โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ประวิตร ย้ำกรณีนาฬิกาหรู ให้เป็นไปตามกฎหมาย ประธาน ป.ป.ช.ยันไม่หนักใจ

Posted: 08 Jan 2018 07:43 AM PST

พล.อ.ประวิตร ย้ำกรณีนาฬิกาหรู ให้เป็นไปตามกฎหมาย ประธาน ป.ป.ช.ยันไม่หนักใจการตรวจสอบ พร้อมระบุไม่เร่งรีบแก้คำสั่งเรื่องรับของขวัญ

8 ม.ค.2561 ความคืบหน้ากรณีนาฬิกาข้อมือหรูที่ปรากฎขึ้นมาหลังจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สวมใส่ถ่ายรูปหมู่คณะรัฐมนตรีเมื่อ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา จนเกิดการตั้งข้อสังเกตุในโซเชียลเน็ตเวิร์ก พร้อมทั้งตรวจสอบพบว่าไม่มีในรายการทรัพย์สินที่แจ้งต่อ คณะกรรมการป้องกันะละกราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นั้น

ล่าสุดวันนี้ (8 ม.ค.61)พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงการชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ว่า ได้ส่งหนังสือชี้แจงไปเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างให้ว่าไปตามกฎหมาย

เมื่อถามว่าคนในโลกโซเชียลมีเดียวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนาฬิกาอย่างหนัก พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "อันนั้นเป็นเรื่องของโซเชียลมีเดีย คุณจะฟังทำไม จะเอาสิ่งที่คนคิดมาถามได้ไง" และเมื่อถามว่า ได้ชี้แจงนาฬิกาที่ครอบครองไปทุกเรือนเลยหรือไม่ และได้ส่งหนังสือชี้แจง ป.ป.ช. รอบ 2 แล้วหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ไม่รู้" แล้วเดินหนีนักข่าวทันที

ประธาน ป.ป.ช. ยันไม่หนักใจตรวจสอบนาฬิกาหรู

ขณะที่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ยืนยันไม่หนักใจที่จะต้องตรวจสอบกรณีแหวนเพชรและนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร และที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร ไม่เคยมาปรับทุกข์หรือสอบถามเรื่องข้อกฎหมายกับตนด้วย เพราะต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง

"มติในเรื่องนี้ จะต้องเป็นเสียงส่วนใหญ่จาก ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน และมติของคนใดคนหนึ่ง โดยเฉพาะผม จะไปมีอิทธิพลต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่ได้ เพราะท้ายที่สุดคณะกรรมการฯ ต้องรับผิดชอบกับมติที่ออกมา และต้องตอบคำถามต่อสังคมให้ได้" พล.ต.อ.วัชรพล กล่าว

พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวอีกว่า ได้ย้ำกับเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไปแล้วว่ากรณีนี้เป็นเรื่องที่สังคมสนใจ ดังนั้นต้องดำเนินการให้ชัดเจน โปร่งใส ตามพยานหลักฐาน และเป็นไปตามกระบวนการและขั้นตอน  โดยหากมีข้อมูลมากขึ้น หรือต้องเชิญพยานบุคคลเพิ่มขึ้น ก็อาจต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างครบถ้วนรอบด้าน

ประธาน ป.ป.ช. ยังกล่าว กล่าวถึงแนวคิดเรื่องการแก้ประกาศ ป.ป.ช.เพื่อเพิ่มมูลค่ารับหรือให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดของเจ้าหน้าที่รัฐ ในมูลค่า 3,000 บาท ว่า เป็นแนวคิดที่มีมานานแล้ว แต่จะไม่เร่งดำเนินการ เพราะไม่ใช่นโยบายเร่งด่วน  ซึ่งหากจะปรับแก้ไข ก็ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งเรื่องค่าครองชีพ ข้อกฎหมาย และความเหมาะสม โดยต้องตั้งคณะอนุกรรมการที่มีผู้แทนภาคธุรกิจ เอกชน มาแสดงความคิดเห็นด้วย เพื่อไม่ให้การปรับแก้ประกาศของ ป.ป.ช.ไปกระทบกับองค์กรอื่น ๆ ส่วนข้อเสนอจากหลายฝ่ายให้ปรับมูลค่าการรับของขวัญเป็น 0 บาท  ก็ต้องพิจารณาในหลายเรื่องว่าจะกระทบการค้า หรือธรรมเนียมในต่างประเทศหรือไม่

พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า และในวันนี้ กรรมการ ป.ป.ช.ได้ร่วมกันลงนามบันทึกในคำรับรองการปฏิบัติราชการของสำนักงาน ป.ป.ช. พร้อมทั้งมอบนโยบายการทำงานให้กับ ป.ป.ช.จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ทำงานสอดรับกับกฎหมาย ป.ป.ช.ฉบับใหม่ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้

พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา ป.ป.ช.สามารถสะสางคดีค้างเก่าได้จำนวนมาก และจะตั้งเป้าให้การทำงานมีกรอบเวลาที่ชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้เกิดความกระจ่างกับสังคมและเป็นไปตามที่กฎหมายระบุไว้

ที่มา : สำนักข่าวไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เจรจาพิพาทแรงงาน มิตซูบิชิฯ ครั้งที่ 11 ยังไม่คืบนัดใหม่ ผวจ.ชลบุรี นั่งหัวโต๊ะ

Posted: 08 Jan 2018 07:22 AM PST

 

ภาพคนงานที่ชุมนุมภายในวัดมาบสามเกลียว หมู่ 7 ต.ดอนหัวฬ่อ อ.เมืองชลบุรี (ที่มาภาพ Paan-Bussayarut Kanchanadith)

8 ม.ค.2561 ความคืบหน้ากรณีบริษัท มิตซูบิชิ อิเล็คทริค คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) จำกัด ใช้สิทธิปิดงานหลังจากเกิดข้อพิพาทเรื่องค่าจ้างกับสหภาพแรงงานมิตซูบิชิ อีเล็คทริค ประเทศไทย ทำให้พนักงานประมาณ 1,800 คน ขาดรายได้นับตั้งแต่ปลายปี 2560 และนัดเจรจาไกล่เกลี่ยอีกครั้งในวันนี้ (8 ม.ค.61) นั้น

ล่าสุด มติชนออนไลน์ รายงานว่า สหภาพแรงงานมิตซูบิชิฯ ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ระบุว่า มีสมาชิกประมาณ 1,800 คน ซึ่งนับตั้งแต่เกิดปัญหาได้มีการเจรจาข้อเรียกร้องมาตั้งแต่วันที่ 7 ก.ย.60 ซึ่งการเจรจาผ่านไป 10 ครั้ง แต่ไม่ได้ข้อยุติ กระทั่งมีการนัดหมายเจรจาครั้งที่ 11 เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2560 ที่สำนักงานสวัสดิการคุ้มครองแรงงาน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี แต่ตัวแทนบริษัทไม่ไปตามนัด เจ้าหน้าที่ประนอมข้อพิพาทจึงนัดไกล่เกลี่ยในวันที่ 8 ม.ค.นี้ ทั้งนี้ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าในปี 56-60 บริษัทมีกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 56 กำไร 4,488,157,811 ล้านบาท ปี 57 กำไร 7,786,189,579 ล้านบาท ปี 58 กำไร 7,503,285,560 ล้านบาท ปี 59 กำไร 8,871,412,241 ล้านบาท และปี 60 กำไร 8,986,060,301 ล้านบาท

วันเดียวกัน สมชาย ไชยมาตย์ รองประธานสหภาพแรงงานมิตซูบิชิฯ ฝ่ายคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า วันนี้ทุกฝ่ายได้นัดเจรจาในเวลา 10.00 น. แต่ตัวแทนบริษัท มิตซูบิชิฯ ยึกยักและขอเลื่อนการเจรจาเรื่อยมา โดยมีตัวแทนจากกระทรวงแรงงาน และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นผู้ประสานงาน กระทั่งได้พูดคุยร่วมกันในเวลา 14.30 น. พร้อมอ้างว่า ชาลี ลอยสูง ในฐานะที่ปรึกษาสหภาพแรงงานฯ ไม่สามารถเป็นตัวแทนเข้าประชุมได้ แต่ไกล่เกลี่ยจนเป็นผลให้เข้าประชุมได้ตามกฎหมาย เบื้องต้น ยังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาเพิ่มเติม ส่วนรูปแบบการเจราจานั้น ได้แยกห้องฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ประสานงาน ส่วนการพูดคุยไม่ได้กดดันหรือเคร่งเครียดแต่อย่างใด ทุกอย่างเป็นไปกระบวนการและขั้นตอน เพื่อหาข้อยุติโดยเร็วและเพื่อไม่ให้สมาชิกสหภาพแรงงานฯ ได้รับความเดือดร้อนจากการปิดงานงดจ้าง

"เนื่องจากวันนี้ไม่สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้ ขั้นตอนต่อไปคือ เจ้าหน้าที่แรงงานจังหวัดได้เดินทางไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เพื่อรายงานผลให้ทราบ และเชิญให้มานั่งเป็นหัวโต๊ะหรือประธานในการเจราจาร่วมกันทั้งสามฝ่าย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันทราบว่า บริษัท มิตซูบิชิฯ เริ่มได้รับผลกระทบในการผลิตเครื่องปรับอากาศแล้ว จากเดิมมีความสามารถผลิตงานได้ 30,000 ตัว รวม 21 สายการผลิต ขณะนี้สามารถผลิตได้เพียงวันละ 300 ตัวเท่านั้น" สมชาย กล่าว

ขณะที่ไทยรัฐออนไลน์ รายงานด้วยว่าภายในวัดมาบสามเกลียว หมู่ 7 ต.ดอนหัวฬ่อ อ.เมืองชลบุรี ได้มีคนงานของบริษัทมิตซูบิชิฯ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้วัด  กว่า 1 พันคน ชุมนุมถือป้ายประท้วงบริษัทที่ปิดตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา และได้ชุมนุมประท้วงมาครั้งหนึ่งแล้ว จนวันนี้เป็นวันทำงาน ทางบริษัทก็ยังไม่เปิดรับคนงานกว่า 1 พันคนเข้าทำงาน โดยมีเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลความสงบเรียบร้อยทั้งทหารและตำรวจ

เชิด นามสงคราม อายุ 47 ปี ประธานสหภาพแรงงานมิตซูบิชิ ประเทศไทย กล่าวว่า ปีที่แล้วทางสหภาพได้ยื่นข้อเสนอทางบริษัท และทางบริษัทก็ยื่นข้อเสนอกลับมา ได้มีการเจรจามา 20 ครั้งแล้ว แต่ยังตกลงกันไม่ได้ กระทั่งเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ทางบริษัทก็ใช้สิทธิ์ปิดงาน ทำให้พวกเราต้องมาอยู่ที่นี่ เพราะบริษัทไม่ให้เข้าโรงงาน ตนขอฝากบอกผู้สื่อข่าวที่ไปลงข่าวผิดๆ ว่า ทางเราไม่ได้ชุมนุมประท้วงเรียกโบนัส ซึ่งหัวข้อหลักการเจรจาคือ โครงสร้างค่าจ้างเงินเดือนที่บริษัทปรับจากเดิมขึ้นค่าจ้างประจำปี เป็นเปอร์เซ็นต์ฐานเงินเดือนของใครของมัน แต่ทางบริษัทนำเสนอเป็นแบบฟิคเลต โดยที่ทุกคนได้ 400 บาทเท่ากันหมด ซึ่งมันแตกต่างกับการประเมินรายได้ของบริษัท

"สหภาพแรงงานในฐานะเป็นตัวแทน รับไม่ได้ และทางบริษัทยังยื่นข้อเสนอมาให้สหภาพแรงงานรับข้อเสนอ 3 ข้อ คือ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างค่าจ้าง การไม่หักค่าบำรุง และการทำงาน 3 กะ ทางพวกเรารับไม่ได้ อีกอย่างทางบริษัทมาปิดงานช่วงปลายปีพอดี ทำให้พวกเราเดือดร้อนมาก ข่าวที่ว่าเรียกร้องโบนัสไม่ใช่ ที่จริงคือเรารับไม่ได้กับการปรับโครงสร้างค่าจ้างประจำปี" ประธานสหภาพฯ กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประวิตรนำประชุมปรองดอง เตรียมพร้อมรับมือเลือกตั้ง - กกต.จ่อหารือกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น

Posted: 08 Jan 2018 05:38 AM PST

ประธานกกต.เชื่อสนช.ไม่แก้กม.ลูกเลือกตั้งให้อำนาจ กกต.ตรวจค้นได้โดยไม่มีหมายศาล ชี้ หากทำกลับไปกลับมา กฎหมายจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่ 'ไพบูลย์' พร้อมยื่นจัดตั้งพรรคประชาชนปฏิรูป 1 มี.ค. นี้ ระบุ 'นายกคนนอก' ต่างกับ พ.ค.35 อย่างสิ้นเชิง ทั้งบุคคลและบริบท

แฟ้มภาพ กระทรวงแรงงาน

8 ม.ค. 2560 รายงานข่าวระบุว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ  รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง โดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพ และตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง โดยจะเน้นย้ำถึงการพิจารณาแนวทางสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องของสาระในสัญญาประชาคมโดยเฉพาะเรื่องที่เป็นความคิดเห็นของประชาชนและได้มีการขับเคลื่อนอย่างไรบ้าง เพื่อแจ้งให้ประชาชนทราบ

นอกจากนี้ สาระในสัญญาประชาคมจะถูกพิจารณาบรรจุในแผนงานโครงการของแต่ละกระทรวง ในปี 2561 โดยจะมีความชัดเจน 1.การสร้างการรับรู้และจิตสำนึกของประชาชนในสัญญาประชาคม 2.กิจกรรมโครงการตามแผนงานของแต่ละกระทรวง จะสอดแทรกสาระสำคัญของสัญญาประชาคมไปด้วย 3.สร้างการรับรู้ ความเข้าใจกับประชาชนในปัญหาความเหลื่อมล้ำของสังคมในแต่ละพื้นที่ ที่แต่ละส่วนราชการได้เข้าไปขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา
 
รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า ที่ประชุมในวันนี้จะสรุปแผนงานปี 2560 และเตรียมแผนงานปี2561 เพื่อเตรียมการเลือกตั้งตามโรดแมปที่จะเกิดขึ้น
 
ภายหลังการประชุมดังกล่าว พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา มีความคืบหน้าในการสร้างการรับรู้สัญญาประชาคม แต่ยังไม่เพียงพอ ซึ่งปีนี้จะต้องเดินหน้าสร้างการรับรู้ให้ประชาชน สนับสนุนกระบวนการสร้างความปรองดอง เพื่อนำไปสู่เป้าหมายอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่แบ่งฝ่าย และไม่เกิดความขัดแย้งเหมือนที่ผ่านมา

พล.อ.ประวิตร ระบุว่าการขับเคลื่อนงานปรองดองของคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง จะเป็นคนละส่วนกับการเตรียมการเลือกตั้งและไม่ควรนำมาเชื่อมโยงกัน เพราะจะสร้างความสับสนได้ ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุถึงสถานะเป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร ตัวเองไม่ขอแสดงความเห็น และควรไปสอบถามเพิ่มเติมจากนายกรัฐมนตรีเอง ซึ่งนายกรัฐมนตรีไม่เคยมาตัวเองปรึกษาในเรื่องนี้ ส่วนตัวย้ำว่าไม่มีความคิดจะเล่นการเมืองอยู่แล้ว แค่มาทำงานการเมืองให้เท่านั้น

กกต.เตรียมหารือกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น

ขณะที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย เปิดเผยว่า พรุ่งนี้(9 ม.ค.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะหารือเรื่องการปรับแก้กฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่น หลังจากคณะกรรมการกฤษฎีกาปรับแก้คุณสมบัติของผู้สมัครให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ 2560 นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่น ๆที่เกี่ยวข้องอีกกว่า 30 ถึง 40 ประเด็น ที่ต้องแก้ไขพร้อมกัน เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างสุจริตและบริสุทธิ์ ทั้งนี้ หลังกกต.เห็นชอบ จะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ก่อนส่งให้กฤษฎีกาปรับแก้ไขและนำกลับเข้าครม.อีกครั้ง เพื่อส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา 
 
"คาดว่าจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสนช.ได้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และเมื่อสนช.ให้ความเห็นชอบประกาศใช้กฎหมายเป็นหน้าที่คสช. ที่จะพิจารณาว่าจะจัดการเลือกตั้งเมื่อใดและจัดเลือกตั้งในระดับใดก่อน โดยการเลือกตั้งท้องถิ่นจะใช้เวลาดำเนินการ 45 ถึง 60 วัน ซึ่งเชื่อว่าไม่กระชั้นชิดกับการเลือกตั้งใหญ่ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าจะเป็นช่วงเดือนไหน เพราะกฎหมายยังไม่ประกาศใช้" วิษณุ กล่าว

ประธาน กกต.เชื่อสนช.ไม่แก้กม.เพิ่มอำนาจตรวจค้นให้กกต.

ด้าน ศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. กล่าวถึงกรณีวิษณุ จะให้ กกต.แก้ไขกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น ว่า เบื้องต้นยังไม่มีวาระเรื่องดังกล่าวเสนอเข้าสู่ที่ประชุมกกต.ในวันพรุ่งนี้(9 ม.ค.) แต่ในฐานะผู้ปฏิบัติพร้อมปฏิบัติตาม กกต.พร้อมจัดการเลือกตั้งและเตรียมการเลือกตั้งทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นท้องถิ่นหรือเลือกตั้งทั่วไป อย่างไรก็ตาม ยังไม่ขอให้ความเห็นว่าควรจะเลือกตั้งระดับใดก่อน ขอให้เป็นหน้าที่ คสช. พิจารณา 
 
ส่วนกรณีสนช.จะแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งส.ส.และให้อำนาจกกต.ตรวจค้นได้โดยไม่มีหมายศาล ประธานกกต. กล่าวว่า ต้องขอบคุณกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วย ส.ส.ที่จะขอแปรญัตติเรื่องดังกล่าว   แต่ขอยืนยันว่าก่อนหน้านี้ฝ่ายสืบสวนสอบสวนของกกต.เคยเสนอเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ถูกตัดออกไป ซึ่งมองได้ว่าเป็นดาบสองคมให้อำนาจกกต.มากเกินไป และอาจใช้อำนาจโดยมิชอบ  ถ้ามองเจตนาที่ดีก็เพื่อความรวดเร็ว ให้การเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรม ซึ่งมีหลายอย่างในเรื่องแนวความคิด 
 
"แต่ตามกฎหมายที่ออกมาเมื่อเลือกตั้ง ก็ให้อำนาจกกต.เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา หากจะค้นต้องขอหมายศาล ซึ่งต้องทำด้วยความรับผิดชอบ เพียงแต่หากทำด้วยความรวดเร็ว การไปค้นโดยไม่ต้องมีหมายศาล จะทำให้การแก้ปัญหาทุจริตเร็วขึ้น แต่ต้องไม่มีการกลั่นแกล้ง  อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้สนช.พิจารณาผ่านไปแล้ว หากจะแก้ไขเหมือนทำกลับไปกลับมา เหมือนกฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ เชื่อเถอะว่าสนช.คงไม่พิจารณาให้อำนาจเรื่องนี้หรอก" ประธานกกต. กล่าว
 
เมื่อถามย้ำว่าเป็นการแก้ไขกฎหมายเพื่อยื้อเวลาการออกกฎหมายหรือไม่ ศุภชัยกล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ตามที่บอกการออกกฎหมายต้องใช้บังคับคนทั้งประเทศ ถ้าออกไปแล้วมาแก้ไขจะทำให้กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเมื่อกฎหมายออกมาอย่างไรกกต.พร้อมปฏิบัติตาม 

'ไพบูลย์' พร้อมยื่นจัดตั้งพรรคประชาชนปฏิรูป 1 มี.ค. นี้

ขณะที่ ไพบูลย์ นิติตะวัน  ประธานเครือข่าวประชาชนปฏิรูป และ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ยืนยัน เดินหน้าจัดตั้งพรรคการเมือง  ขณะนี้ อยู่ในขั้นเตรียมการจัดตั้งพรรค สามารถรวบรวมผู้สนใจพร้อมจ่ายเงินบริจาคเป็นทุนประเดิมก่อตั้งพรรค คนละ 1,000 บาท ได้ 500 คนแล้ว จากทุกภูมิภาค รวมถึง ทหารเกษียณด้วย แต่ต้องการจะให้ได้ 1,000 คน  
 
"วันที่ 1 มีนาคม นี้ พร้อมยื่นรายละเอียดจัดตั้ง ภายใต้ชื่อพรรคประชาชนปฏิรูป ตอนนี้ยืนยันในหลักการว่า พรรคจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ สุจริต มีความสามารถ  ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม" ไพบูลย์ กล่าว
 
ไพบูลย์ ยังกล่าวถึง กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศตัวเป็นนักการเมือง ว่า  การเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ถือเป็นนักการเมือง เป็นนักบริหารจัดการเมือง ตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ควรอยู่ในฐานะคนกลาง  อย่าไปเป็นสมาชิกพรรค หรือ บัญชีรายชื่อพรรค    
 
"ท่านยังต้องอยู่ในฐานะ นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้า คสช. ก่อนการเลือกตั้ง จึงไม่ควรอยู่ในบัญชีรายชื่อพรรค ควรจะเป็นกลาง จากนั้น หลังการเลือกตั้ง  ให้พรรคการเมืองแข่งขันกัน เมื่อเราเข้าไปอยู่ในสภาฯ ได้แล้ว ก็จะไปรวมสมาชิก ส.ส. ส.ว. ให้ได้ 375 คน เพื่อรอสนับสนุนท่าน เมื่อเรารวมกันได้ 375 คน อีกข้างหนึ่งก็ไม่สามารถรวมกันเสนอตั้งใครมาเป็นนายกฯ ได้" ไพบูลย์ กล่าว
 
ต่อคำถามที่ว่าเมื่อถามว่า การมีนายกรัฐมนตรีคนนอก จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงเหมือนช่วง พฤษภาคม 2535 หรือไม่ นั้น ไพบูลย์  กล่าวว่า สถานการณ์ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งตัวบุคคล  และบริบทสังคม อีกทั้ง นายกรัฐมนตรีคนนอกในปัจจุบัน หมายถึง นอกระบบบัญชี ถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนกลาง  เพราะการจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องได้รับการสนับสนุนจากสภาฯ อย่างท่วมท้น  จึงไม่มีปัญหา  ส่วนพรรคการเมืองจะโวยวาย ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเขาก็อยากสนับสนุนหัวหน้าพรรค  แต่ถ้าเสียงไม่พอก็ไม่ได้
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บอร์ด สปสช.เคาะปี 62 ชง ครม. งบเหมาจ่าย 3,634 บาทต่อประชากร

Posted: 08 Jan 2018 03:34 AM PST

บอร์ด สปสช. เคาะงบกองทุนบัตรทอง ปี 62 จำนวน 1.93 แสนล้านบาท เตรียมเสนอ ครม.พิจารณา ชี้เพิ่มขึ้นจากปี 61 กว่า 1.6 หมื่นล้าน แยกเป็นงบเหมาจ่ายกว่า 1.76 แสนล้าน เฉลี่ย 3,634 บาทต่อผู้มีสิทธิ์ 48.5 ล้านคน เผยหลังหักเงินเดือนบุคลากรภาครัฐคงเหลืองบเหมาจ่ายสู่กองทุน 1.29 แสนล้านบาท ขณะที่งบบริการนอกเหมาจ่าย อยู่ที่กว่า 1.7 หมื่นล้านบาท

8 ม.ค. 2561 รายงานข่าวระบุว่า ที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถ.แจ้งวัฒนะ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.)  ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบวาระ "ข้อเสนอนโยบายงบประมาณเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2562-2563" เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณา  

ทั้งนี้ บอร์ด สปสช. ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนองบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2562 และกรอบภาระงบประมาณ ปี 2563 เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติกรอบวงเงิน โดยงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2562 ใสส่วนของงบเหมาจ่ายรายหัวได้เสนอจำนวน 176,561.38 ล้านบาท หรือ 3,634.82 บาทต่อประชากรผู้มีสิทธิ คำนวณประชากรผู้มีสิทธิ จำนวน 48.57 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่ได้รับจัดสรรอยู่ที่ จำนวน 156,019 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น จำนวน 20,541.76 ล้านบาท หรือ 437.50 บาทต่อประชากรผู้มีสิทธิ (ร้อยละ 13.7) โดยปัจจัยส่งผลการปรับเพิ่มงบประมาณเป็นผลจากต้นทุนบริการ ทั้งจากอัตราเงินเฟ้อค่ายาและค่าตอบแทนบุคลากร ปริมาณการใช้บริการ และขอบเขตการบริการ รวมถึงนโยบายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งงบประมาณดังกล่าวเมื่อหักเงินเดือนบุคลากรภาครัฐ จำนวน 47,314.96 ล้านบาท คงเหลือเป็นงบประมาณที่เข้าสู่กองทุนฯ จำนวน 129,246.41 ล้านบาท

ส่วนงบประมาณนอกเหมาจ่ายรายหัว นำเสนอรายละเอียดดังนี้

1. งบบริการสาธารณสุขผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์ จำนวน 3,363.57 ล้านบาท

2. งบบริการสาธารณสุขไตวายเรื้อรัง จำนวน 8,281.79 ล้านบาท ดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะ

3. งบบริการบริการควบคุม ป้องกัน และรักษาโรคเรื้อรัง จำนวน 3,757.98 ล้านบาท

4. งบค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการในพื้นที่กันดาร พื้นที่เสี่ยงภัย และพื้นที่ชายแดนภาคใต้ จำนวน 1,490.28 ล้านบาท

5. งบค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 1,359.84 ล้านบาท

6. งบค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับการบริการระดับปฐมภูมิที่มีแพทย์ประจำครอบครัว จำนวน 1,443.14 ล้านบาท

รายงานข่าวระบุด้วยว่า จากงบ 6 รายการข้างต้นนี้ เมื่อรวมเป็นงบประมาณนอกเหมาจ่ายรายหัว คิดเป็นจำนวน 17,360.76 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2560 จำนวน 2,006.71 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13.1 จากปัจจัยต้นทุนการบริการ ปริมาณการใช้บริการ และขอบเขตบริการและนโยบายที่เพิ่มขึ้น และเมื่อรวมกับงบเหมาจ่ายรายหัว รวมเป็นงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทั้งสิ้น จำนวน 193,922.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ซึ่งได้รับจัดสรร จำนวน 177,367.97 ล้านบาท  หรือเพิ่มขึ้น16,554.35 ล้านบท (ร้อยละ 9.3) โดยหลังหักเงินเดือนบุคลากรภาครัฐแล้วเป็นงบเข้าสู่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวน 146,607.17 ล้านบาท

สำหรับข้อเสนอนโยบายงบประมาณกองทุนปี 2562 นี้ เป็นไปตามมติคณะกรรมการที่กำหนดสำหรับข้อเสนอนโยบายงบประมาณเงินกองทุน ปี 2561-2562 เชื่อมโยงการพิจารณาตามร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2559, (ร่าง) ยุทธศาสตร์ชาติ 6 ด้าน ระยะ 20 ปี, กรอบกฎหมาย พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 และนโยบาย รมว.สาธารณสุขและบอร์ด สปสช. ตลอดจนผลการตรวจสอบของหน่วยงานต่างๆ เป็นต้น พร้อมเพิ่มเติมจากผลการรับฟังความเห็นปี 2560, มติ ครม.ที่เกี่ยวข้อง และมติคณะกรรมการที่มอบให้ทบทวนและศึกษาในประเด็นต่างๆ

พร้อมกันนี้ได้นำเสนอกรอบงบประมาณกองทุนฯ ปี 2563 ต่อ ครม.ควบคู่ โดยได้นำเสนอกรอบงบประมาณภาพรวมกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทั้งหมด จำนวน 207,504.82 ล้านบาท แยกเป็นงบเหมาจ่ายรายหัวจำนวน 188,664.35ล้านบาท หรือ 3,865.36 บาทต่อประชากร และงบค่าบริการอื่นๆ นอกงบเหมาจ่ายรายหัว จำนวน 18,840.46 ล้านบาท ประกอบด้วยงบบริการสาธารณสุขผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์ งบบริการสาธารณสุขไตวายเรื้อรัง งบบริการบริการควบคุม ป้องกัน และรักษาโรคเรื้อรัง งบค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการในพื้นที่กันดาร พื้นที่เสี่ยงภัย และพื้นที่ชายแดนภาคใต้ งบค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และงบค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับการบริการระดับปฐมภูมิที่มีแพทย์ประจำครอบครัว

นอกจากนี้ยังเสนอประเด็นปรับปรุงและพัฒนาการบริหารกองทุนฯ ในปี 2562 เพื่อให้หน่วยบริการรับทราบและเตรียมความพร้อม อาทิ การปรับปรุงการจ่ายตามกลุ่มวินิจฉับโรคร่วม (DRGs) บริการรผู้ป่วยในทั่วไป, การปรับปรุงการจ่ายค่าใช้จ่ายสำหรับบริการผ่าตัดวันเดียวกลับต่อเนื่องปี 2561, การปรับบริการกรณีเฉพาะบางรายการเข้าระบบปกติ, การปรับรูปแบบการจัดหาบริการและแนวทางการจ่ายงบส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการผู้มีสิทธิมากขึ้น และพัฒนารูปแบบการให้บริการในหน่วยบริการและในชุมชนแบบใหม่เพื่อรองรับผู้ป่วยที่ต้องฟื้นฟูสมรรถภาพด้านการแพทย์ในระยะเฉียบพลัน เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ทั้งการจัดเตรียมงบประมาณและบริการเพื่อดูแลสุขภาพประชาชนในปีถัดไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กูเกิลกำลังพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ช่วยตรวจโรคด้วยการ 'ดูรูป'

Posted: 08 Jan 2018 03:15 AM PST

ดวงตาของมนุษย์อาจจะไม่ได้เป็นเพียง "หน้าต่างของหัวใจ" อย่างที่สำนวนว่าไว้อีกต่อไป แต่กำลังจะกลายเป็น "หน้าต่าง" ที่ระบบปัญญาประดิษฐ์ของกูเกิลใช้สำรวจและพยากรณ์สุขภาพในแง่มุมต่างๆ ของผู้คนเช่นความเสี่ยงต่ออาการหัวใจวายจากข้อมูลการเรียงตัวของเส้นเลือด โดยที่ระบบดีพเลิร์นนิงตัวนี้กำลังอยู่ระหว่างพัฒนาเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในทางการค้นคว้าชีววิทยาและทางการแพทย์


Häggström, Mikael (2014). "Medical gallery of Mikael Häggström 2014". WikiJournal of Medicine 1 (2). DOI:10.15347/wjm/2014.008. ISSN 2002-4436. Public Domain.orBy Mikael Häggström, used with permission. (Own work) [CC0], via Wikimedia Commons

 

8 ม.ค. 2561 นิตยสารวิทยาศาสตร์ Nature รายงานว่านักวิจัยที่กูเกิลกำลังพยายามพัฒนาให้ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่มีการเรียนรู้แบบดีพเลิร์นนิง (deep learning) ในการพยากรณ์หรือประเมินสุขภาพในด้านต่างๆ ของผู้คนไม่ว่าจะเป็น ความดันเลือด อายุ สถานะการสูบบุหรี่ โดยอาศัยแค่การวิเคราะห์รูปถ่ายจอตาหรือ "เรตินา" ของมนุษย์ จากการพิจารณาการเรียงตัวของเส้นเลือดในดวงตาเท่านั้น

นักวิจัยใช้โครงข่ายประสาท (neural network) ที่เป็นเทคนิคการประมวลผลข้อมูลโดยอาศัยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่จำลองการทำงานของโครงข่ายประสาทของมนุษย์ เป็นหนึ่งในวิธีการแบบดีพเลิร์นนิงที่นำมาใช้ในการช่วยให้นักชีววิทยาวิเคราะห์ภาพเพื่อค้นคว้าได้ง่ายขึ้น วิธีเดียวกันนี้ยังเคยใช้ในการค้นหาการผ่าเหล่าในกลุ่มยีนและพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายนอกของเซลล์หนึ่งๆ ได้

ฟิลิป เนลสัน ผู้อำนวยการด้านวิศวกรรมที่กูเกิลรีเสิร์ชกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีใครคิดใช้การเรียนรู้ของปัญญาประดิษฐ์ในเชิงชีววิทยามาก่อน แต่ในตอนนี้มีการนำมาใช้แล้วและน่าสนใจว่ามันจะสามารถค้นเจอสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้มาก่อนหรือไม่

ถึงแม้ว่าปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้โครงข่ายประสาทจะสามารถวิเคราะห์ภาพโดยรวมได้โดยไม่มีการแบ่งเป็นส่วนๆ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็เคยพบอุปสรรคกับการเอามาใช้ในเชิงชีววิทยาคือความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างสองวิชาชีพที่ "พูดภาษาต่างกัน" และ "มีความเชื่อที่ส่งผลต่อพฤติกรรมต่างกัน"

นักวิทยาศาสตรที่จะใช้เทคโนโลยีนี้ในการค้นคว้าวิจัยต้องฝึกฝนการใช้งานกับรูปภาพจำนวนมากก่อน เช่น ถ้าต้องการศึกษาเรื่องกลุ่มยีน พวกเขาต้องทำให้ตัวอักษรที่ระบุถึงดีเอ็นเอเป็นรูปภาพที่คอมพิวเตอร์เข้าใจได้ หลังจากนั้นก็ฝึกให้โครงข่ายประสาทเหล่านี้โยงดีเอ็นเอกับกลุ่มยีนและค้นหาการผ่าเหล่าจนทำให้ได้เครื่องมือที่เรียกว่าดีพวาเรียนต์ (DeepVariant) ออกมาเมื่อช่วงเดือน ธ.ค. 2560 ซึ่งในตอนนี้ดีพวาเรียนต์ยังใช้งานได้มีประสิทธิภาพแค่ระดับเทียบเท่ากับเครื่องมือโดยปกติเท่านั้น

Nature ระบุอีกว่าเครื่องมือเช่นนี้ช่วยลดภาระในการตรวจพิสูจน์ด้วยการแต้มสีเนื้อเยื่อตัวอย่างเพื่อแยกแยะเซลล์ตอนนำมาส่องกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งเป็นการลดโอกาสไม่ให้มีการสร้างความเสียหายต่อเซลล์ในกระบวนการแต้มสีนี้ด้วย เนื่องจากอาศัยปัญญาประดิษฐ์ในการแยกแยะส่วนต่างๆ แทนการประมวลข้อมูลเซลล์

แอนน์ คาร์เพนเทอร์ ผู้อำนวยการอิมเมจิงแพลตฟอร์มของสถาบันบรอดที่ทำเรื่องการใช้เทคโนโลยีในการเก็บข้อมูลเซลล์มนุษย์เพื่อการค้นคว้าทางชีววิทยาและทางการแพทย์บอกว่ามีการนำโครงข่ายประสาท มาใช้ในองค์กรของเธอแล้วร้อยละ 15 และในอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้อาจจะนำมาใช้เป็นตัวหลัก

นอกจากการค้นพบสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนแล้ว ริค ฮอร์วิตซ์ ผู้อำนวยการบริหารจากสถาบันอัลเลนก็หวังว่าจะนำการค้นพบที่ได้มาพัฒนาการวิจัยเรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ได้ เช่น ถ้าหากดีพเลิร์นนิงสามารถค้นพบอะไรบางอย่างของเซลล์ที่อาจจะบ่งชี้มะเร็งแต่ไม่ได้เห็นชัดเจนได้ ก็จะสามารถช่วยวิจัยเรื่องการขยายตัวของเนื้องอกในอนาคตและพยากรณ์ได้ว่ามะเร็งขยายตัวลุกลามไปในรูปแบบใด


เรียบเรียงจาก

Deep learning sharpens views of cells and genes, Nature, 03-01-2018
https://www.nature.com/articles/d41586-018-00004-w

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี: ทำไมพรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งถล่มทลายในวันที่ 6 มกราคม 2544

Posted: 08 Jan 2018 12:04 AM PST

วันนี้เมื่อ 17 ปีที่แล้ว

การเลือกตั้งครั้งแรกภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ.2544 ทำให้การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไป ไม่ย้อนกลับไปเหมือนเดิมอีก

พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งเกือบครี่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (248 คนจาก 500 คน) เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

ผลการเลือกตั้งทำให้หลายฝ่ายงุนงง แทบไม่เชื่อว่าเป็นความจริง บางคนบอกว่า มีการซื้อเสียงกันมโหฬาร บางคนบอกว่า เป็นปาฏิหารย์

แล้วอะไรกันแน่ ทำให้พรรคไทยรักไทยซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นเพียง 2 ปี 5 เดือน เอาชนะพรรคเก่าแก่ทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลาง อย่าง พรรคประชาธิปัตย์ พรรคความหวังใหม่ พรรคชาติไทย และพรรคชาติพัฒนา ได้
 

เมื่อทบทวนผลการเลือกตั้งก่อนหน้านั้น 3 ครั้ง พบว่า พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงอันดับ 1 ได้จำนวน ส.ส.เพียง 22% - 32% และ ใกล้เคียงกับอันดับ 2 มาก ส่วนการเลือกตั้ง พ.ศ.2544 พรรคไทยรักไทยทิ้งห่างพรรคประชาธิปัตย์เกือบเท่าตัว (248 :128)

ปัจจัยที่ทำให้ผลการเลือกตั้งออกมาเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องซื้อเสียงที่เล่าขานกันมาทุกยุคทุกสมัย เพราะการซื้อเสียงย่อมไม่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแตกต่างจากการเลือกตั้ง 3 ครั้งก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญขนาดนี้

ผมคิดว่า มีปัจจัยอย่างน้อย 3 ประการที่สร้าง "ปาฎิหารย์" น่าตื่นตะลึงนี้

1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 สร้างระบบ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คนขึ้นมา เพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งของระบบพรรคเป็นครั้งแรก และยังแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว เขตที่เล็กลง ทำให้ผู้สมัคร ส.ส.หาเสียงแบบเข้าถึงประชาชนได้ทั่วถึงมากขึ้น

ทุกพรรคการเมืองใช้เพียงเบอร์เดียวในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทั้งประเทศ ทำให้ง่ายต่อการจดจำของประชาชนผู้มาเลือกตั้ง

การเกิดขึ้นของคณะกรรมการเลือกตั้งเป็นครั้งแรก เป็นอีกหนึ่ง "นวัตกรรม" ของรัฐธรรมนูญนี้ และการทำงานของ กกต.ชุดแรกซึ่งหลายคนบอกว่าเป็นชุด "ดรีมทีม" ที่ทำงานอย่างเข้มงวดจริงจัง ทำให้คืนหมาหอนคลายมนต์ขลังลงไปมาก

2.พรรคไทยรักไทยตั้งเป้าเป็นพรรคการเมืองแนวทางใหม่ที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์ ชูนโยบาย "คิดใหม่ ทำใหม่" ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส พัฒนาคน พัฒนาประเทศ จัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์และนโยบายด้านต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ เกษตร การศึกษา สาธารณสุข ยาเสพติด การต่างประเทศ ประชุมกันอย่างต่อเนื่อง มีทั้งนักคิด นักวิชาการ ปราชญ์ชาวบ้าน มาร่วมให้ความเห็น

มีการจัดกิจกรรมเพื่อเผยแพร่นโยบายด้วยหลากหลายรูปแบบ เช่น ทำหนังสือคู่มือนโยบายด้านต่างๆ จัดนิทรรศการ SME ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จัดประชุมใหญ่ตัวแทนสมาชิกพรรคจากทั่วประเทศเพื่อประกาศ 11 วาระแห่งชาติ ที่ยิมเนเซียม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เป็นต้น

ที่น่าสนใจมากคือ การติดตั้งป้ายฟีเจอร์บอร์ดที่เราเห็นคุ้นตากันตามถนนเมื่อมีการเลือกตั้ง แต่พรรคไทยรักไทยทำป้ายแบบนี้ หลายหมื่นแผ่นไปติดตั้งที่กลางหมู่บ้านต่างๆทั่วประเทศ ก่อนเลือกตั้งนานแรมปี จนมีคนแซวว่า ป้ายคงผุพังไปก่อนได้เลือกตั้ง ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง แต่นโยบายอย่าง "พักหนี้เกษตรกร กองทุนหมู่บ้าน 30 บาทรักษาทุกโรค" ได้เข้าไปอยู่ในใจประชาชนจำนวนมากไปแล้วก่อนประกาศวันเลือกตั้งเสียอีก

3.พรรคไทยรักไทยใช้การบริหารจัดการองค์กรสมัยใหม่ในการวางแผนเลือกตั้ง และส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่อายุ 30-40 ปีเข้ามาทำงานการเมือง มีทั้ง นักวิชาการ แพทย์ พยาบาล นักธุรกิจ ผู้นำองค์กรพัฒนาเอกชน

คนรุ่นใหม่เหล่านี้ มีพลังมุ่งมั่น มีอุดมการณ์ จุดอ่อนคือ ยังไม่เป็นที่รู้จักกว้างขวาง เราเรียกกันเล่นๆว่า "นกแล" แต่นกแลเหล่านี้แหละที่เดินหาเสียงอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย จนเข้าโค้งสุดท้าย นักการเมืองอาวุโสเจ้าของพื้นที่ ชนะเลือกตั้งมาแล้วหลายสมัยเริ่มหวั่นไหว เมื่อผลเลือกตั้งออกมา ปรากฎว่า "ช้างล้ม" ไปจำนวนมากเพราะ"นกแล"หนุ่มสาวนี้เอง

ดูจากรายชื่อ ส.ส.ที่พรรคไทยรักไทยได้รับเลือกตั้งมาในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ.2544 จำนวน 248 คน พบว่า เป็น ส.ส.เก่าจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2539 เพียง 93 คนเท่านั้น ที่เหลืออีก 155 คน บางคนเป็นอดีต ส.ส.ที่ไม่ได้รับเลือกตั้งในปี 2539 แต่ส่วนใหญ่ คือ "นกแล" ที่มีพลังสร้างสรรค์

การเลือกตั้งใหญ่ที่เราอยากให้มาถึงปลายปีนี้

ไม่มีใครรู้ว่า ผลของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 จะเปลี่ยนระบบนิเวศของการเลือกตั้งไปมากขนาดไหน

ไม่มีใครรู้ว่า Social media อย่าง Facebook, Twitter, Instagram จะส่งผลในการรับรู้ข่าวสารการเลือกตั้ง แล้วมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้ลงคะแนนมากมายเหมือนใน สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ หรือไม่

ไม่มีใครรู้ว่า คนที่เคยไปเลือกตั้งเมื่อ 7 ปีที่แล้วยังคิดเหมือนเดิมไหม และคนที่อายุ 11-17 ปีที่ไม่มีสิทธิลงคะแนนเมื่อ 7 ปีที่แล้วอีกหลายล้านคน คิดอย่างไรกับอนาคตของเขาเมื่อไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง

แต่ผมรู้แน่ว่า แนวทาง วิธีคิด วิธีบริหารจัดการ เป๊ะๆอย่างที่พรรคไทยรักไทยเคยเริ่มไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว และพรรคการเมืองอื่นทำตามอย่าง ไม่เพียงพอแล้วในวันนี้

วันนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก พรรคการเมืองทุกพรรคต้องทำมากกว่านั้น

ต้องมีนโยบายที่รองรับอนาคตของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างถึงแก่น

พรรคการเมืองต้องดึงดูดคนรุ่นใหม่อายุ 30-40 ปีที่เก่งกาจสามารถด้านเศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กฎหมาย รัฐศาสตร์ การจัดการ จำนวนมากมายในสังคมนี้ เข้ามาทำงานการเมือง เข้ามาร่วมรับผิดชอบ คิด และขับเคลื่อนนโยบายที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลก

พรรคการเมืองต้องมี Platform ของการจัดการแบบใหม่ที่ใช้ศักยภาพของ Social Network ได้เต็มที่ในทุกระดับ ทั้งกระบวนการจัดการภายใน การทำนโยบาย การรณรงค์หาเสียง และการระดมทุน

เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เราพูดกันว่า Differentiate or Die

เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราพูดกันว่า Innovate or Die

วันนี้ ผมเชื่อว่า พรรคการเมืองต้อง Disrupt or Die

 


ที่มา: เฟสบุ๊คแฟนเพจ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฤดูหนาว 8 ก.พ.-11 มี.ค.นี้

Posted: 07 Jan 2018 11:33 PM PST

พล.อ.ประยุทธ์ เผย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฤดูหนาว ภายใต้ชื่อ "อุ่นไอรัก คลายความหนาว" ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่า ระหว่างวันที่ 8 ก.พ.-11 มี.ค.61 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ โดยมีลักษณะงานแบบย้อนยุค

 
ที่มา : เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล
 
8 ม.ค.2561 รายงานข่าวระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยราชการในพระองค์จัดงานฤดูหนาวขึ้นภายใต้ชื่อ "อุ่นไอรัก คลายความหนาว" ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่า ระหว่างวันที่ 8 ก.พ.-11 มี.ค.61 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ แสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี โดยมีลักษณะงานแบบย้อนยุค
 
"การจัดงานแบ่งเป็น 3 โซน คือ 1) โซนพระลานพระราชวังดุสิต จัดแสดงนิทรรศการและกิจกรรมสยามประชารำฦก นำเสนอพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ ร.5 และ ร.9 2) โซนสนามเสือป่า จัดร้านค้าในพระบรมวงศานุวงศ์และร้านค้ารับเชิญ เช่น ร้านศิลปาชีพ 904 ร้านภูฟ้า ร้านจิตรลดา ร้านของมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก ร้านมูลนิธิโครงการหลวง ร้านแม่บ้านเหล่าทัพ ฯลฯ 3) โซนร้านอาหารและร้านค้าในแนวคิดใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร สืบสานชุมชน วิถีไทย โดยจะจัดซุ้มร้านอาหารไทยโบราณที่มีรสชาติอร่อย จำนวนประมาณ 30 ร้าน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
 
รายงานข่าวระบุด้วยว่า โซนที่ 1 จะถูกออกแบบตกแต่งอย่างสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมสมัย ร.5 และ ร.9 มีการจัดสวน พันธุ์ไม้ และน้ำพุ งานประดิษฐ์ตามศิลปะไทยแบบชาววัง โซนที่ 2 จะมีการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้านและฉายหนังกลางแปลง โดยเงินรายได้ส่วนหนึ่งจากการขายสินค้าจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก และโซนที่ 3 จะมีการสาธิตเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น และมีร้านสตูดิโอให้ถ่ายภาพย้อนยุคด้วย  สำหรับการแต่งกายของพ่อค้าแม่ค้าจะสวมชุดไทยย้อนยุค โดยเชิญชวนประชาชนที่ไปร่วมงานแต่งกายย้อนยุคสมัย ร.5 หรือสวมใส่ผ้าไทย หรือชุดสุภาพตามสมัยนิยม
 
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวด้วยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานชุดภาพวาดฝีพระหัตถ์จัดพิมพ์เป็นบัตร ส.ค.ส. 4 ภาพต่อ 1 ชุด ซึ่งสำนักพระราชวังจัดจำหน่ายให้แก่ผู้สนใจในราคาชุดละ 99 บาท โดยจะนำรายได้ไปช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ติดต่อสอบถามรายละเอียดและซื้อหาได้ที่สำนักพระราชวัง 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หน้ากากไผ่ ดาวดิน ครี่งร้อยโผล่อ่านคำประกาศแนวทางการต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชน

Posted: 07 Jan 2018 10:52 PM PST

กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด จ.เลย สวมหน้ากากไผ่ ดาวดิน อ่านคำประกาศประสานการพัฒนาชุมชนกับต่อสู้ทางการเมืองเข้าด้วยกัน เผยเรื่องสำคัญที่จะทำในปีนี้คือ  ผลักดันปิดเหมืองฟื้นฟูอย่างถาวร จี้ยกเลิกสัญญาบัตรสำรวจแร่ ประสานพลังดัน พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฉบับประชาชน และเดินมิตรภาพจาก กทม. สู่ขอนแก่น

เมื่อวันที่ 6-7 ม.ค. 2561 ชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้าน ในพื้นที่บ้านนาหนองบง ต.เขาหลวง อ.วังสำพุง จ.เลย ซึ่งเป็นกลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวกันเนื่องจากผลกระทบทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จากการทำเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่ ได้จัดงาน "บุญภูทับ ต่อชะตาภูซำป่าบอน หาบคอนภูเหล็ก" โดยภายในงานมีกิจกรรมหลากหลาย เช่น กิจกรรมงานวันเด็ก การจัดซุ้มนิทรรศการและผลิตภัณฑ์ชุมชน เวทีเสวนายุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ภายใต้ พ.ร.บ.แร่ ฉบับใหม่ เวทีเสวนาเครือข่ายชาวบ้าน การแสดงดนตรี รำวง พิธีทำบุญต่อชะตาภูเขา และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากกมาย

ทั้งนี้ในวันที่ 7 ม.ค. ชาวบ้านประมาณ 50 คน ได้รวมตัวกันอ่านคำประกาศ แสดงเจตนารมณ์ ประสานการพัฒนาชุมชนกับการต่อสู้ทางการเมืองเข้าด้วยกัน ซึ่งผู้เข้าร่วมอ่านคำประกาศทั้งหมดได้สวมหน้ากาก ไผ่ ดาวดิน หรือ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา บัณฑิตคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งถูกศาลจังหวัดขอนแก่นตัดสินจำคุกเป็นเวลา 5 ปี ลดโทษลงกึ่งหนึ่งเหลือ 2 ปี 6 เดือน จากกรณีการแชร์รายงานพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 จากเว็บไซต์ BBC Thai โดยรายละเอียดในคำประกาศมีดังนี้

ปีนี้เป็นปีที่ปลาบปลื้มดีใจเพราะศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้พวกเราชนะคดีที่รายงานการไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตรแปลงภูเหล็กเป็นเท็จ สอดคล้องกับเจตนารมณ์การจัดงานบุญให้ภูเขาของพวกเราที่สืบเนื่องมาเก้าปีแล้ว พวกเรายังคงต่อสู้คัดค้านการทำเหมืองทองคำที่ไร้จรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ และถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่งเขาหลวงสู่ลูกหลานคนรุ่นใหม่ด้วยใจมุ่งมั่น 

ขอส่งความปรารถนาดีไปถึงพี่น้องประชาชนที่ต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมทุกท่าน ทุกพื้นที่ ทุกกรณีปัญหา ขอส่งความปรารถนาดีไปถึงพี่น้องประชาชนที่ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยทุกท่าน ขอให้พลังใจและกายของทุกท่านจงมุ่งมั่นต่อสู้ให้ประสบความสำเร็จสมปรารถนาทุกประการ เราตระหนักว่าการต่อสู้ของประชาชนที่จะมีพลังได้คือการต่อสู้ที่ต้อง 'ประสานการพัฒนาชุมชนกับการต่อสู้ทางการเมืองเข้าด้วยกัน' มันจึงทำให้ที่นี่เป็นห้องเรียนอันกว้างใหญ่ไพศาลของคนหนุ่มสาว ของนักศึกษาและปัญญาชนทั้งหลาย เพราะที่นี่เราเปิดกว้างและโอบกอดผู้แสวงหาเสรีภาพทุกท่าน 

ที่นี่เรายังคงถูกฟ้องคดีกลั่นแกล้งจากรัฐและนายทุนเหมืองแร่ แต่เราก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้ เรามีภารกิจสืบเนื่องที่สำคัญอยู่สี่เรื่องที่จะทำในปีนี้ หนึ่งคือผลักดันข้อเสนอและแนวทางปฏิบัติสู่สาธารณะและหน่วยงานรัฐให้เกิดการปิดเหมืองและฟื้นฟูอย่างถาวรขึ้นให้ได้ สองคือเราจะฟ้องคดีเพื่อยกเลิกสัญญาการให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำแปลงที่สี่ พื้นที่น้ำคิวภูขุมทอง เพื่อให้เกิดการยกเลิกบังคับใช้สัญญาทาสฉบับนี้ เป็นการปลดแอกที่ถูกกดขี่ข่มเหงมาอย่างยาวนานให้ได้ สามเราจะร่วมกันพี่น้องประชาชนในพื้นที่อื่นๆ ทุกภูมิภาคเพื่อผลักดันเสนอกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับประชาชนแทนที่กฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับ คสช. ให้ได้ สี่เราจะร่วมกับพี่น้องประชาชนทุกภูมิภาคเพื่อ 'เดินมิตรภาพ' เป็นการเดินทางไกลจากกรุงเทพสู่จังหวัดขอนแก่นเพื่อรณรงค์และปลุกกระแสความตื่นตัวของพี่น้องประชาชนให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจความไม่เป็นธรรมที่ปกครองด้วยการกดขี่ข่มเหงจิตใจและร่างกายให้ไร้เสรีภาพอยู่ในขณะนี้ 

ปีนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญตรงที่ในขณะที่รัฐบาลประกาศต่อประชาคมโลกว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นภายในปีนี้ แต่ก็เริ่มจะเห็นเค้าลางของปีศาจร้าย เราจึงขอส่งความปรารถนาดีไปยังรัฐบาลว่าอำนาจจากรัฐประหารควรวางมือได้แล้ว ไม่ควรวางแผนสืบทอดอำนาจด้วยการตั้งพรรคทหารหรือพรรคตัวแทนอำพรางของทหารขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจทางการเมืองของทหารอีกต่อไป

ขอถือโอกาสนี้ส่งข่าวและเชื่อมประสานไปยังพี่น้องประชาชนทั่วประเทศจงร่วมมือประสานกันขับไล่เผด็จการหากยังดื้อรั้นตั้งพรรคทหารหรือพรรคตัวแทนอำพรางของทหารขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจต่อไปอีก 

สุดท้ายนี้ ขอแสดงความยินดีต่อแม่สุภาพ คำแหล้ ที่หลุดพ้นการจองจำในคุกเมื่อวานนี้จากการถูกกลั่นแกล้งโดยรัฐที่เข้าไปยึดที่ดินทำกิน และขอขอบคุณต่อพี่น้องประชาชนจากทั่วทุกภูมิภาคที่เดินทางไกลมาทำบุญภูเขาร่วมกับเราในครั้งนี้ ในนามตัวแทนของพี่น้องประชาชนและผู้แสวงหาเสรีภาพทั้งหลายที่มายืนอยู่ ณ ที่นี้ เราขอประกาศว่า เราจะร่วมเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองด้วยการขอมีส่วนร่วมกับการเมืองที่ปกครองชีวิตจิตใจเรา ขอมีส่วนร่วมกับการพัฒนาที่ไม่ใช่แบบที่ถูกยัดเยียดให้ ด้วยการไม่มอบอำนาจอันชอบธรรมของประชาชนให้แก่ทหารที่ถือปืนเข้ามาในหมู่บ้านเรา 

เราจะเดินอยู่บนเส้นทางแห่งสันติวิธีตลอดไป

ด้วยจิตคารวะ

กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้าน
7 มกราคม 2561
ณ สี่แยกบ้านนาหนองบง หมู่ 3 ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วงเสวนามนุษย์ซูเปอร์(มาร์เก็ต) เผยเตรียมเปิดผลประเมินบริษัทค้าปลีก มี.ค. นี้

Posted: 07 Jan 2018 09:42 PM PST

วงเสวนามนุษย์ซูเปอร์(มาร์เก็ต) เผยปีที่ผ่านมามีผู้บริโภคร้องเรียนปัญหา 3,362 เรื่อง ระบุปัญหาที่พบบ่อยในห้างสรรพสินค้าคือ การขายของหมดอายุ ราคาไม่ตรงป้าย อาหารมีสารพิษตกค้าง ระบุ มี.ค. นี้ เตรียมเปิดผลประเมินความโปร่งใส และความรับผิดชอบบริษัทค้าปลีก

เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2561 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายกินเปลี่ยนโลก ร่วมกับองค์การอ็อกแฟม ประเทศไทย ได้จัดงานเสวนาในหัวข้อ "มนุษย์ซูเปอร์ (มาร์เก็ต)" ที่ร้านหนังสือบุ๊คโมบี้ รีดเดอร์ ชั้น 4 หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร โดยมีวิทยากรประกอบด้วย สารี อ๋องสมหวัง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา food4change, ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ way magazine และจักรชัย โฉมทองดี ​​องค์การอ็อกแฟมประเทศไทย

จักรชัย โฉมทองดี อธิบายว่า ในรอบเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมการบริโภคของคนเมืองเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้มูลค่าโมเดิร์นเทรด อยู่ที่ 1.8 ล้านล้าน สร้างมูลค่าจีดีพีเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ ถือว่าเป็นภาคธุรกิจที่เชื่อมโยงหลายมิติ ทั้งการผลิต บริการ และระบบเศรษฐกิจ จากการสำรวจพบว่าคนเมืองส่วนใหญ่เข้าร้านสะดวกซื้อทุกวัน ทำให้เรากลับมาให้ความสำคัญในมุมของผู้บริโภคมากขึ้น ตลอดจนต้องการกระตุ้นผู้บริโภคและภาคเอกชนให้ตื่นตัวในการส่งเสริมห่วงโซ่อาหารที่เป็นธรรมและยั่งยืนผ่านนโยบายของบริษัทที่มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ จึงได้เริ่มนำกรอบการประเมินความโปร่งใสและความรับผิดชอบของบริษัทค้าปลีกไทย โดยใช้เครื่องมือ food retailers accountability assessment tool ซึ่งเป็นเครื่องมือที่รู้จักและถูกใช้ในหลายประเทศทั่วโลก ครอบคลุม 4 มิติสำคัญคือ ด้านความโปร่งใส ความรับผิดชอบของบรรษัทต่อสาธารณะ การเคารพสิทธิแรงงาน การส่งเสริมผู้ผลิตรายย่อย และการสนับสนุนบทบาทสิทธิสตรี

จักรชัย ระบุด้วยว่า หากการประเมินเสร็จสิ้นจะเผยแพร่สู่สาธารณะในเดือนมีนาคมนี้ เพื่อให้ผู้ผลิต คู้ค้าทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในห่วงโซ่อุปทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริโภคได้รับรู้ถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของบริษัทค้าปลีกด้านอาหารชั้นนำของไทยในการเป็นธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ ตลอดจนให้ความสำคัญต่อความโปร่งใส ความเป็นธรรม และความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานอาหาร

ด้านสารี อ๋องสมหวัง ให้ข้อมูลว่า ในปีที่ผ่านมา มีเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค 3,362 เรื่องทั่วประเทศ เรื่องที่พบบ่อยที่สุดคือ อาหารหมดอายุ ความสะอาด นอกจากนั้นยังมีเรื่องราคาสินค้าไม่ตรงกับป้าย การโฆษณาคุณภาพสินค้ามากเกินความจริง โดยสิ่งที่หลายคนคาดหวังคือการตอบสนองต่อการร้องเรียนที่เป็นมิตร และมีลักษณะที่เป็นการทำงานเชิงรุก เช่น เรื่องราคาสินค้าไม่ตรงกับป้าย จะทำอย่างไรให้เป็นนโยบายที่ชัดเจนต่อทุกห้างสรรพสินค้า เช่น สามารถแก้ไขปัญหาได้ที่หน้าเคาน์เตอร์ชำระสินค้าได้ทันที รวมถึงความรับผิดชอบต่อกรณีสินค้าหมดอายุ ควรเป็นทั้งตลอดห่วงโซ่การผลิต ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ

กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา ระบุว่า หากดูตัวเลขจำนวนโมเดิร์นเทรดทั่วประเทศ มีจำนวน 20,000 แห่ง แต่มีผู้ถือครองแค่ 3-4 ราย มีรายได้มหาศาล ดังนั้นควรมีรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่านี้ ส่วนผู้ประกอบการ ร้านอาหารมี 800,000 ราย ยังไม่รวมถึงร้านอาหารริมถนน

กิ่งกร กล่าวต่อไปถึง อาหารในห้างสรรพสินค้าว่า ส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ห้างสรรพสินค้ารวบรวมจัดหามาเอง ในกรณีที่มีการร้องเรียนเกิดขึ้น เช่นเคยมีการตรวจพบสารพิษตกค้างในอาหาร ได้แจ้งห้างสรรพสินค้านั้น แต่กลับพบว่าแต่ละห้างสรรพสินค้าให้ความสำคัญกับปัญหามากน้อยไม่เท่ากัน บางส่วนตอบสนองดี พร้อมแก้ไขปัญหา บางส่วนค่อยๆ ปรับปรุงแก้ไข และบางส่วนไม่มีการปรับปรุงแก้ไขปัญหาเลย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่กังวลใจสำหรับผู้บริโภค

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ กล่าวว่า ส่วนตัวในฐานะผู้บริโภค จะเข้าห้างสรรพสินค้าสัปดาห์ 3-4 ครั้ง ก็พยายามหาคำตอบว่าทำไมตัวเองกลายเป็นมนุษย์ซูเปอร์มาร์เก็ต พบว่า เพราะเราเป็นสมาชิกบัตรต่างๆ และระบบไปผูกกับการทำธุรกิจของห้าง เช่น สมาชิกสามารถซื้อสินค้าลดราคา ซึ่งเป็นแรงจูงใจที่ทำให้ตัวเองเข้าห้างบ่อย

ทิพย์พิมล เห็นว่าคนในเมืองจะมองห้างสรรพสินค้าเป็นตู้เย็น หากของในบ้านหมดจะต้องเข้าห้างสรรพสินค้า ทั้งนี้สำหรับตัวเองก่อนจะตัดสินใจซื้อของจะเช็คตลอดว่า ลดราคาจริงไหม มีส่วนลดจริงหรือไม่ ส่วนปัญหาที่ราคาไม่ตรงกับป้าย ตัวเองจะไปแจ้งที่หน้าเคาน์เตอร์ทันทีเพื่อขอคืนเงิน ส่วนปัญหาอื่นๆ เคยเจอนมหมดอายุและตัดสินใจไม่ซื้อยี่ห้อของสินค้านั้นไปเลย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: ผู้ร้ายโลโซ

Posted: 07 Jan 2018 08:00 PM PST


ที่มาภาพ: http://entertain.teenee.com/thaistar/ 

ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ตำรวจไทยโชว์ฝีมือจับผู้ร้ายรายใหญ่ "เสก โลโซ" บุคคลอันตรายที่ ผบ.ตร. ผบช.น. ต้องนำหน่วยอรินทราชบุกบ้าน จู่โจมจับกุมยังกะหนังแอ๊กชั่น ทั้งที่เป็นเทศกาลท่านก็ไม่ได้หยุด ต้องมาทำคดีอุกฉกรรจ์ ช่างเสียสละน่าตื้นตันยิ่งกระไร

อ้าว อุกฉกรรจ์จริงนะ แม้มาตรา 376 บัญญัติว่า ผู้ใดยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบวัน หรือปรับไม่เกิน ห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ยิงปืนขึ้นฟ้าซี้ซั้วอาจตกลงมาเจาะหัวคนอื่นได้ แถมเป็นศิลปินใหญ่ต้องทำตัวเป็น แบบอย่าง ไม่ใช่เมาอาละวาดยิงปืนในวัด พระสงฆ์องค์เจ้าตกใจ อย่างที่ ผบ.ตร.ท่านว่า

ขนาดนายกฯ ยังกำชับกำชา ให้ตำรวจรายงานตรง เพราะเป็นคดีที่ประชาชนสนใจ สื่อแทบทุกค่ายพาดหัวใหญ่ข้ามปี โลกออนไลน์ก็บดขยี้ ตำรวจจะไม่เต้นได้ไง

ถามจริง เป็นศิลปินใหญ่แล้วต้องทำตัวเป็นแบบอย่าง ทำความดี สวดมนต์ข้ามปี เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงรณรงค์งดเหล้าเลิกบุหรี่ พาเยาวชนเข้าพบลุงตู่ ฯลฯ อะไรทำนองนั้น?

พูดอย่างนี้ไม่ใช่เสกทำดีทำถูก แต่อะไรที่ผิดก็ว่าไปตามกฎหมาย พกปืน ยิงปืน เสพยา ฯลฯ ดำเนินคดีโดยเสมอ หน้าเหมือนคนทั่วไป (ไม่ต้องเว่อร์เกินหน้า) ส่วนจะเป็นแบบอย่างหรือไม่ ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัว ถ้าทำตัวตกต่ำ ก็น่าจะเสื่อมความนิยมไปเอง

เพียงแต่ประเด็นหลังนี่น่างึดใจ เสกเป็นข่าวอื้อฉาว ทั้งพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง ทั้งชีวิตครอบครัว แต่แฟนคลับก็ยังชื่นชอบ บ้างก็บอกว่านี่แหละ "วิถีร็อกเกอร์" แฟนๆ ชอบที่ พี่เสกเป็น ไอดอล แห่งความนอกคอกหลุดโลก โดยไม่ได้บอกว่าจะเอาอย่างซักหน่อย แต่สังคมศีลธรรม รัฐศีลธรรม ฟังแล้วยิ่งขัดใจ ยิ่งเมื่ออยู่ในยุคจัดระเบียบ "กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย" ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย มีแต่คนออกคำสั่ง เป็นกฎหมาย

อ๊ะอ๊ะ พูดอย่างนี้ไม่ใช่จะโยงเสกเข้าการเมือง แม้บางคนพยายามโยง เพื่อเอาให้หนัก เช่น ชูประเด็นที่เสกโพสต์ขอบคุณ เต้น ณัฐวุฒิ เพื่อนไม่เคยทิ้งกัน หรือเสื้อแดงบางส่วนก็เอาคดีเสกมาย้อนว่า ทีพวกควงอาวุธยึดทำเนียบยึดสนามบินปิดเมืองปิดสถานที่ราชการ ไม่ยักเอาจริงอย่างนี้บ้าง (ซึ่งแม้ฟังเหมือนแถ แต่ก็แทงใจดำ)

ว่าตามเนื้อผ้า พี่เสกก็สมควรถูกดำเนินคดีละครับ เพียงแต่มีประเด็นทับซ้อนหลายอย่าง เช่น วัฒนธรรมเซเลบส์ เวลาทำดีก็ยกย่องสรรเสริญ โลกนี้ไม่มีใครเทียบ เวลาอื้อฉาวก็ต้องเอาให้จมธรณี แถมเป็นยุคที่ลูกขุนออนไลน์มีอิทธิพลชี้นำกระบวนการยุติธรรมให้เต้นตาม ซ้ำยังอยู่ในยุครัฐจัดระเบียบ ประชาชนต้องเคารพเชื่อฟัง

วันขึ้นปีใหม่ 00.01 น.ผมอยู่บ้าน ตจว. บรรยากาศรอบเมืองเปี่ยมไปด้วยความสุข จากคำสั่ง คสช. ซึ่งยกเว้นคำสั่ง คสช. อนุญาตให้จุดพลุโดยไม่ต้องขออนุญาต เป็นเวลา 2 ช.ม. ทั่วท้องฟ้าบึ้มบั้มมีแสงสีเสียงอย่างที่ไม่เคยเห็นมานาน เพราะเมื่อตอนลอยกระทงก็ยังกร่อย แทบจะกลายเป็นห่มสไบไปลอยแม่คงคาตามประเพณีอันดีงามส่งเสริมการท่องเที่ยว

พูดอย่างนี้ผู้ดีชาวกรุงจะบอกว่า คสช.ห่วงใยไม่ต้องการให้เกิดอันตราย แต่ก็ยังมีคำสั่งยกเว้นเฉพาะประเภทได้ ทำไมต้องห้ามหมดแล้วให้ประชาชนไปขออนุญาต จนปีที่แล้วมีข่าวชาวศรีมโหสถไม่ได้จัดงานบุญบั้งไฟตามประเพณี

ไม่ได้ปฏิเสธว่ามีข้อดี แค่ชวนสังเกตว่า 4 ปีผ่านไป วิถีชีวิตคนไทยเปลี่ยนไปเป็น "ประชาชนใต้ใบอนุญาต" จากเมื่อก่อนที่เราบ่นว่านิสัยคนไทยไร้ระเบียบวินัย หย่อนยาน ไม่เคารพกฎหมาย จนมีคนไปปิดถนนปิดเมือง พระปิดศูนย์ราชการ ทำร้ายคนผ่านไปมา เรียกหารัฐประหาร วันนี้เราก็ได้รัฐบาลทหารมาจัดระเบียบ ให้คนไทยต้องอยู่ในกรอบ ต้องมีวินัย ไม่ว่าจะทำมาค้าขาย สนุกสนานบันเทิง ก็ต้องขออนุญาตทหาร ตำรวจ มหาดไทย ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตามลำดับชั้น โดยทุกท่านก็พูดไม่ขาดปากว่ารัฐบาล กองทัพ หน่วยงานต่างๆ ห่วงใยประชาชน ต้องเข้าไปดูแล

กระบวนการยุติธรรมก็เช่นกัน เราได้เห็นความขมีขมันตอบสนองกระแสสังคม ซึ่งก็ดีนะ เมื่อลูกขุนออนไลน์ หรือรายการทีวี ได้ตัวผู้ร้ายก็จะเอามาบดขยี้ ส่งให้พระเอก

ผู้ร้ายที่ว่าส่วนใหญ่ก็ไม่ผิดตัวหรอก ผู้ร้ายโลโซ แมงไซค์ ลูกจ้าง ราชการก็มี เรากำลังสร้างความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม "กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย" เพียงขอให้ลืมๆ ว่ามีอภิชนบางกลุ่มอยู่เหนือกฎหมาย ออกคำสั่งเป็นกฎหมาย

 

ที่มา: www.khaosod.co.th

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์: หมอนรองรางฯ กับยางพารา

Posted: 07 Jan 2018 07:46 PM PST


 

ผมเข้าใจว่า ปัจจุบันปัญหาราคาสินค้าเกษตร คือปัญหาที่รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารแก้ไม่ตก และไม่รู้จะหาทางออกต่อปัญหานี้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตรตัวไหน ต่างก็กำลังสะสมปัญหาอยู่ทั้งนั้น จนดูเหมือนรัฐบาลและหน่วยงานทั้งองคาพยพจวนจะถึงทางตัน ไม่ว่าจะเป็นข้าวหรือยางพารา ที่ถือเป็นสินค้าเกษตรหลักของประเทศไทย

จนในที่สุดเมื่อแก้ไขปัญหาแบบเรียลไทม์ ไม่ได้ก็หันมาเล่นแร่แปรธาตุเอากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ โทษโน่นตำหนินี่เอากับผู้บริหารของหน่วยงาน ทั้งๆ ที่จริงแล้วผู้ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันกับผู้บริหารหน่วยงานของรัฐก็คือ รัฐบาล อย่างเช่นปัญหาราคายางพารา ก็ไปเล่นงานการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2558 ตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย

เข้าทำนองรำไม่ดีกลับโทษปี่โทษกลอง "หาที่ลง" เชิงจิตวิทยาให้พี่น้องชาวสวนยางได้คิดว่า โอ... รัฐบาลได้สะสางปัญหาแล้ว ซึ่งมันก็เป็นการสะสางปัญหาจริง แต่เป็นการสะสางปัญหาแบบ "แก้ผ้าเอาหน้ารอด" ชนิดที่ปัญหาหรือขยะก็ยังซุกอยู่ใต้พรมผืนงามเหมือนเดิม



ยางก้อนของชาวสวนยางที่ถูกนำมารวมเพื่อจำหน่ายให้กับพ่อค้า ดงหลวง มุกดาหาร (ประชาไท)

เพราะปัญหาราคาสินค้าเกษตร อย่างเช่น ยางพาราตกต่ำไม่ใช่ปัญหาใหม่ หากเป็นอมตะปัญหามานานนม โดยเฉพาะสินค้าหลักสำคัญของไทย 2 ชนิด คือ ข้าวกับยางพารา ที่เป็นที่รู้กันว่าสินค้าทั้งสองรายการต่างเป็นเส้นเลือดของเศรษฐกิจไทย คือ มีความสำคัญยิ่งต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรไทย

ก็น่าแปลก ที่การเล่นแร่แปรธาตุในการแก้ไขปัญหาสินค้าสองรายการยังมีอยู่ ทั้งๆ ที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เองได้ชื่อว่า เคยเป็นเซียนการตลาดมาก่อน ตอนนี้นายสมคิดเจอทั้งปัญหาข้าวและยางกลับไปไม่เป็นเอาซะงั้น

ทั้งๆ ที่ถ้ามองฐานของการแก้ปัญหาสินค้าเกษตรของรัฐบาลชุดปัจจุบันนี้จะเห็นว่า จุดเน้นของการแก้ไขปัญหา นอกจากมุ่งไปที่การเล่นแร่แปรธาตุ หรือการแก้ไขปัญหาเชิงจิตวิทยา ให้เกษตรกรเห็นภาพลักษณ์ที่ดีๆ ของรัฐบาลดังที่กล่าวไปแล้วก็จะเห็นได้ว่า แนวรุกเชิงการตลาดของรัฐบาลที่มีนายสมคิด เป็นผู้นำนั้นแทบไม่มีเลย อ้างว่า ไทยมีคู่แข่งไปทั่วโลก ต้นทุนเราสูงกว่าเขามาก การแข่งขันจึงสู้ประเทศคู่แข่งไม่ได้ แล้วก็เฉยเสีย หันมาเน้น งานสินค้าเชิงจิตวิทยาดีกว่า

เท่าที่สดับจากเจ้าหน้าที่ด้านพาณิชย์ ตัวแทนของรัฐไทยในอเมริกาเอง เจ้าหน้าที่บอกว่า พวกเขาไม่ได้รับคำสั่ง หรือมีแผนปฏิบัติการให้แสวงหาตลาดสินค้าเกษตรชนิดใดๆ เพิ่มเติมเป็นพิเศษ ซึ่งก็เหมือนเดิม ไม่ต่างจากปีที่แล้วหรือปีก่อนหน้าโน้น ทั้งๆ ที่ในหลายคราวไทยควรถือเป็นโอกาสในการเจรจาการค้ากับฝ่ายสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตรตัวใดก็ตาม ทั้งหน่วยงานของรัฐไทยในสหรัฐอเมริกา ควรผนึกกำลังทำงานแบบ "ทีมไทยแลนด์" เหมือนที่ผ่านมา ไม่ใช่ใส่เกียร์ว่างในช่วงที่สัมพันธภาพทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ไม่ค่อยดีในช่วงนี้

ซึ่งก็เป็นที่รู้ๆ กันว่า สัมพันธภาพระหว่างสองประเทศไม่ดีก็เพราะเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ทางรัฐบาลอเมริกันมิใคร่พอใจท่าทีหรือการกำหนดนโยบายของรัฐบาลไทยชุดนี้มากนัก จนถึงขนาดที่รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารของไทยกำลังจะกำหนดให้ปี 2561 เป็นวาระแห่งสิทธิมนุษยชน

แปลว่า การค้าการขายระหว่างไทยกับอเมริกันจะเวิร์คมากขึ้นก็เมื่อไทยปรับเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่ ผ่อนคลายข้อจำกัดที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนลงเสียบ้าง การเจรจาของเจ้าหน้าที่พาณิชย์หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ของพระทรวงการต่างประเทศก็จะเป็นไปอย่างสง่างาม มีความเท่ห์มากกว่าในปัจจุบัน


ภาพการบรรทุกยางถ้วยจากสวนมายังจุดรวบรวมผลผลิตเพื่อจำหน่ายให้พ่อค้า ดงหลวง มุกดาหาร (ประชาไท)

ซึ่งก็เป็นปัญหาที่น่าหนักใจของประการสำคัญของเจ้าหน้าที่ไทยผู้ทำหน้าที่เป็นหนังหน้าไฟเจรจาการค้ากับฝ่ายอเมริกัน เพราะโดนข่มด้วยประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนมาตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และตอนนี้ ไม่ต้องแปลกใจอะไรว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ไทยที่ทำงานเป็นหนังหน้าไฟในสหรัฐอเมริกาจึงใส่เกียร์ว่าง ทุกก้าวย่างที่เดินไปตอนนี้ ล้วนสะดุด

คำถามที่คนไทย โดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนีย มีถึงนายสมคิดและรัฐบาลนายกลุงตู่ก็คือ ข้าราชการไทยใส่เกียร์ว่างแต่ยังรับเงินเดือนอยู่ทุกๆ เดือนถือว่าเอาเปรียบชาวบ้านไหม โดยที่เจ้าหน้าที่ของสถานทูตลาว เวียดนาม จีน หรือประเทศอื่นๆ ต่างก็ทำงานของตนกันไม่เว้นแต่ละวัน เช่น การพบปะกับผู้แทนการค้าของรัฐบาลอเมริกัน มีให้เห็นอยู่เสมอ พวกเขามักจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ขึ้นในสถานทูตหรือสถานกงสุล แล้วเชิญพวกผู้แทนการค้าของอเมริกันมาสังสรรค์ กันอยู่เนืองๆ มิใคร่ขาด

ต่างจากของฝ่ายไทย ที่ไม่มีภาพแบบนี้มานานแล้ว

ขณะที่ช่วงก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ด้านพาณิชย์ของไทย เช่นเจ้าหน้าที่พาณิชย์ที่นิวยอร์ค ออกไปหาไปตลาดกับเอกชนของอเมริกันเสียด้วยซ้ำ เป็นดำเนินการกลยุทธ์เชิงรุก ซึ่งดีกว่าการตั้งรับแบบ "ไซดักปลา" ที่นับวัน ปลาจะเข้ามาติดไซยากขึ้นทุกที

ความจริงก็คือ ไม่ว่าข้าวหรือยางพารายังคงเปิดไปสู่ตลาดเมริกันได้อยู่มาก เพียงแต่เราต้องมีคนเจรจาและรู้จักสร้างเงื่อนไข ซึ่งนักการตลาดอย่างนายสมคิดน่าจะเข้าใจได้ดีกว่าใครอื่น

อย่างเรื่องยางพารา ที่ไม่ควรเล่นแร่แปรธาตุเรื่องการบริหารองค์กรเพียงอย่างเดียว หากควรมุ่งไปที่การหาตลาดเพิ่มมากขึ้น การส่งเสริมการลงทุนการแปรรูปยางฯในประเทศ และการวิจัยการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง

อย่างน้อยที่ผมทราบมาล่าสุด จากท่านอดีตเอกอัคราชทูตไทยประจำสหพันธรัฐรัสเซีย ท่านสุพจน์ ธีรเกาศัลย์ ก็คือ มีบริษัทเอกชนจากต่างประเทศสนใจลงทุนแปรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อยู่ไม่น้อย เพียงแต่รัฐไทยต้องรู้จุดและเชื้อเชิญเขาในโอกาสที่เหมาะสม พร้อมเงื่อนไขการลงทุนแบบผ่อนปรนฯ

ที่สำคัญ คือคีย์เวิร์ดของการแปรรูปยางพารา ซึ่งอาจถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของสินค้าประเภทนี้ของไทยเลยก็คือ "นำยางพารามาทำเป็นหมอนรถไฟ" ซึ่งก็แปลว่า ใช้ยางพาราแทนหมอนไม้รางรถไฟแบบเดิมๆ ที่เคยใช้กันมานับศตวรรษ

ก็ไหนว่า เรากำลังจะปฏิรูประบบรางไม่ใช่เหรอ?

ไม่เพียงแต่เราจะหาทางออกในการระบายสินค้ายางพาราที่มีอยู่อย่างล้นสต๊อกในตอนนี้เท่านั้น หากแต่การแปรรูปสินค้าดังกล่าว สามารถเอื้อต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ แถมยังส่งออกไปขายยังประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการอีกด้วย

หาทางเอาเอกชนเหล่านี้มาเปิดโรงงานในไทยหรือไม่รัฐก็หาทางผลิต (แปรรูป) เอาเองสิครับ...!!


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภูมิทัศน์สัมพัทธ์ของบารมี Landscape of bio-power/charisma

Posted: 07 Jan 2018 07:20 PM PST

ความนำ

แนวความคิดเรื่องบารมี (ปารมิ-มหายาน) และ แนวคิดเรื่องการแปลความหมายทางภูมิทัศน์วัฒนธรรม มีความสอดคล้องต้องกันโดยบังเอิญอยู่ 2 ประการ ประการแรกแนวคิดหลักอาจแยกย่อยออกเป็น 10 ประการ แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับประเด็นที่สองนั่นก็คือ แนวคิดทั้งสองเป็นแนวคิดเชิงสัมพัทธ์ ที่การอธิบายด้วยแง่มุมที่ไม่รอบด้านมากพออาจทำให้เสียการทำความเข้าใจโดยรวมและมีความเป็นเงื่อนไขกันและกันระหว่างปัจจัยย่อยต่างๆ

บทความนี้จะนำเอาวิธีการแปลความหมายของภูมิทัศน์ โดยอาศัยตัวบทหลักของ ไมนิก (Donald William Meinig: 1924-) นักภูมิศาสตร์อเมริกันที่งานของเขามีส่วนสำคัญในการก่อร่างสร้างฐานแก่ภูมิสถาปัตยกรรมศาสตร์ในสาขาภูมิทัศน์วัฒนธรรม (Cultural Landsape) จากบทความ The Beholding eye: Ten versions of the Same Scene วางอยู่ในตำแหน่งระดับสัจจพจน์ฐานบทในหนังสือ The Interpretation of Ordinary Landscapes: Geographical Essays (1979) มาใช้ช่วยทำความเข้าใจภูมิทัศน์ "บารมี" ที่ถูกอ้างถึงและถกเถียงกันในเหตุการณ์บุคคลสังคมของประเทศไทย ในปี 2016 ต่อเนื่องมาจนถึง 2017 หลายเหตุการณ์ จึงอาจเป็นประโยชน์แก่สาธารณะโดยทั่วไป


บารมี-ปารมี-10-6-อำนาจบุญญาธิการ

ในคติเถรวาท-หีนยาน "บารมี"มี สิบประการ คือ ทาน, ศีล, เนกขัมมะ (การออกจากชีวิตครองเรือน) , ปัญญา, วิริยะ, ขันติ, สัจจะ, อธิษฐาน, เมตตา, อุเบกขา. ส่วนคติมหายานเรียกในรูปสันสกฤตว่า "ปารมี" ลดแทนที่กันเหลือหกประการ คือ ทาน, ศิล, ขันติ (กษานติ) , วิริยะ, สมาธิ (ฌาน) , ปัญญา (ปรัชญา) ทั้งนี้จะมี ชาดก เป็นเรื่องเล่า (narrative) มีบุคคลสำคัญ (personification) ของบารมีแต่ละข้อ รวมเรียกว่า ทศชาติชาดก

ความหมายโดยทั่วไปของบารมีได้แก่ ปฏิปทาอันยวดยิ่งเพื่อบรรลุจุดหมายสูงส่ง, กำลังใจเต็ม, กำลังใจ (10 ประการ) ที่ต้องเติมให้เต็ม นัยยะของการเติมหม้อทุกใบให้เต็มนี้ชี้บารมีแบบพุทธว่ามีคุณสมบัติเชิงสัมพัทธ์มากกว่าคุณสมบัติเชิงสัมบูรณ์

นอกจากนี้ในสังคมศาสตร์มนุษย์ศาสตร์ ก็ได้สำรวจพัฒนาศึกษาแนวคิบารมีจากกลุ่มชาติพันธุ์วัฒนธรรม และเห็นว่า "บารมี-บุญญาบารมี" (Mana, Charisma) (ไม่อาจแยกออกจากอำนาจ (power) ต่างเป็นคนละด้านของเหรียญเดียวกันมีความสัมพันธ์ กับ พื้นที่ เศรษฐมิติ และ บุคคลสังคม เช่น พิธีกรรมpotlatch ซึ่งเกี่ยวกับการให้และรับระหว่างผู้แข่งบารมีกัน กับ สมาชิกในเผ่า (The Gift ,mauss) อันอาจมองเห็นในด้านอำนาจ ส่วนการอดทนสร้างเสริมคุณภาพในตัวเอง (การสักร่างกาย, การศึกษา- embodiment) , การเป็นที่พึ่งให้กับคนจำนวนมาก (การทำนายอนาคต, การไล่ผี-รักษาโรค, การเป็นตัวแทนเพื่อประกันความเป็นไปตามความคาดหมายของธรรมชาติฤดูกาลความอุดมสมบูรณ์) ก็มองเห็นได้จากด้านบุญญาบารมี

การศึกษาบารมีในวงการเถรวาทไทยยังช่วยให้เห็นภาพตัวแทนของการถ่ายทอดบารมีระหว่างมนุษย์กับวัตถุสิ่งของวัตถุมงคลที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ในตลาด (ทัมไบ/คายส์/ฮายามิ/ฉลอง สุนทราวณิช)

บารมีจึงมีคุณสมบัติสัมพัทธ์ ระหว่างองค์ประกอบทั้งสามมิติซึงกันและกันของพื้นที่เงื่อนไขและบุคคล (place-สนามอาณาบารมี, เงื่อนไขทางสังคม power-เศรษฐมิติและอุดมการณ์บทกำหนดข้อตกลงทางวัฒนธรรม และ บุคคล-สังคม person-subject จุดตำแหน่งบารมี) ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันและกันอย่างละเอียดลึกซึ้งแนบเนียนในชีวิตประจำวันทั้งด้านที่สามานย์และสูงส่งที่ฟูโกต์เรียกว่าจุลอำนาจหรือชีวอำนาจ (Bio-power, Governmentality)

นอกจากนี้ก็ใช่ว่า บารมีทั้งสิบแบบเถรวาทเอง จะจำแนกกันและกันได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างจาก เรื่อง เตมีย์ชาดก ชาดกเรื่องเล่าเรื่องนี้โดยทั่วไปถือว่าเป็นตัวแทนของ เนกขัมมะบารมี บารมีของการออกบวชละทิ้งครัวเรือนชีวิตครอบครัว ท้องเรื่องเล่าเป็นชีวิตของเตมียราชกุมารได้ตั้งแต่เป็นทารกก็รู้ความก่อนวัยได้ยินได้เห็นการตัดสินคดีความของบิดา (กาสิกราช) รำลึกได้ชาติได้ว่าเคยเป็นกษัตรย์เหมือนกันติดสินคดีแนวนี้มาเหมือนกัน แล้วต้องไปรับผลกรรมที่ตัดสินอย่างสาหัสสากรรณ์ ก็รู้สึกสลดใจเบื่อหน่ายวงจรป้อนกลับซ้ำซากเป็นนิพพิทาญาณ ประกอบกับได้รับคำแนะนำของมารดาในชาติก่อนแนะนำให้อธิษฐานแสร้งทำเป็น ใบ้ หูหนวก และเป็นง่อย (ปัญญาบารมี, อธิษฐานบารมี) จากนั้นอยู่ในสภาวะทั้งสามนั้นไปจนอายุสิบหกปีโดยไม่มีใครรู้ซึ่งยากมากต้องอดทนมาก (ขันติบารมี, วิริยบารมี) ต่อมาบิดาเชื่อคำแนะนำจากปุโรหิตขุนนางต่างๆที่ว่ากุมารเป็นตัวซวยกาลกิณีได้สั่งให้นายสุนันทะสารถีคนใกล้ชิดในครอบครัวนำตัวไปหาที่ฝังเสียในป่า ทั้งสองก็ออกเดินทางด้วยรถเทียมม้าไปด้วยกันเข้าป่าลึก เมื่อถึงที่เปลี่ยวที่หมายตาไว้ สุนันทะก็จอดรถแล้วหยิบเสียมมาขุดหลุม เตมีย์ก็เลิกเป็นง่อยเป็นใบ้เป็นบ้าทดลองกำลังยกรถแล้วก็พูดกับสุนันทะมีเนื้อหาหลักว่า มิตรย่อมไม่ให้ร้ายทำร้ายมิตร (มิตตานิสังสะ) ได้ให้สติแก่สุนันทะ (เมตตาบารมี, อุเบกขาบารมี) สุนันทะเดินทางกลับเมืองแต่เตมีย์ไม่กลับด้วยมุ่งมั่นจะใช้ชีวิตผู้สละครัวเรือนอยู่ในป่า (เนกขัมมบารมี) เมื่อกลับเมืองแล้วสุนันทะได้รายงานให้กษัตริย์รับทราบ กษัตรย์,ครอบครัวและบริวารก็ชวนกันออกมาหาเตมีย์ฤาษีเพื่อชวนให้กลับไปอีกครั้ง เมื่อได้พบกันเตมีย์ฤาษีให้อภัยทานครอบครัว (ต้องทะลุปมoedipal complex บิดาที่สั่งฝังบุตรจึงยากพอกับเวสสันดร) แล้วก็ให้ข้อคิดเห็นตามที่มีเค้าตั้งแต่แรกเรื่องและปฏิเสธที่จะกลับใช้ชีวิตแบบฆราวาส ทุกคนได้ฟังก็เลื่อมใสกลับตัดสินใจออกบวชกันหมดในที่นั้น (ทานบารมี, ปัญญาบารมี)                

จะเห็นว่าเนื้อหา (narrative) ชาดกที่เป็นตัวแสดงแทน (representative) ของเนกขัมมบารมีที่มีพระเตมีย์เป็นบุคคลาทิฏฐาน (personification) นี้ ยังประกอบไปด้วยบารมีสิบครบครันทั้งเรื่องอาจจะขาดแต่ศีลบารมี ซึ่งก็อาจอนุมานว่าเตมีย์ฤาษีมีอยู่ตามเป็นธรรมชาติ

เราเห็นได้ว่าบารมีสัมพัทธ์ทั้งกับบริบทของบารมีรวมถึงสัมพัทธ์กับเศรษฐกิจสังคมการเมือง ทางพุทธถือว่าบารมีต้องสะสมกันเองเชิงสัมพัทธ์ การนวดโหนเพื่อบารมี เช่น ถ่ายภาพกับบุคคลสำคัญ, การใช้เครื่องแบบแต่งกาย-ความพร้อมเพรียงและฉากหลังอันวิจิตรอลังการณ์นาฏกรรม เป็นต้น ต่างเป็นไปโดยอาศัยเทคนิควิธีที่ใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติการถ่ายทอดบารมีจากวัตถุหรือคนอื่น ทั้งนี้ก็ไม่เกินเลยจากข้อค้นพบที่สังคมศาสตร์มนุษยวิทยาการเมืองได้เสนอไว้  กล่าวได้ว่าทั้งหมดต่างจัดวางอยู่ในบริบทสัมพัทธภาพของบารมี


มุมมองของภูมิทัศน์เดียวกันทั้ง 10

วงวิชาการแนวข้ามศาสตร์ เป็นหนึ้นักภูมิศาสตร์หลายท่าน เช่น มานุษยวิทยาสังคมวิทยาต่องานของเดวิด ฮาร์วี่, นิเวศวิทยาภูมิทัศน์ต่อคุณูปการของ เอียน แมกฮาร์ก และ ภูมิทัศน์วัฒนธรรมสถาปัตยกรรมศึกษาต่อการมองทั้งสิบแบบของโดนัล วิลเลียม ไมน์นิก.  

ไมน์นิกปัจจุบันดำรงตำแหน่งเกียรติคุณทางวิชาการ (Maxwell Research Professor of Geography, Syracuse University) เคยวิจัยในออสเตรเลียและมีงานสำคัญทางภูมิศาสตร์เป็นหนังสือชุดสี่เล่ม The Shaping of America: A Geographical Perspective on 500 Years of History ทยอยตีพิมพ์ตั้งแต่ 1988-2000 การเสนอบทสังเคราะห์ที่คมลึกซึ้งใน"The Beholding Eye: Ten Versions of the Same Scene." เป็นผลประมวลจากประสบการณ์ยาวนาน

ในที่นี่ไมน์นิกอธิบายถึงเงื่อนไขฉากหลังที่ทำให้การรับรู้ถึงภูมิทัศน์เดียวกันนั้นกลับอาจแตกต่างกันไปสำหรับผู้ดูแต่ละคน เขาเสนอว่าสิ่งประกอบสร้างที่เรียกว่าภูมิทัศน์นั้นไม่ได้ประกอบจากแต่สิ่งที่วางอยู่เบื้องหน้าตาคนดูเท่านั้นแต่ยังประกอบด้วยสิ่งที่วางอยู่ในหัวคนดูเบื้องหลังสายตาอีกด้วย  เมื่อมองไปยังภูมิทัศน์เบื้องหน้าผู้ดูได้ผนวกเอาความเชื่อ,คุณค่า,ศรัทธา,ความกลัว และอื่นๆ ร่วมประเมินภูมิทัศน์นั้น (อันนี้คล้ายแนวคิดอายตนะภายนอก/อายตนะภายในและนามขันธ์ 4)  เปรียบเสมือนแว่นตาเฉพาะสีและความโค้งเลนส์เฉพาะที่ทำให้ภาพที่เห็นแตกต่างเฉพาะตัว เขาเตือนให้เราระมัดระวังอคตินี้และเปิดใจให้กว้างต่อการแปลความหมายในมุมอื่นๆ ที่สำคัญเขาลองนับมุมมองต่างๆที่เป็นไปได้ สิบ มุมมอง ได้แก่ ธรรมชาติ (nature) , แหล่งถิ่นที่อาศัย (habitat) , ประดิษฐกรรมสรรค์สร้าง (artifact) , ระบบ (system) , ปัญหา (problem) , ความมั่งคั่ง (wealth) , คตินิยมอุดมการณ์ (ideology) , ประวัติศาสตร์ (history) , สถานที่เฉพาะ (place) , สุนทรียภาพ (aesthetic) .

ต่อไปเราจะถือโอกาสสำรวจภูมิทัศน์ของ "บารมี" จากแง่มุมมองตามลำดับนี้


ธรรมชาติ (Nature)

มนุษย์ช่างกระจ้อยร่อยในธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ในมุมมองภูมิทัศน์นี้ อำนาจตามธรรมชาติของ ดวงอาทิตย์ ขุนเขา ทะเล คลื่น พายุ ล้วนยิ่งใหญ่เกินชะตากรรมมนุษย์  แต่ก็ทำให้มนุษย์โหยหาอำนาจที่จะจัดการกับทุกข์ยากและพลังอำนาจเหล่านั้น ภูมิทัศน์นี้จึงสร้างมโนทัศน์ อำนาจบารมี พื้นฐานความคาดหวังให้กับมนุษย์


แหล่งที่อยู่ (Habitat)

ภูมิทัศน์ที่มนุษย์ได้ประยุกต์อำนาจธรรมชาติบางประการให้เหมาะสมกับการพำนักพักอาศัยของกลุ่มชน แม่น้ำที่เป็นแหล่งอาหารและการเดินทางคมนาคม การเพาะปลูก ความต่อเนื่องของความคาดหวังสังคมเกษตรกรรมน้ำฝนหาของป่า ที่ต้องการดินฟ้าอากาศที่ตกต้องตามฤดูกาลเชื่อมโยงอำนาจบารมีในธรรมชาติเข้ากับตัวแทนมนุษย์ผู้ทำหน้าที่ตัวแทนกลุ่มสังคมในการเซ่นสรวงสังเวยเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยทางกำลังใจของชุมชน


ประดิษฐกรรมสรรค์สร้าง (Artifact)

ประสิทธิภาพที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์คิดค้นปรับสภาพให้ศักยภาพในการผลิตสะดวกและเพิ่มพูน ด้วยมรรควิธีต่างๆ บนผืนแผ่นดินในฐานะที่เป็นลานเวทีของประดิษฐกรรมเหล่านั้นจนยากที่จะพบเศษเสี้ยวของสิ่งธรรมชาติบริสุทธิปราศจากมนุษย์  ซึ่งอำนาจบารมีก็เป็นประดิษฐกรรมทางสังคมชิ้นหนึ่งที่ครอบงำไปถึงแม้ในแผ่นดินที่ไร้มนุษย์พักอาศัยดังที่แสดงในแผนที่


ระบบ (System)

หากเรามองเห็นแม่น้ำในแง่ที่เป็นส่วนหนึ่งของวงจรวัฏจักรของน้ำ นั่นคือมุมมองเชิงระบบ มุมมองระบบต่ออำนาจบารมีคือ ระบบอุปถัมถ์ การไหลเวียนแลกเปลี่ยนของ ฐานะอำนาจการยอมรับนับถือ การแบ่งสรรค์ผลประโยชน์ ความชอบธรรมและ การปกปักรักษาคุ้มครองป้องกัน


ปัญหา (Problem)

สิ่งบ่งชี้ทั่วไปคือ ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปด้วยการเปลี่ยนแปลง ภูเขาต้องกร่อนราบลงสักวันหนึ่ง (อนิจจาลักษณ์ในไตรลักษณ์) อำนาจบารมีเองฉายโชนรุ่งเรืองก็ย่อมมีวันเสื่อมถอยอับแสง ดังที่หลายท่านเสนอว่าความชอบธรรมบุญญาบารมีเป็นอีกด้านของอำนาจในเหรียญเดียวกันเหรียญที่ยังใช้แทนค่าเงินในตลาดได้ต้องมีทั้งด้านหัวด้านก้อยอำนาจที่ปราศจากความชอบธรรมย่อมไม่ยั่งยืน

ส่วนชีวอำนาจ (Bio-power) ที่ล้นเกินบิดเบี้ยว บิดเบือนรบกวนความเที่ยงตรงของการรับรู้และยถาภูตญาณทัศน์ก็เป็นปัญหาต่อระบบในตัวเอง


ความมั่งคั่ง (Wealth)

เมื่อเราทอดสายตาไปที่ผืนแผ่นดินตรงหน้าเราอาจรู้สึกได้ว่ามันมีคุณค่ามีราคามีผลิตภาพและเป็นที่มาของความมั่งคั่งรุ่งเรือง บารมีก็เกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่งคั่งแน่มิฉนั้นภูมิทัศน์โหนบารมีก็คงไม่มีให้เราเห็นบ่อยทั้งอย่างแนบเนียนและตรงไปตรงมา

คตินิยมอุดมการณ์ (Ideology)

เราอาจมองทัศนีย์ภาพตรงหน้าและเห็นสัญญะต่างๆของคุณค่าแบบต่างๆ แบบแผนที่ใช้การกำกับความเป็นไป ปรัชญาความเชื่อในแบบแผนของแต่ละวัฒนธรรมย่อมทำให้ทัศนียภาพแตกต่างกัน ในมุมนี้ของอำนาจบารมีกล่าวได้ว่าระบบอุปถัมถ์ที่เกิดขึ้นแพร่หลายแตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรมย่อมเกิดจากรากฐานคตินิยมอุดมการณ์อยู่ด้วย (เช่น ระบบอุปถัมถ์พบได้มากสังคมเคร่งศาสนาเช่น ลาตินอเมริกา อิตาลี ไอร์แลนด์ ไทย ฯลฯ เป็นเพราะมีคตินิยมบางอย่างที่ลัทธิศาสนาในพื้นที่เหล่านั้นรับรองกำกับที่เอื้อต่อการงอกงามของระบบอุปถัมถ์ )


ประวัติศาสตร์ (History)

ภูมิทัศน์ย่อมเป็นผลระยะยาวจากการที่มนุษย์และธรรมชาติได้สั่งสมบางสิ่งบางอย่างที่ซับซ้อนและต่อเนื่อง  สำหรับพุทธบารมีสิบ การนำเสนอเรื่องเล่าผ่านภาษาภาพให้ผู้คนทั่วไปเข้าใจนิยมทำผ่านจิตรกรรมฝาผนังของอุโบสถวิหารมาแต่โบราณ ทั้งนี้ความจำเป็นที่ต้องเลือกสรรค์เรื่องใดเรื่องหนึ่งในโบสถ์แห่งใดแห่งหนึ่งก็ย่อมเกิดขึ้นและมีเรื่องที่นิยมมากกว่าเรื่องอื่น ลักษณะทำนองเดียวกันจะดำเนินไปนำไปสู่ความนิยมในเรื่องใดเรื่องหนี่งเป็นแบบแผนประเพณี เช่น เวสสันดร-มหาชาติ (มหา-ใหญ่,สำคัญ)

ดังนั้น คุณสมบัติเชิงสัมพัทธ์ของบารมีแบบพุทธในภูมิภาคนี่จึงค่อยๆถูกความเฉพาะเจาะจงและความสัมบูรณ์เข้าแทนที่


สถานที่เฉพาะ (place)

ในเมื่อภูมิทัศน์เป็นผลมาจากปัจจัยอันสลับซับซ้อนหลายปัจจัย แต่ละทัศนียภาพย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะตรงกันเหมือนกันทุกประการแม้แต่ทัศนียภาพเดียวกันต่างเวลาก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ดังนี้เมื่อภูมิทัศน์หนึ่งๆเป็นที่พำนักหล่อหลอมบุคคลสังคมหนึ่งๆ บุคคลเหล่านั้นย่อมผูกพันเป็นส่วนหนึ่งกับภูมิทัศน์นั้น ภูมิทัศน์ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชีวิตส่วนบุคคลของเขา ในแง่สถานที่เฉพาะของบารมี (อาณาปารมี) นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เคยให้ภาพที่ชุมชนแต่ละแห่งอาจจะอยู่ในอิทธิพลความสว่างของแสงเทียนของอำนาจปกครองที่แรงเทียนสูงกว่า ทั้งนี้หากระยะทางไกลจากศูนย์กลางอำนาจมาก ก็ยังอาจเลือกอยู่ในอาณัติของอำนาจได้มากกว่าหนึ่งศูนย์กลาง ลักษณะนี้ก็เกิดกับชุมชนในที่สูงสลับซับซ้อนตอนบนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่เรียกว่าโซเมีย (Zomia) อีกด้วย

ในขนาดที่ย่อมลงมาการเลือกยึดครองพื้นที่สาธารณะในลักษณะอีเวนต์ก็เป็นการแสดงออกของอำนาจบารมี เช่นกัน การต่อธนบัตรให้ยาวเพื่อครองแสดงพี้นที่ การพาเหรดในการออกกำลังกาย การเดินธุดงค์หมู่ กองเกียรติยศเดินสวนสนามฯลฯ อีเวนต์เหล่านี้จะมีความหมายก็ต่อเมื่อกระทำในพื้นทีสาธารณะ นักวิชาการบางท่านก็ตั้งข้อสังเกตปรากฏการณ์ลักษณะนี้กับเมืองที่มีศาสนาอำนาจนิยมสุดโต่ง (Fundamentalism City) ทั่วโลกที่เริ่มเกิดขึ้นในปลายศตวรรษที่แล้วข้ามมาจนถึงปัจจุบันด้วยสายตาหวาดระแวง


สุนทรียภาพ (Aesthetic)

ปฏิเสธไม่ได้ว่าภูมิทัศน์ที่มีอำนาจเป็นศูนย์กลางมีอิทธิพลทางสุนทรียภาพ ทัศนียภาพอันมีดวงอาทิตย์ปริ่มทะเลท้องฟ้า และ ภาพยนตร์เรื่อง God 's Father ของมีคุณภาพนี้ร่วมกัน แต่การเหมารวมว่าความงามในตัวเองเป็นอันหนึ่งเดียวกับความจริงและความดีน่าจะนำสู่อุปาทานอคติที่อันตราย เราอาจได้ประโยชน์จากกลไกพลังของดวงอาทิตย์ได้โดยไม่ต้องบูชายัญใคร  หรือเข้าใจกลไกของระบบอุปถัมถ์จากภาพยนตร์โดยซาบซึ้งไปกับสุนทรียภาวะของภูมิทัศน์

วัตถุประสงค์ของบทความนี้คือเปิดให้เห็นความเป็นไปหลายมิติตามความเป็นจริง ท่ามกลางคุณสมบัติทั้งสิบภูมิทัศน์อำนาจ/บารมี ก็คือ ความย้อนแย้งไม่ลงรอยในบารมีเอง ในทานบารมี ทานอันจะนับเป็นบารมีได้ต้องประกอบด้วยสติปัญญาไม่สร้างผลกระทบทางลบอีกทั้งปราศจากความต้องการผลตอบแทนใด อย่าว่าแต่ชื่อเสียงอำนาจที่มักโหนนวดเลยแม้แต่บารมีเองก็ไม่พึงคาดหวัง

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: คนขี่เสือ......!?

Posted: 07 Jan 2018 06:56 PM PST

 

ฟังผู้นำยังคลำทางวางยุทธศาสตร์     เบื่อการใช้อำนาจประกาศแว่ว

แต่ตัวเลขซื้ออาวุธสุดวาวแวว     ตลาดแจ๋วแถวเอเชียอาคเนย์

วิธีคิดติดอยู่ที่ปากอยากอยู่ที่ใจ     เป็นนักการเมืองหน้าใหม่ไม่หันเห

สถานการณ์บังคับลับลวงเล่ห์     กองหนุนเท่ อีกไม่นานคลานคลาไคล


ขึ้นหลังเสือเหงื่อไหล ตกกระไดพลอยโจน.....คิดผาดโผนพบหลุมพรางตนวางไว้

อยากลงจากหลังเสือ แต่เมื่อไหร่     ถอนหายใจในคดีราวีคา

ตัวอย่างขี่หลังเสือที่เหนือชั้น     เมื่อเสือมันอิ่มหนำฉ่ำหนักหนา

เป็นเสือเลี้ยงละครสัตว์หมดอัตตา     เขี้ยวเล็บขาแข้งถอนอ่อนแรงโรย


ขี่เสือได้อย่าให้หิวชิวหาห้อย     และต้องคอย ดูให้อย่า ชิวหาโหย

เสืออ้วนพีไม่มีโกรธกระโดดโวย     เหลือแต่โชยขี้เสือ เหม็นเหลือใจ

เหม็นขี้เสือเบื่อหน้าประชาทน     คนขี่เสือวิ่งวนจนเฉไฉ

แหวนเพชรนาฬิกามาจากใคร     เสืออ้วนไปใช่ไหมวนคนขี่เสือ


ยุทธศาสตร์ที่วาดหวังยังไม่เสร็จ     ดันแหวนเพชรนาฬิกามาเชือดเนื้อ

ลับลวงพรางอย่างที่อีหลักอีเหลื่อ     เสียของ เหลืออีกพี่น้อง ต้องเททิ้ง

เห็นอกเห็นใจใครขี่เสือเมื่อเสียของ     ยังปกป้องประคองกันไปไม่ล้มกลิ้ง

ลงหลังเสือเหลือลำบากยากจริง ๆ     คงต้องวิ่งวนอยู่ทนดู.....ใคร ?

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: ปีหมาหมา

Posted: 07 Jan 2018 06:44 PM PST

พ้นปีไก่ ได้เวลา ปีหมาหมู่
เที่ยวข่มขู่ เหมือนหมาบ้า หาใช่เสือ
หมาตะกละ จะพลาดท่า แดกยาเบือ
เห็นแล้วเบื่อ พวกรอท่า หมาสองราง

กินอย่างหมู อยู่อย่างหมา กว่าสามปี
ไร้แวววี่ จะเลิกรา หมาหวงก้าง
ขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง แกล้งทุกทาง
ไม่เว้นวาง หมาจนตรอก บอกสู้ตาย

เดินตามหลัง ป๋าเอาไว้ หมาไม่กัด
พวกหมาวัด หมาหัวเน่า เขาแหนงหน่าย
ทำหุงข้าว ประชดหมา พาวอดวาย
น่าอับอาย หมาลอบกัด ชัดทุกตัว

ล้วนหมาเห่า ใบตองแห้ง แสร้งว่าเก่ง
แต่ทำเจ๊ง ขี้หมูขี้หมา พากันมั่ว
เล่นกับหมา หมาเลียปาก อยากพันพัว
อย่าซี้ซั้ว ถ้าหมากัด อย่ากัดคืน

ชิงหมาเกิด ล้มยิ่งลักษณ์ ไล่ทักษิณ
เห่าเครื่องบิน พวกหมู่หมา วิ่งหน้าตื่น
ขี้ใหม่หมา พากันหอม ยอมกล้ำกลืน
ตายน้ำตื้น หมาหยอกไก่ ให้ระวัง

จากระกา มาระกำ ช้ำทั้งชาติ
แย่งบทบาท หมารับใช้ ตามใบสั่ง
ไม่มีมูล หมาไม่ขี้ ตีข่าวดัง
กะลาพัง หมาหางด้วน มันป่วนเมือง

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น