โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

โอบามา & โอซามา (บิน ลาดิน) กรณีจับตายเหยื่อศาลเตี้ยระดับโลก

Posted: 04 May 2011 10:12 AM PDT

ตามข่าวที่แผยแพร่ไปทั่วโลกว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานายบารัก โอบามา กำกับดูแลการลงโทษประหารชีวิตตามคำสั่งศาลโดยไม่รู้ว่าศาล (เตี้ย)ได้พิจารณาคดีนี้ที่แห่งหนใด เป็นเหตุให้จำเลยของสหรัฐอเมริกาและของโลกนายโอซามา บิน ลาเดน ผู้นำกลุ่มอัล กออิดะห์ เสียชีวิตพร้อมบุคคลอื่นไม่ทราบจำนวน และการปฏิบัติการครั้งนี้ถูกนับว่าเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของอเมริกาและคนทั้งโลก และนายโอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกายังกล่าวสำทับอีกว่า “And on nights like this one, we can say to those families who have lost loved ones to al Qaeda's terror: Justice has been done” ในคืนอย่างเช่นคืนนี้ (คืนที่โอบามาประกาศทางโทรทัศน์เกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายบิน ลาดิน) เราพูดกับครอบครัวของผู้สูญเสียจากการก่อการร้ายของอัลกออิดะห์ได้แล้วว่าเราได้รับความยุติธรรมแล้ว”

เหตุการณ์บันลือโลกแห่งศตวรรษที่ 21 ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 นำโดยประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ปีพ.ศ.2552ยังไม่ถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมหรือเกินกว่าเหตุของปฏิบัติการดังกล่าว และขัดแย้งกับหลักการสิทธิมนุษยชนและสันติภาพหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR ข้อ 3) ว่าด้วยการห้ามกระทำการนอกเหนือขอบเขตของกฎหมาย การกระทำการโดยรวบรัด หรือโดยปราศจากเหตุผล ห้ามการฆ่านอกระบบกฎหมายและการทำให้เสียชีวิตโดยพลการ

ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่หวาดกลัวภัยการก่อการร้ายในปัจจุบัน คำถามที่อ้างอิงถึงหลักสิทธิมนุษยชนและสันติภาพกับการจับตายนายโอซามา บินลาเดน ว่า เป็นการกระทำนอกขอบเขตกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมายใดๆ ตามสมควรหรือไม่ เป็นผลของการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด หรือคำสั่งหนึ่งคำสั่งใด โดยเจ้าหน้าที่รัฐผู้กระทำจากฝ่ายรัฐ หรือโดยการกระทำของบุคคลอื่นใดโดยการสมรู้ การเปิดโอกาสให้ช่วยเหลือ หรือความยินยอมของฝ่ายรัฐ และเป็นการฆ่าสังหารโดยปราศจากเหตุผลปรากฏขึ้นด้วยเมื่อมีการใช้บทลงโทษประหารชีวิตหรือไม่ ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินคดีอย่างรวบรัดที่ถูกนำมาใช้ที่มีหลักประกันความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คำถามเหล่านี้อาจเกิดขึ้นจากบางมุมโลกอย่างเงียบๆ และไม่อาจต้านทานต่อกระแสต่อต้านการก่อการร้ายโลกได้ ตราบใดที่วัฒนธรรมสิทธิมนุษยชนและสันติภาพของผู้คนยังไม่เข้มแข็งพอ

สิ่งที่สะท้อนให้เห็นให้เห็นความอ่อนแอของวัฒนธรรมการเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างมีนัยสำคัญคงเป็นเรื่องการฝัง (ทิ้ง) ศพนายโอซามา บินลาเดนในทะเลเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ยังนิยมชมชอบสามารถแสดงความเคารพศพได้ถ้าเป็นการฝังศพของผู้เสียชีวิตชาวมุสลิมทั่วไป และยังสะท้อนให้เห็นความหวาดกลัวและหวาดระแวงอย่างขาดสติของประเทศผู้นำของโลกอีกด้วย ซึ่งเป็นการขัดต่อจารีตประเพณีที่พึ่งปฏิบัติศพและต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตควรมีอำนาจในการตัดสินใจแม้จะเป็นศพของผู้ร้ายเบอร์หนึ่งของโลกก็ตาม นอกจากนี้หากเราได้ใช้สติพิจารณาทบทวนดูจะพบว่าการกระทำดังกล่าวยังขัดมนุษยธรรมและมโนสำนึกของสังคมอีกด้วย แต่ท่ามกลางกระแสข้อมูลของสื่อทั่วโลกรวมทั้งสื่อไทยที่นำข่าวดังนี้มาเผยแพร่ต่อยังคงเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเพียงด้านเดียวของบุคคลที่ถูกลอบสังหาร ด้วยการกล่าวหาด้วยข้อมูลที่ผู้ตายไม่มีโอกาสแก้ตัว แก้ข่าว หรือออกเวปไซด์ facebook แถลงแก้ข่าว ไม่แตกต่างจากข่าวของประเทศไทยหลังการวิสามัญฆาตกรรมผู้ถูกกล่าวหาว่าค้ายาเสพติดหรือผู้ต้องสงสัยก่อความไม่สงบที่มีหมายจับ ที่มักจะมีข่าวลับงานการข่าวออกมาเปิดเผยความผิดโดยคนตายไม่มีสิทธิแก้ต่าง และไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ตั้งคำถามและคิดทบทวนต่อเหตการณ์แต่อย่างใด

ผู้เขียนเพิ่งได้รับหนังสือ พลังแห่งสันติวิธี การยุติปัญหาความขัดแย้งในรอบศตวรรษ แปลมาจาก A Force More Powerful : A Century of Nonviolent Conflict โดยสำนักพิมพ์สวนเงินมีมา ตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือเล่มหนา 865 หน้าอย่างใจจดใจจ่อเพื่อศึกษาถึงแนวทางสันติวิธีท่ามกลางความขัดแย้งรอบตัว ผู้เขียนมีความเห็นอกเห็นใจต่อเหยื่อของการก่อการร้ายและการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบทุกผู้ทุกนาม แต่การปฏิบัติการจับตายตามคำสั่งศาลเตี้ยระดับโลกครั้งนี้ที่ได้รับการสนับสนุนจากสื่อและประชาชนโดยทั่วไปจะถูกสื่อพาไปนั้น ทำให้เชื่อไปแล้วว่าโลกในศตวรรษนี้ได้หมดหวังกับพลังแห่งสันติวิธีและวัฒนธรรมสิทธิมนุษยชนแล้วกระนั้นหรือ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการกู้บ้านหลังแรกของรัฐบาล

Posted: 04 May 2011 10:08 AM PDT

ตามที่รัฐบาลมีมาตรการ “ดันประชานิยมลอตสุดท้ายกู้ซื้อบ้านดอก 0% 2 ปีแถมฟรีค่าโอน-จดจำนอง” สำหรับผู้ขอสินเชื่อซื้อบ้านหลังแรกที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทและกู้สูงสุด 30 ปี นั้น มีข้อสังเกตตามข่าว ดังนี้

  1. คนอยู่มาจากไหน ตามข่าวกล่าวว่า “อย่างไรก็ตามมีการคาดการณ์กันว่าวงเงินที่เปิดให้กู้นั้น น่าจะหมดภายใน 2 สัปดาห์ . . . ขณะนี้มีผู้ยื่นขอกู้แล้วคิดเป็นวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ฉะนั้นจะเหลือวงเงินให้กู้อีกจำนน 1.5 หมื่นล้านบาท” กรณี้น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง มาตรการข้างต้นรัฐบาลเพิ่งผ่านการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 3 พฤษภาคม (เมื่อวานนี้) ทำไมมีผู้ยื่นข้อกู้ล่วงหน้าแล้ว ผู้ขอกู้เหล่านี้เป็นใคร
  2. การให้กู้เฉพาะผู้จะซื้อบ้านหลังแรก อาจเกิดกรณีที่ผู้ที่ซื้อจริงเป็นสามี แต่ให้ภรรยาที่ไม่ได้ถือครองทรัพย์สินเป็นผู้กู้บ้านหลังแรก หรืออาจใช้ชื่อบุตรหรือญาติก็ได้ ซึ่งไม่ได้เป็นการตอบสนองต่อการส่งเสริมการจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนแต่อย่างใด มาตรการที่จีนดำเนินการก็คือ การให้ครอบครัวหนึ่งก็ซื้อบ้านได้หลังเดียว จึงจะส่งผลได้ตรงตามวัตถุประสงค์การส่งเสริมการซื้อบ้าน
  3. เป็นเรื่องน่าแปลกที่รัฐบาลมอบหมายให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ดำเนินการ ทั้งที่มีธนาคารของรัฐอีกหลายแห่งที่อำนวยสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะธนาคารออมสิน และยังมีธนาคารพาณิชย์อีกหลายแห่ง ดังนั้นการให้สถาบันการเงินเดียวดำเนินการ ก็อาจกระทบต่อสถาบันการเงินอื่นได้
  4. ไม่มีการกำหนดไว้ว่า การซื้อบ้านหลังแรกนี้ครอบคลุมบ้านมือสองหรือไม่ หากให้กู้เฉพาะบ้านในโครงการจัดสรรที่สร้างขึ้นใหม่และบ้านที่จะปลูกสร้างขึ้นใหม่ ก็จะเป็นการช่วยเหลือเฉพาะผู้ประกอบการ แต่หากเปิดโอกาสให้ชาวบ้านทั่วไปที่ซื้อขายบ้านมือสอง ก็จะเป็นการช่วยเหลือชาวบ้านโดยตรง
  5. หากบ้านที่ขอกู้ราคา 1 ล้านบาท ณ อัตราดอกเบี้ย 7% ต่อปี ในเวลาการผ่อน 20 ปีนั้น ในช่วง 2 ปีแรก จะเป็นการผ่อนดอกเบี้ยถึง 138,292 บาท และเป็นการผ่อนเงินต้นเพียง 50,493 บาท ดังนั้นถ้ารัฐบาลอุดหนุนดอกเบี้ย 2 ปีแรก ก็เท่ากับรัฐบาลต้องเสียเงินถึง 138,292 บาทสำหรับบ้านหลังละ 1,000,000 บาท และหลังจากนั้นหากประชาชนผ่อนต่อ ก็ต้องผ่อนเป็นเงินปีละ 94,393ซึ่งบางรายอาจไม่สามารถผ่อนต่อกลายเป็นหนี้ไปได้
  6. ในกรณีการยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียมโอนที่ประมาณการไว้ 3% นั้น ปกติประชาชนก็สามารถจ่ายค่านายหน้า 3% และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อยู่แล้ว ที่สำคัญรัฐบาลก็เพิ่งยกเลิกการยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียมโอนไป การผ่อนผันค่าธรรมเนียมโอนในอดีตก็เป็นเพราะปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ในปัจจุบันไม่มีปัญหาดังกล่าว
  7. ในการซื้อบ้าน หากผู้จะซื้อยังไม่พร้อม ก็ไม่ควรจะสนับสนุน เพราะอาจขาดกำลังในการผ่อนส่ง ทำให้เกิดปัญหาให้กับสถาบันการเงินในภายหลัง ในปัจจุบันนี้ก็ไม่มีปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยของประชาชนแต่อย่างใด ยกเว้นชุมชนแออัด ซึ่งนับวันจะมีจำนวนลดลง ขณะนี้ยังไม่มีปัญหาในตลาด ไม่มีอะไรวิกฤติที่ต้องช่วยเหลือเป็นพิเศษ ผู้ประกอบก.ารก็สามารถดำเนินโครงการได้ด้วยดี จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่า โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ประสบปัญหาจนล้มเลิกไปมีจำนวนน้อยมาก

อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลประมาณการไว้แล้วว่ามีผู้กู้ (ล่วงหน้า) แล้วจำนวนหนึ่ง เหลือเงินอีกเพียง 15,000 ล้านบาทจากวงเงิน25,000 ล้าน ซึ่งจะหมดไปในเวลา 2 สัปดาห์ ก็แสดงว่ามาตรการนี้อาจไม่ได้มีผลต่อการระบายสินค้าในตลาดแต่อย่างใด การใช้มาตรการกระตุ้นตลาดโดยที่ยังไม่มีภาวะวิกฤติ อาจเป็นมาตรการที่เกินความจำเป็น และหากเกิดวิกฤติในอนาคต ก็อาจไม่สามารถใช้มาตการเหล่านี้ผ่อนเบาปัญหาได้

 

....................

เกี่ยวกับผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รัฐบาลสหรัฐใช้วิธีการเดียวกับผู้ก่อการร้ายจัดการบินลาดิน

Posted: 04 May 2011 10:03 AM PDT

ทัศนะจาก ‘อับดุลสุโก ดินอะ’ ว่าด้วยการกระทำนอกขอบเขตกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมาย และการจัดการศพตามหลักศาสนา

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอ ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสฑูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกท่าน

หลังจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ ยืนยันการเสียชีวิตของนายโอซามา บิน ลาดิน เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ตามเวลาท้องถิ่นและให้สัมภาษณ์อย่างภาคภูมิใจ เช่น ท่านกล่าวว่า

"สวัสดีทุกท่าน ในคืนนี้ ข้าพเจ้าขอประกาศแก่ชาวอเมริกันและชาวโลกว่า สหรัฐอเมริกาได้สิ้นสุดภารกิจปฏิบัติการสังหารโอซามา บิน ลาเด็น ผู้นำกลุ่มก่อการร้ายอัล เคด้า ผู้เป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตของเด็กและประชาชนผู้บริสุทธิ์นับพันคนใน เหตุการณ์ 9/11”

ในขณะปฏิบัติการครั้งนี้ทั้งผู้นำสหรัฐและทีมงานนั่งชมการปฏิบัติการอย่างออกหน้าออกตา

ทำให้นักสิทธิมนุษยชนทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาเองตั้งคำถามต่อสหรัฐผู้นำด้านการตรวจสิทธิมนุษยชนทั่วโลกว่า เป็นการกระทำนอกขอบเขตกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมายใดๆ ตามสมควรหรือไม่ และอาจจะเป็นใบอนุญาตต่อรัฐต่างๆ เอาเยี่ยงอย่างในการจัดการศัตรูทางการเมือง

เพราะการใช้บทลงโทษด้วยการสังหาร เปรียบเสมือนการตัดสินประหารชีวิตก่อนใช้กระบวนการยุติธรรมและเป็นการดำเนินคดีอย่างรวบรัดซึ่งปราศจากหลักประกันความชอบด้วยกฎหมายต่อจำเลยอย่างโจ่งแจ้ง

คำถามที่สองสำหรับมุสลิมที่มีต่อรัฐบาลสหรัฐหลังการโยนศพลงทะเล กล่าวคือ สหรัฐเหยียดหยามศพชาวมุสลิมอย่างโจ่งแจ้งหรือไม่ และละเมิดสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับการจัดการศพหรือไม่อย่างไร อันจะทำให้ปัญหาความไม่สงบและสันติภาพบนโลกใบนี้ยิ่งทวีความรุนแรง ถึงแม้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะโกยคะแนนนิยมจากประชาชนของท่านได้เป็นกอบเป็นกำ

ความเป็นจริงตามหลักศาสนาอิสลามและมติของบรรดาปราชญ์มุสลิมทั้งอดีตและปัจจุบันนั้น การจัดการศพของผู้ใดผู้หนึ่งไม่ว่าเขาจะดีหรือชั่ว จะต้องตั้งบนพื้นฐานการให้เกียรติ และคุ้มครองคุณค่าอันสูงส่งของความเป็นมนุษย์ (ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่ในช่วงแห่งการมีชีวิตอยู่เท่านั้น ในสภาวะไร้วิญญาณเหลือแต่เพียงเรือนร่างเปลือยเปล่าที่อาจดูไม่งามตานัก)

ศาสนาอิสลามก็ยังคงถือว่า เกียรติยศ และความประเสริฐในการเป็นมนุษย์ยังคงมีอย่างสมบูรณ์ กฎเกณฑ์ต่างๆ ในการปฏิบัติต่อผู้ตาย ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำศพ การห่อ การละหมาดขอพร และการฝังศพ จึงได้บัญญัติขึ้นเป็นหน้าที่ (หลักศาสนาอิสลามเรียกว่าฟัรดูกิฟายะฮฺ) ในชุมชนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ในการจัดการศพที่ได้เสียชีวิตตามขั้นตอนที่ได้ระบุไว้ตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม

นอกจากนั้นในการจัดการศพทุกขั้นตอน จะต้องคอยระมัดระวังมิให้กระทบกระเทือนหรือเกิดอันตรายต่อศพ ต้องให้เกียรติต่อศพตามความเหมาะสมภายใต้เจตนารมณ์ของพระเจ้าดังที่พระองค์ ได้ดำรัสความว่า "และเรา (พระเจ้า) ได้ให้พวกเขา (มนุษย์) เลอเลิศเหนือกว่าสรรพสิ่งอันมากมายที่เราได้ดลบันดาลอย่างล้นเหลือ" (อัลกุรอาน : บทอัลอิสรออฺ :ประโยคที่ 70 )

ศาสนฑูตมุฮัมมัดได้ตรัสไว้ความว่า "การหักกระดูกของผู้ตายเปรียบเสมือนการหักกระดูกผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่" (บันทึกโดยอิม่ามดาวุด หมายเลข 3207)

หลักการปฏิบัติต่อศพ อันเป็นข้อบังคับที่ศาสนาอิสลามบัญญัติไว้มี 4 ประการ คือ 1) ต้องอาบน้ำให้ 2) ต้องห่อศพให้ 3) ต้องละหมาดให้ และ 4) ต้องนำศพไปฝังยังสุสาน

สำหรับการฝังนั้นต้องขุดหลุมให้ลึกพอที่จะระงับกลิ่นที่จะมีในภายหลัง และป้องกันสัตว์ร้ายมาคุ้ยเขี่ยศพ โดยปกติจะขุดหลุมลึกประมาณ 2 เมตร กว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร วิธีการฝัง ให้ญาติพี่น้องใกล้ชิดเป็นผู้นำศพลงหลุม โดยวางนอนตะแคงขวา หันหน้าไปทางทิศอันเป็นที่ตั้งของเมืองมักกะฮ

จากหลักการการจัดการศพดังกล่าว ทำให้อย่างน้อยองค์กรนักปราชญ์ศาสนาอิสลามที่ทรงอิทธิพลอย่างอัลอัซฮัรประเทศอียิปต์นำโดย ชัยค์มะหมูด ฮัซซาบ ที่ปรึกษาของ ชัยค์อะหมัด อัตตอยิบผู้นำอัลอัซฮัรออกมาฟัตวาถึงการทำผิดหลักการศาสนาอิสลามและผิดหลักมนุษยชนของสหรัฐอเมริกาในการจัดการศพ เพราะศาสนาอิสลามมองว่า การจัดการศพนั้นเป็น “สิทธิของศพ” และเป็น “หน้าที่ของผู้มีชีวิตอยู่” อีกทั้งเป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องการทำให้ชาวมุสลิมอับอายด้วยการฝังศพบินลาดินในลักษณะดังกล่าว ซึ่งจะยิ่งทำให้กลุ่มติดอาวุธมีแนวร่วมมากขึ้นในการทำสงครามกับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรเพื่อแก้ แค้นให้บิน ลาดิน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

บท บก. ฟ้าเดียวกัน: ประชาธิปไตยที่ “งอกจากดิน” ของเราเอง

Posted: 04 May 2011 09:56 AM PDT

 
 
 
...พื้นเพการงานทั้งปวงไม่เหมือนกัน เหมือนหนึ่งจะไปลอกเอาตำราทำนาปลูกข้าวสาลีเมืองยุโรป มาปลูกข้าวเจ้าข้าวเหนียวในเมืองไทยก็จะไม่ได้ผลอันใด...
พระบรมราชาธิบายว่าด้วยความสามัคคี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (2446)
 
ในบรรดาคำอธิบายอันทรงพลังของชนชั้นนำสยามเมื่อต้องเผชิญกับการท้าทายจากความรู้สึกนึกคิด สำนึก หรือกระแสภูมิปัญญาใหม่ของราษฎร ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมหรือระบบระเบียบทางการเมืองแต่ละยุคแต่ละสมัย ให้เป็นไปในทิศทางที่เอื้อประโยชน์ต่อชนส่วนใหญ่ อาทิเช่น ข้อเรียกร้องเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองให้เป็นประชาธิปไตยของปัญญาชนนอกระบบอย่างเทียนวรรณ พระบรมราชาธิบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวข้างต้น ถือเป็นแม่แบบคำอธิบายที่เหล่าชนชั้นนำนำมาใช้โดยตลอด ซึ่งบริบทขณะนั้น
 
ในทรรศนะของพระองค์ สถาบันทางการเมืองอย่างเช่น โปลิติกัลปาตีก็ดีปาลิเมนต์ก็ดี ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับสังคมสยาม อันมีลักษณะเฉพาะไม่เหมือนใครในโลก
 
นี่เป็นกระบวนท่าของชนชั้นนำสยามในการทำให้ความรู้สึกนึกคิด สำนึก หรือกระแสภูมิปัญญาใหม่ เป็นอื่นหรือ เป็นฝรั่งไม่สามารถบ่มเพาะให้เติบโตเจริญงอกงามได้บนเนื้อนาดินแห่งสยาม
 
อย่างไรก็ดี ชนชั้นนำสยามก็ไม่สามารถทัดทานความเปลี่ยนแปลงได้ การปฏิวัติสยามจึงเกิดขึ้นในที่สุดเมื่อปี พ.ศ. 2475 ท่ามกลางความเสื่อมทรุดและความขัดแย้งภายในของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (ซึ่งพระบาท-สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็คัดสรร นำเข้าระบบการเมืองนี้มาจาก อาณานิคมฝรั่งเพื่อกระชับอำนาจเข้าสู่สถาบันกษัตริย์) ดังความเห็นของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ว่า พระราชวงศ์ตกต่ำ ราษฎรหมดความเชื่อถือ สมบัติเกือบหมดท้องพระคลัง รัฐบาลฉ้อฉล การบริหารราชการยุ่งเหยิง
 
หลังจากนั้น แม้ระบบระเบียบการเมืองไทยจะมิได้หวนคืนกลับไปหาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกต่อไปแล้ว ทว่าการต่อสู้ต่อรองระหว่างฝ่ายนิยมระบอบเก่ากับฝ่ายนิยมระบอบใหม่ก็ยังคงดำเนินต่อไป ทั้งในระบบ/นอกระบบ ตามกฎหมาย/นอกกฎหมาย ใต้ดิน/บนดิน เปิดเผย/แอบแฝง ผ่านรัฐธรรมนูญ รัฐสภา รัฐบาล กฎหมาย การก่อกบฏ รัฐประหาร การสืบราชสมบัติ การลอบสังหาร งานวิชาการ สารคดีการเมือง วรรณกรรม อนุสาวรีย์ หรือแม้กระทั่งพจนานุกรม เป็นต้น
 
หลังการต่อสู้อันยาวนาน ฝ่ายกษัตริย์นิยมก็ได้บรรลุถึงสิ่งที่ตนเองต้องการ คือ การสถาปนา ระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขในทศวรรษ 2490 กระทั่งเติบโตงอกงามกลายเป็น ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา-กษัตริย์ทรงเป็นประมุขในปัจจุบัน
 
อย่างไรก็ดี เมื่อสภาพการณ์และเงื่อนไขทางสังคมได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็ดูจะเกิดแรงตึงเครียดขัดแย้งภายในขั้นวิกฤต จนปรากฏออกมาในรูปของการรัฐประหารเพื่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
 
น่าเสียดายที่ชนชั้นนำและปัญญาชนจำนวนมาก ทำเป็นมองไม่เห็นปัญหาที่ระบอบนี้กำลังกัดกินตัวเอง แต่กลับหันเหต้นตอแห่งวิกฤตไปยัง ผีทักษิณและ/หรือแนวคิดประชาธิปไตยที่พวกเขาแปะป้ายว่ายึดติด ฝรั่งไม่ต่างจากพระบรมราชาธิบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อกว่าศตวรรษก่อน
 
เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ก็สมาทานความคิดทำนองเดียวกันมาผลิตซ้ำ เพื่อตอบโต้กับฝ่ายต่อต้านการรัฐประหาร 19 กันยา ว่า “...เวลาคิดถึงประชาธิปไตย ไม่ควรเทียบกับที่อยู่ในกระดาษ แต่ต้องดูประชาธิปไตยที่ งอกจากดินของเราเองให้มาก... ปัญหาของเราเวลานี้คือโครงสร้างทางสังคมที่เป็นจริง
 
ไม่ได้มีแต่ประชาชน แต่มีอภิชนและสถาบันดังเดิม เพราะฉะนั้นการสร้างประชาธิปไตยต้องสร้างบนพื้นฐานที่เป็นจริงของเรา” (“ต้องดูประชาธิปไตยที่งอกจากดินของเราเองให้มาก,” กรุงเทพธุรกิจ, 9 ธันวาคม 2549)
 
อันที่จริง ในแง่หนึ่ง พระบรมราชาธิบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและแนวคิดของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ดังกล่าว ก็มีส่วนถูกต้อง กล่าวคือ สังคมทุกสังคมหรือประเทศทุกประเทศนั้น ล้วนแต่มี ลักษณะเฉพาะของตน และไม่เหมือนใครในโลกทั้งสิ้น ระบบระเบียบทางการเมืองและความสัมพันธ์ทางสังคมของแต่ละแห่ง ก็ย่อม งอกจากดินของตนทั้งสิ้น แม้ว่าบางครั้งเราจะได้รับเมล็ดพันธุ์แปลกใหม่มาจากภายนอกบ้างก็ตาม แต่มันมักจะถูกเลือกสรร คัดทิ้ง ดัดแปลง (ตามแต่ผลประโยชน์และอุดมการณ์ของผู้นำเข้า) ผ่านกระบวนการทำให้เป็นแบบฉบับของเราเสียก่อนที่จะเจริญงอกงาม
 
ปัญหาคือ เหล่าชนชั้นนำจำนวนมากลืมตระหนักไปว่า สิ่งที่ งอกจากดินของเรานั้น ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงและกระทั่งดับสูญได้ไปตามปัจจัยภายในของ เนื้อดินของตน ซึ่งมีพลวัตตลอดเวลา เช่นกัน
 
ดังนั้น ปมประเด็นปัญหาการเมืองประการสำคัญ ณ ขณะนี้ จึงไม่ใช่อยู่ที่สิ่งแปลกปลอมจากภายนอกอันไม่เหมาะที่จะเจริญงอกงามในเนื้อนาดินของเรา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเรียกว่า ประชาธิปไตยหรือหลักการสากล อาทิ สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน สิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่เป็นการที่ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขกำลังกัดกินตนเองอย่างไม่ลืมหูลืมตา กระทั่งฝ่ายกษัตริย์นิยมกำลังสูญเสียฐานะครอบงำทางอุดมการณ์ต่างจากที่เคยเป็นมาในหลายทศวรรษ
 
เหล่าอภิชนและสถาบันดั้งเดิมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่างหาก ที่ต้องเป็นฝ่ายคิดให้หนักและตอบให้ได้ว่า จะยังคงผลักให้ความขัดแย้งลงรากลึกในเนื้อดินจนไม่เหลือ ที่ว่างให้แก่ตนหรือไม่
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กลุ่ม 24 มิถุนาฯ ย้ำดันต่อล่าชื่อยกเลิก ม.112 -จี้องค์กรสื่อออกโรงป้องคนทำสื่อ

Posted: 04 May 2011 09:43 AM PDT

 
 
 
 
4 พ.ค.54 เวลาประมาณ 14.00 น. กลุ่ม 24 มิถุนา ประชาธิปไตย จัดแถลงข่าวกรณี สมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการนิตยสาร Red Power ถูกจับกุมในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยผู้ร่วมแถลงข่าวประกอบด้วย ทรงชัย วิมลภัตรนนท์ ประธานกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย, สุวิทย์ เลิศไกรเมธี, ประเวศ ประภานุกูล ทนายความ, บริบูรณ์ เกียงวรางกูร และ สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด
 
นายสุวิทย์กล่าวถึงกรณีนายสมยศถูกจับกุมและศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวว่า การไม่ให้ประกันตัวนายสมยศเสมือนศาลได้พิพากษาล่วงหน้าไว้แล้ว ทั้งศาลเองก็ยังไม่รู้ว่าข้อความใน Red Power นั้นหมิ่นหรือไม่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพราะยังไม่มีการพิสูจน์กัน และการที่ดีเอสไอมาจับกุมตัวนายสมยศมื่อวันที่ 2 พฤษภาเป็นการกลั่นแกล้งกันทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัด เพราะนายสมยศถูกหมายจับมาตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ แต่ทางตำรวจก็ไม่ได้ทำอะไร ปล่อยเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันที่ 30 เมษายน จึงค่อยมาจับกุม แล้วอ้างว่าเกรงนายสมยศจะหลบหนีออกนอกประเทศ และยังค้านประกันตัวอ้างว่ายังตรวจสอบพยานหลักฐานต่าง ๆ ไม่เรียบร้อย ตนจึงอยากถามว่าแล้วระหว่างเดือนกุมภาถึงเมษาที่ผ่านมา ตำรวจมัวทำอะไรอยู่ถึงไม่จัดการ
 
อย่างไรก็ตาม นายสมยศควรได้รับการปกป้องในฐานะที่เป็นสื่อมวลชนคนหนึ่งเหมือนกัน องค์กรสื่อต่าง ๆ ควรช่วยกันออกมาปกป้องด้วย เพราะเป็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน
 
ด้านสมบัติ บุญงามอนงค์ กล่าวสอดคล้องกันว่า การจับกุมนายสมยศเป็นเหตุผลทางการเมือง ที่ต้องการ “เจาะยางขบวนการเสื้อแดง” ทั้งที่มีหมายจับมาก่อนหน้าหลายเดือนทำไมไม่จับ ก่อนถูกจับกุมนายสมยศก็เดินทางออกนอกประเทศตลอด จึงเห็นได้ชัดว่าไม่มีเจตนาจะหนี เพราะออกไปตามช่องทางปกติ
 
สมบัติตั้งข้อสังเกตว่า มีหลายคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในบัญชีหมายจับของดีเอสไอ ที่ผ่านมาตนเคยทวงถามกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ให้ดีเอสไอเปิดเผยรายชื่อบุคคลที่ถูกหมายจับ เพราะเป็นสิทธิของประชาชนที่จะรู้ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ
 
“ต่อจากนี้เราต้องไม่หยุดพูดเรื่องคุณสมยศ เพื่อให้มันยังคงเป็นประเด็นในสังคมต่อไป ไม่อย่างนั้นเขาก็จะเก็บงียบ” นายสมบัติกล่าว
 
นายสุวิทย์ เลิศไกรเมธี กล่าวสรุปการแถลงข่าวของกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยในวันนี้ว่า เราจะยังคงทำหนังสือ Red Power ต่อไปแม้จะไม่มีสมยศ และตอนนี้มีนักวิชาการบางส่วนออกมาช่วยทำอีกด้วย สมาชิกกลุ่มที่เหลือเราจะสู้ต่อไป จะสานต่อสิ่งที่นายสมยศทำมา เพื่อไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และถ้าศาลไม่ให้ประกันตัวนายสมยศ เราจะเคลื่อนไหวต่อไป โดยจะช่วงชิงมาเป็นฝ่ายกระทำบ้าง พร้อมชวนประชาชนรวมลงชื่อยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 ในวันชุมนุมใหญ่ครบรอบ 1 ปีสลายการชุมนุม 19 พ.ค. 2554 นี้
 
ก่อนจบการแถลงข่าว นายสุวิทย์ ยังได้อ่านคำแถลงข่าวของสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) เรื่อง ‘ดัชนีชี้วัดเสรีภาพสื่อ : กรณีสมยศ พฤกษาเกษมสุข’ ด้วย โดยสนนท.มีข้อเรียกร้องและยืนยันจุดยืนดังต่อไปนี้
 
1.     เราจะเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎหมายอาญามาตร 112 ต่อไป
2.     เราจะเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวนายสมยศจนกว่าจะได้ผล
3.     กระบวนการยุติธรรมต้องไม่เป็นเครื่องมือรับใช้อุดมการณ์กษัตริย์นิยม และ
4.     สื่อมวลชนทั้งหลาย ต้องร่วมกันออกมาเรียกร้องให้ปล่อยตัวชั่วคราวนายสมยศ ซื่อสัตย์ต่อจรรยาบรรณวิชาชีพ เทิดทูนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเหนือกว่าสิ่งอื่นใด
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

พม่าตั้งหน่วยข่าวกรองชุดใหม่

Posted: 04 May 2011 09:29 AM PDT

มีรายงานว่า นายพลมิ้นอ่องหล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนใหม่ของพม่าได้จัดตั้งหน่วยข่าวกรองชุดใหม่ขึ้น และแต่งตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง มีรายงานด้วยว่า นายพลมิ้นอ่องหล่ายยังได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่อีกกว่า 200 คน จากหลากหลายหน่วยงานในกองทัพให้เข้ามาทำงานในหน่วยข่าวกรองชุดใหม่นี้ด้วย

แหล่งข่าวจากเนปีดอว์รายงานว่า เจ้าหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งมีตั้งแต่ยศร้อยเอกไปจนถึงยศพันเอก มีทั้งเจ้าหน้าที่ทหารจากกองทัพบก กองทัพอากาศและกองทัพเรือ รวมทั้งเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติพม่า สำนักงานสอบสวนคดีพิเศษและกระทรวงกิจการชายแดนเป็นต้น

ทั้งนี้ หน่วยข่าวกรองชุดใหม่ที่จัดตั้งขึ้นจะไม่เหมือนกับหน่วยข่าวกรองภายใต้การนำของพลเอกขิ่นยุ้นต์ เนื่องจากจะไม่แยกกันปฏิบัติงาน แต่จะอยู่ภายใต้การเข้าใจและประสานปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งจะต้องรายงานการปฏิบัติงานให้กับทั้งกองทัพและเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน รวมถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองทราบ

หน่วยข่าวกรองชุดใหม่นี้จะทำหน้าที่สืบสวนและติดตามการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองต่างๆ กลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยหรือแม้กระทั่งกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยที่ทำสัญญาหยุดยิงกับรัฐบาลพม่า รวมถึงทำหน้าที่เฝ้าติดตามเหตุการณ์ความรุนแรงภายในประเทศ หรือแม้แต่เหตุการณ์เคลื่อนไหวที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของประเทศเป็นต้แหล่งข่าวจากเนปีดอว์ยังปิดเผยว่า นายพลอาวุโสตานฉ่วยเป็นผู้ออกคำสั่งโดยตรงให้นายพลมิ้นอ่องหล่ายจัดตั้งหน่วยข่าวกรองชุดใหม่นี้ขึ้น นับตั้งแต่ก่อนที่นายพลตานฉ่วยจะมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดให้กับนายพลมิ้นอ่องหล่ายเสียด้วยซ้ำ  (Irrawaddy 3 พ.ค.54)

 

แปลและเรียบเรียงโดย สาละวินโพสต์ "สื่อทางเลือกเพื่อแบ่งปันความเข้าใจสู่เพื่อนบ้าน"อ่านข่าวและบท ความอื่นๆ อีกมากมายได้ที่เว็บไซต์ www.salweennews.org เฟซบุ๊คhttp://www.facebook.com/Salweenpost ทวิตเตอร์ http://twitter.com/salweenpost


สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สภาฯ ผ่าน พ.ร.บ.สัญชาติ เตรียมสำรวจสิทธิคนไทยพลัดถิ่นต่อ

Posted: 04 May 2011 06:12 AM PDT

คนไทยพลัดถิ่นเฮ สภาฯ ผ่านร่าง พ.ร.บ.สัญชาติ เอกฉันท์ ด้าน กก.สมัชชาปฏิรูป เตรียมสำรวจสิทธิคนไทยพลัดถิ่น เผยเพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ 

 
ภาพ: การเดินเท้าเคลื่อนไหวผลักดันการคืนสัญชาติของกลุ่มคนไทยพลัดถิ่น (ที่มา: ไทย พลัดถิ่น)
 
วันนี้ (4 พ.ค.54) ที่รัฐสภา ภายหลัง ร่าง พ.ร.บ.สัญชาติผ่านสภาผู้แทนราษฎร ตัวแทนเครือข่ายแก้ปัญหาการคืนสัญชาติคนไทยและคนไทยพลัดถิ่นกว่า 30 คน ได้เข้าพบขอบคุณนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วม สภาผู้แทนราษฎร จากนั้น นายไกรศักดิ์ และนายภควินท์ แสงคง กรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ พร้อมด้วยตัวแทนคนไทยพลัดถิ่น ได้แถลงข่าวขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มีมติผ่านร่าง พ.ร.บ.สัญชาติ ในวาระที่ 2 และ 3
 
นายไกรศักดิ์ กล่าวว่า การผ่าน พ.ร.บ.ฉบับนี้ที่ทำให้คนไทยพลัดถิ่นที่ต่อสู้มาอย่างยาวนาน ที่มีเชื้อชาติไทยได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิด ซึ่งได้มีการบรรพบุรุษหลายชั่วคน ซึ่งที่ผ่านมาคนเหล่านี้มีปัญหาในเรื่องการปักปันเขตแดน จนทำให้ไม่สามารถได้รับสัญชาติไทย กรณีนี้ถือเป็นกรณีเดียวที่ได้รับการแก้ไขปัญหาโดยสภา ซึ่งยังมีปัญหาเรื่องชาวมอร์แกน ชาวเขาเผ่าต่างๆ ในภาคเหนือ ซึ่งจะต้องมีการแก้ไขปัญหาต่อไป ซึ่งตนรู้สึกภูมิใจมากที่ ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ร่วมมือกันไม่มีความแตกแยก ตรงนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ในการทำงานร่วมกันซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร
 
ด้านนางเตือนใจ ดีเทศน์ อดีตส.ว.เชียงราย ที่มีส่วนสำคัญในการช่วยผลักดันจนร่างพ.ร.บ.สัญชาติ สามารถผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ในวาระที่ 3 โดยนางเตือนใจ กล่าวว่าขอขอบคุณ ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ที่ร่วมกันผ่านร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ซึ่งถือเป็นชัยชนะขั้นแรกของคนไทยพลัดถิ่น จากนี้ไปก็จะรอการพิจารณาของวุฒิสภา อย่างไรก็ตามในระหว่างนี้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ชุดของนพ.ประเวศ วะสี ก็จะลงพื้นที่ จ.ตาก ตราด ระนอง ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อทำการสำรวจทะเบียนราษฎรฉบับประชาชน และขอเรียกร้องให้ชาวบ้านในพื้นที่ช่วยเช้าตรวจสอบ เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์
 
ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.​สัญชาติ (ฉบับ​ที่ 5) ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ ในวาระที่ 3 ด้วยเสียง 257 ต่อ 0 เสียง โดยสาระสำคัญ คือ การกำหนดนิยามคำว่า "คนไทยพลัดถิ่น" เพื่อแสดงลักษณะของผู้ที่จะได้รับรองเป็นคนไทยพลัดถิ่นคือ มีเชื้อสายไทยที่ต้องกลายเป็นคนในบังคับของประเทศอื่น อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของราชอาณาจักรไทยในอดีต ซึ่งปัจจุบันผู้นั้นมิได้ถือสัญชาติของประเทศอื่นและได้อพยพเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นระยะเวลาหนึ่ง และมีวิถีชีวิตเป็นคนไทย โดยได้รับการสำรวจจัดทำทะเบียนตามกฎหมาย รวมทั้งผู้มีลักษณะอื่นทำนองเดียวกันตามที่กำหนดในกฎกระทรวงว่าด้วยทะเบียนราษฎร
 
โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 7 คน มีอำนาจหน้าที่พิจารณาให้การรับรองการเป็นคนไทยพลัดถิ่น ให้ได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิดและกำหนดให้บุตรของคนไทยพลัดถิ่นดังกล่าวที่ไม่ได้ถือสัญชาติของประเทศอื่นหรือไม่มีสัญชาติไทยแล้ว ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดด้วยซึ่งเป็นไปตามหลักสืบสายโลหิตและหลักที่ห้ามถือสองสัญชาติ โดยมีรมว.มหาดไทยเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายฉบับนี้
 

เรียบเรียงจาก: ISNhotnews, ASTVผู้จัดการออนไลน์

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“ฟุกุชิมาฮีโร่” ใครจะรู้ว่าพวกเขาคือคนงานที่ขาดความมั่นคง - คนทำงาน เม.ย. 54

Posted: 04 May 2011 04:38 AM PDT


Published under a Creative Commons License By attribution, non-commercial

ชำนาญ จันทร์เรือง: มองจีน มองไทย

Posted: 04 May 2011 03:36 AM PDT

จากการก่อตั้งเครือข่ายบ้านชุ่มเมืองเย็นที่เชียงใหม่เมื่อต้นปี 2553 เพื่อขับเคลื่อนในการนำสันติสุข ให้กลับคืนมาสู่สังคม โดยหนึ่งในยุทธศาสตร์ของการขับเคลื่อนนั้น ได้แก่การรณรงค์ให้มีการยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาคร่วมกับโครงการจังหวัดจัดการตนเอง จนเป็นข้อเสนอที่สำคัญส่วนหนึ่งที่เสนอต่อคณะกรรมการปฏิรูป(คปร.) ซึ่งมีคุณอานันท์ ปันยารชุน ได้ประกาศเป็นข้อเสนอของ คปร.จนทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคมอย่างมหาศาล เพราะนำมาซึ่งการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ทั้งที่เห็นด้วยและต่อต้าน แน่นอนว่าผมคือหนึ่งในผู้ที่เห็นด้วยและได้เขียนบทความสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ เมื่อเชียงใหม่จะจัดการตนเอง /ยกเลิกราชการบริหารส่วยภูมิภาค/มองญี่ปุ่น มองไทย ฯลฯ แม้กระทั่งการยกร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการเชียงใหม่มหานครฯ ขึ้นมาเพื่อเตรียมเสนอต่อสภาในปี 2555

หนึ่งในเหตุผลที่ยกขึ้นมาสนับสนุนนอกจากกล่าวถึงผลดีผลเสียของการรวมศูนย์อำนาจนั้นก็คือการนำบทเรียนจากต่างประเทศมาเปรียบเทียบ อาทิ ฝรั่งเศส อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และล่าสุดคือญี่ปุ่น ในตอนนี้ผมจะนำตัวอย่างของจีนที่หลายๆ คนคงเข้าใจว่าน่าจะล้าหลังกว่าไทยในเรื่องของการกระจายอำนาจเพราะเป็นประเทศสังคมนิยม แต่แท้ที่จริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

อุดร ตันติสุนทร ได้เขียนบทความไว้เกี่ยวกับการกระจายอำนาจของจีนไว้หลายชิ้น สรุปความได้ว่า แต่ก่อนนี้จีนปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางที่เดียว เศรษฐกิจเริ่มตกต่ำเพราะรัฐบาลกลางเป็นผู้วางแผนแต่ผู้เดียว ต่อมา เติ้ง เสี่ยว ผิง ขึ้นมาเป็นใหญ่ ได้ประกาศนโยบายสำคัญว่าไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ จับหนูเก่งเป็นใช้ได้ ซึ่งมีความหมายว่าระบบเศรษฐกิจนั้น ไม่ว่าจะเป็นสังคมนิยมหรือทุนนิยม วิธีใดที่จะทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขได้ เป็นใช้ได้ทั้งนั้น จากนั้นมาจีนเริ่มกระจายอำนาจ การปกครองไปให้ผู้ว่ามณฑล นายกเทศมนตรี ให้เขาเหล่านั้นพัฒนามณฑลของตน เทศบาลของตนอย่างเต็มที่

จีนมีการปกครองแบบกระจายอำนาจจากส่วนกลาง (Decentralization) รัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละมณฑล จึงมีอำนาจทางการบริหารค่อนข้างมาก เช่น รัฐบาลกลางให้อำนาจแก่รัฐบาลท้องถิ่นในการอนุมัติโครงการการลงทุนขนาดใหญ่จากนักลงทุนต่างชาติได้มากขึ้น ในขณะนี้รัฐบาลระดับมณฑลมีสิทธิอนุมัติโครงการลงทุนจากต่างชาติที่มีมูลค่าไม่เกิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐได้ (จากเดิมที่มีสิทธิอนุมัติเฉพาะโครงการที่มีมูลค่าไม่เกิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ) เป็นต้น เพื่อเป็นการสร้างความคล่องตัวและลดขั้นตอน ทำให้รัฐบาลระดับมณฑลเกิดความคิดริเริ่มในเชิงนโยบาย และคิดค้นมาตรการส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ตลอดจนแข่งขันกันในการดึงดูดทุนจากต่างชาติ

นอกเหนือจากกฎระเบียบในระดับประเทศโดยมีรัฐบาลกลางเป็นผู้กำกับดูแลแล้ว รัฐบาลแต่ละมณฑลของจีนยังมีอำนาจในการออกกฎหรือระเบียบบังคับใช้ในระดับท้องถิ่น และนับตั้งแต่มีการปฏิรูป

การจัดเก็บภาษีในปี 2537 ได้มีการแยกระบบการจัดเก็บภาษีระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นออกจากกัน พร้อมทั้งวางกรอบการทำงานของระบบการคลังในแต่ละระดับ ทำให้ระบบการเงินของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นจะแยกออกจากกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินงบประมาณ เพื่อความเป็นอิสระและสร้างแรงจูงใจ ให้กับรัฐบาลมณฑลในการหารายได้เข้ามณฑลของตนเอง

จากการวิเคราะห์ของธนาคารโลกพบว่างบประมาณของจีนมีสัดส่วน 31:69 คือ รัฐบาลกลางใช้งบ 31% ส่วนรัฐบาลท้องถิ่นใช้ 69% (คิดเป็นตัวเลขกลมๆ ก็ 30:70 ซึ่งกลับกันจากของไทยเราเป็นอันมากที่รัฐบาลกลางใช้ประมาณ 80% ส่วนท้องถิ่นประมาณ 20% เท่านั้น)

มาถึงบัดนี้จีนได้พัฒนาแบบก้าวกระโดด ประชาชนระดับรากหญ้าที่อยู่ในชนบท ทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน มีความเป็นอยู่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก ราษฎรมีรายได้สูงขึ้นโดยถ้วนหน้า มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ความเจริญรุดหน้าอย่างมากทั่วประเทศนี้ส่งผลให้เศรษฐกิจของจีนจากระดับล่างขึ้นมาเป็นที่สองของโลกแซงญี่ปุ่นไปแล้ว ซึ่งก็คือผลของการกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่นนั่นเอง

แต่เมื่อหันกลับมามองไทยที่ยังมีการรวมศูนย์อำนาจไว้อย่างเข้มข้น ทั้งที่ประเทศที่เราไปลอกเลียนแบบเขามาอย่างฝรั่งเศสนั้นจังหวัดก็กลายเป็นท้องถิ่นแล้ว หรือแม้แต่อังกฤษซึ่งเป็นต้นแบบของการปกครองในระบอบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเช่นเดียวกับไทยก็ไม่เคยมีราชการส่วนภูมิภาคแต่อย่างใด ที่สำคัญเกาหลีใต้ที่ในอดีตเคยเป็นเผด็จการยิ่งกว่าไทยหลายเท่า มีการสังหารประชาชนที่เมืองกวางจูจนผู้คนล้มตายไปเป็นพันๆ คน แต่ในที่สุดประธานาธิบดีและทหารที่ฆ่าประชาชนก็ถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งเกาหลีก็ยังสามารถปรับตัวได้เร็วกว่าเราโดยการออกกฎหมายปกครองท้องถิ่นที่ไม่มีราชการส่วนภูมิภาค มีแต่ส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นเท่านั้นตั้งแต่ปี 2538 และจะเห็นได้ว่าตอนนี้เกาหลีใต้รุดหน้าไปไกลกว่าเราหลายช่วงตัวแล้ว

การผลักดันในเรื่องของการกระจายอำนาจโดยการยกเลิกราชการบริหารราชส่วนภูมิภาคในประเทศไทยเรานั้น เริ่มได้การตอบรับมากขึ้นเป็นลำดับ แต่ที่ยังหลงยุคอยู่ก็คือบรรดานักการเมืองทั้งหลายที่กลัวสูญเสียอำนาจของตนเองทั้งๆ ที่หากไม่มีราชการส่วนภูมิภาคแล้วบทบาทและอำนาจของนักการเมืองนั่นเองจะเพิ่มขึ้นจากเดิมเพราะไม่ต้องไปผ่านราชการส่วนภูมิภาคอีก การเมืองก็จะมีการเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบทั้งประเทศ

แต่ที่แน่ๆ ก็คือการคัดค้านจากข้าราชการที่กลัวการสูญเสียอำนาจด้วยเหตุผลแบบเดิมๆ ดังเช่นเมื่อหลายวันก่อนก็มีการประชุมสมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทยแล้วมีการแถลงท่าทีของสมาคมคัดค้านด้วยเหตุผลที่พอสรุปได้ว่าขัดรัฐธรรมนูญเพราะจะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงจากรัฐเดี่ยวเป็นสหพันธรัฐบ้าง/กระทบต่อความมั่นคงบ้าง/ขาดการตรวจสอบถ่วงดุลนักการเมืองท้องถิ่นบ้างและการแสวงหาผลประโยชน์ของนักการเมืองท้องถิ่นบ้าง
ซึ่งเหตุผลต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นมายาคติ ด้วยในเหตุผลที่ว่าขัดรัฐธรรมนูญเพราะจะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงจากรัฐเดี่ยวเป็นสหพันธรัฐนั้น ขอแย้งว่าไม่จริง เพราะการปกครองท้องถิ่นไม่ใช่การทำให้เป็นรัฐอิสระ รูปแบบการปกครองยังขึ้นตรงกับส่วนกลางแต่ท้องถิ่นมีอำนาจในการจัดการตนเองมากขึ้น ดังตัวอย่างของญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฯลฯ ที่ยังคงเป็นรัฐเดี่ยว และที่สำคัญในรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นปี 40 หรือ 50 ไม่มีคำว่าการบริหารราชการส่วนภูมิภาคเลยสักฉบับ มีแต่คำว่าการปกครองท้องถิ่นในมาตรา 281-284 ที่เน้นถึงการยกระดับการปกครองท้องถิ่นเสียด้วยซ้ำ ฉะนั้น ข้ออ้างที่ว่าขัดรัฐธรรมนูญจึงฟังไม่ขึ้น

ในส่วนของข้ออ้างที่ว่าจะกระทบต่อความมั่นคงนั้นอยากถามกลับว่ากระทบกับความมั่นคงของใครกันแน่ ถ้าบอกว่ากระทบต่อความมั่นคงของรัฐนั้นบอกได้เลยว่าไม่จริง มีแต่จะมั่นคงยิ่งขึ้นเพราะยิ่งรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางยิ่งทำรัฐประหารได้ง่าย เพียงแค่เข็นรถถังเก่าๆ ออกมาไม่กี่คันก็ยึดอำนาจได้แล้ว แต่หากมีกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่นทั่วประเทศแล้วการรัฐประหารย่อมทำไม่ได้อย่างง่ายๆ เช่นในอดีตอย่างแน่นอน และหากจะกระทบกับความมั่นคงก็คงเป็นการกระทบต่อข้าราชการที่หวังยศหวังตำแหน่งที่ต้องการออกไปนั่งเมืองหรือกินเมืองเท่านั้นเอง

ในเรื่องของการตรวจสอบถ่วงดุลนั้น สตง.หรือสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินก็ยังคงมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้เงินเช่นเดิม ในส่วนของการใช้อำนาจนั้นประชาชนยิ่งสามารถตรวจสอบได้ง่ายกว่าเดิมเพราะใกล้ชิดกับผู้ปกครองท้องถิ่นมากกว่าใกล้กับข้าราชการส่วนภูมิภาค เพราะประชาชนสามารถดุด่าว่ากล่าวหรือเข้าพบผู้บริหารท้องถิ่นง่ายกว่าข้าราชส่วนภูมิภาคหลายเท่าตัวที่ไม่สามารถดุด่าว่ากล่าวหรือเข้าพบก็แสนยากเข็ญ มิหนำซ้ำบางคนมาอยู่แป๊บๆ แล้วก็ไป ยิ่งในเมืองใหญ่ๆ ที่เป็นเมืองท่องเที่ยว ข้าราชการไม่ต้องทำอะไร ทำแต่ “รับแขก แดกเหล้า เฝ้าสนามบิน กินข้าวกับนาย” เท่านั้น ไม่มีเวลาไปคิดนโยบายบริหารบ้านเมืองหรอกครับ

สุดท้ายในเรื่องของการแสวงหาประโยชน์ของนักการเมืองนั้น ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีราชการส่วนภูมิภาคการแสวงหาประโยชน์ของนักการเมืองทั่วโลกไม่ว่าเป็นประเทศไหนๆ ก็ล้วนแล้วหนีไม่พ้น แต่หากมีเฉพาะส่วนท้องถิ่นแล้วแน่นอนว่าการแสวงหาประโยชน์จากข้าราชการส่วนภูมิภาคก็ย่อมหมดไป การแสวงหาประโยชน์ของนักการเมืองในส่วนท้องถิ่นทำได้ไม่ง่ายเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบันอย่างแน่นอนเพราะประชาชนจับตาดูอยู่ ซึ่งแตกต่างจากในปัจจุบันที่ประชาชนไม่สามารถตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันของข้าราชการส่วนภูมิภาคได้เลย อย่างมากก็แค่ร้องเรียนแล้วก็ช่วยๆกันไป หนักหน่อยก็ย้ายไปที่อื่นเสีย ซึ่งหากเป็นไปตามข้อเสนอของเครือข่ายบ้านชุ่มเมืองเย็นและ คปร.แล้วย่อมไม่สามารถใช้วิธีเกี้ยเซี้ยได้อีกต่อไป

โลกเราวิวัฒนาการไปไกลแล้ว การขัดขืนกระแสโลกาภิวัตน์รังแต่จะไม่เป็นผลดีต่อใครเลย ผู้ที่ขัดขืนกระแสโลกาภิวัตน์และมองเห็นว่าประชาชนต้องอยู่ภายใต้อาณัติของผู้ปกครองในฐานะคุณพ่อหรือแม่รู้ดีแต่ถ่ายเดียว ผู้นั้นย่อมถูกกระแสโลกาภิวัตน์กวาดตกเวทีไปอย่างแน่นอน

 

------------------------
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2554

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คนงาน "ฟูรูกาวา" ยื่นหนังสือสถานทูตญี่ปุ่น ขอช่วยเจรจากลับเข้าทำงาน

Posted: 04 May 2011 03:04 AM PDT

คนงานจากสหภาพฟูรูกาวา เม็ททัล (ไทยแลนด์) ร่วมกับกลุ่มผู้ใช้แรงงานสระบุรีและใกล้เคียง เดินทางมายังสถานทูตญี่ปุ่น กรุงเทพฯ เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ขอความช่วยเหลือให้พวกเขาได้กลับเข้าทำงานตามปกติ หลังถูกนายจ้างไม่ให้เข้างานและแจ้งความหมิ่นประมาท 

 

(4 พ.ค.54) เวลา 11.00น. คนงานจากสหภาพฟูรูกาวา เม็ททัล (ไทยแลนด์) ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทฟูรูกาวา เม็ททัล (ไทยแลนด์)จำกัด (มหาชน) ร่วมกับกลุ่มผู้ใช้แรงงานสระบุรีและใกล้เคียง เดินทางด้วยรถบัสจาก จ.สระบุรี มายังสถานทูตญี่ปุ่น กรุงเทพฯ เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ขอความช่วยเหลือให้พวกเขาได้กลับเข้าทำงานตามปกติ

เนื้อหาหนังสือขอความเป็นธรรม ระบุว่า กรณีบริษัทฟูรูกาวา เม็ททัล (ไทยแลนด์) จำกัด ได้มอบหมายให้ทนายความดำเนินการแจ้งความดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรแก่งค่อย ในข้อหาความผิดฐาน ร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ต่อคณะกรรมการสหภาพแรงงานฯ 11 คน และสมาชิกสหภาพแรงงาน 4 คน รวม 15 คน และมีคำสั่งฉบับลงวันที่ 21 เมษายน 2554 ให้คณะกรรมการสหภาพแรงงานฯ และสมาชิก 15 คน ไม่ให้เข้าบริเวณโรงงาน

สหภาพแรงงานฯและสมาชิกไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการกระทำของนายจ้างที่มีคำสั่งไม่ให้เข้าไปทำงาน และดำเนินคดีข้อหาฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา สืบเนื่องจากกรณีที่ทางสหภาพแรงงานได้มีการประชุมร่วมกันตรวจสอบการที่นายจ้างได้นำกล้องวงจรปิดหรือกล้อง CCTV มาติด ซึ่งทางสหภาพแรงงานเองได้ดำเนินการคัดค้านการกระทำของนายจ้าง เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของลูกจ้างในขณะปฏิบัติหน้าที่ให้นายจ้าง โดยให้เหตุผลว่า การติดกล้องวงจรปิดเป็นการจับผิดลูกจ้าง จำกัดสิทธิ และเสรีภาพขณะปฏิบัติหน้าที่ เพื่อการลงโทษ

สหภาพแรงงานได้มีการได้มีการประชุมและมีมติร่วมกันให้มีการเข้าร่วมชุมนุมโดยสงบ เพื่อทำการชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนายจ้างในการที่นำกล้องวงจรปิดมาติดตั้งภายในบริเวณโรงงาน ซึ่งวันที่ 18 มีนาคม 2554 มีการปราศรัย เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงถึงเหตุผลที่ทางสหภาพแรงงานคัดค้านให้กับลูกจ้างและสมาชิก เป็นการแสดงความคิดเห็น และใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญเพื่อคุ้มครองสิทธิลูกจ้างขณะปฏิบัติหน้าที่ให้กับนายจ้าง ซึ่งทางสหภาพแรงงานไม่ได้มีเจตนาร้าย หรือหมิ่นประมาทต่อนายจ้างให้ได้รับความเสียหาย การที่นายจ้างประพฤติปฏิบัติต่อคณะกรรมการสหภาพแรงงานฯและสมาชิกจึงไม่เป็นธรรม

ทั้งนี้สหภาพแรงงานฯจึงขอยื่นหนังสือเพื่อขอความเป็นธรรมต่อสถานทูตญี่ปุ่นให้ช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานให้ได้กลับเข้าทำงานตามปกติ เพื่อพัฒนาความเจริญทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งแรงงานสัมพันธ์ที่ดีในสถานประกอบการของญี่ปุ่นและลูกจ้างคนไทยก่อเกิดความสงบสุขร่วมกัน

นายสายัณห์ อะวิสุ ประธานสหภาพฯ ได้ยื่นหนังสือต่อนายยูกิฮิโกะ คาเนโกะ เลขานุการเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น และบอกเล่าปัญหาผ่านล่าม โดยร้องขอให้ช่วยประสานกับทางบริษัท พร้อมยืนยันว่าคนงานอยากกลับเข้าทำงาน หากบริษัทต้องการให้ขอโทษหรือมีกระบวนการไกล่เกลี่ยก็ยินดี อยากให้เคลียร์กับสหภาพฯโดยตรง โดยไม่มีบริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมาย

ด้านนางสาวธนพร วิจันทร์ เลขาธิการกลุ่มผู้ใช้แรงงานสระบุรีและใกล้เคียง บอกกับเลขาฯทูตญี่ปุ่นว่า ที่หนักใจคือ ช่วงหลังบริษัทได้จ้างบริษัทที่ปรึกษา ซึ่งมีการใช้กฎหมายเข้ามาดำเนินการกับคนงาน ทั้งที่น่าจะพูดคุยไกล่เกลี่ยกันได้ ทั้งนี้ คนงานได้ขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานรัฐในพื้นที่แล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จจึงเดินทางมาที่นี่ นอกจากนี้มีกระแสข่าวด้วยว่าบริษัทอาจจะขออำนาจศาลเพื่อเลิกจ้างคนงาน 15 คน หากเกิดขึ้นจะเป็นการสุมปัญหาขึ้นไปอีก

นายยูกิฮิโกะ คาเนโกะ เลขาเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น กล่าวว่า เพิ่งทราบข่าวเมื่อวานที่มีการติดต่อมา หลังจากนี้จะติดต่อกับผู้บริหารเพื่อพูดคุยต่อไป ทั้งนี้ เขากล่าวเพิ่มเติมว่าสถานทูตญี่ปุ่นไม่สามารถออกคำสั่งต่อบริษัทเอกชนได้ อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ก็อยากจะแก้ปัญหานี้โดยเร็วและจะพยายามอย่างเต็มที่

ด้านนางสาววาสนา ลำดี ผู้ดูแลเว็บไซต์ voicelabour.org และผู้ประสานงานนักสื่อสารแรงงาน แสดงความเห็นกรณีที่มีการฟ้องหมิ่นประมาทกับคนงานว่า อาจเป็นเพราะต้องการเบรกให้คนงานไม่พูดเรื่องในโรงงานออกไป รวมถึงอาจต้องการล้มสหภาพแรงงานด้วย

นางสาววาสนา กล่าวว่า นี่เป็นครั้งแรกที่คนงานถูกฟ้อง อาจเป็นความหวั่นใจของนายจ้างที่ทุกวันนี้นักข่าวไม่ได้อยู่ในสำนักพิมพ์ กระทรวงแรงงานหรือทำเนียบฯอีกแล้ว แต่อยู่ในโรงงานเลย

ในส่วนเนื้อหาที่ถูกดำเนินคดีนั้น เธอมองว่า เป็นข้อเท็จจริง ไม่ได้มีความพยายามทำลายสหภาพฯ ขณะที่ภาพประกอบซึ่งเป็นภาพป้ายข้อความรณรงค์ของคนงาน ก็เป็นเรื่องปกติของขบวนการแรงงานในการสื่อสารอยู่แล้ว พร้อมตั้งคำถามด้วยว่า หากภาพเหล่านี้ปรากฎในสื่อกระแสหลักจะมีการฟ้องร้องหรือไม่

จากนั้น กลุ่มผู้ใช้แรงงานสระบุรีและใกล้เคียง และสหภาพแรงงานฟูรูกาวาฯ ได้เดินทางไปยังกระทรวงแรงงาน เพื่อให้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาระหว่างนายจ้างกับสหภาพแรงงาน ที่นายจ้างมีการฟ้องร้องในกรณีดังกล่าว โดยเบื้องต้น สำนักแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้รับปากจะดำเนินการเพื่อให้ได้ข้อยุติต่อไป

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

“สุเทพ” ไล่ “ฮิวแมนไรต์ วอตช์” กลับไปสอบคดีฆ่าจอห์น เอฟ เคนเนดี้

Posted: 04 May 2011 02:58 AM PDT

รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงไม่พอใจหลัง “ฮิวแมนไรต์ วอตซ์” เปิดตัวรายงานกล่าวหาทหารฆ่าเสื้อแดง ชี้ตอนเกิดเรื่องฆ่าตัดตอนองค์กรนี้ไม่รู้อยู่ที่ไหน ก่อนไล่ให้กลับไปทำคดีลอบสังหารเคนเนดี้ ลั่นไทยมีคณะกรรมการค้นหาข้อเท็จจริงชุด “คณิต ณ นคร” ที่มีความเป็นกลางแล้ว ทำไมต้องไปฟังฝรั่งมังค่าที่มากล่าวหาประเทศไทย

ตามที่เมื่อวานนี้ (3 พ.ค. 54) ที่นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการองค์กรฮิวแมนไรต์ วอตช์ (Human Rights Watch) ได้แถลงข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ย่านชิดลม เพื่อเปิดตัวรายงาน “Descent into Chaos: Thailand’s 2010 Red Shirts Protest and the Government Crackdown” เกี่ยวกับกรณีการสลายการชุมนุมทางการเมืองในเดือนเมษายน-พฤษภาคมปีที่แล้ว โดยตอนหนึ่งระบุว่าการตาย 91 ศพ ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นการกระทำของฝ่ายทหารโดยการใช้อาวุธ (อ่านข่าวย้อนหลัง ที่นี่ | อ่านรายงาน ที่นี่)

ล่าสุดเช้าวันนี้ (4 พ.ค. 54) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้ตอบโต้นายแบรด อดัมส์ ว่าเห็นข่าวแล้วมีความเสียใจว่าองค์กรนี้ควรจะเป็นกลางและปฏิบัติให้ถูกต้อง ไม่เอนเอียง แต่ว่าก่อนที่จะพูดอะไรออกไปให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรหรือภาพลักษณ์ของประเทศโดยส่วนรวม ควรจะต้องตรวจสอบข้อมูลให้ดีเสียก่อน น่าเสียดายตอนที่มีคดีอุ้มฆ่า ร่วม 3,000 ศพ องค์กรนี้ไม่รู้อยู่ที่ไหนไม่เคยได้ยินเสียง

ผมคิดว่าองค์กรพวกนี้ต้องไปดูที่ประเทศของตนเอง ตอนประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี้ ถูกยิงตาย จนขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน หากประเทศไทยเกิดมีความยากลำบากในการทำหน้าที่ แล้วทำไมจะต้องลงโทษกัน ก็ยังทำหน้าที่ในการค้นหาข้อเท็จจริงกันอยู่ คณะกรรมการที่ค้นหาข้อเท็จจริงที่เป็นกลางเขาก็ทำหน้าที่ เช่น คณะของอาจารย์คณิต ณ นคร เป็นต้น ทำไมเราไม่ฟังคนอย่างอาจารย์คณิต ณ นคร หละ ทำไมเราต้องไปฟังฝรั่งมังค่าที่มากล่าวหาประเทศไทยล่ะครับ” นายสุเทพ กล่าว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ฮิวแมนไรท์วอท์ชเปิดรายงานกรณีสลายชุมนุมเสื้อแดง ชี้การกระทำของ รบ. เสมือนการสังหารที่เลือดเย็น

Posted: 04 May 2011 01:29 AM PDT

ฮิวแมนไรท์วอท์ชเปิดตัวรายงานกรณีสลายการชุมนุมเสื้อแดง ชี้การกระทำของรัฐบาลเสมือนการสังหารที่เลือดเย็น

วันที่ 3 พฤษภาคม 2554 ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ฮิวแมนไรท์วอท์ช องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนสากลได้แถลงเปิดตัวรายงาน “Descent into Chaos: Thailand’s 2010 Red Shirts Protest and the Government Crackdown” เกี่ยวกับกรณีการสลายการชุมนุมทางการเมืองในเดือนเมษายน-พฤษภาคมปีที่แล้ว ฮิวแมนไรท์วอท์ช กล่าวว่า จากความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีการดำเนินการกระทำความผิดใดๆ แก่เจ้าหน้าที่รัฐ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องจัดให้มีการสืบสวนและสอบสวนอย่างโปร่งใส และให้จัดให้มีการดำเนินคดีแก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจากอาชญากรรมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะจากทั้งฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายผู้ชุมนุมก็ตาม

จากการเก็บข้อมูลของฮิวแมนไรท์วอท์ชพบว่า มีหลักฐานจริงที่ยืนยันว่าทหารได้ใช้สไนเปอร์ในการจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยรัฐบาลได้ปฏิเสธมาตลอดว่าไม่มีการใช้สไนเปอร์ แต่ในความเป็นจริง จากการลงเก็บข้อมูลบนรางรถไฟฟ้า การสัมภาษณ์พยานหลักฐานในวัดปทุมวนารามและบุคคลที่เกี่ยวข้อง เป็นที่ชัดเจนว่าทหารใช้สไนเปอร์ยิงลงมาจากรางรถไฟฟ้าบีทีเอสลงมาในวัดปทุม และถึงแม้ว่ารัฐบาลจะกล่าวหาว่าผู้ชุมนุมใช้อาวุธยิงออกมาจากวัดปทุม แต่จากการตรวจสอบพบว่า ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่สามารถบ่งชี้ได้ว่าเป็นเช่นนั้น

นอกจากนี้ การที่รัฐบาลประกาศใช้เขตกระสุนจริง (Live Firing Zone) ยังถือเป็นการละเมิดมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากลอย่างร้ายแรง และไม่ว่าจะมีข้ออ้างหรือเงื่อนไขใด รัฐบาลก็ไม่สามารถประกาศ Live Firing Zone ได้

“เรามองว่าการกระทำของรัฐบาลเป็นการสังหารประชาชนที่เลือดเย็นมาก” นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียของฮิวแมนไรท์วอท์ชกล่าว “ถึงแม้ว่าทหารจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เมื่อใดที่ทหารส่องสไนเปอร์ไปยังผู้ชุมนุมมือเปล่าแล้วยังลั่นไกฆ่า นั่นถือว่าเป็นการจงใจฆาตกรรม”

นอกจากนี้ ฮิวแมนไรท์วอท์ชมองว่าฝ่าย นปช.เองก็มีส่วนก่อให้เกิดความรุนแรงเช่นกัน เช่น ในกรณีของชายชุดดำที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของพลเอกร่มเกล้า มีหลักฐานว่ามีความเกี่ยวข้องกับแกนนำนปช. และการที่ผู้ชุมนุมใช้อาวุธระเบิดทำมือ จรวด และการเผายางต่อสู้กับทหารในช่วงวันที่ 14-19 พฤษภาคม รวมถึงการเข้าค้นโรงพยาบาลจุฬา ก็นับว่าเป็นความรุนแรงที่เกิดจากฝ่ายผู้ชุมนุมทั้งสิ้น นอกจากนี้ ในระหว่างการแถลงข่าว แบรด อดัมส์ ยังได้เปิดคลิปวีดีโอการปราศรัยของอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และจตุพร พรหมพันธ์ ที่สื่อว่ามีเจตนายั่วยุผู้ชุมนุมให้ก่อความวุ่นวาย ทำลายข้าวของและการเผา

ในรายงานยังระบุถึงการที่รัฐบาลได้ละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกในช่วงการชุมนุมเดือนเมษา-พฤษภาปีที่แล้ว ด้วยการปิดเว็บไซต์กว่า 1,000 เว็บ โทรทัศน์ดาวเทียม สิ่งพิมพ์ และวิทยุชุมชนอีก40 กว่าแห่ง นอกจากนี้ ภายหลังเหตุการณ์การสลายการชุมนุม รัฐบาลยังคงใช้มาตรการจัดการผู้ที่คิดเห็นต่างอย่างต่อเนื่องด้วยการใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในประเด็นดังกล่าว แบรด อดัมส์กล่าวว่าเขาเสนอให้รัฐบาลทำการปฏิรูปกฎหมายดังกล่าวโดยเปลี่ยนให้ผู้กล่าวโทษเป็นผู้ที่เกี่ยวข้อง (private actor) มิใช่เปิดให้บุคคลใดก็ได้สามารถกล่าวโทษด้วยกฎหมายดังกล่าว ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้กำจัดผู้ที่เห็นต่างทางการเมืองมากกว่า

ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียฮิวแมนไรท์วอท์ชกล่าวด้วยว่า คณะกรรมการสมานฉันท์ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อวิเคราะห์สาเหตุการประท้วง ทำงานล่าช้าเกินไป ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งรับหน้าที่สอบสวนเหตุประท้วง ก็เหมือนถูกครอบงำโดยรัฐบาลและดูเหมือนว่า การสอบสวนของดีเอเอสไอคงไม่นำไปสู่การเปิดเผยความจริงใหม่ๆ ได้

รายงาน “Descent into Chaos: Thailand’s 2010 Red Shirts Protest and the Government Crackdown” ของฮิวแมนไรท์วอท์ช (ท่ามกลางภาวะฝุ่นตลบ: การชุมนุมเสื้อแดงและการปราบปรามประชาชนในปี 2553) มีความหนา 139 หน้า โดยประมวลข้อสรุปจากการเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวน 94 คน จากกลุ่มผู้ชุมนุม เหยื่อผู้ได้รับผลกระทบ พยานหลักฐาน นักวิชาการ นักข่าว ทนายความ นักสิทธิมนุษยชน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยรักษาความปลอดภัย ตำรวจ และกลุ่มอื่นๆ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รัฐประหารซ้อนเพื่อระบอบอำมาตยาธิปไตย หรือเลือกตั้งเพื่อระบอบประชาธิปไตย

Posted: 04 May 2011 01:06 AM PDT

การจู่โจมปิดสถานีวิทยุชุมชน และการที่ดีเอสไอขอถอนประกัน แกนนำ 9 คน ในข้อหาปลุกปั่นยุยง ประชาชน รวมทั้ง คุณจตุพร พรหมพันธ์ และแกนนำรวม18คน นอกจากนี้ในฝั่งกองทัพ ออกมาตบเท้าแสดงความพร้อมเพื่อสำแดงกำลังว่าสามารถเคลื่อนพลออกมาได้ ตั้งแต่ในทันที  ครึ่งชั่วโมง ไปถึงสามชั่วโมง และใช้สถานีวิทยุชุมชนเครือข่าย กอ.รมน.จำนวนกว่า 700 สถานีในการโจมตีใส่ร้ายป้ายสี ประชาชน คนเสื้อแดง แสดงถึงท่าทีอันดุดันของกองทัพที่ร่วมกับ กอ.รมน. ในการพร้อมทำรัฐประหาร

นี่ไม่ใช่การขู่ขวัญเฉยๆ แต่มีปฏิบัติการที่เป็นจริงต่อแกนนำคนเสื้อแดง และสื่อเสื้อแดง โดยใช้กฏหมายอาญามาตรา 112 (หมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ) และกฏหมายอาญามาตรา 116 (ยุยงให้เกิดการแตกแยกฯ)  สองมาตรา เป็นเครื่องมือจัดการกับประชาชนโดยไม่คำนึงถึงว่า มีหลักฐานจริงๆ ตามข้อกล่าวหาหรือไม่

และเป็นปฏิบัติการที่กล้าหาญชาญชัยอย่างยิ่งของกองทัพไทย โดยไม่แยแสกับสายตาประชาชนไทย และไม่แยแสกับสายตาสังคมโลก ตรงข้ามกับพม่าที่กำลังพัฒนาประชาธิปไตยดียิ่งๆ ขึ้น แต่ในประเทศไทย ประชาธิปไตยไทยมีแต่สาละวันเตี้ยลง จนไม่เหลือซากประชาธิปไตยแล้ว

ความจริงขณะนี้ประเทศไทยยังอยู่ในสถานการณ์รัฐประหารแท้ๆ ไม่กี่วันมานี้วุฒิสมาชิกรุ่น คมช. แต่งตั้ง ยังกลับมาเรียงหน้าเป็นแถว พร้อมกับการแย่งชิงตำแหน่งกรรมาธิการสำคัญๆ โดยนายทหารใหญ่เกี่ยวพันกับคมช.เข้ามาบงการ

การใช้กำลัง กอ.รมน.ลงพื้นที่แทรกแซง กดดันการตัดสินใจของประชาชนในการเลือกตั้ง โดยห้ามเลือกพรรคที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าล้มเจ้า ก็ยืนยันสถานการณ์รัฐประหารที่ดำรงอยู่เช่นกัน ไม่พูดถึงการประเคนงบประมาณในการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์และ ให้หน่วยงาน กอ.รมน.ในการทำงานพิเศษตามที่กองทัพปรารถนา นี่จึงเป็นสถานการณ์รัฐประหารของระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ยังคงดำรงอยู่

การก่อรัฐประหารซ้ำจึงอาจไม่จำเป็นต้องทำแบบเดิมๆ ก็ได้ อาจใช้การบิดเบือนกฏหมายบางมาตราในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีและคณะผู้บริหารโดยวิธีพิเศษที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ แต่การใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนที่ออกมาต่อต้านรัฐประหารก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน เพราะดูปฏิบัติการที่ทำไปแล้ว ก็ไม่แยแสกับความถูกต้องชอบธรรมแต่อย่างใด

แต่ถ้าสถานการณ์ยุบสภา เลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นได้จริง นี่ก็จะเป็นสถานการณ์ใหม่ที่เป็นการเริ่มก้าวย่างเข้าสู่การต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย ประชาชนไทยและชาวโลกจะได้เห็นการรณรงค์หาเสียงประเภทที่สู้กันเอิกเกริกที่สุด จะเเป็นตัวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคที่มีขบวนการประชาชนคนเสื้อแดงสนับสนุน จะคึกคักมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง เพราะสำหรับ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน จะถือการรณรงค์ให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรม และมีปฏิญญาร่วมกันที่จะสนับสนุนพรรคฝ่ายประชาธิปไตยให้ชนะเลือกตั้ง สามารถจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นรัฐบาลประชาชนให้ได้ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทยมีระบบประชาธิปไตยที่แท้จริงเกิดขึ้นให้ได้ ดังนั้นคนเสื้อแดงจะร่วมมือเป็นใจเดียวกันที่จะช่วยกันรณรงค์เต็มกำลัง เพราะนี่เป็นวิถีทางโดยสันติวิธีที่สำคัญในการต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยในวิถีทางรัฐสภา ที่มือประชาชนสามารถโค่นล้มระบอบอำมาตยาธิปไตยได้โดยการไม่เลือกพรรคการเมืองของระบอบอำมาตย์

แล้วพรรคไหนเป็นพรรคการเมืองของระบอบอำมาตย์ก็ดูไม่ยาก เพราะรู้ๆ กันอยู่ ตั้งแต่การก่อตั้งพรรค พรรคใดมีอายุขัยพรรคยาวนาน พรรคใดที่ต่อต้านคณะราษฎร ทำลายบุคคลำคัญในระบอบประชาธิปไตย โดยใช้เรื่องราวสถาบันกษัตริย์ พรรคใดที่ไม่ต่อต้านทหารเผด็จการในการทำรัฐประหาร กลับร่วมมือกับคณะรัฐประหารหลายยุคหลายสมัย นับแต่รัฐประหาร พ.ศ.2490 เป็นต้นมา จึงเป็นหลักไมล์สำคัญในการทำลายระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่บัดนั้น และในยุคเผด็จการทหารครองเมือง ถ้าเข้ากันได้ดีกับกลุ่มจารีตนิยม พรรคนี้จะไม่ต่อต้านคัดค้าน แต่ถ้าคณะทหารใดที่ขัดแย้งกับกลุ่มจารีตนิยม และมีประชาชนออกมาต่อสู้ พรรคนี้ก็จะออกมาต่อสู้แบบหน่อมแน้ม เสร็จแล้วก็ด่าว่า เพื่อนพาคนไปตาย แล้วลงท้ายพรรคตนเองก็จะได้อำนาจบริหาร พรรคแบบนี้จึงเป็นพรรคของระบอบอำมาตยาธิปไตยที่เป็นเครื่องมือสำคัญทำให้ระบอบอำมาตยาธิปไตยสามารถดำรงอยู่ภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย

ถ้าเราสามารถโค่นล้มพรรคของอำมาตย์ฯตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยโดยการเลือกตั้ง นี่ก็จะเป็นชัยชนะของระบอบประชาธิปไตยเหนือระบอบอำมาตยาธิปไตย

คนเสื้อแดงจึงจะต้องคึกคักเป็นอย่างยิ่งในการต่อสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ รวมทั้งพวกฝ่ายอำมาตย์ด้วยเช่นกัน  เพราะนี่เป็นการเดิมพันครั้งสำคัญของประชาชนทีอดทนเป็นฝ่ายผู้ถูกกระทำย่ำยีเข่นฆ่าแต่เพียงฝ่ายเดียวมาเกือบห้าปีแล้ว

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ข้อสังเกตถึงรายงาน Human Rights Watch เรื่องการปราบเสื้อแดง

Posted: 03 May 2011 11:19 PM PDT

ชื่อบทความเดิม: ความชื่นชมและข้อสังเกตเล็ก ๆ เกี่ยวกับรายงานล่าสุดของ Human Rights Watch
 
 
หลายท่านชื่นชมกับรายงาน Descent into Chaos: Thailand’s 2010 Red Shirt Protests and the Government Crackdownของ Human Rights Watch ผมอ่านคร่าว ๆ ก็รู้สึกดีเหมือนกัน อย่างน้อย HRW เป็นหน่วยงานสากลแรก ๆ ที่ใช้คำว่า “government crackdown” (การปราบปรามของรัฐบาล) และที่สำคัญสิ่งที่เป็นไฮไลต์ของการแถลงข่าวเปิดตัวรายงานเมื่อวันก่อนที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) คือการยืนยันว่า อย่างน้อยสี่ศพที่วัดปทุมวนารามเป็นผลงานของฝ่ายทหาร (โปรดสังเกตว่า “สี่” นะครับ ไม่ใช่ “หก” แบบที่เข้าใจกัน) (Human Rights Watch found that soldiers fatally shot at least four people, including a medic volunteer treating the wounded, in or near Bangkok's Pathum Wanaram temple)
 
และเหมือนที่ข่าวสดรายงาน ทาง HRW เขียนบรรยายภาพผู้เสียชีวิตอย่างชัดเจนว่าเป็นการยิงของทหาร “รายงานฮิวแมนไรต์ฯ หน้า 22 ตีพิมพ์ภาพผู้เสียชีวิต 4 ศพ จากทั้งหมด 6 ศพในวัดปทุมฯ รวมถึงน.ส.กมนเกด อัคฮาด อาสาพยาบาล และเขียนใต้ภาพกำกับว่า "The bodies of Red Shirt protesters and medic volunteers who were shot and killed by soldiers while seeking fefuge in Bangkok"s Wat Pathum Wanaram temple on May 19, 2010." หรือ ศพผู้ชุมนุมเสื้อแดงและอาสาพยาบาล ซึ่งถูกทหารยิงและฆ่าตายขณะหลบภัยอยู่ในวัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 (http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOREEwTURVMU5BPT0%3D&sectionid=TURNd01RPT0%3D&day=TWpBeE1TMHdOUzB3TkE9PQ%3D%3D)
 
แต่สิ่งหนึ่งทำให้ยากจะรับได้เกี่ยวกับรายงานฉบับนี้คือถ้อยความที่ว่า “แกนนำนปช.มีส่วนส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงโดยการพูดจากระตุ้นผู้ประท้วงให้ก่อการจลาจล ทำการโจมตีโดยจุดไฟเผาและปล้นสะดม เป็นเวลาหลายเดือนที่แกนนำนปช.กระตุ้นให้ผู้ชุมนุมประท้วงเปลี่ยนให้กรุงเทพฯ กลายเป็น “ทะเลเพลิง” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่มีการอธิบายกันไปหลายครั้ง และโดยส่วนตัวที่ผมเข้าร่วมการชุมนุมกับนปช. ก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกเช่นนั้น (“UDD leaders also contributed to the violence with inflammatory speeches to demonstrators, urging supporters to carry out riots, arson attacks, and looting. For months, UDD leaders had urged followers to turn Bangkok into "a sea of fire" if the army tried to disperse the protest camps.”)
 
จากข้อกล่าวหาดังกล่าว จึงนำไปสู่ข้อสรุปของนายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการแผนกเอเชียของฮิวแมนไรต์วอชต์ (Asia director at Human Rights Watch) ที่ร่วมในการแถลงข่าวด้ยว่า “แกนนำนปช.จึงควรเข้าใจด้วยว่าการที่ใช้ความรุนแรงเช่นนั้นทำให้พวกเขาไม่อาจอ้างได้ว่าขบวนการ (นปช.) เป็นการเคลื่อนไหวอย่างสงบและสันติ” (The UDD leadership should understand that when they use violence they cannot claim to be a peaceful movement.)
ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นเดิม ๆ ที่ HRW เคยแถลงต่อสาธารณะไว้ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับความเชื่อในเรื่อง “ชายชุดดำ” ที่เป็นกลุ่มติดอาวุธที่สนับสนุนผู้ประท้วงนปช. (Armed elements supporting the UDD also staged deadly attacks on police officers and soldiers.)  
 
และอย่าหาว่าจับผิดเลย รายงานเกี่ยวกับประเทศไทยแท้ ๆ เนื้อหามาจากการสัมภาษณ์คนไทย แต่ทำไมแม้แต่ใบแจ้งข่าวก็ไม่มีที่เป็นภาษาไทย แต่มีเป็นภาษาฝรั่งเศส เสปน และอาราบิก (ALSO AVAILABLE IN:Français Español العربية)
 
เช่นเดียวกันตัวรายงานฉบับเต็มเองก็มีเฉพาะภาษาอังกฤษ ไม่มีภาษาอื่นเลย รวมทั้งภาษาไทย (ไม่มีแม้แต่บทคัดย่อในภาษาไทย) (http://www.hrw.org/node/98416
 
ขอให้รอดูการแถลงข่าวเปิดตัวรายงานประจำปีของ Amnesty International หน่วยงานสากลด้านสิทธิมนุษยชนอีกแห่งหนึ่งในวันที่ 13 พ.ค.นี้เช่นกัน ว่ามีจุดยืนในเรื่องนี้อย่างไร
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กลุ่ม 24 มิถุนาฯ เรียกร้องให้ประกันเหยื่อ ม.112- รัฐสภา เจ้าภาพเปิดพื้นที่ถกเถียง

Posted: 03 May 2011 10:18 PM PDT

 
2 พ.ค.54  กลุ่ม 24 มิถุนา ประชาธิปไตย ออกแถลงการณ์ กรณีสมยศ พฤกษาเกษมสุข ถูกดำเนินคดีข้อหาหมิ่นสถาบันฯ
เนื้อหาของแถลงการณ์มี ดังนี้  
แถลงการณ์
กรณีสมยศ พฤกษาเกษมสุข ถูกดำเนินคดีข้อหาหมิ่นเสถาบันกษัตริย์
ในระยะ 4-5 ปี มานี้ มีผู้ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาหมิ่นสถาบันกษัตริย์ตามกฎหมายอาญามาตรา 112 มากกว่า 500 คดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองเดือนหลังสุด แกนนำ นปช. ประชาชนทั่วไป ตลอดจนนักวิชาการ ต่างถูกดำเนินคดีและถูกข่มขู่คุกคามมากมาย เหยื่อรายล่าสุดที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดี คือ คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตแกนนำ นปก.รุ่นที่ 2, แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา ประชาธิปไตย, บรรณาธิการหนังสือเรดพาวเวอร์ และอดีตบรรณาธิการหนังสือวอยส์ออฟทักษิน  
กลุ่ม 24 มิถุนา ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นองค์กรต้นสังกัดของคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข ไม่เพียงแต่เป็นห่วงความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับคุณสมยศและบุคคลที่ต้องตกเป็นเหยื่ออีกมากมายเท่านั้น หากแต่ยังมีความเป็นห่วงผลกระทบที่เกิดขึ้นในวงกว้างต่อสังคมการเมืองไทยในระยะยาว จึงแถลงความห่วงใยและจุดยืนของกลุ่มมายังพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้
1.-เป็นที่น่าสังเกตว่าการดำเนินคดีด้วยกฎหมายมาตรา 112 ในช่วงนี้รวมทั้งกรณีคุณสมยศนั้นเป็นผลมาจากการกดดันของผู้นำเหล่าทัพและหน่วยทหารหลายหน่วยที่ออกมาแสดงพลังด้วยการ“ตบเท้า” เพื่อเล่นงานผู้ที่มีความเห็นไม่ลงรอยกับรัฐบาลและกองทัพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเล่นงานฝ่ายประชาชนเสื้อแดงซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็น “ขบวนการล้มเจ้า” และคุณสมยศก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีรายชื่อใน“แผนผังเครือข่ายล้มเจ้า”ที่ ศอฉ.ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลและกองทัพเผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว
2.-มาตรา 112 ถูกใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามกับกองทัพและรัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่คือประชาชนเสื้อแดง โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การทำลายขบวนการประชาธิปไตยของประชาชนเสื้อแดงและพรรคการเมืองที่ประชาชนเสื้อแดงให้การสนับสนุนให้สิ้นซาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อหวังผลให้ฝ่ายประชาธิปไตยพ่ายแพ้การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น
3.-มาตรา 112 ทำลายสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ผิดหลักนิติรัฐ ขัดหลักการประชาธิปไตย ไร้มนุษยธรรม ทำลายระบบยุติธรรมอย่างถึงที่สุด ด้วยบทลงโทษที่รุนแรงป่าเถื่อน การไม่ให้ประกันตัวไว้ก่อนก็คือการพิพากษาล่วงหน้า
4.-มาตรา 112 เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยเป็น“อาณาจักรแห่งความกลัวที่เต็มไปด้วยความมืดมนอันหาที่สุดมิได้” ไม่เพียงเป็นเครื่องมือปิดปากประชาชนแต่ยังขัดขวาง“ความเป็นมนุษย์”เพราะทำให้ขาดเสรีภาพ คนที่ปราศจากเสรีภาพเขาย่อมตกอยู่ในสถานะที่ต่ำกว่ามนุษย์อย่างมิต้องสงสัย
            ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์
1.-การอ้างสถาบันครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะอ้างในนามของความจงรักภักดีหรืออะไรก็ตาม เช่น การรัฐประหาร 19 กันยา การใช้กำลังทหารปราบปรามประชาชนเสื้อแดงในปี 52 และ53 ที่มีคนตายเกือบ 100 คน บาดเจ็บหลายพันคน ผลสะเทือนของการนำพาสถาบันลงมาเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างพร่ำเพรื่อย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมของสถาบันอย่างมิต้องสงสัย พวกเขาเหล่านั้นรู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังเอาอนาคตความอยู่รอดปลอดภัยของสถาบันกษัตริย์มาเดิมพันกับประชาชน รู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังเร่งเร้าให้เกิดความรุนแรงจนอาจถึงขั้นเกิดสงครามกลางเมือง รู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำให้ความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์เป็นปฏิปักษ์กับความมั่นคงของประชาชน ขณะที่ประชาชนเสื้อแดงพยายามทำให้ความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์และประชาชนทั้งมวล
2.-กองทัพ รัฐบาล ดีเอสไอ ฯลฯ กำลังทำให้ประเด็นมาตรา 112 ขยายตัวไปสู่ระดับสากล และมีความสุ่มเสี่ยงที่ประชาคมโลกอาจจะหันต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยได้ในระยะยาว
3.-การจะตรวจสอบว่าวิธีการใดเป็นวิธีการที่ถูกต้องในการปกป้องสถาบันกษัตริย์นั้น วิธีการหนึ่งที่จะบอกได้คือ หากวิธีการที่ใช้นำมาซึ่งความนิยมเพิ่มขึ้นของประชาชนอย่างสมเหตุสมผล วิธีการนั้นน่าเชื่อว่ามีแนวโน้มจะเป็นวิธีการที่ถูกต้อง แต่กรณีการใช้มาตรา 112 เล่นงานผู้อื่นนั้น กองทัพ รัฐบาล และดีเอสไอมีความมั่นในแค่ไหนว่าจะทำให้ความนิยมในสถาบันกษัตริย์เพิ่มขึ้นอย่างสมเหตุสมผล
ข้อเรียกร้อง
1.-ศาลควรมีคำสั่งให้ประกันตัวคุณสมยศและผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของมาตรา 112 ทุกคนทันที เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่
2.-ทุกฝ่ายต้องหยุดนำพาสถาบันกษัตริย์มาเกี่ยวข้องการเมืองและทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามโดยทันที เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศประชาธิปไตยให้ทุกฝ่ายมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยแท้จริง
3.-หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหารายใหม่ จนกว่ากระบวนการถกเถียงสาธารณะตลอดจนกระบวนการแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายนี้จะเสร็จสิ้นลง
4.-ให้รัฐสภาเป็นเจ้าภาพจัดให้มีกระบวนการถกเถียงอย่างเป็นสาธารณะถึงความจำเป็นเหมาะสมของกฎหมายนี้ ก่อนที่จะดำเนินการแก้ไขหรือยกเลิกต่อไปตามควรแก่กรณี
 
กลุ่ม 24 มิถุนา ประชาธิปไตย
2 พฤษภาคม 2554
ณ ศาลอาญา รัชดาภิเษก
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น