โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

การสไตรค์ของคนงานภาคการศึกษา ม.โคลัมเบีย เมื่อผู้บริหารยืมมือ 'ทรัมป์' ยับยั้งจัดตั้งสหภาพ

Posted: 28 Apr 2018 08:49 AM PDT

นิตยสาร Dissent ซึ่งเป็นนิตยสารปัญญาชนฝ่ายซ้ายจากสหรัฐฯ รายงานถึงเรื่องที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยโคลัมเบียพยายามสกัดกั้นไม่ให้พนักงานบัณฑิตวิทยาลัยจัดตั้งสหภาพ โดยมีการพยายามยืมมือชนชั้นนำเข้ามาขัดขวางไม่ว่าจะเป็นบรรษัทยักษ์ใหญ่หรือแม้กระทั่งรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้กลุ่มคนทำงานในมหาวิทยาลัยนี้ต้องสู้ศึกการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและทางวิชาการไปในตัวด้วย

 
 
 
28 เม.ย. 2561 Dissent เล่าถึงการพูดอย่างทำอย่างของอธิการบดีมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ลี โบลลินเจอร์ ผู้ที่เคยพูดในทำนองวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ในงานให้รางวัลพูลิตเชอร์ แต่ก็ปฏิบัติต่อลูกจ้างของตัวเองในแบบที่ไม่เหมือนกับคำกล่าวอ้างหลักการของตน 
 
โบลลินเจอร์เคยพูดไว้เมื่อปีที่แล้ว (2560) ว่าดูเหมือนจะมีคนสนใจว่าอะไรเป็นเรื่องจริงอะไรเป็นเรื่องเท็จน้อยลงทุกวัน ซึ่งชวนให้สื่อที่ไปทำข่าวการเลี้ยงอาหารค่ำประกาศรางวัลในวันนั้นคาดว่าเป็นการพูดถึงทรัมป์ นอกจากนี้ในช่วงที่ทรัมป์ประกาศสกัดกั้นผู้อพยพ โบลลินเจอร์เองก็เคยให้ความช่วยเหลือโครงการ "ดรีมเมอร์" ซึ่งเป็นโครงการสนับสนุนส่งเสริมลูกหลานของผู้อพยพ รวมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์ในประเด็นนี้ด้วย
 
แต่ทว่าในวันเดียวกับที่มีการจัดเลี้ยงอาหารกลางวันของโบลลินเจอร์ กลุ่มนักศึกษาบัณฑิตศึกษาของหาวิทยาลัยเยลก็กำลังอดอาหารประท้วงการที่ทางมหาวิทยาลัยเยลไม่ยอมให้มีการจัดตั้งสหภาพที่นักศึกษา แม้ว่าพวกเขาจะเลือกตั้งสหภาพกันขึ้นมาไว้แล้ว ทางม.เยล ถึงขั้นจ้างบริษัทกฎหมาย 'โปรสเคาเออร์ โรส' มากำจัดสหภาพนศ.นี้ ซึ่งบริษัทนี้เป็นบริษัทเดียวกับที่โบลลินเจอร์จ้างมาทำลายสหภาพแรงงานบัณฑิตศึกษาของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียเช่นกัน
 
กลุ่มคนทำงานบัณฑิตวิทยาลัยโคลัมเบียลงคะแนนเสียงจะจัดตั้งสหภาพมาตั้งแต่ปี 2558 ในตอนนั้นแทนที่ทางมหาวิทยาลัยจะยอมรับให้พวกเขาจัดตั้ง แต่ก็กลับไปปรึกษากรรมการบอร์ดแรงงานสัมพันธ์แห่งชาติสหรัฐฯ (NLRB) พอ NLRB แสดงจุดยืนยอมรับผลการโหวตทางกลุ่มผู้บริหารก็ยังคงจะอุทธรณ์ไม่ยอมให้มีการจัดตั้งสหภาพฯ ต่อ พวกเขาถึงขั้นรอให้รัฐบาลทรัมป์แต่งตั้งพรรครีพับลิกันเข้าไปเป็นประธานบอร์ด NLRB เพื่อให้กลับคำตัดสินเดิม
 
นั่นทำให้บรูซ ร็อบบินส์ ศาตราจารย์ด้านมนุษยศาสตร์ของม.โคลัมเบีย ผู้เขียนบทความให้ Dissent ระบุว่า "โบลลินเจอร์กระทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าได้วางมหาวิทยาลัยที่เกรียงไกรของพวกเราไว้ไม่ใช่ในตำแหน่งเดียวกับการส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการตื่นรู้ แต่วางเอาไว้เป็นพวกเดียวกับโดนัลด์ ทรัมป์"
 
แม้เป็น นศ.ป.โท หรือพนักงานมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ 'มีอภิสิทธิ' อย่างที่หลายคนมอง
 
ร็อบบินส์ระบุอีกว่าแม้กระทั่งในการประกาศรางวัลพูลิตเชอร์ รางวัลทรงเกียรติ์สำหรับนักข่าว-ช่างภาพ โบลลินเจอร์จะใช้โอกาสนั้นในการวิจารณ์เรื่องทรัมป์โจมตีเสรีภาพสื่อ แต่โบลลินเจอร์และคนที่เขามอบหมายก็กลับขอให้ทรัมป์มาเป็นคนช่วยจัดการกับกลุ่มนักศึกษาบัณฑิตศึกษาที่ดื้อรั้น 
 
อย่างไรก็ตามนักศึกษาที่ดื้อรั้นเหล่านี้ก็มีภาพลักษณ์ถูกมองเป็น "ชนชั้นนำที่มีการศึกษา" มากกว่าจะถูกมองเป็นคนจนหรือคนที่ได้รับการศึกษาน้อย เลยทำให้พวกเขาระดมทุนช่วยเหลือได้ยาก ไม่ได้มีภาพลักษณ์ที่ทำให้เกิดความรู้สึกเห็นใจหรือรู้สึกร่วมใจกันได้โดยทันที อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงพวกเขาไม่ได้มีอภิสิทธิ์มากเท่าที่คนอื่นๆ คิดเมื่อเทียบกับคนงานที่อื่นๆ แล้ว
 
บทความยกตัวอย่างให้เห็นว่าครูโรงเรียนระดับเทียบเท่ามัธยมฯ ในสหรัฐฯ โดยเฉลี่ยยังมีรายได้มากกว่าบัณฑิตและคนทำงานมหาวิทยาลัยเหล่านี้ราว 20,000 ดอลลาร์ต่อปี ในแง่สวัสดิการแม้แต่คนงานแมคโดนัลด์หรือวอลมาร์ทก็มีสวัสดิการดีกว่าคนทำงานมหาวิทยาลัย และเรื่องสวัสดิการนี้เองที่เป็นเหตุผลหลักๆ ในการที่พวกเขาจะจัดตั้งสหภาพ หนึ่งในเรื่องที่หลักดันอาจจะดูเหมือนเป็นประเด็นเล็กๆ อย่างประกันการทำฟัน แต่จริงๆ แล้วเป็นประเด็นสุขภาพที่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย และการประกันสุขภาพจุดนี้ใช้เงินงบปะมาณน้อยกว่าด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับเอาไปจ่ายให้บริษัทที่ปรึกษากฎหมายโปรสเคาเออร์ โรส
 
ทั้งนี้ยังมีเอกสารของฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัยที่รั่วไหลออกมาระบุว่าการตั้งสหภาพในมหาวิทยาลัยเอกชนทำให้พวกเขากังวลว่าจะเกิดความไม่แน่นอนจากอะไรใหม่ๆ ทั้งๆ ที่กลุ่มนักศึกษาบัณฑิตศึกษาต้องเจอกับความไม่แน่นอนมาโดยตลอดอยู่แล้ว เช่น การขาดสวัสดิการสุขภาพบางด้าน และที่น่าตกใจกว่านั้นคือในเอกสารที่รั่วไหลระบุว่าทางมหาวิทยาลัยใช้วิธีการใกล้เคียงกับคำแนะนำของกลุ่มผู้บริหารวอลมาร์ทที่พูดถึงวิธีการต่อต้านสหภาพ
 
ร็อบบินส์ระบุว่าหลักการในแบบของบรรษัทนั้นโหดร้ายต่อลูกจ้างของตัวเองทั้งในด้านค่าแรงและสวัสดิการ แต่ในฐานะความเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่ต้องเสียภาษีเนื่องจากถูกอ้างว่าทำเพื่อประโยชน์สาธารณะนั้นพวกเขาก็ควรมีหลักการที่สูงกว่าแบบของบรรษัท ไม่ใช่อ้างว่าทำประโยชน์เพื่อสาธารณะโดยให้คนทำงานต้องแบกรับภาระความเจ็บปวดโดยไม่มีใครสนใจผลประโยชน์ของพวกเขา
 
บทความของร็อบบินส์ระบุว่าขณะที่ในวันที่ 24 เม.ย. ที่ผ่านมามีการประท้วงหยุดงานและหยุดเรียนจากนักเรียน พนักงาน และผู้สนับสนุนจำนวนมาก ฝ่ายบริหารของโบลลินเจอร์ก็ควรจะเลิกจ้างคนนอกให้มีขจัดหรือขัดขวางการจัดตั้งสหภาพเสียที
 
เรียบเรียงจาก
 
A Strike Against Trumpism at Columbia, Dissent, 26-04-2018
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พรรคอนาคตใหม่รับฟังปัญหาประชาชน อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่

Posted: 28 Apr 2018 04:21 AM PDT

แกนนำพรรคอนาคตใหม่สนทนาแลกเปลี่ยนรับฟังปัญหาจากกลุ่มชาติพันธุ์และเกษตรกร ที่ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เตรียมเปิดเวที 'ฟังเสียงอนาคต' นำปัญหาทั้งหมดที่คนในท้องถิ่นเชียงใหม่สะท้อนพรุ่งนี้ที่ อ.เมืองเชียงใหม่ 29 เม.ย. นี้

 
 
 
28 เม.ย. 2561 เพจอนาคตใหม่ - The Future We Want รายงานบรรยากาศการสนทนาแลกเปลี่ยนรับฟังปัญหาจากกลุ่มชาติพันธุ์และเกษตรกรของพรรคอนาคตใหม่ ที่ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เรื่องที่ดินทำกินเป็นเรื่องใหญ่ที่คนท้องถิ่นเดือดร้อน เกษตรกรที่นี่มองว่าบ้านที่ดินทำกินซึ่งคนท้องถิ่นอยู่มานาน กลับถูกประกาศเป็นเขตอุทยานเพื่อให้เป็นป่า ให้คนเหนือรักษาป่า เพื่อคนภาคกลางจะได้มีน้ำทำนา คนกรุงเทพฯ มีน้ำใช้ ซึ่งถือเป็นความเหลื่อมล้ำอย่างมาก
 
ขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์ก็เจอปัญหาคล้ายกันรัฐบาลไม่เชื่อว่าพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์อยู่กับป่าและดูแลรักษาป่าได้ หน่วยงานภาครัฐไม่ได้รับฟังการจัดการทรัพยากรแบบที่คนชาติพันธุ์ทำแต่เอากฎหมายมากางแล้วก็ชี้ว่าพวกเขารุกป่า ซึ่งทำให้ทางกลุ่มขาติพันธ์ต้องย้อนถามว่าหากออกจากป่าแล้วจะให้พวกเขาไปอยู่ที่ไหนในเมื่อที่ดินพื้นล่างส่วนใหญ่มีเจ้าของหมดแล้ว
 
อีกปัญหาที่น่าสนใจและไม่ค่อยมีใครพูดถึง คือความลำบากของผู้ประกอบการรายย่อย อย่างกลุ่มสุราพื้นบ้าน ที่เจอปัญหากฎหมายเอื้อธุรกิจใหญ่ ไม่เปิดโอกาสให้ธุรกิจรายย่อย โรงเหล้าท้องถิ่นเสียภาษีเท่ากับผู้ผลิตสุราโรงใหญ่ แต่ถูกกำหนดให้มีคนงานได้ไม่เกิน 7 คน กำลังการผลิตไม่เกิน 5 แรงม้า อีกทั้งมีข้อบังคับต่าง ๆ เกี่ยวกับการผลิตสุราพื้นบ้านมากมายเมื่อถูกจับกุมก็โดนปรับแพงซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เกิดการผูกขาดผู้ผลิตสุราเพียงไม่กี่เจ้า
 
อนึ่งในวันอาทิตย์ที่ 29 เม.ย. 2561 นี้ พรรคอนาคตใหม่จะเปิดเวทีสนทนา "ฟังเสียงอนาคต" นำปัญหาทั้งหมดที่คนในท้องถิ่นสะท้อนมาวางบนโต๊ะและร่วมวางอนาคตใหม่ ที่วัดล่ามช้าง (เยื้องวัดเชียงมั่น) อ.เมือง จ.เชียงใหม่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ชาวประมง-นศ. ปล่อยบ้านปลาฟื้นฟูตือโละปาตานี

Posted: 28 Apr 2018 03:34 AM PDT

กลุ่มประมงชายฝั่งชุมชนตันหยงปาวว์ร่วมกับเครือข่ายนักศึกษาสานสัมพันธ์ (Restu) จัดกิจกรรมปล่อยบ้านปลาฟื้นฟูตือโละปาตานี

 
 
 
สำนักข่าว Wartani รายงานว่าเมื่อวันที่ 27-28 เม.ย. 2561 ทางกลุ่มประมงชายฝั่งชุมชนตันหยงปาวว์ร่วมกับเครือข่ายนักศึกษาสานสัมพันธ์ (Restu) ได้จัดกิจกรรม "ปล่อยบ้านปลาฟื้นฟูตือโละปาตานี" (บ้านปลาจากภูมิปัญญาชาวบ้าน = กระสอบทราย + ทราย + ไม้ไผ่ + ใบมะพร้าว ผูกติดกัน) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำและสร้างความรักษ์ ความตระหนักแก่ผู้ร่วมกิจกรรมในการปกป้องทรัพยากรทางทะเล
 
ดอเลาะ อาแว ผู้ประสานงานกลุ่มฯ ให้สัมภาษณ์ถึงความเป็นมาของกลุ่มและเจตนารมณ์ของการจัดตั้งกลุ่ม "กลุ่มประมงพื้นบ้านชุมชนตันหยงปาวว์เป็นการร่วมตัวกันของชาวประมงพื้นบ้านชุมชนตันหยงปาวว์เพื่อสร้างพื้นที่สำหรับการพบปะหารือระหว่างชาวประมง อีกทั้งเป็นพื้นที่ของชาวบ้านในการจัดการและฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล รวมทั้งยังเป็นตัวเชื่อมกับเครือข่ายภาคประชาสังคมต่าง ๆ เพื่อหนุนเสริมประเด็นทรัพยากรของชุมชน"
 
ดอเลาะ เพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงเด็ดเดียวว่า "วันนี้มีเรามีจำนวนมากแล้วคนที่รักษ์ทะเล แต่เราไม่มีคนที่จะปกป้องทะเล หากเราไม่ช่วยกันปกป้องทรัพยากรของเราแล้วใครจะปกป้อง ทรัพยากรที่คนแก่คนเฒ่าปกป้องและส่งต่อมาให้เรา แล้วเราจะให้มันหมดไปในรุ่นของเราไม่ได้ คนปาตานีจะต้องช่วยกันปกป้องและฟื้นฟูทะเลโดยเร็วไม่เช่นนั้นเราจะไม่เหลืออะไรให้ลูกหลานเราอีก โดยตือโละปาตานีที่เป็นแหล่งผลิตอาหารและการสร้างอาชีพที่สำคัญของคนปาตานี"
 
ตือโละปาตานี หรือ อ่าวปาตานี กินเนื้อที่ทั้งหมด 5 อำเภอ (จะนะ , เทพา , หนองจิก , เมืองปัตตานี , ยะหริ่ง) ประมาณ 45 หมู่บ้าน ประชากรรอบตือโละปาตานีมีประมาณ 6 หมื่นคน มีเรือประมงที่จดทะเบียนแล้วประมาณ 3,000 ลำ และที่ยังไม่จดทะเบียนอีกเกือบเท่าตัว ระบบนิเวศของ 'ตือโละปาตานี' เอื้อต่อการอนุบาลสัตว์น้ำ เมื่อถึงฤดูวางไข่ทั้งปลาเล็กปลาใหญ่จะมาวางไข่ในบริเวรนี้
 
อีกทั้งเป็นแหล่งผลิตอาหารและสร้างอาชีพของคนปาตานีมาอย่างยาวนานหลายชั่วชีวิตคน ก่อให้เกิดวงจรเศรษฐกิจขนานใหญ่ของคนปาตานี ตั้งแต่ชุมชนรอบตือโละปาตานีที่ทำอาชีพการประมง ตลอดจนพ่อค้าแม่ค้าตามตลาดหรือรถขายปลาที่คอยขนส่งอาหารทะเลถึงหน้าบ้าน และคนปาตานีตามเชิงเขาที่บริโภคสัตว์ทะเลก็อยู่ในวงจรนี้เช่นเดียวกัน อีกทั้งสัตว์ทะเลบางชนิดยังส่งออกไปต่างประเทศอีกด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่าหากทรัพยากรทางทะเลลดลงหรือเสื่อมโทรมลงย่อมส่งผลกระทบสังคมปาตานีทุกระดับ
 
สถานการณ์ของตือโละปาตานีในปัจจุบันค่อนข้างน่าเป็นห่วงเนื่องจากจำนวนทรัพยากรลดน้อยลงอย่างมาก ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่แล้วเกิดจากฝีมือมนุษย์ทั้งการใช้เครื่องมือการประมงผิดกฎหมายจนทำให้เกิดการทำลายระบบนิเวศทางทะเลอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะมี พรก.การประมง (ปี 2560) ที่แกนหลักในการทำประมง แต่ก็ไม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างจริงจังจากกลไกภาครัฐ จนก่อให้เกิดความขัดแย้งใหม่ระหว่างชาวบ้านที่ไม่ใช่เครื่องมือประมงผิดกฎหมายกับชาวบ้านที่ใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมาย และแนวโน้มในอนาคตทรัพยากรของตือโละปาตานีอาจจะลดน้อยลงไปอีก เนื่องจากโครงการขนาดใหญ่ที่กำลังจะดำเนินการและส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา-ปะนาเระ , โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล , โครงการขุดหลอกคลอง (พสกนิกรรอบอ่าวปัตตานี) เป็นต้น
 
พีรบุธ หว่าหลำ ประธานโครงการค่ายเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนฯ "กิจกรรม" ปล่อยบ้านปลาฟื้นฟูตือโละปาตานี' เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการค่ายเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชน สร้างรอยยิ้มสู่สังคม ครั้งที่ 8 ที่มีกิจกรรมเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนเพื่อเรียนรู้และสร้างสำนึกรักษ์บ้านเกิด โดยช่วงเช้าของวันที่ 27 เราได้ทำการปล่อยลูกกุ้งร่วมกับชุมชนและองค์กรส่วนท้องถิ่นเพื่อฟื้นฟูและเพิ่มจำนวนกุ้งในท้องทะเล ต่อด้วยช่วงบ่ายเราจัดกิจกรรมเรียนรู้ความสำคัญของตือโละปาตานีและการทำบ้านปลาจากภูมิปัญญาชาวบ้านที่จะปล่อยลงทะเลในเช้าวันต่อมา (วันที่ 28)"
 
พีรบุธ กล่าวเสริมอีกว่า"ตลอดระยะเวลา 10 วันของค่ายเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชน สร้างรอยยิ้มสู่สังคม ครั้งที่ 8 (ตั้งแต่วันที่ 20-30 เม.ย.) เรายังมีกิจกรรมอื่น ๆ อีกด้วย เช่น ค่ายอบรมจริยธรรม , ค่ายแรงบันดาลใจ , โฮมสเตย์ , ค่ายสร้าง เพื่อใช้เวลาว่างช่วงปิดเทอมให้ประโยชน์ต่อตนเองและสังคมอีกด้วย"
 
เครือข่ายนักศึกษาสานสัมพันธ์ (Restu) เป็นกลุ่มกิจกรรมนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ซึ่งขับเคลื่อนกิจกรรมเพื่อสังคมและสร้างจิตสำนึกแก่นักศึกษาในการหนุมเสริมสันติภาพปาตานี กิจกรรมที่ทางกลุ่มเคยขับเคลื่อน เช่น กิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย , ห้องเรียนชุมชน , ค่ายสร้าง เป็นต้น
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วาตภัย 5 วัน ทำเดือดร้อน 30 จังหวัด 3,098 หลังคาเรือน เสียชีวิต 1 ราย

Posted: 28 Apr 2018 02:45 AM PDT

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระบุมีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัย 23-28 เม.ย. รวม 30 จังหวัด ประชาชนได้รับผลกระทบ 3,098 หลังคาเรือน 7,364 คน ผู้เสียชีวิต 1 ราย รัฐบาลจะเริ่มส่งน้ำเข้าพื้นที่ 12 ทุ่งเจ้าพระยาตอนล่าง 10 จังหวัด ดีเดย์ 1 พ.ค.นี้

 
ที่มาภาพประกอบ: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
 
28 เม.ย. 2561 นายชยพล ธิติศักดิ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ช่วงวันที่ 23 – 28 เมษายน 2561 มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัย รวม 30 จังหวัด 77 อำเภอ 157 ตำบล 357 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 3,098 หลังคาเรือน 7,364 คน ผู้เสียชีวิต 1 ราย พร้อมได้ประสานจังหวัดหน่วยทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเบื้องต้น โดยแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค กระเบื้องมุงหลังคา และวัสดุอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านเรือนแก่ผู้ประสบภัย รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่สำรวจ ประเมินและจัดทำบัญชีข้อมูลความเสียหาย เพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ อีกทั้งจ่ายเงินสงเคราะห์ค่าจัดการศพตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่กำหนดแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัยสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
 
รัฐบาลจะเริ่มส่งน้ำเข้าพื้นที่ 12 ทุ่งเจ้าพระยาตอนล่าง 10 จังหวัด ดีเดย์ 1 พ.ค.นี้
 
นอกจากนี้ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า1 พ.ค. นี้รัฐบาลจะเริ่มส่งน้ำเข้าพื้นที่ 12 ทุ่งลุ่มต่ำ ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ครอบคลุม 10 จังหวัดท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ได้แก่ จ.นครสวรรค์ จ.ชัยนาท จ.ลพบุรี จ.สระบุรี จ.สิงห์บุรี จ.อ่างทอง จ.พระนครศรีอยุธยา จ.สุพรรณบุรี จ.ปทุมธานี และ จ.นนทบุรี รวมพื้นที่ 1.15 ล้านไร่ เพื่อให้พี่น้องเกษตรกรได้เตรียมการเพาะปลูกข้าวเร็วขึ้น 1 เดือน ซึ่งประสบผลสำเร็จมากในปีที่แล้ว
 
"รัฐบาลออกมาตรการแก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหายจากภาวะน้ำท่วมทุกปี โดยเลื่อนปฎิทินการเพาะปลูก และใช้พื้นที่ 12 ทุ่งเป็นแก้มลิงธรรมชาติชั่วคราวสำหรับพักชะลอน้ำรองรับน้ำหลากหลังเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จช่วงเดือน ก.ย. โดยปีที่ผ่านมาเกษตรกรในพื้นที่ได้รับประโยชน์และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้ง ๆ ที่มีปริมาณฝนตกสะสมใกล้เคียงกับปี 2554 แต่ไม่เกิดความเสียหายเท่ากับปี 2554" พล.ท.สรรเสริญ ระบุ
 
สำหรับมาตรการครั้งนี้ถือเป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องจากปีก่อน โดยสามารถรองรับน้ำไว้ได้มากถึง 1.5 พันล้านลบ.ม. ซึ่งเท่ากับเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ 2 เขื่อน ช่วยลดผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนตามแนวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เขตเศรษฐกิจตอนล่าง กรุงเทพฯและปริมณฑล โดยดำเนินการควบคู่กับการปรับปรุงเสริมคันกั้นน้ำให้มั่นคงแข็งแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบ และไม่เป็นอุปสรรคต่อการสัญจร นอกจากนี้ พื้นที่แก้มลิงก่อให้เกิดอาชีพประมงเป็นแหล่งอาหารโปรตีนให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้เสริม รวมทั้งทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ของดิน ช่วยตัดวงจรการแพร่ระบาดโรคพืชและแมลงต่าง ๆ ได้ดี โดยพบว่าชาวนาที่ปลูกข้าวนาปรังได้ผลผลิตอยู่ในเกณฑ์สูง
 
พล.ท.สรรเสริญ ยังระบุว่าทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร โดยรับทราบปัญหาผลผลิตทางการเกษตรถูกน้ำท่วมเสียหายเป็นประจำ จึงได้สั่งการให้แก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยได้ออกมาตรการเลื่อนเวลาการปลูกข้าวจากเดือน มิ.ย. เป็นเดือน พ.ค. ซึ่งช่วยลดความเสียหายได้มาก พร้อมทั้งกำชับให้ขยายผลไปยังพื้นที่ลุ่มน้ำอื่นทั้งในภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วย
 
"นายกฯ เน้นย้ำ อยากให้พี่น้องเกษตรกรมีความสามัคคีและร่วมมือกัน เพาะปลูกหรือทำการเกษตรอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อถึงเวลาเปิดปิดน้ำ ซึ่งนอกจากจะเกิดผลดีต่อพี่น้องเกษตรกรโดยตรงแล้ว ยังช่วยลดผลกระทบจากน้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลางอีกด้วย" พล.ท.สรรเสริญ ระบุ
 
ที่มาเรียบเรียงจากสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ [1] [2]
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'กรุงไทย' ยืนยันไม่มีนโยบายควบรวม 'ทหารไทย'

Posted: 28 Apr 2018 02:02 AM PDT

ธนาคารกรุงไทยแจงผู้ถือหุ้นไม่มีนโยบายควบรวมกับทหารไทย เผยเป็นเพียงแนวคิด รมว.คลัง ที่มองว่าธนาคารไทยขนาดเล็กหากควบรวมกันจะทำให้เกิดความแข็งแกร่ง ชี้แนวคิดดังกล่าวไม่ใช่การบังคับเพียงแต่ให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีในการควบรวมกิจการ

 
 
27 เม.ย. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่าในที่ประชุมสามัญประจำปีธนาคารกรุงไทย นายไกรฤทธิ์ อุชุกานนท์ชัย รองประธานกรรมการธนาคาร ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงกับผู้ถือหุ้นถึงกรณีกระแสข่าวการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารกรุงไทยและธนาคารทหารไทย ว่า เกิดจากแนวคิดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่มองว่าธนาคารในประเทศปัจุบันหลายแห่งยังมีขนาดเล็ก หากควบรวมกันจะทำให้เกิดความแข็งแกร่งและเกิดประโยชน์ โดยเฉพาะธนาคารขนาดเล็ก แต่แนวคิดดังกล่าวไม่ใช่การบังคับ  เพียงแต่ให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีในการควบรวมกิจการ
 
อย่างไรก็ตาม ธนาคารกรุงไทยไม่มีนโยบายควบรวมกับธนาคารใด รวมถึงการประชุมทุกครั้งไม่มีการพูดคุยถึงเรื่องดังกล่าว และอาจเป็นไปได้ว่าข่าวที่เกิดขึ้นเนื่องจากกระทรวงการคลังถือหุ้นทั้ง 2 แบงก์ หลายคนจึงจับประเด็นดังกล่าวมาผูกโยงกันเอง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สื่อเผย 9 บริษัทลงขันถ่ายบอลโลก แถลง 30 เม.ย.นี้

Posted: 28 Apr 2018 01:18 AM PDT

สื่อ 'กรุงเทพธุรกิจ' เผย 9 บริษัทยักษ์ใหญ่ของไทย 'บีทีเอส, ไทยเบฟฯ, คิงเพาเวอร์, ซีพีเอฟ, พีทีทีโกลบอล, บางจาก, คาราบาวกรุ๊ป, กัลฟ์เอนเนอจี และ ธ.กสิกรไทย' ลงขันค่าลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2018 ให้ 'ทรูวิชั่นส์-ทรู4U–ช่อง5–อัมรินทร์' ถ่ายทอดสด 'ประวิตร' แถลงใหญ่ 30 เม.ย.นี้

 
 
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2561 ที่ผ่านมาว่าในวันที่ 30 เม.ย. 2561 นี้ พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเป็นประธานในพิธีแถลงข่าวเปิดตัว 9 องค์กรพันธมิตรร่วมถ่ายทอดสดการแข่งขั้นฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ระหว่างวันที่ 14 มิ.ย.-15 ก.ค.นี้
 
สำหรับ 9 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ร่วมลงขันถ่ายทอดสดครั้งนี้ ประกอบด้วย บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอส) บริษัทไทยเบฟเวอเรจ บริษัทคิงเพาเวอร์ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (ซีพีเอฟ) บริษัทพีทีทีโกลบอลเคมิคอล บริษัทบางจากคอร์ปเรชั่น บริษัทคาราบาวกรุ๊ป บริษัทกัลฟ์ เอนเนอจี ดีเวลอปเมนท์ และธนาคารกสิกรไทย
 
'ทรูวิชั่นส์-ทรู4U-ช่อง5-อัมรินทร์' ถ่ายทอดสด
 
ด้าน เว็บไซต์คมชัดลึก รายงานเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2561 ที่ผ่านมาว่าการถ่ายทอดสดดังกล่าวจะมี แม่ข่ายคือ ทรูวิชั่นส์ เคเบิ้ลทีวีในระบบบอกรับสมาชิก ในส่วนของสมาชิกทรูวิชั่นส์จะได้รับประสบการณ์การถ่ายทอดสดในระบบ  4K ซึ่งชัดกว่าระบบ เอชดี ปกติที่ออกอากาศถึง 4 เท่า ที่ทรูวิชั่นส์ที่เดียว ครบถ้วนทั้ง 64 คู่ พร้อมกับจะเปิดช่องพิเศษคือช่อง "เวิลด์คัพ" โดยเฉพาะในช่วงมหกรรมฟุตบอลโลกอีก 1-2 ช่องอีกด้วย
 
สำหรับ ตามกฏ "มัสต์แฮฟ" ซึ่งกำหนด ฟุตบอลโลกเป็น 1 ใน 7 รายการกีฬาที่จะต้องออกอากาศเฉพาะทางฟรีทีวีเท่านั้น ซึ่งการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกหนนี้ไม่มีปัญหาดังกล่าวเนื่องจาก จะมีสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีถ่ายทอดสด ควบคู่กันไปด้วย ได้แก่ ทรู4U ททบ.5 และ อัมรินทร์ ทีวี
 
รายงานข่าวจากช่องทรู4U ระบุว่าช่องทรู4U จะถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2018 โดยมีการเตรียมงานกันมา 2 เดือนเต็มแล้วซึ่งทรู4U จะถ่ายทอดระบบ SD ในรอบแรกคู่เตะเวลา 22.00 น. กับ 01.00 น. ทุกคู่ เช่นเดียวกันพิธีเปิด-ปิดนั้นทรู4U จะถ่ายทอดสดเช่นเดียวกัน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ ชี้ 'การดูด ส.ส.' เพื่อชาติ-ปชช. ช่วยกันทำงานได้ เป็นครรลองประชาธิปไตยไทย

Posted: 28 Apr 2018 12:04 AM PDT

ประยุทธ์ ชี้ การดูด ส.ส. มีทุกพรรคการเมืองมายาวนานแล้ว เป็นครรลองของประชาธิปไตยของไทยตลอดมา หากมีเป้าหมายร่วมกันสร้างเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศและประชาชนก็น่าจะช่วยกันทำงานได้

เมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ แห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งถึงประเด็นการเลือกตั้ง  ความเป็นประชาธิปไตย รวมทั้งการดูด ส.ส. ดังนี้

ผมอยากจะฝากให้ "ติดตาม" ว่าเหตุใดที่รายได้ประชาชนยังไม่ดีพอ ที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างพอเพียง อันนี้ก็มีผลมาจากปัจจัยหลายประการด้วยกัน เราต้องไปดูว่าเชื่อมโยงกับ "ต้นตอ" กับปัญหาอย่างไร ความเป็นประชาธิปไตยของบ้านเรามีส่วนหรือไม่ เราทุกคนนั้นถ้าเราหวังให้ทุกอย่างดีขึ้น เราต้องให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง และเราทุกคนก็ควรต้องยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย เพื่อให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ ยุติธรรม  ไม่มีการซื้อสิทธิ์ ขายเสียง หรืออาจจะไม่ต้องซื้อ เพราะเป็นเสียงที่ติดกับตัวบุคคลไปนานแล้ว แต่มีการอาจจะหาเสียง ให้ประโยชน์ล่วงหน้า ว่าจะสร้างหรือทำอะไรให้ ซึ่งทำไม่ได้ ในรัฐบาลต่อ ๆ ไป จะต้องทำในสิ่งที่อยู่ในแผน แต่ต้องทั่วถึงทุกพื้นที่

เรารู้อยู่แล้วว่าประชาชนต้องการอะไร เพราะข้าราชการก็มีข้อมูล การฟังเสียงประชาชนก็เป็นข้อมูลเสริมเข้ามา แล้วมาพิจารณาว่าเราจะทำอะไรกันต่อไป ไม่จำเป็นต้องให้ประชาชนมาร้องเรียนด้วยซ้ำไป เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ของข้าราชการ ต้องทำเพราะฉะนั้นเราต้องเลือกคนดีมีคุณธรรม เลือกพรรค เลือกคนด้วยนโยบายที่ชัดเจน

ใช้เหตุผลในการเลือก ไม่ใช่เลือกใครก็ได้มาเป็นรัฐบาล ด้วยความคุ้นเคย ด้วยความไม่รู้จักคนอื่น หรือด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่สนใจเบื้องหน้าเบื้องหลัง ทั้งนี้ อาจจะเพียงเพื่อตอบสนอง "ความคาดหวัง" ว่าจะมีรายได้ที่ดีขึ้น ด้วยการกระทำแบบเดิม ๆ ที่เคยทำได้เหมือนที่ผ่านมา รายได้ดีขึ้นเพราะไม่ต้องระมัดระวังอะไร เช่น จากการปล่อยปละละเลยของการให้มีการกระทำความผิดกฎหมาย  มีการทุจริต สังคมขาดความมีระเบียบวินัย  เศรษฐกิจบกพร่องนะครับ งบประมาณมีปัญหา ไร้ซึ่งระเบียบวินัยการเงินการคลังนะครับโดยไม่มีการวางรากฐานการพัฒนาประเทศ หรือมีการดำเนินการอย่างไม่มียุทธศาสตร์ ไม่มีความร่วมมือระหว่างกัน ไม่มีแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ที่เรียกว่าทำเป็นขั้นเป็นตอน 1-2-3 ไม่เคยพูดถึงการปฏิรูปในสิ่งที่จำเป็น ว่าจะทำอะไรก่อน อะไรหลัง ทุกคนต้องการหมดแต่ทำไม่เป็น จะเอาโน่นเอานี่กันทุกคน แล้วทำได้หรือไม่ รัฐบาลพยายามเลือกง่ายทำก่อน ยากน้อยหน่อยก็ระดับสอง ยากมาก ๆ ระดับสาม เพราะการปฏิรูปต้องทำ 2 ลักษณะด้วยกัน อันแรกคือ แต่ละหน่วยงานทำเอง อาจจะเป็นเรื่องงานตามฟังก์ชั่นของตัวเอง เขาต้องปฏิรูปของตัวเองจะทำอย่างไรให้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพขึ้น อันที่สองคือการปฏิรูปในลักษณะที่เป็นการบูรณาการ หลายหน่วยงานจะต้องมาทำงานด้วยกัน มาทำแผนแม่บท มาทำแผนปฏิบัติการด้วยกัน ใช้งบประมาณด้วยกัน เช่นการบริหารจัดการน้ำ ทำนองนี้ หรือเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องอะไรอื่น ๆ ที่หลายกระทรวงต้องมาทำร่วมกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ก็เกิดขึ้นไม่ได้ บูรณาการอย่างที่ว่า ที่ผ่านมาทั้งหมด ทุกอย่างจะกลับมาที่เดิม

กรณีมีข่าวเรื่อง "การดูด ส.ส." พรรคต่าง ๆ  ผมไม่ใช่นักการเมือง ผมทำงานทางการเมืองให้ตอนนี้ แต่ทุกคนทราบดีว่า การดูดมีเป็นมายาวนานแล้ว ไม่ใช่มาบอกแต่ คสช. ดูด ผมก็ยังอยู่ตรงนี้ ผมก็เป็นรัฐบาล ผมก็อยู่ตรงกลางตรงนี้ ที่ต้องอำนวยการให้เกิดการเลือกตั้งให้ได้ เป็นหน้าที่ของผมในขณะนี้ ฉะนั้นการดูดกันก็มีทุกพรรคการเมืองมายาวนานแล้ว เป็นครรลองของประชาธิปไตยของไทยตลอดมา หลายคนอาจจะอ้างว่าทำด้วยอุดมการณ์ ด้วยนโยบาย "เพื่อชาติและประชาชน"  คำว่า "ดูด ส.ส." คงเป็นภาษาของสื่อฯ เป็นการตลาดนะครับ ผมคิดว่าพี่น้องประชาชนควรใช้วิจารณญาณได้เองว่าอะไรคือการทำเพื่อส่วนรวม อะไรที่เป็นการทำเพื่อพวกพ้อง หากมีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญเช่นเดียวกันแล้ว ก็น่าจะช่วยกันทำงานได้นะครับ เราไม่อาจมองข้ามกันได้ เราจะต้องทำให้นักการเมืองทุกคนที่เข้าสู่ระบบเลือกตั้ง ครั้งหน้าให้เป็นคนที่มีคุณธรรม จริยธรรม มีธรรมาภิบาล ไม่ว่าจะนักการเมืองเก่า นักการเมืองใหม่ หรือคนที่เคยทำผิดกฎหมาย มีคดี ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม  หรือเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง แตกแยกของคนในชาติ คนเหล่านี้ใครควรจะได้รับการเลือกตั้งหรือใครไม่ควรจะได้รับการเลือกตั้ง ก็เป็นเรื่องของประชาชนพิจารณา ผมไปชี้นำไม่ได้  ทั้งนี้ เพื่อที่จะนำพาประเทศของเราไปสู่ทางออกของปัญหาตามแนวทางสันติวิธี ไม่อยากให้ขัดแย้งกันอีก เพราะต้องแก้ไขด้วยกัน รัฐบาลหรือ คสช. จะไปสั่งให้เลิกทะเลาะกัน ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะอยู่ที่ใจของแต่ละคน เพราะฉะนั้นเราน่าที่จะปฏิรูปการเมืองทีละขั้นหรือไม่ วันนี้เราไปตั้งหลักกันที่การเลือกตั้งก่อน เพราะฉะนั้น วันนี้ผมก็สร้างสภาวะแวดล้อมเตรียมการทั้งหมดให้พร้อมที่จะไปสู่การเลือกตั้ง รักษาความสงบ เรียบร้อย ก็อย่าให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นมาระหว่างการเลือกตั้งอีกเลย

ถ้าเราเอาการเลือกตั้งมาเป็น "ตัวตั้ง" เราจะต้องหาวิธีว่าจะทำอย่างไร ที่จะทำให้ได้นักการเมืองที่มีคุณภาพ ปัจจุบัน จากความเคลื่อนไหวของนักการเมือง ที่ผมติดตาม ศึกษาอยู่ พรรคการเมือง มีอยู่ 3 ทางด้วยกัน ทางที่ 1 คือการเคลื่อนไหวของนักการเมืองใหม่ทั้งหมด ทางที่ 2  นักการเมืองเดิม อาจจะที่มีคุณภาพ หลายพรรคต่าง ๆ ก็มาช่วยกัน ทางที่ 3 คือนักการเมืองจากทุกพรรค ทุกกลุ่มเดิม ๆ ที่ไม่ได้แยกย้ายพรรคอะไร พวกนี้ก็จะเข้ามาเลือกตั้งเหมือนเดิม วิธีการเดิม ๆ อาจจะไม่เปลี่ยนแปลง วิธีการทำงานหรือไม่  ผมไม่แน่ใจ เพราะฉะนั้นหลายคนอย่างที่บอกไปแล้วว่า จำเป็นต้องสังกัดพรรคด้วยเหตุผล ความจำเป็น คือ เมื่อจะเข้ามาก็ต้องมีการสนับสนุนและอยากจะเข้ามามีส่วนร่วมในรัฐบาล แต่เพียงอย่างเดียว อันนี้คงไม่ดี วันนี้ต้องแก้ไขใหม่ ลองไปคิดดูสิว่าเราฝืนข้อเท็จจริงไม่ได้ เรามีนักการเมืองแบบไหนบ้างในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเก่า จะใหม่ จะดี ไม่ดี ก็มีอยู่เท่านี้ เราอาจจะต้องใช้วิธีผสมกันหรือไม่ 1 หรือ 2 เราต้องยอมรับความจริงตรงนี้ นักการเมืองใหม่เข้ามาน้อยมาก เราน่าจะอยากได้คณะรัฐมนตรีที่ควรมีนักการเมืองใหม่เข้ามาเติม มาเสริม แล้วมีนักการเมืองเก่าที่ดีๆ หวังดีกับประเทศชาติจริง ๆ เข้ามาทำงานด้วยความสมัครใจ ทำเพื่อชาติ เพื่อพี่น้องประชาชน มากกว่าทำเพื่อพรรคอย่างเดียว โดยเราทุกคน ประชาชนจะต้องศึกษานโยบาย ท่าที แนวโน้ม การให้ความสำคัญกับพรรคการเมืองที่มีเจตนารมณ์ ยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูปอย่างแท้จริง ที่ต้องอาศัยเวลาในการปฏิรูป ระยะสั้น  กลาง ยาว ต่อไปเรื่อย ๆ ตามแผนแม่บท  แผนปฏิบัติการ ซึ่งต้องคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณ และรายได้แผ่นดินด้วย ปัจจุบันนั้นเราก็ยังมีปัญหาอยู่พอสมควรในเรื่องการจัดหารายได้เพิ่มเติม ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนให้มากยิ่งขึ้น ในเรื่องการศึกษา สาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐาน สังคมผู้สูงวัย  แรงงาน ซึ่งคงจะต้องทำเพิ่มเติม

เราอย่าไปหลงเชื่อว่าการเลือกตั้ง "อย่างเดียว" นั้นไม่ต้องคำนึงถึงบริบทต่าง ๆ  ทำเหมือนเดิม เลือกเหมือนเดิม ไม่เลือกก็ได้ เราจะไม่สามารถแก้ปัญหาในอดีตได้เลย เราไม่สามารถจะวางรากฐานการพัฒนาในอนาคตได้ ถ้าเราคิดแบบเดิม เราควรให้ความสำคัญในเรื่องนโยบายต่าง ๆ ของแต่ละพรรคด้วย เพื่อจะให้เกิดการสร้างความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ จะต้องส่งเสริมการเคารพกฎหมาย  แก้ไขประเด็นความขัดแย้ง ไม่สร้างความวุ่นวายแตกแยกไม่อำนวยประโยชน์แก่คนบางกลุ่ม บางพวก เป็นการเฉพาะ หรือบางพื้นที่ เพราะว่าจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียม ในวันข้างหน้าอีกด้วย

ลองพิจารณาคำกล่าวของผู้นำประเทศหนึ่ง ที่กล่าวว่า "ไม่ว่าแมวขาว หรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ คือแมวที่ดี" เนื่องจากในการแก้ปัญหาเดียวกัน แต่ต่างพื้นที่ ต่างสภาพแวดล้อม วิธีการย่อมแต่ต่างกัน ในรายละเอียด "ไม่มีสูตรตายตัว"  เพียงแต่ว่า สำหรับเราเองนั้นเราจะต้องทำให้ทั้งแมวขาว แมวดำ ของเรา ไม่ทะเลาะกันเอง ไม่กัดกันเอง แล้วเป็น "แมวสะอาด" ไม่มีเชื้อโรค ไม่อย่างนั้นก็ไปปราบหนูไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้บ้านเมืองเราสะอาด ต้องใช้แมวที่สะอาด  ฝากช่วยกันคิดดู ขอบคุณครับ ขอให้ "ทุกคน" มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์  สวัสดีครับ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: ประเทศแฟนตาซี

Posted: 27 Apr 2018 11:55 PM PDT



ลุงตู่แปลงร่างเป็นโอตู่ เต้น "คุกกี้เสี่ยงทาย" ถ่ายภาพ คิกขุกับ BNK48 แล้วบอกคนรุ่นเก่าต้องเปิดกว้าง รับฟังความเห็นคนรุ่นใหม่ อุ๊ต๊ะ แล้วใครหว่า ส่งตำรวจทหารไปเยี่ยมบ้านนิสิตนักศึกษา ตั้งข้อหาคนอยากเลือกตั้ง ยังกับผู้ก่อการร้าย (ปิดเมือง)

ไม่กี่วันก่อน ก็เพิ่งเปิดทำเนียบโหยหาอดีต กรี๊ดละคร "ออเจ้า" ปลุกประวัติศาสตร์ชาติไทย กระตุ้นไทยนิยมยั่งยืน 2 หมื่นล้าน แต่ห้ามประชานิยม ใครไม่รู้ หาคะแนนนิยมได้แต่ผู้เดียว

เชื่อได้เลย สัปดาห์ต่อๆ ไปคงเชิญนักฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย หรือโปรโม โปรเม มาให้คนกรี๊ดสนั่นหวั่นไหว มีความสุขไปกับอีเวนต์แฟนตาซี

BNK48 ปลื้มลุงตู่ตัวใหญ่ใจดี ไม่รู้ว่าอยู่ในโลกใบเดียวกับลุงตู่ ม.44 หรือเป็นปรากฏการณ์ต่างมิติ ใจดีอุ้มทีวีดิจิตอล ที่ใครก็ไม่รู้ แย่งช่วงไพรม์ไทม์ไปพูดปาวๆ โดยไม่เสียค่าเช่าเวลา ใจดีแก้ปัญหาคาราคาซังสรรหา กสทช. โดยไม่ต้องรอผลสอบคลิปเสียงใคร "ไม่แฮปปี้"

ลุงตู่ตัวใหญ่ใจดีไม่ใช่เครื่องดูดฝุ่น แหงสิ ลุงตู่เพิ่งบอกว่าไม่รังเกียจนักการเมือง เชื่อว่าเป็นคนดี จะเป็นฝุ่นได้ไง ใครบังอาจกล่าวหาลูกกำนันเป๊าะเป็นขยะ เป็นฝุ่น ยกมือขึ้น

ปัดโธ่ แค่รัฐมนตรีอุตสาหกรรมกับรัฐมนตรีพาณิชย์ ลูกน้องสมคิด คิดจะตั้งพรรคการเมือง ผิดตรงไหน ใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ห้ามไม่ได้ ถึงไม่ลาออกใน 90 วันก็เป็นแค่หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค โดยไม่สมัคร ส.ส.ไง อย่ามาซี้ซั้วกล่าวหาว่าใช้อำนาจหน้าที่บีบกลุ่มธุรกิจ ปิดท่อน้ำเลี้ยงพรรคอื่น พูดมั่วๆ 4 หมื่นล้าน ผิดกฎหมาย นี่ไม่ใช่ระบอบทักษิณนะจะได้กล่าวหาคะนองปาก

เช่นกัน ถ้าลุงตู่นึกอยากจะเป็น 1 ใน 3 ชื่อที่พรรคเสนอเป็นนายกฯ ก็เป็นสิทธิ ผิดตรงไหน ทีนายกฯ เลือกตั้งยังลง ส.ส.ได้ทั้งที่เป็นนายกฯ อยู่ กกต.เป็นผู้ดูแลการเลือกตั้ง รัฐบาลไม่เกี่ยวอะไร แม้ คสช.มี ม.44 ปลด กกต.ได้ ก็ไม่ผิดกฎหมาย

สมแล้วที่ BNK48 ให้กำลังใจลุงตู่ทำงานหนักเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย นี่ไม่ใช่การสืบทอดอำนาจ สักหน่อย แต่เป็นการปฏิรูปไปสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์ ที่อำนาจไม่ต้องมาจากเลือกตั้ง

มีแต่คนไทยหัวใจฝรั่ง ที่ยังปากหอยปากปู อ้างรายงานกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐวิพากษ์วิจารณ์การละเมิด สิทธิมนุษชน ใช่ซะที่ไหน ไม่ฟังปู่ดอน ปรมัตถ์วินัย ปู่บอกแล้วไงในตัวเอกสารมีการวิพากษ์วิจารณ์อยู่จริง แต่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐไม่ได้พูดถึง จึงถือว่าไม่มีปัญหา เขาพูดชมด้วยซ้ำ ฉะนั้นอย่าไปอ่านละเอียด ซึ่งไม่มีอะไร ซ้ำไปซ้ำมาเรื่องคุมตัวผู้เห็นต่าง

ผบ.สูงสุดท่านก็บอกเรื่องเก่าๆ เราไม่ได้ทำแล้ว ที่ต้องล็อกคอจับตัว มีแค่ช่วงแรกๆ เท่านั้น ใช่เลยครับ ช่วงหลังๆ ก็กลัวกันหัวหด ไม่ต้องทำอีกแล้ว

กรมคุ้มครองสิทธิฯ ยืนยัน เรามีพัฒนาการเชิงบวก เช่น ประกาศให้สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ (แม้ยังจับคนอยากเลือกตั้งชุมนุมเกิน 5 คน) รัฐบาลจะออก พ.ร.บ.ป้องกันปราบปรามการทรมานและอุ้มหาย (แต่ที่อุ้มเอกชัย-โชคชัย ห้ามไปอวยพรลุงป้อม นั่นอุ้มไป สน.ไม่ใช่อุ้มหาย) มีการส่งเสริมสิทธิผู้ต้องขัง (เช่น อายุ 80 เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แบบกำนันเป๊าะ ก็ให้กลับบ้านได้)

ว่าที่จริง ฝรั่งคงงง ในขณะที่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบเผด็จการ ห้ามเห็นต่างทางการเมือง บังคับให้สยบยอมต่ออำนาจ แต่คนชั้นกลางยังสามารถเรียกร้องสิทธิต่างๆ เช่น สิทธิสัตว์ สิทธิสตรี สิทธิเด็ก คนพิการ รณรงค์รักษ์ สิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต เลิกใช้ยาพาราควอท ลดใช้ถุง ก๊อบแก๊บ ฯลฯ โดยรัฐบาลทหารไม่ขัดขวาง บางเรื่องก็สนับสนุน แม้บางเรื่องยอมไม่ได้ เช่น ชุมชนป้อมมหากาฬ

สิทธิเหล่านี้ล่องลอยอยู่เหนือเสรีภาพทางการเมือง เหมือนปรากฏการณ์ 2 มิติ คิดดูซิ มีอย่างที่ไหน ประชาคมเชียงใหม่ประท้วงบ้านพักศาลได้ยืดเยื้อ ยังกะประชาธิปไตยเต็มใบ ว่าไปก็ตลก

คนไทยไม่ต้องสนใจความชอบธรรมของอำนาจ ไม่ต้องสนใจตรรกะ เหตุผล ความเป็นระบบ อยู่กันไปเหมือนอยู่ในโลกมายา หรือโลกแฟนตาซี ในหนังซูเปอร์ฮีโร่ 30 ตัว 200 บาท (คุ้มจนลายตา) มีพระเอก มีผู้ร้าย มีดราม่า มีสีสัน เทคนิคพิเศษ ตื่นเต้นดี เดี๋ยวก็มีกูรูนักลงทุนซ้อมแฟนให้สังคมประณาม เดี๋ยวสะใจกับการไล่ล่าดารารีวิวเมจิกสกิน เดี๋ยวก็ดูท่านผู้นำเต้นโอนิกิริ

ขอเพียงโลกแฟนตาซีอยู่ยงคงกระพัน อย่าให้หนังจบกลางเรื่องก็แล้วกัน

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์: รัฐ-ศาสนากับท่วงท่าที่คลุมเครือ

Posted: 27 Apr 2018 11:49 PM PDT

 

คดีเงินวัดอันอื้อฉาวที่เกิดขึ้น โดยมีการพาดพิงถึงพระเถระผู้ใหญ่ 5 รูป ในประเทศไทยเวลานี้ นับว่าสร้างความสั่นสะเทือนออกไปยังวงการพระพุทธศาสนาหรือพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ไม่เว้นแต่วงการพระพุทธศาสนาในสหรัฐอเมริกา

โดยที่ต้องเข้าใจว่า ในสหรัฐอเมริกาเองมีวัดไทยและชาวพุทธไทย-อเมริกันอยู่เป็นจำนวนมากแทบทุกรัฐ ก็แน่นอนว่าพวกเขาเหล่านี้ย่อมเกิดข้อสงสัย ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยไม่แพ้คนไทยในประเทศเช่นกัน โดยเฉพาะในส่วนของพระเถระผู้ใหญ่บางรูปที่สัมพันธ์โดยตรงกับงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างแดนโดยตรง งานนี้นับว่าข่าวสารออนไลน์มีผลต่อการรับรู้ต่อและการคิดวิเคราะห์ของชาวพุทธในต่างแดนมากจริงๆ มิใช่ชาวพุทธเชื้อสายไทยเท่านั้น หากแต่เป็นชาวพุทธทุกเชื้อชาติในสหรัฐอเมริกา 

นอกเหนือไปจากความสงสัยต่อกระบวนการตรวจสอบพระสงฆ์ของรัฐบาลไทยว่าเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลหรือมีวาระทางการเมืองแอบแฝงหรือไม่แล้ว ชาวพุทธที่นี่ยังคำถามเกี่ยวกับความโปร่งใส ของการจัดการทรัพย์สินของวัดในเมืองไทยอีกด้วย พวกเขาเห็นว่า การจัดการทรัพย์สินของวัดในประเทศไทยยังดำเนินการกันอย่างไม่ค่อยเป็นระบบ ทั้งๆ ที่วัดไทยและพระสงฆ์ไทยอยู่ภายใต้กฎหมายคือพระราชบัญญัติสงฆ์ ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ บัญญัติใช้กับพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะมีคำถามคาใจจากบรรดาชาวพุทธในต่างแดนจำนวนไม่น้อยว่าการบริหารวัดของคณะสงฆ์ไทยได้มาตรฐานหรือมีความโปร่งใสมากน้อยขนาดไหน

กรณีเงินบริจาควัดแม้สัมพันธ์กับศรัทธาญาติโยมต่อพระสงฆ์หรือต่อวัด และเป็นคนละส่วนกับเงินสนับสนุนของรัฐบาล (งบประมาณ) ผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ก็ตาม แต่ในแง่คำสอนเรื่องสมถะสันโดษของพระสงฆ์หลายๆ วัดมีลักษณะของการปฏิบัติตรงกันข้ามกับบริบทคำสอนในพระพุทธศาสนาเรื่องความมักน้อย สมถะ สันโดษของพระสงฆ์ ตรงนี้อย่าคิดว่า ฝรั่งไม่เห็นหรือไม่สนใจนะครับ เขามองเห็นมากกว่าที่ชาวพุทธอย่างเราๆ ในประเทศ มองเห็นด้วยซ้ำ

ในอเมริกาศาสนากับรัฐแยกออกกันอย่างชัดเจน ที่เรียกว่า secular state นั่นแหละ โบสถ์หรือวัดตามกฎหมายอเมริกันมีสถานะเป็นองค์กรไม่หวังผลกำไร (nonprofit organization) เหมือนองค์กรไม่หวังผลกำไรโดยทั่วไป ไม่ได้มีสถานะพิเศษหรือกฎหมายพิเศษใดๆ คุ้มครองหรือปกป้อง รัฐเองก็ได้จัดงบประมาณใดๆ มาสนับสนุน แต่โปรดสังเกตว่า ศาสนาจำนวนมาก รวมถึงพระพุทธศาสนาต่างก็เข้าไปเผยแผ่ศาสนาของตนอย่างได้ผล จนทำให้คนอเมริกันเองเป็นพลเมืองบนความเป็นศาสนิกชนที่หลากหลายมากที่สุดในโลก เพราะความมีสิทธิเสรีภาพและกฎหมายถูกใช้ไปในอีกลักษณะหนึ่งคือ ใช้หลักสิทธิเสรีภาพคุ้มครองพลเมืองที่นับถือศาสนาทุกๆ ศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน

อานิสงส์ของหลักสิทธิเสรีภาพนี่เอง เป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหนึ่งที่ถูกเผยแผ่อย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกาจนมีพุทธศาสนิกชนเกิดขึ้นจำนวนมาก ไม่นับรวมศาสนสถานอย่างวัดไทยที่ปัจจุบันอาจมีถึง 1000 วัดแล้วก็เป็นได้  

แสดงให้เห็นถึงการเปิดกว้างของกฎหมายอเมริกัน แม้ว่ารัญอเมริกันจะไม่อุปถัมภ์คุ้มครองศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่ในแง่ของการให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาต่อพลเมืองกลับทำให้คนอเมริกันพาเป็นศาสนิกของแต่ละศาสนาๆ กันเป็นจำนวนมาก

จนกล่าวได้ว่า แท้จริงแล้วบนโลกเสรีนิยม คนอเมริกันมีศาสนาที่พึ่งทางใจกันเป็นส่วนใหญ่ แล้วแต่ว่าใครจะศรัทธาในศาสนาไหน ดังนั้น ในแง่การตลาดศาสนาหรือการเผยแผ่ศาสนา อเมริกาเป็นประเทศที่มีพื้นที่สำหรับส่วนแบ่งการตลาดด้านศาสนาอยู่อีกมาก

ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีบุคคลอเมริกันผู้มีชื่อเสียงจำนวนหนึ่งพากันนับถือพระพุทธศาสนา จนเป็นให้ชาวพุทธและพระสงฆ์ไทยจำนวนหนึ่งหันไปใช้วิธีการเอาชื่อหรือเครดิตของบุคคลเหล่านี้มาใช้อ้างอิง เพื่อการเผยแผ่พระศาสนา แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทยต้องพึงเข้าใจว่า นัยของการนับถือพระศาสนาของชาวพุทธอเมริกันต่างจากชาวพุทธในเมืองไทยอยู่มาก บางครั้งก็ตรงหรือถูกตามคำสอนในพระพุทธศาสนา วัตรปฏิบัติบางอย่างอาจไม่ใช่ พระสงฆ์หรือผู้ที่เกี่ยวข้องพึงระวังการนำชื่อของบุคคลสำคัญหรือมีชื่อเสียงฝ่ายอเมริกันมาสร้างเครดิตหรือโน้มน้าวให้ชาวพุทธไทยศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้น ทางที่ดีนั้นควรเผยแผ่พระธรรมคำสอนโดยเนื้อหาชองพระธรรมนั้นเองมากกว่า ดังกรณีการอ้าง สตีฟ จ๊อบบ์ ของพระสงฆ์ไทยบางรูป ที่แทบไม่ได้ดูบริบทการสมาทานศาสนาพุทธของจ้อบบ์เอาเลยว่ามีรายละเอียดเป็นอย่างไร ที่แท้ก็แค่การหาคนดังมาเป็นพวกเท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับการมุ่งเอากะพี้เสียยิ่งกว่าแก่น

นอกจากนี้อเมริกันชนรวมถึงไทย-อเมริกันยังมีคำถามเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเพื่อสังคม เป็นคำถามที่มีมานานหลายปีว่า พระพุทธศาสนาในเมืองไทยเกื้อกูลหรือเอื้อเฟื้อต่อสังคมมากพอหรือไม่ วัดและพระสงฆ์เป็นที่สะสมของวัตถุธรรมที่ได้จากการรับบริจาคมากเกินไปหรือไม่? รวยกระจุกจนกระจาย... ได้มีการนำทรัพย์ที่สะสมนี้กระจายออกสู่สังคมที่กำลังต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ อย่างไร? ที่สำคัญคือ สังคมหรือชุมชนเหล่านั้นเป็นสังคมหรือชุมชนรอบวัดหรืออยู่ติดกับวัดนั่นเอง (สลัมรอบวัด) อาจเป็นเพราะภาพที่เห็นกันที่ผ่านมาคือวัดเป็นแหล่งสะสมความมั่งคั่งขณะที่ชาวบ้านรอบวัดเป็นอยู่อย่างเดือดร้อนและอัตคัดขัดสน 

ดังนี้แล ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัดกับชุมชนอยู่อย่างไม่สัมพันธ์กันดังแต่ก่อน วัดและพระสงฆ์อยู่อย่างแปลกแยกกับชาวบ้านมากขึ้น ต่างฝ่ายต่างแทบปฏิสัมพันธ์กันในแง่จารีตเหมือนแต่ก่อน หากความสัมพันธ์เป็นไปในแง่พิธีกรรม และศาสนพิธีที่เลี่ยงเสียมิได้เท่านั้นเอง

กรณีอื้อฉาวเงินวัดในส่วนคณะสงฆ์ส่วนกลาง หรือ มหาเถรสมาคม (มส.) เอง ก็เป็นแต่เพียงตั้งรับอยู่กับที่ ไม่มีกิจกรรมก้าวหน้าหรือเชิงรุก ชี้ให้เห็นถึงการปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกับกับกระแสทัศน์แบบ 4.0 ครั้นเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นก็หวังถึงการช่วยเหลือทำนองการได้รับหรือการแสดงออกถึงความเข้าใจจากฆราสชาวพุทธโดยถ่ายเดียว มิไยว่าแนวทางการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องของชาวพุทธในแบบ 4.0 นั้น ควรต้องมาจากฟากของพระเถระเองด้วย ดังนั้น เมื่อพูดกันถึงประเด็นนี้ ตำแหน่งโฆษกของมส. จึงไม่น่าจะเป็นตำแหน่งที่จำเป็นอีกต่อไป

อีกประการหนึ่งก็คือ หากมองเข้าไปใน มส. แล้วเราจะเห็นว่ามีพระเถระที่มีความสามารถและเชี่ยวชาญเชิงวิชาการอยู่ในนั้น (เช่น พระพรหมบัณฑิต เป็นต้น) ก็ทำไมเล่าพระรูปที่มีความสามารถดังกล่าวจึงไม่ออกมาแสดงความเห็นว่าอะไรเท็จอะไรจริง แม้จะเป็นตามทัศนะของท่านก็ตาม หากน่าจะดีกว่าปล่อยให้เกิดความคลุมเครือสงสัยในบรรดาพุทธศาสนิกชนทั่วโลก  โทษกันไปมาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

การใช้กลยุทธ์ซื้อเวลาหรือ "ให้เวลากลบกระแส" เหมือนที่ผ่านๆ มาจึงอาจล้าสมัยเสียแล้วกับปัญหากรรมเดียวกันแต่เกิดขึ้นต่างวาระแบบนี้

ลองเป็นอย่างนี้ แม้โดยนโยบายของรัฐไทย ยังไม่ถือว่าแยกรัฐออกจากศาสนา แต่โดยพฤตินัยแล้วจะมีอะไรต่างกันด้วยเล่า กับ "แยกอัตโนมัติรัฐ-ศาสนา" 555

 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุดจํานวน 2 ราย

Posted: 27 Apr 2018 11:39 PM PDT

 
เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2561 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีเรื่อง แต่งตั้งตุลาการในศาลปกครองสูงสุด มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ให้ดํารงตําแหน่งตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด จํานวน 2 ราย ดังนี้
 
1.นายสมชัย วัฒนการุณ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ดํารงตําแหน่ง ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด
 
2.นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ดํารงตําแหน่ง ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด
 
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
 
ประกาศ ณ วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561
 
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ตูน: การรับรางวัลที่ไม่เหมาะ จะทำร้ายแบรนด์

Posted: 27 Apr 2018 11:30 PM PDT



ตูนวิ่งช่วยโรงพยาบาลได้เงินนับพันล้าน นับเป็นสิ่งที่นยกย่องสรรเสริญ ลาภยศสักการะเป็นรางวัล เป็นสิทธิที่พึงได้ แต่การรับรางวัลบางอัน อาจทำร้ายแบรนด์ตนเองมากกว่าจะเป็นการเสริมสร้างภาพพจน์ที่ดี

เมื่อตูนวิ่งเสร็จ ก็มีการมองรางวัล หรือได้รับการชื่นชมไปทั่ว ผมเองก็ชื่นชมในความสามารถ แม้จะมีข้อครหาว่าวิ่งตลอดจริงไหม ก็ไม่ใช่เรื่องประเด็นที่ผมจะไปกล่าวถึง แต่ประเด็นคือมีรางวัล 2 รางวัลที่ตูนไม่ควรไปรับ เพราะไม่เกี่ยวข้อง หรือไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง การรับรางวัลแบบนี้ อาจทำร้ายแบรนด์ของผู้รับรางวัลและผู้ให้รางวัลเอง นี่จึงเป็นกรณีศึกษาเผื่อไว้สำหรับผู้ที่คิดจะรับรางวัลต่างๆ ทั้งหลาย

นอกจากชื่นชมตูน ผมไม่เคยไปนึกอิจฉาตูนในฐานะดารานักร้องคราวลูกที่ทั้งหนุ่ม ทั้งหล่อ และได้ประกอบความดีมากกว่าผมเป็นร้อยเท่าพันทวี การยกกรณีศึกษานี้ ก็ไม่ใช่การไป discredit ตูนหรือใคร แต่เป็นอุทธาหรณ์เท่านั้น เราควรมองข้ามเรื่องส่วนตัว เช่น ตูนอาจมีรอยสักมากมาย ถ้าไปญี่ปุ่น เขาคงไม่อนุญาตให้ไปอาบน้ำอองเซ็น แต่นี่เป็นรสนิยม เป็นสิทธิส่วนตัวที่เราไม่พึงก้าวล่วง แต่พึงมองข้าม อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือเรื่องหลักการ

อย่างเช่นเรื่องที่มีการมอบรางวัลในฐานะคนวิ่งเส้นทางเบตง-แม่สายคนแรก แม้คนส่วนใหญ่จะชื่นชมตูน แต่เราก็รู้ทั้งรู้ว่ามีคนวิ่งมาก่อน ได้แก่ครูไชยวัฒน์ วรเชฐวราวัตร เมื่อปี 2528 และครูพลาม พรมจำปา เมื่อปี 2548 "บันทึกไทย" ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มอบรางวัลจะบอกว่าตนใช้เครื่องมือยุคใหม่ คือ GPS ในการจับระยะ แต่นั่นก็แค่ข้ออ้าง เพราะครู 2 คนที่วิ่งก่อนก็มีพยาน หลักฐาน และภาพถ่ายมากมาย. และใช่ว่าบันทึกไทยจะได้บันทึกเทปตลอดเวลาที่ตูนวิ่ง

ยิ่งกว่านั้น บันทึกไทยยังเคยให้รางวัลคนไทยขี่จักรยานข้าม 3 ทวีป ซึ่งเป็นการย้อนกลับไปมอบรางวัลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2504 ในขณะที่ยังไม่มีหน่วยงานบันทึกไทย เช่นนี้แล้วบันทึกไทยก็ไม่ควรบิดเบือนประวัติศาสตร์ และควรย้อนกลับไปมอบรางวัลแก่ครูทั้งสองที่วิ่งอย่างอดทน โดยไม่มีรถบ้านหรู ไม่มีทีมงานนับร้อย ไม่มีสินค้าดังมาสนับสนุน และใช้เงินหลายสิบล้านบาทคอยอำนวยความสะดวกเช่นตูน

อันที่จริงถ้าบันทึกไทยให้รางวัลตูนในฐานะที่เป็นคนไทยคนแรกที่วิ่งตั้งแต่ก่อตั้งบันทึกไทย ก็คงไม่ผิดกติกาอะไร หรือมอบรางวัลให้กับตูนและคณะหลายคนที่วิ่งไม่แพ้ตูนด้วย รวมทั้งมอบรางวัลยกย่องให้ครูทั้งสองด้วย ก็จะทำให้หมดข้อครหา แถมยังเป็นการดีต่อบันทึกไทยเอง แต่การบิดเบือนประวัติศาสตร์แบบนี้ กลับทำร้ายภาพพจน์ที่ดีงามของตูนที่ไปรับรางวัลที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง

อีกรางวัลหนึ่งคือมูลนิธิตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มอบรางวัลสาขาการพัฒนาเมืองแก่ตูนตามข้อเสนอของสถาบันของพระมหาวุฒิชัยโดยไม่มีเหตุผลที่เกี่ยวข้องกันเลย ต่างจากสาขาพัฒนาชนบทที่ระบุว่าชุมชนบ้านท่ามะพร้าว (ที่ได้รางวัล) ดำเนินกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูป่าชายเลน ทำให้ชาวประมงและบริเวณใกล้เคียงมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น

ส่วนการวิ่งของตูนเป็นประโยชน์ต่อทุกคน ไม่ใช่เฉพาะเมือง ถ้าจะมอบรางวัลสาขารณรงค์ทางสังคมเพื่อช่วยชาติดีเด่น หรือรางวัลสาขาการระดมทุนยอดเยี่ยม ก็จะเหมาะสม หาไม่สังคมก็อาจครหาว่าผู้มอบมุ่งเกาะตูน การทำดีของตูนเป็นเรื่องหนึ่ง การมอบรางวัลก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ใช่มอบโดยขัดกับความเป็นจริง 

อันที่จริงผู้ใดที่ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลที่ชื่อรางวัลไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงนั้น ถ้าเป็นไปได้ ทางออกที่สมควรคือการปฏิเสธรางวัล ไม่ใช่รับทุกรางวัลโดยเฉพาะรางวัลที่ไม่เหมาะสม การรู้จักปฏิเสธ จะยิ่งเสริมส่งภาพพจน์ที่ดีที่มุ่งผดุงไว้ซึ่งความถูกต้อง เที่ยงธรรม สังคมจะยกย่องเชิดชูว่าเป็นคนดีแท้ยิ่งกว่าการรับรางวัล     แบรนด์ของทั้งคนให้และคนรับก็จะยิ่งเป็นที่เชื่อถือมากขึ้น

แบรนด์ของคนและองค์กรเป็นสิ่งสำคัญ ถือเป็นทรัพย์อย่างหนึ่งที่แม้จับต้องไม่ได้ แต่ก็มีค่

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จนท.เข้าคุยอาจารย์ ม.มหาสารคาม ปมจัดสัมมนาวิชาการ ถามทำไมไม่แจ้งทหารก่อน

Posted: 27 Apr 2018 11:06 PM PDT

ทหาร ตำรวจเข้าพบอาจารย์ ม.มหาสารคาม ปมจัดงาน "ความเป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ยุคไทยแลนด์ 4.0" ถามทำไมจัดสัมมนาวิชาการไม่แจ้งทหารก่อน พร้อมสั่งจับตาตลอดเวที อาจารย์โพสต์ "ขอบคุณที่มารักษาความปลอดภัย แต่ที่นี่พวกเราดูแลกันเองได้" 

ที่มาภาพเฟสบุ๊ค Chainarong Sret 

28 เม.ย.2561 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า 26 เม.ย.ที่ผ่าน ทหาร ตำรวจ สภ. เขวาใหญ่ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอกันทรวิชัย เข้าพบอาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สอบถามเกี่ยวกับการจัดงานโครงการสัมมนาวิชาการปัญหาการพัฒนาชุมชน : ชุมชนท้องถิ่นใต้ขอบฟ้าอุษาคเนย์ ครั้งที่ 6 ภายใต้หัวข้อ "ความเป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ยุคไทยแลนด์ 4.0"  ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 28 เม.ย. 61 โดยเจ้าหน้าที่ได้ถามหาผู้จัดงาน และถามว่า ทำไมไม่แจ้งทหารก่อนที่จะจัดงาน พร้อมกันนี้ เจ้าหน้าที่ทหารได้ระบุว่า ในเวทีสัมมนาห้ามตั้งคำถามที่ล่อแหลม และห้ามวิจารณ์นโยบายรัฐบาลจนบานปลาย นอกจากนี้ ยังแจ้งว่า จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าฟังทุกห้อง และจะให้นายอำเภอมาสังเกตการณ์ด้วย

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานด้วยว่า ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ( สาขาวิชาการพัฒนาชุมชน ) ผู้เป็นผู้รับผิดชอบการจัดงาน เปิดเผยว่า ตนเองไม่ได้อยู่ที่มหาวิทยาลัย ตอนที่เจ้าหน้าที่มา เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการนัดหมายไว้ก่อน ตนทราบจากหัวหน้าภาควิชาในภายหลังว่า มีเจ้าหน้าที่มา หลังจากนั้น ตนได้คุยกับผู้กำกับ สภ.เขวาใหญ่ ผู้กำกับก็แจ้งว่า วันจัดงานจะสั่งให้ลูกน้องมาเฝ้าดูตลอดทั้งวัน

ไชยณรงค์ กล่าวอีกว่า การที่เจ้าหน้าที่บอกว่า ทำไมไม่แจ้งทหารก่อน ตนเห็นว่าการจัดงานในครั้งนี้เป็นการจัดงานในคาบวิชาเรียนของนักศึกษา เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกจัดงานสัมมนาวิชาการ เป็นหนึ่งในการเรียนรู้ในวิชาที่เรียน จึงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปแจ้งทหารก่อน อีกทั้งเป็นเสรีภาพทางวิชาการ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยแจ้ง การที่เจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครอง มาควบคุมการแสดงความเห็น และจะส่งเจ้าหน้าที่มาเฝ้าเช่นนี้ทำให้ตนเองและนักศึกษาที่จัดงานรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจ

อย่างไรก็ตามวันนี้ (28 เม.ย.61) ไชยณรงค์ โพสต์ภาพกันจัดกิจกรรมสัมมนาดังกล่าว พร้อมกับภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารที่เข้ามาร่วมในงาน

"ขอบคุณที่มารักษาความปลอดภัย แต่ที่นี่พวกเราดูแลกันเองได้" ไชยณรงค์ โพสต์

ที่มาภาพเฟสบุ๊ค Chainarong Sret 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โพลระบุคนประเมินเด็กไทยยึดมั่นคุณธรรมเพียง 33.1%

Posted: 27 Apr 2018 11:06 PM PDT

ซูเปอร์โพลสำรวจ 'ประเมินผลเด็กไทยวันนี้กับความสุขของประชาชนต่อระบบการศึกษาไทย' ประชาชน 1,142 คน เชื่อว่าปัจจุบันเด็กไทยยึดมั่นในความถูกต้องในคุณธรรมจริยธรรมเพียง 33.1% เท่านั้น

 
วันที่ 28 เม.ย.2561 เว็บไซต์บ้านเมือง รายงานว่านายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เปิดเผยผลสำรวจ เรื่อง ประเมินผลเด็กไทยวันนี้กับความสุขของประชาชนต่อระบบการศึกษาไทย กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพ จำนวนทั้งสิ้น 1,142 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 5-27 เม.ย. 2561 ที่ผ่านมาพบว่าผลการประเมินลักษณะเด็กไทยต่ำกว่าเป้าหมายในอีก 10 ปีข้างหน้าทุกตัวชี้วัด
 
โดยพบว่าประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.4 ระบุเด็กไทยรู้และเท่าทันเทคโนโลยีในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่วันนี้มีอยู่ร้อยละ 67.6 รองลงมาคือ ร้อยละ 90.1 ระบุเด็กไทยรู้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่วันนี้อยู่ที่ร้อยละ 55.6 โดยร้อยละ 86.7 ระบุเด็กไทยมีความสามารถในการเรียนรู้ในอีก 10 ปี ข้างหน้า แต่วันนี้มีอยู่ร้อยละ 52.4 ในขณะที่ ร้อยละ 85.6 ระบุ เด็กไทยเชื่อมั่น รู้จักตัวเอง รู้ว่าตัวเองชอบอะไร มีความสามารถอะไร แต่วันนี้มีอยู่ร้อยละ 47.3
 
ผลสำรวจยังพบด้วยว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.6 เช่นกันระบุ เด็กไทยมีส่วนร่วมสร้างสรรค์สังคมในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่วันนี้มีอยู่ร้อยละ 46.5 นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.2 ระบุ เด็กไทยกำหนดการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นเจ้าของการเรียนรู้ได้ ในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่วันนี้มีอยู่ร้อยละ 45.9
          
ที่น่าเป็นห่วงคือส่วนใหญ่หรือร้อยละ 84.4 ระบุเด็กไทยเป็นพลเมืองที่ดีในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่วันนี้มีอยู่ร้อยละ 43.6 นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 84.4 เช่นกันระบุ เด็กไทยสามารถทำงานกับผู้อื่นได้ดีในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่วันนี้มีอยู่ร้อยละ 42.4
          
ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คือส่วนใหญ่หรือร้อยละ 83.2 ระบุเด็กไทยเคารพตนเองและผู้อื่น ในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่วันนี้มีอยู่ร้อยละ 37.6 และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.3 ระบุเด็กไทยยึดมั่นในความถูกต้องในคุณธรรม จริยธรรม ในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่วันนี้มีเพียงร้อยละ 33.1 เท่านั้น และเมื่อประเมินความสุขของประชาชนต่อระบบการศึกษาไทย จากคะแนนเต็ม 10 คะแน พบว่าค่าความสุขของประชาชนได้เพียง 5.33 คือ ผ่านแบบเฉียด เส้นกลางขึ้นมาเพียงนิดเดียวเท่านั้น 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'รสนา' ยกตัวอย่างเกาหลี ตั้งคำถาม 'เหลือง-แดง' จะก้าวข้าม 'คสช.-ทักษิณ' เมื่อไหร่

Posted: 27 Apr 2018 10:22 PM PDT

'รสนา โตสิตระกูล' ตั้งคำถามมวลชน 'เหลือง-แดง' เมื่อไหร่จะก้าวข้าม 'คสช.-ทักษิณ' ที่คอร์รัปชันไม่ต่างกัน ยกตัวอย่าง 2 เกาหลีทำให้เห็นแล้ว เรียกร้องอย่ายอมเป็น 'นั่งร้าน' ให้ 'นักเลือกตั้ง-นักรัฐประหาร' มาเสวยอำนาจ

 
 
 
28 เม.ย. 2561 น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร โพสต์เฟสบุ๊คตั้งคำถามถึงพี่น้องเสื้อเหลือง เสื้อแดงว่าเมื่อไหร่จะก้าวข้าม คสช. และ ทักษิณ ที่คอร์รัปชันไม่ต่างกัน และเพื่อกำหนดดุลอำนาจของประชาชนร่วมกันกำจัดคอร์รัปชัน พร้อมเรียกร้องอย่ายอมเป็นนั่งร้านให้นักเลือกตั้งและนักรัฐประหารขึ้นมาเสพสุขอำนาจโดยไม่ฟังเสียงประชาชน
 
เมื่อไหร่พี่น้องเสื้อเหลืองเสื้อแดงจะจับมือก้าวข้าม คสช.+ทักษิณ+
คอร์รัปชัน !?!
 
ข่าวใหญ่ของวันนี้ (27 เม.ย.) คือ การประชุมครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้ เริ่มขึ้นเมื่อสองผู้นำมาพบกัน ทั้งคู่ทักทายด้วยการจับมือกันโดยที่ผู้นำเกาหลีเหนือยืนอยู่ทางฝั่งเหนือของเส้นแบ่งเขตแดน ในขณะที่ผู้นำเกาหลีใต้ยืนอยู่ในดินแดนฝั่งใต้
 
คิม จองอึน ได้เชื้อเชิญและจูงมือพาประธานาธิบดี มุน แจอิน ข้ามเส้นเขตแดนเข้ามาในดินแดนฝั่งเหนือ ซึ่งเป็นการกระทำที่เหนือความคาดหมาย ก่อนที่จะเดินข้ามเส้นเขตแดนกลับมาที่ฝั่งใต้ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้ามาในเขตปลอดทหารเพื่อเปิดงานประชุมในฝั่งใต้ ซึ่ง คิม จองอึน เป็นผู้นำเกาหลีเหนือคนแรกที่ได้ข้ามเส้นเข้ามาในฝั่งเกาหลีใต้ตั้งแต่ทั้งสองเกาหลีลงนามสงบศึกในสงครามเกาหลีเมื่อ 65 ปีก่อน
 
เรื่องนี้ทำให้ดิฉันนึกถึงการสนทนากับคู่สามีภรรยา ที่ได้พบกันโดยบังเอิญที่ตลาดเมื่อวานนี้ ฝ่ายภรรยาเข้ามาถามว่าใช่คุณรสนาไหม พอทราบว่าใช่ เธอก็ขอคุยเรื่องการเมือง
 
สิ่งที่เธออยากรู้คือเลือกตั้งครั้งหน้า ใครจะชนะ พอบอกนักการเมืองเก่าๆ คงจะกลับมาอีก เธอส่งเสียงขึ้นมาว่า ได้ยังไง แล้วที่ไปเดินขบวนขับไล่ตระกูลทักษิณไม่ได้ผลหรือ?
 
ดิฉันแสดงความเห็นว่า 4 ปีของ คสช. ไม่ได้ปฏิรูปเรื่องสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง น่าเสียดายที่มีอำนาจมากขนาดนั้น แต่ไม่ทำให้เกิดการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงอย่างที่ประชาชนที่ออกมาเดินขบวนต้องการ ที่เห็นชัดเจนคืออุ้มกลุ่มทุนเป็นหลัก แบบที่สื่อเคยนิยามพฤติกรรมรัฐบาล คสช. ว่า "ยื่นปลาซิวให้คนจน มอบเรือประมงแก่นายทุน"
 
นโยบายสาธารณะอย่างเงินสวัสดิการแห่งรัฐให้คนจนเดือนละ 300 บาท แต่เงินนั้นไม่เกิดการหมุนเวียนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า แต่เป็นการเอางบประมาณแผ่นดินผ่านมือคนจนเข้าสู่กระเป๋าเจ้าสัว
 
ยิ่งกว่านั้นในรัฐบาล คสช. กิจการดีๆ ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นกิจการสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อดูแลประชาชนกำลังถูกบริหารให้เจ๊ง เพื่อผ่องถ่ายกิจการและทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจไปให้เอกชนทำกำไรแทน 
 
ผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมก็บิดกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนอย่างชัดเจนโดยรัฐบาลไม่รับฟังเหตุผลเพราะคิดว่าตนคือรัฐาธิปัตย์ที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ฟังเสียงทักท้วง
 
แม้แต่นักวิชาการก็ยังระบุว่ามีงานวิจัยที่สำรวจพบว่ามีการคอร์รัปชันสูงมากในรัฐบาลนี้ และไม่มีกลไกการตรวจสอบ ถ่วงดุลอำนาจจากสภานิติบัญญัติและจากบรรดาองค์กรอิสระทั้งหลาย
 
เธอท้วงว่าก็เห็นข่าวบอกว่าเศรษฐกิจดีขึ้นไม่ใช่หรือ ดิฉันบอกเธอลองเดินไปถามพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดดูสิ เท่าที่ดิฉันฟังเสียงบ่นคือการค้าขายเงียบเหงา ขายได้น้อยลง
 
เธอยังยืนยันว่า ไม่ต้องการให้ทักษิณกลับมา เลยยังต้องสนับสนุน คสช. ต่อไป ดิฉันถามว่าแม้ในสมัยนี้ที่มีการคอร์รัปชันไม่ต่างจากรัฐบาลในเครือข่ายทักษิณที่เธอออกมาเดินขบวนขับไล่กันหรือ เธอได้แต่นิ่งอึ้ง
 
เธอเป็นเสื้อเหลืองที่สนใจการเมืองมาตั้งแต่ยังเป็นสาวรุ่น เธอเล่าว่ากระเตงน้องไปฟังการหาเสียงของนักการเมืองทุกครั้ง สมัย14ตุลาก็ไปร่วมเดินขบวนกับเขาด้วย 
 
ทั้ง 2 เหตุการณ์ทำให้ดิฉันคิดถึงเส้นแบ่งระหว่างเสื้อเหลืองและเสื้อแดงที่ต่างไม่ยอมก้าวข้ามเส้นแบ่งสมมติเหมือนเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ 
 
พี่น้องเสื้อแดงที่เชียร์ทักษิณก็จะไม่แตะประเด็นคอร์รัปชันเชิงนโยบายหลายเรื่อง รวมทั้งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเครือข่ายทักษิณ และที่ต้องเชียร์ทักษิณเพื่อต่อต้าน คสช. 
 
เช่นเดียวกับพี่น้องเสื้อเหลืองที่จะไม่แตะเรื่องการคอร์รัปชันและการกินรวบรัฐวิสาหกิจของเครือข่ายคสช. ที่ไม่ต่างจากเครือข่ายทักษิณ และยังต่อยอดสิ่งที่เครือข่ายทักษิณทำมาก่อนให้ขยายขอบเขตกว้างขวางยิ่งขึ้น พี่น้องเสื้อเหลืองก็ไม่ต่อต้าน ที่ต้องยึด คสช. ไว้ เพราะไม่เอาทักษิณ 
 
ต่างฝ่ายต่างด่าว่าอีกฝ่าย โดยไม่เคยตรวจสอบฝ่ายของตนเองในประเด็นการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย เช่น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ถ่ายโอนสาธารณสมบัติและสิทธิผูกขาดของรัฐไปให้เอกชนทำกำไรจากประชาชน ซึ่งเป็นกระบวนการฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดใหญ่
 
ฝ่ายเสื้อแดงก็ด่าว่าฝ่ายเสื้อเหลืองที่สนับสนุน
ทหารมายึดอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้งและสมน้ำหน้าที่ยุค คสช. ก็มีคอร์รัปชันไม่ต่างกัน และยังถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพอีกด้วย แต่ฝ่ายเสื้อแดงไม่เคยทบทวนดูว่าการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาลจากการเลือกตั้งเป็นข้ออ้างให้ทหารมายึดอำนาจ ใช่หรือไม่ ถ้าประชาชนทุกฝ่ายไม่ปล่อยให้รัฐบาลฝ่ายไหนคอร์รัปชัน จุดเปลี่ยนจะเกิดขึ้น
 
ถ้าทุกฝ่ายลองทบทวนดูประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนที่ผ่านมา เราสูญเสียคนหนุ่มคนสาวที่ต่อสู้ขับไล่เผด็จการ บางคนเสียชีวิต บางคนพิการ บางคนถูกฟ้องล้มละลาย 
 
เรายอมให้การเสียสละเหล่านี้เพียงเพื่อเป็นนั่งร้านให้ทั้งนักเลือกตั้งและนักรัฐประหารขึ้นมาเสพเสวยอำนาจโดยไม่ฟังเสียงประชาชนเท่านั้นหรือ
 
ตัวแทนเหล่านี้ไม่ได้เป็นปากเป็นเสียงของประชาชน แต่เข้ามาเป็นตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจของพรรคพวกตนเอง 
 
หากเสื้อเหลืองเสื้อแดงยังแตกคอกัน ปกป้องแต่ผู้นำที่ตนเชียร์ แม้ผู้นำของตนจะคอร์รัปชัน เราก็คงเป็นเหมือนเกาหลีเหนือเกาหลีใต้ที่ไม่ยอมก้าวข้ามเส้นแบ่งสมมติที่ขีดกันขึ้นมา
 
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนไม่หลงกลการถูกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายโดยผู้นำพวกนั้น และกลับมาตระหนักในอำนาจของตนเองว่าในการต่อสู้ขับไล่เผด็จการทั้งเผด็จการทหารและเผด็จการรัฐสภา เพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นนั้น ประชาชนได้อยู่ในสมการของดุลแห่งอำนาจทางการเมืองหรือไม่ หรือประชาชนเป็นเพียงนั่งร้านที่จะถูกถีบทิ้งทุกครั้งเมื่อขับไล่เผด็จการฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสำเร็จแล้ว และปล่อยให้ตัวแทนผลประโยชน์อีกฝ่ายเข้ามาใช้อำนาจกอบโกยราวกับอำนาจเป็นของเขา และประชาชนเป็นเพียงขอทานรอคอยความเมตตาที่เขาจะหยิบยื่นให้
 
เมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนมีสำนึกในอำนาจที่แท้จริงของตนมิใช่แค่ตัวอักษรที่ตราไว้ในรัฐธรรมนูญ เมื่อนั้นพี่น้องประชาชนทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดงต้องจับมือกันก้าวข้าม คสช.+ ทักษิณ เพื่อร่วมกันกำหนดดุลแห่งอำนาจของประชาชนใหม่ในสมการทางการเมืองเพื่อขจัดการทุจริตคอร์รัปชันที่ตัวแทนทางการเมืองทั้ง 2 ประเภทใช้อำนาจของประชาชนเป็นช่องทางแสวงหาเงิน เพื่อเป็นฐานเข้าสู่อำนาจทางการเมือง และใช้อำนาจทางการเมืองเป็นช่องทางหาเงิน วนเวียนกันเป็นวัฏจักรของการทุจริตคอร์รัปชันที่ไม่สิ้นสุด
 
ประชาชนฝ่ายเหลืองและฝ่ายแดงควรยึดอุดมการณ์ร่วมที่จะไม่ยอมรับการทุจริต คอร์รัปชันของฝ่ายใด เมื่อนั้นเราจะสามารถก้าวข้ามเส้นแบ่งมาหากันได้ อย่างที่คิมจองอึน กล่าวว่า "ตลอด 11 ปี ก็คิดอยู่นะว่า แค่ก้าวข้ามมาอีกฝั่งทำไมมันยากเย็น วันนี้ก็พบว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิด"
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พิพากษาคดีแม่ 'อับดุลอาซิ สาและ' ฟ้อง สนง.ตำรวจ-กองทัพบก 20 ก.ค. 2561

Posted: 27 Apr 2018 10:02 PM PDT

ศาลจังหวัดปัตตานีนัดฟังคำพิพากษา 20 ก.ค. 2561 คดีมารดา 'อับดุลอาซิ สาและ' ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพบกและสำนักนายกรัฐมนตรี กรณีถูกเจ้าหน้าที่ยิงเสียชีวิตเมื่อปี 2556

 
28 เม.ย. 2561 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเปิดเผยว่าสืบเนื่องจากศาลจังหวัดปัตตานีได้กำหนดนัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 26 – 27 เม.ย. 2561 ของคดีหมายเลขดำที่ พ.122/2560 กรณีมารดาของนายอับดุลอาซิ สาและ เป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยที่ 1 กองทัพบก จำเลยที่ 2 และสำนักนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารที่เข้าปฏิบัติการปิดล้อมและตรวจค้นบ้านเรือนของชาวบ้านที่หมู่บ้านกำปงบือราแง หมู่ที่ 2 ต.น้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี และขณะปฏิบัติหน้าที่ได้ใช้อาวุธปืนยิงนายอับดุลอาซิฯ ถึงแก่ความตายเหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2556
 
ในวันที่ 26 เม.ย. 2561 พนักงานอัยการจังหวัดปัตตานี ทนายความจำเลยทั้งสาม ได้นำพยานมาสืบจำนวน 2 ปาก คือ นายทหารยศพันเอก ซึ่งเป็นรองหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ในฐานะผู้ประสานงานคดีของจำเลยที่ 3 และเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดศูนย์พิสูจน์หลักฐานจังหวัดปัตตานี ในฐานะผู้ตรวจเก็บพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ เมื่อสืบพยานจำเลยทั้งสองปากดังกล่าวแล้วพนักงานอัยการฯ ทนายจำเลยทั้งสาม แถลงต่อศาลว่าฝ่ายจำเลยหมดพยานที่จะนำสืบแล้วศาลจึงได้มีคำสั่งนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 20 ก.ค. 2561 เวลา 09.00น.
 
มารดาของนายอับดุลอาซิ ซึ่งเป็นโจทก์คดีนี้กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกือบ 5 ปี แล้ว ตนคิดถึงนายอับดุลอาซิ ลูกชายอยู่ตลอดเวลา และจำภาพเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุอยู่เสมอ ที่มีเจ้าหน้าที่หลายคนพาลูกชายตรวจค้นบ้านตัวเองและไม่มีสิ่งผิดกฎหมายใด ๆ แล้ว ต่อจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็บังคับพาลูกชายออกจากบ้านไปต่อหน้าต่อตาทั้งที่ตนได้ห้ามและพยายามดึงลูกชายไว้ไม่ให้เจ้าหน้าที่เอาตัวลูกไป เพราะเขาไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับเหตุการณ์ความรุนแรง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังดึงดันบังคับพาเขาไปเพื่อตรวจค้นบ้านของคนอื่น ๆ อีกหลายหลัง เหมือนเอาเขาไปเป็นโล่กำบังให้กับเจ้าหน้าที่ และที่สุดก็ยิงเขาตาย โดยกล่าวหาว่าลูกของตนไปเอาปืนจากที่บ้านของคนอื่นมายิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ เป็นเรื่องผิดปกติมากเพราะเจ้าหน้าที่ควบคุมเขาอยู่ตลอดเวลา ตนจึงยืนยันที่จะต่อสู้เพื่อทวงความเป็นธรรมให้กับลูกของตนที่เสียชีวิตไปแล้ว แม้จะใช้เวลาในการดำเนินคดีนานกี่ปีก็ตาม
 
สื่อมวลชนหรือผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมรับฟังคำพิพากษาตามวันและเวลาดังกล่าวข้างต้นและติดตามเรื่องราวคดีนี้ได้ที่ https://voicefromthais.wordpress.com/?s=บ้านน้ำดำ หรือ Facebook page: Cross Cultural Foundation(CrCF)  
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น