โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

เผยหลักเกณฑ์ 'ยิ่งลักษณ์' ลี้ภัยอังกฤษ 5 ปี ขอมีถิ่นพำนักได้

Posted: 06 Jan 2018 05:28 AM PST

อัยการเผยหลักเกณฑ์ 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ขอลี้ภัยอังกฤษกำหนดอยู่ได้ 5 ปี หากพ้นเวลา แต่ยังกลัวจะถูกกลั่นแกล้ง ข่มเหง หรือถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมเมื่อเดินทางกลับประเทศตน ก็สามารถยื่นคำขอมีถิ่นพำนักในประเทศอังกฤษได้
 
 
6 ม.ค. 2561 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่าตามที่มีการเผยแพร่ภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามสื่อต่าง ๆ และในโลกออนไลน์ว่าปรากฏตัวที่กรุงลอนดอน ของประเทศอังกฤษ ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ทำให้ประเด็นเรื่องความเป็นไปได้ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะยื่นคำขอลี้ภัยในประเทศอังกฤษ มีความชัดเจนแจ่มชัดยิ่งขึ้นและเป็นเรื่องที่น่าติดตามขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่มีความคลุมเครือมาระยะหนึ่ง และหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยื่นคำขอลี้ภัยต่อทางการของประเทศอังกฤษจริงจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้างนั้น
 
เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2561 นายธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ได้อธิบายถึงหลักเกณฑ์การจะยื่นคำขอลี้ภัยในประเทศอังกฤษว่า จะต้องมีเหตุผลสำคัญว่าไม่สามารถเดินทางกลับไปประเทศของตนได้เพราะเกรงกลัวว่าจะถูกกลั่นแกล้ง ข่มเหง รังแก ทำร้าย หรือ ถูกดำเนินคดี อย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจเป็นกรณีในเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ ความคิดเห็นทางการเมือง หรือสิ่งอื่นใดที่จะทำให้ผู้ยื่นคำขอลี้ภัยอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกกลั่นแกล้ง ข่มเหง หรือ ถูกดำเนินคดี อันมีเหตุเนื่องมาจากสังคม วัฒนธรรม ศาสนา หรือสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ เป็นต้น
 
ซึ่งผู้มีความประสงค์ขอลี้ภัยสามารถยื่นคำขอลี้ภัยได้ทันทีที่เดินทางมาถึงประเทศอังกฤษ โดยจะต้องผ่านกระบวนการสัมภาษณ์จากเจ้าหน้าที่อังกฤษเพื่อสอบถามถึงเหตุผลในการที่ขอลี้ภัย เช่น ถ้าเดินทางกลับไปประเทศของตนแล้ว ผู้ยื่นคำขอลี้ภัยจะถูกกลั่นแกล้ง ข่มเหง หรือ ถูกดำเนินคดี อย่างไร ทำไมถึงเกรงกลัวที่จะเดินทางกลับไปประเทศของตน และเจ้าหน้าที่จะพิจารณาตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งผู้ยื่นคำขอลี้ภัยในประเทศอังกฤษมีสิทธินำนักกฎหมาย เช่น ทนายความเข้าไปพร้อมตนในการสัมภาษณ์ด้วยได้ และในการยื่นคำขอลี้ภัยในประเทศอังกฤษต้องมีหลักฐานแสดงถึงสถานที่ที่จะใช้เป็นที่พักอาศัยในประเทศอังกฤษด้วย ซึ่งอาจเป็นที่พักอาศัยของตนเองหรือเป็นของบุคคลอื่นที่ยินยอมให้พักอาศัยก็ได้ ผู้ยื่นคำขอลี้ภัยสามารถที่จะระบุในคำขอลี้ภัยของตนเพื่อขอลี้ภัยให้คู่สมรสและบุตรที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ด้วยก็ได้ หากคู่สมรสและบุตรอยู่กับผู้ยื่นคำขอลี้ภัยในประเทศอังกฤษในขณะยื่นคำขอลี้ภัย หรือคู่สมรสและบุตรจะเลือกที่จะยื่นคำขอลี้ภัยต่างหากก็ได้
 
ในกรณีที่คำขอลี้ภัยได้รับการปฏิเสธจากกระทรวงมหาดไทยของประเทศอังกฤษ ผู้ยื่นคำขอลี้ภัยสามารถยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของกระทรวงมหาดไทยต่อศาลอังกฤษได้ ถ้าหากได้รับอนุญาตให้ลี้ภัยในประเทศอังกฤษได้ ผู้ยื่นคำขอลี้ภัย รวมทั้งคู่สมรสและบุตรจะได้รับอนุญาตให้ลี้ภัยอยู่ในประเทศอังกฤษเป็นระยะเวลา 5 ปี หลังจากพ้นระยะเวลา 5 ปี แล้ว หากผู้ลี้ภัยยังสามารถแสดงให้เห็นว่าตนเองยังคงมีความเกรงกลัวที่จะต้องถูกกลั่นแกล้ง ข่มเหง หรือ ถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมหากเดินทางกลับไปประเทศของตนอยู่อีก ผู้ลี้ภัยก็สามารถยื่นคำขอมีถิ่นพำนักในประเทศอังกฤษได้
 
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผู้ยื่นคำขอลี้ภัยคนใดจะไม่ได้รับอนุญาตให้ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยในประเทศอังกฤษเนื่องจากมีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ประเทศอังกฤษกำหนดไว้ ผู้ยื่นคำขอลี้ภัยคนนั้นรวมทั้งคู่สมรสและบุตรก็อาจได้รับอนุญาตให้พำนักอาศัยในประเทศอังกฤษด้วยเหตุผลทางด้านมนุษยธรรมเพื่อให้ได้รับการคุ้มครอง เป็นระยะเวลา 5 ปี และเมื่อพ้น 5 ปี แล้วก็สามารถยื่นคำขอมีถิ่นพำนักในประเทศอังกฤษได้เช่นเดียวกัน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เร่ง 13 แกนนำ พธม.ชดใช้ค่าเสียหายยึดสนามบินปี 2551

Posted: 06 Jan 2018 03:32 AM PST

อัยการส่งหนังสือบังคับคดีเร่ง 13 เเกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ชดใช้ค่าเสียหายนำมวลชนยึดสนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง ปี 2551 กว่า 500 ล้านบาท หากไม่ชำระจะนำทรัพย์สินขายทอดตลาด

 
6 ม.ค. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่ารายงานว่าสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี 1 สำนักงานอัยการสูงสุดได้มีหนังสือเรื่องการเเจ้งชำระหนี้ตามคำพิพากษา เเนบพร้อมด้วยสำเนาหมายบังคับคดีเเพ่ง คดีหมายเลขดำที่ 6453,6474/2551 ถึงพล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสุริยะใส กตะศิลา นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายอมร อมรรัตนานนท์ หรือนายรัชต์ชยุตม์ ศิรโยธินภักดี นายนรัญยู หรือศรัณยู วงษ์กระจ่าง นายสำราญ รอดเพชร นายศิริชัย ไม้งาม นางมาลีรัตน์ แก้วก่า และนายเทิดภูมิ ใจดี แกนนำกลุ่มแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) รวม 13 คน
 
หนังสือเเจ้งชำระหนี้ดังกล่าวมีเนื้อหาสรุปว่า สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี 1 ได้รับสำเนาหมายการบังคับคดีจากบริษัทท่าอากาศยานไทยจำกัด (มหาชน) (ทอท.) โจทก์เพื่อบังคับคดี จึงอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการเเละพนักงานอัยการ 2553 เเจ้งให้จำเลยทั้ง 13 คน ชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลเเพ่งที่มีคำพิพากษาให้จำเลยทั้ง 13 คน ร่วมกันชำระหนี้จำนวน 522,160,947.31บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับเเต่วันที่ 1 ธ.ค. 2551 เเละให้ร่วมกันชำระค่าธรรมเนียมเเละทนายความเเทนโจทก์เป็นเงิน 597,847 บาทให้เเก่โจทก์ด้วย ไม่เช่นนั้นโจทก์จะนำพนักงานบังคับคดีไปยึดอายัดทรัพย์สินของบุคคลทั้ง 13 คนขายทอดตลาด เพื่อนำเงินมาชำระหนี้เเก่โจทก์ต่อไป
 
สำหรับมูลเหตุคดีนี้เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 24 พ.ย. – 3 ธ.ค. 2551 พวกจำเลยร่วมกันนำผู้ชุมนุมหลายหมื่นคนบุกยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมืองเพื่อประท้วงรัฐบาลและขับไล่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ให้ลาออก ทำให้การให้บริการต่าง ๆ ภายในท่าอากาศยานทั้ง 2 แห่งต้องหยุดชะงัก ทำให้บริษัท ทอท.ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิดของจำเลยและพวก จึงนำคดีมาฟ้องขอให้พวกจำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์
 
สำหรับในส่วนของคดีอาญา อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง นายสนธิ และแกนนำ พธม.กับผู้ชุมนุมรวม 98 คนเป็นจำเลยต่อศาลอาญานั้น ศาลนัดสืบพยานโจทก์ ในเดือน มี.ค. 2561
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สธ.แจงหลังถูกวิจารณ์ห้ามเจ้าหน้าที่ชาร์จโทรศัพท์ในที่ทำงาน ล่าสุดต้านกระแสไม่ไหวยกเลิกประกาศแล้ว

Posted: 05 Jan 2018 11:43 PM PST

กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงประกาศมาตรการป้องกันการใช้ทรัพย์สินทางราชการ เป็นไปตามร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม แนะให้เจ้าหน้าที่ใช้วิจารณญาณตามความเหมาะสม ล่าสุดต้านกระแสไม่ไหวยกเลิกประกาศแล้ว

 
เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2561 ที่ผ่านมา ThaiPBS รายงานว่านายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ด้านเวชกรรมป้องกัน ในฐานะรักษาราชการแทนหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กระทรวงสาธารณสุข (ศปท.) ระบุว่ากระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เรื่องมาตรการป้องกันการใช้ทรัพย์สินทางราชการ เพื่อแสดงเจตจำนงสุจริตในการบริหารราชการและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวในตำแหน่งหน้าที่อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นแบบอย่างที่ดี ยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อความเชื่อมั่นศรัทธาต่อประชาชน โดยมุ่งหวังที่จะปรับเปลี่ยนแนวคิดของคนในหน่วยงานให้สามารถคิดแยกแยะว่า "เรื่องใดเป็นประโยชน์ส่วนตนและเรื่องใดเป็นประโยชน์ส่วนรวม"
 
ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 ส.ค.2560 ที่รับทราบร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. .... พร้อมมอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำระเบียบว่าด้วยการอนุญาตให้ใช้ทรัพย์สิน สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือกำกับดูแล โดยให้พิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
 
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การปฏิบัติตามประกาศฉบับนี้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ไม่สร้างภาระให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติของกระทรวงสาธารณสุขที่มีกว่า 400,000 คน รายละเอียดในประกาศที่ได้แจ้งไป บางข้ออาจทำให้เจ้าหน้าที่เกิดความไม่สะดวกในการปฏิบัติงาน เช่น การใช้โทรศัพท์มือถือ ที่ใช้ทั้งติดต่อราชการและเรื่องส่วนตัว ซึ่งอยู่ในวิจารณญาณของเจ้าหน้าที่ถึงความเหมาะสม
 
ล่าสุดต้านกระแสไม่ไหวยกเลิกประกาศแล้ว
 
ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2561 ที่ผ่านมา สำนักข่าวไทย รายงานว่า นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าขณะนี้กำลังเร่งออกหนังสือเวียนยกเลิกประกาศสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง มาตรการป้องกันกรณีการใช้ทรัพย์สินของทางราชการในประเด็นห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่วนตัวมาชาร์ตไฟในสถานที่ราชการ โดยจะให้มีการทำหนังสือถามความเห็นจากทุกฝ่ายว่าสามารถปฎิบัติได้หรือไม่ ส่วนที่มีการแจ้งประกาศนี้ก่อนนั้น ก็เพื่อต้องการบอกให้มีการระมัดระวังในการใช้ทรัพย์สินของทางราชการเป็นการแจ้งบอกไว้ก่อนล่วงหน้า   ไม่คิดว่าจะเกิดกระแสโจมตีอีกทั้งเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ยากจะปฏิบัติ   
 
นพ.เจษฎา กล่าวว่าที่ผ่านมาได้มีการทำหนังสือไปถึง ป.ป.ช. เพื่อขอดูรายละเอียดเกี่ยวกับระเบียบมาตรการป้องกันกรณีการใช้ทรัพย์สินของทางราชการ เช่น การห้ามชาร์ต โทรศัพท์ก็พบว่าเป็นเรื่องที่มีการชี้แจงทางวาจาในที่ประชุม แต่ตัวแทนที่เข้าร่วมประชุมกับ ป.ป.ช.เห็นว่า น่าจะใส่เรื่องดังกล่าวลงไปด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาภายในกระทรวงสาธารณสุขเอง พบปัญหาการร้องเรียน กรณีการใช้ทรัพย์สินราชการ ทั้งการเอารถยนต์มาจอดทิ้งไว้จนญาติหรือคนไข้ ไม่ได้ความสะดวกในการใช้บริการหรือการนำรถยนต์มาล้างในสถานที่ราชการ  ทั้งนี้หากร่างหนังสือเวียนเสร็จสิ้น จะนำไปเผยแพร่ทันที ทั้งแจ้งระดับหน่วยงานภายในกระทรวงสาธารณสุขรวมถึงสาธารณะ เพื่อให้ทราบว่าได้มีการเปลี่ยนระงับประกาศดังกล่าวแล้ว และสั่งให้มีการทบทวน เพราะเข้าใจยากแก่การปฏิบัติและอีกทั้งลักษณะงานของเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติงานของกระทรวงสาธารณสุขเองมีความอ่อนไหว ต้องทำงานต่อเนื่องทั้งในเวลาและนอกเวลา เจตนาของประกาศแค่การให้ทราบกรอบระเบียบ เกิดการตระหนักเท่านั้น
 
เพิ่มเติมเนื้อหาเมื่อ 6 ม.ค. 2561 เวลา 18.25 น.

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แกนนำเกษตรยั่งยืน จ.แพร่ โวยจังหวัดยัดข้อหาแชร์ลูกโซ่-หลอกลวง หลังร่วมธุรกิจ Onecoin

Posted: 05 Jan 2018 11:17 PM PST

แกนนำเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืนจังหวัดแพร่โวยจังหวัดฯ ร่อนหนังสือแจ้งทุกหมู่บ้านยัดข้อหาหลอกลวงหรือเป็นแชร์ลูกโซ่โดยไม่เคยเรียกสอบ หลังชวนชาวบ้านสมัครสมาชิกบริษัทฯ-ลงทุนในธุรกิจเงินดิจิตอล Onecoin ระบุการทำธุรกิจแบบใหม่ไม่เห็นจะผิดกฎหมายตรงไหน การนำเงินไปลงทุนใน Onecoin ก็มีคนทำกันทั่วโลก 

 
6 ม.ค. 2561 ASTV ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่าจากกรณีที่ผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้านใน 8 อำเภอของจังหวัดแพร่ ได้รับสำเนาหนังสือจากศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดแพร่ ลงนามโดยนายโชคดี อมรวัฒน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ที่ส่งถึงนายอำเภอทุกอำเภอ สุดสัปดาห์นี้ ที่อ้างถึงหนังสือ ที่ พร.0017.1/ว4460 ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 สำเนาหนังสือตำรวจภูธรจังหวัดแพร่ ที่ ตช0020 (พร) 72 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2560
 
โดยระบุว่า ตามที่จังหวัดฯ ได้แจ้งอำเภอทราบว่า ศูนย์ดำรงธรรมฯได้รับเรื่องร้องเรียนจากราษฎรในจังหวัดแพร่ (ขอปกปิดข้อมูลผู้ร้อง) กรณีขอให้ตรวจสอบการดำเนินการของนายวิฑูรย์ สุรจิตต์ และนายภัทรพิบูลย์ หรือนายพิเชษฐ์ ใสสะอาด ว่ามีลักษณะเป็นการหลอกลวงหรือเป็นแชร์ลูกโซ่หรือไม่ เนื่องจากได้มาชักชวนชาวบ้านให้กู้เงินจากบริษัท วันแคนกรุ๊ป จำกัด และให้ไปลงทุนในธุรกิจวันคอยน์ (Onecoin) มีชาวบ้านหลายรายหลงเชื่อ และจ่ายเงินค่าสมัครไป โดยจังหวัดฯได้ดำเนินการแจ้งตำรวจภูธรจังหวัดแพร่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินการตามอำนาจหน้าที่แล้วนั้น
 
จังหวัดฯได้รับรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากตำรวจภูธรจังหวัดแพร่แล้ว ผลปรากฏว่า นายวิฑูรย์ สุรจิตต์ เป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลสบสาย และนายภัทรพิบูลย์ หรือพิเชษฐ์ ใสสะอาด มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 2 ต.สบสาย อ.สูงเม่น จ.แพร่ แต่บุคคลทั้งสองไม่ได้พักอาศัยอยู่บ้าน จะกลับมาเป็นครั้งคราว
 
จากการตรวจสอบพบว่า บุคคลทั้งสองได้ชักชวนชาว ต.สบสาย อ.สูงเม่น เข้าร่วมเป็นสมาชิกบริษัทวันแคนกรุ๊ป จำกัด โดยเก็บเงินค่าสมัครจำนวน 500 บาท ถ้าสมัครเป็นสมาชิกแล้ว สามารถกู้เงินจากบริษัทได้ และมีกลุ่มชาวบ้านหลงเชื่อจำนวนมาก แต่ละคนได้สมัครเป็นสมาชิกมาแล้วหลายปี ไม่เคยได้รับเงินคืน และยังไม่ได้กู้เงินจากบริษัท วันแคนกรุ๊ปจำกัดแต่อย่างใด 
 
จากการสืบสวนตรวจสอบน่าจะเป็นการหลอกลวงในลักษณะแชร์ลูกโซ่ ขณะนี้ยังไม่มีผู้เสียหายมาแจ้งร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย
 
ซึ่งผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้านในจังหวัดแพร่ ได้แจ้งต่อที่ประชุม และออกเสียงตามสายให้ระวังบุคคลทั้งสองที่มีพฤติกรรมหลอกลวงโดยหลอกให้เข้าร่วมแชร์ลูกโซ่
 
นายวิฑูรย์ สุรจิตต์ ส.อบต.สบสาย ซึ่งเป็นแกนนำเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืนจังหวัดแพร่ และเป็นแกนนำต้านการนำเข้าสารเคมีเกษตร อยู่ในขณะนี้ โดยได้เข้ายืนคัดค้านการนำเข้าสารเคมีเกษตรในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2560 บอกว่า ตนเสียใจจริงๆ ที่ทำดีมาตลอด มาเสียตรงหนังสือคำสั่งของจังหวัดแพร่กล่าวหาว่า ตนเป็นผู้ที่หลอกลวงต้มตุ๋น แชร์ลูกโซ่ และที่สำคัญคือ ตนเป็น ส.อบต.สบสาย และเป็นเกษตรกรทำการเกษตรปลอดสารพิษ ทำนาอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ไปไหน แต่การสอบสวนบอกว่าเป็นคนไม่อยู่บ้าน นานๆ กลับมาที เรื่องนี้ไม่ทราบว่า นายโชคดี ให้ตำรวจภูธรจังหวัดแพร่ มาสอบเมื่อไหร่ 
 
ส่วนการทำธุรกิจแบบใหม่ กับ บริษัท วันแคนกรุ๊ป จำกัด ไม่เห็นจะผิดกฎหมายตรงไหน ขณะที่การนำเงินไปลงทุนในระบบสกุลเงินดิจิตอล คือวันคอยน์ (Onecoin) ก็มีคนทำกันทั่วโลก ใน กทม.ยังมีร้านอาหารสามารถชำระเงินด้วยสกุลเงินวันคอยน์ (Onecoin) ได้ ทำไมตนเป็นเกษตรกรจะทำไม่ได้หรือ คนที่สนใจจะเข้าร่วมทำด้วย ก็ได้ให้ความรู้อย่างเปิดเผยซึ่งก็มีผู้สนใจเข้าร่วม
 
"การที่ว่าผมเป็นแชร์ลูกโซ่นี่เสียใจมากสำหรับจังหวัดแพร่ที่กระทำกับผม โดยไม่ถามหรือเรียกไปสอบสวนเลย"
 
อย่างไรก็ตามธนาคารแห่งประเทศไทย ออกประกาศหัวข้อ "ข้อมูลเกี่ยวกับ Onecoin และหน่วยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่ลักษณะใกล้เคียง" หลังพบว่ามีการเชิญชวนประชาชนให้ลงทุนในหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยอ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิตอลที่มีผู้นิยมใช้ทั่วโลก
 
โดยยืนยันว่า One Coin ไม่ใช่เงินที่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายไทย และในปัจจุบันยังไม่มีประเทศใดยอมรับหรือรับรองว่า Onecoin เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ส่วนการถือครองหรือลงทุนในหน่วยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ที่ทางหน่วยงานราชการยังไม่ได้รับรองว่าสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ประชาชนควรระมัดระวัง ศึกษาข้อมูลและรายละเอียดให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
 
เพราะมีความเสี่ยงที่มูลค่าของหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้จะผันผวน หรือปรับลดค่าลงได้อย่างรวดเร็ว และอาจใช้เป็นช่องทางในการหลอกลวงและฉ้อโกงประชาชนได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการโฆษณาว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่จะให้ผลตอบแทนสูง หากมีการหาสมาชิกเพิ่มได้มาก
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กองทัพบกแจ้งเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์จัดงานวันเด็ก

Posted: 05 Jan 2018 10:55 PM PST

กองทัพบกแจ้งเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์จากต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 10-12 ม.ค. นี้ เพื่อเตรียมจัดงานวันเด็กแห่งชาติ

 
 
6 ม.ค. 2561 สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่าพันเอกหญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่ากองทัพบกจะเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ จากหน่วยทหารในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี, จังหวัดสระบุรี, จังหวัดลพบุรี และกรุงเทพมหานคร มายังกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ กรุงเทพมหานคร เพื่อเตรียมจัดงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2561 โดยจะทำการเคลื่อนย้าย 3 วัน คือ วันที่ 10 ม.ค. เวลา 09.00 น. เคลื่อนย้ายอากาศยานจากจังหวัดลพบุรี วันที่ 11 ม.ค. ตั้งแต่เวลา 20.00 น. เคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ อาทิ รถสายพานลำเลียง ยานเกราะล้อยาง ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน รถถัง จากหน่วยทหารใน กทม. ปราจีนบุรี และ สระบุรี ปลายทาง กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ สำหรับเส้นทางการเคลื่อนย้ายจะผ่านถนนสำคัญ อาทิ ถ.วิภาวดีรังสิต, ถ.พหลโยธิน, ถ.ทหาร, ถ.ประดิพัทธ์ และ ถ.ติวานนท์ นอกจากนี้ วันที่ 12 ม.ค. จะเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์จากหน่วยทหารในพื้นที่ กทม.และ จ.สระบุรี ไปสนับสนุนงานวันเด็กของกองบัญชาการกองทัพไทย ถ.แจ้งวัฒนะ
 
ทั้งนี้กองทัพบกจะเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์กลับที่ตั้งหน่วยทหาร หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมวันเด็กแล้ว ในวันที่ 13 ม.ค. นี้ ตั้งแต่เวลา 16.00 น.เป็นต้นไป ตามเส้นทางเดิม ในพื้นที่ต่างจังหวัดก็จะมีการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ในลักษณะเช่นนี้ด้วย จึงขอแจ้งให้ประชาชนได้รับทราบและขออภัยในความไม่สะดวกทั้งปวง ที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประธานรถเเดงเชียงใหม่ลาออก หลังถูกสมาชิกร้องเรียนบริหารขาดทุน 40 ล้านบาท

Posted: 05 Jan 2018 10:33 PM PST

เว็บไซต์ chiangmainews.co.th รายงานเมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2561 ที่สหกรณ์นครลานนาเดินรถ จำกัด จ.เชียงใหม่ ผู้ประกอบการสี่ล้อแดง ขนส่งสาธารณะรายใหญ่ที่สุดในตัวเมืองเชียงใหม่ มีการประชุมใหญ่วิสามัญ เพื่อหาทางออกกับปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมานานหลายเดือน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีสมาชิกกลุ่มหนึ่งเข้าร้องเรียนต่อนายทะเบียนสหกรณ์ว่า การดำรงตำแหน่งของประธานสหกรณ์ฯ ไม่ถูกต้อง เนื่องจากไม่มีการเปิดประชุมวิสามัญ และยังมีการบริหารที่ผิดพลาดจนทำให้สหกรณ์ประสบปัญหาขาดทุนหลายสิบล้านบาท
 
การประชุมครั้งนี้ นายสิงห์คำ นันติ ประธานสหกรณ์นครลานนาเดินรถ ได้ประกาศลาออกต่อสมาชิกที่เข้าประชุมหลายร้อยคน เพื่อยุติปัญหาที่เกิดขึ้น โดยระบุว่าเพื่อความบริสุทธิ์ใจ พร้อมยืนยันว่าการเข้ามารับตำแหน่งประธานวาระล่าสุดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560 เป็นไปตามระเบียบของสหกรณ์ ขณะที่ปัญหาขาดทุนยอมรับว่าเกิดขึ้นจริง แต่เป็นเรื่องปกติของการลงทุนและไม่ได้ส่งผลกระทบที่ร้ายแรง นายสิงห์คำแจงว่าปัจจุบันสหกรณ์มีรถสี่ล้อแดงให้บริการ 2,465 คัน แท็กซี่มิเตอร์ 359 คัน และรถตู้อีก 50 คัน
 
เป็นผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะเก่าแก่ที่อยู่คู่เมืองเชียงใหม่มานานกว่า 40 ปี ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาจากสมาชิกเพียงกลุ่มหนึ่งที่ผิดหวังจาการเลือกตั้งประธานสหกรณ์ครั้งล่าสุด แต่มีผลกระทบในภาพรวม โดยเฉพาะกับภาพลักษณ์และการบริหารงานเพื่อผลประโยชน์ของสมาชิกทั้งหมด หลังลาออกได้ชี้แจงว่าการลงคะแนนเลือกตั้งให้ตนเองเข้ามาเป็นประธานสหกรณ์ไม่มีส่วนใดที่ขัดต่อระเบียบข้อบังคับของสหกรณ์ ส่วนเรื่องบริหารขาดทุน นายสิงห์คำ ระบุว่าก่อนหน้านี้สหกรณ์ได้กู้เงินจากสถาบันการเงินกว่า 100 ล้านบาท มาจัดซื้อที่ดิน 14 ไร่ เพื่อสร้างเป็นสำนักงานสหกรณ์แห่งใหม่ รวมทั้งสร้างปั้มน้ำมันและอาคารพาณิชย์ให้เช่าในพื้นที่เดียวกัน
 
แต่การกู้เงินจากสถาบันการเงิน ในช่วง 5 – 6 ปี แรกก็ต้องจ่ายดอกเบี้ย ทำให้ตัวเลขออกมาขาดทุนแน่นอน เป็นเรื่องปกติของการลงทุนทางธุรกิจ แต่ในทางกลับกันการลงทุนครั้งนี้ ทำให้สหกรณ์มีสินทรัพย์ที่มีราคาล่าสุดกว่า 400 ล้านบาท ขณะที่หนี้มี 100 กว่าล้านบาท ตัวเลขขาดทุน 30 – 40 ล้านบาทจึงถือว่าคุ้มค่าสำหรับการลงทุน สำหรับการลาออกครั้งนี้ ที่ประชุมได้มีมติตั้งนายณรงค์ อุปพันธ์ เป็นประธานสหกรณ์ฯ คนใหม่ พร้อมกับคณะกรรมการชุดใหม่ ขณะเดียวกันมีรายงานว่าในวันที่ 9 มกราคม นี้ สหกรณ์ฯ จะเปิดประชุมวิสามัญอีกครั้ง ซึ่งนายสิงห์คำก็เตรียมสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานอีกครั้ง หากนายณรงค์ลาออก
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ทรัมป์' ยอมยกเลิกหน่วยสืบสวนโกงการเลือกตั้ง กลุ่มสิทธิพลเมืองหวั่นลิดรอนสิทธิ

Posted: 05 Jan 2018 10:12 PM PST

ในช่วงเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ มักจะใช้โวหารในการหาเสียงอ้างว่ามีการ "โกงการเลือกตั้ง" อยู่ตลอดเวลาและเมื่อเขาได้เป็นประธานาธิบดีเขาก็อ้างเรื่องนี้สั่งให้จัดตั้ง "คณะกรรมการเพื่อความสุจริตในการเลือกตั้ง" โดยแต่งตั้งรองประธานาธิบดีซึ่งเป็นคนของตัวเองเป็นประธาน แต่ล่าสุดก็มีการสั่งยุบคณะกรรมการชุดนี้แล้วโดยอ้างว่ารัฐต่าง ๆ ไม่ยอมส่งหลักฐานข้อมูลเพื่อการพิพาทคดีตามกฎหมายให้กับพวกเขา

 
 
เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2561 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งพิเศษให้มีการยุบหน่วยงานคณะกรรมการที่ปรึกษาประธานาธิบดีในเรื่องความสุจริตในการเลือกตั้ง (Presidential Advisory Commission on Election Integrity) ซึ่งทรัมป์เป็นผู้ก่อตั้งเองเมื่อช่วงเดือน พ.ค. 2560 โดยอ้างอย่างไม่มีหลักฐานใดๆ ว่า มีผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายหลายล้านคนลคะแนนเสียงเลือกตั้งสหรัฐฯ ในปี 2559 ทำให้เขาได้รับคะแนนเสียงโดยรวมหรือป็อบปูลาร์โหวตน้อยกว่าฮิลลารี คลินตัน ผู้เป็นคู่แข่ง (แต่ตามระบบคณะผู้เลือกตั้งของสหรัฐฯ ทำให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะ)
 
อย่างไรก็ตามจากคำแถลงของทำเนียบขาวและจากทวิตเตอร์ของทรัมป์เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่ามีการยุบคณะกรรมการชุดนี้แล้วเพราะหลายรัฐไม่ส่งข้อมูลที่จะใช้ในการพิพาทคดีมาให้ ขณะที่ซาราห์ ฮัคคาบี แซนเดอร์ โฆษกรัฐบาลกล่าวว่ามีการลงนามยกเลิกคณะกรรมการนี้แล้ว "แทนที่จะปล่อยให้มีการต่อสู้คดีอย่างยืดเยื้อไม่มีที่สิ้นสุดโดยที่ใช้ทรัพยากรของประชาชนที่เสียภาษีไปเรื่อยๆ"
 
องค์กรด้านสิทธิพลเมืองหลายกลุ่มแสดงความยินดีที่มีการยุบหน่วยงานนี้ ไมเคิล วัลด์แมน ประธานศูนย์เบรนแนนเพื่อความยุติธรรม แถลงว่า คณะกรรมการเพื่อความสุจริตในการเลือกตั้งของทรัมป์เป็นสิ่งที่ "เริ่มต้นจากโศกนาฏกรรมและจบลงด้วยปาหี่" พวกเขาไม่สามารถค้นหาหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับผู้ลงคะแนนอย่างผิดกฎหมายตามที่ทรัมป์อ้าง และการยุบหน่วยงานนี้ก็แสดงให้เห็นว่าข้ออ้างของทรัมป์ว่าที่มีการโกงการเลือกตั้งเป็นเรื่องโกหก
 
ทรัมป์ยังเคยแต่งตั้งคนของตัวเองเข้าไปดำรงตำแหน่งคณะกรรมการนี้ เช่น ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และคริส โคแบต ฝ่ายการต่างประเทศของแคนซิส พวกเขาใช้เวลาทำงานของตัวเองคอยสร้างเรื่องเล่าเท็จเกี่ยวกับ "การโกงการเลือกตั้ง" การจัดตั้งคณะกรรมการนี้ทำให้กลุ่มรณรงค์เรื่องสิทธิในการเลือกตั้งไม่พอใจอย่างมาก พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลทรัมป์พยายามอ้างเรื่องการทุจริตเลือกตั้งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงมาพยายามออกกฎหมายเพิ่มความเข้มงวดในการระบุตัวตนผู้ลงคะแนนเสียงมากขึ้น ทำให้คนที่เป็นชนกลุ่มน้อยในสังคมถูกกีดกันออกไปจากการเลือกตั้ง
 
เดล โฮ จากองค์กรสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (ACLU) กล่าวในแถลงการณ์ว่า ปัญหาจริงๆ ของสหรัฐฯ คือการที่มีคนออกมาใช้สิทธิน้อยเพระามีอุปสรรคกีดขวางไม่ให้คนสามารถลงคะแนนได้ ขณะเดียวกันก็ยังมีเครื่องจักรที่ล้าสมัยและไม่ปลอดภัย เสี่ยงต่อการแทรกแซงจากต่างชาติได้ แต่แทนที่คณะกรรมการของทรัมป์จะพูดถึงปัญหาเหล่านี้ที่จะส่งผลกระทบต่อความแม่นยำของการเลือกตั้งมากกว่า คณะกรรมการของทรัมป์ก็มัวแต่ไล่คว้าลมในข้ออ้างเรื่องการโกงการเลือกตั้งและเป็นการใส่ร้ายคนลงคะแนนเสียงชาวอเมริกันที่พวกเขาควรจะช่วยเหลือให้มีส่วนร่วมในการลงคะแนน จึงน่าสงสัยว่าการกระทำของคณะกรรมการกลุ่มนี้จะมีเจตนากีดกันทำให้คนใช้สิทธิลงคะแนนยากขึ้น
 
ขณะที่ทรัมป์กล่าวโทษรัฐ 45 รัฐ ที่ไม่ยอมส่งข้อมูลให้กับคณะกรรมการ แต่เจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้ก็โต้แย้งว่าคณะกรรมการของทรัมป์ตั้งขึ้นมาจากการโกหกอยู่แล้วและทำให้เกิดความน่ากังวลว่าข้อเรียกร้องจะกระตุ้นให้พลเมืองสหรัฐฯ ยกเลิกการลงทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้งของตัวเอง
 
กลุ่มผู้รณรงค์ด้านสิทธิในการเลือกตั้งและ ส.ส.พรรคเดโมแครตแสดงความยินดีต่อการยุบคณะกรรมการนี้แต่ก็เตือนว่าควรจะมีการเฝ้าระวังในเรื่องสิทธิการเลือกตั้งต่อไปเพราะในตอนนี้ทรัมป์ได้ส่งเรื่อง "การโกงการเลือกตั้ง" ไปให้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ เป็นผู้ตรวจสอบต่อ
 
วนิตา กุปตา ประธานกลุ่มสหพันธ์ผู้นำสัมมนาประเด็นสิทธิพลเมืองและสิทธิมนุษยชน (The Leadership Conference on Civil and Human Rights) กล่าวเรียกร้องให้มีการเพิ่มการคุ้มครองสิทธิในการเลือกตั้งมากขึ้นซึ่งถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของปะชาชน โดยเรียกร้องให้สภาคองเกรสต้องทำให้การเลือกตั้งง่ายขึ้นและขยายการมีส่วนร่วมของพลเมืองมากขึ้น
 
ในสหรัฐฯ ผู้ที่จะใช้สิทธิเลือกตั้งในระดับประเทศแทบทุกรัฐต้องมีการลงทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้งก่อนยกเว้นแต่รัฐนอร์ทดาโกตา องค์กรวิจัยพิวเคยสำรวจพบว่าในปี 2555 มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งร้อยละ 24 ของสหรัฐฯ ไม่ได้ไปลงทะเบียนทำให้ไม่ได้ไปใช้สิทธิ มีการศึกษาพบว่าขั้นตอนการลงทะเบียนเป็นการทำให้ผู้คนลดแรงจูงใจไปเลือกตั้งส่งผลให้มีจำนวนผู้มาใช้สิทธิน้อย
 
 
เรียบเรียงจาก
 
Voting Rights Groups Cheer As Trump's 'Fraudulent' Election Integrity Commission Dissolves, Common Dreams, 04-01-2018
 
 
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: กราบ

Posted: 05 Jan 2018 09:00 PM PST


ควรจะรู้ว่าการกราบ
คือการกลับสู่ระนาบลาดเอียง
ปากติดดินไร้สิทธิ์ส่งเสียง
สองมือก็เพียงแผ่ปิดตา

หัวกดก้นยก
ซ่อนความหวาดวิตกก้มหน้า
ใต้เงาเท้า...ตีน..บาท...บรรดา
อดีตศรัทธาทื่อตาย

กรานกราบ
คือนอนพังพาบแพ้พ่าย
สงบจิตเสงี่ยมกาย
สยบอย่างเงียบง่ายโง่งม

กราบเรือกราบพระยังว่าไหว
กราบเป็ดกราบไก่ไม่ขื่นขม
อะไรเอ่ยยิ่งกราบยิ่งจม
ประนมมือไหว้กันพัลวัน ?

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น