ประชาไท | Prachatai3.info |
- ก.ล.ต.ปรับเน็ตไอดอล ฐานชวนคนลงทุนร่วมหุ้นผ่านโซเชียลฯ โดยไม่ได้อนุญาต
- สรุป 7 วันปีใหม่ อุบัติเหตุ 3,841 ครั้ง เสียชีวิต 423 ราย
- หวั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม กรณีกองทัพสังหารผู้ประท้วงฮอนดูรัส
- สปสช.กระจายงบค่าเสื่อมราคาเครื่องมือแพทย์ปี 2561 สู่หน่วยบริการแล้ว
- โพลล์เผยคน กทม. อยากให้ผู้ว่าฯ แก้ปัญหาร้านค้าและสถานบริการฝ่าฝืนกฎหมาย
- 'ศรีสุวรรณ' ประกาศขอซื้อต่อสุนัขบางแก้วจาก 'ประยุทธ์'
ก.ล.ต.ปรับเน็ตไอดอล ฐานชวนคนลงทุนร่วมหุ้นผ่านโซเชียลฯ โดยไม่ได้อนุญาต Posted: 04 Jan 2018 03:16 AM PST ก.ล.ต. สั่งปรับ 5 แสนบาท "ไฮโซม่านฟ้า" ฐานชักชวนคนลงทุนร่วมหุ้นผ่านโซเชียลฯ โดยไม่ได้อนุญาต อ้างให้ผลตอบแทนสูง ส่วนอีกราย "เก๋ เลเดอเรอร์" โดน 1.5 ล้านบาท 4 ม.ค. 2561 ASTV ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่าคณะกรรมการเปรียบเทียบมีคำสั่งเปรียบเทียบผู้กระทำผิด 4 ราย กรณีเสนอขายหลักทรัพย์ประเภทหุ้นกู้ต่อประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาต ได้แก่ 1. บริษัท ม่านฟ้า กรุ๊ป จำกัด 2. น.ส.อรปภัตร จันทรสาขา (ไฮไซม่านฟ้า) 3. บริษัท เลเดอเรอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด และ 4. น.ส.กันยกร ศุภการค้าเจริญ (เก๋ เลเดอเรอร์) สืบเนื่องจาก ก.ล.ต.ได้รับแจ้งเบาะแสและตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า บริษัท ม่านฟ้า กรุ๊ป จำกัด โดย น.ส.อรปภัตร จันทรสาขา กรรมการผู้มีอำนาจ ชักชวนประชาชนให้ร่วมหุ้นผ่านโซเชียลมีเดีย โดยกำหนดวงเงินขั้นต่ำสำหรับการเข้าร่วมหุ้นที่ 100,000 บาท อ้างว่าจะให้ผลตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี ในระยะเวลา 12 เดือน และมีข้อสัญญาว่าจะทยอยคืนเงินร่วมหุ้นพร้อมผลตอบแทนทุกๆ 30 วัน จนกว่าจะครบกำหนดสัญญา โดยการตรวจสอบไม่พบบุคคลที่เข้าร่วมลงทุนกับบริษัท ม่านฟ้า กรุ๊ป จำกัด ตามการชักชวน กรณีบริษัท เลเดอเรอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด โดย น.ส.กันยกร ศุภการค้าเจริญ กรรมการผู้มีอำนาจ ชักชวนประชาชนให้ร่วมหุ้นผ่านโซเชียลมีเดีย โดยมีวงเงินขั้นต่ำสำหรับการเข้าร่วมหุ้นที่ 100,000 บาท และอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนร้อยละ 5-7 ในระยะเวลา 6 เดือน และมีข้อสัญญาว่าจะทยอยคืนเงินร่วมหุ้นพร้อมผลตอบแทนทุกๆ 30 วัน จนกว่าจะครบกำหนดสัญญา โดยพบบุคคลเข้าร่วมทำสัญญาลงหุ้นตามการชักชวนเป็นเงินลงทุนรวมประมาณ 10 ล้านบาท การดำเนินการของบริษัท ม่านฟ้า กรุ๊ป จำกัด และบริษัท เลเดอเรอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด เข้าข่ายเป็นการเสนอขายหลักทรัพย์ประเภทหุ้นกู้ต่อประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 33 และมีระวางโทษตาม 268 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ขณะที่การกระทำของ น.ส.อรปภัตร และ น.ส.กันยกร ซึ่งเป็นผู้สั่งการหรือกระทำการอันเป็นเหตุให้บริษัทปฏิบัติฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าวต้องรับโทษตามมาตรา 300 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ผู้กระทำผิด 3 ราย ได้แก่ 1. บริษัท ม่านฟ้า กรุ๊ป จำกัด 2. น.ส.อรปภัตร และ 3. น.ส.กันยกร ยินยอมเปรียบเทียบปรับ คณะกรรมการเปรียบเทียบจึงได้เปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 500,000 บาท และ 1,530,000 บาท ตามลำดับ อย่างไรก็ดี บริษัท เลเดอเรอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ไม่ยินยอมชำระค่าปรับตามคำสั่งคณะกรรมการเปรียบเทียบ ก.ล.ต.จึงแจ้งให้พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ทราบเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ในชั้นแรก ก.ล.ต.ได้กล่าวโทษต่อผู้กระทำผิดทั้ง 4 ราย เนื่องจากมีเหตุสงสัยการกระทำดังกล่าวอาจเกี่ยวเนื่องกับความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และแจ้งข้อเท็จจริงความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 ไปยัง บก.ปอศ.เพื่อพิจารณาดำเนินการบังคับใช้กฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้อง ต่อมา ก.ล.ต.ได้รับแจ้งจากพนักงานสอบสวน บก.ปอศ.ว่าการสอบสวนไม่พบว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 รายดังกล่าว เป็นความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 จึงส่งคดีให้ ก.ล.ต.ดำเนินการเปรียบเทียบตามมาตรา 317 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สรุป 7 วันปีใหม่ อุบัติเหตุ 3,841 ครั้ง เสียชีวิต 423 ราย Posted: 04 Jan 2018 02:58 AM PST สรุปตัวเลขอุบัติเหตุเทศกาลปีใหม่ 2561 ในช่วง 7 วันของการรณรงค์ "ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร" พบเกิดอุบัติเหตุรวม 3,841 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 423 ราย 4 ม.ค. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่านายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานร่วมแถลงข่าวสรุปผลการดำเนินงานลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ประจำปี 2561 โดยมี นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมแถลงข่าว เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2561 ณ ห้องประชุมกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ภาคีเครือข่ายหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้เตรียมความพร้อมการดำเนินตามแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 โดยสรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 3 ม.ค. 2561 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการรณรงค์ "ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร" เกิดอุบัติเหตุ 386 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 40 ราย ผู้บาดเจ็บ 402 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาสุรา ร้อยละ 28.24 ขับรถเร็วเกินกำหนดและตัดหน้ากระชั้นชิด ร้อยละ 25.91 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 77.83 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 67.62 บนถนนอบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 28.76 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 50.26 จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ อุดรธานี 19 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้สียชีวิตสูงสุด ได้แก่ นครปฐมและอุบลราชธานี 4 ราย สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสม 7 วัน (28 ธ.ค. 2560 – 3 ม.ค. 2561) เกิดอุบัติเหตุรวม 3,841 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 423 ราย ผู้บาดเจ็บ 4,005 คน จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 7 จังหวัด ได้แก่ ชัยนาท นครนายก นราธิวาส น่าน ยะลา ระนอง และหนองบัวลำภู ทั้งนี้ กำชับทุกหน่วยงานดำเนินการสร้างความปลอดภัยในการเดินทางอย่างต่อเนื่อง เตรียมการเพื่อรองรับการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยได้ประมาณการเทียบกับการเดินทางเมื่อปี 2560 จัดเตรียมระบบขนส่งสาธารณะไว้อย่างเพียงพอต่อความต้องการ เพิ่มจุดตรวจ จุดอำนวยความสะดวก เพื่อความปลอดภัย และเพิ่มมาตรการเฝ้าระวัง เช่น มาตรการติดตั้งป้ายบอกเตือนล่วงหน้าและไฟส่งสัญญาณต่าง ๆ ให้เกินกว่าที่มาตรฐานกำหนด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันอุบัติเหตุมากขึ้น บูรณาการสนธิกำลังหน่วยทหาร ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เฝ้าระวังในจุดเสี่ยง ในเส้นทางที่มีโครงการก่อสร้างให้เร่งดำเนินการคืนพื้นผิวการจราจรชั่วคราว เพื่อความสะดวกในการเดินทางของประชาชน รวมถึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งชะลอพักการเดินรถ เพื่อช่วยแก้ปัญหาปริมาณการจราจรแออัด กำกับดูแลให้พนักงานขับรถของตนปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยในการขนส่งอย่างเคร่งครัด ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
หวั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม กรณีกองทัพสังหารผู้ประท้วงฮอนดูรัส Posted: 04 Jan 2018 02:02 AM PST ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองในฮอนดูรัสรอบล่าสุดที่ทำให้เกิดการนองเลือด สื่อสหรัฐฯ และอังกฤษได้เปิดเผยเรื่องราวที่ว่ารัฐบาลพรรครีพับลิกันของสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนรัฐบาลที่มีที่มาจากการโกงการเลือกตั้งและใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงจนเสียชีวิตอย่างไร 4 ม.ค. 2561 สื่อสัญชาติสหรัฐฯ เดอะเดลีบีสต์รายงานว่าในขณะที่ประชาชนในฮอนดูรัสต้องเสี่ยงตายเพื่อปกป้องหลักการอยู่ทุกวัน รัฐบาลพรรครีพับลิกันนำโดยโดนัลด์ ทรัมป์ กลับให้การสนับสนุน ฮวน ออร์ลันโด เฮอร์นันเดซ ผู้ที่สื่อเดอะเดลีบีสต์เรียกว่าเป็น "ทรราช" คนใหม่ของฮอนดูรัส หลังจากที่มีผู้คนถูกสังหารหลายสิบคนจากการปราบปรามของรัฐบาลฮอนดูรัสรวมถึงมีคนจำนวนมากได้รับบาดเจ็บและมีผู้ต่อต้านคุมขังอย่างน้อย 1,500 ราย ในรายงานของเดอะเดลีบีสต์ระบุว่าฮอนดูรัสถูกใช้เป็นพื้นที่วางฐานปฏิบัติการของสหรัฐฯ มาเป็นเวลานานแล้วทั้งที่แสดงออกให้เห็นชัดเจนและทั้งที่ปิดลับ ไม่เพียงแค่รัฐบาลทรัมป์เท่านั้น ในสมัยของรัฐบาลบารัค โอบามา พรรคเดโมแครต สหรัฐฯ ก็เคยเปิดทางอนุญาตให้กลุ่มชนชั้นนำและทหารยึดอำนาจประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งอย่าง มานูเอล เซลายา ในปี 2552 หลังการรัฐประหารในปี 2552 ทำให้ฮอนดูรัสอยู่ในช่วงเวลาโกลาหล มียาเสพติดและแก็งค์อันธพาลข้างถนนแพร่ระบาดไปทั่ว รวมถึงกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการฆาตกรรมสูงที่สุดในโลก ทำให้มีผู้คนอพยพออกจากประเทศจำนวนหลายแสนคนไปที่สหรัฐฯ ที่พวกเขาหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีกว่า เฮอร์นันเดซไม่เพียงถูกกล่าวหาเรื่องการโกงการเลือกตั้งครั้งล่าสุดและใช้กำลังปราบปรามผู้คนเท่านั้น เขายังละเมิดกติกาตามรัฐธรรมนูญฮฮนดูรัสด้วยการอยู่เป็นผู้นำเกินหนึ่งวาระจากการเลือกตั้งที่เขา "ขโมยมา" กองกำลังของฮอนดูรัสที่ปราบปรามประชาชนได้รับงบประมาณความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ 114 ล้านดอลลาร์ แต่สหรัฐฯ ก็เงียบเฉยต่อความโหดร้ายนี้ ขณะที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์รุนแรง 31 ราย กังวลว่าพวกเขาจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เดอะการ์เดียนรายงานว่าสำหรับญาติของเหยื่อผู้เสียชีวิตจากการปราบปรามของรัฐบาลฮอนดูรัสแล้วบรรยากาศช่วงเทศกาลที่ผ่านมาไม่ทำให้พวกเขารู้สึกอยากเฉลิมฉลองแต่อย่างใด เดวิด รามอส พ่อของโฮเซ รามอส ชายอายุ 22 ปีที่เสียชีวิตเดินออกแจกใบปลิวภาพลูกชายที่เสียชีวิตของเขาบนท้องถนนเขาบอกว่า "คริสต์มาสไม่มีอยู่สำหรับพวกเราอีกแล้ว ไม่ใช่ทั้งปีนี้ ไม่ใช่ปีไหนๆ" องค์กรคณะกรรมการเพื่อครอบครัวผู้ถูกคุมขังและผู้สาบสูญในฮอนดูรัส (Cofadeh) ระบุว่าในจำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความขัดแย้งล่าสุดทั้งหมดมีอย่างน้อย 21 รายทีถูกสังหารโดยสารวัตรทหาร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับคำสั่งมาจากกองทัพ โดยที่กองทัพฮอนดูรัสทำการข่มขู่คุกคามญาติของผู้เสียชีวิตบางคนทำให้พวกเขากังวลว่าจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ ทั้งนี้ยังมีการคาดคะเนว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตจากความขัดแย้งอาจจะสูงมากกว่านี้เนื่องจากมีการเสียชีวิตบางส่วนที่ยังไม่มีการสืบสวน องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนต่างก็ประณามการกระทำของรัฐบาลฮอนดูรัส แอมเนสตีอินเตอร์เนชันแนลประณามการที่รัฐบาลฮอนดูรัสใช้วิธีการที่อันตรายและผิดกฎหมายเพื่อกลบเสียงของผู้ต่อต้านรัฐบาล สหประชาชาติและคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐอเมริกาว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (IACHR) ก็ประณามการทารุณกรรมผู้ต้องขังในสถานทำการของกองทัพรวมถึงเตือนเรื่องการใช้กำลังเกินกว่าเหตุในการสลายการชุมนุม อย่างไรก็ตามรัฐบาลฮอนดูรัสที่มีทางการสหรัฐฯ หนุนหลังปฏิเสธไม่ให้องค์การรัฐอเมริกัน (OAS) ส่งผู้แทนพิเศษเข้าไปสืบสวนในกรณีเหล่านี้ ทางการสหรัฐฯ ลดทอนการประท้วงโดยอ้างว่ามีพวกแก็งค์อาชญากรรมอยู่เบื้องหลังและมีการบิดเบือนการนำเสนอในสื่อกล่าวหาว่าเป็นการยิงกลุ่มติดอาวุธ ถึงแม้ว่าญาติของผู้เสียชีวิตเช่นกรณีโฮเซ รามอส จะมีหลักฐานแตกต่างจากในสื่อของฮอนดูรัสคือแสดงให้เห็นภาพของผู้ประท้วงกลุ่มหนึ่งขว้างปาก้อนหินใส่เจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร ขณะที่โฮเซยืนโบกธงอยู่ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่เปิดฉากยิงใส่พวกเขาทำให้โฮเซและผู้ประท้วงรายอื่นๆ ที่ไม่มีอาวุธในมือเลยถูกยิงเสียชีวิต แม้ว่าสหรัฐฯ จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้การช่วยเหลือด้านงบประมาณแก่กองทัพฮอนดูรัสแต่พวกเขาก็ไม่เคยออกมาประณามเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นจากฝีมือของเจ้าหน้าที่ทางการฮอนดูรัสเลย นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ระดับสูงรวมถึงผู้บัญชาการคนใหม่อย่าง เรเน ปอนเซ ยังคงได้รับการฝึกซ้อมจากทางการสหรัฐฯ โดยที่เดอะการ์เดียนระบุว่าปอนเซมีส่วนพัวพันกับทั้งหน่วยสารวัตรทหารฮอนดูรัสและกองกำลังฟูซินา ซึ่งเป็นกองกำลังที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารนักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง เบอร์ตา คาเซเรส และทั้งสองหน่วยงานก็ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ทั้งคู่ นอกจากจุดที่กลุ่มเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ แล้ว ผู้คนยังกังวลในเรื่องที่หน่วยฟูซินาคอยกำกับดูแลทนายของคดีความที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของทหารด้วย จึงน่ากังวลว่าจะมีการสืบสวนความรุนแรงเหล่านี้อย่างจริงจังหรือไม่ อดัม ไอแซคซัน จากองค์กรสำนักงานวอชิงตันในประเด็นละตินอเมริกาเตือนสหรัฐฯ ว่าพวกเขาควรจะกดดันให้เฮอร์นันเดซเลิกใช้อำนาจตามอำเภอใจ เพราะการที่สหรัฐฯ ถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุนผู้แทนที่เข่นฆ่าประชาชนฝ่ายต่อต้านจำนวนมากไม่ใชภาพลักษณ์ที่ดีเลย สื่อเดลีบีสต์ยังนำเสนอเรื่องที่ฝายตรงข้ามของเฮอร์นันเดซ คือซัลวาดอร์ นาสราลลา เตือนว่าวิกฤตการเลือกตั้งของฮอนดูรัสในครั้งนี้อาจจะดึงให้ประเทศไปสู่ "สงครามกลางเมือง" ได้ ซึ่งอเล็ก เมน นักวิเคราะห์อาวุโสจากศูนย์วิจัยเพื่อเศรษฐกิจและนโยบายบอกว่าคำเตือนของนาสราลลาไม่ใช่แค่โวหารแต่มีความไม่พอใจอย่างมากจากกลุ่มผู้เรียกร้องประชาธิปไตยในฮฮนดูรัสที่ดูจะไม่ยอมล่าถอยไปง่ายๆ ขณะเดียวกันการที่เจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนปฏิเสธคำสั่งโจมตีผู้ประท้วงก็เป็นสัญญาณว่ามีรอยร้าวเกิดขึ้นภายในกองทัพ เรียบเรียงจาก Families fear no justice for victims as 31 die in Honduras post-election violence, The Guardian, 02-01-2018 In Little Honduras a Loyal U.S. Client, and Tyrant, Backed by Trump and the Bananan Republicans, The Daily Beast, 31-12-2017 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สปสช.กระจายงบค่าเสื่อมราคาเครื่องมือแพทย์ปี 2561 สู่หน่วยบริการแล้ว Posted: 04 Jan 2018 01:54 AM PST สปสช.จัดสรรงบค่าเสื่อม ซ่อมบำรุงและลงทุนบริการการแพทย์ หนุนพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการรักษาต่อเนื่อง เผยปี 2561 บอร์ด สปสช.อนุมัติงบกว่า 6 พันล้านบาท กระจายให้หน่วยบริการบัตรทองทั่วประเทศแล้ว 4 ม.ค. 2561 นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้มีการจัดสรรงบส่วนหนึ่งเพื่อเป็นค่าเสื่อมราคา (งบค่าเสื่อมราคา) หรืองบค่าบริการทางการแพทย์ที่เบิกจ่ายในลักษณะงบลงทุน เพื่อให้หน่วยบริการนำเงินไปจัดหา จัดซื้อ จัดจ้าง หรือเช่าเพื่อซ่อมบำรุงสิ่งก่อสร้าง และครุภัณฑ์ที่เสื่อมสภาพหรือถดถอยหรือเสียหายจากการให้บริการ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายเพื่อชดเชยค่าเสื่อมของสิ่งก่อสร้างและครุภัณฑ์ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การรับเงิน การจ่ายเงิน การรักษาเงิน และรายการของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องและจำเป็นต่อการสนับสนุนและส่งเสริมการจัดบริการสาธารณสุขและค่าใช้จ่ายอื่น พ.ศ. 2559 โดยในปีงบประมาณ 2561 นี้ บอร์ด สปสช.ได้อนุมัติจัดสรรงบค่าเสื่อมราคา จำนวน 6,279.69 ล้านบาท หรือ 128.69 บาทต่อผู้มีสิทธิ นพ.การุณย์ กล่าวว่า ในการจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยบริการนั้น แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ งบค่าเสื่อมราคาสำหรับหน่วยบริการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) จำนวน 5,394.10 ล้านบาท และงบค่าเสื่อมราคาสำหรับหน่วยบริการสังกัดอื่นๆ และหน่วยบริการเอกชน จำนวน 885.59 ล้านบาท โดยวิธีการกระจายงบประมาณนั้น ในส่วนของหน่วยบริการสังกัด สป.สธ.นั้น จะมีการโอนงบประมาณไปยังหน่วยบริการโดยตรงจำนวน 3,812.12 ล้านบาท หรือร้อยละ 70 ส่วนที่เหลือเป็นการจัดสรรไปยังระดับจังหวัดและระดับเขต จำนวน 1,042.56 ล้านบาท (ร้อยละ 20) และจำนวน 539.41 ล้านบาท (ร้อยละ 10) ตามลำดับ เช่นเดียวกับงบเหมาจ่ายรายหัว ทั้งนี้เพื่อให้มีการปรับเกลี่ยและกระจายงบประมาณไปยังหน่วยบริการอย่างทั่วถึงและเป็นไปตามความเหมาะสม ขณะที่หน่วยบริการสังกัดอื่นๆ และหน่วยบริการเอกชน จะเป็นการโอนตรงไปยังหน่วยบริการทั้งหมด ปีงบประมาณ 2561 นี้ สปสช.ได้มีการโอนงบค่าเสื่อมราคาไปยังหน่วยบริการที่รับดูแลผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทั้งหมดแล้ว โดยครั้งแรกได้ทำการโอนในเดือนตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 จำนวน 3,812.12 ล้านบาท และได้ทำการทยอยโอนงบประมาณในส่วนที่เหลือทั้งหมดให้กับหน่วยบริการสังกัด สป.สธ. และสังกัดอื่นๆ รวมทั้งหน่วยบริการเอกชนในเดือนธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อให้หน่วยบริการสามารถนำงบประมาณนี้ไปบริหารจัดการในการจัดซื้อ ซ่อมแซมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อบริการผู้ป่วยต่อไป "งบค่าเสื่อมราคา เป็นงบที่มีความสำคัญเพื่อสนับสนุนการรักษาพยาบาลและบริการสุขภาพของหน่วยบริการ ให้มีคุณภาพและมาตรฐาน เนื่องจากเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ รวมถึงอาคาร สถานที่ในการบริการ จะมีการชำรุดและเสื่อมไปตามการใช้งาน ที่ผ่านมาบอร์ด สปสช. นอกจากงบเหมาจ่ายรายหัวซึ่งเป็นค่ารักษาแล้ว ยังได้จัดสรรงบประมาณในส่วนนี้ให้กับหน่วยบริการอย่างต่อเนื่องทุกปี" รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว นพ.การุณย์ กล่าวต่อว่า หน่วยบริการที่ได้รับเงินจัดสรรงบค่าเสื่อมราคาจะทำการรายงานผลการจัดซื้อ จัดหา ผ่านทาง Website ของ สปสช.ที่ www.nhso.go.th เลือกเมนู "บริการออนไลน์" >หมวด "NHSO Budget"> เลือก "ระบบรายงานการใช้เงินค่าบริการทางการแพทย์ที่เบิกจ่ายในลักษณะงบลงทุน (งบค่าเสื่อม)" โดยสามารถลงทะเบียนรับ User name, Password เพื่อใช้ Login เข้าโปรแกรมรายงานได้ สปสช.เขต ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
โพลล์เผยคน กทม. อยากให้ผู้ว่าฯ แก้ปัญหาร้านค้าและสถานบริการฝ่าฝืนกฎหมาย Posted: 03 Jan 2018 11:29 PM PST บ้านสมเด็จโพลล์เผยผลสำรวจ ระบุคน กทม. มีความพึงพอใจผลงานของผู้ว่า กทม. ในปี 2560 อยากให้แก้ปัญหาเร่งด่วนเรื่องร้านค้าและสถานบริการฝ่าฝืนกฎหมาย 4 ม.ค. 2561 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับความพึงพอใจผลงานของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่ อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,248 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 21 - 25 ธันวาคม 2560 กลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่า ประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 95% และความผิดพลาดไม่เกิน 3% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,111 กลุ่มตัวอย่าง ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า ผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อความพึงพอใจผลงานของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมืองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่มาจากการแต่งตั้งโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2559 มีผลงานที่ตรงใจคนกรุงเทพมหานครหรือไม่ ความพึงพอใจผลงานของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตลอดระยะเวลา 1 ปีเศษในการดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปัญหาที่อยากให้มีการแก้ไขอย่างเร่งด่วนคืออะไร และคนกรุงเทพมหานครพร้อมหรือยังกับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และอยากได้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่มีคุณสมบัติอย่างไร มีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีความพึงพอใจผลงานของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในปี 2560อันดับแรกคือพึงพอใจปานกลาง ร้อยละ 42.3 อันดับที่สองคือ พึงพอใจมากร้อยละ 38.2 และ อันดับที่สามคือ พึงพอใจน้อย ร้อยละ 19.5 และอยากให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนมากที่สุด อันดับแรกคือ ปัญหาร้านค้าและสถานบริการฝ่าฝืนกฎหมาย ร้อยละ 23.3 อันดับที่สองคือ ปัญหาการจัดการขยะมูลฝอย ร้อยละ 20.5 และ อันดับที่สามคือ ปัญหาการคอรัปชั่น ร้อยละ 17.1 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ อยากให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในปี 2561 ร้อยละ 56.8 รองลงมาคือไม่อยาก ร้อยละ 23.7 และไม่แน่ใจ ร้อยละ 19.5 และอยากได้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่มีคุณสมบัติแบบที่มีการปฏิบัติตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ ร้อยละ 24.1 รองลงมาคือมีความขยันทุ่มเทในการทำงาน ร้อยละ 23.6 และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ร้อยละ 20.0 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
'ศรีสุวรรณ' ประกาศขอซื้อต่อสุนัขบางแก้วจาก 'ประยุทธ์' Posted: 03 Jan 2018 10:52 PM PST ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ประกาศซื้อสุนัขบางแก้ว จาก 'พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา' ที่ประกาศว่าจะขาย หากไม่ขายให้จะแจ้ง ป.ป.ช.ตรวจสอบติดตามว่าสุดท้ายแล้วสุนัขดังกล่าวไปอยู่กับใคร 4 ม.ค. 2561 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ออกแถลงการณ์ 'ศรีสุวรรณประกาศขอซื้อต่อสุนัขบางแก้วจากนายกฯ' โดยระบุว่าตามที่สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อตรวจสอบการกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หน.คสช. เมื่อครั้งเดินทางไปเยี่ยมเยือนประชาชนและประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดพิษณุโลก-สุโขทัย โดยได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงานของบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี พิษณุโลก (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด ซึ่งได้ให้ความสนใจชมการเพาะเลี้ยงสุนัขพันธุ์บางแก้วของกลุ่มผู้เพาะเลี้ยงในพื้นที่พร้อมกับซื้อลูกสุนัขบางแก้ว 3 ตัว เพื่อนำไปเลี้ยงเอง 1 ตัว และซื้อให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ คนละหนึ่งตัวโดยที่ลูกสุนัขบางแก้วที่นายกฯ ซื้อราคาตัวละ 6,000 บาท แต่นายกฯ ได้ให้เงินไป 25,000 บาทเพราะต้องการให้เป็นขวัญกำลังใจและเงินขวัญถุงแก่ผู้เพาะเลี้ยง ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการให้หรือรับของขวัญซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่มีมูลค่าเกินกว่า 3,000 บาท อันมีความผิดตามมาตรา 103 แห่ง พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม ประกอบข้อ 5(2) ของประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่องหลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ 2543 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่รัฐ 2544 ความดังทราบแล้วนั้น แต่ทว่านายกรัฐมนตรี และ หน.คสช.ได้ออกมาประกาศแก้เกี้ยวเพื่อเลี่ยงกฎหมาย ป.ป.ช. ดังกล่าวว่าสุนัขพันธุ์บางแก้วทั้ง 3 ตัว ผู้ขายยังไม่ได้จัดส่งมาให้กับตนและตนพร้อมที่จะขายต่อหากมีผู้ใดต้องการนั้นเพื่อเป็นการตัดประเด็นปัญหาทางกฎหมายที่อาจจะมีการแอบกระทำการส่งมอบสุนัขดังกล่าวให้กับบิ๊กป้อมและบิ๊กฉัตรหรือผู้อื่นได้ในอนาคต สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจึงใคร่ขอประกาศรับซื้อสุนัขทั้ง 2 ตัวจาก ฯพณฯนายกรัฐมนตรีในราคาเดียวกันกับที่ชาวบ้านที่พิษณุโลกขายให้คือตัวละ 6,000 บาท โดยไม่รวมค่าจัดส่งและค่าวัคซีน ทั้งนี้ หากฯพณฯนายกรัฐมนตรีได้รับสุนัขดังกล่าวแล้วและพร้อมที่จะขายให้เมื่อใด กรุณาให้คนงานหรือพ่อบ้านของนายกฯแจ้งมายังสมาคมฯได้ทันทีเพื่อที่จะเดินทางไปรับสุนัขดังกล่าวตามวันเวลาและสถานที่ที่กำหนดต่อไป พร้อมกับจะตั้งชื่อให้สุนัขทั้ง 2 ตัวว่า "น้องปรองดอง" และ "น้องสมานฉันท์" เพื่อสะท้อนว่าเป็นสุนัขที่นายกฯ ขายให้ แต่หาก ฯพณฯ นายกฯ ไม่ขายให้จริงดังคำพูด สมาคมฯ ก็จะแจ้งให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบติดตามทั้งในระยะสั้นและระยาวต่อไปว่าสุดท้ายแล้วสุนัขดังกล่าวไปอยู่กับใคร ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น