวบ้านไม่กล้าพูดอะไร แต่พอหลังราชพิธีจบ กทม. กับ กอ.รมน. ก็เข้ามาตั้งแต่เดือน พ.ย. ทหารเข้ามาตั้งเตนท์ในชุมชนซึ่งถือเป็นภาวะไม่ปรกติ  

อินทิรากล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเข้าใจว่าความขัดแย้งในชุมชนเกิดขึ้นได้ ทะเลาะกันได้อยูแล้ว แต่ทหารกับ กทม. ใช้ความขัดแย้งเป็นเครื่องมือ ทำให้ตอนนี้ในชุมชนจัดการความขัดแย้งไม่ได้ และมีภาวะที่ไม่มั่นคงตลอดเวลา คนที่หลุดออกไปก็ไม่ต่างกับคนข้างในเพราะไม่รู้ว่าอนาคตหลังออกจากบ้านอิ่มใจ (สถานพักพิงของคนไร้บ้าน ตอนนี้ใช้เป็นที่พักพิงชั่วคราวของชาวบ้านที่ออกจากชุมชนป้อมมหากาฬด้วย ) ที่อยู่ได้ชั่วคราว 3-6 เดือน

อัชชพลกล่าวว่า จากนี้ไปจะทำจดหมายเปิดผนึกให้กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่าเพื่อชี้แจงว่า กทม. ไม่ได้เคารพข้อตกลง 4 ฝ่ายที่ตกลงกันไว้ และเสนอแนะให้ กอ.รมน. ในชุมชนออกมาจากพื้นที่โดยด่วน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมายเหตุประเพทไทย 193 ลายเซ็นหนังหม่อมน้อยในศรีอโยธยา

Posted: 21 Jan 2018 05:39 AM PST

หมายเหตุประเพทไทยเทปอำลา เจนวิทย์ เชื้อสาวะถี สัปดาห์นี้ ชวนคุยกับชานันท์ ยอดหงษ์ หลังการออกอากาศของซีรีส์ฟอร์มยักษ์ "ศรีอโยธยา" พร้อมค้นหาลายเซ็นสำคัญในผลงานของ "หม่อมน้อย" ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล

ทั้งนี้แม้ก่อนฉาย "ศรีอโยธยา" จะมีการขึ้นคำชี้แจงว่ามิได้สร้างเพื่อให้เป็นสารคดีเชิงประวัติศาสตร์ จึงมีการดัดแปลง รวมทั้งมีเนื้อหาไม่ตรงกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เช่นให้บทบาทของพระพันวษาน้อย ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีอายุมาจนถึงสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ หรือบทสนทนาที่มุ่งสลายความขัดแย้งของตัวละครหลักเพื่อสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ฯลฯ การดัดแปลงเช่นนี้ในระยะยาวจะมีผลต่อการสร้างภาพจำในการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์หรือไม่

เมื่อทบทวนประเด็นที่ผู้กำกับเคยให้สัมภาษณ์ว่าตั้งใจให้ "กรุงศรีฯ คือพระเอก" เอาเข้าจริงใครคือพระเอกในซีรีส์หรือหว่าง "กรุงศรีอยุธยา" กับ "ฮัท เดอะสตาร์" รวมทั้งการเพิ่มฉากประเภท "วิจิตรกามา" ลงไปในตอนต่างๆ ของซีรีส์ เป็นการยัดเยียดให้ผู้ชมเกินจำเป็นหรือไม่ พร้อมชวนจับตาเทรนด์ในอนาคตที่กลุ่มทุนใหญ่ต่างๆ จะมุ่งความสนใจเข้ามาร่วมผลิตผลงานเชิงวัฒนธรรมมากขึ้น

ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่
เฟสบุ๊ค
https://www.facebook.com/maihetpraphetthai
หรือลงทะเบียนรับชมที่ https://youtube.com/prachatai

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วงการการ์ตูนเศร้า 'ต้อม ขายหัวเราะ' เสียชีวิต

Posted: 21 Jan 2018 04:29 AM PST

วงการการ์ตูนไทยสูญเสีย 'ต้อม ขายหัวเราะ' เสียชีวิตอย่างสงบด้วยวัย 59 ปี กำหนดสวดพระอภิธรรมวัดอนงคารามวรวิหาร 21 - 25 ม.ค. ฌาปนกิจ 27 ม.ค. 2561 นี้

 
 
 
21 ม.ค. 2561 เพจขายหัวเราะ ได้แจ่งข่าวว่านายสุพล เมนาคม นักเขียนการ์ตูนชื่อดัง เจ้าของนามปากกา 'ต้อม ขายหัวเราะ' ได้เสียชีวิตอย่างสงบ โดยมีเนื้อหาดังนี้ "แจ้งข่าวถึงแฟนการ์ตูนทุกท่าน เช้าวันนี้ (21 ม.ค. 2561) 'พี่ต้อม' ได้จากพวกเราไปอย่างสงบด้วยโรคประจำตัว ทีมงานทุกคนขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวพี่ต้อมด้วยครับ ส่วนรายละเอียดของพิธีการต่าง ๆ ทางเราจะแจ้งให้ทราบในลำดับถัดไปครับ" ต่อมาทางเพจขายหัวเราะแจ้งว่า "กำหนดการสวดพระอภิธรรม 'พี่ต้อม ขายหัวเราะ' ศาลา 8 วัดวัดอนงคารามวรวิหาร คลองสาน สวดเวลา 19.00 น. วันที่ 21 - 25 ม.ค. 2561 ฌาปนกิจ วันเสาร์ที่ 27 ม.ค. 2561 ครับ"
 
นอกจากนี้ ThaiPBS รายงานเพิ่มเติมว่าได้มีแฟนการ์ตูนของ 'ต้อม ขายหัวเราะ' ร่วมแสดงความเสียใจต่อการจากไปของนักเขียนการ์ตูนชื่อดังเป็นจำนวนมาก อนึ่ง 'สุพล เมนาคม' เจ้าของนามปากกา "ต้อม" (หรือที่เรียกทั่วไปว่า ต้อม ขายหัวเราะ) เกิดเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2502 ที่กรุงเทพมหานคร จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม กรุงเทพมหานคร และเป็นนักเขียนการ์ตูนไทยสังกัดสำนักพิมพ์บรรลือสาส์นผู้มีลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ และเขาเป็นผู้วาดปกนิตยสารมหาสนุก และเป็นเจ้าของตัวการ์ตูนที่มีชื่อเสียงอย่าง "ไก่ย่างวัลลภ" ซึ่งต่อมาได้มีการนำมาดัดแปลงเป็นการ์ตูนเรื่องสั้นชุด "วิลลี่ เดอะ ชิกเก้น" 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'พล.อ.เปรม' แจ้งงดร่วมงานเลี้ยงวันกองทัพบก ชี้สุขภาพไม่แข็งแรง

Posted: 21 Jan 2018 04:10 AM PST

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้แจ้งยกเลิกการไปเป็นประธานงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพบก โดยให้เหตุผลว่าไม่แข็งแรงดีนัก

 
 
 
21 ม.ค. 2561 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้แจ้งยกเลิกการไปเป็นประธานงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพบก ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 21 ม.ค.นี้ ที่สโมสรทหารบก ถ.วิภาวดีรังสิต โดยให้เหตุผลว่าไม่แข็งแรงดีนัก
 
ทั้งนี้ พล.อ.เปรม มีอาการอ่อนเพลียในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง ไม่ค่อยมีแรง จึงได้เชิญหมอประจำตัวมาตรวจที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ และให้คำแนะนำในการทานอาหาร การพักผ่อน การนอน และแนะนำให้งดภารกิจที่ไม่จำเป็นก่อน จึงแจ้งของดร่วมงาน เลี้ยงรับรองวันกองทัพบก แต่ภายในงานจะมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และภริยา ร่วมงาน
 
อย่างไรก็ตาม พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ นายทหารคนสนิทของพล.อ.เปรม กล่าวว่า ระยะนี้พล.อ.เปรมไม่ค่อยแข็งแรงนัก แต่ไม่ถึงกับว่าไม่สบาย เพราะไม่ได้ไป นอนโรงพยาบาล หรือมีอาการเจ็บป่วยอะไร แต่รับประทานอาหารได้น้อยลงมาก จึงทำให้ไม่ค่อยแข็งแรง ต้องพักผ่อน และทำตามคำแนะนำของหมอ แต่พล.อ.เปรม ก็พยายามดูแลสุขภาพ ซึ่งยังคงเดินออกกำลังกายทุกเย็น ดังนั้นช่วงนี้จึงงดออกงาน และภารกิจที่ไม่จำเป็นลง แต่ทุกวันอังคารยังคงไปประชุมองคมนตรีตามปกติ อย่างไรก็ตามยืนยันว่าการที่พล.อ.เปรม ที่ไม่ได้ร่วมงานไม่ใช่เพราะว่าไม่อยากเจอใครในงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพบก แต่เพราะรู้สึกตัวเองว่าไม่แข็งแรงจริงๆ จึงขอยกเลิกที่จะไปร่วมงานเท่านั้น
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กมธ. พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้งฯ อ้างพูดได้ไม่หมด ปัดแจงเลื่อนเลือกตั้ง 90 วัน

Posted: 21 Jan 2018 03:52 AM PST

คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ปัดแจง สาเหตุเลื่อนเลือกตั้ง 90 วัน อ้างเหตุผลบางอย่างก็พูดไม่ได้ทั้งหมด ยันยื้อเวลาไป สนช.ก็ไม่ได้ประโยชน์

 
21 ม.ค. 2561 ASTV ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่านายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า ขณะนี้พรรคการเมืองต่างออกมาระบุว่าการที่คณะกรรมาธิการยืดเวลาเลือกตั้งไป 90 วันนั้น เป็นเพราะได้รับคำสั่งมาจากผู้มีอำนาจ ตนขอเรียนว่านักการเมืองเขามีสิทธิ์ที่จะคิดเช่นนั้น และคณะกรรมาธิการก็ไม่สามารถไปห้ามความคิดของพรรคการเมืองได้ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการทำหน้าที่พิจารณากฎหมายเราจะรู้ทและทราบข้อเท็จจริงอย่างดีที่สุดว่าการกำหนดวันเวลาหรือการเขียนกฎหมายดังกล่าว มีความจำเป็นหรือเหตุผลอะไร จะเห็นได้ว่าคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด แต่อาจจะมีข้อห่วงกังวลอยู่บ้างเกี่ยวกับเรื่องของข้อกฎหมายที่อาจจะไปขัด หรือลิดรอนสิทธิตามรัฐธรรมนูญกำหนดเท่านั้น
 
"เหตุผลบางอย่างที่มีความจำเป็นก็ไม่สามารถพูดออกไปได้ทั้งหมด แต่อยากให้ทราบว่าที่บอกว่าการกำหนด 90 วันนั้น เพราะ สนช. คิดจะยืดอายุการทำงานของตัวเองไปอีก 2 - 3 เดือน ผมอยากบอกตามตรงว่าการทำงาน สนช. แค่ยืดเวลาไปซัก 2 - 3 เดือน ก็ไม่มีผลประโยชน์อะไรต่อพวกเราเลย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องทำเพื่อยืดเวลาตัวเอง" นายกิตติศักดิ์ กล่าว
 
ด้าน นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน โฆษกคณะกรรมาธิการ กล่าวว่าเรื่องที่นักการเมืองกล่าวอ้างนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของตนที่จะต้องชี้แจงข้อเท็จจริง เพราะตนทำหน้าที่โฆษกคณะกรรมาธิการมีหน้าที่ชี้แจงเพียงมติในที่ประชุมของคณะกรรมาธิการเท่านั้น และในวันที่ 22 มกราคม นี้ เวลา 10.00 น. จะมีการแถลงข่าวเกี่ยวกับ พ.ร.ป.ส.ส. ด้วย
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้มีการโทรศัพท์สอบถามคณะกรรมาธิการ อาทิ นายวิทยา ผิวผ่อง ประธานคณะกรรมาธิการ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ รองประธานคณะกรรมการ พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร คณะกรรมาธิการ แต่ก็ไม่มีท่านใดพร้อมที่จะชี้แจงประเด็นดังกล่าว แม้กระทั่ง นายชาญวิทย์ วสยางกูร คณะกรรมาธิการ ยังระบุว่า เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2561 ที่ผ่านมา ตนได้ลาการประชุมจึงเพิ่งทราบมติคณะกรรมมาธิการในการกำหนด เรื่องวันเลือกตั้ง 90 วันจากสื่อมวลชน จึงไม่สามารมาให้ข้อเท็จจริงใด ๆ ได้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักเศรษฐศาสตร์ระบุขึ้นค่าแรง 8-22 บาท ไม่ได้ทำต้นทุนสินค้าพุ่ง

Posted: 21 Jan 2018 03:00 AM PST

คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต ระบุการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 8-22 บาท ไม่ได้ทำให้ต้นทุนโดยรวมของผู้ประกอบการสูงขึ้น ไม่ควรปรับเพิ่มราคาสินค้า ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำใหม่ยังไม่เพียงพอต่อมาตรฐานการดำรงชีพ ชี้ควรมีมาตรการสวัสดิการเพิ่มเติมให้กับผู้มีรายได้น้อย-ดูแลสถานประกอบการขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบ เสนอให้ศึกษาเพื่อนำระบบค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมงมาบังคับใช้ในไทย 

 
ที่มาภาพประกอบ: flickr.com/Wutthichai Charoenburi Attribution 2.0 Generic (CC BY 2.0)
 
21 ม.ค. 2561 ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึง การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 8-22 บาท หลากหลายอัตราตามโซนพื้นที่ไม่ได้ส่งผลให้ต้นทุนโดยรวมของผู้ประกอบการปรับตัวสูงขึ้นมากนักจึงไม่ควรเป็นเหตุของการปรับเพิ่มราคาสินค้า ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำ (Legal Minimum Wage) ที่ปรับเพิ่มยังไม่ได้เป็นค่าแรงที่เพียงพอต่อมาตรฐานการดำรงชีพ  (Living Wage) จึงขอเสนอให้รัฐบาลมีมาตรการสวัสดิการเพิ่มเติมให้กับผู้มีรายได้น้อย และ มีมาตรการดูแลสถานประกอบการขนาดเล็กที่อาจได้รับผลกระทบจากขึ้นค่าจ้างด้วย ส่วนการกำหนดโครงสร้างเงินเดือนสำหรับกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไปนั้นเป็นมาตรการที่ดีทำให้ลูกจ้างเห็นหลักประกันทางด้านค่าจ้าง ส่วนการใช้ระบบค่าจ้างลอยตัวในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว โดยให้จ่ายค่าจ้างตามผลิตภาพและความสามารถในการผลิตและขึ้นอยู่กับอุปสงค์อุปทานในตลาดแรงงานและปัจจัยต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ 
 
ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่าเสนอให้ศึกษาเพื่อนำระบบค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมงมาบังคับใช้ในไทย โดยให้มีอัตราที่สูงกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันเพื่อให้ผู้ใช้แรงงานที่ไม่ได้ทำงานเต็มเวลามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการก็มีความยืดหยุ่นในการจ้างงานและบริหารต้นทุนด้านแรงงานได้ดีขึ้นอีกด้วยและจ้างเท่าที่จำเป็นต้องใช้แรงงาน เช่น กำหนดการจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมงที่ 50 บาท ไม่ใช่เอาค่าจ้างขั้นต่ำรายวันมาเฉลี่ยเป็นรายชั่วโมงเพราะจะทำให้ลูกจ้างได้รับค่าจ้างรายชั่วโมงต่ำเกินไป (308/8 ได้ชั่วโมงละ 38-39 บาทเท่านั้น) 
 
ดร. อนุสรณ์ กล่าวว่าเสนอให้ผู้กำหนดนโยบาย นายจ้าง ลูกจ้างและสถาบันฝึกอบรมเร่งพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้สอดรับกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปและเตรียมรับมือกับผลกระทบของเทคโนโลยี หุ่นยนต์อัตโนมัติ อินเตอร์เน็ตของทุกสิ่ง (Internet of Things) และการพิมพ์สามมิติ (3D Printing) ที่มีต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า อุตสาหกรรมอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเลคทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์และตลาดการจ้างงานโดยรวม    
 
ดร.อนุสรณ์ ยังได้อ้างถึงงานวิจัยขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ว่าในสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานและการจ้างงานในไทยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 44 (กว่า 17 ล้านตำแหน่ง) มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่โดยระบบอัตโนมัติ โดยกลุ่มคนงานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ พนักงานขายตามร้านหรือพนักงานบริการตามเครือข่ายสาขา พนักงานบริการอาหาร ภาคเกษตรกรรม แรงงานทักษะต่ำที่ทำงานซ้ำๆ คนงานโดยเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งทอ เสื้อผ้าและรองเท้าอาจได้รับผลกระทบสูงถึง 70-80% นอกจากนี้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงต่อภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ คือ ระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติ รถยนต์และอุปกรณ์ไฟฟ้า 3D Printing วัสดุน้ำหนักเบา และ รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง 
 
ดร. อนุสรณ์ กล่าวอีกว่าแรงงานไทยทั้งหมด 39 ล้านคน ต้องเตรียมความพร้อมและรับมือกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้วยการเตรียมทักษะให้สามารถทำงานกับนวัตกรรมเทคโนโลยีเหล่านี้ให้ได้ การบ่มเพาะทักษะด้านบุคคล (Soft Skills) และ ทักษะด้านความรู้ (Hard Skills) โดยเฉพาะความรู้ทางด้าน STEM (ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์) ที่เป็นประเทศขาดแคลนอยู่ 
 
คนงานหญิงในอุตสาหกรรมสิ่งทอ คนงานทักษะต่ำและมีระดับการศึกษาน้อย เป็นกลุ่มคนที่รัฐบาลต้องดูแลด้วยมาตรการต่าง ๆ เป็นพิเศษเพราะเป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงมากที่สุดในการถูกเลิกจ้างจากการนำระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีเข้ามาทดแทนแรงงาน 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ความล้มเหลวของการต่อต้านคอร์รัปชั่น 2: หลังรัฐประหาร 57 เกิดอะไรขึ้นกับระบบต่อต้านการคอร์รัปชัน

Posted: 20 Jan 2018 11:48 PM PST



นับตั้งแต่คสช.ทำรัฐประหารยึดอำนาจเป็นต้นมา ระบบการต่อต้านคอร์รัปชันก็เปลี่ยนไปอย่างมาก การตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจของรัฐ ถูกจำกัดลงอย่างมาก กล่าวคือ

1. ไม่มีการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งการตั้งกระทู้ การเสนอญัตติในสภา โดยเฉพาะไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือแม้แต่การตรวจสอบโดยคณะกรรมาธิการต่างๆ

2. การตรวจสอบโดยสื่อมวลชนทำได้อย่างจำกัด โดยเฉพาะการเสนอข้อมูลหรือความเห็นที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลคสช. ถูกจำกัดด้วยการควบคุมสื่อ ทั้งโดยเปิดเผยและไม่เปิดเผย ทั้งด้วยการเข้าระงับยับยั้งโดยตรงด้วยการยกเลิกรายการหรือปิดสถานีและการบีบบังคับให้สื่อเซ็นเซอร์ตัวเอง

3. การตรวจสอบโดยภาคประชาชนถูกขัดขวาง ทั้งด้วยการใช้อำนาจของคสช.ในเรื่องห้ามชุมนุมทางการเมืองและการใช้กฎหมายอาญาเกี่ยวกับความมั่นคงและกฎหมายคอมพิวเตอร์ที่เป็นไปในลักษณะกลั่นแกล้งตามอำเภอใจ ดำเนินคดีทั้งในศาลทหารและศาลยุติธรรม

4. มีการใช้คำสั่งคสช.แต่งตั้งโยกย้ายในลักษณะลงโทษหรือให้คุณให้โทษแก่ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ในเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตโดยไม่มีการสอบสวนเสียก่อน ไม่เปิดโอกาสให้มีการชี้แจง อุทธรณ์หรือกระทั่งร้องต่อศาลปกครอง ต่อมาแม้พบว่าไม่มีความผิดก็ไม่มีการแก้ไขคำสั่งหรือเยียวยา เท่ากับทำลายระบบในการแต่งตั้งโยกย้าย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันปราบปรามการทุจริต จนหาหลักหาเกณฑ์อะไรไม่ได้

5. ไม่ปรากฎว่า มีการจัดระบบเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างที่เชื่อได้ว่า จะป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันได้ดีขึ้น แต่กลับมีการใช้คำสั่งคสช.ยกเว้นการรับผิดทางแพ่ง ทางอาญาหรือทั้งสองอย่างแก่เจ้าหน้าที่ราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทอื่น ในการดำเนินการที่อาจเกิดการทุจริต

ซ้ำร้ายในการดำเนินโครงการใหญ่มูลค่ามหาศาล ก็ได้มีคำสั่งคสช.กำหนดสาระสำคัญและกระบวนการทำงานของโครงการ โดยให้ยกเว้นการใช้กฎหมายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่นโครงการรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น


เกิดอะไรขึ้นกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน

หลังการรัฐประหารปี 2557 เป็นต้นมา คสช.มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งต่อมาก็บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 44 แล้วรับรองโดยรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ทำให้สิ่งที่เรียกกันว่า องค์กรอิสระทั้งหลาย รวมทั้งที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการต่อต้านหรือปราบปรามคอร์รัปชันไม่มีความเป็นอิสระอีกต่อไป แม้จะยังคงมีกฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้องอยู่

คสช.ยังได้ออกคำสั่งที่ 69/2557 เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ สั่งทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และได้สั่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการทั้งหลาย และรายงานผลการปฏิบัติพร้อมทั้งเสนอความเห็นให้คสช.พิจารณา

คำสั่งนี้ มีลักษณะทำให้อำนาจในเรื่องที่เกี่ยวกับกับป้องกันปราบปรามการทุจริตอยู่ในมือของ คสช.อย่างสมบูรณ์


มีการตั้ง คกก.ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ เมื่อ 13 ตุลาคม 2557

ต่อมา 24 พฤศจิกายน 2557 นรม. ออกคำสั่งที่ 226/2557 เรื่องจัดตั้งศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ขึ้น ภายในสำนักงาน คกก.ปปท.เรียกโดยย่อว่า ศอตช. มีรมว.ยุติธรรมเป็นประธาน เลขาธิการ ปปช.เป็นกรรมการ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นกรรมการ รวมองค์กรภาคเอกชนอีก 2 องค์กรเป็นกรรมการด้วย

อำนาจหน้าที่สำคัญ คือ กำหนดแนวทางและแผนการปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายของฝ่ายบริหารในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ พร้อมทั้งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตสู่การปฏิบัติให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

อำนวยการและประสานการปฏิบัติ เร่งรัด ติดตาม กำกับดูแล ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตเป็นไปอย่างบูรณาการโดยมีเอกภาพชัดเจน

ต่อมาคำสั่ง คสช.ที่ 127/2557 ลว. 15 ธันวาคม 2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ มีหัวหน้า คสช.เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่กว้างขวางมาก เช่น จัดทำแนวทางและมาตรการในการบูรณาการเพื่อเสริมสร้างและประสานความร่วมมือในการป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบ และเสนอให้ ครม.ทราบและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ติดตามประสานงานและสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในการดำเนินงานของคณะกรรมการตามกฎหมายและหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง

คำสั่งนี้ มีลักษณะครอบคลุมกว้างขวางมาก องค์กรที่มีหัวหน้า คสช.เป็นประธานนี้ กลายเป็นองค์กรสูงสุดในเรื่องคอร์รัปชันที่กำกับควบคุมองค์กรทั้งหลายทั้งปวง

ต่อมา มีคำสั่ง คสช.ที่ 1/2558 แต่งตั้งคณะกรรมการตามองค์ประกอบคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ

หลังจากนั้น จะเห็นภาพการเรียก ปปช. สตง.มาสั่งการ ประสาน ร่วมประชุมเป็นว่าเล่น จนกลายเป็นระบบที่ไม่ได้อาศัยองค์กรอิสระ หรือไม่มีองค์กรอิสระที่อิสระจริง อำนาจอยู่ที่ คสช.เป็นหลัก ถัดมา คือ รัฐบาล

แต่องค์กรที่ตั้งขึ้นนี้ ต่อมาก็ไม่ได้มีบทบาทที่เป็นแก่นสารใดๆ

สำหรับ ปปช.นั้น นอกจากถูกครอบและบดบังโดยระบบและโครงสร้างไปแล้ว ปปช.เองยังถูกแทรกแซงโดย คสช.และรัฐบาลโดยตรงอีกด้วย เมื่อกรรมการ ปปช.ชุดเดิมบางคนพ้นจากตำแหน่งไป ก็เกิดการสรรหาและแต่งตั้งคนใหม่ขึ้นแทน ในการนี้ คสช.ได้ออกคำสั่งกำหนดให้ประธาน สนช.และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายเข้าเป็นกรรมการสรรหาและต่อมาได้ผ่านความเห็นชอบของ สนช. จนได้เป็นคณะกรรมการ ปปช.ชุดปัจจุบัน ซึ่งก็เป็นที่รับรู้ทั่วไปว่า กรรมการคนสำคัญบางคนเป็นคนสนิทของ คสช.โดยตรง

3 ปีกว่าภายใต้การปกครองของ คสช. ระบบในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จนทำให้แท้จริงแล้ว ในระบบนี้ไม่มีองค์กรอิสระ หากแต่เป็นระบบที่ คสช.กำกับควบคุมได้ หรือเรียกได้ว่า รวมศูนย์อำนาจอยู่ในมือของของคสช.อย่างสมบูรณ์ ระบบนี้อยู่ในสภาพที่ขาดการตรวจสอบถ่วงดุล ทั้งจากฝ่ายนิติบัญญัติ สื่อมวลชน และประชาชน

ภายใต้ระบบที่สังคมจะสามารถตรวจสอบการทำงานของ คสช.และรัฐบาลได้อย่างจำกัดมากนี้ แม้จะมีข่าวการทุจริตคอร์รัปชันมากขึ้นๆ แต่ก็ไม่มีใครทราบว่า แท้จริงแล้วมีการทุจริตคอร์รัปชันมากหรือน้อยเพียงใด สังคมจะได้รับรู้ความจริงกัน ก็ต่อเมื่อมีระบบในการป้องกันปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันที่ดีและมีประสิทธิภาพ และต่อเมื่อประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการตรวจสอบการทำงานของรัฐแล้วเท่านั้น

ระบบที่การตรวจสอบถ่วงดุลเพื่อป้องกันปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันทำได้อย่างจำกัดนี้ จะอยู่กับเราไปอีกอย่างน้อยตลอดระยะเวลาที่ คสช.ยังอยู่ในอำนาจ

ส่วนระบบที่ถูกออกแบบไว้สำหรับอนาคตเป็นอย่างไร ไว้พูดกันในตอนต่อไปครับ


(มีต่อ...)

ที่มา: เฟสบุ๊คแฟนเพจ Chaturon Chaisang

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: เดิน..มิตรภาพอาบทอทุกมวลไท

Posted: 20 Jan 2018 11:31 PM PST

@ ไม่มีความ หมายใด ในชีวิต
หากความคิด แพ้พ่าย ตายแต่เริ่ม
ความเพพัง หลังพิง สิ่งเดิมๆ
ขาดพลัง ต่อเสริม มาเติมใจ

@ รู้แท้ใน จุดจบ จึงพบว่า
ความมืดมิด ปิดตา ถาโถมใส่
ความอ่อนล้า รอคอย ลอยคอใน
ทะเลกว้าง ฟ้าไกล ไร้ฝั่งเกิน

@ ยินแว่วเสียง คำถาม คล้ายตามติด
ในความคิด หวังวาด ไม่ขาดเขิน
ก้าวสิก้าว สาวเท้า ออกก้าวเดิน
พร้อมเผชิญ ชีวิต ขีดเส้นทาง

@ เดิน..เดิน..เดิน.. ต่อไป โดยไม่หวั่น
ฝ่าข้ามวัน คืนมุ่ง สู่รุ่งสาง
ยังมากมวล มิตรภาพ ซึมซาบวาง
หลอมรวมความ เหมือน-ต่าง อย่างกลมกลืน

@ แม้ไม่มี ปี่แตร มาแห่แหน
แม้ไม่มี แก้วแหวน แสนเงินหมื่น
แม้ไม่มี ใครพร้อม มาล้อมยืน
ยังน้อมรับ รู้ตื่น เพื่อนหมื่นแสน

@ ว่ายังคง ฝืดเคือง เรื่องปากท้อง
หลายอาชีพ เรียกร้อง จนหลังแอ่น
คนจนหมด ประเทศ ทุกเขตแดน
ฝืนขื่นแขวน แน่นอก นรกพ้อ

@ จึงตั้งต้น ออกเดิน พร้อมเชิญชวน
เพื่อนริมทาง ต่างล้วน ชวนกันต่อ
แม้ฟ้ากว้าง ทางไกล จุดหมายรอ
มิตรภาพ อาบทอ ทุกมวลไท...



แด่ : PEOPLE GO NETWORK
We walk : เดินมิตรภาพ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: เหมือนเดินคนละแดน

Posted: 20 Jan 2018 11:14 PM PST

เขาก็เดินเราก็เดินบังเอิญต่าง
ที่ความคิดคนละข้างห่างเหลือหลาย
เขาเดินขวาพวกเราหากเดินซ้าย
และต่างจุดมุ่งหมายในการเดิน

หนึ่งเพื่อเชิดคนดีชูศรีชาติ
ขอเงินชุบชีวาตย์ผู้ขาดเขิน
พร้อมกุศลผลพลังฟังแล้วเพลิน
อีกหนึ่งเดินไขว่คว้าประชาธิปไตย

เมื่อทมิฬครองเมืองเรื่องพรรณนี้
ย่อมเป็นข้อห้ามที่แสลงใส้
ในฐานะเผด็จการพานกวนใจ
ยิ่งไม่อาจปล่อยให้ใครได้ยิน

จึงกลายเป็นคนไม่ดีโจมตีรัฐ
ไม่ปฏิบัติตามกฏหมายคล้ายดูหมิ่น
คิดจะเดินจึงยากกว่าถ้าจะบิน
ทั้งฟ้าดินเรียกไม่ขานวานไม่รับ

เขาก็เดินเราก็เดินบังเอิญแตก
ตื่นระหว่างเสียงร้องแรกให้หวนกลับ
พี่น้องเอ๋ย....ทางข้างหน้าช่างอาภัพ
ทั้งถนนพร้อมสรรพก็ของเรา

 

รูปจาก: https://news.thaipbs.or.th
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เดินมิตรภาพ' วันที่ 2 'ตำรวจ-ทหาร' บุกค้นเช้ามืด คุมตัวสอบสวน

Posted: 20 Jan 2018 09:30 PM PST

21 ม.ค. 2561 เพจ People GO network รายงานความเคลื่อนไหวของกิจกรรม "We Walk เดินมิตรภาพ" โดยระบุว่า ช่วงเช้ามืดวันนี้ (21 ม.ค.) เวลาประมาณ 04:00 น. มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้ามาบริเวณที่พัก และมีการตะโกนถามหา "หัวหน้ากลุ่ม" ว่า "อยากคุยด้วย" แต่เนื่องจากยังเช้ามากจึงยังไม่มีการตอบรับใดใด เนื่องจากอยู่ในช่วงเช้ามืด

จากนั้นประมาณ 05:00น. เริ่มมีเจ้าหน้าชุดคุมฝูงชนประมาณ 100-200 นาย และ เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบกว่า 20 นาย เริ่มมาที่บริเวณวัด

หลังจากนั้นประมาณ 06.00 น. ทางทีมเดินก็เริ่มทะยอยออกจากวัด โดยมีการตั้งด่านของเจ้าหน้าเพื่อตรวจบัตรและถ่ายภาพบัตรไว้ โดยมีรถคันสุดท้ายของทีมซึ่งเป็นรถเสบียง โดนกักไม่ให้ออกมา โดยอ้างว่ามีหมาย (แต่ไม่ได้บอกว่าหมายอะไร) และจะพาไปสถานีตำรวจ แต่สุดท้ายระบุว่าจะพาไป อบต. แล้วนายจะมาคุยด้วย

นอกจากนี้ได้มีการนำตัวทีมสวัสดิการกิจกรรมเดินมิตรภาพ กลุ่ม People GO network โดยไม่มีหมายและปฏิเสธไม่ให้ทนายเข้าร่วมรับฟัง จาก อบต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.อยุธยาฯ ทั้งนี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 100 นาย เฝ้าอยู่ภายนอก ภายในอบต.ลำไทร มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนอยู่จำนวนมาก รวมถึงกำลังตำรวจที่ติดตามและจอดรถดักระหว่างทางเป็นระยะของเส้นทาง

โดยในส่วนของทีมเดินเท้านั้น ทีมแรกได้ออกเดินทางต่อจากจุดที่หยุดพักเมื่อวานนี้ และส่งต่อธงให้ทีมเดินทีมที่สอง โดยในแต่ละทีมนั้น จับกลุ่มเดินเป็นกลุ่มละ 4 คน โดยใช้เส้นทางริมถนนมิตรภาพ ขณะนี้อยู่ที่บริเวณ หนองสาหร่าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มุ่งหน้าสู่ จ.ขอนแก่น ต่อไป

และเมื่อเวลา 11.15 น. มีรายงานว่าทีมงาน 4 คน ประจำรถขนเสบียงเดินมิตรภาพ ได้รับการปล่อยตัวแล้ว หลังถูก จนท.ค้นรถ เชิญตัวพูดคุยที่ อบต.ลำไทร อ.วังน้อย อยุธยา ทั้งนี้ทนายความเครือข่ายฯ ตั้งข้อสังเกตถึงอำนาจการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ ครั้งนี้ เชื่อว่า น่าจะเป็นผลสืบเนื่องการจัดกิจกรรมเดินมิตรภาพ ที่ มธ.ศูนย์รังสิต เมื่อวานนี้ ผิดเงื่อนไขคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ข้อ 12 เรื่องการชุมนุมเกิน 5 คน ทำให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจควบคุมตัว เบื้องต้นไม่มีการแจ้งข้อกล่าวใด ๆ

สรุปเดินมิตรภาพวันที่ 2 'กักรถ-สอบทีมเสบียง กดดันวัดไม่ให้ที่พัก' 

ทั้งนี้ เว็บไซต์ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานงานว่าต่อกรณีที่ทีมงาน 4 คน ประจำรถขนเสบียงเดินมิตรภาพถูกควบคุมตัวไปนั้น สุทธิเกียรติ คชโส หนึ่งในทีมทนายความของเครือข่าย People GO Network เปิดเผยว่า จากการพูดคุยกับผู้ถูกสอบปากคำทั้ง 4 ได้ข้อเท็จจริงว่า พนักงานสอบสวนที่ทำการสอบปากคำเป็นพนักงานสอบสวนจาก สภ.คลองหลวง ทำการสอบปากคำทั้ง 4 ในฐานะพยาน โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารอยู่ร่วมในการสอบปากคำด้วย ประเด็นที่สอบถามเป็นการเชื่อมโยงถึงกิจกรรมเดินของเครือข่าย People GO Network ว่า แต่ละคนมาเกี่ยวข้องกับกิจกรรมนี้ได้ยังไง หลังจากสอบปากคำเสร็จพนักงานสอบสวนได้ให้ทั้ง 4 คน ลงชื่อในบันทึกตรวจค้น และบันทึกคำให้การพยาน มี 2 คนปฏิเสธไม่ลงชื่อในบันทึกคำให้การ เนื่องจากเห็นว่า เจ้าหน้าที่ใช้กำลังปิดล้อมไม่ให้เดินทาง และค้นรถพร้อมทั้งสอบปากคำ โดยไม่แจ้งเหตุ ไม่มีหมาย ส่วนบันทึกการตรวจค้นรถ ระบุว่าพบ มีดพร้า ธง วิทยุสื่อสาร เครื่องปั่นไฟ ไวนิล และสัมภาระอื่นๆ แต่ไม่มีการตรวจยึดสิ่งของดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ทีมทนายยังไม่แน่ใจว่า จะมีการดำเนินคดีใด ๆ กับทั้ง 4 คนนี้ และผู้ร่วมกิจกรรมเดินนี้คนอื่น ๆ ในภายหลังหรือไม่

ขณะที่การเดินในวันที่สองของกิจกรรม "We Walk…เดินมิตรภาพ" ซึ่งใช้การเดินทีมละ 4 คน เพื่อหลีกเลี่ยงการฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. มีรายงานว่า มีรถตู้หนึ่งคันตามขบวนเดิน พร้อมทั้งมีรถตำรวจอย่างน้อย 5 คัน สลับกันขับประกบและถ่ายรูป นอกจากนี้ ตามปั๊มน้ำมันสองข้างทาง ถ.พหลโยธิน พบว่า มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบเฝ้าสังเกตการณ์ตลอดเส้นทางที่ขบวนเดินผ่านด้วย

ล่าสุด เวลา 15.27 น. ไลฟ์สด กิจกรรม "WeWalk…เดินมิตรภาพ" จากเพจ People GO Network Forum รายงานว่า มีพระจากวัดห้วยขมิ้นเดินทางมาแจ้งข่าวกับขบวนเดินว่า ที่วัดมีกำลังตำรวจ ทหาร ตรึงกำลังอยู่ที่วัด และกดดันทางวัดไม่ให้ยุ่งเกี่ยวหรือให้ขบวนเดินเข้าพัก รวมทั้ง วัดอื่นๆ ตามที่มีชื่อระบุในกำหนดการของกิจกรรมด้วย ทำให้เครือข่ายฯ มีความวิตกกังวลเรื่องสถานที่ที่เครือข่ายฯ จะเข้าพักในคืนนี้

ทั้งนี้ เพจ People GO Network Forum เผยแพร่วัตถุประสงค์ของกิจกรรม "We Walk…เดินมิตรภาพ" ว่า เพื่อสื่อสารต่อสาธารณะใน 4 ประเด็นหลัก ที่เป็นสิทธิของประชาชนและประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการกำหนด ได้แก่ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า, ความมั่นคงทางอาหาร, กฎหมายสิทธิมนุษยชน-สิทธิชุมชน และรัฐธรรมนูญ โดย People Go Network Forum ประกอบด้วยเครือข่ายประชาชน 4 เครือข่าย ได้แก่ เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการและกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ, เครือข่ายเกษตรกรรรมทางเลือก , เครือข่ายทรัพยากร และเครือข่ายนักวิชาการและนักกฎหมายที่ติดตามรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้ง และการละเมิดสิทธิเสรีภาพ


ติดตามความเคลื่อนไหวกิจกรรม "We Walk เดินมิตรภาพ"  ได้ที่เพจ People GO network

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชี้ล้างไตทางช่องท้องดีสำหรับเมืองไทยในแง่ “ต้นทุน-คุณภาพชีวิต”

Posted: 20 Jan 2018 08:49 PM PST

"นพ.สันต์" ชี้การล้างไตทางช่องท้องดีกับบริบทเมืองไทยในแง่ "ต้นทุน-คุณภาพชีวิต" มากกว่าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และในภาพใหญ่ก็มีอัตราการรอดชีวิตยืนยาวกว่า

 
 
21 ม.ค. 2561 นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ อดีตผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชน และผู้ก่อตั้ง Wellness We care Center อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี กล่าวถึงการล้างไตทางช่องท้องว่า เมื่อเร็วๆ นี้ตนได้ตอบคำถามผ่านเว็บไซต์ http://visitdrsant.blogspot.com โดยให้คำแนะนำเกี่ยวกับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังรายหนึ่งว่าแนะนำให้ล้างไตทางช่องท้อง (PD) มากกว่าการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD) เพราะงานวิจัยผู้ป่วยประกันสุขภาพสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นงานวิจัยที่ใหญ่ที่สุดพบว่าการล้างไตทางช่องท้องมีอัตราตายรวมต่ำกว่าการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม แม้ว่าการวิจัยในผู้ป่วยเบาหวานจะพบว่าอัตราตายของการล้างหรือฟอกทั้ง 2 แบบไม่ต่างกันแต่หากเจาะข้อมูลลึกๆเอาเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานที่อายุน้อยกว่า 45 ปีมาดูจะพบว่าการล้างไตทางช่องท้องมีอัตราตายที่ต่ำกว่าอยู่ดี มีงานวิจัยใหม่อีกงานวิจัยหนึ่งทำที่เดนมาร์คกับคนป่วย 12,095 คนก็พบว่าการล้างไตทางหน้าท้องมีอัตราตายต่ำกว่าการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมในทุกกลุ่มผู้ป่วย
 
อย่างไรก็ดี ไม่สามารถสรุปได้ว่าการล้างไตทางช่องท้องและการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม แบบไหนดีกว่ากัน เพราะงานวิจัยที่ที่ตนอ้างอิงนั้น เป็นการวิจัยติดตามดูกลุ่มคน โดยติดตามดูผู้ป่วยที่ใช้การรักษาทั้ง 2 วิธีแล้วดูอัตราการเสียชีวิตเปรียบเทียบกัน แต่ไม่ใช่งานวิจัยสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบ
 
"นี่ไม่ใช่งานวิจัยสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบแต่เป็นการวิจัยติดตามดูกลุ่มคน หมายความว่ามันมีปัจจัยกวนบางอย่างที่คัดสรรคนไปสู่การล้างทางช่องท้อง และปัจจัยบางอย่างที่คัดสรรคนไปสู่การล้างไตด้วยการฟอกเลือด ยกตัวอย่างเช่น การป่วยหนักเป็นปัจจัยไปสู่การฟอกเลือด เพราะฉะนั้นอัตราการรอดชีวิตก็ต้องสั้นกว่าการล้างไตทางช่องท้อง แต่มันสั้นเพราะปัจจัยกวนไม่ใช่สั้นเพราะวิธีล้าง นี่คือข้อจำกัดของหลักฐาน มันเป็นหลักฐานที่ไม่ใช่ระดับการสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบ" นพ.สันต์ กล่าว
 
นอกจากนี้ การที่ผู้ป่วยจะใช้วิธีการรักษาแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละคน ตัวอย่างเช่นผู้ป่วยที่ตนแสดงความเห็นในเว็บไซต์ดังกล่าวว่าล้างไตทางช่องท้องดีกว่า ก็เพราะคนไข้อายุยังน้อย ต้องล้างไตไปอีกหลายสิบปี ถ้าใช้หลอดเลือดตั้งแต่อายุน้อยๆ พออายุมากขึ้นก็ไม่มีหลอดเลือดจะใช้แล้ว
 
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมองในภาพใหญ่ของอัตราการเสียชีวิต การล้างไตทางช่องท้องก็มีอัตราการมีชีวิตยืนยาวกว่า หรือถ้ามองในแง่ของต้นทุน การล้างไตทางช่องท้องก็มีค่าใช้จ่ายถูกกว่าแน่นอน รวมทั้งในแง่ของคุณภาพชีวิต การล้างทางช่องท้องก็ดีกว่าเพราะไม่ต้องมาโรงพยาบาล อยู่บ้านนอนอ่านหนังสือพิมพ์ก็ล้างทางช่องท้องได้
 
"อย่างเมืองไทยค่อนข้างแน่นอนว่าการล้างไตทางช่องท้องดีกว่า เพราะคนไข้โรคไตบ้านเราเยอะและใช้เงินมากเหลือเกิน เอาแค่มุมมองต้นทุนอย่างเดียวมันก็คุ้มแล้ว ระดับ Policy ก็หาทางมา encourage การล้างไตทางหน้าท้องมากขึ้น แต่ประโยชน์ในแง่อัตราการรอดชีวิตมันไม่สามารถพูดได้ว่าอันไหนดีกว่าอันไหน สำหรับคนไข้ก็ต้องดูบริบทของตัวเองด้วย เช่น ในแง่คุณภาพชีวิตหรือต้นทุน การล้างทางช่องท้องก็ดีกว่า" นพ.สันต์ กล่าว
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 15-21 ม.ค. 2561

Posted: 20 Jan 2018 08:37 PM PST

 

เตรียมเรียกผู้ประกอบการ 100 รายหารือด่วน กรณีตรึงราคาสินค้าจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เตรียมเชิญผู้ผลิตสินค้า และผู้ประกอบการภาคบริการจำนวนกว่า 100 ราย ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำมาหารือและรับฟังความเห็นเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย หากไม่มีผลกระทบมากก็ขอให้ตรึงราคาไปก่อน

ขณะที่ทางภาคอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การปรับค่าจ้างขั้นต่ำที่เคาะออกมานั้นถือว่าสูงกว่าอัตราที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านั้นมาก จากที่มองว่าค่าแรงขั้นต่ำน่าจะปรับขึ้นอีกไม่เกิน 5-15 บาท แต่ล่าสุดกลับปรับขึ้น ตั้งแต่ 5-22 บาท ถือเป็นการปรับค่าครองชีพ และมีผลกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี ซึ่งเรื่องนี้  ส่งผลกระทบต่อนายจ้างโดยเฉพาะพื้นที่ 3 จังหวัดที่มีการปรับขั้นต่ำที่ 330 บาท  คือที่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และภูเก็ต  อย่างจังหวัดชลบุรีกับระยอง ซึ่งเป็นศูนย์ รวมของการลงทุนในอุตสาหกรรมหลากหลาย ที่เดิมได้รับค่าแรงขั้นต่ำ 308 บาทต่อวัน ล่าสุดปรับเป็น 330 บาทต่อวัน เท่ากับค่าแรงได้รับการปรับเพิ่มขึ้นถึง 22 บาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.14  โดยกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ (ส.อ.ท.) ระบุว่าค่าแรงที่เพิ่มขึ้น 330 บาท กระทบต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จำนวนมากที่อยู่ในชลบุรีและระยอง ซึ่งมีโรงงานมากกว่า 100 ราย และส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีเป็นซัพพลายเชนให้กับค่ายรถยนต์ในพื้นที่

ที่มา: TNN24, 21/1/2561

ปรับค่าจ้างดัน 'รับสร้างบ้าน' ขึ้นราคา 5%

หลังคณะกรรมการค่าจ้าง ประกาศปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ 7 อัตรา ระหว่าง 8-22 บาท มีผล วันที่ 1 เม.ย.2561  ส่งผลต่ออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานและธุรกิจเกี่ยวเนื่องให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้น  

นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่าธุรกิจรับสร้างบ้าน ปีที่ผ่านมาอยู่ในภาวะชะลอตัวในครึ่งปีแรก หลังจากนั้นเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง จากเศรษฐกิจมีทิศทางเติบโตชัดเจนทั้งการส่งออก ท่องเที่ยว การลงทุนภาครัฐและตลาดหุ้นปรับขึ้นสูง ส่งผลให้ปี 2560 ตลาดรับสร้างบ้านเติบโตราว 5% มูลค่า 5 หมื่นล้านบาท  ในจำนวนนี้สมาชิกสมาคมฯ พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล มีส่วนแบ่ง 20% มูลค่าราว 1.05  หมื่นล้านบาท

จากแนวโน้มเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่องในปีนี้ คาดการณ์จีดีพี เติบโต 4%  อีกทั้งยังมีปัจจัยการเลือกตั้ง ที่จะช่วยกระตุ้นการวางแผนลงทุนของภาคเอกชน จากเดิมบางส่วนอยู่ในภาวะชะลอตัว

ประกอบกับการประกาศขึ้นอัตราค่าจ้างขึ้นต่ำทั่วประเทศ ที่ส่งผลให้ธุรกิจที่ใช้แรงงานมีต้นทุนเพิ่มขึ้น  รวมทั้งธุรกิจรับสร้างบ้าน ที่มีทั้งกลุ่มแรงงาน ,กลุ่มแรงงานมีทักษะ  รวมทั้งธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ที่มีต้นทุนแรงงานเพิ่ม ที่อาจจะพิจารณาปรับขึ้นราคาสินค้า

ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ธุรกิจรับสร้างบ้านมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ทั้งด้านแรงงานและวัสดุก่อสร้าง ดังนั้นในไตรมาส2 ราวเดือน เม.ย.นี้  กลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านจะพิจารณาปรับขึ้นราคาประมาณ 5% หลังจากไม่ปรับราคาในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว

"ปกติในจังหวะที่เศรษฐกิจขยายตัว ธุรกิจรับสร้างบ้านจะพิจารณาปรับราคา จากต้นทุนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ปีนี้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เข้ามาเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มอีกประการ ผู้ประกอบการจึงพิจารณาขึ้นราคาในไตรมาส 2 นี้ แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบลูกค้า เพราะเป็นช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น"

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 20/1/2561

รวบหนุ่มประจวบ หลอกชาวบ้านไปทำงานเกาหลี

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 20 ม.ค. 2561 ที่หน้าสำนักงานตำรวจภูธรภาค 3 นครราชสีมา พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบช.ภาค 3 พร้อม พล.ต.ต.วัชรินทร์ บุญคง ผบก.ภ.จ.นครราชสีมา ,นายปรีชา อินทรชาธร จัดหางานจังหวัดนครราชสีมา และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม แถลงจับกุม นายก้องภพ ป้องคำลา อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 181 หมู่ 1 ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผู้ต้องหาก่อเหตุหลอกลวงพาคนไปทำงานที่เกาหลีใต้ โดยมีบรรดากลุ่มผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อหลายรายเดินทางมาชี้ตัวยืนยัน

พล.ต.ต.วัชรินทร์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้ามีผู้เสียหายในพื้นที่ อ.ชุมพวง หลายราย ถูกนายก้องภพ หลอกลวงว่าเป็นนายหน้าจะช่วยพาไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ โดยต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินการด้านเอกสารบางส่วนรายละ 1-2 หมื่น และต้องโอนเงินเข้าบัญชีนายก้องภพ เพื่อเป็นใช้จ่ายในการดำเนินการเบื้องต้น มีคนหลงเชื่อและตกเป็นเหยื่อกว่า 10 ราย มูลค่าความเสียหายเกือบ 2 แสนบาท หลังจากที่จ่ายเงินดังกล่าวไม่ได้เดินทางไปทำงานตามที่ตกลงไว้ถึงได้รู้ว่าถูกหลอกจึงเข้าแจ้งความที่ สภ.ชุมพวง ให้ช่วยติดตามจับกุม ดำเนินคดีในข้อหา " จัดหางานให้คนงานเพื่อไปทำงานยังต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน จัดหางาน หรือหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานต่างประเทศได้ และการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง และฉ้อโกงทรัพย์ " ขอเตือนประชาชน ที่ต้องการไปทำงานหารายได้ต่างประเทศ ขอจงอย่าหลงเชื่อ ให้ติดต่อสอบถามข้อมูลโดยตรง ที่ สนง.จัดหางานจังหวัด ฯ จะได้ข้อมูลที่ดีกว่า

นายปรีชา กล่าวว่า อย่าหลงเชื่อบุคคลที่มาแอบอ้างทุกรู้แบบ การไปทำงานต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป และไม่เสียค่าใช้จ่ายที่ไม่สมเหตุผล ทางจัดหางานโคราช ได้กำหนดจัดกิจกรรมสอบคัดเลือกคุณสมบัติแรงงาน ไปทำงานที่ประเทศเกาหลี ในวันที่ 2 -4 ก.พ. ที่ห้างสรรพสินค้าคลังพลาซ่า จอมสุรางค์ฯ หรือติดต่อสายด่วนจัดหางาน 1694 หากพบเบาะแส หรือการหลอกลวง

ด้าน น.ส.บุญเลิศ อาจดี อายุ 37 ปี หนึ่งในผู้เสียหาย บอกเล่าความรู้สึกว่า ได้รู้จักจากเพื่อนบ้าน ว่านายก้องภพ สามารถช่วยเหลือให้สามารถเดินทางไปทำงานที่เกาหลีได้ ตนก็ต้องการไปทำงานเนื่องจากได้ค่าจ้างมากว่าอยู่ประเทศไทย จึงขอเป็นเพื่อนทางเฟสบุ๊ค ก่อนติดต่อกันและจ่ายเงินไปให้หมื่นกว่าบาท แต่ไม่สามารถเดินทางไปได้ และมารู้ว่าหลายคนก็ไม่ได้เดินทางไปเช่นเดียวกันจึงพร้อมใจเข้าแจ้งความดำเนินคดีดังกล่าว เมื่อเข้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมนายก้องภพ ได้แล้ว รู้สึกดีใจขอให้กลุ่มผู้เสียหายกลุ่มนี้เป็นเหยื่อรายสุดท้าย ไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับใครอีก

ด้านนายก้องภพ ผู้ต้องหา อ้างว่า ตั้งใจเดินสายหลอกลวง ตั้งแต่แรก โดยความเป็นจริงไม่มีหน้าที่เป็นนายหน้าหาคนไปทำงานต่างประเทศแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้ประสบการณ์ ที่เคยไปทำงานต่างประเทศ ในการหาช่องทางหลอกลวงให้ดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น จะเรียกรับจากเหยื่อ รายละ 1-2 หมื่นบาท ซึ่งเป็นจำนวนไม่มาก ก็เพราะทราบว่าชาวบ้านส่วนใหญ่มีเงินไม่มากนัก จึงไม่กล้าหลอกเอามากมายนัก มีผู้ตกเป็นเหยื่อหลายรายก่อนที่จะถูกติดตามจับกุมตัว เงินที่ได้มานำไปใช้จ่าย ส่วนตัว และบ่อยครั้งจะนัดหมายรวมตัวกับกลุ่มเพื่อนที่มีความหลากหลายทางเพศโดยเฉพาะกลุ่มชายรักชาย จัดงานปาร์ตี้กัน

ที่มา: ข่าวสด, 20/1/2561

เร่งกวาดจับแรงงานต่างด้าวค้าขายที่เปิดแผงค้าขาย ล่าสุดรวบแล้วกว่า 60 ราย

นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่าตามที่พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้กรมการจัดหางานเร่งดำเนินการกวดขัน ปราบปราม จับกุม แรงงานต่างด้าวที่แย่งอาชีพคนไทย ซึ่งก่อความเดือดร้อนให้ผู้ประกอบอาชีพคนไทยเป็นจำนวนมาก สำหรับช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กรมการจัดหางานทั่วประเทศ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างด้าว และได้จับกุมแรงงานที่ขายสินค้า ขายอาหาร ตามแผงต่างๆ รวมทั้งใช้รถเข็นเร่ขายอาหารไปแล้วจำนวน 65 คน โดยส่วนใหญ่เป็นสัญชาติเมียนมา 59 คน รองลงมาลาว 4 คน และเวียดนาม 2 คน

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้นำแรงงานต่างด้าวส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ในข้อหาเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับ 2,000-100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และข้อหาทำงานผิดเงื่อนไขในใบอนุญาตทำงานกำหนด มีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560

อย่างไรก็ตามหากพบเห็นคนต่างด้าวที่ทำงานผิดกฎหมายขอให้แจ้งข้อมูลมาที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้เข้าตรวจสอบดำเนินคดีตามกฎหมาย

ที่มา: ไทยรัฐ, 19/1/2561

กระทรวงแรงงานเตรียมส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ทำความเข้าใจ "นายจ้าง-ลูกจ้าง" พร้อมชี้แจงเหตุผลการปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามอัตราใหม่

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการค่าจ้างมีมติปรับค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 นั้น กสร.เตรียมความพร้อม โดยได้สั่งการให้พนักงานตรวจแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานทั่วประเทศเร่งลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ และเข้าไปทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ นายจ้าง และลูกจ้าง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างค่าจ้างตามอัตราที่ปรับเพิ่ม ตลอดจนชี้แจงเหตุผลการปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามอัตราใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้มีผลกระทบต่อทั้งลูกจ้างเก่าและลูกจ้างใหม่

อธิบดี กสร.กล่าวต่อไปว่า ช่วงก่อนที่ค่าจ้างขั้นต่ำอัตราใหม่จะมีผลบังคับใช้ กสร.จะมุ่งเน้นสร้างความเข้าใจและชี้แจง รวมไปถึงรับฟังปัญหาเพื่อให้โอกาสนายจ้างปรับตัว และเน้นการบริหารจัดการเพื่อช่วยให้นายจ้างและลูกจ้างอยู่ได้ หลังจากที่อัตราค่าจ้างดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว จะกำกับดูแลให้สถานประกอบกิจการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 19/1/2561

พาณิชย์เผยปรับค่าแรงขั้นต่ำปี 2561 กระทบต้นทุนสินค้าเฉลี่ย 0.05% ยันผู้ผลิตใช้เป็นเหตุผลขึ้นราคาไม่ได้

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ศึกษาผลกระทบการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 2561 ที่ได้มีการปรับขึ้นทุกจังหวัด แต่ไม่เท่ากัน โดยเฉลี่ยพบว่าปรับขึ้น 3.4% หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10.50 บาท มีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าต่ำสุด 0.0008% และสูงสุดอยู่ที่ 0.1% หรือมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.05% ซึ่งถือว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนไม่มาก ผู้ผลิตจะใช้เป็นเหตุผลในการปรับขึ้นราคาสินค้าไม่ได้

"ในสัปดาห์หน้ากระทรวงพาณิชย์จะนัดหารือภาคเอกชนทุกกลุ่มสินค้าอีกครั้ง เพื่อแจ้งให้ทราบว่าผลการวิเคราะห์ต้นทุนค่าแรงขั้นต่ำกระทบต่อต้นทุนสินค้าเท่าไร และภาคเอกชนมีความเห็นอย่างไร ถ้าพบว่าไม่มีผลกระทบต่อต้นทุนสินค้า ก็จะขอความร่วมมือให้ตรึงราคาจำหน่ายต่อไป แต่ถ้ามีผลกระทบ มีผลกระทบเท่าไร มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องมาหารือพูดคุยกันก่อน

นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ยังได้วิเคราะห์ผลการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำต่อภาคการผลิต โดยพบว่า ต้นทุนค่าแรงในภาคการผลิตและบริการจะเพิ่มขึ้น 10,006 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 0.07% ของจีดีพี โดยภาคบริการที่มีการใช้แรงงานเข้มข้นจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงมากสุด 3 อันดับแรก คือ การก่อสร้าง การขายส่งและการขายปลีก , การซ่อมยานยนต์และรถจักรยานยนต์ , โรงแรมและบริการด้านอาหาร ส่วนภาคอุตสาหกรรม คือ ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม , การฟอกและตกแต่งหนังฟอก , เครื่องจักรสำนักงานโลหะขั้นมูลฐาน

ส่วนผลกระทบต่อการส่งออก จะทำให้ต้นทุนการส่งออกเพิ่มขึ้น 0.022% หรือมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 167 ล้านบาทต่อปี โดยสาขาที่มีสัดส่วนต้นทุนเพิ่มมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ การพิมพ์ เครื่องหนัง เครื่องแต่งกาย โลหะประดิษฐ์ และเฟอร์นิเจอร์ ส่วนอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบน้อย ได้แก่ เคมีภัณฑ์ สิ่งทอ และยานยนต์

สำหรับผลกระทบต่อเงินเฟ้อ พบว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 0.08% และทำให้กรอบคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี 2561 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดิม 0.6-1.6% เพิ่มเป็น 0.7-1.7%

ทั้งนี้ หากพบเห็นว่ามีสินค้าหรือบริการใดปรับขึ้นราคา ขอให้ประชาชนแจ้ง /ให้ร้องเรียนเข้ามาได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบให้ทันที และยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบประชาชน

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 18/1/2561

เคาะแล้ว ค่าแรงขั้นต่ำปี 2561 ปรับเพิ่มทั่วประเทศ 5-22 บาท

วันที่ 17 ม.ค.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กระทรวงแรงงาน นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 19 ครั้งที่ 2/2561 โดยหารือประเด็น การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2561 ใช้เวลาประชุมนาน 7 ชั่วโมง ได้ข้อสรุปอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2561 แบ่งเป็น 7 อัตรา คือ ตั้งแต่ 5-22 บาท ได้แก่

-ปรับขึ้นเป็น 308 บาท 3 จังหวัด คือ จ.นราธิวาส จ.ยะลา จ.ปัตตานี

-ปรับขึ้นเป็น 310 บาท 22 จังหวัด คือ จ.สิงห์บุรี จ.นครศรีธรรมราช จ.ตรัง จ.แม่ฮ่องสอน จ.ลำปาง จ.ลำพูน จ.เชียงราย จ.สุโขทัย จ.กำแพงเพชร จ.พิจิตร จ.อุทัยธานี จ.ศรีสะเกษ จ.ตาก จ.ชัยภูมิ จ.อำนาจเจริญ จ.แพร่ จ.ราชบุรี จ.ระนอง จ.มหาสารคาม จ.ชุมพร จ.หนองบัวลำภู จ.สตูล

-ปรับขึ้นเป็น 315 บาท 21 จังหวัด คือ จ.ร้อยเอ็ด จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.นครสวรรค์ จ.สระแก้ว จ.พัทลุง จ.อุตรดิตถ์ จ.อุดรธานี จ.นครพนม จ.บุรีรัมย์ จ.สุรินทร์ จ.เพชรบุรี จ.พิษณุโลก จ.เพชรบูรณ์ จ.ชัยนาท จ.เลย จ.ยโสธร จ.พะเยา จ.บึงกาฬ จ.น่าน จ.กาญจนบุรี จ.อ่างทอง

-ปรับขึ้นเป็น 318 บาท 7 จังหวัด คือ จ.จันทบุรี จ.สมุทรสงคราม จ.สกลนคร จ.มุกดาหาร จ.นครนายก จ.กาฬสินธุ์ จ.ปราจีนบุรี

-ปรับขึ้นเป็น 320 บาท 14 จังหวัด ได้แก่ จ.อุบลราชธานี จ.สุพรรณบุรี จ.สระบุรี จ.พระนครศรีอยุธยา จ.หนองคาย จ.ลพบุรี จ.ตราด จ.ขอนแก่น จ.สงขลา จ.สุราษฎร์ธานี จ.กระบี่ จ.เชียงใหม่ จ.นครราชสีมา จ.พังงา

-ปรับขึ้นเป็น 325 บาท 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จ.นครปฐม จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี จ.สมุทรปราการ จ.สมุทรสาคร จ.ฉะเชิงเทรา

-ปรับขึ้นเป็น 330 บาท 3 จังหวัด ได้แก่ จ.ภูเก็ต จ.ชลบุรี จ.ระยอง

ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ในที่ประชุมได้เสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ เช่น การลดหย่อนภาษี ส่วนการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2561 เป็นต้นไป ซึ่งจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้เห็นชอบในสัปดาห์หน้า

ที่มา: ThaiPBS, 17/1/2561

ครม.เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กเพื่อเป็นสวัสดิการของลูกจ้าง

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ในวันนี้ว่า ที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการมีบุตร โดยให้ปรับเพิ่มค่าลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่คนที่ 2 เป็นต้นไป ของผู้มีเงินได้หรือของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ซึ่งเกิดตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป โดยให้หักลดหย่อนได้เพิ่มอีก 30,000 บาท รวมเป็น 60,000 บาท ต่อคนต่อปีภาษี และให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี 61 ที่จะต้องยื่นรายการในปี 62

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ผู้มีเงินได้หรือคู่สมรส สามารถนำค่าฝากครรภ์หรือค่าคลอดบุตรไปหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามจำนวนที่จ่ายจริงสำหรับการตั้งครรภ์ไม่เกิน 60,000 บาท โดยมาตรการดังกล่าวนั้น เพื่อรองรับโครงสร้างของประเทศที่ปรับเปลี่ยนเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากตัวเลขพบว่า ในปี 2579 ประเทศไทยจะก้าวสู่การเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอดที่มีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุถึง 30% โดยมาตรการดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลให้รัฐสูญรายได้ประมาณปีละ 2,500 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมครม.ยังได้เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กเพื่อเป็นสวัสดิการของลูกจ้าง สำหรับสถานประกอบการของบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กในสถานประกอบการมาหักเป็นรายจ่ายได้ตามที่จ่ายจริงและสามารถหักได้เพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กเพื่อเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานให้แก่ลูกจ้าง และถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของลูกจ้างด้วย โดยให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในรอบระยะบัญชีที่เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2561-31 ธันวาคม 2563

โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าว จะส่งผลให้รัฐสูญรายได้ไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี หรือไม่เกิน 60 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีของมาตรการดังกล่าว

นายณัฐพร กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ยังได้อนุมัติมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่สถานพยาบาลตามพ.ร.บ.สถานพยาบาล สำหรับการบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป เพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการบริจาคเพื่อการดำเนินงานของสถานพยาบาล โดยคาดว่ามาตรการนี้จะมีผลต่อการจัดเก็บภาษีลดลงเพียงเล็กน้อย แต่มาตรการดังกล่าวจะช่วยลดภาระการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐในด้านสาธารณสุข สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สถานพยาบาลนั้น จะให้บุคคลธรรมดา หักลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาแล้วต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่นๆ

ขณะที่บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้หักเป็นรายจ่ายได้เป็น 2 เท่าของการบริจาค ไม่ว่าจะได้จ่ายเป็นเงินหรือทรัพย์สิน แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายที่เป็นการจ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบแล้ว ต้องไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศล สาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 16/1/2561

สั่งจัดการกรณี "แรงงานต่างด้าว" แย่งงานคนไทย

นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ชี้แจงถึงกรณีที่มีข่าวว่าขณะนี้มีแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม เข้ามาประกอบอาชีพแย่งงานคนไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในย่านพัทยา จังหวัดชลบุรี และระนอง ว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มิได้นิ่งนอนใจโดยได้สั่งการให้กรมการจัดหางานเร่งตรวจสอบติดตาม กวดขันอย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้คนไทยได้รับความเดือดร้อน ซึ่งอาชีพขายของหน้าร้าน หรือเร่ขายของ เช่น ขายผลไม้ ดอกไม้ เป็นต้น เป็นงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำตามกฎหมาย ซึ่งในปีงบประมาณ 2560 ที่ผ่านมา ช่วงเดือนตุลาคม 2559-กันยายน 2560 กรมการจัดหางานได้มีการตรวจสอบและดำเนินคดีนายจ้างและแรงงานต่างด้าวไปแล้ว ซึ่งมีผลการดำเนินงานทั่วประเทศคือ ตรวจสอบนายจ้างและสถานประกอบการ จำนวน 3,564 ราย แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม จีน อินเดีย บังกลาเทศ และอื่นๆ จำนวน 2,397 คน และดำเนินคดีนายจ้าง/สถานประกอบการที่ฝ่าฝืนกฎหมายจำนวน 246 ราย แรงงานต่างด้าว จำนวน 1,609 คน

"ขอเตือนนายจ้างให้จ้างแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีใบอนุญาตทำงานและทำงานตรงกับประเภทงาน และกับนายจ้าง ท้องที่หรือเงื่อนไขในการทำงานตามที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตทำงาน ขณะเดียวกันแรงงานต่างด้าวต้องมีใบอนุญาตทำงานและทำงานตรงกับที่ระบุไว้ในใบอนุญาตทำงานรวมทั้งห้ามทำงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย" นายอนุรักษ์กล่าว

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 16/1/2561

กสร.ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ ลดภาระหนี้ลูกจ้าง

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่าคณะกรรมการกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน มีมติเห็นชอบให้กองทุนฯจัดทำโครงการเงินกู้เพื่อวิถีแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีตามศาสตร์พระราชา เปิดโอกาสให้สหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจกู้ยืมเงินผ่านกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงานในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี และนำไปให้ลูกจ้าง พนักงานที่เป็นสมาชิกกู้ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจที่มีรายได้น้อย (รายได้ต่อเดือนไม่เกิน 35,000 บาท) สามารถเข้าถึงบริการของกองทุนฯ และนำไปใช้ปลดเปลื้องหนี้สินนอกระบบ หนี้บัตรเครดิต ตลอดจนนำไปพัฒนารายได้ของตนเองและครอบครัว

สำหรับโครงการเงินกู้เพื่อวิถีแห่งคุณภาพชีวิตที่ดีตามศาสตร์พระราชาการ มีงบประมาณในการดำเนินการ 50 ล้านบาทปล่อยกู้ให้สหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการหรือสหกรณ์ออมทรัพย์ในรัฐวิสาหกิจสูงสุด ไม่เกินสหกรณ์ละ 10 ล้านบาท

ทั้งนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถยื่นคำขอกู้เงินจากกองทุนฯ พร้อมรายละเอียดโครงการและหลักฐานเอกสารที่เกี่ยวข้องได้ตั้งแต่วันนี้ (15 ม.ค.) เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ม.ค.2561

ที่มา: สำนักข่าวไทย, 15/1/2561

ก.แรงงาน รับสมัครชายไทยไปทำงานช่าง ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)

กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน รับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานกับนายจ้างบริษัท CROWN Emirates Company Ltd. ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตำแหน่งช่าง 15 อัตรา ระยะเวลาจ้างงาน 3 ปี นายจ้างจัดอาหารให้วันละ 3 มื้อ พร้อมจ่ายค่าโดยสารเครื่องบินไป-กลับ หากทำงานครบตามสัญญาจ้าง สมัครฟรีตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 30 มกราคม 2561

นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน แจ้งว่า กรมการจัดหางานรับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานกับนายจ้างบริษัท CROWN Emirates Company Ltd. ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตกระป๋องเครื่องดื่ม จำนวน 4 ตำแหน่ง 15 อัตรา คือ 1. ช่างไฟฟ้า จำนวน 2 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 2,750 ดีแรมห์ (AED) หรือประมาณ 24,405 บาท 2. ผู้ช่วยช่างบำรุงรักษาเครื่องจักรกล จำนวน 8 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 2,500 ดีแรมห์ (AED) หรือประมาณ 22,187 บาท 3. ช่างเครื่องกล จำนวน 4 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 2,500 ดีแรมห์ (AED) หรือประมาณ 22,187 บาท 4. เจ้าหน้าที่ควบคุมคุณภาพ จำนวน 1 อัตรา ค่าจ้างเดือนละ 2,500 ดีแรมห์ (AED) หรือประมาณ 22,187 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 3 มกราคม 2561) ระยะเวลาการจ้าง 3 ปี นายจ้างจัดอาหารให้วันละ 3 มื้อ พร้อมจัดหาที่พักให้ตามความเหมาะสม ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 6 วัน หรือ 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และจ่ายค่าบัตรโดยสารเครื่องบินเที่ยวไปและกลับประเทศไทยเมื่อทำงานครบสัญญาจ้าง คุณสมบัติเป็นเพศชาย สัญชาติไทย อายุระหว่าง 20-35 ปี วุฒิการศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือปริญญาตรี

นายอนุรักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้สนใจสามารถติดต่อสมัครงานด้วยตนเอง พร้อมหลักฐานการสมัครได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนพร้อมสำเนา สำเนาทำเบียนบ้าน สำเนาวุฒิการศึกษา สำเนาขึ้นทะเบียนทหาร (สด.8 สด.9 หรือสด.43) รูปถ่าย 2 นิ้ว จำนวน 1 รูป สำเนาหนังสือเดินทาง (ถ้ามี) ใบรับรองการผ่านงาน (ถ้ามี) สมัครได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 30 มกราคม 2561 ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่1-10 หรือกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน อาคารสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3 ภายในบริเวณกระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ เป็นการดำเนินการจัดส่งไปทำงานต่างประเทศโดยรัฐจัดส่ง คนหางานไม่ต้องเสียค่าสมัครหรือค่าบริการใดๆ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2245 1034 หรือโทร.สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

ที่มา: กรมการจัดหางาน, 15/1/2561

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ฝ่ายก้าวหน้าสหรัฐฯ เรียกชุมนุมคุ้มครองสวัสดิการเด็ก-ผู้อพยพ ตั้งแต่ก่อนปรากฏการณ์ #TrumpShutdown

Posted: 20 Jan 2018 08:15 PM PST

ก่อนหน้าที่จะเกิดการชัทดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ครั่งล่าสุดจากการไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณในวุฒิสภา กลุ่มฝ่ายก้าวหน้าในสหรัฐฯ เรียกร้องให้มีการประท้วงต่อต้านการชัทดาวน์ดังกล่าว การนัดประท้วงของพวกเขายังอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับการชุมนุมรำลึก Women's March ที่มีการเรียกร้องให้ต่ออายุการคุ้มครองผู้ลี้ภัยที่เข้าเมืองตั้งแต่วัยเด็ก (DACA) และมีงบประมาณหลักประกันสุขภาพสำหรับเด็ก (CHIP)

 
ในช่วงคืนวันศุกร์ที่ 19 ม.ค. 2561 ตามเวลาของสหรัฐฯ แฮ็ชแท็ก #TrumpShutdown กลายเป็นที่นิยมในหน้าฟีดของทวิตเตอร์เนื่องจากปรากฏการณ์ที่สื่อ Vox เรียกว่า "เป็นภาวะรัฐบาลกลางหยุดทำการ (Government shutdown) ครั้งแรกที่เกิดในช่วงที่มีพรรคการเมืองพรรคเดียวครองอำนาจในสภา"
 
ภาวะรัฐบาลกลางหยุดทำการเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วในสหรัฐฯ โดยที่ในครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นเมื่อวุฒิสภาปฏิเสธจะผ่านร่างงบประมาณของรัฐบาลกลางไปจนถึงวันที่ 16 ก.พ. ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องงบประมาณประกันสุขภาพเด็กและการต่ออายุโครงการคุ้มครองเด็กผู้อพยพในสหรัฐฯ ที่ชื่อ "การยื่นขอผ่อนผันเพื่ออยู่ในประเทศชั่วคราวสำหรับการเข้าเมืองตั้งแต่ในวัยเด็ก" (Deferred Action for Childhood Arrivals หรือ DACA) หรือที่เรียกกันว่า "Dreamer" หรือ #DreamAct
 
หลังจากการลงมติที่ดำเนินไปเป็นเวลา 2 ชั่วโมงในช่วงคืนวันที่ 19 ม.ค. ที่ผ่านมา ผลออกมาด้วยคะแนน 50-49 เสียง ซึ่งการผ่านร่างงบประมาณกลางสหรัฐฯ ตองอาศัยคะแนนเสียงอย่างน้อย 60 เสียง สื่อเดอะฮิลล์ตั้งข้อสังเกตว่ามี ส.ว. บางส่วนจากทั้งสองพรรคที่ไม่ได้โหวตไปในทำนองเดียวกับ ส.ว. คนอื่น ๆ ในพรรค ขณะเดียวกันทั้งสองพรรคต่างฝ่ายต่างก็กล่าวโทษกันไปมาในเรื่องที่ตกลงไม่ได้จนทำให้เกิดการ "ชัทดาวน์" ในที่สุด
 
สื่อสหรัฐฯ คอมมอนดรีมส์รายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และพรรครีพับลิกันถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วในเรื่องที่พวกเขาไม่สามารถตกลงผ่านร่างงบประมาณโครงการประกันสุขภาพเด็ก (CHIP) ได้ รวมถึงพยายามอ้างโครงการ DACA มาเป็น "เบี้ยต่อรอง" ในการผลักดันให้มีกฎหมายกำกับควบคุมการเข้าเมืองเข้มงวดมากยิ่งขึ้น
 
เรื่องนี้ทำให้กลุ่มฝ่ายก้าวหน้าในสหรัฐฯ ที่ประเมินว่าจะเกิดเหตุการณ์ชัทดาวน์เช่นนี้รวมตัวกันประท้วงหน้าอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในช่วงก่อนเสร็จสิ้นการประชุมลงมติงบประมาณ โดยเรียกร้องไม่ให้มีการชัทดาวน์เกิดขึ้นโดยให้มีการต่ออายุคุ้มครอง DACA ต่อไป และผ่านร่างงบประมาณประกันสุขภาพเด็ก แต่ข้อเรียกร้องของพวกเขาก็ไม่ได้รับการตอบสนองและมีการ #TrumpShutdown เกิดขึ้นในที่สุด
 
ขณะที่ฝ่ายรีพับลิกันพยายามกล่าวหาว่า ส.ว. เสียงข้างน้อยพรรคเดโมแครตทำให้เกิดการหยุดทำการชั่วคราวขึ้นด้วยการพยายามคัดค้านร่างงบประมาณที่ไม่มีงบประมาณเกี่ยวกับ DACA อยู่ด้วย ฝ่ายก้าวหน้าผู้จัดการชุมนุมประกาศผ่านอีเวนต์เฟซบุ๊กว่า โดนัลด์ ทรัมป์ และพรรครีพับลิกันพยายามทำให้เกิดการชัทดาวน์เพื่อสนับสนุนวาระการเหยียดเชื้อชาติและการต่อต้านผู้อพยพของตัวเอง
 
กลุ่มที่จัดการชุมนุมได้แก่ ยูไนเต็ดวีดรีม, ศูนย์เพื่อความก้าวหน้าอเมริกัน, แพลนด์พาเรนต์ฮู้ด, MoveOn.org และกลุ่มอื่นๆ พวกเขาระบุว่าถ้าหากพรรครีพับลิกันทำการชัทดาวน์รัฐบาลจริง ๆ ผู้คนควรจะเรียกร้องให้พวกเขาทำงานของตัวเอง ผ่านร่างงบประมาณที่มีการสนับสนุนการผ่อนผันคนเข้าเมืองในวัยเด็กที่เรียกว่า #DreamAct และหยุดยั้ง #TrumpShutdown
 
นอกจากเรื่องของ #TrumpShutdown แล้ว ในวันที่ 20 ม.ค. ตามเวลาสหรัฐฯ ยังเป็นวันที่มีการนัดชุมนุม "การเดินขบวนของผู้หญิง" หรือ Women's March ประจำปี 2561 ในวาระครบรอบ 1 ปี Women's March ครั้งแรกสุดที่เป็นการต่อต้านพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ อย่างไรก็ตามในปีนี้กลุ่มผู้ประท้วงการชัดดาวน์ของรัฐบาลเรียก้องให้พวกเขาเป็นแนวร่วมในการส่งเสียงแสดงความไม่พอใจต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ในประเด็นนี้ด้วย
 
โดยที่ Women's March ในปีนี้ก็มีกลุ่มผู้ประท้วงที่เรียกร้องให้มีการคุ้มครองผู้อพยพจากโครงการ DACA ผู้ที่อยู่มาตั้งแต่เด็กและทำงานในสหรัฐฯ มาเป็นเวลานาน และเรียกร้องให้มีหลักประกันสุขภาพของเด็กอยู่ในร่างงบปะมาณ
 
เรียบเรียงจาก
 
Resistance Groups Protest #TrumpShutdown as Women's March Begins Weekend of Action, Common Dreams, 20-01-2018
 
Progressive Groups Rally Ahead of Possible #TrumpShutdown to Condemn 'Racist, Anti-Immigrant Agenda', Common Dreams, 19-01-2018
 
#TrumpShutdown becomes top trending hashtag worldwide, The Hill, 19-01-2018
 
Senate rejects funding bill, partial shutdown begins, The Hill, 19-01-2018
 
This is the first real government shutdown under one-party government, ever, Vox, 20-01-2018

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น