ประชาไท | Prachatai3.info |
- สาระ+ภาพ: วันเด็ก 2561 ในวันที่เด็กไทยน้อยลงแต่มีความท้าทายอยู่ข้างหน้า
- องค์กรพิทักษ์สื่อจัดอันดับผู้นำที่กดปราบเสรีภาพ 5 สาขา 'อองซานซูจี' ชนะสาขาถอยหลังเข้าคลอง
- ศาลไม่อนุญาตออกหมายจับ 'เอกชัย' หลัง 'ศรีวราห์' ยื่นอ้างผิดโพสต์ลามก
- อัยการสั่งฟ้อง 16 ผู้ต้องหาเครือข่ายเทพาไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน
- ปิยรัฐ จงเทพ เข้ายื่นหลักฐานข้อมูลนาฬิกาหรู 19 เรือนให้ ป.ป.ช. หวังตรวจสอบพล.อ.ประวิตร
- เฟสบุ๊คจ่อลดการแสดงผลข้อมูลบนนิวส์ฟีดของเพจลง เพิ่มเพื่อน-ครอบครัวมากขึ้น
- พรรคการเมืองเสี่ยงทาย: เอาไงดีกับพรรค คสช.-2 พรรคใหญ่รวมกันเฉพาะกิจ
- รังสิมันต์ โรม: 14 ปี ปาตานี เราจะส่งต่ออนาคตอย่างไรให้เด็กรุ่นหลัง
- อัยการเยอรมันสั่งไม่ฟ้องเด็กชายวัย 14 ใช้ปืนลมยิงใส่ขบวนเสด็จจักรยาน ร.10
- ณัฐวุฒิ ทวงถาม ป.ป.ช. เมื่อไหร่จะได้เห็นสำนวนยกคำร้อง กรณีสลายชุมนุมปี 53
- สุรพศ ทวีศักดิ์: ศาสนาไม่ช่วยให้มีศีลธรรมในโลกสมัยใหม่
สาระ+ภาพ: วันเด็ก 2561 ในวันที่เด็กไทยน้อยลงแต่มีความท้าทายอยู่ข้างหน้า Posted: 12 Jan 2018 02:08 PM PST ร่วมฉลองวันเด็ก 2561 พิจารณาสถานการณ์ประเทศไทยที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลง แต่ปัญหาและสวัสดิภาพของเด็กยังไม่ดีขึ้น เด็กยังคงถูกแจ้งหายเป็นอันดับต้นๆ แม่วัยรุ่นไทยอยู่ตรงไหนกันแน่ของอาเซียน โครงสร้างครอบครัวไทยแบบพ่อแม่ลูกที่มีลูกไม่เกิน 1-2 คน รวมทั้งเทรนด์ครอบครัวใหม่แบบสังคมผู้สูงวัย และผู้คนที่เริ่มอยู่ตัวคนเดียวมากขึ้น รวมทั้งโครงสร้างประชากรในอนาคตที่ประชากรวัยเด็กจะมีน้อยกว่าประชากรผู้สูงอายุ |
องค์กรพิทักษ์สื่อจัดอันดับผู้นำที่กดปราบเสรีภาพ 5 สาขา 'อองซานซูจี' ชนะสาขาถอยหลังเข้าคลอง Posted: 12 Jan 2018 10:16 AM PST ตุรกีติด 2 สาขาหน้าบางและใช้กฎหมายปราบสื่อ 'โดนัลด์ ทรัมป์' ได้รางวัลบ่อนทำลายเสรีภาพสื่อสำเร็จระดับโลกจากความล้มเหลวในการสนับสนุนเสรีภาพสื่อจนทำให้ผู้สื่อข่าวติดคุกเพิ่มขึ้นทั่วโลก 'อองซานซูจี' ชนะเลิศ สาขาถอยหลังเข้าคลอง ภาพจาก wikipedia.org เมื่อวันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา คณะกรรมการเพื่อปกป้องนักข่าว (Committee to Protect Journalism - CPJ) ประกาศให้มี "รางวัลสำหรับผู้กดขี่สื่อ" ขึ้นมาท่ามกลางกระแสสังคมในประเด็นข่าวลวงและทวิตจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ว่ามีแผนที่จะจัดพิธีมอบรางวัลข่าวปลอม เพื่อตอบโต้กระแสจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซีพีเจได้กางรายชื่อผู้นำชาติต่างๆ ที่มีพฤติกรรมล่วงละเมิดต่อนักข่าวและบ่อนทำลายหลักเสรีภาพสื่อด้วยวิธีการสารพัด ตั้งแต่การไม่กล้าฟังข้อวิจารณ์และข้อเท็จจริงไปจนถึงการปิดกั้นการนำเสนออย่างไม่ลดละ ซีพีเจเลือกผู้นำจำนวน 5 ชาติ เข้ารับรางวัลในสาขาต่างๆ นอกจากนั้นในแต่ละรางวัลยังมีผู้ที่ได้รับรางวัลชมเชยอีกด้วยสำหรับพฤติกรรมการปิดปากผู้วิพากษ์วิจารณ์และบ่อนทำลายประชาธิปไตยของพวกเขาและเธอ สาขาหน้าบางชนะเลิศ: ประธานาธิบดี เรเซป ตอยยิป เออร์โดกาน จากตุรกี ทางการตุรกีได้ฟ้องร้องเหล่านักข่าว สำนักข่าวและผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียฐานดูหมิ่นเออร์โดกานและผู้นำตุรกีคนอื่นๆ รวมไปถึงการดูหมิ่น "ความเป็นตุรกี" อีกด้วย หนังสือพิมพ์รายวัน Cumhuriyet ของตุรกี นำเสนอข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรม เรื่องจำนวนคดีดูหมิ่นสารพัด ตั้งแต่ตัวประธานาธิบดี ชาติและสาธารณรัฐตุรกี รัฐสภา รัฐบาล สถาบันยุติธรรมต่างๆ ที่เข้าสู่ชั้นศาลในปี 2559 มีจำนวนถึง 46,193 คดี รองชนะเลิศ: ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากสหรัฐฯ ทรัมป์เลือกที่จะตอบโต้คำวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อด้วยการขู่ว่าจะบัญญัติกฎหมายตีพิมพ์ข้อความหมิ่นประมาท (libel laws) ขู่ว่าจะฟ้องร้องสื่อ และทบทวนใบอนุญาตการแพร่ภาพกระจายเสียง ทั้งนี้ ประธานาธิบดีชื่อดังยังได้โจมตีสื่อผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวและการออกมาพูดเองอยู่เนืองนิจ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกสื่อว่า "น่าเศร้า" "ล้มเหลว" หรือกระทั่ง "ขยะ" ตั้งแต่รับตำแหน่งในปี 2558 ทรัมป์ทวีตโจมตีสื่อไปแล้วกว่า 1,000 ทวีต งานวิจัยจากซีพีเจรายงานว่า การตัดสินใจโต้ตอบ ดูหมิ่นสื่อของเหล่าผู้นำทางการเมืองและบุคคลสาธารณะ จะเป็นแรงหนุนให้สื่อเกิดการเซ็นเซอร์ตัวเอง ทั้งยังทำให้นักข่าวอาจพบเจอกับภาวะเสี่ยงอันตรายโดยไม่จำเป็น สาขาการใช้กฎหมายสร้างความหวาดกลัวกับสื่ออย่างอุกอาจชนะเลิศ: ประธานาธิบดี เรเซป ตอยยิป เออร์โดกาน จากตุรกี กวาดคนเดียวสองรางวััลสำหรับผู้นำแห่งประเทศที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นคุกคุมขังสื่อที่ย่ำแย่ที่สุด ซีพีเจนับจำนวนผู้สื่อข่าวที่ถูกจำคุกล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมามีจำนวนอย่างน้อย 73 คน โดยผู้สื่อข่าวที่ถูกจำคุกเพราะการทำงานในตุรกีกำลังถูกสอบสวน และถูกกล่าวหาในข้อหากระทำอาชญากรรมต่อต้านรัฐ ข้อกล่าวหาส่วนมากระบุว่าจำเลยให้การช่วยเหลือ จัดทำโฆษณาชวนเชื่อ หรือเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรผู้ก่อการร้าย รองชนะเลิศ: ประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตาห์ อัลซิซี จากอียิปต์ ประธานาธิบดีที่ขึ้นมาจากการรัฐประหารรัฐบาลเลือกตั้งของโมฮัมเหม็ด มอร์ซี ภายใต้การปกครองโดยอัลซิซี ทางการอียิปต์จำคุกนักข่าวไปแล้ว 20 คนเป็นอย่างน้อย โดย 18 คนถูกจับในข้อหาอาชญากรรมต่อรัฐ เช่นให้การสนับสนุน ปลุกระดมการก่อการร้าย หรือเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ถูกแบน ในปี 2560 รัฐบาลอัลซิซีผ่านกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายฉบับใหม่ที่เป็นผลให้การปราบปรามสื่อยิ่งหนักข้อ รายงานข่าวระบุว่า กฎหมายดังกล่าวให้อำนาจทางการขึ้นบัญชีนักข่าวที่ถูกตัดสินว่าไม่เกี่ยวข้องกับข้อหาก่อการร้าย โดยนักข่าวที่ถูกขึ้นบัญชีโดนควบคุมสิทธิทางการเงินและอื่นๆ สาขายึดกุมสื่ออย่างแน่นหนาที่สุดชนะเลิศ: ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง จากจีน รัฐบาลปักกิ่งภายใต้การนำของสีจิ้นผิงผสมผสานการเซ็นเซอร์ในแบบฉบับของจีนกับการควบคุมอินเทอร์เน็ตเพื่อให้สื่ออยู่ในระเบียบ จีนเป็นประเทศหนึ่งที่คุมขังนักข่าวมากที่สุดในโลก ในปี 2560 จำนวนนักข่าวที่ถูกจำคุกในจีนมีจำนวน 41 คน เป็นอันดับสองรองจากตุรกี ในประเทศจีน สื่อดั้งเดิม (สื่อที่มาก่อนยุคสื่อดิจิตัล เช่น โทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ - ที่มา igi-global) ส่วนมากถูกรัฐบาลควบคุม นักข่าวเองก็มีความเสี่ยงที่จะตกงานหรือถูกสั่งห้ามเดินทางถ้าหากนำเสนอเนื้อหาที่เป็นการท้าทายขอบเขตการเซ็นเซอร์ไม่ว่าจะผ่านพื้นที่สื่อหรือบล็อกส่วนตัว นอกจากนั้น แหล่งข่าวหรือผู้สื่อข่าวจากต่างประเทศเองก็ถูกกีดกันและถูกกดขี่ การควบคุมอินเทอร์เน็ตถูกนำมาใช้ไม่ว่าจะเป็นการเซ็นเซอร์ด้วยมนุษย์ เครื่องจักร หรือโดยการพิจารณาอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า เกรตไฟร์วอลล์รวมไปถึงการกดดันบริษัทด้านเทคโนโลยีให้ยอมปฏิบัติตามข้อบังคับ รองชนะเลิศ: ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน จากรัสเซีย ภายใต้การปกครองของปูติน สื่ออิสระถูกกำจัดมาตรการข่มขู่ผ่านการใช้ความรุนแรงและการคุมขัง รวมไปถึงการล่วงละเมิดด้วยวิธีอื่น รัฐบาลปูตินเพิ่งสั่งให้สื่อต่างชาติรวมถึงสื่อ วอยซ์ ออฟ อเมริกา เรดิโอ ฟรี ยุโรป/เรดิโอ ลิเบอร์ตี ให้จดทะเบียนเป็นสื่อต่างชาติและปิดกั้นไม่ให้ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวดังกล่าวเข้าไปในรัฐสภา นอกจากนั้นรัสเซียยังประสบความสำเร็จในการปิดกั้นอินเทอร์เน็ตผ่านการลอกเลียนแบบอย่างจากจีน *การจัดอันดับสาขานี้ไม่นับประเทศที่ไม่มีสื่ออิสระ ยกตัวอย่างเช่นเกาหลีเหนือและเอริเทรีย สาขาถอยหลังเข้าคลองชนะเลิศ: ที่ปรึกษาแห่งรัฐและผู้นำพม่าในทางพฤตินัย อองซานซูจี ภายหลังพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ที่นำโดยอองซานซูจี ชนะการเลือกตั้งและขึ้นเถลิงอำนาจในปี 2559 ความหวังต่อเสรีภาพสื่อมีมากขึ้นหลังจากมีการอภัยโทษให้กับนักข่าว 5 คนสุดท้ายที่ถูกจำคุกอยู่ อย่างไรเสีย โครงสร้างกฎหมายที่มีอยู่เดิมที่มีลักษณะควบคุมการทำงานของสื่อไม่ได้ถูกแก้ไข นักข่าวยังคงถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่ความมั่นคงจากความพยายามในการนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรงต่อชาวโรฮิงญาในตอนเหนือของรัฐยะไข่ที่องค์การสหประชาชาติระบุว่าเป็น "ตัวอย่างในหนังสือเรียนว่าด้วยเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ในวันที่ 12 ธ.ค. 2560 นักข่าวรอยเตอร์ 2 คนที่ทำข่าวประเด็นข้างต้นถูกจับกุมและถูกตั้งข้อสงสัยว่าล่วงละเมิดกฎหมายว่าด้วยความลับทางราชการ ผู้สื่อข่าวทั้งสองถูกคุมขังโดยไม่ให้ติดต่อผู้ใดอยู่เป็นเวลา 2 สัปดาห์ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้พบครอบครัวและทนายความ รอยเตอร์เปิดเผยว่าโทษสูงสุดที่ทั้งคู่จะได้รับคือการจำคุกเป็นเวลา 14 ปี รองชนะเลิศ: ประธานาธิบดีอันเดรซ ดูดา จากโปแลนด์ ชื่อเสียงของโปแลนด์เปลี่ยนสภาพไปอย่างมากภายใต้การปกครองของรัฐบาลชาตินิยม-อนุรักษ์นิยมนำโดยพรรคกฎหมายและความยุติธรรม เดิมโปแลนด์เป็นที่รู้จักในฐานะสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยจากการเปลี่ยนผ่านจากระบอบคอมมิวนิสต์สู่การเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (อียู) และสื่อเองก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว แต่ปัจจุบัน รายงานข่าวระบุว่า รัฐบาลกลับเข้าควบคุมสื่อสาธารณะโดยตรง ทั้งยังประกาศแผนที่จะเปลี่ยนข้อปฏิบัติในทางที่จะบังคับให้เจ้าของสำนักข่าวที่เป็นชาวต่างชาติต้องสูญเสียสถานะการเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ในขณะเดียวกัน กลุ่มจับตาเสรีภาพแห่งสหรัฐฯ (U.S. watchdog Freedom House) รายงานว่า รัฐบาลโปแลนด์ได้ยกเลิกการติดตาม (subscription) สื่อที่มีจุดยืนสนับสนุนฝ่ายค้าน แต่ในขณะเดียวกันบริษัทรัฐวิสาหกิจกลับให้เงินสนับสนุนสื่อที่เป็นมิตรกับรัฐบาล เมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ช่อง TVN 24 ของโปแลนด์ถูกหน่วยงานควบคุมด้านสื่อของโปแลนด์ปรับเงินจำนวนราว 415,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังทำข่าวเรื่องการประท้วงที่เกิดขึ้นภายในรัฐสภาเมื่อปี 2559 รายงานข่าวระบุว่ารัฐบาลโปแลนด์พยายามส่งสัญญาณให้สื่อทำการเซ็นเซอร์ตัวเอง สาขาความสำเร็จในการบ่อนทำลายเสรีภาพสื่อทั่วโลกชนะเลิศ: ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จากสหรัฐฯ แม้ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนก่อนๆ จะวิพากษ์วิจารณ์สื่อ แต่พวกเขายังคงแสดงความตั้งใจว่าจะเชิดชูเสรีภาพสื่อในฐานะปัจจัยสำคัญของความเป็นประชาธิปไตย แต่ทรัมป์กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามด้วยการบ่อนทำลายเสรีภาพสื่ออย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่สหรัฐฯ มีสถานะเป็นผู้นำในเรื่องเสรีภาพสื่อให้กับทั่วโลกมาอย่างยาวนานข้อบัญญัติเพิ่มเติมในรัฐธรรมนูญข้อที่ 1 ว่าด้วยเสรีภาพสื่อ แต่ปัจจุบันผู้นำที่กดปราบสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสีจิ้นผิง เออร์โดกาน อัลซิซี รวมถึงทางการจีน ซีเรียและรัสเซียต่างก็สมาทานแนวคิดเรื่อง "ข่าวปลอม(Fake News)" ที่มาจากทรัมป์ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ กระทรวงยุติธรรมประสบความล้มเหลวในการจัดทำแนวทางเพื่อปกป้องแหล่งข่าว กระทรวงการต่างประเทศเองก็ได้เสนอให้ตัดการสนับสนุนงบประมาณต่อองค์กรต่างชาติที่ช่วยสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออก นอกจากนั้น ความล้มเหลวของรัฐบาลทรัมป์ที่ไม่สามารถสร้างแรงกดดันให้กับผู้นำที่ทรงอำนาจให้สร้างเสริมเสรีภาพสื่อก็ยิ่งทำให้จำนวนผู้สื่อข่าวที่ต้องเข้าไปอยู่หลังลูกกรงสูงขึ้นทั่วโลก
แปลและเรียบเรียงจาก In response to Trump's fake news awards, CPJ announces Press Oppressors award, CPJ, Jan. 8, 2018
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ศาลไม่อนุญาตออกหมายจับ 'เอกชัย' หลัง 'ศรีวราห์' ยื่นอ้างผิดโพสต์ลามก Posted: 12 Jan 2018 05:30 AM PST ศาลไม่อนุญาตออกหมายจับ 'เอกชัย' นักเคลื่อนไหวประเด็นนาฬิกา พล.อ.ประวิตร หลัง รองผบ.ตร. ร้องศาลขอหมายจับ อ้างโพสต์เฟสบุ๊คเข้าข่ายลามกอนาจาร โดยศาลชี้ควรมีการออกหมายเรียกก่อน ด้านเอกชัย งง ไม่ทราบโพสต์ไหน ยันพรุ่งนี้ยังไปแจกปฏิทินที่ทำเนียบ เอกชัย หงส์กังวาน (ภาพจาก: Banrasdr Photo) 12 ม.ค. 2561 มติชนออนไลน์ รายงานว่า วันนี้ เมื่อเวลา 16.00 น. ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) พร้อมคณะเดินทางมายื่นคำร้องขอศาลอาญาออกหมายจับ เอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ก่อนหน้านี้ไปทำกิจกรรม มอบของขวัญให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ ต่อมาเวลา 17.30 น.พล.ต.อ. ศรีวราห์ เดินทางกลับโดยกล่าวสั้นๆ ว่า "ศาลท่านไม่ให้ กลับ" มติชนออนไลน์ รายงานเพิ่มเติมว่า ที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ เเละคณะเดินทางมายื่นคำร้องขอศาลออกหมายจับวันนี้เป็นข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการโพสต์เฟสบุ๊คของ เอกชัย ที่มีเนื้อหาเข้าข่ายลามกอนาจาร โดยศาลพิจารณาคำร้องเเล้วเห็นควรยกคำร้องขอออกหมายจับเนื่องจากในชั้นนี้เห็นว่า ควรมีการออกหมายเรียก เอกชัย มารับทราบข้อกล่าวหาตามขั้นตอนก่อน ที่จะมีการออกหมายจับ ผู้สื่อข่าวประชาไทสอบถาม เอกชัย เพิ่มเติม โดย เอกชัย กล่าว่า ยังนึกไม่ออกว่าตนเองโพสต์อะไรที่เป็นในเชิงลามกอนาจาร สำหรับกิจกรรมที่วางไว้จะนำปฏิทินนาฬิกาไปแจกที่หน้าทำเนียบรัฐบาลในวันพรุ่งนี้นั้น เอกชัย ยืนยันว่าจะจัดเหมือนเดิมในเวลา 10.00 น. แต่คาดว่าอาจจะมีตำรวจไปดักตนในช่วงนั้นเพื่อนำตัวไปโรงพักเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา แต่อาจจะยังไม่ถึงขั้นฟ้องศาล หรืออาจจะเพียงนำตัวไปคุย เพราะหากมีหมายเรียกควรส่งมาที่บ้านก่อน ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้รับ สำหรับสิ่งที่เจ้าหน้าที่ดำเนินการกับเอกชัยขณะที่เขากำลังเคลื่อนไหวประเด็นนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร ที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้น เอกชัยมองว่า ก็แบบเดียวกับนักเคลื่อนไหวอื่นๆ เขาพยายามจะปิดปากเด้วยข้อหา ซึ่งคนอื่นจะโดนข้อหา ม.112 ม.116 ฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. จากการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน หรือล่าสุด ทนาย อานนท์ นำภา โดนข้อหาหมิ่นศาล แต่ของตนแหวกแนวกลายเป็นข้อหาโพสต์ลามกอนาจาร ซึ่งตนยืนยันว่าไม่ทราบว่าเป็นโพสต์ไหนที่เข้าข่ายข้อหาดังกล่าวเลย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
อัยการสั่งฟ้อง 16 ผู้ต้องหาเครือข่ายเทพาไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน Posted: 12 Jan 2018 04:25 AM PST อัยการจังหวัดสงขลา มีความเห็นสั่งฟ้องแกนนำต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา 16 คน ในข้อขัดขวางการจับกุมของเจ้าหน้าที่รัฐ ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่่รัฐ พกพาอาวุธในที่สาธารณะ กีดขวางการจราจร และฝ่าฝืน พ.ร.บ. การชุมนุมในที่สาธารณะ (แฟ้มภาพ) หลังเรือนจำ จ.สงขลาปล่อยตัว 15 แกนนำต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินแล้ว เมื่อวันที่ 29 พ.ย.60 (ภาพจากเฟสบุ๊คแฟนเพจ หยุดถ่านหินสงขลา ) 12 ม.ค. 2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ อัยการจังหวัดสงขลา มีความเห็นสั่งฟ้องแกนนำต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา 16 คน ในข้อขัดขวางการจับกุมของเจ้าหน้าที่รัฐ ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่่รัฐ พกพาอาวุธในที่สาธารณะ กีดขวางการจราจร และฝ่าฝืน พ.ร.บ. การชุมนุมในที่สาธารณะ จากกรณีที่แกนนำทั้ง 16 คน เข้าร่วมกิจกรรม "เดิน...เทใจให้เทพาหยุดโรงไฟฟ้าถ่านหิน" เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยอัยการได้นัดแกนนำทั้ง 16 คน มารายงานตัว และสอบคำให้การอีกครั้งในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ กฤษดา ขุนรณงค์ ทนายความของผู้ต้องหาในคดี กล่าวว่า ในเบื้องต้น ทั้ง 16 คนได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และให้การเพิ่มเติมว่าทางผู้ชุมนุมไม่ได้ละเมิด พ.ร.บ. การชุมนุมฯ เนื่องจากเป็นการชุมนุมโดยสงบ และมีการแจ้งล่วงหน้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่เป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเองที่เข้ามาขัดขวางและจับกุมผู้ชุมนุม ส่วนข้อกล่าวพกพาอาวุธก็ไม่เป็นความจริง เพราะฝ่ายผู้ชุมนุมใช้เพียงด้ามธงในการป้องกันตัวเองจากเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น "ส่วนตัวคิดว่าการดำเนินคดีในครั้งนี้ไม่น่าจะมีผลลบต่อการเคลื่อนไหวต่อต้านโรงไฟฟ้ามากนัก เพราะทางชาวบ้านก็ยืนยันในสิทธิ์ตรงนี้ ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไร และยืนยันว่าจะสู้คดีจนถึงที่สุด" กฤษดากล่าว กฤษดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ชุมนุม 15 คนได้รับสิทธิ์ในการประกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ถูกปล่อยตัวเมื่อวันที่ 29 พ.ย. มีเพียง มุสตารซีดีน วาบา หรือ แบมุส ซึ่งไม่ได้อยู่ในการฝากขังร่วมกับอีก 15 คน จึงจำเป็นต้องมายื่นประกันตัวในวันนี้ โดยบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นสลากออมสินมูลค่า 90,000 บาท และศาลให้ประกันตัว Patani Society รายงานวา เมื่อว โดยมีรายละเอียดดังนี้ : ข้าพเจ้าทั้ง 17 คน ดังมีรายชื่อท้ายหนังสือฉบั
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ปิยรัฐ จงเทพ เข้ายื่นหลักฐานข้อมูลนาฬิกาหรู 19 เรือนให้ ป.ป.ช. หวังตรวจสอบพล.อ.ประวิตร Posted: 12 Jan 2018 02:53 AM PST ปิยรัฐ จงเทพ ยื่นเอกสารหลักฐานข้อมูลนาฬิกาหรู 19 เรือนรวมมูลค่า 29.66 ล้านบาท ให้ ป.ป.ช. หวังตรวจสอบพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ระบุประชาชนรวบรวมหลักฐานให้แล้ว ที่เหลือเป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. 12 ม.ค. 2561 เวลา 10.30 น. ปิยรัฐ จงเทพ นายกสมาคมเพื่อเพื่อน พร้อมประชาชน เดินทางไปที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติ่ม หลังจากที่วีระ สมความคิด ได้มายื่นหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับนาฬิกาหรูของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งไม่ได้อยู่ในบัญชีที่เปิดเผยต่อ ป.ป.ช. ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลนาฬิกาหรูทั้งหมด 10 รายการ โดยปิยรัฐได้นำหลักฐานเพิ่มเติมมายื่นอีก 9 รายการ รวมเป็น 19 รายการ รวมเป็นมูลค่า 29.66 ล้านบาท "คิดว่า ป.ป.ช. คงจะได้ข้อมูลอย่างครบถ้วนเท่าที่ประชาชนส่วนหนึ่งจะทำได้ หลังจากนี้ก็จะเป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่จะสืบต่อ และสอบสวนต่อไป และให้ความกระจ่างกับประชาชน เอกสารที่รวมมา และนาฬิกาที่ปรากฎอยู่บนหน้าสื่อมวลชนทั้งหลายไม่ได้ที่การจดแจ้งในบัญชีทรัพย์อื่น ที่มีมูลค่าเกิน 200,000 บาท ตามกฎหมายของ ป.ป.ช. ฉะนั้นแล้วก็ต้องขอให้ ป.ป.ช. ไต่สวนกรณีของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่ามีการปกปิดข้อเท็จจริง บัญชีทรัพย์สิน ในฐานะที่เป็นรองนายกรัฐมนตรี" ปิยรัฐ กล่าว นอกจากนี้ ปิยรัฐ ยังได้นำปฏิทินปีใหม่ ที่มีข้อมูลนาฬิกาทั้ง 19 เรือนของพลเอกประวิตร ที่ปรากฏตามสือมวลชน มาแจกให้กับประชาชน และข้าราชการสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า การเป็นข้าราชการนั่นร่ำรวย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เฟสบุ๊คจ่อลดการแสดงผลข้อมูลบนนิวส์ฟีดของเพจลง เพิ่มเพื่อน-ครอบครัวมากขึ้น Posted: 12 Jan 2018 02:42 AM PST มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ประกาศเฟสบุ๊คจะลดการแสดงผลข้อมูลบนนิวส์ฟีดของเพจต่างๆ ลง เพิ่มเนื้อหาเพื่อนและครอบครัวมากขึ้น 12 ม.ค. 2561 รายงานข่าวระบุว่า มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ของเฟสบุ๊ค ประกาศบนเพจอย่างเป็นทางการของตัวเอง ว่าบริษัทมีแผนปฏิรูปนิวส์ฟีด (News Feed) ครั้งใหญ่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเป็นสื่อกลางของการสื่อสารถึงกันระหว่างสมาชิกภายในครอบครัว และกลุ่มเพื่อนบนเฟสบุ๊ค ด้วยการให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่เป็นความสนใจระหว่างผู้ใช้งานในเครือข่ายเดียวกันมากขึ้น ทั้งนี้ ซัคเคอร์เบิร์ก ยอมรับว่า บริษัทได้รับการร้องเรียนจากผู้ใช้จำนวนมากมานานระยะหนึ่งแล้ว ว่าบนนิวส์ฟีดของเฟซบุ๊กในตอนนี้มีการแสดง "เนื้อหาเชิงธุรกิจ" มากเกินไป blognone.com รายงานความเห็นของ ซัคเคอร์เบิร์ก เพิ่มเติมว่า ซัคเคอร์เบิร์ก บอกว่าเขาได้ให้เป้าหมายกับฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ปีนี้ โดยเปลี่ยนจากการเลือกเนื้อหาที่คนน่าจะสนใจบนนิวส์ฟีดมาเป็นเนื้อหาที่มีคุณค่าในแง่ความสัมพันธ์ทางสังคมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่จะเห็นคือ นิวส์ฟีด จะแสดงโพสต์จากเพื่อน, ครอบครัว และกลุ่มที่เราเข้าร่วมมากขึ้น และลดการแสดงเนื้อหาสาธารณะจากเพจธุรกิจ, แบรนด์ และสื่อต่างๆ ลง โดยเนื้อหาสื่อสาธารณะที่ถูกเลือกแสดงจะอยู่บนหลักการเดียวกับโพสต์ของเพื่อนๆ คือมีคุณค่าในแง่ความสัมพันธ์ทางสังคม เฟสบุ๊คประเมินว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะกระทบกับตัวเลขเวลาที่คนใช้งานเฟสบุ๊คและจำนวน Engagement เช่น การไลก์ การแชร์และการแสดงความเห็นที่ลดลง แต่จะเป็นเวลาที่มีคุณค่ากับผู้ใช้มากขึ้นซึ่งดีกับเฟสบุ๊คในระยะยาว เฟสบุ๊คสรุปผลกระทบที่จะเกิดขึ้นดังนี้ : - เพจต่างๆ จะพบว่า Reach ลดลง แต่จะลดลงมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยว่าเนื้อหานั้นคืออะไร ผู้คนมีปฏิสัมพัทธ์อย่างไร โพสต์จากเพจที่ไม่มีคนคอมเมนต์หรือปฏิสัมพัทธ์ใดๆ ย่อมถูกลด Reach รุนแรง ส่วนเพจที่มีเพื่อนๆ ไปคอมเมนต์ ก็จะกระทบน้อยกว่า - เพจที่ผู้ใช้กด See First ก็จะยังได้เห็นได้รับเนื้อหาจากเพจนั้นๆ บนนิวส์ฟีดต่อไป เนื่องจากตั้งค่าเป็นเพจที่ชื่นชอบไว้ - ลักษณะของโพสต์จากเพจที่จะถูกแสดงมากขึ้นบนนิวส์ฟีดนั้นเฟสบุ๊ค ยกตัวอย่างเช่นการ Live ที่ทำให้คนพูดคุยกันเยอะ, โพสต์จากบุคคลมีชื่อเสียง, โพสต์ในกลุ่มที่เป็นเนื้อหาสาธารณะ และทำให้คนพูดคุยกัน, ข่าวที่ทำให้คนถกเถียงกันในประเด็นสำคัญ อย่างไรก็ตามโพสต์แนว Engagement Bait จะยังถูกลดความสำคัญอยู่ดี - เฟสบุ๊คจะไม่แยกมีการฟีดสำหรับเพจแบบที่เคยทำการทดลอง และยืนยันว่าโพสต์จากเพจจะถูกแสดงน้อยลงแน่นอน เดลินิวส์ รายงานด้วยว่า การประกาศของซัคเคอร์เบิร์กสอดคล้องกับรายงานที่เคยเปิดเผยเมื่อเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว ว่าเฟสบุ๊คเตรียมปรับปรุงการประมวลผลแบบอัลกอริทึมบนนิวส์ฟีด ให้แบ่งสรรการแสดงผลการโพสต์ของผู้ใช้งานกับการโพสต์จากเพจ "อย่างเป็นสัดส่วน" นอกจากนี้ เฟซบุ๊กและบริษัทที่ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์อีกหลายแห่งในสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นทวิตเตอร์ วิโดว์ส และกูเกิ้ล ถูกตรวจสอบจากสภาคองเกรสอย่างหนักเมื่อปีที่แล้ว ว่าล้มเหลวในการคัดกรองการเผยแพร่ "ข้อมูลเท็จ" บนแพลตฟอร์มของตัวเอง สืบเนื่องจากกรณีการสืบสวนเรื่องรัสเซียอาจแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อปี 2559 ที่มา : เฟสบุ๊ค 'Mark Zuckerberg', เดลินิวส์ และ blognone.com
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
พรรคการเมืองเสี่ยงทาย: เอาไงดีกับพรรค คสช.-2 พรรคใหญ่รวมกันเฉพาะกิจ Posted: 12 Jan 2018 02:37 AM PST
การเลือกตั้งทั่วไปอาจจะมีขึ้นในปลายปีนี้ มีการคาดการณ์ไปหลายซีนาริโอว่า หัวหน้า คสช. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะหาวิธีสืบทอดอำนาจอย่างไรในระบบการเมืองแบบรัฐสภา ตั้งแต่การเป็น "นายกฯ คนนอก" หรือลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ในขณะเดียวกัน พิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้มีข้อเสนอให้พรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อคานอำนาจกับพรรคของคสช. และป้องกันไม่ให้มี นายกฯ คนนอก
2. หากพรรคเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์จับมือกันเพื่อเป้าหมายทางการเมือง เช่น เพื่อคานอำนาจทหารหรือป้องกันนายกฯ คนนอกนั้น เห็นด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด?
1. เห็นด้วยกับการตั้งพรรค คสช. หรือพรรคทหารเพื่อลงเลือกตั้งหรือไม่ และจะเลือกพรรคทหารหรือไม่ เพราะอะไร? 2. หากพรรคเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์จับมือกันเพื่อเป้าหมายทางการเมือง เช่น เพื่อคานอำนาจทหารหรือป้องกันนายกฯ คนนอกนั้น เห็นด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด?
อึ่ง บ่าวอุบล (นามสมมติ) วัย 44 ปี คนเสื้อแดง เข้าร่วมการชุมนุม นปช. ตั้งแต่ปี 2552 1. เห็นด้วยกับการตั้งพรรค คสช. หรือพรรคทหารเพื่อลงเลือกตั้งหรือไม่ และจะเลือกพรรคทหารหรือไม่ เพราะอะไร?
1. เห็นด้วยกับการตั้งพรรค คสช. หรือพรรคทหารเพื่อลงเลือกตั้งหรือไม่ และจะเลือกพรรคทหารหรือไม่ เพราะอะไร?
ผมมองว่า ปชป. ทำงานไม่สมศักดื์ศรีพรรคเก่าแก่ ต้องดูอีกที อาจจะกาช่องไม่เลือกก็ได้ ผมว่า พรรคการเมืองมีความจำเป็นต้องปฏิรูปตัวเอง ถ้าทำตัวเองเชื่องช้า เกาะกระแสไป คงปกครองประเทศลำบาก
เอ (นามสมมติ) นักเคลื่อนไหวทางการเมืองเสื้อแดงวัย 50 ปี ชาวอีสาน ไม่ขอระบุชื่อ ในอดีต การคลี่คลายทางการเมืองหลังการรัฐประหาร กรณีลักษณะนี้ไม่ใช่กรณีแรก จอมพล ป. สฤษดิ์ หรือถนอม ก็ใช้วิธีการแบบนี้ ให้ลงมาเล่นการเมืองเป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็ยังมีกรอบรัฐธรรมนูญกำหนดอยู่ ไม่ใช่ว่านึกจะทำอะไรก็ทำตามใจแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน 2. หากพรรคเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์จับมือกันเพื่อเป้าหมายทางการเมือง เช่น เพื่อคานอำนาจทหารหรือป้องกันนายกฯ คนนอกนั้น เห็นด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด?
ชัยพงษ์ สำเนียง อายุ 34 ปี จากจังหวัดแพร่ นักศึกษาปริญญาเอก ม.เชียงใหม่
2. หากพรรคเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์จับมือกันเพื่อเป้าหมายทางการเมือง เช่น เพื่อคานอำนาจทหารหรือป้องกันนายกฯ คนนอกนั้น เห็นด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด?
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
รังสิมันต์ โรม: 14 ปี ปาตานี เราจะส่งต่ออนาคตอย่างไรให้เด็กรุ่นหลัง Posted: 12 Jan 2018 02:19 AM PST
ในช่วงที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเดินทางไปยังบันนังสตา จังหวัดยะลา หนึ่งในพื้นที่สีแดงที่มีการประกาศใช้ทั้งกฎอัยการศึก พ.ร.บ.ฉุกเฉิน และแน่นอนบรรดากฎหมายความมั่นคงอื่นๆ จงอย่าให้อำนาจกับคนที่ถือปืน
เผยแพร่ครั้งแรกใน: เฟสบุ๊ค Rangsiman Rome
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
อัยการเยอรมันสั่งไม่ฟ้องเด็กชายวัย 14 ใช้ปืนลมยิงใส่ขบวนเสด็จจักรยาน ร.10 Posted: 12 Jan 2018 01:55 AM PST บีบีซีไทย รายงาน อัยการเยอรมันสั่งไม่ฟ้องเด็กชายวัย 14 ใช้ปืนลมยิงใส่ขบวนเสด็จจักรยาน ร.10 กลางดึก 10 มิ.ย.ปีที่แล้ว ใกล้กับสนามบินมิวนิก เหตุอาวุธปืนลมที่ใช้ไม่ได้ทำอันตรายต่อผู้ใด พร้อมระบุ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ไม่มีพระประสงค์ที่จะให้ดำเนินคดีกับเด็กทั้งสองด้วย เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา บีบีซีไทย รายงาน ความคืบหน้าคดีเด็กชายวัย 14 ที่ใช้ปืนพกอัดลม ยิงจากหน้าต่างของบ้านหลังหนึ่งเข้าใส่ขบวนเสด็จโดยจักรยานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ที่เสด็จพระราชดำเนินไปในสวนแห่งหนึ่งใกล้กับสนามบินมิวนิก ประเทศเยอรมนี โฆษกของสำนักงานอัยการเมืองลันด์สฮูท ในรัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า ทางสำนักงานอัยการได้มีคำสั่งในเดือนนี้ ไม่ฟ้องเด็กชาย ดังกล่าว เนื่องจาก อาวุธปืนลมที่ใช้ไม่ได้ทำอันตรายต่อผู้ใด "พิสูจน์ไม่ได้ว่า วัยรุ่นรายนี้มีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้อื่น และ นอกจากนี้ เด็กทั้งสองไม่ทราบว่าพระองค์เป็นใครด้วย" โฆษกของสำนักงานอัยการเมืองลันด์สฮูท ระบุในอีเมล บีบีซีไทย รายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้ โทมาส เราสเชอร์ โฆษกของสำนักงานอัยการเมืองลันด์สฮูท ในรัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี กล่าวกับบีบีซีไทยว่า เมื่อเวลา 23:00 น ของ วันที่ 10 มิ.ย. 2560 ตำรวจได้รับแจ้งจากสมาชิกของขบวนเสด็จโดยจักรยานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ว่าถูก "ยิง" แต่ไม่มีผู้บาดเจ็บ จากการสอบสวนพบว่า เด็กชายสองคน ในวัย 13 และ 14 ปี ใช้ปืนพกอัดลม ยิงจากหน้าต่างของบ้านหลังหนึ่งเข้าใส่ขบวนจักรยานที่เสด็จพระราชดำเนินไปในสวนแห่งหนึ่งใกล้กับสนามบินมิวนิก "พระองค์ไม่มีพระประสงค์ที่จะให้ดำเนินคดีกับเด็กทั้งสอง... แต่ในเยอรมนีเป็นหน้าที่ของทางการที่จะสืบสวนและพิจารณาว่าจะดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุหรือไม่" เราสเชอร์ กล่าวในการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับบีบีซีไทย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ณัฐวุฒิ ทวงถาม ป.ป.ช. เมื่อไหร่จะได้เห็นสำนวนยกคำร้อง กรณีสลายชุมนุมปี 53 Posted: 12 Jan 2018 01:44 AM PST ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เข้าทวงคำตอบจาก ป.ป.ช. หลังจากขอดูสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. กรณียกคำร้องเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 ตั้งแต่ปีก่อน พร้อมมอบหนังสือ "คนตายที่มีใบหน้า คนถูกฆ่าที่มีชีวิต" และ "ความจริงเพื่อความยุติธรรม" ให้ ป.ป.ช. เก็บไว้อ่าน 12 ม.ค. 2561 ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทนายความ และญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อทวงถามความเป็นธรรม และขอสำนวนการไต่สวนคดีการสลายการชุมนุม ที่ ป.ป.ช. มีมติไม่ชี้มูลความผิด อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ พร้อมทั้งมอบหนังสือ "คนตายที่มีใบหน้า คนถูกฆ่าที่มีชีวิต" และหนังสือ "ความจริงเพื่อความยุติธรรม" ให้กับ ป.ป.ช. ด้วย ณัฐวุฒิ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า การมาครั้งนี้ไม่เมีเจตนาที่จะเผชิญหน้า หรือท้าทาย ป.ป.ช. และผู้มีอำนาจในบ้านเมือง แต่ที่มาเพราะเห็นว่าเหตุการณ์การสลายการชุมนุมในปี 2553 มีคนตายมากที่สุดในประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของประเทศไทย แม้ ป.ป.ช. จะมีมติไม่ชี้มูลความผิด ยกคำร้อง กับ อภิสิทธิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และสุเทพ อดีตรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงไปแล้ว แต่ตามกฎหมายยังมีช่องทางที่จะดำเนินการต่อไปได้ จึงต้องการเพื่อติดต่อสอบถาม ขอดูสำนวนดังกล่าวจาก ป.ป.ช. เพื่อจะนำไปพิจารณาว่า ป.ป.ช. ใช้หลักฐานใดในการพิจารณาคดีดังกล่าว และหลังจากนั้นจะได้รวบรวมพยานหลักฐานอื่นๆ นอกเหนือจากนั้น ซึ่งเป็นหลักฐานใหม่เพื่อดำเนินการเรียกร้องความยุติธรรมต่อไป ณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า การขอสำนวนนี้เพราะต้องการเทียบดุลพินินจของ ป.ป.ช. กับกรณีที่ ป.ป.ช. มีการจ้างทนายความฟ้องร้อง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และพวก จากกรณีการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อปี 2551 ทั้งที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง โดยการที่ ป.ป.ช. ไม่ชี้มูลความผิดกรณีการสลายการชุมนุมในปี 2553 แล้วถือว่าสิ้นสุดในชั้นนี้ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้ ต้องการให้คดีที่มีคนเจ็บ คนตาย เข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาล จากนี้หาก ป.ป.ช. ยังนิ่งเฉย ไม่ส่งสำนวนดังกล่าวให้ จะใช้สิทธิ์ตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารติดตามความคืบหน้าต่อไป "วันนี้ผมได้นำหนังสือที่ได้มีคณะจัดทำหลังจากเกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ มีทั้งนักวิชาการ สื่อมวลชน และนักต่อสู้เคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยหลายท่าน มันเป็นหนังสือเก่าครับ เพียงแต่ผมเข้าใจว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. หลายท่านวันนี้เป็นคณะกรรมการชุดใหม่ซึ่งอาจจะได้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ไปเป็นเวลา 7-8 ปี เป็นอย่างน้อย ดังนั้นจึงขอนำหนังสือเรื่อง คนตายที่มีใบหน้า คนถูกฆ่าที่มีชีวิต มามอบให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ศึกษาดู และยังมีหนังสือความจริงเพื่อความยุติธรรมเอามาให้ดูด้วย" ณัฐวุฒิ กล่าว "ผมมาด้วยความหวังว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 9 ท่าน เมื่อท่านได้มีโอกาสปฏิบัติงานโดยไม่ต้องกังวลกับการเซ็ตซีโร่แล้ว ก็อยากจะให้ท่านได้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว และจริงจัง เราหวังว่าที่นั่งทำงานอยู่ 9 ท่านวันนี้จะเป็น ป.ป.ช. ตัวจริงไม่ใช่สแตนดี้ เพราะว่าถ้าเป็นสแตนดี้ท่าคงนั่งหรือยืนอยู่เฉยๆ ดูความอยุติธรรมหรือเพิกเฉยต่อคำถามของประชาชนได้ แต่ถ้าเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ตัวจริงผมหวังว่าจะเห็นความคืบหน้า เพราะครั้งนี้มาทวงถามครั้งที่เท่าไหร่ผมจำไม่ได้จริงๆ ไม่ได้พูดประชด เพราะเราทำทั้งมาที่นี่ ไปที่อัยการ ติดตามทวงถามต่างๆ ตั้งข้อสังเกตุ ตั้งคำถามผ่านสื่อมวลชน เป็นครั้งที่มากมายเหลือเกินแต่ทุกครั้งได้รับคำตอบเดียวคือความเงียบ ไม่มีการชี้แจง ไม่มีการตอบคำถามแต่อย่างใด" ณัฐวุฒิ จากนั้น ณัฐวุฒิ พร้อมทนายความ และญาติผู้เสียชีวิตได้เข้าพูดคุยกับ จักรกฤช ตันเลิศ ผู้อำนวยการสำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมือง 1 เพื่อติดตามความคืบหน้า หลังจากนั้น ณัฐวุฒิ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อว่า เรื่องดังกล่าว ป.ป.ช. ชี้แจงว่าไม่ได้เพิกเฉย มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และจะมีการเสนอเรื่องต่อที่ประชุม ป.ป.ช. ในสัปดาห์หน้า ส่วนจะมีการเปิดเผยสำนวนการไต่สวนหรือไม่เป็นดุลพิจนิจของ ประธาน ป.ป.ช. ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สุรพศ ทวีศักดิ์: ศาสนาไม่ช่วยให้มีศีลธรรมในโลกสมัยใหม่ Posted: 12 Jan 2018 12:58 AM PST
งานวิจัยไม่ได้บอก "ข้อเท็จจริง" ว่าเอธีสต์เป็นคนไม่มีศีลธรรม หรือมีแนวโน้มจะเป็นเช่นนั้น แต่บอกถึง "ทัศนคติ" ของคนจำนวนมากที่มองเอธีสต์เช่นนั้น ผู้เขียนบทความดังกล่าวตั้งข้อสังเกตว่า "แม้แนวคิดโลกวิสัย (secularism) จะทำให้ความเคร่งศาสนาในที่ต่างๆ ลดลงมาก แต่ศาสนาก็ยังคงทิ้งมาตรฐาน(ตัดสินถูก, ผิด) ไว้บนความรู้สึกทางศีลธรรมของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง" จึงทำให้คนในวงกว้างมองเอธีสต์ซึ่งเป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า หรือไม่นับถือศาสนา (ที่จริง "เอธีสต์" คือ คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า แต่คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าก็อาจจะเป็นคนที่ไม่นับถือศาสนาใดๆ เลย หรือเป็นผู้นับถือศาสนาอเทวนิยมก็ได้) ว่า มีแนวโน้มที่จะเป็นคนไม่มีศีลธรรม หรือทำผิดศีลธรรมมากกว่าคนที่นับถือศาสนา มุมมองดังกล่าวสะท้อน "อคติแอนตี้เอธีสต์" ที่ยังคงมีอยู่ทั้งในกลุ่มคนที่นับถือศาสนา และแม้แต่ที่เป็นเอธีสต์ด้วยกันเอง ทั้งในประเทศประเทศที่ให้ความสำคัญกับศาสนาและประเทศที่เป็นรัฐโลกวิสัย แต่อันที่จริง ศาสนาก็ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะมีพลังยับยั้งไม่ให้คนเราทำผิดศีลธรรม เพราะว่าการไม่ทำผิดศีลธรรมไม่จำเป็นต้องมาจากความกลัวการลงโทษของพระเจ้า หรือมาจากความเชื่อเรื่องนรก สวรรค์ กฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วและอื่นๆ ตามคำสอนของศาสนาต่างๆ เท่านั้น การไม่ทำผิดศีลธรรม อาจเกิดจากจิตสำนึกเคารพสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีของมนุษย์ หรือจิตสำนึกเคารพหลักสิทธิมนุษยชนเป็นต้นก็ได้ ในทางตรงข้าม ความเชื่อเรื่องความไม่เท่าเทียมของมนุษย์ ระบบชนชั้น ความไม่เท่าเทียมทางเพศ การกดขี่เพศหญิง การกีดกันเพศที่สามที่สี่ การสร้างความเกลียดชัง ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนที่นับถือศาสนาต่างกัน ความรุนแรง การฆาตกรรม ก่อการร้าย สงคราม ก็มีสาเหตุมาจากความเชื่อทางศาสนาต่างๆ ได้เช่นกัน บางคนอาจโต้แย้งว่า การอ้างสิทธิมนุษยชนก็ทำให้ประเทศมหาอำนาจรุกราน หรือแทรกแซงการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมของประเทศอื่นๆ ได้เช่นกัน ซึ่งการทำเช่นนั้นย่อมเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนเสียเอง แม้ข้อโต้แย้งดังกล่าวจะจริง แต่เมื่อว่าโดย "เนื้อหา" ของหลักสิทธิมนุษยชนเองแล้ว มันไม่อนุญาตให้ทำตามความเชื่อเรื่องความไม่เท่าเทียมของมนุษย์ ระบบชนชั้น ความไม่เท่าเทียมทางเพศ การกดขี่เพศหญิง การกีดกันเพศที่สามที่สี่ การสร้างความเกลียดชัง ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนที่นับถือศาสนาต่างกัน (เป็นต้น) ได้ แต่ตัวเนื้อหาคำสอนศาสนาต่างๆ ดูเหมือนจะอนุญาตให้ทำสิ่งเหล่านั้นได้ ดังประวัติศาสตร์ของการกระทำสิ่งเหล่านั้นในนามศาสนาเป็นสิ่งยืนยัน และปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางศาสนาบวกชาติพันธุ์ในยุคปัจจุบันก็ย่อมเป็นสิ่งยืนยันได้ชัดเจน จริงอยู่ที่ว่า ศาสนาล้วนเสนอ "วิถีที่ควรจะเป็น" (The way it should be) สำหรับชีวิตของปัจเจกบุคคลและสังคมมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องของ "ศีลธรรม" แต่ทุกศาสนาต่างถือว่าศีลธรรมของตนเป็น "คุณค่าอมตะ" (Enduring values) หรือเป็น "อกาลิโก" ซึ่งบางเรื่องก็มีเหตุผลที่จะเชื่อเช่นนั้น เช่น เรื่องความสงบทางใจ ความหลุดพ้น การสัมผัสนิพพาน, พระเจ้า ของปัจเจกบุคคล ซึ่งเป็นเรื่อง "ความเชื่อส่วนบุคคล" ที่ไม่เกี่ยวกับ "ศีลธรรมทางสังคม" เพราะรัฐไม่สามารถจะนำความเชื่อเช่นนั้นมาเป็นฐานในการกำหนดกติกาทางสังคมใช้บังคับ หรือส่งเสริมให้พลเมืองปฏิบัติตามความเชื่อทางศาสนาเพื่อเข้าถึงนิพพานหรือพระเจ้าได้ ส่วนคำสอนศาสนาที่เคยใช้เป็นศีลธรรมทางสังคมในอดีต เช่นเป็นอุดมคติในการปกครอง การบัญญัติกฎหมายต่างๆ ก็อาจจะเหมาะกับสภาพสังคมในอดีต แต่ย่อมไม่เหมาะกับสังคมสมัยใหม่ที่มีความซับซ้อนและหลากหลายเสียแล้ว ยกเว้นบางประเทศที่ยังเป็น "รัฐศาสนา" ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่า เป็นรัฐที่ปฏิเสธสิทธิมนุษยชนและความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความเชื่อ รสนิยม และเรื่องอื่นๆ ของมนุษย์ หรือพูดตรงๆ ก็คือ รัฐศาสนาเป็นรัฐที่ปฏิเสธความเป็นมนุษย์ในความหมายสมัยใหม่ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ที่มีความเป็นปัจเจกบุคคล (individuality) ผู้มีสิทธิและอำนาจเป็นของตนเอง ซึ่งหมายถึง สิทธิในอิสรภาพที่จะกำหนดคุณค่า, เป้าหมายชีวิต, ศีลธรรมและเรื่องอื่นๆ ให้กับตนเอง รวมทั้งการมีสิทธิและอำนาจทางสาธารณะต่างๆ ด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ศีลธรรมศาสนาจึงไม่อาจใช้เป็นศีลธรรมทางสังคมในโลกสมัยใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ในความหมายดังกล่าว (เป็นต้น) ได้ เนื่องจากคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในยุคสมัยใหม่ยึดโยงอยู่กับกรอบคิดเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค หรือพูดรวมๆ คือ "สิทธิมนุษยชน" ไม่ได้ยึดโยงอยู่กับพระเจ้าหรือนิพพาน (แต่ก็ไม่ได้กีดกันใครที่จะเชื่อเรื่องพระเจ้าหรือนิพพาน ตรงกันข้าม หลักสิทธิมนุษยชนรับรอง "เสรีภาพ" ที่ใครจะเชื่อเช่นนั้น) และที่สำคัญกรอบคิดและเนื้อหาของศีลธรรมศาสนาก็ไม่ครอบคลุมและเพียงพอที่จะใช้เป็นกติกาทางสังคมในยุคปัจจุบันได้เท่าหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะเมื่อศาสนาต่างๆ ล้วนมีความเชื่อแบบอุรักษ์นิยมเข้มข้นว่า ศีลธรรมตามคำสอนศาสนาของตนเป็น "คุณค่าอมตะ" ที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ยิ่งไม่สอดคล้องกับความจริงของสังคมมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขณะที่สิทธิมนุษยชนหรือศีลธรรมสมัยใหม่เป็นเรื่องของการถกเถียงต่อรองระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง (ไม่ขึ้นต่ออำนาจของพระเจ้า,ศาสดาผู้มีญาณวิเศษ หรือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ใดๆ) จึงอาจเปลี่ยนแปลง หรือปรับปรุงให้ดีขึ้นสอดรับกับสังคมที่เปลี่ยนไปได้เสมอ แล้วจะเป็นไปได้ไหมที่เราจะตีความหลักการทางศาสนาสนับสนุนคุณค่าสมัยใหม่ เช่นสนับสนุนเสรีภาพ ความเสมอภาค ภราดรภาพ ขันติธรรม สันติภาพ ก็ย่อมเป็นไปได้ และมีความพยายามเช่นนั้นอยู่จริง แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้จริงในสังคมที่ให้คุณค่าสูงต่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนมากกว่า ส่วนในสังคมศาสนาโดยทั่วไป อิทธิทางความเชื่อและวัฒนธรรมศาสนามักจะขัดแย้ง หรือเป็นอุปสรรคต่อความเจริญงอกงามของคุณค่าสมัยใหม่ ไม่ต้องพูดถึงสังคมพุทธเถรวาทอย่างศรีลังกา ที่ชาวพุทธสิงหลกับชาวฮินดูทมิฬทำสงครามยืดเยื้อถึง 26 ปี มีคนตายกว่า 100,000 คน สังคมพุทธพม่าที่ขับไล่ชาวมุสลิมโรฮิงญาอพยพออกนอกประเทศหลายแสนคน หรือในไทยที่ความขัดแย้งในชายแดนใต้ กลายเป็นชนวนให้เกิด "โรคกลัวอิสลาม" ในชาวพุทธหลายกลุ่ม ที่สำคัญกว่า (และเป็นปัญหาที่พูดกันน้อย) คือ การบังคับเรียนปลูกฝังศีลธรรมศาสนาในโรงเรียน การมีองค์กรศาสนาของรัฐที่นักบวชและผู้นำศาสนามีตำแหน่งและอำนาจทางกฎหมาย ก็ย่อมขัดกับหลักเสรีภาพทางศาสนาอยู่แล้ว และขัดกับหลักการที่รัฐต้องเป็นกลางและรักษาความเสมอภาคในการนับถือและไม่นับถือศาสนาอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้น การแสดงความเห็นทางสาธารณะและบทบาทการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงและชาวพุทธบางกลุ่ม ก็มักสวนทางกับ "ความชอบธรรม" ตามระบอบประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุษยชนเสมอมา ฉะนั้น ปัญหาระดับรากฐานจริงๆ จึงไม่ใช่เพียงว่า ความเชื่อตามหลักศาสนาไม่ได้สนับสนุนการมีศีลธรรมในสังคมสมัยใหม่เท่านั้น ที่ยากยิ่งกว่านั้นมาก คือ จะทำอย่างไรถึงจะแก้ไขให้ระบบการศึกษาของรัฐที่มุ่งปลูกฝังศีลธรรมศาสนา, สถานะและอำนาจของสถาบันศาสนา, บทบาทของนักบวช, ปัญญาชนพุทธ และการเคลื่อนไหวทางการเมืองในนามพุทธศาสนา (และศาสนาอื่นๆ) เป็นไปในแนวทางทีไม่ขัดแย้ง หรือสวนทางกับคุณค่าสมัยใหม่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น